สะเดา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05030151258&srcday=2015-12-15&search=no

วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 28 ฉบับที่ 613

ไม้ดอกไม้ประดับ

ผศ. วรรณา กัลยาณะวงศ์ ณ อยุธยา

สะเดา

สะเดา เป็นพันธุ์ไม้พระราชทานเพื่อปลูกเป็นมงคลแก่จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งมีคำขวัญประจำจังหวัด คือ อุทัยธานี เมืองพระชนกจักรี ปลาแรดรสดี ประเพณีเทโว ส้มโอบ้านน้ำตก มรดกโลกห้วยขาแข้ง แหล่งต้นน้ำสะแกกรัง ตลาดนัดดัง โค กระบือ แต่ละท่อนของคำขวัญ มีความหมายดังนี้ คือ

อุทัยธานี เมืองพระชนกจักรี สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก พระชนกในรัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรี มีพระนามเดิมว่า ทองดี เกิดที่บ้านสะแกกรัง เมืองอุทัยธานี หรือ จังหวัดอุทัยธานีในปัจจุบัน ต่อมาย้ายไปรับราชการที่กรุงศรีอยุธยา และสมรสกับหญิงสาวชาวจีน ชื่อ หยก มีบุตรธิดา รวม 5 คน บุตรชาย คนที่ 4 ชื่อ “ทองด้วง” ภายหลังได้สถาปนาเป็น “พระเจ้าแผ่นดิน” หรือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และบุตรชาย คนที่ 5 ชื่อ บุญมา ต่อมาได้เป็นสมเด็จกรมพระยาบวรมหาสุรสิงหนาท

ปลาแรดรสดี ปลาแรดที่เลี้ยงในกระชัง ในแม่น้ำสะแกกรัง จังหวัดอุทัยธานี เป็นปลาแรดที่อร่อยที่สุดในประเทศ เพราะเนื้อแน่น นุ่ม หวาน และไม่มีกลิ่นโคลน ปัจจุบัน มีการเลี้ยงปลาแรดทั้งในกระชังในแม่น้ำสะแกกรัง และเลี้ยงในบ่อดิน แต่ปลาแรดที่เลี้ยงในกระชังจะมีราคาแพงกว่าปลาแรดที่เลี้ยงในบ่อดิน เนื่องจากเป็นที่นิยมของผู้บริโภคมากกว่า

ประเพณีเทโว ประเพณีตักบาตรเทโว หรือวันพระเจ้าเปิดโลก ที่วัดสังกัสรัตนคีรี บริเวณเขาสะแกกรัง อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี เป็นประเพณีสำคัญในวันออกพรรษาของชาวอุทัยธานีและจังหวัดใกล้เคียง จัดขึ้นในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี การตักบาตรเทโวเป็นภาพจำลองดั่งครั้งพุทธกาล พระสงฆ์ทุกรูปที่จำพรรษาในเขตอำเภอเมือง จะออกรับบิณฑบาต โดยมีประชาชนรอตักบาตรข้าวสารและข้าวต้มลูกโยนอยู่เชิงบันได บริเวณลานวัดสังกัสรัตนคีรี

ส้มโอบ้านน้ำตก บ้านน้ำตก หมู่ที่ 1 ตำบลสะแกกรัง อำเภอเมือง เป็นแหล่งปลูกส้มโอพันธุ์ขาวอุทัย ส้มโอพันธุ์พื้นเมืองที่มีชื่อเสียงของจังหวัด มีรสชาติดี เนื้อละเอียดแบบเนื้อกุ้ง นิ่ม และแห้ง ทั้งยังมีเปลือกบางและเมล็ดน้อย เคยมีการปลูกส้มโอพันธุ์ขาวอุทัยกันมากที่บ้านน้ำตก เนื่องจากมีพื้นที่ติดแม่น้ำสะแกกรังและดินอุดมสมบูรณ์ แต่ปัจจุบันมีการปลูกน้อยลง เพราะทุก 7-8 ปี แม่น้ำสะแกกรังจะเอ่อล้นท่วมใหญ่ครั้งหนึ่ง และกินเวลานานเป็นเดือนๆ ทำให้ส้มโอล้มตายหมด

มรดกโลกห้วยขาแข้ง เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติแห่งแรกของประเทศไทย เป็นพื้นที่ป่าอนุรักษ์ที่กว้างใหญ่ที่สุดของประเทศ และเป็นส่วนหนึ่งของผืนป่าตะวันตก ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์ ครอบคลุมพื้นที่ อำเภอลานสัก อำเภอห้วยคต อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี และ อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ส่วนใหญ่เป็นเทือกเขาสูงสลับซับซ้อน เป็นแหล่งกำเนิดของต้นน้ำลำธารหลายสาย รวมทั้งมีความหลากหลายทางชีวภาพของสัตว์นานาชนิด ภายในมีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ อนุสรณ์สถาน สืบ นาคะเสถียร

แหล่งต้นน้ำสะแกกรัง แม่น้ำสะแกกรัง มีต้นกำเนิดจากยอดเขาโมโจกู ในอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ จังหวัดกำแพงเพชร มีชื่อเรียกต่างกันตามท้องถิ่นที่แม่น้ำไหลผ่าน เช่น คลองแม่เร่-แม่วงก์ แม่น้ำตากแดด ส่วนที่เรียกว่าแม่น้ำสะแกกรัง เริ่มจากตอนปลายของแม่น้ำตากแดดที่ไหลมาบรรจบกับปากคลองขุมทรัพย์ หรือปากคลองอีเติ่ง ที่บ้านจักษา อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี และไหลผ่านตัวเมืองอุทัยธานี ไปบรรจบกับแม่น้ำเจ้าพระยา ที่อำเภอมโนรมย์ เหตุที่ได้ชื่อว่าแม่น้ำสะแกกรัง เพราะกลางหมู่บ้านที่แม่น้ำไหลผ่านมีต้นสะแกใหญ่ต้นหนึ่ง จึงได้ชื่อว่า บ้านสะแกกลาง และกลายเป็นสะแกกรังในที่สุด

ตลาดนัดดัง โค กระบือ เป็นตลาดนัดซื้อ-ขาย วัว-ควาย ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ อยู่ที่อำเภอทัพทัน มีการซื้อ-ขาย เฉพาะวันพุธและวันอาทิตย์เท่านั้น ในแต่ละนัดมีพ่อค้า แม่ค้า จำนวนมาก ขับรถขนวัว-ควายมาขายกันตั้งแต่เช้ามืดไปจนถึงเวลาประมาณ 11 โมงเช้า เมื่อซื้อ-ขายกันแล้ว หากต้องเคลื่อนย้ายข้ามจังหวัด ก็ต้องพาวัว-ควายไปตรวจโรคกับปศุสัตว์จังหวัด ซึ่งเปิดให้บริการอยู่ด้านข้างตลาดนัด ชาวอุทัยธานีมีความภาคภูมิใจกับสิ่งต่างๆ ดังกล่าวข้างต้นเป็นอันมาก แต่ก็ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เกิดความภาคภูมิใจไม่น้อยเช่นเดียวกัน สิ่งนั้นก็คือ “ต้นสะเดา” ซึ่งเป็นต้นไม้พระราชทานเพื่อปลูกเป็นมงคลแก่จังหวัดอุทัยธานี ต่อไปนี้คือรายละเอียดเกี่ยวกับต้นสะเดา

ชื่ออื่น : สะเลียม (ภาคเหนือ) กะเดา (ภาคใต้) จะตัง สะเดาบ้าน เดา ไม้เดา กาเดา ควินิน

ชื่อสามัญ : Siamese neem tree, Nim, Margosa, Quinine, Holy tree, Indian Margosa tree

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Azadirachta indica A. Juss. var. siamensis Valeton

ชื่อวงศ์ : MELIACEAE

ถิ่นกำเนิด : พบขึ้นได้ทั่วไปตามป่าแล้งในประเทศอินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย พม่า ปากีสถาน ศรีลังกา และประเทศไทย

ข้อมูลทั่วไป :

ถ้าจะถามว่า ผักรสขม มีอะไรบ้าง ชื่อแรกที่แทบทุกคนจะนึกถึงคือ “สะเดา” ทุกคนรู้จักคุ้นเคยกับสะเดาเป็นอย่างดี และถือว่าเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่ง ดังนั้น สะเดาเทียมหรือสะเดาช้าง จึงได้รับการคัดเลือกให้เป็นพันธุ์ไม้ประจำจังหวัดสงขลา และสะเดา หรือสะเดาไทยที่กำลังพูดถึงกันในขณะนี้ พันธุ์ไม้พระราชทานเพื่อปลูกเป็นมงคลแก่จังหวัดอุทัยธานี

สะเดา เป็นพืชผักที่มีรสขมอันแสนเป็นเอกลักษณ์ แต่ในขณะเดียวกัน สะเดาก็เต็มไปด้วยคุณประโยชน์ที่มากล้นด้วยเช่นกัน คือรวมทุกสิ่งพร้อมเสร็จสรรพในต้น เป็นทั้งสมุนไพร อาหาร และเป็นไม้ใช้สอย ทำที่อยู่อาศัย ถ้าสะเดา อายุ 20 ปี เนื้อไม้จะแกร่งเหมือนไม้แดง ไม้ประดู่ แก่นมีสีสวย ใช้ทำไม้พื้น ทำเฟอร์นิเจอร์ มอดไม่กิน และคุณสมบัติเด่นอีกประการหนึ่งคือ เป็นแปรงและยาสีฟันอย่างดี

สะเดา ปลูกง่าย โตเร็ว ทนต่อสภาพแห้งแล้งได้ดี โดยทั่วไปสะเดาแบ่งได้เป็น 3 ชนิด คือ สะเดาอินเดีย สะเดาไทย และสะเดาช้าง แต่ละชนิดมีความแตกต่างกันเล็กน้อยในด้านลักษณะทางกายภาพ แต่โดยภาพรวมแล้ว ไม่ว่าจะกินชนิดไหน ก็คงได้รับคุณประโยชน์อย่างท่วมท้นไม่แตกต่างกัน

สะเดา ถือเป็นพืชสมุนไพรที่เด่นในเรื่องของการไล่แมลง ทำยาฆ่าแมลง หรือสารเคมีไล่แมลง ส่วนใหญ่ต้องมีสะเดาเป็นส่วนประกอบด้วยเสมอ ใบ และเมล็ดของสะเดามาสกัดกับแอลกอฮอล์และน้ำ จะได้สารสกัดที่เรียกว่า อะซาดิแรคติน (Azadirachtin) ซึ่งเป็นสารที่ปลอดภัยต่อมนุษย์ และมีคุณสมบัติไล่แมลง ทำให้แมลงไม่ชอบกินอาหาร ยับยั้งการเจริญเติบโตของแมลง ทำให้หนอนไม่ลอกคราบ หนอนตายในระยะลอกคราบ

สะเดา ประโยชน์เหลือหลายจริงๆ ปลูกไว้ในบริเวณบ้านแค่ต้นเดียว รับรองว่าได้ประโยชน์คุ้ม

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :

