คนอุบลราชธานี ปลูกไม้ดอกขาย สร้างรายได้ เดือนละ 1 แสนบาท !!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05026150559&srcday=2016-05-15&search=no

วันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 623

ไม้ดอกไม้ประดับ

กิตติภณ เรืองแสน

คนอุบลราชธานี ปลูกไม้ดอกขาย สร้างรายได้ เดือนละ 1 แสนบาท !!

ไม้ดอก หมายถึง พันธุ์ไม้ทุกชนิดที่ปลูกเพื่อใช้ประโยชน์จากความสวยงามของดอก มีดอกสวยงาม ดอกดก บานทน นิยมปลูกไว้เพื่อเป็นการเพิ่มบรรยากาศให้บ้านและสถานที่ทำงานสวยงามน่าอยู่ ใช้ประดับตกแต่งอาคาร และยังสร้างความสดชื่นให้แก่ผู้อยู่อาศัยและผู้ที่พบเห็น หรือปลูกไว้เพื่อจำหน่ายสร้างรายได้ให้กับครัวเรือนก็เป็นที่นิยมกันมาก นอกจากนี้ ไม้ดอกยังมีประโยชน์ในด้านอื่นๆ อีกมากมาย เช่น ใช้ในงานพิธีต่างๆ ใช้เพิ่มสีสันให้แก่อาหารและเครื่องดื่ม ให้สวยน่ารับประทาน ใช้เป็นยารักษาโรค ใช้เป็นของขวัญ ของที่ระลึก เป็นต้น และที่กำลังเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายคือ การสร้างอาชีพเกี่ยวกับไม้ดอก ไม้ประดับ เหมือนดังเช่น ชาวบ้านบ้านตาติด ตำบลโนนผึ้ง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ก็เป็นอีกหมู่บ้านหนึ่งที่สร้างรายได้อย่างงดงามจากการปลูกไม้ดอกขายกันเกือบทั้งหมู่บ้าน

คุณบัวคำ วรรณการ อายุ 53 ปี อยู่บ้านเลขที่ 220 หมู่ที่ 3 บ้านตาติด ตำบลโนนผึ้ง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี เป็นอีกผู้หนึ่งที่ปลูกไม้ดอกเพื่อจำหน่าย โดยปลูกตลอดทั้งปี จนสามารถสร้างรายได้อย่างงดงาม ทำให้ชีวิตพออยู่ พอกิน ไม่มีหนี้สิน มีเงินใช้จ่ายไม่ขัดสนและยังเหลือเก็บฝากธนาคารอีกด้วย ส่วนดอกไม้ที่ปลูกนั้นคือ ดอกเบญจมาศ สีเหลืองและสีขาว มีทั้งพันธุ์ขาวญี่ปุ่น พันธุ์ขาวปิงปอง ส่วนสีเหลืองก็เป็นพันธุ์เหลืองเรวดี พันธุ์เหลืองขมิ้น

คุณบัวคำ เล่าว่า เดิมทีครอบครัวตนจะประกอบอาชีพทำนาอย่างเดียว ต่อมาเพื่อนบ้านได้พากันปลูกดอกเบญจมาศขาย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 ตนก็ยังลังเลใจอยู่ เพราะไม่มั่นใจในการตลาดและยังไม่มีความรู้ หลังจากดูเพื่อนบ้านปลูกเป็นเวลาหลายปี พร้อมศึกษาการปลูก การดูแลไปในตัว จึงตัดสินใจลงมือปลูกเมื่อปี พ.ศ. 2550 โดยแบ่งที่นามาทำเป็นแปลงเพาะปลูกดอกเบญจมาศจำนวน 4 ไร่ โดยปลูกเบญจมาศสีเหลืองและสีขาว มีทั้งพันธุ์ขาวญี่ปุ่น พันธุ์ขาวปิงปอง ส่วนสีเหลืองก็เป็นพันธุ์เหลืองเรวดี พันธุ์เหลืองขมิ้น เพราะเป็นที่ต้องการของลูกค้าและตลาดไม้ดอก และดอกของเบญจมาศที่ปลูกกันอยู่จะมี 3 ขนาด คือ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ ตนจะปลูกทั้ง 3 ขนาดเลย ต่อมาเห็นว่ารายได้ดี จึงเลิกทำนา แล้วหันมาปลูกดอกเบญจมาศขายเพียงอย่างเดียว ส่วนที่นาบางส่วนก็ให้ญาติพี่น้องทำ เมื่อหันมาปลูกดอกไม้ขายอย่างจริงจังก็สามารถสร้างรายได้ดีกว่าการทำนามาก แรงงานก็ไม่ต้องจ้าง เพราะทำกันเองภายในครอบครัว แม้จะลงทุนสูงแต่ก็คุ้มค่า เพราะว่ารายได้ต่อเดือน ประมาณเดือนละ 120,000 บาท หลังจากหักต้นทุนผลผลิตแล้ว ก็จะเหลือเงินเก็บประมาณเดือนละ 80,000 บาท เป็นอย่างต่ำ ถ้าหากมีแรงสู้และแรงงานมีเพียงพอก็คงปลูกเพิ่มอีกหลายไร่ แต่ก็คงไม่ไหว แค่ 4 ไร่ นี้ก็แทบไม่มีเวลาพักผ่อนแล้ว สำหรับการปลูกดอกเบญจมาศ ตนและเพื่อนบ้านจะเริ่มปลูกในช่วงเดือนสิงหาคม พอถึงเดือนตุลาคม จะเริ่มออกดอก และสามารถตัดขายได้ตั้งแต่เดือนตุลาคม ไปจนถึงเดือนเมษายน พอเดือนพฤษภาคม ก็เตรียมปลูกใหม่ ทั้งไถพรวนดิน เตรียมแปลง เพาะปลูก เรียกว่าทำกันทั้งปีเลยทีเดียว สำหรับตนแล้วจะปลูกทดแทนไปเรื่อยๆ เก็บตัดแปลงนี้หมดก็จะปลูกใหม่ทันที เรียกว่ามีขายทั้งปีกันเลยทีเดียว

คุณบัวคำ เล่าว่า สำหรับแม่พันธุ์นั้น ครั้งแรกตนจะสั่งซื้อแม่พันธุ์ที่เขาชำไว้แล้วมาปลูก โดยลงทุนซื้อแม่พันธุ์ครั้งแรกประมาณ 30,000 บาท ในปีต่อๆ มา จึงทำการคัดเลือกแม่พันธุ์เอง การทำสวนดอกไม้นี้ไม่มีเวลาพักผ่อนเลย แต่ก็มีความสุขที่ได้อยู่กับสวนและได้ผลตอบแทนเกินคาด สำหรับดอกเบญจมาศที่ตนปลูกจะออกดอกช่วงเดือนตุลาคม ถึงเดือนเมษายน ของทุกปี พันธุ์ที่ตนปลูกนี้ ขาวญี่ปุ่น ขาวปิงปอง จะดูแลยากสักหน่อย ส่วนเหลืองเรวดี เหลืองขมิ้น จะดูแลง่าย ทั้งนี้ เราต้องมีความรู้ตั้งแต่การเตรียมการปลูก การเตรียมพันธุ์ ขยายพันธุ์ปลูก และการเตรียมแปลงชำรากดอกเบญจมาศ จึงจะประสบความสำเร็จและเก็บเกี่ยวได้ผล ซึ่งมีวิธีการดังนี้

1. เตรียมแปลง ขนาดกว้าง 1 เมตร ยาวประมาณ 20-30 เมตร หรือตามความเหมาะสมของพื้นที่ โดยทำเป็นกระบะไม้ยกสูงจากพื้นดินประมาณ 50 เซนติเมตร เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก

2. ผสมดินสำหรับชำราก ใช้ทราย 1 ส่วน ดินร่วน 1 ส่วน คลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วตักรองพื้นแปลงไว้ให้มีความหนาประมาณ 10 เซนติเมตร รดน้ำพอชุ่ม เริ่มชำได้ทันที

3. แปลงกระบะชำรากต้องอยู่ในโรงเรือน แล้วติดหลอดไฟตูม แรงเทียน 100 วัตต์ ประมาณ 3-5 หลอดเพื่อกกไฟให้กับต้นอ่อน ส่วนการดูแลรักษารากชำเบญจมาศนั้นก็ให้ทำตามขั้นตอน ถ้าจะบอกไปคงจะยาวพอสมควร เอาเป็นว่าถ้าอยากรู้จริงๆ ก็ให้มาพบตนที่สวนได้ทุกวัน ยินดีที่จะอธิบายขั้นตอนการดูแลรักษาให้แบบฟรีๆ ที่สำคัญ เมื่อดูแลต่อเนื่องประมาณ 15 วัน ต้องย้ายต้นอ่อนลงปลูกตามปกติต่อไป หากเกินอายุ 15 วันไปแล้ว จะทำให้ดูแลยาก และการปลูกนั้นต้องปลูกให้ถูกวิธี ซึ่งตนไม่ขอกล่าวในที่นี้ รวมทั้งการดูแล การให้น้ำ การเด็ดยอดเพื่อให้ต้นแตกกิ่งข้างมากขึ้น การปลิดดอกข้างเพื่อให้ดอกเบญจมาศมีขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ตามความต้องการ และการเพิ่มแสงไฟ สิ่งเหล่านี้เราต้องศึกษาให้เข้าใจและปฏิบัติได้ถูกต้อง

คุณบัวคำ บอกว่า หลังปลูกได้ 7 วัน ให้ใส่ปุ๋ยคอกประมาณ 30 กิโลกรัม ต่อแปลง โดยโรยตรงร่องระหว่างแถวของต้น แล้วเริ่มให้ไฟวันละ 4 ชั่วโมง ตั้งแต่ 22.00-02.00 น. ต่อเนื่อง 25 วัน เมื่อดอกเบญจมาศมีอายุได้ 15 วัน ให้พรวนดิน แล้วใส่ปุ๋ยเคมี สูตร 25-7-7 ประมาณแปลงละ 0.5 กิโลกรัม เพื่อเร่งรากและใบ และเมื่อดอกเบญจมาศอายุครบ 1 เดือน ให้ใส่ปุ๋ยเคมี สูตร 25-7-7 อีกครั้ง ในอัตราเท่าเดิม เมื่อดอกเบญจมาศครบ 60 วัน ใส่ปุ๋ยเคมี สูตร 8-24-24 อัตรา 1 กิโลกรัม ต่อแปลง จากนั้นเริ่มตกแต่งตาดอก คือเด็ดก้านดอกข้างลำต้นให้เหลือตรงปลาย 4-5 ดอก และเด็ดดอกตรงกลางด้วยเพราะดอกกลางจะบานก่อนเพื่อน หลังจากแต่งตาดอก 25 วัน ดอกไม้จะเริ่มแย้มและบานพร้อมกันทั้งหมดใน 30 วัน สามารถทยอยเก็บดอกไม้เริ่มจำหน่ายได้เรื่อยๆ แล้วแต่ความสมบูรณ์ของดอก แต่โดยรวมแล้วดอกเบญจมาศต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 100 วัน จะได้ดอกเบญจมาศที่สวย สมบูรณ์ และก้านตรง ตรงตามความต้องการของตลาด ตลอดช่วงเวลาที่ดอกเบญจมาศเจริญเติบโต เลื่อนตาข่ายขึ้นเสมอตามความสูงของดอกไม้ ให้รักษาระดับที่ใต้ก้านดอก 20-25 เซนติเมตร เพื่อให้ได้ดอกเบญจมาศที่สวยงาม

การเก็บเกี่ยวดอกเบญจมาศ ต้องตัดดอกให้ห่างโคนต้นประมาณ 15-20 เซนติเมตร จากนั้นจึงไปปรับขนาดของก้านดอกตามความต้องการของตลาด แต่โดยรวมทั้งหมด ขนาดของก้านต้องไม่ยาวเกิน 60 เซนติเมตร ส่วนโรครบกวนนั้นก็มีบ้าง อย่างเช่นที่เขาเรียกโรคราน้ำค้าง โรคราสนิม และพวกแมลงต่างๆ หนอนกระทู้ หนอนแก้ว เพลี้ยต่างๆ และเพลี้ยไฟ เราก็ต้องเรียนรู้การป้องกันและการกำจัด ที่สำคัญอ่านคำแนะนำบนฉลากของยาแต่ละชนิดให้เข้าใจ และป้องกันตัวเองเรื่องการแพ้สารเคมีด้วย

ในตอนท้าย คุณบัวคำ บอกว่า ตลาดรองรับดอกไม้ของตนนั้นคือ ตลาดสดอำเภอวารินชำราบ ตลาดเทศบาล 1 ในเมืองอุบลราชธานี ช่วงแรกๆ ต้องนำไปวางขายเอง แต่ในปัจจุบัน แม่ค้าคนกลางจะมารับซื้อถึงสวน โดยเราจะทำเป็นมัด มัดละไม่เกิน 20 ดอก แล้วชั่งกิโลขาย ในราคากิโลกรัมละ 70-80 บาท บางทีมีคนมาเหมาที่สวนเป็นจำนวนมากๆ ก็จะชั่งกิโลขายเลย ไม่ต้องมัด และยังมีลูกค้าจากจังหวัดใกล้เคียง ศรีสะเกษ ยโสธร อำนาจเจริญ ร้อยเอ็ด มาสั่งซื้อคราวละมากๆ และมารับถึงสวน จนเป็นขาประจำกันไปแล้วก็หลายราย ทำให้ปัญหาเรื่องตลาดจำหน่ายหมดไป สร้างรายได้เดือนละ 100,000 บาท อย่างสบายๆ เพื่อนบ้านบางคนปลูกหลายไร่ก็ยิ่งมีกำไรมากกว่าตนขึ้นไปอีก และในแต่ละปีจะมีช่วงที่ขายดีที่สุดคือ ช่วงออกพรรษา ต่อเนื่องถึงช่วงเทศกาลลอยกระทง จนถึงวันวาเลนไทน์ เรียกว่าตลอดฤดูหนาว รายได้จะดีมากและยังมีคณะทัวร์จากต่างถิ่นหรือนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมแปลงดอกไม้ในหมู่บ้านของเรากันมากในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ทำให้ดอกไม้ขายดีตามไปด้วย

ผู้สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. (090) 046-2710

อยู่บ้านแบบเหงาๆ ปลูกเลี้ยงกระบองเพชร เรียนรู้วิธีขยายพันธุ์ จนเกิดรายได้แบบสบายๆ ไม่มีเหงา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05030150459&srcday=2016-04-15&search=no

วันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 621

ไม้ดอกไม้ประดับ

สุรเดช สดคมขำ

อยู่บ้านแบบเหงาๆ ปลูกเลี้ยงกระบองเพชร เรียนรู้วิธีขยายพันธุ์ จนเกิดรายได้แบบสบายๆ ไม่มีเหงา

กระบองเพชร (Cactus) เป็นพรรณไม้ที่มีขนาดต้นเล็กจนถึงขนาดปานกลาง ลำต้นมีสีเขียวหรือเขียวคล้ำ มีขนและหนามรอบลำต้นแล้วแต่ชนิดพันธุ์ บางสายพันธุ์มีดอกและสีที่แตกต่างกันไป เช่น สีแดง สีเหลือง หรือสีขาว ขนาดของดอกเล็กใหญ่ตามชนิดสายพันธุ์

กระบองเพชรโดยทั่วไปหลายๆ ชนิดอยู่ตามทะเลทรายและมีอยู่ตามป่าธรรมชาติ ซึ่งกระบองเพชรที่ขายทั่วไปตามท้องตลาด จะมีลักษณะที่เล็กแบบบอนไซหรือบางชนิดมีขนาดกลาง หนามทั่วลำต้นที่เห็น คือใบที่พัฒนากลายมาเป็นหนาม เพื่อลดการคายน้ำ

ด้านความเชื่อเรื่องการปลูกกระบองเพชร แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มความเชื่อหนึ่งเชื่อกันว่าการปลูกกระบองเพชรไว้ในบ้านเป็นสิ่งไม่ดี เพราะกระบองเพชรเป็นพืชที่มีหนามจะทำให้หนามทิ่มแทงคนในบ้าน ทำให้เกิดอุปสรรคเกิดปัญหาในชีวิต มีแต่ขวากหนามในการดำเนินชีวิต ส่วนอีกกลุ่มความเชื่อหนึ่ง เชื่อว่าการปลูกกระบองเพชรเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมโชคลาภ เพิ่มพูนเงินทอง ทำให้กิจการงานต่างๆ เจริญก้าวหน้า ยิ่งถ้ากระบองเพชรที่ปลูกออกดอกสวยงาม ผู้ปลูกจะมีโชคลาภเงินทองไม่ขาดมือ

แต่ด้วยประการทั้งปวง หากบ้านไหนมีเด็กเล็กๆ ซุกซน ผู้เขียนขอแนะนำว่าไม่ควรปลูกอย่างยิ่ง หรือถ้าปลูกควรหาพื้นที่วางให้พ้นมือเด็กเล็ก เพราะเด็กอาจมาหยิบจับจนหนามทิ่มตำมือได้รับบาดเจ็บ

สำหรับใครที่กำลังมองหาไม้ประดับตกแต่งโต๊ะทำงานหรือบ้านเรือน กระบองเพชรอาจเป็นทางเลือกในการหาต้นไม้เล็กๆ สักต้นประดับตกแต่ง เพื่อให้มีพื้นที่สีเขียวมองแล้วสบายตา เนื่องจากเป็นไม้ที่ดูแลง่าย รดน้ำไม่ต้องบ่อยเหมือนไม้ประดับชนิดอื่นๆ เหมือนเช่น คุณสมปอง มาปิยะพันธ์ อยู่บ้านเลขที่ 236/250 ถนนพัฒนาการ ตำบลบ้านใต้ อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี ปลูกเลี้ยงกระบองเพชรไว้ที่บ้านแบบเล่นๆ แก้เหงา แต่กลับสร้างรายได้ให้กับเธอเป็นอย่างดี

อยู่บ้านเหงาๆ เลยทดลองปลูกเล่น

คุณสมปอง เล่าว่า การปลูกกระบองเพชรของเธอเกิดจากการที่อยู่บ้านคนเดียว ซึ่งลูกสาวกลัวว่าจะเหงาจึงหาซื้อกระบองเพชรมาไว้ให้ปลูกเพื่อแก้เหงา

“ช่วงนั้นปี 38 ลูกไปเรียนต่อมหาวิทยาลัย สามีก็ไปทำงาน เราก็อยู่บ้านเฉยๆ เป็นแม่บ้าน มันก็มีแต่งานบ้านที่ทำ ลูกสาวเรียนในกรุงเทพฯ เวลาเขากลับมาบ้าน ก็ซื้อกระบองเพชรมาให้ไว้เลี้ยงดูแก้เหงา ไม่อยากให้แม่เบื่อเวลาว่างๆ” คุณสมปอง เล่าถึงความเป็นมาของการมีกระบองเพชรมาปลูก

เมื่อเริ่มปลูกเลี้ยงดูแลกระบองเพชรไม่ตาย คุณสมปอง เล่าว่า อยากรู้จักกับสิ่งที่ทำมากขึ้น จึงไปหาซื้อหนังสือที่เกี่ยวกับกระบองเพชรทุกชนิดที่เจอมาอ่านเพื่อเพิ่มเติมความรู้

“เราก็พยายามหาหนังสืออ่าน ว่าเขาทำอะไรยังไงกันบ้าง เพื่อเอาเคล็ดลับเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยมาพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการผสมดิน เรียกว่าเรียนรู้ด้วยตัวเองแทบทั้งหมด เราก็เริ่มชำนาญขึ้น คราวนี้กระบองเพชรมีเยอะเลย” คุณสมปอง กล่าว

คุณสมปอง บอกว่า ในช่วงนั้นทำไปทำมาไม่ใช่จำนวนกระบองเพชรเยอะอย่างเดียว ยังมีหลายสายพันธุ์อีกด้วย เธอได้สั่งซื้อทั้งที่เป็นสายพันธุ์หายากเป็นไม้สะสมมาปลูกเลี้ยงด้วยเช่นกัน

กระบองเพชร ใครว่าปลูกยาก

ปลูกให้สวย ได้ทรงดี มีวิธีดังนี้

คุณสมปอง เล่าว่า พอเลี้ยงดูแลไปกระบองเพชรบางชนิดมีการแตกหน่อเกิดขึ้น จึงต้องย้ายมาปลูกกระถางใหม่ เป็นอีกวิธีที่ทำให้มีต้นกระบองเพชรมากขึ้น

“ช่วงแรกนี้ยอมรับเลยนะว่าลองผิดลองถูกเอง ไม่ว่าจะเรื่องการผสมดิน พอได้ศึกษาจากหนังสือ ได้เรียนรู้นิสัยของกระบองเพชรมากขึ้น เราก็ได้ประสบการณ์ อย่างการปลูกนี่ ดินก็สำคัญ ไม่ใช่ว่าจะเอาดินอะไรมาปลูกได้ ดินดีมันถึงจะโตดี” คุณสมปอง กล่าวพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า

ดินที่ใช้สำหรับปลูก คุณสมปองจะใช้ดินที่มีส่วนผสมของดินใบก้ามปู ทรายหยาบ และขุยมะพร้าว ในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 นำทั้ง 3 อย่างมาผสมให้เข้ากัน ก่อนปลูกกระบองเพชรลงไป คุณสมปอง บอกว่า จะใช้ถ่านป่นมารองก้นกระถางก่อน จากนั้นจึงนำกระบองเพชรที่แยกหน่อมาปลูก

“ช่วงที่ปลูกแรกๆ กระถางยังไม่กำหนดว่าใช้ขนาดเท่าไร ใช้ถ้วยน้ำจิ้มที่หาง่ายๆ ก่อน มันประหยัดต้นทุนด้วย ก้นถ้วยเราก็ใช้ธูปเจาะรู เพื่อเวลาที่รดน้ำจะได้ระบายออกได้ดี พอต้นมันใหญ่ขึ้นกว่าเดิมก็ค่อยย้ายกระถางที่ใหญ่ขึ้น แต่ถ้าหน่อใหญ่อาจปลูกใส่กระถางใหญ่เลยก็ได้ ดูตามความเหมาะสม” คุณสมปอง อธิบายการปลูกใส่กระถาง

ส่วนกระบองเพชรที่เป็นเมล็ด คุณสมปองจะนำมาเพาะลงในกระถางขนาด 3 นิ้ว โรยไปให้ทั่ว อย่าให้หนาแน่นเกินไป นำถุงพลาสติกห่อทั้งกระถาง รดน้ำพอประมาณ มัดปากถุงให้สนิท ทิ้งไว้จนกว่าเมล็ดจะงอก ประมาณ 3-6 เดือน เมื่อต้นงอกมีความแข็งแรง จะย้ายมาปลูกเหมือนกับวิธีแยกหน่อ

คุณสมปอง บอกว่า กระบองเพชรที่แยกหน่อปลูก ในช่วงแรกยังไม่รดน้ำประมาณ 3 วัน หลังจากนั้นรดน้ำปกติ ในช่วงเช้าทุก 3 วันครั้ง พอชื้นๆ ไม่ให้แฉะมากจนเกินไป เพราะจะทำให้ต้นเน่า ใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือน รากจะเดินสมบูรณ์ จากนั้นจึงใส่ปุ๋ยสูตรเสมอ 16-16-16 อัตราส่วนครึ่งช้อนชา ต่อน้ำ 1 ลิตร รดบริเวณรอบๆ ต้น อย่าให้โดนต้น ทุก 15 วันครั้ง

ด้านการป้องกันโรคและแมลง คุณสมปอง บอกว่า ที่น่ากลัวที่จะสุดคือ พวกเชื้อราและเพลี้ยหอย

“พวกนี้เวลาที่มันระบาด เราก็ต้องใช้ยาบ้าง ยาหาซื้อได้ทั่วไปตามท้องตลาด ฉีดพ่นทุก 7 หรือ 15 วันครั้งก็ได้ ดูตามอาการ เราต้องระวังให้ดี เพราะว่าเกิดระบาดมากๆ ของเราเสียหาย มันจะได้ไม่คุ้มเสีย” คุณสมปอง กล่าว

ดูแลอย่างนี้ประมาณ 4-6 เดือน สำหรับต้นที่แตกหน่อ ต้นก็จะเจริญเติบโตสมบูรณ์ พร้อมจำหน่ายได้ ส่วนต้นที่เพาะเมล็ดใช้เวลาเจริญเติบโตประมาณ 1 ปี

เรียนรู้การผสมพันธุ์เอง

แค่ทดลอง ลงมือทำ ไม่มีอะไรยาก

คุณสมปอง บอกว่า เมื่อเกิดความชำนาญมากขึ้นจึงเริ่มผสมพันธุ์เอง เพื่อให้ได้ต้นสายพันธุ์ใหม่ๆ มากขึ้น

“ต้องบอกก่อนว่าถ้าเราอยากจำหน่ายได้ไว ก็ให้แยกหน่อมันจะได้จำนวนที่มาก แต่พวกนี้ก็มีดอกนะบางสายพันธุ์ดอกเล็ก คนไม่นิยม ถ้าอยากได้ราคาดีหน่อย ก็ต้องเป็นไม้สะสม ไม้พวกนี้จะนำเข้าซะส่วนมาก โดยเลือกสายพันธุ์ที่ดี สวยๆ ดอกใหญ่ๆ มาเลี้ยงให้ออกดอก” คุณสมปอง กล่าวอธิบาย

เมื่อกระบองเพชรที่ต้องการผสมพันธุ์มีดอกสมบูรณ์ คุณสมปองจะผสมพันธุ์เองโดยดูลักษณะพันธุ์ที่ดีของพ่อแม่พันธุ์มาทำการผสมกัน เมื่อได้เมล็ดออกมาปลูกจนโต ดูลักษณะของต้นที่เจริญเติบโต คุณสมปอง บอกว่า ยิ่งต้นใหม่กลายพันธุ์ มีลักษณะสวยแปลกใหม่ ยิ่งเป็นที่ต้องการของลูกค้า

คนซื้อมีความชอบหลากหลาย

ทั้งไซซ์ใหญ่ ไซซ์เล็ก ชอบแตกต่างกัน

คุณสมปอง เล่าว่า ตั้งแต่เริ่มปลูกกระบองเพชรมาประมาณปี 2538 ต่อมาประมาณ 5 ปี เมื่อคนผ่านไปผ่านมาเห็นที่บ้านของเธอมีกระบองเพชรน่าสนใจ จึงมีคนขอเข้ามาซื้อมากขึ้น

“ตั้งแต่ปลูกมาไม่เคยเอาไปขายที่ไหนเลย คนผ่านไปผ่านมาก็จะแวะเข้ามาซื้อ บางทีลูกสาวเอาลงเว็บไซต์บ้าง คนเห็นก็สนใจ พอเขาผ่านมาเที่ยวเมืองกาญจน์ เขาก็แวะมาซื้อถึงที่บ้านเลย เขาก็จะหาตามแผนที่” คุณสมปอง เล่าถึงการจำหน่ายแบบง่ายๆ อยู่บ้านเฉยๆ ก็จำหน่ายได้

ราคากระบองเพชรของคุณสมปอง มีราคาที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับชนิดพันธุ์ ราคาต่ำสุดอยู่ที่ 25 บาท ส่วนที่เป็นไม้สะสมหายากอยู่ที่หลักพันบาทเลยทีเดียว

“คนที่ซื้อนี่มีหลายแบบ บางคนอยากลุ้นต้นตั้งแต่เล็กๆ บางคนอยากได้สายพันธุ์แบบใหญ่หลายพันบาทก็ซื้อ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนที่มาซื้อเอาไปจัดสวนประกวด มาจากเพชรบุรี เพชรบูรณ์ เขาก็มานะมาซื้อที่นี่ ก็รู้สึกว่าสิ่งที่เราทำมันดีนะ ทำให้เรารักในสิ่งที่เราทำไปเลย มันไม่เกินกำลังที่เราทำได้ ทำไปมันก็เพลินดี เพื่อให้ออกมาสวยไม่ขอแข่งขันอะไรกับใคร พอมันออกมาสวย เราก็มีความสุขที่เห็น อะไรจะดีไปกว่านี้จริงไหม” คุณสมปอง กล่าวด้วยใบหน้าที่เปี่ยมล้นด้วยความสุข

ใครสนใจอยากมีอาชีพเสริม

กระบองเพชร อาจเป็นอีกทางเลือก

“ใครอยากทำเป็นอาชีพเสริม ไม้ชนิดนี้ถือว่าดีมาก ถ้าอยากได้เงินเร็วก็เน้นไปที่ตลาดต้องการ ยิ่งเป็นแบบแยกหน่อแยกกอได้นี่ยิ่งเร็ว เงินก็จะได้ไว มันทันจำหน่ายได้ไว แต่ถ้าจะทำไว้ได้ราคาแพงพวกไม้สะสม มันใช้เวลานานกว่าจะโต นี่บางทีอาจรอไม่ได้แถมต้นทุนสูง เมื่อเทียบกับไม้ตลาดใครๆ ก็ซื้อได้ ส่วนใครที่อยู่ห้องพักมีระเบียงก็ทำได้นะ เพราะมันใช้พื้นที่น้อย พอต้นโตสวยก็จำหน่ายทางเฟซบุ๊ก ถือว่าดีเลย ก็ฝากไว้คนที่อยากเริ่มก็ลองศึกษาดูก่อน เดี๋ยวก็ออกมาดีเอง แล้วจะหลงรักไปเลย” คุณสมปอง กล่าวแนะนำ

จากกรณีของคุณสมปองจะเห็นได้ว่า การทำเกษตรอาจไม่จำเป็นต้องเรียนจบด้านเกษตร ขอเพียงมีใจรักในสิ่งที่อยากทำ ความสำเร็จอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมถึง เพียงแค่อยากทำลองทำ ใช้สองมือสร้างสรรค์ผลงาน เท่านี้ทุกอย่างที่รักที่ชอบ ก็กลับกลายมาสร้างเงิน สร้างรายได้แบบมีความสุขสบายๆ

สำหรับท่านใดที่สนใจ ติดต่อสอบถามได้ที่ คุณสมปอง มาปิยะพันธ์ หมายเลขโทรศัพท์ (085) 196-9056

สนใจติดตามดูคลิปวิดีโอ การปลูกกระบองเพชร ได้ที่ http://www.technologychaoban.com และ facebook: Technologychaoban.com

ไอเดียเจ๊ง เกษตรกรสุราษฎร์ ปลูกบัวสร้างรายได้ ในร่องสวนปาล์ม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05033150459&srcday=2016-04-15&search=no

วันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 621

ไม้ดอกไม้ประดับ

ปอพิไล พิพิธ

ไอเดียเจ๊ง เกษตรกรสุราษฎร์ ปลูกบัวสร้างรายได้ ในร่องสวนปาล์ม

การทำไร่นาสวนผสมตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงดีกว่าทำเกษตรเชิงเดี่ยว เพราะทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นหลายช่องทาง มีทั้งรายได้ รายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน และรายปี ลดความเสี่ยงในเรื่องตลาดและราคาขายผลผลิต ทำให้มีอาหารบริโภคอย่างเพียงพอ พออยู่ พอกิน มีเงินออม สร้างครอบครัวอบอุ่น…

ดังเช่น เกษตรกรที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี พลิกวิกฤตเป็นโอกาสในภาวะพืชเศรษฐกิจราคาไม่แน่นอน โดยการปลูกบัวหลวงสัตตบุษย์ ในร่องคูสวนปาล์มน้ำมัน สร้างรายได้หลักหมื่นต่อเดือนให้เกษตรกร

พื้นที่ของจังหวัดสุราษฎร์ธานีส่วนใหญ่มีพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันประมาณกว่าล้านกว่าไร่ เกษตรกรส่วนใหญ่จึงหารายได้เสริมในช่วงรอปาล์มน้ำมันให้ผลผลิต

คุณกรรณิการ์ พิพิธ อายุ 52 ปี อยู่บ้านเลขที่ 22 หมู่ที่ 3 ตำบลท่าขนอน อำเภอคีรีรัฐนิคม จังหวัดสุราษฎร์ธานี เกษตรกรที่ประกอบอาชีพหลักปลูกปาล์มน้ำมันกว่า 70 ไร่ โดยมีพื้นที่ 20 ไร่ ที่เปลี่ยนจากพื้นที่นาเป็นพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมัน ซึ่งพื้นที่แปลงนี้เป็นที่ลุ่ม ในหน้าแล้งจะแล้งมาก หน้าฝนตกชุกน้ำจะท่วม จึงมีการแก้ปัญหาดังกล่าวโดยการขุดร่องคูในสวนปาล์ม คุณกรรณิการ์ ได้เล็งเห็นประโยชน์จากร่องคูในสวนปาล์มน้ำมัน โดยการนำบัวหลวงสัตตบุษย์ (Magnolia Lotus) หรือบัวหลวงฉัตรขาวมาปลูก เนื่องจากปกติแล้วได้ซื้อบัวในตลาด และโดยเฉพาะในวันพระหรือวันสำคัญทางศาสนา ราคาค่อนข้างสูง จึงทดลองนำมาปลูกเป็นการลดค่าใช้จ่าย และนำไปจำหน่ายสร้างรายได้เสริมให้กับครอบครัว

บัวหลวงสัตตบุษย์ (Magnolia Lotus) หรือ บัวหลวงฉัตรขาว เป็นบัวที่มีความต้องการของตลาดสูง โดยเฉพาะในวันพระหรือวันสำคัญทางศาสนา ซึ่งจะมีการจำหน่ายในตลาดค่อนข้างสูง มีราคาดอกละ 10 บาท ซึ่งต้นทุนในการปลูกและดูแลรักษาไม่สูงมากนัก เก็บเกี่ยวผลผลิตได้เรื่อยๆ ต้นพันธุ์หาซื้อได้ทั่วไปตามท้องตลาด ราคาอยู่ที่ต้นละประมาณ 60-100 บาท การดูแลรักษาระหว่างการปลูกทำได้ไม่ยาก เพราะมีโรคและแมลงรบกวนน้อย บำรุงโดยการใส่ปุ๋ยคอก หลังปลูกแล้วประมาณ 3 เดือน ก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ โดยจำหน่ายทั้งปลีกและส่งในพื้นที่ ราคาขายส่ง ดอกละ 3-5 บาท และขายปลีก ราคาดอกละ 8 บาท สามารถสร้างรายได้ เดือนละ 6,000-12,000 บาท รายได้ขึ้นอยู่ในช่วงการออกดอกหรือช่วงวันสำคัญทางศาสนา

…เศรษฐกิจพอเพียงจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีและความมั่นคงในชีวิตเกษตรกรอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นอีกทางเลือกที่จะช่วยให้เกษตรกรสามารถแข่งขันและอยู่รอดได้ในภาวะช่วงราคาผลผลิตที่ไม่แน่นอน…

หากท่านใดต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมโดยตรงได้ที่ คุณกรรณิการ์ พิพิธ โทร. (084) 852-6967 หรือที่ สำนักงานเกษตรจังหวัดสุราษฎร์ธานี โทร. (077) 283-282, (088) 820-5288

เกษตรกรรุ่นใหม่พะเยา เปลี่ยนนาข้าวเป็นทุ่งดาวเรืองตัดดอก ขายรายได้หลักแสน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05032150359&srcday=2016-03-15&search=no

วันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 619

ไม้ดอกไม้ประดับ

การุณย์ มะโนใจ

เกษตรกรรุ่นใหม่พะเยา เปลี่ยนนาข้าวเป็นทุ่งดาวเรืองตัดดอก ขายรายได้หลักแสน

เกษตรกรรุ่นใหม่ของจังหวัดพะเยาประสบปัญหาภัยแล้ง พลิกวิกฤติเป็นโอกาส หันไปปลูกดาวเรืองตัดดอก จำนวน 5 ไร่ ทำรายได้ไร่ละแสน

จากการลงพื้นที่กับ คุณนิรชรา วงศ์ไชย เกษตรอำเภอเมืองพะเยา ไปที่แปลงปลูกดอกดาวเรือง ของ คุณชวิศ รักไทยดี เกษตรกรรุ่นใหม่ วัย 27 ปี หรือ น้องไผ่ ที่ไร่ไผ่ทิพย์ บ้านเกษตรสุข ตำบลแม่กา อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา น้องเล่าให้ฟังว่า หลังจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยพายัพ จังหวัดเชียงใหม่ แล้วได้ไปทำงานกับคุณลุง ซึ่งผลิตปุ๋ยอินทรีย์จำหน่ายที่จังหวัดสุพรรณบุรี ทำหน้าที่ฝ่ายตลาดและส่งเสริมการขาย มีโอกาสลงพื้นที่ติดตามการใช้ปุ๋ยดังกล่าวของเกษตรกร และพบเกษตรกรบางรายปลูกดาวเรืองเพื่อตัดดอกขาย มีความสนใจ จึงศึกษาค้นคว้าจากสื่อทางอินเตอร์เน็ต และจากเกษตรกรรายอื่นที่ปลูกอยู่แล้ว ศึกษาช่องทางตลาด พบว่า มีตลาดรองรับแน่นอนที่ปากคลองตลาด กรุงเทพฯ