ลำต้น เป็นไม้ยืนต้น สูง 5-10 เมตร เปลือกต้นแตกเป็นร่องลึกตามยาว ยอดอ่อนสีน้ำตาลแดง สะเดาของไทยใบจะโตกว่าสะเดาอินเดียเล็กน้อย

ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก ออกเรียงสลับรูปใบหอก โคนใบมนไม่เท่ากัน ขอบใบจักเป็นฟันเลื่อย แผ่นใบเรียบ สีเขียวเป็นมัน

ดอก มีสีขาวนวล ดูโดดเด่นสะดุดตา ออกดอกเป็นช่อตามง่ามใบ กลีบดอกมี 5 กลีบ ลักษณะคล้ายช้อนแคบ มีกลิ่นหอม

ผล รูปทรงรี ผิวเรียบ ผลอ่อนสีเขียว สุกเป็นสีเหลืองส้ม มีเมล็ดเดียว รูปรี

การขยายพันธุ์ เพาะเมล็ด หรือขุดหน่อที่แตกจากรากไปปลูก

นิเวศวิทยา สำหรับในประเทศไทย จะมีเขตการกระจายพันธุ์อยู่ตามธรรมชาติ ตามป่าเบญจพรรณแล้ง และป่าแดงทั่วประเทศ

สรรพคุณทางสมุนไพร :

เปลือกต้น แก้ไข้ เจริญอาหาร แก้ท้องเดิน บิด มูกเลือด เปลือกต้น ใบ เป็นยาเจริญอาหาร ยาสมาน เป็นยารักษาโรคผิวหนัง กระพี้ แก้ถุงน้ำดีอักเสบ แก่น แก้อาเจียน ขับเสมหะ ยางจากเปลือกต้น เป็นยากระตุ้น ดับพิษร้อน

ใบ เป็นยาฟอกฝี ใบอ่อน และดอก เป็นยาช่วยเจริญอาหาร และช่วยย่อยอาหาร ก้านใบ แก้ไข้ ทำยารักษาไข้มาลาเรีย

ดอก ยอดอ่อน แก้พิษโลหิต กำเดา บำรุงธาตุ ขับลม

ผล ใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ และยาระบาย แก้โรคหัวใจเดินผิดปกติ ผลอ่อน ใช้ถ่ายพยาธิ แก้ริดสีดวง และปัสสาวะพิการ

ราก แก้ลม เสมหะ ที่แน่นในทรวงอกและจุกคอ เปลือกราก เป็นยาฝาดสมาน แก้ไข้ ทำให้อาเจียน แก้โรคผิวหนัง น้ำมันจากเมล็ด ใช้รักษาโรคผิวหนังและยาฆ่าแมลง

ประโยชน์อื่น ยอดอ่อนและดอกอ่อน กินสดหรือลวกกินกับน้ำพริก ใบ และผล ใช้เป็นยาฆ่าแมลง ใบ นำไปหมักใช้ทำน้ำหมักพ่นไล่แมลง กิ่งอ่อน เคี้ยว ทำให้ฟันและเหงือกสะอาด แข็งแรง

มอบ ไม้ดอกไม้ประดับ เป็นของขวัญแทนใจ ในวันปีใหม่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05034151258&srcday=2015-12-15&search=no

วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 28 ฉบับที่ 613

ไม้ดอกไม้ประดับ

สุรเดช สดคมขำ

มอบ ไม้ดอกไม้ประดับ เป็นของขวัญแทนใจ ในวันปีใหม่

ไม้ดอกไม้ประดับ หมายถึง พันธุ์ไม้ที่มีลักษณะ รูปร่างของลำต้น กิ่ง ก้าน ดอก ที่มีสีสันสวยงาม สามารถนำไปประดับตกแต่ง ทั้งภายในและภายนอกตามบ้านเรือน เพื่อให้มีความร่มรื่นน่าอยู่มากขึ้น

ในชีวิตประจำวันของมนุษย์ โดยเฉพาะคนเมือง นับวันยิ่งห่างไกลจากธรรมชาติมากขึ้นทุกขณะ ไม้ดอกไม้ประดับจึงถือได้ว่ามีความสำคัญ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม เพราะมีแหล่งผลิตอยู่ทั่วทุกพื้นที่ของประเทศ ทำให้ผู้ปลูกสามารถประกอบเป็นอาชีพหลักหรืออาชีพเสริม สร้างรายได้ให้กับครอบครัว จึงมีการผลิตไม้ดอกไม้ประดับจำหน่ายทั้งภายในและต่างประเทศ เป็นการนำเงินตราเข้าประเทศปีละหลายพันล้านบาท

ปัจจุบัน มีการเพาะและผสมพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับ ให้เป็นที่ถูกตาต้องใจของผู้ซื้อมากขึ้น สายพันธุ์ใหม่ที่ได้รับการผสม นำมาตั้งชื่อใหม่ให้มีความเป็นมงคล เพื่อดึงดูดใจสำหรับคนที่มีความนิยมชมชอบไม้มงคล เพื่อนำมาประดับบ้านเรือนตามความเชื่อที่สืบทอดต่อๆ กันมา

ไม้ดอกไม้ประดับเป็นสิ่งจรรโลงใจให้แก่ผู้ปลูกได้รับความสุข ความเพลิดเพลิน ทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น ทำให้สุขภาพทางจิตใจมีความสุข สดชื่น ผ่อนคลายความเครียด พร้อมทั้งช่วยให้ผู้พบเห็นมีความสุขกาย สุขใจ เจริญตาเมื่อมองพักสายตา

ในปักษ์นี้ จึงอยากจะชวนผู้อ่านทุกท่าน ที่กำลังมองหาของขวัญมอบให้กับคนที่เคารพรัก หรือเพื่อน ญาติ พี่น้อง ขอให้มามอบไม้ดอกไม้ประดับ เพื่อเป็นสิ่งแทนใจให้แก่กัน ในช่วงปีใหม่ที่จะมาถึงในอีกไม่กี่วันนี้ เพราะอย่างน้อยผู้รับ ยังสามารถมองเห็นพรรณไม้เหล่านั้นเจริญเติบโต จากการดูแลเอาใจใส่ของตนเอง และทุกครั้งที่เห็นพรรณไม้ ผู้รับยังสามารถนึกถึงหน้าผู้ให้ได้อีกด้วย ผู้ที่จะมอบความรู้ในหัวข้อต่างๆ ที่อาจจะเป็นประโยชน์ และสามารถนำไปใช้ในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่จะมาถึงนี้ ได้รับเกียรติจาก คุณทวีพงศ์ สุวรรณโร ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมไม้ดอกและไม้ประดับ สำนักส่งเสริมการเกษตรและจัดการสินค้าเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร มาอธิบายในหัวข้อต่างๆ ให้ดังนี้

ทำไม ถึงให้ดอกไม้

เป็นของขวัญเนื่องในวันปีใหม่

คุณทวีพงศ์ อธิบายว่า การให้ของขวัญ ทั้งวันปีใหม่และเทศกาลในโอกาสต่างๆ นั้น ในสมัยก่อนจะให้สิ่งของ เช่น อาหาร น้ำผลไม้ ฯลฯ ต่อมามีการห่วงเรื่องสุขภาพกันมากขึ้น จึงมอบของขวัญที่ส่งผลดีต่อสุขภาพ คนทั่วไปอาจจะไม่ค่อยนิยมให้ดอกไม้หรือไม้ประดับเป็นของขวัญ ส่วนใหญ่จะมอบให้กันในวันรับปริญญา หรืองานแต่งงานเท่านั้น

แต่ปัจจุบันมีการให้ไม้ดอกไม้ประดับเป็นของขวัญมากขึ้น เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะคนเมือง นับวันจะยิ่งห่างไกลธรรมชาติค่อนข้างมาก จึงนิยมให้ไม้ดอกไม้ประดับเพื่อเป็นสิ่งทดแทนธรรมชาติ ที่นับวันจะลดลงเต็มที

“ถ้าเราใช้ไม้ดอกไม้ประดับ ก็เหมือนเราอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ ยิ่งคนอยู่ตามออฟฟิศต่างๆ นี่ ยิ่งไม่ค่อยได้เห็นต้นไม้ ซึ่งโอกาสที่จะเห็นในห้องคงน้อย ทำให้ปัจจุบัน จึงนิยมมาให้เป็นของขวัญมากขึ้น และที่สำคัญยังมีความสวยงาม ผู้รับสามารถนำไปจัดตกแต่ง วางในตำแหน่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในบ้านหรือนอกบ้าน ต่อมาไม่ได้มองด้วยความสวยอย่างเดียวแล้ว แต่มีประโยชน์ด้วย ช่วยสร้างออกซิเจน ทำให้อากาศดีขึ้น อีกทั้งยังมีงานวิจัย เมื่อหลายปีรับรองออกมาด้วยว่า ไม้ดอกไม้ประดับหลายชนิดสามารถลดสารพิษได้ เพราะสารพิษเหล่านั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพ สารพิษมีอยู่ได้ตามในห้อง บ้านเรือนของเราเอง เช่น สีจากเฟอร์นิเจอร์ ตามผนัง ที่ระเหยออกมา แม้ปริมาณไม่มาก แต่ถ้าสะสมนานๆ ไป ก็มีผลต่อสุขภาพ ฉะนั้น จะเห็นว่าไม่ได้สวยงามอย่างเดียว ยังมีประโยชน์ ทำให้ปัจจุบันมีคนนิยมมาให้ไม้ดอกไม้ประดับเป็นของขวัญเยอะมากขึ้น” คุณทวีพงศ์ กล่าวถึงประโยชน์ของการมอบไม้ดอกไม้ประดับเป็นของขวัญ

ชนิด และพันธุ์

ของไม้ดอกไม้ประดับ

ที่นิยมให้เป็นของขวัญ

เนื่องจากไม้ดอกไม้ประดับในเมืองไทย มีมากมายหลากหลายสายพันธุ์ ในแต่ละช่วงจะมีการปลูกและความนิยมแตกต่างกันไป ทำให้มีการพัฒนาสายพันธุ์มากขึ้น เพื่อให้มีสีสวยสดใส คงทนต่อสภาพแวดล้อมได้ดี ทำให้ในแต่ละปีของประเทศไทยมีพรรณไม้ที่พัฒนาขึ้นมาใหม่เรื่อยๆ

“ไม้ดอกไม้ประดับมีค่อนข้างหลากหลาย ผู้ที่จะมอบดอกไม้ให้กับผู้รับนั้น ส่วนมากจะรู้รสนิยม ความชอบของผู้รับ ว่าชอบอะไร สีไหนอย่างไร ไม้ดอกไม้ประดับมีมากมายหลายกลุ่ม ไม้ดอก ไม้ต้น และก็ไม้ดอกกระถาง เช่น โป๊ยเซียน หน้าวัว โดยทั่วไปพืชพวกนี้ต้องการแสง ไม่นานดอกก็หายไป แต่ต้นยังสามารถนำมาปลูก เพื่อให้ออกดอกต่อไปได้ ส่วนด้านไม้ใบ เป็นไม้ที่ทนหน่อย เหมาะสมที่จะนำมาวางไว้ภายในอาคาร เพราะอยู่ได้นาน อยู่ที่ความชอบของผู้รับ ซึ่งผู้ให้จะสามารถเลือกได้หลากหลาย และเข้ากับคนที่เราจะให้ ไม่ตายตัวมีให้เลือกมากมายหลายแบบ เราก็ต้องเลือกให้เข้ากับคนที่เราจะให้” คุณทวีพงศ์ กล่าว