ในส่วน คุณนิรชรา เกษตรอำเภอเมืองพะเยา ได้ให้ข้อมูลทางวิชาการว่า ดาวเรือง มีชื่ออื่น เช่น คำปู้จู้ คำปู้จู้หลวง (พายัพ) บ่วงสิ่วเก็ก เฉาหู้ยัง กิมเก็ก (จีน) ดาวเรืองนิยมปลูกตัดดอก เป็นดาวเรืองในกลุ่ม African หรือ American marigold เป็นพันธุ์ดอกใหญ่ พันธุ์ที่ใช้เป็นการค้าในประเทศไทย ได้แก่ พันธุ์ซอเวอเรน นอกจากนี้ ยังมีสายพันธุ์ใหม่ๆ ที่นำเข้ามา ได้แก่ พันธุ์จาไมก้า (jamaica) และอื่นๆ อีกหลายพันธุ์

ดาวเรือง เป็นไม้ดอกที่คนไทยนิยมปลูกกันมาก เนื่องจากเมล็ดมีขนาดใหญ่ ปลูกง่าย งอกเร็ว ต้นโตเร็ว และแข็งแรง ไม่ค่อยมีโรคหรือแมลงรบกวน ให้ดอกเร็ว ดอกดก มีหลายชนิดและหลายสี รูปทรงของดอกสวยงาม สีสันสดใส บานทนนานหลายวัน สามารถปักแจกันได้นาน 1-2 สัปดาห์ ให้ดอกในระยะเวลาสั้น คือประมาณ 60-70 วัน หลังปลูก ดังนั้น ในการปลูกดาวเรืองสามารถกำหนดระยะเวลาการออกดอกให้ตรงกับเทศกาลสำคัญได้ จึงมีผู้นิยมปลูกและใช้ดาวเรืองกันมาก นอกจากนี้ ยังสามารถปลูกได้ตลอดปี และปลูกได้ทุกจังหวัดในประเทศไทย ดาวเรืองเป็นไม้ดอกที่ทำรายได้ให้กับผู้ปลูกสูง ในปัจจุบันการปลูกดาวเรืองนอกจากปลูกเพื่อตัดดอกขายแล้ว ยังนิยมปลูกในกระถางหรือถุงพลาสติก เพื่อประดับตกแต่งอาคารสถานที่ และปลูกเพื่อตัดดอกส่งโรงงานอาหารสัตว์อีกด้วย

การปลูกดาวเรืองในประเทศไทย เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยใดไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด ทราบเพียงว่า ดาวเรือง ไม่ได้มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศไทย แต่มีการนำเข้าพันธุ์ดาวเรืองจากต่างประเทศมาปลูกเป็นเวลานาน จนสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมในประเทศไทยได้ดี มีการกระจายตัวของสายพันธุ์มาก ทั้งทางด้านรูปทรงดอก ขนาดดอก ลักษณะการเจริญเติบโต ตลอดจนการต้านทานต่อโรคและแมลง ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกดาวเรือง ประมาณ 4,000 ไร่ มีแหล่งปลูกที่สำคัญคือ จังหวัดพะเยา ลำปาง นนทบุรี กรุงเทพฯ ราชบุรี สมุทรสาคร สุพรรณบุรี และอุดรธานี

ดาวเรืองที่ปลูกกันอยู่โดยทั่วไป แบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ

ดาวเรืองอเมริกัน (American Marigolds) เป็นดาวเรืองที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปอเมริกา ลำต้นสูง ตั้งแต่ 10-40 นิ้ว ดอกสีเหลือง ส้ม ทอง และขาว กลีบดอกซ้อนกันแน่น ดอกมีขนาดใหญ่ ประมาณ 3-4 นิ้ว ดาวเรืองชนิดนี้มีหลายพันธุ์ ได้แก่

พันธุ์เตี้ย สูงประมาณ 10-14 นิ้ว ได้แก่ พันธุ์ปาปาย่า (papaya) ไพน์แอปเปิล (pineaple) ปัมพ์กิน (Pumpkin) เป็นต้น

พันธุ์สูงปานกลาง สูงประมาณ 14-16 นิ้ว ได้แก่ พันธุ์อะพอลโล (Apollo) ไวกิ้ง (Ziking) มูนช็อต (Moonshot) เป็นต้นพันธุ์สูง สูงประมาณ 16-36 นิ้ว ได้แก่ พันธุ์ดับเบิล อีเกิล ดับบลูน ซอเวอเรน เป็นต้น

ดาวเรืองฝรั่งเศส เป็นดาวเรืองต้นเล็ก ต้นเป็นพุ่มเตี้ยๆ สูงประมาณ 6-12 นิ้ว ดอกสีเหลือง ส้ม ทอง น้ำตาลอมแดง และสีแดง ดอกมีขนาดเล็ก ประมาณ 1.5 นิ้ว นิยมปลูกประดับในแปลงมากกว่าปลูกเพื่อตัดดอก เนื่องจากมีก้านดอกสั้น นอกจากนี้ ยังเป็นดาวเรืองที่สามารถลดปริมาณไส้เดือนฝอยที่ทำให้เกิดอาการรากปมในรากพืชได้ ตัวอย่าง ดาวเรืองฝรั่งเศส ได้แก่

พันธุ์ดอกชั้นเดียว ดอกมีขนาด 1.5-2 นิ้ว ได้แก่ พันธุ์เรด มาเรตต้า, น็อธตี้ มาเรตต้า, เอสปานา, ลีโอปาร์ด เป็นต้น

พันธุ์ดอกซ้อน ดอกมีขนาดตั้งแต่ 1.5-3 นิ้ว ได้แก่ พันธุ์ควีน โซเฟีย, สการ์เลต โซเฟีย, โกลเด้น เกต เป็นต้น

ดาวเรืองพันธุ์ลูกผสม เป็นดาวเรืองลูกผสมระหว่างดาวเรืองอเมริกันและดาวเรืองฝรั่งเศส โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำลักษณะความแข็งแรง ดอกใหญ่ และมีกลีบซ้อนมากของดาวเรืองอเมริกัน รวมเข้ากับลักษณะต้นเตี้ยทรงพุ่มกะทัดรัดของดาวเรืองฝรั่งเศส ดาวเรืองลูกผสมให้ดอกเร็วมาก คือเพียง 5 สัปดาห์ หลังจากเพาะเมล็ด ดอกมีขนาด 2-3 นิ้ว ดอกดก และอยู่กับต้นได้ดี ดาวเรืองชนิดนี้มีข้อเสียก็คือ เมล็ดจะลีบ ไม่สามารถนำมาเพาะให้เป็นต้นใหม่ได้ จึงเรียกว่า ดาวเรืองล่อ เช่นเดียวกับการผสมม้ากับลา มีลูกออกมาเรียกว่า ล่อ ซึ่งเป็นหมัน จึงทำให้เมล็ดมีราคาแพงมาก และการปลูกดาวเรืองด้วยเมล็ดชนิดนี้ จึงควรใช้เมล็ดเป็นปริมาณ 2 เท่า ของจำนวนที่ต้องการ เนื่องจากเมล็ดมีเปอร์เซ็นต์ความงอกต่ำ ดาวเรืองลูกผสมที่นิยมปลูกมีอยู่หลายพันธุ์คือ พันธุ์นักเก็ต ไฟร์เวิร์ก, เรด เซเว่น สตาร์ และโชว์โบ๊ต

วิธีการขยายพันธุ์

ทำได้โดยการใช้เมล็ดและการปักชำ แต่วิธีที่นิยมทำคือ การใช้เมล็ด เพราะได้จำนวนมากกว่า โดยนำเมล็ดดาวเรืองมาเพาะในกระบะเพาะ ซึ่งมีวัสดุเพาะ คือ ขุยมะพร้าว ทราย ขี้เถ้าแกลบ ปุ๋ยคอก ในอัตราส่วน 1:1:1:1 หรือแปลงเพาะที่มีดินร่วนซุยค่อนข้างละเอียด คราดดินให้ผิวดินเรียบสม่ำเสมอ ทำร่องบนกระบะเพาะหรือแปลงเพาะให้ลึก ประมาณ 0.5 เซนติเมตร กว้าง 1 เซนติเมตร แต่ละร่องห่างกัน 5 เซนติเมตร หยอดเมล็ดลงร่องห่างกัน 1-2 นิ้ว แล้วกลบแต่ละร่องด้วยวัสดุเพาะ หรือดินละเอียดเพียงบางๆ รดน้ำด้วยฝักบัวฝอยให้ชุ่ม แล้วคลุมกระบะเพาะด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ หรือคลุมแปลงเพาะด้วยฟางหรือหญ้าแห้ง ควรรดน้ำวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น เพื่อรักษาความชื้น เมล็ดดาวเรืองจะงอกภายใน 3-5 วัน เป็นต้นกล้า

วิธีการปลูก

ไถเตรียมดิน หว่านปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักลงไป ประมาณ 1 ตัน ต่อไร่ ยกร่องแปลงปลูก กว้าง 1 เมตร รดน้ำแปลงไว้ล่วงหน้า 1 วัน ขุดหลุมกว้าง 15 เซนติเมตร แปลงละ 3 แถว ระยะระหว่างแถว 30 เซนติเมตร ระยะระหว่างต้น 30 เซนติเมตร ใส่ปุ๋ยทริปเปิ้ลซุปเปอร์ฟอสเฟต หรือสูตร 15-15-15 ประมาณ 1 ช้อนชา รองก้นหลุม แล้วเกลี่ยดินข้างหลุมมากลบปุ๋ยเล็กน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้รากดาวเรืองสัมผัสปุ๋ยโดยตรง นำต้นกล้าที่มีอายุ 7-10 วัน (นับจากวันเพาะเมล็ด) โดยแยกต้นกล้าให้มีวัสดุเพาะ หรือดินหุ้มติดรากมาด้วย เพื่อป้องกันรากกระทบกระเทือน นำมาปลูกในแต่ละหลุมที่เตรียมไว้ รดน้ำให้ชุ่ม หลังจากนั้น ต้องรดน้ำเช้า-เย็น ประมาณ 7 วัน ซึ่งต้นกล้าจะตั้งตัวได้ดี แล้วจึงรดน้ำเพียงวันละ 1 ครั้ง ในตอนเช้า ในช่วงที่ดอกดาวเรืองเริ่มบาน ไม่ควรรดน้ำให้โดนดอก เพื่อป้องกันดอกเป็นโรค เมื่อดาวเรืองอายุ 15 วัน และ 25 วัน ควรใส่ปุ๋ย 15-15-15 ในอัตรา 1 ช้อน : ต้น เมื่ออายุ 35 วัน และ 45 วัน ใส่ปุ๋ยสูตร 12-24-12 ในอัตราเดียวกัน โดยวิธีฝังลงในดินตื้นๆ ห่างโคนต้น 6 นิ้ว แล้วรดน้ำให้ชุ่มทุกครั้งที่ใส่ปุ๋ย ช่วงดาวเรืองอายุ 21-25 วัน ซึ่งเป็นระยะที่ต้นมีใบจริงขนาดใหญ่ ประมาณ 4 คู่ และส่วนยอดมีใบเล็กๆ 1-2 คู่ จะต้องปลิดยอดทิ้ง เพื่อให้แตกกิ่งข้าง โดยใช้มือซ้ายจับคู่ใบบนสุดที่จะเหลือไว้ แล้วใช้มือขวาดึงส่วนยอดลงทางด้านข้างจนหลุดออกมา หลังจากนั้น 5-7 วัน ตาข้างจะเริ่มแตกและเจริญเป็นกิ่งใหม่ ซึ่งจะติดตุ่มดอกทั้งที่ตายอดปลายกิ่งและตาข้าง หลังจากปลูก 40-45 วัน ในแต่ละกิ่ง เมื่อดอกยอดมีขนาดเท่าเมล็ดข้าวโพด ดอกข้างมีขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียว ต้องรีบปลิดดอกข้างออกให้หมดภายใน 2-3 วัน คงเหลือดอกยอดไว้ดอกเดียว เพื่อให้ดอกมีขนาดใหญ่ หลังจากนั้น ประมาณ 20 วัน (อายุ 60-65 วัน) ก็ตัดดอกไปจำหน่ายได้ ซึ่งจะได้ประมาณ 10-12 ดอก ต่อต้น

หลังจากย้ายปลูกลงแปลงครบ 10 วัน หรือสังเกตจากดาวเรืองมีใบจริง จำนวน 3 คู่ ให้เด็ดยอดดาวเรืองออก เพื่อให้เกิดการแตกของกิ่งข้างของดาวเรือง โดยวิธีการเด็ดยอดคือ ใช้นิ้วชี้และนิ้วโป้งจับตรงโคนของยอดดาวเรือง ยอดบนสุด แล้วเด็ดยอดออก พยายามเด็ดยอดให้ชิดโคนยอดและให้ยอดหลุด อย่าให้เกิดบาดแผลจากการเด็ดยอด (การเด็ดยอดดาวเรือง ควรเด็ดยอดในช่วงเช้า เนื่องจากดาวเรืองจะอวบน้ำอยู่ และหลังจากเด็ดยอดควรพ่นยาป้องกันกำจัดเชื้อรากลุ่มไดเทน) หลังจากเด็ดยอดแล้ว ให้ใส่ปุ๋ย สูตร 15-0-0 อัตรา 2 กรัม (1 ช้อนชา) ต่อต้น โดยหว่านปุ๋ยรอบโคนต้น ห่างจากโคนต้นประมาณ 20 เซนติเมตร (หนึ่งฝามือ) พร้อมกับพูนโคนและกำจัดวัชพืช (ในช่วงนี้หากเป็นฤดูฝนให้เริ่มทำค้างสำหรับป้องกันต้นดาวเรืองล้ม เพราะหากทำค้างดาวเรืองเกินไปจากช่วงนี้ รากของดาวเรืองจะเจริญเติบโตมาก จะทำให้การทำไม้หลักปักค้างดาวเรืองโดนใส่รากดาวเรือง หลังจากย้ายปลูก 35-40 วัน (เริ่มเห็นตุ่มดอก) ให้ใส่ปุ๋ย สูตร 15-0-0 อัตรา 2 กรัม (1 ช้อนชา) ต่อต้น ร่วมกับปุ๋ยสูตร 0-0-60 อัตรา 1 กรัม (ครึ่งช้อนชา ต่อต้น) โดยหว่านปุ๋ยรอบโคนต้น ห่างจากโคนต้นประมาณ 20 เซนติเมตร (หนึ่งฝามือ) พร้อมกับพูนโคนและกำจัดวัชพืช ในกรณีที่ต้องใช้ปุ๋ย 2 สูตร รวมกัน ให้ผสมก่อนแล้วค่อยใส่ลงในแปลง เช่น ผสมปุ๋ย 15-0-0 อัตรา 1,000 กรัม (1 กิโลกรัม) รวมกับปุ๋ย สูตร 0-0-16 อัตรา 500 กรัม (ครึ่งกิโลกรัม) สามารถนำไปใช้กับต้นดาวเรืองได้ทั้งหมด 500 ต้น ต้นละ 3 กรัม ในกรณีที่ไม่สามารถหาปุ๋ย สูตร 15-0-0 หรือ 0-0-60 ได้ ให้ใช้ปุ๋ย สูตร 15-15-15 หรือ 16-16-16 แทนโดยใช้ในอัตรา 3 กรัม (ครึ่งช้อนโต๊ะ) ต่อต้น ทั้ง 2 ระยะ หลังการให้ปุ๋ยจะต้องให้น้ำตามทุกครั้งเสมอ การพ่นปุ๋ยทางใบและอาหารเสริม ช่วงหลังจากย้ายปลูก 35-40 วัน (ช่วงเป็นตุ่มดอก) ให้เริ่มพ่นอาหารเสริมพวกแคลเซียมโบรอน และอาหารเสริมต่างๆ ยกเว้นธาตุอาหารเสริมกลุ่มที่เป็นธาตุเหล็ก (Fe) โดยพ่นทุกๆ 3-4 วัน ก่อนที่ตุ่มดอกจะเริ่มเห็นสีดอก ช่วงหลังจากย้ายปลูกแล้ว ประมาณ 70-75 วัน (เก็บดอกแล้ว ประมาณ 3-4 มีด) ให้พ่นปุ๋ยทางใบ สูตร 2:2:3 (N:P:K) เช่น ปุ๋ยทางใบ สูตร 20:20:30 โดยพ่นทุก 5-7 วัน ประมาณ 2-3 ครั้ง หลังจากพ่นครั้งแรก การให้น้ำ ดาวเรืองเป็นพืชที่ชอบการให้น้ำในลักษณะให้น้อยๆ แต่บ่อยๆ ครั้ง หรือชอบชื้นแต่ไม่ชอบแฉะและน้ำท่วมขัง

ประโยชน์

ดาวเรือง เป็นไม้ดอกที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจมากชนิดหนึ่ง นอกจากจะมีความสำคัญทางเศรษฐกิจแล้ว ยังสามารถนำไปใช้ประโยชน์ด้านอื่นๆ ได้อีกด้วย การนำดาวเรืองไปใช้ประโยชน์ สรุปได้ดังนี้

ปลูกประดับเพื่อความสวยงาม ดาวเรือง เป็นไม้ดอกที่มีความสวยงาม กลีบดอกสีเหลืองเรียงอัดกันแน่น และมีอายุการใช้งานนาน ดังนั้น จึงเหมาะสำหรับปลูกเพื่อประดับอาคารบ้านเรือนและสถานที่ต่างๆ เพื่อให้เกิดความเพลิดเพลินตา สบายใจ

ปลูกเพื่อใช้ประโยชน์ในการป้องกันแมลง เนื่องจากดาวเรืองเป็นสารที่มีกลิ่นเหม็น (ฉุน) แมลงไม่ชอบ จึงสามารถใช้เป็นเกราะป้องกันแมลงให้แก่พืชอื่นๆ ด้วย นอกจากนี้ รากของดาวเรืองยังมีสารชนิดหนึ่งที่ช่วยลดปริมาณไส้เดือนฝอยในดินได้

ปลูกเพื่อจำหน่าย

ใช้ทำพวงมาลัย ปัจจุบัน นิยมนำดาวเรืองมาร้อยพวงมาลัยกันมาก ไม่ว่าจะเป็นพวงมาลัยไหว้พระ หรือพวงมาลัยสำหรับคล้องคอในงานพิธีต่างๆ การตัดดอกดาวเรือง สำหรับใช้ประโยชน์ในด้านนี้จะต้องให้มีก้านดอกสั้น หรือเหลือเฉพาะดอก

ใช้ปักแจกัน เนื่องจากดาวเรือง เป็นไม้ดอกที่มีลักษณะกลมเรียงตัวกันแน่นเป็นระเบียบและมีสีสันสวยงาม จึงมีคนนิยมนำมาปักแจกันมาก ไม่ว่าจะเป็นแจกันตั้งตามโต๊ะรับแขก ตามหิ้งพระ หรือแจกันประกอบโต๊ะหมู่บูชา การตัดดอกดาวเรืองเพื่อนำมาปักแจกันนี้ควรตัดให้มีก้านดอกยาว ประมาณ 18-20 นิ้ว มัดดอกดาวเรืองเป็นกำๆ แล้วใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ห่อเพื่อให้ดอกดาวเรืองคงความสดอยู่ได้นานๆ