รูปแบบการจัด

และการเลือกที่เป็นสื่อแทนใจ

คุณทวีพงศ์ เล่าว่า สมัยก่อนที่นิยมมากที่สุดคือ การให้ดอกไม้เป็นของขวัญมากกว่าต้นไม้ จึงจัดดอกไม้ลงในแจกัน กระถาง หรือเป็นช่อบูเก้ และกระเช้าดอกไม้สวยๆ แต่เนื่องจากดอกไม้ยังมีข้อจำกัด เพราะอายุการเก็บรักษาอยู่ได้ไม่นานเท่าที่ควร ต่อมาจึงนิยมให้ต้นไม้มากขึ้น เพื่อให้มีอายุของดอกยาวนานขึ้น

“สมัยก่อนนี้ จะเน้นที่ให้แต่ดอกไม้ ก็จะเป็นการจัดเป็นช่อ หรือว่าจะใส่แจกัน แต่ตอนนี้ก็ให้เป็นต้นมากขึ้น ก็เลยไม่ต้องเน้นการตกแต่งมาก อย่างดีก็แค่ห่อด้วยกระดาษของขวัญ ผูกโบส่งให้เลย ก็ง่ายและสะดวก ไม่ยุ่งยากในการจัดมากนัก ความนิยม ที่ชอบให้กันก็จะอยู่ที่ความเชื่อ อาจไม่ได้เน้นที่ความสวยงามเพียงอย่างเดียว จะเน้นที่ความเชื่อด้วย เช่น โป๊ยเซียน ถ้าออก 8 ดอก นี่จะถือว่าจะโชคดี หลังๆ มาก็จะตั้งชื่อ ไม้ต่างๆ ให้เป็นมงคลมากขึ้น เช่น วาสนา หยกนำโชค ทำให้คนที่ปลูก ก็ได้หวังทางจิตวิทยาเพื่อให้ชีวิตดีขึ้น มีโชคลาภ ไม้อื่นๆ เช่น ต้นหยก ก็มีตั้งชื่อให้ดูดี ตามความเชื่อนั้นๆ จึงทำให้คนซื้อนิยมมากขึ้น” คุณทวีพงศ์ กล่าวด้วยใบหน้าที่นึกถึงช่วงยุคสมัยที่มีความนิยมแตกต่างกันไป

แหล่งที่จำหน่าย ควรเลือกซื้อที่ไหน

คุณทวีพงศ์ เล่าว่า ปัจจุบันร้านจำหน่ายไม้ดอกไม้ประดับมีการพัฒนามากขึ้น โดยเปิดเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ต สำหรับขายด้านนี้โดยเฉพาะ ทำให้ผู้ซื้อสามารถเลือกพรรณไม้ที่ดีมีคุณภาพ เพราะถือว่าเป็นแหล่งที่เชื่อถือได้ พร้อมทั้งบริการห่อเป็นของขวัญ และมีการจัดแบบพิเศษตามเทศกาล หรือตามที่ลูกค้าต้องการ พรรณไม้ที่นำมาขายเป็นพรรณไม้ใหม่ๆ เพื่อสร้างความแปลกใหม่ให้กับลูกค้า ทำให้สามารถเลือกซื้อได้ตามที่ต้องการ ซึ่งไม้ที่แปลกใหม่อาจมีราคาที่แพงสักเล็กน้อย แต่ผู้ซื้อต้องทำความเข้าใจด้วยว่า เป็นของแปลกใหม่ เพื่อเป็นการส่งเสริมเกษตรกรให้มีความภาคภูมิใจ และคุ้มค่ากับการเสียเวลากับความตั้งใจทำพันธุ์ใหม่ขึ้นมา ทำให้ปัจจุบันประเทศไทยถือได้ว่าเป็นประเทศ ที่สามารถนำเงินตราเข้าประเทศปีละหลายพันล้านบาท ส่งผลทำให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น

“แหล่งที่ซื้อไม้ดอกไม้ประดับ สำหรับคนที่มีเวลา ก็จะมีแหล่งใหญ่ๆ ถ้าจะเอาไม้ดอก ก็ปากคลองตลาด ถ้าเป็นไม้กระถางต่างๆ ก็ต้องที่ตลาดจตุจักร ซึ่งทุกวันพุธ พฤหัสบดี ก็จะมีไม้มาขาย เพราะที่เหล่านี้เป็นแหล่งใหญ่ ส่วนใครที่อยู่ต่างจังหวัด ก็ลองหาตามแหล่งใกล้บ้าน ทำให้เรามีโอกาสเลือก ทำให้ซื้อได้ถูกลง แต่ถ้าไม่มีเวลาจริงๆ ก็ดูตามความเหมาะสม เพราะบางทีอาจจะไม่แพงกว่ากันเท่าไหร่นัก แต่มีของให้เลือกน้อยกว่า ซึ่งดูได้ตามความพอใจเรา ส่วนงานที่มีการจัดนิทรรศการไม้แปลกๆ อันนี้ก็น่าไป โดยเฉพาะที่ สวนหลวง ร. 9 มีการจัดงานกันทุกปี ก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่ทำให้ได้ดูของใหม่ๆ มากขึ้น รวมทั้งซื้อของใหม่ๆ มามอบให้แก่กันด้วย” คุณทวีพงศ์ กล่าวแนะนำ

ผู้ประกอบการ

ควรเตรียมตัวอย่างไร

เมื่อเทศกาล หรือวันสำคัญต่างๆ มาถึง ด้านผู้ประกอบการเองต้องมีการเตรียมความพร้อม เพื่อให้ไม้ดอกไม้ประดับมีทันจำหน่าย หากพลาดโอกาสนาทีทองเหล่านี้ไป อาจจะต้องรอเวลานานไปอีกเป็นแรมปี จนกว่าโอกาสในช่วงปีใหม่หรือเทศกาลนั้นจะมาถึง

“ในแง่ผู้ประกอบการเอง หรือแม้แต่ผู้ปลูก ก็จะมีการเก็งกำไรตลาดด้วย ก็จะมีการวางแผนการผลิต เพราะไม้ดอกสามารถกำหนดระยะเวลาได้ ว่าใช้เวลาปลูกลงกระถางกี่เดือน ถึงเวลาก็จะออกดอก เพื่อพร้อมขาย เขาจะมีวันนับย้อนหลัง แต่ก็จะอยู่ที่ชนิดของพรรณไม้ โดยเฉพาะไม้ดอกกระถาง ต้องมีการจัดการที่ดี เพื่อไม่ให้ออกดอกไวเกินไป เพราะหากหมดเทศกาลแล้ว หรือออกดอกก่อนเทศกาลมาถึง ก็ทำให้ขายไม่ได้ สิ่งจำเป็นคือต้องศึกษา ว่าไม้แต่ละชนิด ใช้ระยะเวลาเท่าไหร่ รวมทั้งการบำรุงรักษาด้วยครับ เพราะของที่มอบเป็นของขวัญ เรื่องคุณภาพนี่สำคัญ ดอกสวย แต่ใบเป็นโรค ก็ไม่ได้ คือทุกอย่างต้องสมบูรณ์ จึงอยากฝากผู้ประกอบการเรื่องนี้ด้วย เพราะการซื้อขายอยู่ที่ความพอใจ มีตำหนินิดหน่อยก็ทำให้ราคาตกได้ คนไม่อยากได้” คุณทวีพงศ์ กล่าวพร้อมทั้งหัวเราะเล็กน้อย

การขนส่ง ควรทำอย่างไร

เพื่อให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด

คุณทวีพงศ์ อธิบายว่า สำหรับผู้ประกอบการ ช่วงขนส่งจะมีอยู่ช่วงเดียวคือ ช่วงจากสวนไปยังร้านจำหน่าย ซึ่งวิธีการเหล่านี้ในบ้านเราอาจจะยังทันสมัยสู้ต่างประเทศไม่ได้ เพราะอยู่ที่ต้นทุน และความพร้อมของยานพาหนะขนส่ง แต่ต่างประเทศค่อนข้างมีมาตรฐาน แต่ปัจจุบันเพื่อให้ความเสียหายลดน้อยลง บางร้านยอมลงทุนเพื่อให้มีการขนส่งที่ดีขึ้น โดยรถขนส่งเป็นแบบมีถาดรอง พร้อมทั้งจัดวางอย่างมีระเบียบ ทำให้เกิดความบอบช้ำน้อยลง เช่น ประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่ขึ้นชื่อเรื่องดอกไม้ ก็มีการขนส่งที่มีมาตรฐาน ซึ่งไทยเองยังมีจำนวนน้อย ที่ขนส่งในลักษณะนี้ คุณทวีพงศ์แนะนำว่า หากทำแบบนั้นต้นทุนสูง สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยการนำกระดาษหนังสือพิมพ์ห่อต้นไม้ เพื่อให้ใบเสียหายน้อยที่สุด เพราะหากนำไปวางทับกันจำนวนมาก ทำให้เกิดความเสียหายได้

“การขนส่งอยากให้ดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะว่าช่วงปีใหม่นี้ใกล้มาถึง เพราะคนที่มาซื้อ เขาซื้อไปเพื่อส่งมอบต่อเป็นของขวัญ ถ้าใบเสียหาย ดอกเสียหาย คนก็ไม่อยากซื้อ ทำให้ผู้ประกอบการเองขายได้น้อยลง แทนที่จะมีกำไร อาจจะขาดทุน อย่างไม้ใบ ขอให้ห่อให้ดี เพื่อให้ใบกระทบกันน้อยลงจะดีที่สุด ถือว่าช่วยประหยัดต้นทุนได้ ของที่จำหน่ายจะได้ออกมาดีมีคุณภาพ” คุณทวีพงศ์ กล่าว

สำหรับผู้รับ ทำอย่างไร

ในกรณีดูแลรักษาได้

คุณทวีพงศ์ อธิบายว่า สำหรับผู้รับที่ได้ดอกไม้เป็นของขวัญ อาจต้องดูแลให้มีอายุที่นานขึ้น เพื่อความคงทนสวยงาม เช่น ช่อบูเก้ ถ้ายังคงสภาพไว้เช่นนั้นดอกไม้อาจจะอยู่ได้ไม่นาน สามารถยืดอายุให้คงนานด้วยการรื้อดอกไม้ออกจากช่อ จากนั้นนำไปตัดก้าน แล้วนำไปแช่น้ำ ปักลงในแจกันใหม่ ทำให้ยืดอายุของดอกไม้ชนิดนั้นได้นาน ดีกว่าให้คงสภาพอยู่ในช่อบูเก้

สำหรับไม้ประดับ ขอให้ทำการศึกษาเล็กน้อย เพราะอย่างน้อยจะได้รู้ว่าไม้ประดับชนิดนั้น ต้องการสภาพแวดล้อมอย่างไร เพราะบางอย่างสามารถปลูกไว้ในห้องได้เป็นเวลานานเป็นปี อาจจะต้องให้ได้รับแสงบ้างเล็กน้อย สิ่งที่สำคัญคือการรดน้ำ อาจจะไม่ต้องรดน้ำบ่อยครั้ง เพราะไม้ประดับอยู่ภายในห้อง ซึ่งบางครั้งดูแลดีเกินไปก็สามารถตายได้ เช่น รดน้ำบ่อย เหมือนไม้ประดับที่อยู่ภายนอกอาคาร ทำให้รากเน่าต้นไม้ตาย

ไม้ประดับที่เหมาะสมจะอยู่ภายในอาคาร เช่น วาสนา เขียวหมื่นปี อะโกลนีมา ลิ้นมังกร ว่านงาช้าง ไม้ที่กล่าวมานี้ สามารถมอบให้กันเป็นของขวัญได้ เพราะมีความคงทน เมื่อนำมาตั้งประดับตกแต่งภายในห้อง ใน 1 สัปดาห์ นำไปสัมผัสแสงแดด 2 ครั้ง เพราะแสงจากหลอดไฟภายในอาคารไม่สามารถทดแทนแสงที่ได้รับจากดวงอาทิตย์ หากไม้ประดับได้รับแสงจากหลอดไฟเพียงอย่างเดียว การสังเคราะห์แสงจะน้อยลง และไม้ประดับจะมีลำต้นยืดมากเกินไป ส่งผลต่อความสวยงาม เพราะทรงต้นสีสันอาจไม่เป็นดังสภาพเดิมเหมือนตอนที่ได้รับมา

ช่วงสุดท้ายของการสัมภาษณ์ คุณทวีพงศ์ ได้กล่าวส่งท้ายว่า “ในฐานะที่ผมดูแลเรื่องไม้ดอกไม้ประดับ ผมมองว่าเหมาะที่จะมอบให้กันเป็นของขวัญ อาจจะดีกว่าของอย่างอื่น เพราะของอย่างนี้เป็นของธรรมชาติ และก็มีให้เลือกเยอะ มีสีสันสวยงาม ทำให้คนที่ได้รับเห็นแล้วก็สดชื่นนะครับ อาจจะไม่ใช่ของที่เก็บไว้ได้นาน แต่ถ้าเรารู้จักวิธีการดูแล คนที่รับไปเขาดูแลเป็น ทำให้เกิดการเรียนรู้ตามมา ของอย่างอื่นอาจจะวางไว้เฉยๆ แต่ไม้ดอกไม้ประดับนี่ ทำให้เกิดการศึกษาเรียนรู้ธรรมชาติต่างๆ ของมัน เพื่อให้อยู่ได้นาน ที่สำคัญช่วยดูดสาร ทำให้สภาพแวดล้อมดีขึ้น เพราะต้นไม้ช่วยดูดสารพิษบางตัวได้อีกด้วย”

“สิ่งที่สำคัญอีกอย่าง ประเทศเราเป็นแหล่งที่ผลิตไม้ดอกไม้ประดับแหล่งใหญ่ สายพันธุ์เองก็มีหลากหลาย โดยประเทศรอบๆ บ้านเรานี่ ก็มารอพันธุ์ใหม่ๆ จากประเทศเรา เพราะประเทศเรามีการสะสมแหล่งพันธุ์เยอะ ทั้งกล้วยไม้ และไม้ใบต่างๆ เราก็มีการพัฒนาพันธุ์ โดยหาจากแหล่งต่างๆ ทั่วโลก นำมาเก็บไว้ที่ประเทศเรา เพื่อทำพ่อแม่พันธุ์ ดังนั้น การนำไม้ดอกไม้ประดับมาใช้นี่ นอกจากใช้ในแง่ความสวยงามแล้ว ยังช่วยการส่งเสริมอาชีพให้แก่เกษตรกรคือ ขอให้ใช้ไม้ดอกไม้ประดับที่ปลูกในบ้านเรา มันจะช่วยส่งผลกับเศรษฐกิจของประเทศด้วย” คุณทวีพงศ์ กล่าวพร้อมนึกถึงประสบการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมา บนใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้อ่านทุกท่านคงจะมีพรรณไม้ในใจแล้วใช่ไหมครับ ที่จะมอบให้แก่กันในวันปีใหม่หรือเทศกาลต่างๆ นี้ อย่างน้อยไม้ดอกไม้ประดับก็เป็นสิ่งแทนใจ แม้ดูเล็กน้อยแต่แนบแน่นไปด้วยความสวยงาม ทั้งด้านจิตใจ ความสงบ ตลอดจนสภาพแวดล้อม และเศรษฐกิจของประเทศ มนุษย์ทุกคนคงจะหนีไม่พ้นการได้อยู่ร่วมกับธรรมชาติ เหมือนดังสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระบรมศาสดา พระองค์ได้ตรัสรู้ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ ท่ามกลางป่าดงที่แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติ ไม้ดอกไม้ประดับแม้ดูเล็กน้อย หากทุกท่านไม่ช่วยกันส่งเสริมและอนุรักษ์ อีกไม่นานพรรณไม้ธรรมชาติ และป่าไม้ในประเทศของเราอาจจะไม่มีให้ลูกหลานได้เห็นสืบไป จะมีก็แต่เพียงคำบอกเล่าว่า ประเทศไทยสมัยก่อนอุดมสมบูรณ์ ที่มีแต่เพียงคำพูดบอกเล่า แต่ไม่มีภาพจริงให้ลูกหลานได้เห็น

มีข้อสงสัย หรืออยากได้รับคำแนะนำเพิ่มเติม สอบถามได้ที่กลุ่มส่งเสริมไม้ดอกและไม้ประดับ สำนักส่งเสริมการเกษตรและจัดการสินค้าเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร โทร. (02) 940-6104

ไม้ดอกไม้ประดับ ช่วยดูดสารพิษ

ไม้ดอกไม้ประดับเมืองร้อนหลายชนิด ไม่ได้มีคุณค่าเฉพาะการประดับตกแต่ง เพื่อความสวยงามเท่านั้น แต่ยังมีคุณสมบัติช่วยดูดซับสารพิษและช่วยฟอกอากาศ เพื่อลดมลพิษภายในบ้านเรือน อาคารสำนักงาน สร้างสุขภาวะที่ดีให้กับผู้อยู่อาศัย และเป็นการช่วยลดโลกร้อนอีกทางหนึ่งด้วย

สารพิษที่พบในอาคารและมีอันตราย ได้แก่

1. สารฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde) ซึ่งจะมีอยู่ในตัวตึกหรืออาคารที่สร้างใหม่ หรือบ้านที่ใช้เฟอร์นิเจอร์ ไม้อัดบอร์ด สี พลาสติก รวมถึงสารพิษในเนื้อปูน ซึ่งจะทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย ปวดศีรษะ เซื่องซึม ภูมิแพ้ หอบหืด ผื่นคันตามผิวหนัง ระคายเคืองตา คอ จมูก ไซนัส จนถึงระบบประสาทผิดปกติ เรียกว่า อาการแพ้ตึก

2. สารไตรคลอโรเอทิลีน (Trichloroethylene : TCE) พบในตัวทำละลายเป็นส่วนมาก เช่น การซักแห้ง ในหมึกพิมพ์ สีทา แล็กเกอร์ น้ำมันชักแห้ง กาวสังเคราะห์ และมีรายงานว่าเป็นสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งตับ

3. เบนซิน (Benzene) พบในน้ำมันรถยนต์ หมึก สีทาพลาสติก และยาง เป็นสารที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองผิวหนังและดวงตา หากมีการสูดดมในปริมาณมาก จะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ ปวดศีรษะ และเกิดโรคทางเดินหายใจ นอกจากนี้ ยังทำให้เกิดลูคีเมียด้วย

4. ไซลีน (Xylene) เป็นสารประกอบที่มีการใช้มากในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสีสารเคลือบเงา และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับตัวทำละลายต่างๆ ถือเป็นสารอินทรีย์ระเหยง่ายที่มีพิษต่อมนุษย์ มีผลไปกดระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เกิดอาการความจำเสื่อม หวาดกลัวกระวนกระวาย อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร ทรงตัวลำบาก คลื่นไส้อาเจียน ผิวหนังแห้ง และเกิดโรคผิวหนัง มักพบเป็นโรคไตร่วมด้วย

5. โทลูอีน (Toluene) หรือ ฟีนิลมีเทน เป็นสารตัวทำละลายอินทรีย์ที่สำคัญในกลุ่มสารอินทรีย์ระเหยง่าย ใช้มากในอุตสาหกรรมต่างๆ สำหรับเป็นตัวทำละลาย และเป็นสารตั้งต้น สำหรับผลิตสารชนิดต่างๆ การสูดดมหรือหายใจเข้าสู่ระบบหายใจ จะทำให้รู้สึกมึนงง มีอาการประสาทหลอน เมื่อสูดดมมากจะทำลายระบบประสาทและสมอง

6. แอมโมเนีย (Ammonia) เป็นสารที่ไม่มีสี มีกลิ่นฉุน ซึ่งคนเราสามารถสัมผัสกลิ่นแอมโมเนียได้ หากมีความเข้มข้นมากกว่า 5 ppm ถ้าหายใจเข้าไปเพียงเล็กน้อยจนทำให้น้ำตาไหล ออกฤทธิ์กระตุ้นหัวใจอย่างแรง ทำให้เสียชีวิตจากภาวะหัวใจล้มเหลวได้ง่าย

จากการวิจัย เรื่อง Interior landscape Plant for Indoor Air Pollution Abatement โดย ดร. บี ซี วูฟเวอร์ตัน นักวิจัยแห่งสถาบันวิจัยอวกาศนาซ่า สหรัฐอเมริกา พบไม้ดอกไม้ประดับที่มีความสามารถและประสิทธิภาพในการกำจัดสารมลพิษในอากาศได้อย่างดี มีจำนวน 27 ชนิด ตัวอย่างเช่น เขียวหมื่นปี ลิ้นมังกร เฟิร์นบอสตัน หน้าวัว กล้วยไม้สกุลหวาย เดหลี วาสนาอธิษฐาน ต้นมรกตแดง สาวน้อยประแป้ง แววมยุรา เศรษฐีเรือนใน ยางอินเดีย ปาล์มไผ่ ไอวี่ (ตีนตุ๊กแกฝรั่ง) ต้นไทรย้อยใบแหลม เยอร์บีร่า เข็มสามสี และประกายเงิน เป็นต้น

1. แก้วกาญจนา “เขียวหมื่นปี” หรือ Chinese Everygreen (Aglanema sp.) เป็นไม้ประดับที่มีใบสวยงาม ชอบดินร่วน ไม่ชอบน้ำขัง จึงนิยมใช้ปลูกเลี้ยงประดับภายในอาคาร ด้วยใบที่กว้าง จึงทำให้สามารถดูดสารพิษได้ดี มีประสิทธิภาพสูงในการดูดสารพิษ จำพวกฟอร์มาลดีไฮด์

2. ลิ้นมังกร หรือ Mother – in – law”s Tongue (Sansievieria sp.) มีประสิทธิภาพสูงในการดูดสารพิษจำพวกเบนซิน