การปลูกลงกระถางหรือถุง เพื่อประดับอาคารสถานที่ ปัจจุบัน มีการนำกระถางหรือถุงดาวเรืองมาประดับอาคารสถานที่กันมากขึ้น เพราะสามารถใช้ประดับไว้เป็นเวลานาน ไม่ว่าจะเป็นงานพิธีต่างๆ เช่น งานนิทรรศการ งานพระราชทานปริญญาบัตร หรือแม้แต่งานพิธีตามอาคารบ้านเรือน การปลูกดาวเรืองเพื่อใช้ประโยชน์ ในด้านนี้ก็เหมือนกับการปลูกดาวเรือง โดยทั่วไป เพียงแต่เป็นการปลูกลงในกระถางหรือถุง แทนที่จะปลูกลงในแปลงดอก ดาวเรืองเริ่มบานก็นำไปใช้ประโยชน์หรือ จำหน่ายได้

จำหน่ายให้กับโรงงานผลิตอาหารสัตว์ เนื่องจากดาวเรืองเป็นพืชที่มีสารแซธโธฟีลสูง เมื่อตากให้แห้งจะสามารถนำไปเป็นส่วนผสมอาหารสัตว์ได้ดี โดยเฉพาะอาหารของไก่ไข่ จะทำให้ไข่แดงมีสีแดงสดใสน่ากินยิ่งขึ้น โดยเฉพาะพันธุ์ที่มีดอกสีส้มแดง

คุณชวิศ ได้ให้ข้อมูลการปลูกดาวเรืองว่า หลังจากที่ทราบแหล่งรับซื้อแล้ว จึงตัดสินใจกลับมาบ้านที่เกษตรสุข ตำบลแม่กา อำเภอเมืองพะเยา ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมาพื้นที่การเกษตรของแม่ประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำ ข้าวที่ปลูกไม่ได้ผลเท่าที่ควร จึงตัดสินใจพลิกผืนนาปลูกดาวเรืองแทน จำนวน 5 ไร่ ดาวเรืองสามารถเจริญเติบโตได้ดีทั้งในสภาพอากาศหนาวและร้อน แล้วแต่สายพันธุ์ หลังจากเพาะกล้าได้ 15 วัน ก็นำลงปลูกในแปลงใส่ปุ๋ยอินทรีย์ของคุณลุงที่ผลิตขายลงผสมในแปลงปลูก การให้น้ำใช้ระบบน้ำหยด ซึ่งสามารถใช้น้ำได้ประหยัด จนอายุครบ 45 วัน ก็สามารถเก็บผลผลิตขายได้ทุกวัน ราคาเริ่มที่ 30 สตางค์ ถึง 1 บาท ต่อดอก ต้นทุนค่าเมล็ดพันธุ์ ค่าแรงงาน ค่าปุ๋ย ค่าน้ำ ค่าไฟ ราวๆ 60,000 บาท ต่อไร่ สามารถเก็บดอกขายได้เฉลี่ย ไร่ละ 100,000 บาท กำไร ต่อไร่ ประมาณ 40,000 บาท สร้างรายได้รวมระยะเวลาตลอดอายุของต้นดาวเรือง 4 เดือน จำนวน 200,000 บาท

เมื่อเปรียบเทียบกับการทำนาแล้ว ถือว่าสร้างรายได้งดงามหลายเท่าตัว สำหรับตลาด ทางคุณชวิศ ส่งขายที่ปากคลองตลาด โดยตัดดอกช่วงเช้า บ่ายคัดเกรดบรรจุกล่อง ฝากส่งทางรถขนส่งไปที่ปากคลองตลาด และจังหวัดใกล้เคียง โดยปัจจุบันผลผลิตยังไม่เพียงพอกับความต้องการ ปัญหาการปลูกดอกดาวเรือง คือในช่วงที่ดาวเรืองออกดอก หากประสบกับฝนตกและลมแรง จะทำให้ดอกหักเสียหาย เน่า ขายไม่ได้ ระยะต่อไปจะปรับไปปลูกในโรงเรือนเพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว และจะปลูกในระบบอินทรีย์ งดการใช้สารเคมี เพื่อความปลอดภัยของคนปลูกและผู้ที่นำดอกดาวเรืองไปใช้ประโยชน์

ผู้ที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติม สอบถามได้ตามที่อยู่ หรือ โทร. (089) 266-2499

สับปะรดสี ปลูกแบบเรียนรู้เข้าใจ เป็นอาชีพสร้างรายได้ ของ ณัฏฐิกา กฤดิกุล ที่ชลบุรี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05032010359&srcday=2016-03-01&search=no

วันที่ 01 มีนาคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 618

ไม้ดอกไม้ประดับ

สุรเดช สดคมขำ

สับปะรดสี ปลูกแบบเรียนรู้เข้าใจ เป็นอาชีพสร้างรายได้ ของ ณัฏฐิกา กฤดิกุล ที่ชลบุรี

สับปะรดสี (Bromeliad) เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ที่มีถิ่นกำเนิดแถวทวีปอเมริกาเกือบทั้งหมด สามารถเจริญเติบโตได้ในป่าดงดิบชื้น จนถึงสภาพแวดล้อมที่แห้งแล้งทะเลทราย สับปะรดสีมีรูปร่าง ขนาด และสีสันสวยงาม จึงเป็นที่สะดุดตาของผู้ชื่นชอบ

ลักษณะของใบ มีหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่ใบกว้างจนถึงใบแคบคล้ายใบหญ้า รูปทรงของใบมีทั้งขอบใบเรียบ ขอบใบหยัก และขอบใบเป็นหนาม ใบจะทับกันแน่นโดยรอบฐาน ทำให้ส่วนยอดของสับปะรดสีดูคล้ายมีอ่างน้ำอยู่ตรงกลางยอด น้ำที่ขังอยู่บนยอดจะช่วยกักเก็บน้ำไว้ให้ใช้ในช่วงอากาศแห้ง

รากของสับปะรดสี เป็นระบบรากฝอย ที่ทำหน้าที่ดูดอาหาร ความชื้น และยึดเกาะ ซึ่งรากแต่ละสายพันธุ์จะมีความแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับชนิดของสายพันธุ์นั้นๆ บางสายพันธุ์ก็เป็นระบบรากอากาศ

สับปะรดสีนับว่าเป็นไม้ประดับที่มีความสวยงาม นิยมนำมาจัดสวน เพราะสามารถอยู่ได้นาน 8-10 วัน โดยไม่ต้องรดน้ำ นอกจากนี้ บางสายพันธุ์สามารถอยู่กลางแดดได้ 100 เปอร์เซ็นต์ บางสายพันธุ์อยู่ที่ร่มรำไร ทำให้นักจัดสวนสามารถเลือกสับปะรดสีได้หลากหลายในการจัดสวน เพื่อแสดงผลงานออกมาได้อย่างลงตัว

จากความสวยงามของใบ สีสัน และความอดทนที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ทำให้ คุณณัฏฐิกา กฤดิกุล อยู่บ้านเลขที่ 734 หมู่ที่ 4 ตำบลสุรศักดิ์ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ทำการปลูกเลี้ยงสับปะรดสีด้วยใจรัก จนสับปะรดสีเป็นงานสร้างรายได้ให้กับเธอ

นักจัดสวน ผู้ชื่นชอบสับปะรดสี

คุณณัฏฐิกา เล่าให้ฟังว่า เริ่มแรกเดิมทีมีอาชีพรับจัดสวน ต่อมาได้สัมผัสกับสับปะรดสีที่นำมาจัดสวน จึงเกิดความชอบ และหลงใหล

“งานที่ทำหลักๆ ก็รับจัดสวน ช่วงที่เรารับจัด มันก็จะมีสับปะรดสีมาด้วย เอามาจัด ไม้ที่เหลือจากจัดสวน ก็จะเป็นพวกสับปะรดสี เราก็เอามาเก็บไว้ดูแลที่บ้าน พอดูๆ ไปก็เหมือนว่า ต้นพวกนี้มันทนดี สวยด้วย ไม่ต้องดูแลอะไรมาก มันก็ยังสวยอยู่แบบนั้น ก็เลยชอบอยากปลูกเลี้ยงดู” คุณณัฏฐิกา เล่าถึงความเป็นมาของการเริ่มปลูกเลี้ยง

เมื่อเห็นถึงความพิเศษ เธอจึงค่อยๆ ปลูกเลี้ยง จึงเกิดใจรักที่อยากจะทำเป็นอาชีพ เพราะสับปะรดสีเป็นพรรณไม้ที่มีความอดทน เรียกง่ายๆ ว่า ถึงไม่รดน้ำทุกวัน ก็ยังมีความสวยคงทนอยู่ได้นาน

พอปี 2555 คุณณัฏฐิกา บอกว่า จำนวนของสับปะรดสีที่สะสมเริ่มมีจำนวนมากขึ้น เธอจึงทำเป็นสวนอย่างเต็มตัว หาซื้อพันธุ์จากต่างประเทศ และแหล่งอื่นๆ ภายในประเทศมาไว้ภายในสวนอีกด้วย เมื่อผ่านมาได้ 3 ปี จึงเริ่มออกทดลองจำหน่ายตามงานต่างๆ

ปลูกให้สวย สีสด ไม่ยากอย่างที่คิด

คุณณัฏฐิกา บอกว่า การปลูกสับปะรดสี วัสดุที่ดีควรเป็นมะพร้าวสับเพียงอย่างเดียว ไม่มีวัสดุอย่างอื่นปน

“โดยปกติสับปะรดสี ถ้าจะให้ดีต้องปลูกในมะพร้าวสับ ดินนี่แทบจะไม่ได้ใช้เลย ส่วนการขยายพันธุ์ก็อาศัยการแตกหน่อ โดยเราต้องดูหน่อที่สมบูรณ์ อย่าให้มันเล็กเกินไป เกิดเราตัดออกมาจากต้นแม่เลย เดี๋ยวมันจะตาย ทางที่ดีควรให้มีรากด้วยจะดีมาก” คุณณัฏฐิกา อธิบายถึงการเตรียมหน่อเพื่อนำมาปลูก

เมื่อได้หน่อสับปะรดสีที่แตกออกจากต้นแม่ เลือกหน่อที่มีขนาดเหมาะสม จากนั้นนำมาปลูกลงในวัสดุปลูกจำพวกมะพร้าวสับ ที่สามารถหาซื้อได้ทั่วไปตามท้องตลาด โดยแช่น้ำประมาณ 1 วัน ก็สามารถนำมาปลูกสับปะรดสีได้

อัดมะพร้าวสับลงในกระถาง ซึ่งขนาดของกระถางมีความแตกต่างกัน โดยดูขนาดของสับปะรดสีแต่ละสายพันธุ์ที่นำมาปลูก ถ้ามีขนาดที่ใหญ่ก็ต้องใช้กระถางไซซ์ ขนาด 6 นิ้ว ขึ้นไป เมื่อปลูกเสร็จแล้วนำมาวางในพื้นที่ที่มีแสงรำไร

การรดน้ำ เนื่องจากสับปะรดสีเป็นไม้ที่สามารถเก็บน้ำไว้ที่ยอดได้ เวลารดน้ำต้องรดตรงบริเวณยอด ที่สวนของคุณณัฏฐิกา จะรดน้ำ 2 ครั้ง ต่อสัปดาห์

“น้ำที่รด เราจะสังเกตน้ำที่ยอด ถ้ายังมีน้ำค้างอยู่ที่ยอด เราก็ยังไม่ต้องรด สับปะรดสีจะต่างจากไม้อื่น ไม้อื่นเวลารดน้ำต้องรดที่โคน แต่สับปะรดสีนี่ เราจะรดน้ำที่ยอด เพราะยอดเขาจะเก็บน้ำไว้เอง ยอดก็เปรียบเสมือนถังเก็บน้ำ น้ำที่เรารดที่ยอดเดี๋ยวก็ซึมลงไปเอง ไม่ต้องทำอะไรมาก” คุณณัฏฐิกา อธิบาย

การใส่ปุ๋ย ที่สวนของคุณณัฏฐิกา ไม่เน้นการใส่ปุ๋ยมากนัก เพราะจะทำให้ทรงต้นของสับปะรดสีเสียรูปทรง แต่จะเน้นใส่ปุ๋ยออสโมโค้ท (ปุ๋ยละลายช้า) สูตรเสมอ กับสับปะรดสีที่มีดอก ใส่ทุก 3 เดือน

การป้องกันโรคและแมลง สิ่งที่เป็นปัญหามากที่สุดของคุณณัฏฐิกา คือ ตั๊กแตน เธอป้องกันด้วยการพ่นยา 1 ครั้ง ต่อเดือน ส่วนช่วงฤดูฝนจะมีเชื้อราที่ต้องระวัง ป้องกันเชื้อราด้วยการไม่รดน้ำบ่อย แต่สำหรับใครที่ปลูกเลี้ยงที่บ้านในจำนวนไม่มาก คุณณัฏฐิกา บอกว่า ปัญหาพวกนี้จะไม่ค่อยเกิด

หลังจากปลูกใช้เวลาดูแลประมาณ 7 เดือน ถึง 1 ปี ก็สามารถจำหน่ายได้ ซึ่งสับปะรดสีสำหรับพร้อมจำหน่ายใช้เวลาดูแลที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์

ความนิยม มีหลากหลายสายพันธุ์

สับปะรดสีมีมากมายหลายสายพันธุ์ บางพันธุ์มีทั้งโตเร็วและโตช้า หลังจากแยกจากต้นแม่แล้ว นำมาปลูกลงกระถาง เลี้ยงดูประมาณ 4 เดือน ก็สามารถจำหน่ายได้ ซึ่งความชอบและนิยมของผู้ซื้อมีความแตกต่างกันออกไป

“การเติบโตนี่แล้วแต่สายพันธุ์ บางพันธุ์หลังปลูกก็จำหน่ายได้เลย บางพันธุ์ก็เป็นปี ไม้ที่เราขายก็ขายทั้งไม้เล็กและไม้ใหญ่ กลุ่มลูกค้าเรามีหลายแบบ บางคนก็ชอบเลี้ยงแบบเล็กๆ บางคนก็ชอบแบบใหญ่เลยสวยเลย ก็แล้วแต่คนชอบ” คุณณัฏฐิกา กล่าว

การจำหน่ายสับปะรดสีในช่วงแรก คุณณัฏฐิกา บอกว่า มีอุปสรรค เพราะไม้ที่สวนของเธอยังไม่เป็นที่รู้จักของผู้ซื้อมากนัก เพราะด้วยเป็นแม่ค้ารายใหม่

“ช่วงแรกๆ ก็ขายยาก พอเราออกงานบ่อยๆ คนก็เริ่มรู้จัก อีกอย่างเรามีไม้ของเราเอง ปลูกเองขายเอง ไม่ได้รับจากที่อื่นมาขาย ไม้เราเน้นคุณภาพ สีสันสด ดูสวย ทรงต้นได้ ก็จะเป็นที่ต้องการของลูกค้า ตลาดก็เลยไม่เป็นอุปสรรค ขอแค่สิ่งที่เราทำมีคุณภาพ” คุณณัฏฐิกา เล่าถึงเคล็ดลับการทำตลาด

ความนิยมของลูกค้าส่วนใหญ่จะเน้นสับปะรดสีสายพันธุ์นีโอ ที่มีสีสันสวยสด สามารถนำไปจัดสวนได้ ส่วนสับปะรดสีที่มีดอกยังถือว่าเป็นที่นิยม เพราะดอกสามารถอยู่ได้เป็นเดือน เมื่อนำไปตกแต่งภายในอาคาร เช่น สถานที่จัดงานต่างๆ โรงแรม เป็นต้น

ราคาสับปะรดสีที่สวนของคุณณัฏฐิกา มีราคาจำหน่ายแตกต่างกันออกไป ราคาต่ำสุดอยู่ที่ 10-20 บาท ส่วนราคาสูงสุด ตั้งแต่ 1,000 บาท ขึ้นไป ซึ่งราคาที่ถูกหรือแพงขึ้นอยู่กับสายพันธุ์

“ราคานี่อยู่ที่ความชอบ ที่สวนเรามีทั้งหลักพัน และก็หมื่นนิดๆ มันอยู่ที่สายพันธุ์ว่าเป็นไม้สะสมไหม ถ้าเป็นพันธุ์ที่หายาก มีจำนวนน้อยมันก็จะแพง ส่วนที่ราคาไม่แพงมันอยู่ที่เราทำจำนวนได้มาก มันก็เป็นไปตามกลไกตลาด ไม้ที่สวนเรายังเป็นที่ต้องการ อาจจะเพราะเรามีแต่สับปะรดสี เรียกว่าครบทุกตระกูล ไม่ว่าใครอยากได้อะไร มาติดต่อที่เรา เรามีให้เขาเลือกซื้อได้ ที่เรามีก็อาจจะด้วยเพราะเราชอบ สายพันธุ์ไหนที่ไม่มีในสวน เราก็หาซื้อเข้ามา สะสมไว้ ให้มีความหลากหลาย” คุณณัฏฐิกา กล่าว

สับปะรดสีที่บ้านไม่สวย

อาจยังปลูกแบบไม่เข้าใจนิสัยที่แท้จริง

สับปะรดสีของใครที่ปลูกอยู่ที่บ้าน ต้นไม่สวย สีสันไม่สดเหมือนครั้งแรกตอนซื้อมา และสำหรับผู้ที่ชื่นชอบอยากปลูกเลี้ยงเป็นอาชีพ คุณณัฏฐิกา แนะนำว่า

“คนที่ปลูกที่บ้านแล้วไม่สวย สีไม่สวย สีไม่สดเพราะอะไร อาจจะเกิดจากการวางผิดที่ หรือบางทีรดน้ำเยอะไป ส่วนสับปะรดสีที่โทรมบางทีมันอาจจะหมดอายุ ต้นที่ตายก็จะมีหน่อมาแทนที่ พอเราเห็นต้นแม่โทรมๆ เราก็ใส่ปุ๋ยได้ เพื่อรอต้นลูกที่แทงหน่อออกมา เราก็จะได้ต้นลูกมาเลี้ยงต่อ”

“ส่วนคนที่อยากทำเป็นอาชีพ หลักแรกๆ ที่คนจะทำเป็นอาชีพ อยากให้ดูเรื่องความชอบมากกว่า ถ้าเราชอบมีใจรัก ทำอะไรมันก็ทำได้ดี ประสบผลสำเร็จ อีกอย่างคือความตั้งใจ เพราะพวกนี้ไม่มีอะไรยาก ไม่ต้องดูแลมาก แต่แค่ต้องเข้าใจ ว่าเราจะปลูกยังไง สายพันธุ์แบบนี้ควรวางที่ไหน แค่นั้นเองไม่มีอะไรยาก เราก็จะได้เรียนรู้และเกิดความชำนาญเอง เพราะสิ่งที่เรารักมันจะสอนเราเอง” คุณณัฏฐิกา กล่าว