3. เฟิร์นบอสตัน หรือ Boston Fern (Nephrolepis exaltata) สามารถดูดสารพิษได้มาก โดยเฉพาะจำพวกฟอร์มาลดีไฮด์ที่มาจากกาว ฝ้าเพดานสำเร็จรูป และสารพิษจำพวกไซลีน

4. หน้าวัว (Anthurium andraeanum) มีประสิทธิภาพในการคายความชื้น และดูดซับสารพิษจำพวกฟอร์มาลดีไฮด์ ไซลีน และแอมโมเนีย

5. กล้วยไม้สกุลหวาย (Dendrobium Orchid) มีความสามารถในการดูดสารพิษจำพวกแอลกอฮอล์ อะซีโตน คลอโรฟอร์ม และฟอร์มาลดีไฮด์ได้อีกด้วย

6. เดหลี หรือ Peace Lily (Spathiphyllum wallisei) มีความสามารถสูงในการดูดสารพิษจำพวกแอมโมเนีย หรือ ไตรคลอโรเอทิลีน (TCE) เบนซิน และฟอร์มาลดีไฮด์ได้ดี

นอกจากนี้ ยังมี กระบองเพชร หรือ แค็กตัส (Cactus) ซึ่งช่วยในการหักเหรังสีหน้าจอคอมพิวเตอร์ จอทีวี และลดไฟฟ้าสถิต

โป๊ยเซียน นครพนม ไม้ดอกสร้างเงิน สร้างงาน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05034011158&srcday=2015-11-01&search=no

วันที่ 01 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 28 ฉบับที่ 610

ไม้ดอกไม้ประดับ

ชนะ วสุรักคะ chanawasu@gmail.com

โป๊ยเซียน นครพนม ไม้ดอกสร้างเงิน สร้างงาน

จังหวัดนครพนม มีพื้นที่ติดกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) มีพื้นที่ปลูกข้าวหอมมะลิมีชื่อเสียงระดับประเทศหลายปีซ้อน เกษตรกรจะนิยมเพาะปลูกข้าวนาปีและนาปรังเป็นพืชหลัก เพราะมีระบบส่งน้ำชลประทานในหลายพื้นที่ รองลงมาเป็นใบยาสูบ ที่ปลูกกันตลอดแนวริมฝั่งแม่น้ำโขง และปลูกต้นยางพารากระจายในหลายอำเภอ

แต่ยังมีเกษตรกรคุณลุงวัยกว่า 70 ปี คนขยัน เพาะชำต้นโป๊ยเซียน ไม้ดอกไม้ประดับกว่า 100 สายพันธุ์ จำนวนมากกว่า 20,000 กระถาง ทำเงินในช่วงต้นฤดูฝน มีพ่อค้า แม่ค้า จากหลายจังหวัดในภาคอีสาน และชาวลาวมารับซื้อถึงสวน ทำเงินเป็นล่ำเป็นสัน สร้างงาน สร้างอาชีพให้ชาวบ้าน 15 คน ที่มารับจ้างหลังเพาะชำพืชผักสวนครัวไว้ขายอีกด้วย

คุณลุงสมชาติ ปิ่นทอง อายุ 72 ปี กล่าวว่า พื้นเพตนเป็นคนจังหวัดนครสวรรค์ เรียนจบจากแม่โจ้ รุ่น 26…มารับราชการเป็นหัวหน้าอนุรักษ์ดินและน้ำ ศูนย์พัฒนาที่ดินนครพนม ตั้งแต่ปี 2509 จนปัจจุบันอาศัยอยู่ที่นครพนม นาน 50 ปี หลังลาออกจากราชการได้ 10 ปี เพื่อมาทำสวน โดยตนจะเปิดอินเตอร์เน็ต กลูเกิ้ล ศึกษาการปลูกไม้ดอกไม้ประดับ พืชผักสวนครัว ลองผิดลองถูก จนปัจจุบันมีความชำนาญ จนรู้แทบจะทุกเรื่องในการเพาะชำ ขั้นตอนดูแลรักษาพันธุ์ไม้ชนิดต่างๆ

คุณลุงสมชาติ เล่าว่า ช่วงที่โป๊ยเซียนกำลังฮิต ตนซื้อมาแต่ละพันธุ์ต่ำสุดตกกระถางละ 1,000 บาท บางพันธุ์ที่หายากซื้อราคาสูงถึงต้นละ 20,000 บาท เพาะเลี้ยงและปลูกมาเรื่อยมากกว่า 20 ปีแล้ว พันธุ์โป๊ยเซียนมีมากหลายสายพันธุ์ มีทั้งดอกเล็ก ดอกใหญ่ และมีทุกสี ยกเว้นโป๊ยเซียนดอกสีดำ และสีน้ำเงิน

หากเพาะพันธุ์โดยการใช้เมล็ด จะใช้เวลานานถึง 1 ปี ส่วนใหญ่ตนจะใช้วิธีคัดต้นพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ ตัดต่อยอดเสียบกิ่ง

นักเพาะเลี้ยงมืออาชีพจะอาศัยแมลงผสมเกสร เพื่อให้ได้พันธุ์ใหม่

คุณลุงสมชาติ กล่าวด้วยว่า ตนเช่าที่ดินเนื้อที่กว่า 10 ไร่ เลขที่ 136 หมู่ที่ 3 บ้านขามเฒ่า ตำบลขามเฒ่า อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม ริมถนนทางหลวง 212 สายนครพนม-ธาตุพนม ในชื่อสวนโป๊ยเซียน นครพนม ไว้เพาะเลี้ยง โป๊ยเซียน อาทิ พันธุ์นครพิงค์ กำไรเพิ่มพูน ระฆังทอง เพชรน้ำหนึ่ง บัลลังก์เงิน เป็นต้น ปัจจุบันมีมากกว่า 20,000 กระถาง แต่ที่เพาะพันธุ์โป๊ยเซียนเพิ่มใหม่ในชื่อ “สาวนครพนม”

โป๊ยเซียนที่นี่จะเลี้ยงโดยธรรมชาติ ไม่ฉีดพ่นยา วางไว้กลางแจ้ง ชอบอากาศลมโชย ทนต่อสภาพแดดจัด เพาะเลี้ยงในกระถางโดยซื้อดินใบก้ามปูมาจากจังหวัดอ่างทอง ครั้งละ 1 รถสิบล้อ ผสมกับวัสดุมะพร้าวสับที่ซื้อมาจากจังหวัดสมุทรปราการ และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กิ่งที่ชำจะใช้แกลบดำกับทราย จุ่มปูนขาวกันรากเน่า 1 เดือน ก็จะติดราก ก่อนต้นแข็งแรงจึงย้ายไปปลูกในกระถาง ใช้เวลาเพาะเลี้ยงนาน 3-4 เดือน ก่อนให้ผลผลิตดอกใหญ่ ก็จะขายได้ในราคาส่ง ต้นละ 25 บาท ขายปลีก กระถางละ 40 บาท

ที่ผ่านมา มีพ่อค้า แม่ค้า จากจังหวัดอุบลราชธานี หนองคาย อุดรธานี และจากเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) นำรถกระบะมารับซื้อถึงสวน ครั้งละ 700-1,000 ต้น ทำเงินให้เดือนละกว่า 100,000 บาท ขณะเดียวกันยังจ้างแรงงานไว้ 15 คน ตกคนละ 300 บาท ต่อวัน แบ่งกันทำหน้าที่ กรอกดินใส่ถุง เพาะถุงชำ ตอนกิ่งพันธุ์ ทาบตา รดน้ำ ใส่ปุ๋ย เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังได้เพาะชำพืชผักสวนครัวแทบทุกชนิด อาทิ ต้นแมงลัก สะระแหน่ โหระพา พริก ลงถุงดำ ขายส่ง ต้นละ 8-10 บาท และมะนาวพันธุ์แป้นพิจิตร ขายกระถางละ 100-250 บาท ตามแต่ขนาด ซึ่งขายดีสุดๆ ในช่วงนี้ โดยจะมีพ่อค้า แม่ค้า ขับรถมารับถึงสวน

พร้อมกันนี้ยังมีรถกระบะ 2 คัน ตระเวนขายตามตลาดนัดไทย-ลาว ในอำเภอธาตุพนม และตลาดนัดคลองถม หน้าค่ายพระยอดเมืองขวาง (จทบ. นครพนม) เพื่อนำเงินส่วนนี้มาเลี้ยงแรงงาน 15 คน ซึ่งมีค่าแรงตกเดือนละ 45,000 บาท

“ถึงแม้ผมจะมีอายุล่วงเลยไม้ใกล้ฝั่ง มีบ้านอยู่ในตัวเมือง และมีธุรกิจเกี่ยวกับการเกษตร แต่ก็รักต้นไม้และรักความเป็นธรรมชาติ จึงได้สร้างเพิงเต็นท์พักอาศัยอยู่ภายในกลางสวนแห่งนี้ สะดวก และดูแลคนงานได้ทั่วถึง พร้อมกับซื้อที่อีกกว่า 20 ไร่ เพื่อไว้ทดลองปลูกมันสำปะหลังพันธุ์ระยองไว้ด้วย” คุณลุงสมชาติ กล่าว

ผู้สนใจ จะแวะมาเยี่ยมชมสวน เพื่อขอคำแนะนำในเรื่องพันธุ์ไม้ การอนุรักษ์ดิน หรือต้องการรับพันธุ์ไม้ พืชผักสวนครัวไปจำหน่าย ติดต่อโดยตรงได้ที่ สวนโป๊ยเซียน นครพนม โทร. (081) 872-1913 ทางเฟซบุ๊ก พิมพ์ว่า Somchart Pintong

“ปลูกไม้ดอกไม้ใบ” สร้างอาชีพ ที่ตราด ไม่จบปริญญา ก็เป็นเศรษฐีได้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05030151058&srcday=2015-10-15&search=no

วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 28 ฉบับที่ 609

ไม้ดอกไม้ประดับ

สาวบางแค

“ปลูกไม้ดอกไม้ใบ” สร้างอาชีพ ที่ตราด ไม่จบปริญญา ก็เป็นเศรษฐีได้

ทุกวันนี้เด็กไทยจำนวนมากมุ่งมั่นเรียนต่อระดับปริญญาตรี แต่เมื่อเรียนจบออกมาแล้ว กลับตกงาน หางานทำไม่ได้ เพราะความรู้และทักษะไม่ตรงกับสาขาอาชีพที่ตลาดต้องการ ตรงกันข้ามกับกลุ่มแรงงานฝีมือเชิงช่าง ที่มีจำนวนน้อย เมืองไทยขาดแคลนแรงงานกลุ่มนี้มานานแล้ว และยิ่งมีแนวโน้มจะขาดแคลนแรงงานช่างฝีมือมากขึ้นในอนาคต

“จังหวัดตราด” ปฏิรูป

การเรียนรู้สู่ “สัมมาชีพ”

สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) สนับสนุนให้จังหวัดตราด เดินหน้าปฏิรูปการเรียนรู้ มุ่งสู่การมี “สัมมาชีพ” นำแนวคิดการจัดการศึกษา “ทวิศึกษา” ปูทักษะพื้นฐานเด็กตราดสู่โลกของการทำงาน พร้อมปรับหลักสูตร ให้เรียนจบแล้วต้องมีงานทำ เพื่อสอดรับกับการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษไทย-กัมพูชา ตั้งเป้าเปลี่ยนทัศนคติคนตราด “ไม่จบปริญญาตรี ก็เป็นเศรษฐีได้” ชูพื้นที่ต้นแบบ “โรงเรียนเขาน้อยวิทยาคม” จัดการศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะอาชีพ เตรียมความพร้อมสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจ

คุณธันยา หาญผล ประธานคณะกรรมการโครงการปฏิรูปการเรียนรู้เชิงพื้นที่ จังหวัดตราด กล่าวว่า จังหวัดตราดเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ในอนาคตจะมีอาชีพที่เกิดขึ้นใหม่เป็นจำนวนมาก ซึ่งต้องการแรงงานที่มีทักษะใน 3 ด้าน คือ การเกษตร การท่องเที่ยว และการค้าชายแดน ดังนั้น การปฏิรูปการเรียนรู้ของจังหวัดตราดจึงมีเป้าหมายหลักให้ ที่จะทำให้เด็กตราดไม่ว่าจะจบอะไรมา จะต้องมีสัมมาชีพ และสื่อสารให้สังคมเข้าใจว่า การเรียนจบปริญญาตรีนั้น มิใช่เป้าหมายหลักเหมือนเช่นเดิมที่ผ่านมา แต่เรียนแล้วจะต้องนำความรู้ที่ได้ไปทำงานได้ ถึงไม่จบปริญญาตรีก็สามารถเป็นเศรษฐีได้

“ร.ร. เขาน้อยวิทยาคม”

ต้นแบบการเรียนรู้

สร้าง “เถ้าแก่น้อย”

นายประธาน ทวีผล ผู้อำนวยการ โรงเรียนเขาน้อยวิทยาคม ซึ่งเป็นโรงเรียนต้นแบบจัดการศึกษาเพื่อตอบโจทย์สัมมาชีพ ด้วยการบูรณาการกลุ่มกิจกรรม “กล้วยไม้” สู่การบริหารธุรกิจการเกษตรอย่างครบวงจรมาเป็นเวลานานกว่า 10 ปี ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มตลาดแรงงานที่สำคัญของจังหวัด ก่อนขยายผลไปสู่ทักษะการเรียนรู้ในพืชพันธุ์เศรษฐกิจชนิดอื่นๆ ที่เป็นที่ต้องการของตลาด ที่สามารถกำหนดเป้าหมายการศึกษาต่อของนักเรียนที่ชัดเจน ทำให้แม้จะเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก แต่เด็กนักเรียนก็สามารถสอบติดมหาวิทยาลัยได้ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ เปิดเผยว่า ความเปลี่ยนแปลงของเด็กที่เข้ามาร่วมในกิจกรรมชุมนุมทักษะอาชีพด้านการเกษตร ก็คือ เด็กนักเรียนมองเห็นเป้าหมายของการเรียนต่อหรือการประกอบอาชีพที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น รู้ว่าเรียนไปเพื่ออะไร และเรียนไปเพื่อหาอะไร

“เด็กที่เข้ามาทำกิจกรรม เขาก็จะเริ่มมีทักษะทางอาชีพ เพราะฉะนั้นเป้าหมายในการเรียนต่อก็เลยชัด เมื่อก่อนถามเด็ก ม.6 ว่าจบแล้วเรียนต่ออะไร คำตอบก็คลุมเครือว่า เป็นหมอ วิศวะ แต่ปัจจุบันคำตอบของเด็กๆ มันชัดเจนมากในแววตาของเขา เขาอยากเรียนเกษตร เพราะอยากมีงานทำ อยากกลับมาทำงานที่บ้าน มาพัฒนาบ้าน พัฒนาชุมชน”

ในปีการศึกษา 2551 ทางโรงเรียนได้ปรับปรุงห้องสหกรณ์ร้านค้าเก่าเป็นศูนย์การเรียนรู้พฤกษศาสตร์ เพื่อรวบรวมความรู้เรื่อง กล้วยไม้ สมุนไพร ยางพารา เพื่อเป็นศูนย์บริการนักเรียนและผู้ปกครองที่สนใจและสร้างโรงเรือนกล้วยไม้แบบถาวร เพื่อเป็นแหล่งเพาะเลี้ยงกล้วยไม้ ไม้ประดับ กว่า 300 สายพันธุ์ โดยมุ่งขยายพันธุ์เพื่ออนุรักษ์ เรียนรู้ และจำหน่ายเป็นรายได้ระหว่างเรียนของนักเรียนที่มีใจรัก

“ครูตือ-สมเกียรติ แซ่เต็ง” ครูคณิตศาสตร์ของโรงเรียนแห่งนี้กล่าวว่า การเรียนรู้บูรณาการกลุ่มสาระวิชาผ่าน “กล้วยไม้” เชื่อมโยงชุมชน ธรรมชาติแล้ว ยังทำให้เด็กนักเรียนรู้จักการวางแผนอนาคตตัวเองมากขึ้น ที่ผ่านมาเด็กที่เรียนจบมัธยมปลายสามารถสอบติดสถาบันอุดมศึกษาได้ 100% เต็มแล้ว นอกจากนี้ เด็กๆ ที่เข้าร่วมกิจกรรมขยายพันธุ์กล้วยไม้และเฟิร์นผ่านช่องทางต่างๆ ทั้งทางเฟซบุ๊ก และงานแสดงสินค้าต่างๆ ในจังหวัดตราดและพื้นที่ใกล้เคียง ทำให้เด็กๆ มีรายได้คนละมากกว่าหมื่นบาทต่อเดือน

“ไม้ดอกไม้ใบ”

สร้างอาชีพให้เยาวชน

จาก “ชุมนุมกล้วยไม้” ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความรู้เกี่ยวกับกล้วยไม้ในโรงเรียนเขาน้อยวิทยาคม จังหวัด ตราด ดำเนินงานโดยนักเรียนทั้งหมด และมีครูตือเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา เปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้เกิดการเรียนรู้ที่เกิดจากการลงมือปฏิบัติจริง จนเกิดทักษะเชี่ยวชาญ ทั้งด้านการเพาะขยายพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับและการขายสินค้า สามารถประสบความสำเร็จและได้รับการสนับสนุนจากผู้คนในชุมชน ทำให้พวกเขาเกิดขวัญกำลังใจที่จะเดินหน้าพัฒนาธุรกิจของพวกเขา ให้ทำงานเป็นระบบมากขึ้น โดยจัดตั้งเป็นบริษัท ชื่อว่า บริษัท เขาน้อยออร์คิด จำกัด เมื่อ 2 ปีที่แล้ว โดยระดมทุนจากเด็กนักเรียนที่เป็นสมาชิก นำมาใช้ในการลงทุน พวกเขาหุ้นเงินกันซื้อพันธุ์ไม้ วัสดุอุปกรณ์ และแบ่งปันรายได้หลังหักค่าใช้จ่าย ที่ผ่านมาพวกเขานำสินค้าไปขายตามงานแสดงสินค้าทั้งในจังหวัดและพื้นที่ใกล้เคียง มีรายได้หลักหมื่นในการออกงานแต่ละครั้ง ผลกำไรจะถูกนำมาแบ่งปันกันในกลุ่มสมาชิกผู้ถือหุ้น เด็กๆ มีความสุขที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทกล้วยไม้เขาน้อย พร้อมแบ่งปันความรู้และความสุขถ่ายทอดให้แก่เยาวชนรุ่นน้องต่อไป

“ธนากร อัมพรทิพย์” นักเรียน ชั้น ม.5 และ “สิทธิศักดิ์ พันธุ์พิริยะ” นักเรียน ชั้น ม.6 อาสาพาเดินชมสวนไม้ดอกไม้ใบของพวกเขา ที่นี่เน้นปลูกขยายพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับท้องถิ่น เพราะปลูกดูแลได้ง่ายกว่าพันธุ์ไม้จากต่างถิ่น สวนแห่งนี้ใช้เนื้อที่ไม่มาก แต่อัดแน่นไปด้วยพรรณไม้นานาชนิดกว่า 300 สายพันธุ์ ได้แก่ “สร้อยนางกรอง” เส้นใหญ่ ขาว อวบ สวย ถัดไปเป็น “เฟิร์นนางกลายเขาระกำ เมืองตราด” เส้นใหญ่ งุ้ม สวย “หูช้าง” เฟิร์นหัวพันธุ์หนึ่งที่สง่างาม “ไอยเรศ” เป็นกล้วยไม้ที่เวลาออกดอกจะแทงช่อคู่สวยงาม

เมื่อถามถึงที่มาของพันธุ์ไม้ในสวนแห่งนี้ เด็กๆ บอกว่า เวลาพวกเขาไปเดินชมงานแสดงสินค้า เจอพันธุ์ไม้แปลกก็จะซื้อเก็บสะสมไว้ เพื่อนำไปขยายพันธุ์ต่อไป หนึ่งในพันธุ์ไม้ที่พวกเขาภาคภูมิใจคือ เฟิร์นนางกรายเขาระกำ ในอดีตเฟิร์นชนิดนี้เป็นพันธุ์ไม้หายาก โดยมีราคาซื้อขายสูงถึงต้นละ 100,000 กว่าบาท สิทธิศักดิ์ ตัดสินใจซื้อเฟิร์นนางกรายเขาระกำ มาเพียงแค่เส้นเดียว ในราคา 500 บาท ก็นำมาเลี้ยงดูแลต่อจนเป็นต้นโต กอใหญ่ มูลค่าในขณะนี้ประมาณ 4,000-5,000 บาท หากจะขยายพันธุ์ต้องเลี้ยงให้โตกว่านี้อีกสักหน่อย ปีนี้สิทธิศักดิ์จะจบชั้น ม.6 แล้ว คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเด็กรุ่นน้องสานต่อโครงการนี้ต่อไป

ที่ผ่านมาพวกเขาขยายพันธุ์ไม้ใบอย่างต่อเนื่อง ครั้งละประมาณ 100-200 ต้น ขั้นตอนการเพาะชำเฟิร์นทำได้ไม่ยาก โดยใช้สปอร์ของเฟิร์นสาย จะอยู่ส่วนปลายสุดเส้นของเฟิร์นมาเพาะชำบนขุยมะพร้าวที่เปียกชื้น เพื่อให้เกิดรากใหม่ ในระยะเวลา 2-3 เดือน หลังจากนั้น เลี้ยงดูแลต่ออีก 1 ปี จนต้นเฟิร์นมีความยาวพอสมควรก็เริ่มนำสินค้ารุ่นใหม่ออกวางขายได้

การปลูกเลี้ยงเฟิร์นให้ประสบความสำเร็จ ก็ขึ้นอยู่กับเทคนิคการปลูกดูแลของนักเรียนแต่ละคน สิทธิศักดิ์มีเคล็ดลับส่วนตัวที่ใช้แล้วได้ผลดีคือ ก่อนปลูก สิทธิศักดิ์จะนำน้ำร้อนมาลวกขุยมะพร้าว เพื่อฆ่าเชื้อโรคก่อนนำไปใช้งาน นอกจากนี้ ยังใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มา เป็นเชื้อราชั้นสูงมาควบคุมโรคพืชในขุยมะพร้าวก่อนนำไปใช้เพาะชำ วิธีนี้สามารถป้องกันไม่ให้ต้นเฟิร์นเสี่ยงเจอปัญหาเชื้อรารบกวนในอนาคต

สินค้าไม้ดอกไม้ใบของพวกเขา ตั้งราคาขายตามชนิดพันธุ์ไม้ ราคาเริ่มต้นตั้งแต่หลักร้อยถึงหลักพันบาท ขึ้นอยู่กับขนาดต้น เช่น สับปะรดสี ราคาขายเริ่มต้นที่ 50 บาท ต่อต้น สินค้าขายดีที่ได้รับความนิยมสูงในขณะนี้คือ เฟิร์นสาย ราคาขายเริ่มต้นอยู่ที่ 250 บาท ต่อต้น หากเป็นต้นขนาดใหญ่ราคาขายโดยเฉลี่ยอยู่ที่ ต้นละ 2,000-3,000 บาท น้องๆ บอกว่า กิจกรรมเหล่านี้ช่วยสร้างรายได้ระหว่างภาคเรียนแล้ว ยังช่วยสร้างความสุขให้แก่พวกเขาอีกต่างหาก สิทธิศักดิ์ บอกว่า เขาเริ่มต้นทำกิจกรรมไม้ดอกไม้ประดับในโรงเรียนมาตั้งแต่ 6 ปีที่แล้ว ในช่วงที่มีงานแสดงสินค้าต่างๆ ของจังหวัดตราด เช่น งานเขาสมิง งานตราดรำลึก ฯลฯ ทางโรงเรียนก็เปิดโอกาสให้เด็กๆ นำสินค้าของพวกเขาไปจำหน่ายด้วย ประมาณปีละ 2-3 ครั้ง ก็ช่วยสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ ลูกค้ารายใหญ่ของเด็กๆ คือ ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดตราดที่เหมาสินค้าของพวกเขาเป็นมูลค่าหลายหมื่นบาท นอกจากนั้น ลูกค้าขาประจำส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักสะสมพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับ นอกจากผลิตพันธุ์ไม้ออกขายแล้ว ยังได้แบ่งพันธุ์เฟิร์นและกล้วยไม้บางส่วนไปปลูกในป่าชุมชนอีกด้วย

ช่วง 6 ปี ที่สิทธิศักดิ์ปลูกและขายไม้ใบเหล่านี้ สามารถสร้างรายได้เข้ากระเป๋าไม่ต่ำกว่า 90,000 บาทแล้ว การทำกิจกรรมดังกล่าว นอกจากได้เงินเป็นรายได้เสริมระหว่างเรียนแล้ว ยังช่วยสร้างความรู้ด้านการเกษตร การจัดการธุรกิจ ที่สำคัญจะเชื่อมความรัก ความสามัคคี ในกลุ่มนักเรียนอีกด้วย

หากใครคิดอยากจะปลูกไม้ใบตระกูลเฟิร์น สิทธิศักดิ์มีข้อแนะนำว่า ต้องขยันเรียนรู้ ต้องรู้จักตลาด รู้จักสายพันธุ์พืช เพื่อป้องกันการถูกหลอกขายบนสินค้าหน้าเว็บเพจกลุ่มไม้ดอกไม้ใบ ที่มีจำนวนมากกว่า 100 กลุ่ม หากไม่มั่นใจข้อมูลสินค้าที่ขายบนหน้าเว็บเพจว่า เป็นสายพันธุ์ที่ถูกต้องหรือไม่ ราคาแพงเกินจริงหรือเปล่า ก็อาศัยสอบถามข้อมูลจากอาจารย์ที่ปรึกษาอีกที

นอกจากนี้ พวกเขายังใช้เฟซบุ๊กเป็นอีกช่องทางในการขยายตลาด โดยอัพภาพสินค้า ข้อมูล และราคา เปิดโอกาสให้ผู้สนใจเข้ามาสอบถามข้อมูลก่อนตัดสินใจเลือกซื้อสินค้า ปีนี้เขาเรียนจบ ม.6 แล้ว เขาตั้งใจจะศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เนื่องจากเขามีหุ้นในบริษัท จึงตั้งใจผลิตไม้ใบป้อนให้รุ่นน้องในโรงเรียนเป็นผู้จำหน่ายต่อไป

หากผู้อ่านท่านใดสนใจกิจกรรม บริษัท เขาน้อยออร์คิด จำกัด สามารถแวะเยี่ยมชมดูงานได้ที่ โรงเรียนเขาน้อยวิทยาคม เลขที่ 79 หมู่ที่ 8 บ้านเขาน้อย ถนนจุฬามณี-ฉางเกลือ ตำบลห้วยแร้ง อำเภอเมืองตราด จังหวัดตราด 23000 เบอร์โทรศัพท์ (039) 501-012

คนสุพรรณฯ เลี้ยง ชวนชม สวย ขายได้ราคา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05036011058&srcday=2015-10-01&search=no

วันที่ 01 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 608

ไม้ดอกไม้ประดับ

สุรเดช สดคมขำ

คนสุพรรณฯ เลี้ยง ชวนชม สวย ขายได้ราคา

ถ้าเอ่ยถึงไม้ดอก ที่รู้จักกันมายาวนานชนิดหนึ่ง คงจะหนีไม่พ้น ชวนชม ซึ่งจัดได้ว่าเป็นพรรณไม้ที่มีสีสันของดอกสวยงาม กิ่งก้านดูอ่อนช้อย รากสามารถจัดให้สวย การเลี้ยงดูไม่ยุ่งยาก ทนต่อสภาพแห้งแล้งได้ดี จนหลายๆ คน เรียกว่า “กุหลาบทะเลทราย”

ชวนชม จัดได้ว่าเป็นไม้ดอกที่ใฝ่ฝันของใครหลายๆ คน ที่ต้องการเพาะเลี้ยง จัดรูปทรงราก กิ่ง ให้สวยงาม เป็นไปตามความต้องการของผู้ดูแลเอง ซึ่งการจัดทรง การดูแล อาจมีความยากง่ายแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับฝีมือและเทคนิคของแต่ละคนที่ได้ใช้จินตนาการให้กับชวนชมของตน

การดูแลชวนชมแต่ละต้น รูปทรงจะไม่เหมือนกันทุกต้น อาจจะกล่าวได้ว่ามีเพียงต้นเดียวในโลกก็ว่าได้ เป็นไม้ดอกที่ไม่ต้องมีรูปแบบตายตัว เหมาะกับผู้ที่ต้องการหาไม้ดอกไว้ประดับหน้าบ้านเพื่อความสวยงาม และดูแลเป็นงานอดิเรกไว้เพื่อความเพลิดเพลิน สำราญใจ อาจไม่แน่ว่าสิ่งที่ทำเพื่อความบันเทิงใจ อาจกลายเป็นงานที่สร้างรายได้ให้ผู้ดูแล จากหลักร้อยบาทจนถึงหลักหมื่นบาทเลยทีเดียว ดังเช่น เกษตรกรรายนี้

พ.จ.อ. พีรภัทร ปิ่นทอง เจ้าของสวนมิสเตอร์พี (Mr. P) ผู้หลงรักชวนชมแบบสุดหัวใจ เรียกได้ว่าเวลาที่เหลือทั้งหมด ช่วงเสาร์-อาทิตย์ จะต้องมาดูแลชวนชมที่เขาปลูก เนื่องจากวันธรรมดาเขาทำงานรับราชการ สังกัดกรมอิเล็กทรอนิกส์ อยู่ในพื้นที่กรมอู่ทหารเรือ ทำให้มีเวลาว่างแค่ 2 วัน ต่อสัปดาห์ เขาจึงเอาเวลาที่มีค่า แม้อาจดูน้อยนิดสำหรับหลายๆ คน แต่สำหรับ พ.จ.อ. พีรภัทร แล้ว เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุด

สวนมิสเตอร์พี (Mr. P) อยู่บ้านเลขที่ 50/1 หมู่ที่ 10 (บ้านทุ่งลานโพธิ์) ตำบลวังลึก อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี

รับราชการงานประจำ

ชวนชม อาชีพเสริมสร้างรายได้

เดิมก่อนที่จะมาเป็นสวน Mr. P พ.จ.อ. พีรภัทร ได้ทำการเกษตรอย่างอื่นมาก่อน ทำไร่ ทำสวนมะละกอ จนกระทั่งเลี้ยงปลานิล เมื่อทำมาเรื่อยๆ ไม่ค่อยประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร จึงคิดว่าสิ่งที่เริ่มทั้งหมดอาจจะไม่ใช่คำตอบ เพราะยิ่งทำเหมือนยิ่งฝืนตัวตน บวกกับรายได้ก็ทรงตัว

“สมัยก่อนทำมาหมด อาชีพเกษตรหลายอย่าง แต่ที่หันมาทำตัวนี้ เพราะว่าเราชอบไม้ตัวนี้ ก็ใช้เวลาเสาร์-อาทิตย์ ดูแล เพราะผมรับราชการ เป็นไม้ดูแลง่าย ไม่จำเป็นต้องดูแลอะไรมาก จุดเริ่มต้น ผมเลี้ยงฮอลแลนด์ 2 ต้น พอเลี้ยงๆ ไป มันใหญ่สวย ก็เกิดความชอบ เลยไปค้นหาตามเว็บไซต์ เจอข้อมูลชวนชม ก็เลยเริ่มจริงจังแต่นั้นมาเลย” พ.จ.อ. พีรภัทร กล่าว

วิธีการปลูก ทำอย่างไร

เริ่มแรกเดิมที พ.จ.อ. พีรภัทร ยังไม่มีต้นชวนชมมากนัก เพราะอาศัยพันธุ์ฮอลแลนด์ที่มีอยู่แล้วมาดูแล และศึกษาหาข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ตามหน้าเว็บไซต์ เมื่อรวบรวมข้อมูลพอสมควร พ.จ.อ. พีรภัทร ได้หาแหล่งที่ขายเมล็ดพันธุ์ ซึ่งช่วงนั้นเมล็ดมีราคาค่อนข้างแพง ตกเมล็ดละ 30-40 บาท ทำให้ช่วงนั้นเขาเลือกหาเมล็ดพันธุ์ และต้นในราคาที่ไม่แพงมากมาเพาะและปลูกเพื่อหาประสบการณ์

จากนั้นนำเมล็ดมาเพาะในวัสดุเพาะทั่วไป รดน้ำเช้าเย็นรอจนกล้างอก แล้วจึงย้ายไปใส่กระถางใหม่ ส่วนต้นที่ซื้อมา นำมาปลูกในดินที่เตรียมเอง จำพวกดินใบก้ามปู กับกาบมะพร้าวสับเล็กๆ ในอัตราส่วน 1 : 1 อาจจะมีการเติมปุ๋ยอินทรีย์ หรือปุ๋ยขี้ไก่ เข้าไปบ้างเล็กน้อย เพื่อให้วัสดุปลูกมีความสมบูรณ์มากขึ้น