ในบางครั้งคนเราอาจมองเรื่องที่อยากทำว่าเป็นเรื่องยาก จนเกิดความกลัว ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ลงมือทำ ซึ่งคุณณัฏฐิกา กลับมองว่าทุกอย่างอยู่ที่ใจและความชอบ ขอเพียงใจรักในสิ่งที่อยากทำ ความสำเร็จก็ไม่ไกลเกินความพยายาม

สำหรับท่านใดที่สนใจสับปะรดสีสวยๆ ติดต่อสอบถามที่ คุณณัฏฐิกา กฤดิกุล หมายเลขโทรศัพท์ (081) 983-1755, (086) 374-4811

โกสน เพียงปลูกแบบมีใจรัก ก็สำเร็จ สร้างรายได้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05034150259&srcday=2016-02-15&search=no

วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 617

ไม้ดอกไม้ประดับ

สุรเดช สดคมขำ

โกสน เพียงปลูกแบบมีใจรัก ก็สำเร็จ สร้างรายได้

โกสน (Croton) เป็นไม้ประดับชนิดหนึ่ง ที่มีรูปทรงลักษณะของใบเป็นจุดเด่นคือ มีทรงและสีที่สวยงามแตกต่างไปกับพรรณไม้อื่นๆ จัดเป็นไม้พุ่ม มักนิยมนำมาปลูกในกระถางเพื่อให้มีลักษณะทรงพุ่มเล็กๆ แต่ถ้าหากต้องการให้เป็นทรงพุ่มใหญ่ นำมาปลูกลงดิน ใช้ระยะเวลาหลายปี

ลำต้นของโกสนมีความสูงประมาณ 2-5 เมตร ลำต้นตั้งตรง มีผิวเรียบปนเทา ใบแตกออกจากต้นและปลายกิ่ง ลักษณะรูปร่างของใบมีสีสันและขนาดแตกต่างกันออกไปตามชนิดของสายพันธุ์ ดอกออกเป็นพวงห้อยลงมาด้านล่าง เมื่อดอกบานเต็มที่จะเห็นเกสรตัวผู้เป็นเส้นฝอย ดอกเมื่อบานเป็นรูปทรงกลม

โกสนจึงนับว่าเป็นพรรณไม้ที่มีการผสมเกสรมากที่สุด เพราะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบ จะพยายามหาสายพันธุ์ใหม่ๆ ตลอดเวลา จึงทำให้ผู้ปรับปรุงพันธุ์ต้องช่วยผสมเกสรเพื่อให้ได้มาซึ่งโกสนสายพันธุ์ใหม่ๆ เป็นการตอบสนองต่อความต้องการของผู้ซื้อ

เมื่อมีการผสมพันธุ์โกสนมากขึ้น จำนวนของลูกผสมเหล่านั้นก็แสดงลักษณะเด่นออกมา จึงทำให้มีการตั้งชื่อให้มีความไพเราะ ตามความต้องการของผู้ผสมพันธุ์ ซึ่งการตั้งชื่อของพันธุ์ใหม่ๆ มีสมาคมรับจดทะเบียน

คติด้านความเชื่อ โกสนจัดเป็นไม้มงคล ที่มีความเชื่อกันว่า ชื่อมีความพ้องกับคำว่า กุศล คือ การสร้างบุญ คุณงามความดี ช่วยคุ้มครองให้อยู่เย็นเป็นสุข

คนไทยสมัยก่อนจึงเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นโกสนไว้ประจำบ้าน จะทำให้มีบุญบารมี สามารถคุ้มครองให้มีความร่มเย็นเป็นสุข เพราะคนโบราณเชื่อกันว่าเป็นไม้เก่าแก่ ที่ปลูกกันมาครั้งสมัยรัชกาลที่ 5

เคล็ดการปฏิบัติของการปลูกโกสนที่บอกต่อกันมาคือ ต้องลงมือปลูกไม้ชนิดนี้ในวันอังคาร จึงจะช่วยเพิ่มสิริมงคลให้แก่ครอบครัว และควรปลูกไว้ทางทิศตะวันออกของบ้าน เพราะต้นโกสนที่ได้รับแสงแดดยามเช้าอย่างเต็มที่ จะเจริญงอกงามดี

ณ ปัจจุบัน โกสน นับว่ายังเป็นที่นิยมของผู้ที่ชื่นชอบ อาจจะด้วยความสวยของใบและสีสันที่อาจเรียกได้ว่ามีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผู้ที่ปลูกเลี้ยงก็สามารถทดลองผสมพันธุ์ นับวันรอ เพื่อชื่นชมสิ่งที่ผสม จะมีลักษณะอย่างไร เหมือนเช่น คุณบัญญัติ จันทสาร อยู่บ้านเลขที่ 21/2 หมู่ที่ 3 ตำบลศาลากลาง อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี หนึ่งเกษตรกรที่ปลูกโกสนและผสมพันธุ์ ทำให้มีสายพันธุ์ใหม่ เพื่อจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ

พิษเศรษฐกิจ ผันชีวิตสู่เกษตรกร

คุณบัญญัติ เล่าว่า ก่อนที่จะมาปลูกเลี้ยงโกสน เดิมเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง แต่ด้วยสภาวะเศรษฐกิจปี 40 ทำให้ต้องปรับเปลี่ยนการประกอบสัมมาอาชีพ

“เริ่มแรกเดิมที ผมทำงานรับเหมา ตกแต่งต่อเติมทั่วไป พอฟองสบู่แตกช่วงนั้น ที่ผมทำก็เลยต้องล้มเลิกไป ก็มาค้าขายระยะหนึ่ง แต่จริงๆ โกสนนี่ เรียกได้ว่า ผมเห็นตั้งแต่รุ่นปู่ รุ่นตาผม เขาก็ปลูกเลี้ยงกันมานานแล้ว ก็เลยมาทำโกสนควบคู่มากับการค้าขาย” คุณบัญญัติ เล่าถึงจุดเปลี่ยนของชีวิต

เมื่อเริ่มทำโกสน ทดลองปลูกเลี้ยงมาได้ประมาณ 2 ปี คุณบัญญัติ จึงเข้าร่วมกับสมาคมโกสนบางกรวย นนทบุรี ช่วยงานต่างๆ ตลอดจนการจัดงานประกวด

คุณบัญญัติ เล่าว่า สายพันธุ์ที่มีในช่วงเริ่มแรกนั้น เป็นสายพันธุ์ที่ได้มาแต่เดิมจากคุณปู่ด้วยบางส่วน

“สายพันธุ์ของโกสน ส่วนหนึ่งก็เป็นของเดิมที่ได้จากรุ่นก่อนๆ มา ช่วงปี 38 น้ำท่วมเยอะก็หายๆ ไปบ้าง อีกส่วนก็ไปหาซื้อจากคนที่เขาพอมีเหลือจากน้ำท่วม เพื่อเอามาเป็นแม่พันธุ์ เพราะเราต้องผสมใหม่ เพาะพันธุ์ขึ้นมาใหม่ ทุกวันนี้สายพันธุ์เก่าๆ ไม่ค่อยมีแล้วหมด อย่างปี 54 ที่ผ่านมา น้ำมาท่วมอีกครั้ง ก็ทำให้สายพันธุ์เก่าๆ หายไปด้วย เราเลยมีแต่สายพันธุ์ใหม่ๆ ที่ผสมขึ้นมาเรื่อยๆ พัฒนาขึ้นมา” คุณบัญญัติ เล่าถึงความเป็นมาของสายพันธุ์ที่มีภายในสวน

จากการที่ต้องมาปลูกเลี้ยงโกสนอย่างเต็มตัว คุณบัญญัติ บอกว่า ไม่เป็นอุปสรรค เพราะเห็นคุณปู่ปลูกและผสมพันธุ์มาตั้งแต่เขาเป็นเด็ก เรียกง่ายๆ ว่า สิ่งที่กำลังทำในขณะนี้อยู่ในสายเลือดเลยก็ว่าได้

ปลูกโกสนให้สวย มีหลักปฏิบัติอย่างไร

คุณบัญญัติ เล่าว่า ในตอนแรกต้องนำต้นโกสนที่มีพันธุ์ดี มาทำการปลูกให้ต้นสมบูรณ์ เพื่อให้มีดอก พร้อมสำหรับการผสมพันธุ์

“เราคัดพ่อแม่พันธุ์มา เราก็เอามาเลี้ยงให้สมบูรณ์ ทำให้ออกดอก เลี้ยงให้ดี จากนั้นเราก็มาผสมสายพันธุ์ รอจนกว่าจะมีเมล็ด พอได้เมล็ด เราก็เอาไปเพาะเพื่อให้เป็นต้นใหม่ขึ้นมา” คุณบัญญัติ กล่าว

จากเมล็ดที่งอกเจริญเติบโตเป็นต้นที่สมบูรณ์ คุณบัญญัติ บอกว่า ต้องนำมาดูก่อนว่ามีความสมบูรณ์หรือไม่ เพราะโกสนต้องมีการพัฒนาพันธุ์ตลอดเวลา เพื่อให้มีความแปลกใหม่เสมอ

“จุดมุ่งหมายของการพัฒนา ก็เพื่อให้ได้สายพันธุ์ที่แปลกคือ แปลกสี แปลกใบ มีใบที่ใหญ่สวย เพื่อให้สายพันธุ์ใหม่ที่ได้ เด่นกว่าต้นเดิม กว่าจะรู้นี่ก็ต้องรอให้โต มีอายุประมาณ 1 ปี กว่าจะได้แม่พันธุ์ที่นิ่ง” คุณบัญญัติ อธิบาย

เมล็ดที่ผ่านการผสม เมื่องอกแล้วประมาณ 1 สัปดาห์ จะนำมาปลูกลงในวัสดุปลูกจำพวกใบไม้ มะพร้าวสับ และดินดิบ ในอัตราส่วน 1 : 3 : 1 ทำการเลี้ยงดูจนกว่าต้นโกสนนั้นๆ จะแสดงศักยภาพออกมา

เมื่อได้โกสนที่มีลักษณะดี ตรงตามลักษณะที่ต้องการ คุณบัญญัติ จะนำกิ่งพันธุ์ดีเหล่านั้น มาขยายพันธุ์ต่อด้วยการเสียบกิ่ง

“พอเรารู้ว่าต้นไหนดี เราก็คัดเตรียมมาขยายพันธุ์ต่อ ส่วนที่ไม่ต้องการก็คัดออกไป ในวิธีนี้เราจะเสียบกิ่ง คือเอายอดของกิ่งพันธุ์ดีมาเสียบตอของต้นอื่น โดยต้นตออันนี้เราจะใช้ของโกสนที่ชื่อ ขุนช้างถวายฎีกา ต้นตอหาอาหารได้เก่ง เพราะเมื่อยอดพันธุ์ดีมาเสียบแล้ว มันจะติดง่าย” คุณบัญญัติ กล่าว

จากนั้นนำต้นโกสนที่เสียบยอดเสร็จเรียบร้อยแล้ว มาไว้ภายในตู้อบเป็นเวลาประมาณ 18-25 วัน กิ่งพันธุ์ดีจะติดสนิทกับต้นตอ จากนั้นย้ายออกมาไว้ที่ร่มรำไรเพื่ออนุบาลใต้ตาข่ายพรางแสง 70 เปอร์เซ็นต์ ไว้จนกว่าจะแตกยอดใหม่ ใช้เวลาดูแลในช่วงนี้ประมาณ 8 เดือน ถึง 1 ปี แต่ถ้าบางต้นมีความสมบูรณ์ ก็สามารถจำหน่ายได้

การรดน้ำ จะรดทุกวันในช่วงเช้า แต่ก็จะดูตามสภาพอากาศด้วย ถ้าหากเป็นช่วงที่มีฝนตกทุกวัน ที่สวนของคุณบัญญัติจะเว้นช่วงการรดน้ำ

ด้านการป้องกันโรคและแมลง คุณบัญญัติ บอกว่า แมลงที่น่าเป็นห่วงคือ เพลี้ยไฟ ไรแดง จะมีระบาดในช่วงฤดูร้อน ทำการพ่นยาทุก 15 วันครั้ง เพื่อป้องกัน ถ้าหากมีการระบาดมากต้องทำการป้องกัน ฉีดพ่นยาทุก 7 วัน

ลักษณะของโกสนที่มีความนิยมนั้น จะจำแนกตามลักษณะของใบมีด้วยกัน 4 แบบ คือ ใบกลม ใบกลาง ใบยาว และใบตรี คุณบัญญัติ บอกว่า โกสนแต่ละรุ่นก็จะมีใบที่วนเวียนอยู่ใน 4 แบบนี้ แต่ที่แปลกใหม่ขึ้นมาอาจจะเป็นสีสันและความต้านทานโรค

เมืองนอกนิยมปลูกเลี้ยงโกสน เน้นลักษณะใบ

ในไทย เน้นสีสันสวยงาม

คุณบัญญัติ เล่าว่า โกสนที่จำหน่ายให้ลูกค้าจะต้องเน้นที่สายพันธุ์ใหม่ๆ เพราะฉะนั้น ต้องมีไม้ใหม่ๆ เสมอ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการ ตลาดหลักๆ ที่คุณบัญญัติส่งจำหน่ายส่วนใหญ่คือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และแถบยุโรป

“คนที่ซื้อไม่ได้เน้นใบว่าจะเอาแบบไหน แต่จะเน้นว่าขอเป็นไม้ใหม่ๆ สวยๆ อันนี้ในตลาดบ้านเรานะ ส่วนตลาดนอก เช่น มาเลเซีย เอาหมด แต่จะเน้นใบกลมปนกลาง มีสีอะไรส่งขายได้หมด ส่วนฟิลิปปินส์ ไม่จำกัดชื่อพันธุ์ สีอะไรก็ได้ แต่ขอให้เป็นใบกลาง ใบตรี อันนี้คือความนิยมของตลาดนอก ส่วนในบ้านเรา เน้นความสวยงาม สีสัน และขอเป็นไม้ใหม่ๆ” คุณบัญญัติ อธิบายถึงความนิยมของตลาด

ราคาของต้นโกสนที่สวนของคุณบัญญัติ ไซซ์ขนาดประมาณ 6 นิ้ว จำหน่ายอยู่ที่ต้นละ 50-60 บาท ส่วนต้นที่เลี้ยงนานมีขนาดใหญ่ใช้เวลามากกว่า 1 ปี ต้นไซซ์ขนาด 11 นิ้วขึ้นไป จำหน่ายอยู่ที่ราคาตั้งแต่ต้นละ 500 บาท หรือมากกว่านี้

ปลูกไม่โต ต้องทำอย่างไร

สำหรับผู้ที่ปลูกเลี้ยงที่บ้าน ต้นโกสนเจริญเติบโตไม่ดี คุณบัญญัติให้คำแนะนำว่า

“ต้นไม้ทุกชนิด หัวใจหลักก็คือ การรดน้ำ คนที่ปลูกบางทีไม่ค่อยว่าง ก็จะรดเอามืดค่ำ แต่จริงๆ ควรรดก่อน 4 โมงเย็น คือรดได้หมดทั้งแต่เช้าถึง 4 โมงเย็น เพราะเกิดไปรดช่วงเย็นหลังหกโมง มันก็จะตาย เป็นเชื้อราได้ง่าย แล้วก็ให้ปุ๋ยบ้าง จะได้มีอาหารตลอด ต้นก็จะไม่ค่อยโทรม ใส่ทุก 3 เดือนครั้งก็ได้ โกสนเขาก็จะสวยตลอด ตามที่เราต้องการ” คุณบัญญัติ กล่าว

ทิศทางโกสน ยังไปได้ไกล

คุณบัญญัติ บอกว่า ตลาดของโกสนยังถือว่าไปได้เรื่อยๆ เมื่อเทียบกับพรรณไม้อื่น และสำหรับคนที่สนใจอยากทำเป็นอาชีพ ต้องทำด้วยใจรัก

“โกสนผู้เล่นยังไม่มากนัก ราคาก็จึงไม่ตกลงไปมาก ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ราคาก็จะประมาณนี้ เมื่อเทียบกับไม้อื่นๆ ไม้อื่นพอผลิตหรือว่าทำได้มากๆ ราคาก็ไม่นิ่ง ต้นละ 3 บาท 8 บาทก็มี มันก็จะจบเร็ว อีกอย่างโกสนนี่มันเหมือนทำด้วยมือ คนทำก็ยังมีน้อยเมื่อเทียบกับตลาดอย่างอื่น ก็เลยคงทนอยู่นาน ราคานิ่ง”

“สำหรับคนที่อยากปลูกเป็นอาชีพเสริม หรือว่าหลัก ไม่ยากครับ ขั้นแรกเลยเราต้องมีใจให้เขาก่อน เรียกง่ายๆ มีใจรักโกสนก่อน เราจะได้ดูแลเขาได้อย่างดี ถามว่าโกสนดูแลยากไหม ก็ระดับหนึ่ง เขาไม่เหมือนพืชอื่นที่อดน้ำได้นานๆ เรื่องโรคบางทีเราก็ต้องควบคุม อีกอย่างเราต้องมีสายพันธุ์ใหม่ๆ ขึ้นมา เพื่อตอบสนองตลาด ก็ต้องหัดผสม หัดทำดู หัดทดลอง การเรียนรู้ก็จะนำมาซึ่งความสำเร็จเอง” คุณบัญญัติ กล่าวแนะนำ

สำหรับท่านใดที่สนใจ สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณบัญญัติ จันทสาร หมายเลขโทรศัพท์ (087) 691-2460, (085) 169-9363

เหลืองจันทบูร ไม้งาม แห่งภาคตะวันออก ราชินีกล้วยไม้ แห่งจันทบุรี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05026150159&srcday=2016-01-15&search=no

วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 615

ไม้ดอกไม้ประดับ

สุรเดช สดคมขำ

เหลืองจันทบูร ไม้งาม แห่งภาคตะวันออก ราชินีกล้วยไม้ แห่งจันทบุรี

โมงยามของอรุโณทัย ผู้เขียนกำลังมุ่งสู่ภาคตะวันออก รถยนต์แล่นอยู่บนถนนกรุงเทพฯ-ชลบุรี (มอเตอร์เวย์) เพื่อเดินทางไปยังจังหวัดจันทบุรี เมื่อมองภาพบรรยากาศภายนอก เห็นสุริยาทอแสงสีทอง ค่อยๆ พ้นขอบฟ้าเป็นสัญญาของการเริ่มต้นเช้าวันใหม่ รถยนต์หลายๆ คันบนถนนสายนี้ล้วนมีจุดปลายทางที่แตกต่างกัน อาจเรียกได้ว่า การเดินทางก็เหมือนชีวิต ที่ทุกชีวิตคือการก้าวไปให้ถึงจุดหมายที่ตนมุ่งหวังก้าวไป

เมื่อเข้าสู่ อำเภอนายายอาม จังหวัดจันทบุรี สังเกตสองข้างทางของพื้นที่บริเวณนี้ นอกจากจะปลูกไม้ผลแล้ว ยังมีการปลูกสวนยางพารา ตั้งต้นยืนแถวเรียงราย ผ่านเข้ามาภายในสวนยางพาราและไม้ผลต่างๆ ภายในสวนไม้ยืนต้นเหล่านี้ ได้แอบซ่อนโรงเรือนเพาะเลี้ยงกล้วยไม้เหลืองจันทบูรไว้ข้างใน ตั้งอยู่บ้านเลขที่ 97/3 หมู่ที่ 8 ตำบลนายายอาม ซึ่งมี คุณสุเทพ สุขสถิตย์ เป็นเจ้าของ

เหลืองจันทบูร เป็นกล้วยไม้สกุลหวาย พบทั่วไปในป่าแถบจังหวัดจันทบุรี และตราด จะเกาะอยู่ตามต้นไม้ เป็นกล้วยไม้ระบบรากอากาศ เหลืองจันทบูรเป็นกล้วยไม้ที่เจริญเติบโตแบบแตกกอ แต่ละข้อปล้องจะมีตาเพื่อเกิดเป็นหน่อใหม่ จะขยายหน่อออกมาเรื่อยๆ

รูปร่างของใบเป็นรูปหอก ยาวประมาณ 8-10 เซนติเมตร แผ่นใบมีลักษณะบาง เรียงตัวสลับกัน ตลอดทั้งลำต้น

ดอกของกล้วยไม้เหลืองจันทบูรออกเป็นช่อ ช่อละ 3-6 ดอก มีลักษณะเป็นช่อสั้น ดอกมีสีเหลืองสด ดอกกว้างประมาณ 4-6 เซนติเมตร ออกดอกปีละ 1 ครั้ง ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม ดอกบางครั้ง สามารถออกนอกฤดูกาลได้ แต่อาจไม่ดกเหมือนในช่วงฤดูกาล แต่สำหรับผู้ที่หลงใหลในความงามของกล้วยไม้เหลืองจันทบูรแล้ว แม้ดอกออกช้าแต่คุ้มค่ากับสิ่งที่เฝ้าคอย

ชาวสวนผลไม้ ผู้ชื่นชอบกล้วยไม้เหลืองจันทบูร

คุณสุเทพ ชายผู้มีอัธยาศัยดี ใบหน้ามากด้วยรอยยิ้ม เล่าให้ฟังว่า อาชีพหลักที่สร้างรายได้ให้กับครอบครัวคือ ทำสวนผลไม้และยางพารา แต่การปลูกเลี้ยงกล้วยไม้เกิดจากความชอบส่วนตัว ซึ่งมีลูกชาย คือ คุณธเนศ สุขสถิตย์ ที่ชอบเหมือนกันกับเขาช่วยดูแลด้วย

“กล้วยไม้ที่ผมปลูกนี่ เพราะว่าผมชอบ ต่อมาก็ทำเพื่อเข้าประกวด พอทำแล้วประสบผลสำเร็จดี ผมก็เลยมาทำเป็นอาชีพเสริม ส่วนมากที่ทำก็จะพวกหวาย เอื้องสายเสริฐ และก็เหลืองจันทบูร ลูกชายผมก็ชอบและสนใจด้วย คอยช่วยทำอยู่ตลอด” คุณสุเทพ กล่าว

จากการเข้าร่วมงานประกวดกล้วยไม้เหลืองจันทบูรในสมัยก่อน คุณสุเทพ เล่าว่า ได้เห็นถึงความสวยงามที่ชวนหลงใหล ถึงกับคลั่งไคล้มาก จึงหาต้นพันธุ์มาปลูกที่บ้าน ในสมัยก่อนได้รับมาจากรุ่นน้องที่สนิทนำมาปลูกเลี้ยง

ปัจจุบันกล้วยไม้เหลืองจันทบูรมีการพัฒนาพันธุ์และนำมาปรับปรุงพันธุ์ที่ดีขึ้น จึงสามารถหาซื้อได้จากแหล่งจำหน่ายทั่วไป และที่สำคัญได้มีการเพาะพันธุ์เพื่อนำกล้วยไม้เหลืองจันทบูรกลับคืนสู่ป่าดังเดิม ซึ่งทางสวนของคุณสุเทพก็ได้เข้าร่วมในโครงการนี้กับทางชมรมด้วย

ต้นสวย ดอกสวย ปลูกเลี้ยงอย่างไร

คุณสุเทพ เล่าว่า เมื่อได้กล้วยไม้เหลืองจันทบูรมาปลูกเลี้ยงที่บ้านแล้ว ทำการเลี้ยงดูขยายพันธุ์ขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งไม้ที่มีนี้จัดว่าเป็นรุ่นหลาน ซึ่งไม่ใช่พ่อแม่พันธุ์ นำพันธุ์มาผสมกัน จากนั้นนำเมล็ดเพาะในขวดเลี้ยงเนื้อเยื่อ ก็จะได้ต้นที่มีลักษณะที่ดีเพียงไม่กี่ต้น นำต้นจำนวนนั้นมาปลูกเลี้ยงเพื่อเก็บรักษาไว้ จากนั้นหาสายพันธุ์ของต้นอื่นๆ นำมาผสมต่อ เพื่อพัฒนาสายพันธุ์ให้ดียิ่งขึ้น แล้วทำการเพาะแบบนี้จนกว่าจะได้สายพันธุ์ที่สวยตามต้องการ

เมล็ดที่ได้จากการผสม เมื่อได้ระยะที่ใช้ได้ นำส่งเข้าแล็บเพื่อเพาะในขวดเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อต่อไป

เมื่อกล้วยไม้ที่อยู่ในขวดเจริญเติบโตได้ระยะที่กำหนด นำกล้วยไม้ออกจากขวด ล้างทำความสะอาด จากนั้นนำมาปลูกลงในมอสส์

“ไม้ที่ออกจากขวดนี่ไม่ต้องผึ่งครับ เอามอสส์มาพันรากได้เลย แล้วใส่กระถาง 1 นิ้ว เหลืองจันทบูรเป็นไม้ป่า ไม่จำเป็นต้องผึ่ง เดี๋ยวรากจะแห้ง ทำให้ต้นโทรม ทำให้เราปลูกเลี้ยงได้ไม่ดี ต้องระวังเรื่องนี้ให้ดี” คุณสุเทพ อธิบาย

กล้วยไม้เหลืองจันทบูรที่ปลูกด้วยมอสส์ใส่ลงในกระถางขนาด 1 นิ้ว วางใต้ตาข่ายพรางแสงที่ 60 เปอร์เซ็นต์ ไม้ในช่วงนี้ใช้เวลาประมาณ 5-6 เดือน จากนั้นจึงย้ายไปปลูกที่กระถางขนาด 3 นิ้ว ดูแลอีกประมาณ 6 เดือน ก็สามารถขายได้

การรดน้ำ วันเว้นวัน คุณสุเทพ บอกว่า ต้องดูตามสภาพอากาศ เนื่องจากจังหวัดจันทบุรีเป็นพื้นที่เขตฝน ถ้าฝนตกทุกวันอาจไม่จำเป็นต้องรดน้ำบ่อย

การใส่ปุ๋ย ใช้สูตรเสมอ 16-16-16 จำนวน 500 กรัม ต่อน้ำ 200 ลิตร ให้ทุก 7 วัน ถ้าหากหาปุ๋ยสูตร 16-16-16 ไม่ได้ สามารถใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ได้ในอัตราส่วนเท่ากัน นอกจากนี้ ที่สวนของคุณสุเทพ ยังมีการให้อาหารเสริม จำพวกสาหร่ายและธาตุอาหารรองต่างๆ

ด้านการตลาด

คุณสุเทพ เล่าว่า ตลาดที่ส่งจำหน่ายส่วนใหญ่ ณ ปัจจุบัน มีพ่อค้ามารับถึงที่สวนของเขา และมีออกร้านเพื่อจัดแสดงบ้าง ซึ่งเมื่อเทียบกับสมัยก่อนที่เริ่มจำหน่าย คุณสุเทพบอกว่า สบายกว่ามาก เพราะไม่ต้องนำไปขายตามตลาดนัด หรือไปส่งให้กับร้านที่สั่ง

ราคาของกล้วยไม้เหลืองจันทบูรที่ย้ายปลูกในกระถาง 3 นิ้ว พร้อมมีดอกช่อแรก ถ้าหากนำไปออกงานที่จัดแสดง ราคาอยู่ที่ 100-150 บาท แต่ถ้ามารับซื้อถึงที่บ้าน ราคาอยู่ที่กระถางละ 80 บาท

ดอกจะใหญ่ต้องพัฒนาพันธุ์

จากความรักความหลงใหลในกล้วยไม้เหลืองจันทบูร ทำให้ความสำเร็จที่มีของคุณสุเทพ สามารถปรับปรุงพันธุ์ให้มีดอกที่ใหญ่ขึ้น ดอกมีขนาดประมาณ 9 เซนติเมตร โดยคัดพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ที่ดี นำมาผสมเข้าด้วยกันจนได้ดอกที่สวยและใหญ่ ซึ่งแต่เดิมดอกโดยทั่วไปของเหลืองจันทบูรจะมีขนาดประมาณ 4-6 เซนติเมตร เท่านั้น

ความสุขหาได้จากสิ่งที่รัก

เมื่อเอ่ยถามว่ารู้สึกอย่างไรบ้าง กับการที่ได้ปลูกเลี้ยงกล้วยไม้เหลืองจันทบูร และขอให้ช่วยแนะนำสำหรับผู้ที่สนใจในการปลูกเลี้ยงเพื่อสร้างเป็นอาชีพควรทำอย่างไรบ้าง

คุณสุเทพ มีรอยยิ้มบนใบหน้า พร้อมกับตอบคำถามปนเสียงหัวเราะเล็กน้อยว่า “จากสิ่งที่ผมทำ ผมรู้สึกอย่างไร ถ้าในเชิงของผลตอบแทนที่ผมได้รับ พอใจไหม ผมว่าผมพอใจครับ เพราะว่าผมเริ่มจากศูนย์ คือกล้วยไม้ทั้งหมดนี่ เราค่อยๆ เริ่มสะสมทีละนิดละหน่อย ซื้อมาขายไป บางทีก็เอาไปส่งเขา ขายตามตลาด แล้วเอากำไรที่ได้มาทำโรงเรือน ค่อยๆ ขยายไป ค่อยเป็นค่อยไป จนผมมีวันนี้”

“ส่วนคนที่อยากทำ ก็อยากบอกว่า ถ้าทำหวังกำไร คุณจะขาดทุน แต่ถ้าทำด้วยใจรัก ไม่มีวันขาดทุน เพราะว่าเราจะอดทน เพราะพวกนี้มันใช้เวลา ถามว่าคุ้มค่าไหมกับการรอเวลา สำหรับผม ผมว่าคุ้มค่า อันนี้สำหรับผมนะ กำไรได้แน่นอน ถ้าทำด้วยใจรัก โดยไม่ต้องไปตั้งเป้าหมายเรื่องผลตอบแทน ว่าเราจะต้องได้เงินกลับมาเท่านั้นเท่านี้ แต่อยากให้ทำเพราะเกิดจากความสุขของเรา แล้วการผสมเพื่อพัฒนาพันธุ์เราก็จะสุขใจ ทำไปเถอะครับเรารักมัน เดี๋ยวสิ่งที่เราทำมันจะกลับมาหาเราเอง” คุณสุเทพ กล่าวแนะนำ

สำหรับท่านใดที่สนใจกล้วยไม้เหลืองจันทบูร ที่ปลูกด้วยใจรัก เลี้ยงดูแลเอาใจใส่อย่างดี หรือสนใจข้อมูลสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ คุณสุเทพ สุขสถิตย์ หมายเลขโทรศัพท์ (081) 940-2231

พฤกษากับเสียงเพลง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05026010159&srcday=2016-01-01&search=no

วันที่ 01 มกราคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 614

ไม้ดอกไม้ประดับ

มานพ อำรุง

พฤกษากับเสียงเพลง

พฤกษาช่อใหญ่ สวัสดีปีใหม่ แทนใจอำนวยพร

นานาพันธุ์ บุปผา มารายล้อม

บ้างกลิ่นหอม สำรวย ด้วยเกสร

หลากสีสัน หนีพราก จากภมร

มารวมพร มัดห่อ ช่อมาลี

บ้างมีหนามแหลมคม แต่ชมชื่น

ใช่ดอกอื่น คือกุหลาบ ดังอาบสี

ผูกโบน้อย รัดรึง ตรึงฤดี

มอบแทนที่ เป็นสัญญา ภาษาดอกไม้

แทนคำพูด เอื้อนเอ่ย เผยจากจิต

แทนความคิด อวยพร ตอนมอบให้

แทนทุกสิ่ง จริงใจ ในความหมาย

แทนดอกไม้ ทุกดอก บอกความนัย

มวลดอกไม้ มีมาให้ ทั้งหลายนี้

ด้วยไมตรี ทั้งอุทยาน บานสดใส

จะเลือกดอก หรือทั้งช่อ ขอน้อมใจ

รวมช่อใหญ่ มอบด้วย คำอวยพร

บานจากนี้ ตลอดปี เป็นปีใหม่

เลือกตามใจ สอยตามจิต ประภัสสร

ฤๅจะร้อยมาลัย สวมคอ-กร

พร้อมคำกลอน พฤกษา มาสวัสดี

บทกลอนด้วยใจพิสุทธิ์ มอบคารวะบรรณาการสำหรับทุกท่าน เนื่องในศุภดิถีเวียนศุภวารวันปีใหม่ ส่งท้ายปลายปีด้วยมาลีช่อใหญ่หลากสีสัน และนานาพันธุ์ ซึ่งเรียงร้อยด้วยบทกลอนแทนช่อพฤกษา ดังที่พรรณนาไว้

ดอกไม้ทุกดอก เป็นตัวแทนความรู้สึกได้ สื่อความหมายได้ ซึ่งผู้มอบให้กับผู้รับได้โดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ย เพราะเสน่ห์จากพฤติกรรมนี้ เกิดขึ้นในบทบาทของบรรยากาศที่มีความหมายของตัวเอง เป็นบริบทของความรู้สึกที่ไม่ต้องมีภาษาอธิบายประกอบ เนื่องจาก เป็น “ภาษาดอกไม้”

ดอกไม้ สามารถมอบให้ซึ่งกันได้ทุกโอกาส ทุกข์ สุข รัก โศก ยินดี ชื่นชม แม้แต่ดอกไม้ติดปลายกระบอกปืนก็ยังเคยเกิดขึ้น ดอกไม้ผลิบานได้ทุกบรรยากาศ ไม่ว่าผู้ให้ หรือผู้รับ จะเลือกฤดูกาลใดๆ ความหลากหลายแห่งพืชพรรณ ซุกซ่อนเสน่ห์ไว้ทั้งสีสันของรูปลักษณ์ และกลิ่นไอที่เป็นเอกลักษณ์ ตั้งแต่ ราก เปลือกต้น ถึงยอดใบ

ความในใจเผยบอกด้วยดอกไม้ จะเป็นดอกเดี่ยวหรือช่อดอก หรือมัดช่อรวมดอก ก็เป็นตัวแทนบอกความรู้สึกได้ทุกชนิดพันธุ์ เพียงแต่อาจจะบอกความหมายที่ต่างออกไปตามบรรยากาศ และทีท่าทั้งผู้มอบและผู้รับ หากจะย้ำว่าพฤติกรรมภาษาดอกไม้นี้มีมานานเพียงใด หรือปัจจุบัน ทำไมต้องจัดเป็นมัดรวมเป็นช่อ ก็คงจะต้องค้นหาที่มา ศึกษาอ้างอิง แต่เชื่อว่า ผู้รับทุกรายคงจะไม่ต้องการทราบที่มาของการจัดช่อดอกไม้ เพราะว่าการชื่นชม ยินดี และภูมิใจที่เป็นผู้รับดอกไม้นี้ หรือดอกไม้ช่อนี้ก็สุดปลื้มเพียงพอแล้ว

ถ้าหากย้อนรำลึกถึงบรรพบุรุษเรา ที่เกี่ยวข้องกับที่มาของจัดช่อดอกไม้แล้ว มีข้อคิดที่น่าจะเป็นไปได้จากการนำดอกไม้ ใบไม้ มาจัดรวมเพื่อบูชาพระ หรือนำมาประดับตกแต่งสถานที่ต่างๆ ทั่วไป หรือในพิธีกรรม พิธีสำคัญต่างๆ เพื่อให้มีบรรยากาศสดชื่น สวยงาม หรูหรา และตื่นตาด้วยสีสันของพรรณดอกไม้ ซึ่งอบอวลด้วยกลิ่นเกสรแห่งพฤกษา แต่ถ้าจะย้อนถึงประวัติศาสตร์สมัยสุโขทัย มีบันทึกไว้ในหนังสือพระราชพิธีสิบสองเดือน ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระนิพนธ์ไว้ โดยกล่าวถึงนางนพมาศ หรือ ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ได้ตกแต่งโคมลอย พระราชพิธีการลอยพระประทีป ซึ่งได้ตกแต่งด้วยดอกไม้สด ผลไม้แกะสลัก มาตกแต่งโคมลอยให้สวยงามยิ่ง และทำกระทงประดิษฐ์เป็นรูปดอกบัว จึงถือว่าเป็นสตรีท่านแรกที่ริเริ่มนำดอกไม้สดมาใช้ในพิธีการ

ดอกไม้เป็นสื่อแสดงความรู้สึกของผู้ให้ บ่งบอกความนัยแก่ผู้รับ ความมีเสน่ห์ ให้ความหมายอยู่ในตัว หากการจัดดอกไม้นั้นให้เหมาะสมกับโอกาสอันควรแสดงออก การจัดดอกไม้สามารถนำทุกส่วนของต้นไม้ ตั้งแต่ ก้าน กิ่ง ดอก ใบ ลำต้น หน่อ มาจัดแต่งให้สวยงาม ปัจจุบัน นิยมผสมผสานด้วยสิ่งของอื่นๆ มาร่วมจัด เช่น กระดาษ โบว์ ริบบิ้น ผ้า พลาสติกสีสันต่างๆ เป็นองค์ประกอบ

ปัจจุบัน ธุรกิจการจัดดอกไม้มีมากมาย แพร่หลาย ทั้งสถานที่และรูปแบบการบริการ จึงอาศัยทั้งเชิงวิชาการและเชิงธุรกิจ กลายเป็นส่วนหนึ่งของทุกๆ กิจกรรม ฤดูกาล และทุกเทศกาล ตามแต่ประเภทกิจกรรมนั้นๆ เป็นประเภทของการจัดดอกไม้ เช่น ดอกไม้สีโทนร้อน ได้แก่ กลุ่มดอกสีแดง สีส้ม สีแสด สีเหลือง ซึ่งไปผูกสัมพันธ์กับความตื่นเต้นเร้าใจ สนุกสนาน กระฉับกระเฉง แสดงความมีพลัง

ส่วนการจัดดอกไม้สีโทนเย็น เช่น กลุ่มดอกสีน้ำเงิน ม่วง ฟ้า เขียวเหลือง เขียวแก่ ให้บรรยากาศผ่อนคลาย ความสงบเยือกเย็น อ่อนหวาน เลิศหรู คลาสสิก

สำหรับการจัดสีโทนอ่อนเย็นตา เช่น สีขาว ให้ความรู้สึกเรียบร้อย สะอาด มองดูรู้สึกบรรยากาศบริสุทธิ์ ให้เกิดความไว้วางใจ

นอกจากนั้น ยังมีการจัดแบบรวมโทนสี ซึ่งอาจจะต้องมีศิลปะที่จะให้สีสันของแต่ละดอก ส่งเสริม หรือสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน หรือกลมกลืนกันอย่างสมบูรณ์

ยังมีศิลปะรูปลักษณ์ของช่อดอกไม้ ที่จะประดิษฐ์รวมช่อให้เป็นดอกไม้แบบช่อกลม หรือจัดแบบช่อยาวได้อีกตามศาสตร์และศิลป์ของผู้จัด

ไม่ว่าดอกไม้ที่จะมอบให้ใคร จะเป็นดอกเดี่ยว หรือช่อใหญ่ หากแต่จะบอกความหมายจากแต่ละดอกนั้นๆ ให้ความหมายใดๆ จากผู้ให้สู่ความรู้สึกของผู้รับจะตรงกันหรือไม่ ก็ยังมีความหมายในตัวของแต่ละดอกนั้นๆ ตามแต่ที่มาของแต่ละบริบท หรือกรอบแห่งความคิด ทั้งผู้ให้และผู้รับ ดังจะขอกล่าวเป็นข้อสังเกตของความหมายแต่ละดอก ซึ่งเชื่อกันมา

ดอกรัก ดอกไม้สีขาว หรือสีม่วงอ่อน รูปทรงแปลกตาคล้ายมงกุฎ สื่อถึงความรักโดยตรง เป็นสัญลักษณ์แทนสื่อระหว่างชาย-หญิง และร้อยมาลัยบูชาพระ ต้อนรับอาคันตุกะผู้มาเยือน และจัดพานในพิธีมงคล

ดอกปักษาสวรรค์ ดอกไม้รูปทรงแปลก สีสดใส แปลกตาเหมือนนกพันธุ์ Bird of Paradise สื่อความหมายถึงความรื่นรมย์ ยินดี มอบให้แก่กันในโอกาสแสดงความยินดี ปราดเปรียวราวกับนกกำลังจะโผบิน

ดอกกุหลาบ ราชินีแห่งไม้บนบก แทนความรักที่เด็ดเดี่ยว ทรนง แม้จะหนามแหลมคม อาจจะเปรียบดังอุปสรรคขัดขวางความรักที่ต้องฟันฝ่า แต่เมื่อผ่านพ้นได้แล้วก็จะสุขสม หอมกรุ่น รู้สึกภาคภูมิและสดชื่น ดอกกุหลาบมีหลากสี แต่ละสีมีความหมายที่บ่งบอกความรู้สึก

กุหลาบแดง บอกรักแท้ ร้อนแรง บริสุทธิ์ นิยมมอบในวันแห่งความรัก

กุหลาบเหลือง ให้ความรู้สึกห่วงหาอาทร มีมิตรภาพและยินดี อาจจะมีแฝงความผิดหวัง แต่นิยมใช้เยี่ยมผู้ป่วย

กุหลาบขาว บอกถึงความบริสุทธิ์ ซื่อ ใสสะอาด แสดงความรักที่จริงใจ อ่อนน้อมถ่อมตน นิยมมอบให้ผู้ที่สูงศักดิ์กว่า

กุหลาบดำ เป็นการลาจาก เป็นการตาย หรือไปเกิดใหม่

กุหลาบชมพู ให้ความรู้สึกสง่างาม

กุหลาบม่วง เป็นรักแรกพบ

กุหลาบสีส้ม บอกถึงความเสน่หา ความปรารถนา และกระตุ้นเร้า

กุหลาบฟ้า-น้ำเงิน เป็นความลึกลับ

นอกจากนี้ ยังนิยมมอบกุหลาบที่เป็นคู่หลากสี เช่น

กุหลาบขาว-แดง บอกถึงความผูกพัน รวมหนึ่งเดียว

กุหลาบแดง-เหลือง แสดงความยินดี ร่วมมือ

กุหลาบชมพู-ขาว เหมือนจะกล่าวว่า “ผมรักคุณ และจะรักตลอดไป”

สำหรับบางกลุ่มผู้นิยมจำนวนดอกกุหลาบแทนความรู้สึก เช่น ดอกกุหลาบแดง 3 ดอก บอกว่า “ผมรักคุณ” หรือ เพลงกุหลาบแดง ที่ปลูกไว้เก็บดอกถึง 9999 ดอก เพื่อบอกยืนยันความรักที่มั่นคง

ดอกบัว เป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา ในศาสนาพุทธแสดงความบริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ความศรัทธา บรรลุธรรม เปรียบดังดอกบัวซึ่งโผล่พ้นน้ำรับแสงแดด รับลม

ดอกบัวมีสีต่างๆ หลากสี ให้ความหมายแตกต่างออกไปเช่นกัน

ดอกบัวขาว จิตใจสงบ บริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว สดใส

ดอกบัวม่วง เป็นความลึกลับที่ลึกซึ้ง ดังแปดกลีบดอกคือ มรรค 8

ดอกบัวแดง ให้ความหมายถึงความรัก ยินดีต่อผู้อื่น ความเห็นใจ

ดอกบัวชมพู เป็นดอกบัวประเสริฐ เป็นตัวแทนแห่งพุทธธรรม

ดอกบัวน้ำเงิน แทนชัยชนะ ที่จิตและปัญญาเหนือกิเลส

สำหรับ ดอกบัว ตามความหมายในศาสนาฮินดู จะหมายถึงดอกไม้ที่มีความงาม จิตวิญญาณ ความเป็นนิรันดร์ และปราดเปรื่อง หรือเรียนรู้เจริญเรื่อยๆ

ดอกมะลิ เป็นดอกไม้แสดงความบริสุทธิ์ และสูงส่ง สำหรับมอบให้แก่ผู้ควรเคารพบูชา หรือนำไปบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บุคคลที่นับถือเคารพรัก เป็นดอกไม้สัญลักษณ์วันแม่

ดอกเบญจมาศ ดอกไม้สีสันสดใส มีความแข็งแรง ทนทาน นำไปประดับตกแต่ง ประดับรถบุปผชาติ ประดับในงานพิธี บ่งบอกความมั่นคง ถาวร

ดอกคาร์เนชั่น ดอกไม้สีสันคลาสสิก นิยมจัดทำเป็นช่อดอกไม้มือถือ ส่งมอบแทนใจ หรือทำเป็นเข็มกลัดดอกไม้ติดเสื้อ หรือติดหน้าอก

ดอกการ์ดิเนีย บางคนเรียกดอกพุดฝรั่ง เป็นดอกไม้แห่งความโชคดีมีชัย เหมาะสำหรับอวยพรให้ผู้รับประสบโชคดี แสดงความปรารถนาดี

ดอกทานตะวัน แสดงความรู้สึกหยิ่ง ทะนง แข็งกร้าว จึงไม่นิยมมอบให้ใคร

นอกจากนั้น ยังมีดอกไม้อีกมากมายที่มีความหมายที่จะมอบให้แก่กันด้วยความปรารถนาในสิ่งดีๆ ต่อกัน เช่น ดอกเยอร์บีร่า ดอกแกลดิโอลัส ดอกทิวลิป ดอกซ่อนกลิ่น ดอกหน้าวัว ดอกพุดตาน ดอกกาหลง ดอกนางแย้ม ที่กล่าวถึงทั้งหมด สำหรับเลือกมอบเป็นดอกเดี่ยว หรือจัดช่อดอกมัดใหญ่

ดอกไม้สดที่นิยมนำมาใช้จัดช่อดอกไม้ ส่วนใหญ่จะตัดในตอนเช้า แล้วนำมาแช่น้ำให้อิ่มตัว ถ้ามีการขนส่งจะต้องเพิ่มความยืดหยุ่น ถ้านำมามัดรวมกันควรห่อด้วยกระดาษหรือพลาสติกเพื่อนำส่งปลายทาง จึงมีข้อสังเกตว่า ส่วนใหญ่มิใช่ตัดแล้วถึงมือผู้รับทันที จึงต้องมีการจัดการ ที่จะหลีกเลี่ยงความบอบช้ำของกิ่ง ก้าน กลีบดอก ซึ่งสามารถสังเกตได้ หรือจะเลือกที่ดีที่สุด เช่น ก้านจะต้องไม่เน่าเนื่องจากตัดมา หรือแช่น้ำนานจนมีกลิ่นเหม็น ใบไม่ควรจะช้ำ เหี่ยว ยับย่น กระเปาะดอกไม่ควรลีบหรือแห้ง บีบเบาๆ ยังพบว่าแน่น ส่วนสำคัญคือกลีบดอก ต้องไม่ช้ำ เหี่ยว หรือร่วงหล่นเน่าเสีย

การจัดดอกไม้ นิยมใช้วิธี แช่ Floral Foam โดยวางก้อน Foam ลงบนน้ำ ให้น้ำค่อยๆ ซึมผ่านขึ้นมา ไม่ควรกดให้จมน้ำ หรือราดน้ำบนก้อน Foam และควรแช่ Floral Foam อย่างน้อย 2 ชั่วโมง เพื่อให้ดูดซึมน้ำเต็มที่ และให้เกลือที่ผสมไหลออกมา อาจจะแช่ค้างคืนก็ได้ เมื่อถึงเวลาใช้จริง ก็เทน้ำที่มีเกลือออกทิ้งแล้วเติมน้ำใหม่ ควรระวังไม่ให้ก้อน Foam แตกหักขณะเคลื่อนย้าย

เมื่อเอ่ยถึงดอกไม้ หรือช่อดอกไม้ กรณีใดๆ มักจะนึกถึง หรือนำไปเปรียบเทียบกับเหล่าสตรี นารีหญิงงาม กุลสตรีเสน่ห์หญิง ดังบทกลอนที่ว่า

มวลมาลี มีหลากหลาย สายพันธุ์นัก

บานประจักษ์ สีสด งามงดยิ่ง

เปรียบสตรี หอมความดี มีทุกสิ่ง

เสน่ห์หญิง เปรียบได้ ดอกไม้งาม

สอดคล้องกับตอนหนึ่งของบทเพลง “แสงทิวา” ที่ว่า “…เปรียบลัดดากับกุลสตรี แรกสาวพรหมจารี ไร้มลทิน ยังสวยพริ้มเพรา…ฯลฯ”

ในโอกาสปีใหม่นี้ ก็ขอร้อยมาลีเป็นมาลัยช่อใหญ่ ด้วยพฤกษาภาษาดอกไม้ แทนคำอำนวยพร ส่งความสุข ความปรารถนาดีมายังทุกท่าน ด้วยบทกลอนน้อยๆ

เชิญบุหงา นำมา คารวะ

ขอพรพระ พรมสุข ทุกกระสวน

ยื่นดอกไม้ แทนอวยพร วอนเชิญชวน

ปีใหม่ล้วน มวลดอกไม้ ให้สุขโปรย

เพลง รำวงรื่นเริงเถลิงศก

ชาวคณะสุนทราภรณ์

วันนี้วันดีปีใหม่ ท้องฟ้าแจ่มใสพาใจสุขสันต์ ยิ้มให้กันในวันปีใหม่ โกรธเคืองเรื่องใด จงอภัยให้กัน หมดสิ้นกันทีปีเก่า เรื่องทุกข์เรื่องเศร้าอย่าเขลาคิดมัน ตั้งต้นชีวิตกันใหม่ ให้มันสดใส สุขใหม่ทั่วกัน

เฮ…สุขใหม่ทั่วกัน

รื่นเริงเถลิงศกใหม่ (ซ้ำ) ร่วมจิตร่วมใจ ทำบุญร่วมกัน ทำบุญกันตามประเพณี กุศลราศีจะบรรเจิดเฉิดฉันท์ พี่น้องร่วมชาติเดียวกัน (ซ้ำ) ขอให้สุขสันต์ทั่วกัน…เอย

นอย ทิงนองนอย น้อยหน่อยนอยน้อย หน่อยทิงนองนอย

รับช่อดอกไม้รื่นเริงเถลิงศกแล้ว มวลมาลีแทนใจ คำนับน้อมด้วยมาลัยอักษร เป็นช่อใหญ่ประสานพลังปีใหม่ เป็นคำอำนวยพรด้วยจริงใจ

ร้อยวาจาแทนมาลามาปีใหม่

ขอน้อมใจ คำนับกายให้พรนั้น

เปรียบมาลาวาจาค่าอนันต์

สพ สุขสันต์ สรรพสิ่งมิ่งมงคล

โน้มมาลี ด้วยวจี ที่มีพร้อม

คำนับน้อม มอบทุกท่าน ผ่านแห่งหน

ผกาวจี มีคำพร ซ้อนมงคล

เต็มเปี่ยมล้น พฤกษาพิสุทธิ์ เป็นพุทธคุณ

ประยูร พลอยพรหมมาศ รวยความสุข กับฟาแลนนอปซิส สุดสวย ที่ปทุมธานี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05035010159&srcday=2016-01-01&search=no

วันที่ 01 มกราคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 614

ไม้ดอกไม้ประดับ

สุรเดช สดคมขำ

ประยูร พลอยพรหมมาศ รวยความสุข กับฟาแลนนอปซิส สุดสวย ที่ปทุมธานี

กล้วยไม้สกุลฟาแลนนอปซิส มีแหล่งกำเนิดตามธรรมชาติ และกระจายตัวอยู่ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นกล้วยไม้ที่มีลักษณะดอกเหมือนผีเสื้อกลางคืน ด้วยความสวยงามเฉพาะตัว จึงได้ถูกนำมาปรับปรุงพันธุ์เพื่อผลิตเป็นกล้วยไม้กระถาง ให้เป็นของขวัญที่มากคุณค่าในวันสำคัญต่างๆ

ฟาแลนนอปซิส เป็นกล้วยไม้ที่เจริญเติบโตขึ้นทางยอด ลำต้นสั้น ใบกว้างมีลักษณะทรงรีหนาค่อนข้างอวบน้ำ ใบติดอยู่กับลำต้น 5-6 ใบ รากมีขนาดใหญ่ ช่อดอกมีลักษณะยาว จัดเรียงตัวเป็นระเบียบ 2 แถว ดอกมีสีสันที่สวยสดงดงาม ก้านช่อดอกตรงยาว ทำให้ดอกดูเด่นสง่า ปลายช่อดอกโค้งอ่อนช้อย ดอกของฟาแลนนอปซิสจะออกช่วงเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ ดอกเมื่อบาน มีอายุอยู่ได้ 2-3 สัปดาห์

ฟาแลนนอปซิส หากปลูกเลี้ยงเล่นๆ ที่บ้าน อาจรอเวลานับแรมปี แต่คุ้มค่าต่อการเฝ้ารอของผู้ที่ชื่นชอบ

ปัจจุบันในประเทศไทยมีสวนกล้วยไม้ที่สามารถเพาะเลี้ยงให้ออกดอกได้ตลอดทั้งปี ทำให้ลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ หาซื้อเพื่อมอบเป็นของขวัญ หรือมอบให้กันในวันสำคัญต่างๆ ได้อย่างไม่ขาดช่วง เรียกว่า สร้างเงินสร้างรายได้อย่างน่าภาคภูมิใจ โดยหนึ่งในนั้นคือ สวนประยูร ออคิดส์ ตั้งอยู่เลขที่ 9 หมู่ที่ 11 คลองสิบเอ็ด ถนนรังสิต-นครนายก ตำบลหนองสามวัง อำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี ซึ่งมี คุณประยูร พลอยพรหมมาศ เป็นเจ้าของ

สืบสายเลือดนักเลี้ยงกล้วยไม้

“ผมอยู่กับกล้วยไม้มา 36 ปี เพราะครอบครัวทำสวนกล้วยไม้จำหน่าย ตั้งแต่ผมยังเล็กๆ เรียกได้ว่าเติบโตมากับกล้วยไม้ เลยมุ่งมั่นมาตั้งแต่เล็กๆ เลย พอมีโอกาสจึงลงมือทำ” คุณประยูรเล่าถึงสิ่งที่พบเห็น

จากการเริ่มเรียนรู้และลองทำด้วยตนเอง คุณประยูรสะท้อนว่า ปัญหาในการปลูกเลี้ยงมีให้พบตลอดเวลา แต่ไม่เป็นอุปสรรค เป็นสิ่งที่สามารถแก้ไขได้ในทุกปัญหา เพราะคุณประยูรได้เรียนรู้ถึงกระบวนการผลิตต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติงานในห้องแล็บ จนถึงกระบวนการส่งออก ประสบการณ์อันโชกโชนในวงการเพาะเลี้ยงกล้วยไม้ จึงทำให้ไม่มีแรงกดดัน เมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่นๆ ที่เริ่มทำธุรกิจด้านนี้

การดำเนินธุรกิจในช่วงแรก คุณประยูร เล่าว่า เริ่มต้นจากซื้อมาขายไปเพียงอย่างเดียว ขายทุกชนิด จนเรียนรู้และมองการตลาดออก จึงเริ่มหันมาเพาะเลี้ยงกล้วยไม้ฟาแลนนอปซิสด้วยตนเอง

“เริ่มแรกเลย ตอนที่ผมแยกตัวมาทำธุรกิจเองจากครอบครัว ที่มีคุณอาและคุณพ่อทำอยู่ก่อนแล้ว ผมเริ่มจากซื้อและขายก่อน ไม่ว่า คัทลียา หวาย แวนด้า รวมถึงกล้วยไม้ป่า ทำไปเราก็เรียนรู้ไปว่า ด้านการตลาดเป็นอย่างไร ความนิยมของผู้บริโภคเป็นอย่างไร ทำให้เราเห็นมุมมองที่มากขึ้น เห็นถึงตลาด ถึงความนิยมที่มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา”

สำหรับตลาดกล้วยไม้ คุณประยูรจะเน้นตลาดต่างประเทศเป็นหลัก “ผมทำแต่ส่งเมืองนอกเพียงอย่างเดียว โดยดูความนิยม ดูสายพันธุ์ที่จำหน่ายในตลาดเมืองนอกว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร อย่างกล้วยไม้ ชนิดที่ได้รับความนิยมและเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาคือ ฟาแลนนอปซิส” คุณประยูร กล่าว

ปลูก ดูแล ทำอย่างไรให้ดี

คุณประยูร เล่าว่า สายพันธุ์ของกล้วยไม้ฟาแลนนอปซิสที่เพาะเลี้ยงและจำหน่ายในสวน เป็นสายพันธุ์ที่ได้มาจากการทำเพื่อจำหน่ายให้กับลูกค้าต่างประเทศในช่วงแรกๆ ที่เปิดตลาด โดยหลังจากที่ใช้วิธีการซื้อต้นกล้วยไม้จากสวนกล้วยไม้อื่น และส่งจำหน่ายให้กับลูกค้าได้ระยะหนึ่ง จึงเกิดความคิดว่า ควรที่จะผลิตต้นพันธุ์จำหน่ายเองด้วย จึงได้เปิดห้องแล็บขึ้นเพื่อให้บริการด้านเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อให้แก่ลูกค้าโดยตรง ผลจากการให้บริการดังกล่าว ทำให้มีโอกาสได้ต้นพันธุ์กล้วยไม้ฟาแลนนอปซิสที่มีคุณภาพดีมาเก็บสะสม จนมีสายพันธุ์ที่หลากหลายดั่งในปัจจุบัน

สำหรับการปลูกกล้วยไม้ฟาแลนนอปซิส คุณประยูร อธิบายว่า การเลือกพื้นที่ปลูกนั้นสำคัญมาก หากผลิตเพื่อขายต้นเพียงอย่างเดียว สามารถปลูกได้ทุกพื้นที่ของประเทศ แต่ถ้าต้องการปลูกให้มีดอกต้องหาพื้นที่ปลูกที่มีอุณหภูมิต่ำ หากพื้นที่ไม่เอื้ออำนวย จำเป็นต้องปลูกภายในโรงเรือนที่สามารถควบคุมแสงและอุณหภูมิ ฟาแลนนอปซิสจึงมีดอกให้ส่งจำหน่ายได้

หลังจากที่ได้สายพันธุ์ฟาแลนนอปซิสที่ต้องการขยายพันธุ์ เมื่อนำมาเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อได้ระยะที่กำหนด นำไม้ออกจากขวด ล้างทำความสะอาด จากนั้นใส่ถาดดูแลในเนิร์สเซอรี่ ที่คลุมด้วยตาข่ายพรางแสง 80 เปอร์เซ็นต์ ความชื้นต้องไม่มากเกินไป ในระยะนี้ใช้เวลาดูแล ประมาณ 3-5 เดือน

ส่วนวัสดุที่ใช้สำหรับปลูกกล้วยไม้ฟาแลนนอปซิส มีด้วยกัน 3 แบบ คือ เปลือกสน สแฟกนัมมอสส์ (Sphagnum moss) และกาบมะพร้าว คุณประยูร บอกว่า การเลือกใช้วัสดุปลูกดูตามตลาดที่ส่งจำหน่าย ถ้าผลิตเพื่อส่งออกจะใช้สแฟกนัมมอสส์ ส่วนเปลือกสนและกาบมะพร้าวใช้เป็นวัสดุปลูกได้ดีไม่แพ้กัน

คุณประยูร ใช้กาบมะพร้าวสับนำมาแช่น้ำ ประมาณ 2 คืน จากนั้นนำไปตากให้แห้ง ก่อนนำมาใช้ปลูก

รดน้ำช่วงเช้าเพียงครั้งเดียว น้ำที่ใช้รดต้องเป็นน้ำที่สะอาด เพราะกล้วยไม้จะไม่เกิดโรค

“น้ำที่เราใช้เป็นน้ำรีเวอร์สออสโมซิส เราไม่ใช้น้ำบาดาล น้ำคลองหรือน้ำประปา เราลงทุนเกี่ยวกับน้ำค่อนข้างมาก เพื่อฟาแลนนอปซิสจะไม่เกิดเชื้อรา ไม่มีเชื้อโรค เขาจะไม่ป่วยง่าย ตรงจุดนี้ ทำให้เราลดต้นทุนของการใช้ปุ๋ยใช้ยาได้มาก” คุณประยูร กล่าว

หลังจากย้ายจากเนิร์สเซอรี่ นำมาปลูกลงในวัสดุปลูกที่ต้องการ โดยครั้งแรกปลูกใส่กระถางที่มีขนาด 1.5 นิ้ว ประมาณ 4-6 เดือน จากนั้นย้ายปลูกอีก 2 ครั้ง ใส่กระถางขนาด 3.5 และ 4.5 นิ้ว ตามขนาดของต้นที่ขยายใหญ่ขึ้น เลี้ยงต่ออีกประมาณ 6 เดือน ฟาแลนนอปซิสจะออกดอก

“การดูแล เน้นตามที่ลูกค้าต้องการ ถ้าลูกค้าต้องการต้นเล็ก ปลูกต่ออีกประมาณ 6 เดือน เราจะส่งต้นเล็กให้ ถ้าต้นขนาดกลางจะปลูกต่อไปอีกประมาณ 1 ปี รวมแล้วเป็น 1 ปี 6 เดือน ถ้าต้นใหญ่ก็ใช้เวลาอีกเกือบ 2 ปี จึงพร้อมที่จะขายได้” คุณประยูร กล่าว

การให้ปุ๋ย ไม้ที่มีขนาดเล็ก ใช้ปุ๋ยสำหรับให้ไม้เล็ก แต่ถ้าเป็นไม้ใหญ่ จะใช้ปุ๋ย สูตร 16-16-16 ในอัตราส่วน ปุ๋ย 1 กิโลกรัม ต่อน้ำ 1,000 ลิตร รดสัปดาห์ละ 1 ครั้ง รดน้ำในช่วงเช้าเช่นกัน

การป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืช ที่สวนของคุณประยูรพบปัญหาในเรื่องนี้ค่อนข้างน้อย

“อย่างที่บอก ผมเน้นใช้น้ำที่บริสุทธิ์ ส่งผลทำให้วัสดุปลูกไม่เป็นเชื้อรา เมื่อไม่มีเชื้อรา ต้นจะสมบูรณ์ แข็งแรง รวมถึงการไม่มีแมลงศัตรูเข้ามารบกวน ถามว่าเราฉีดยาไหม บอกเลยฉีด แต่อัตราที่ใช้ เป็นในอัตราที่ต่ำมาก ใช้เพื่อป้องกัน ไม่ใช่เพื่อรักษา” คุณประยูร กล่าว

ตลาดญี่ปุ่นชอบสีขาว ยุโรป อเมริกาใต้ สีชมพู

คุณประยูร เล่าต่อไปว่า ตลาดต่างประเทศส่วนใหญ่ไม่เลือกเจาะจงว่าต้องการแบบไหน ซื้อหมดทุกขนาด ทุกสี

แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมา คุณประยูรให้มุมมองว่า ถ้าเป็นฟาแลนนอปซิสดอกสีขาวใหญ่ เป็นที่นิยมมากในประเทศญี่ปุ่น แต่ถ้าเป็นดอกสีชมพูความนิยมอยู่ที่ยุโรป และอเมริกาใต้

“ไซซ์ส่วนใหญ่แล้ว ลูกค้าจะดูที่ระยะทางของประเทศ ถ้าเป็นประเทศที่อยู่ไกลมาก เขาต้องการลดต้นทุนค่าขนส่ง จะต้องการต้นไซซ์เล็ก แต่ถ้าเป็นประเทศที่ไม่ไกล อย่างญี่ปุ่น เขาต้องการต้นใหญ่มากที่สุด เพราะค่าขนส่งไม่แพง และไปทำให้ออกดอกได้ในระยะเวลาอันสั้น” คุณประยูร กล่าว

สำหรับตลาดในประเทศไทยมีความนิยมต้นพร้อมดอกที่มีดอกขนาดใหญ่ โดยราคาอยู่ที่กระถางละ 1,500-2,000 บาท ขึ้นอยู่กับจำนวนต้น และจำนวนของช่อดอกที่อยู่ในกระถาง แต่ถ้าจำหน่ายต้นเพียงอย่างเดียว ขนาดไซซ์เล็กขายส่งอยู่ที่ต้นละ 35 บาท ขนาดไซซ์กลาง 45 บาท และขนาดไซซ์ใหญ่ราคา 100 บาท ขึ้นไป

ด้านการพัฒนาพันธุ์ คุณประยูร บอกว่า ที่สวนยังไม่มีแผนงานที่จะพัฒนาพันธุ์ของฟาแลนนอปซิส เพราะอาจยังไม่มีความชำนาญมากพอ การพัฒนาพันธุ์ของกล้วยไม้สกุลนี้ ต้องยกให้ประเทศญี่ปุ่น และไต้หวัน

“2 ประเทศนี้ เขามีการพัฒนาพันธุ์ที่ดีมาก เวลาที่ประเทศเขามีงานแสดงกล้วยไม้จะมีพันธุ์ใหม่ๆ ออกมา เราไปซื้อมาเพาะเลี้ยงจำหน่ายได้เลย และหากพูดถึงของประเทศไทย ทำได้ไหม เราทำได้ แต่ความชำนาญยังสู้เขาไม่ได้ การทำธุรกิจมีความชำนาญของแต่ละด้านแตกต่างกัน ทำกันอย่างที่เราถนัดดีกว่า” คุณประยูร อธิบาย

มอบเป็นของขวัญได้ทุกโอกาส

“ฟาแลนนอปซิสในตลาดต่างประเทศ ถือว่ากล้วยไม้นี่เป็นหลักที่มอบให้กันเป็นของขวัญ เรียกว่า ตั้งแต่งานเกิดจนถึงงานตาย เขาใช้หมด และใช้ในจำนวนที่เยอะมาก โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น ใช้เป็นอันดับหนึ่ง ตั้งแต่ผมทำฟาแลนนอปซิสมา ตลาดนี่ไม่มีตก ทำให้เห็นว่าในต่างประเทศเป็นที่นิยมสูง แต่ในบ้านเรามีกล้วยไม้ที่หลากหลาย ทั้งแวนด้า คัทลียา สามารถมาเปรียบเทียบกับพวกนี้ได้ไหม เปรียบเทียบได้ แต่คนที่ได้รับไป ส่วนมากกังวลว่าปลูกไม่ได้ กลัวไม่ออกดอก บางครั้งจุดนั้นเขาอาจจะไม่เข้าใจ กลัวมากเกินไป”

“สำหรับคนที่ได้รับเป็นของขวัญ หรือซื้อเลี้ยงเองที่บ้าน ดอกอาจจะไม่ค่อยมี แนะนำเลยว่า อย่ารดน้ำเยอะ และกล้วยไม้จะออกดอกก็ต่อเมื่อเข้าหน้าหนาว จะปลูกที่ไหนก็สามารถปลูกได้ แต่อย่าเพิ่งไปคำนึงถึงความสวย ใช้น้ำอะไรรดก็ได้ กล้วยไม้ก็คือกล้วยไม้ อย่าไปดูแลเหมือนคนที่เขาส่งขาย ของเราปลูกแค่ไม่ตาย รดน้ำพอดีไม่ให้เน่า ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ พอถึงหน้าหนาวเดี๋ยวก็ออกดอกเองทุกปี” คุณประยูร กล่าว

สำหรับท่านใดที่สนใจ อยากทำเป็นอาชีพหลักหรืออาชีพเสริม คุณประยูร แนะนำว่า

“อย่างที่ผมบอกนะครับ ฟาแลนนอปซิสปลูกได้ทุกที่ แต่ปลูกได้ในเพียงลักษณะขายต้น คือเราอาจจะไม่ต้องทำดอก แต่สิ่งที่ต้องคำนึงคือ ตลาด เมื่อผลิตแล้วมีตลาดไหม ตลาดถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด อย่างที่สวน ผมทำตามตลาด เอาที่ตลาดต้องการจริงๆ ถ้าไม่ต้องการ เราไม่ทำ สำหรับใครที่สนใจเข้ามาสอบถามได้ ผมเปิดที่จะให้ความรู้ แลกเปลี่ยนความคิดกันได้ตลอด” คุณประยูร กล่าวด้วยสีหน้าที่ปนรอยยิ้ม

ดังนั้น หากนึกถึงฟาแลนนอปซิส ต้องนึกถึง ประยูร ออคิดส์ เพราะที่นี่คือตัวอย่างการเริ่มต้นที่มาจากสิ่งที่เห็นตั้งแต่เด็กๆ ริเริ่มดำเนินตามสิ่งที่คิดอยากทำ ทำในสิ่งที่ตนเองถนัด สร้างแรงบันดาลใจ จนประสบความสำเร็จ กับบทบาทของผู้สร้างความสุขจากความงดงามของกล้วยไม้ฟาแลนนอปซิสเพื่อคนทั้งโลก เช่นทุกวันนี้

หากสนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. (02) 977-9774-5

รับลมหนาวกับไม้สวย ว่านสี่ทิศ ปทุมา และ แกลดิโอลัส ที่เชียงราย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05038010159&srcday=2016-01-01&search=no

วันที่ 01 มกราคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 614

ไม้ดอกไม้ประดับ

กุณฑล เทพจิตรา

รับลมหนาวกับไม้สวย ว่านสี่ทิศ ปทุมา และ แกลดิโอลัส ที่เชียงราย

จากนโยบายของกรมส่งเสริมการเกษตรที่จะขยายผลการศึกษาและพัฒนาพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับไปสู่เกษตรกรในพื้นที่ เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรสามารถนำไปประกอบอาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน สำนักส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 6 จังหวัดเชียงใหม่ จึงเน้นนโยบายในการขยายผลดังกล่าว

โดย คุณชาตรี บุญนาค ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 6 จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ได้มอบหมายให้ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตร จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นศูนย์ปฏิบัติการในสังกัดของสำนักฯ ดำเนินงานโครงการส่งเสริมและพัฒนาหมู่บ้านไม้ดอก โดยบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน จัดทำแปลงผลิตและขยายพันธุ์ไม้ดอกประเภทไม้หัว ได้แก่ ว่านสี่ทิศ ปทุมา และแกลดิโอลัส

ว่านสี่ทิศ ปทุมา และแกลดิโอลัส นับเป็นไม้ดอกที่มีสีสันสวยงาม สามารถปลูกหมุนเวียนให้ออกดอกได้ตลอดปี มีความเหมาะสมกับพื้นที่ของจังหวัดเชียงราย อีกทั้งการปลูกดูแลรักษาไม่ยุ่งยาก เกษตรกรสามารถศึกษาเรียนรู้และนำไปขายผลผลิตในพื้นที่ได้ ซึ่งจะส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้และยังสามารถพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรได้

คุณชาตรี กล่าวต่อไปว่า สำหรับในปี 2558/59 ได้ดำเนินการแล้ว และคาดว่าในช่วงฤดูหนาวที่จะถึงนี้ จะออกดอกสวยสดงดงามในพื้นที่ 3 จุด ได้แก่ หนึ่ง ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตร จังหวัดเชียงราย สอง บ้านต้นง้าว หมู่ที่ 2 ตำบลบัวสลี อำเภอแม่ลาว และ สาม บ้านห้วยลึก หมู่ที่ 4 ตำบลม่วงยาย อำเภอเวียงแก่น

คุณสมถวิล ขัดสาร ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตร จังหวัดเชียงราย กล่าวเพิ่มเติมว่า วิธีการดำเนินงานโครงการส่งเสริมและพัฒนาหมู่บ้านไม้ดอกนั้น ได้จัดทำแปลงเรียนรู้ แปลงผลิตและขยายพันธุ์ไม้ดอกประเภทไม้หัว ได้แก่ ว่านสี่ทิศ ปทุมา และแกลดิโอลัส ในพื้นที่ของศูนย์ จำนวน 1 งาน เพื่อให้เกษตรกรและบุคคลทั่วไปสามารถเข้าไปศึกษาเรียนรู้การปลูกดูแลรักษาและการเก็บเกี่ยวได้ตลอดเวลา

พร้อมกันนี้ ได้จัดฝึกอบรมเกษตรกรเป้าหมายของพื้นที่อำเภอแม่ลาวและอำเภอเวียงแก่น จำนวน 80 คน ระยะเวลา 4 วัน โดยเกษตรกรที่ผ่านการฝึกอบรมจะได้รับความรู้และการสนับสนุนหัวพันธุ์ เพื่อนำไปจัดทำแปลงผลิตและขยายในพื้นที่ ซึ่งสามารถพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร สร้างงาน สร้างเงิน แก่ครอบครัวและชุมชนได้เป็นอย่างดี

อย่างเช่นที่ บ้านห้วยลึก หมู่ที่ 4 ตำบลม่วงยาย อำเภอเวียงแก่น ซึ่งเป็นบริเวณท่องเที่ยวแก่งผาได สุดเขตประเทศไทย ทางศูนย์ได้เข้าไปดำเนินการและได้รับการสนับสนุนจากทางอำเภอเวียงแก่น เทศบาลตำบลม่วงยาย และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างดี ซึ่งได้ร่วมกันบูรณาการ รวมทั้งได้จัดงาน “รักสุดเขตประเทศไทย” ในช่วงเทศกาลวันแห่งความรักวันวาเลนไทน์ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ทุกปี เพื่อบริการจดทะเบียนสมรสกลางแก่งผาได กลางลำน้ำโขง สุดเขตประเทศไทย

พร้อมจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของดีเวียงแก่น และมหกรรมการแสดงศิลปะพื้นบ้านและชนเผ่า เป็นงานที่ชุมชนจัดขึ้นต้อนรับนักท่องเที่ยว และท่านจะได้สัมผัสกับความสวยงามของดอกไม้ ว่านสี่ทิศ ปทุมา และแกลดิโอลัส ที่ออกดอกสะพรั่งประดับริมลำน้ำโขงและแก่งผาได

“จึงขอประชาสัมพันธ์ทุกท่านได้ไปสัมผัสบรรยากาศที่สวยงามของแก่งผาได กลางน้ำโขง สุดเขตประเทศไทย และการคมนาคมก็สะดวก ใช้เส้นทางเชียงราย-เทิง-เชียงของ หรือเชียงราย-พญาเม็งราย-เชียงของ โดยก่อนถึงอำเภอเชียงของ ประมาณ 20 กิโลเมตร จะแยกขวาไปอำเภอเวียงแก่น 27 กิโลเมตร และจากอำเภอเวียงแก่น-แก่งผาได 14 กิโลเมตร ท่านสามารถเลือกใช้การเดินทางได้ทั้งทางบกและทางน้ำที่บ้านห้วยลึก โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที เพื่อไปยังแก่งผาได”

ท้ายสุดเกษตรกรและบุคคลทั่วไปที่สนใจปลูกว่านสี่ทิศ ปทุมา และแกลดิโอลัส สามารถติดต่อและศึกษาเรียนรู้ได้ที่ ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตร จังหวัดเชียงราย เลขที่ 112 หมู่ที่ 7 ถนนเด่นห้า-ดงมะดะ ตำบลป่าอ้อดอนชัย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย โทร. (053) 170-104