“ช่วงเพาะเมล็ด ใช้ระยะเวลา 2 เดือน แล้วถึงจะแยกกล้า พอแยกกล้าลงกระถาง 6 นิ้ว ต่อไปก็ต้องดูว่าไม้แตกกิ่งครบไหม ดูจากจำนวนยอด ก็ใช้ระยะเวลาอีก 2-3 เดือน จนกว่าจะแตกกิ่งครบ พอมีกิ่งสมบูรณ์ ก็จะถอนขึ้นมาดูว่า รากสวยดีไหม ถ้ารากออกมาไม่สวย ไม่ดี ตัดออกทิ้งเลย เพื่อที่จะสร้างรากใหม่” พ.จ.อ. พีรภัทร อธิบายขั้นตอนหลังเมล็ดงอก

ในสวนของ พ.จ.อ. พีรภัทร เมื่อต้นกล้าที่เพาะจากเมล็ด ได้ระยะกล้าที่แข็งแรง ประมาณ 4-5 เดือน จึงเตรียมดูความแข็งแรงของระบบราก ระบบกิ่ง เนื่องจากชวนชมโดยทั่วไปสิ่งที่นิยมจัดคือ ระบบราก การตัดแต่งกิ่ง เพื่อให้มีความสวยงาม ซึ่งการจัดรากและตัดแต่งกิ่ง สุดแล้วแต่เทคนิคของแต่ละบุคคลที่จะสรรค์สร้างจินตนาการ ที่แตกต่างกันออกไป ไม่มีอะไรที่ตายตัว

วิธีการดูแล

และป้องกันศัตรูพืช

ที่นี่จะรดน้ำชวนชมทุกวัน ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ถ้าวันไหนฝนตก ก็อาจจะไม่จำเป็นต้องรดน้ำ เรื่องรดน้ำสำคัญมาก จริงอยู่ชวนชมอาจเป็นไม้ทนแห้งแล้งได้ดี แต่การรดน้ำทำให้ชวนชมเจริญเติบโตได้ดี

การให้ปุ๋ย ถ้าเป็นสวนของ พ.จ.อ. พีรภัทร จะค่อนข้างใส่ใจ เพราะชวนชมจะสวย จะสมบูรณ์ เรื่องนี้สำคัญ มีการดูแล 3 อย่างหลักๆ คือ

1. การให้ปุ๋ยกล้าไม้ในช่วงงอกจากกระบะเพาะ จะใส่แบบบางๆ ทุกสัปดาห์ โดยใช้ปุ๋ย สูตร 16-16-16 ละลายน้ำ ผสมกับ B1 รดทางดิน

2. การบำรุงใบ จะบำรุงด้วยการฉีดฮอร์โมนชีวภาพ ฉีดพ่นทุก 2 สัปดาห์

3. ส่วนชวนชมที่มีอายุตั้งแต่ 5 เดือนขึ้นไป จนถึงไม้ใหญ่ จะใช้ B1 ผสมน้ำขี้วัว ซึ่งน้ำขี้วัวคือ ขี้วัวแห้ง นำมาแช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน จากนั้นกรองเอาแต่น้ำออกมา แล้วนำน้ำขี้วัวที่ได้มาเจือจางน้ำเปล่าอีกที รดทางดินทุก 2 สัปดาห์ และมีการเสริมด้วยปุ๋ย สูตร 16-16-16 เดือนละครั้ง

การเปลี่ยนย้ายกระถางก็ดูตามความเหมาะสม ถ้าชวนชมมีระบบรากที่ใหญ่ ก็อาจเปลี่ยนไปตามขนาดของรากที่ใหญ่ขึ้น โดยไม่ให้อัดแน่นมากจนเกินไป จะทำให้ระบบรากเดินได้ไม่ดี อาจทำให้ต้นชวนชมชะงักการเจริญเติบโตได้

แมลงศัตรูพืชที่พบ ส่วนใหญ่จะเป็นหนอน เพลี้ย ที่กินยอดอ่อน และเข้าทำลายใบ ก็จะกำจัดด้วยการฉีดยากำจัดหนอนทั่วไปตามท้องตลาดที่มีขาย ไม่ได้มีเทคนิคอะไรมาก สามารถหาซื้อมาใช้ได้ ส่วนด้านล่างโคนต้น ถ้ามีหญ้าขึ้นในกระถาง จะต้องถอนออกให้หมด ชวนชมในระยะนี้ต้องระมัดระวังให้มากที่สุด เป็นช่วงที่ระบบราก กิ่ง ต้องมีไปพร้อมๆ กัน ดูแลกันเกือบ 1 ปี เพื่อให้พร้อมที่จะนำออกขายได้

ตลาดส่วนใหญ่

ปากต่อปาก

เมื่อเอ่ยถึงเรื่องการตลาด เจ้าของสวนเล่าให้ฟังด้วยสีหน้าที่ปลาบปลื้มใจ ปนด้วยรอยยิ้มที่แสดงถึงความภูมิใจในสิ่งที่เขาทำว่า

“เรามีความยึดมั่น ซื่อสัตย์ ซื่อตรง มีความรับผิดชอบ เราต้องยึดมั่นให้ได้ เพราะการขายไม้ ต้องบอกจุดเสียของไม้ด้วย เช่น ไม้มีตำหนิ เราต้องบอกลูกค้า ถ้าต้นที่เลี้ยงรากไม่ดี เราก็ต้องจัดหาไม้ให้ใหม่ เพราะไม้เป็นตัววัดคุณภาพของเรา เราจะไม่ยัดเยียดไม้ให้ลูกค้า อะไรประมาณนั้น เพราะรากไม้มันอยู่ในดิน ลูกค้าไม่สามารถเห็นได้ ถ้าเจอรากเน่าเราต้องแจ้งลูกค้า และเปลี่ยนไม้ใหม่ให้เขาไป เพราะลูกค้าบางคนดูผ่านไลน์ ทางเฟซบุ๊ก ไม่ได้เห็นไม้ของจริง ความจริงใจเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผม ว่าไม้ที่ผมส่งไปทางไปรษณีย์ คือต้นเดียวกันกับที่ส่งรูปให้ลูกค้าดู ผมยอมรับว่า ปัจจุบันนี้ เทคโนโลยีดีขึ้น ทำให้การขาย ขายได้ดีกว่าสมัยก่อน คือเราส่งรูปให้ดูได้เลย”

สวน พ.จ.อ. พีรภัทร สำหรับลูกค้าที่เป็นขาประจำจะให้ความไว้วางใจเป็นอย่างมาก ชวนชมที่ออกไปจากสวนจะเป็นไม้เชิงคุณภาพ โดยมีระบบกิ่ง ระบบราก เพื่อที่ลูกค้าซื้อไปแล้วสามารถไปดูแลต่อได้ เพราะชวนชมที่ขายไปมีระบบรากและกิ่งที่พร้อมแล้ว ลูกค้าสามารถนำไปสร้างจินตนาการต่อได้ ว่าต้องการให้ทรงต้นสวยแบบไหน ทรงรากเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับเทคนิคของลูกค้าเอง

“ส่วนใหญ่ลูกค้าที่เอาไป ก็จะไปตัดแต่งเอง ถ้ารากเยอะไป ก็ไปตัดเองตามที่ต้องการ คือเรามีให้ครบแล้ว ระบบกิ่งได้ ระบบรากมี ลำต้นก็พอสมควร อะไรประมาณนี้ ลูกค้าก็สามารถเอาไปเล่นต่อได้ อย่างบางคนที่เริ่มใหม่ๆ จัดรากไม่เป็น เราก็ให้คำแนะนำไป รากไม่ควรซ้อนกัน โดยที่ลูกค้าไม่ต้องไปทำรากใหม่ เรามีให้พร้อมแล้ว จากไม้ที่ลูกค้าซื้อไป” พ.จ.อ. พีรภัทร เล่าถึงความใส่ใจ ที่พร้อมมอบให้ลูกค้าเสมอ

ชวนชมที่นี่มีราคา ตั้งแต่ 500-10,000 บาท ขึ้นไป ชวนชมทุกต้น จะผ่านการดูแลด้วยมือของ พ.จ.อ. พีรภัทร เองทุกต้น ในสวนจะทำชวนชมทุกต้นให้มีฟอร์มที่หลากหลาย เพราะลูกค้าแต่ละคน ชอบไม่เหมือนกัน บางคนชอบทรงแท่ง บางคนชอบจัดระบบราก ทางสวนมีให้เลือกซื้อที่หลากหลาย

การผสมพันธุ์ เพื่อการค้า

ช่วงแรกๆ ที่ทำ พ.จ.อ. พีรภัทร ยังไม่เก่งเรื่องการผสมดอกพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ เท่าที่ควร ยังมีการนำเมล็ดพันธุ์ และต้นชวนชมซื้อเข้ามาในสวนอยู่ เมื่อดูแลจนเกิดความชำนาญ เริ่มเห็นว่าชวนชมในสวนเริ่มมีลักษณะเด่นสวย สามารถนำมาเป็นพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ได้ จึงได้ผสมเกสรเอง เพื่อพัฒนาชวนชมของตนเองต่อไป

“พ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ ผมจะเน้นไม้ในสวน เพราะเราเห็นลักษณะที่ดี ที่เด่น ผมจะคัดขึ้นมาทำแม่พันธุ์ โดยจะดูลักษณะ การเดินกิ่งดี ใบสวย การเจริญเติบโตดี อะไรประมาณนี้ เป็นสิ่งหลักๆ ที่ดูกัน พันธุ์ที่ผมผสมส่วนมากจะเป็นไทยโซโคเป็นหลัก ไทยโซโคก็จะมี เขาหินซ้อน บางคล้า เพชรบ้านนา อันนี้หลักๆ เอาตัวพวกนี้มาผสม ก็จะได้พันธุ์ลูกผสม” พ.จ.อ. พีรภัทร กล่าว

จากการทำลูกผสม ทำให้สวน พ.จ.อ. พีรภัทร มีชวนชมให้ลูกค้าเลือกมากขึ้น อยู่ที่ว่าลูกผสมเหล่านั้น จะดึงลักษณะเด่นออกมาได้มากน้อยแค่ไหน เพราะลูกค้าบางคนต้องการอะไรใหม่ๆ ตลอดเวลา ซึ่ง พ.จ.อ. พีรภัทร คิดว่า การผลิตชวนชมต้องเรียนรู้ตลอดเวลา พัฒนาฝีมือให้ดียิ่งๆ ขึ้น จะหยุดอยู่กับที่ไม่ได้ ถ้าชวนชมไม่สวย ทำให้ขายไม่ได้ราคา แต่การผสมเป็นการดึงจุดเด่นของแต่ละพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ออกมา ก็มีลูกผสมที่ดีให้ลูกค้าเลือกซื้อ

คำแนะนำ

สำหรับผู้ที่สนใจ

เนื่องจาก พ.จ.อ. พีรภัทร เป็นผู้ที่สนใจและหลงรักชวนชมมาก ทำให้เขาได้หาประสบการณ์ด้วยตัวเองเสมอมา จึงเห็นว่า คนอื่นทำได้ เราก็ต้องทำได้ ไม่เคยนึกย่อท้อ แต่กลับมีแรงสู้เพื่อทำให้สำเร็จ เขาจึงให้คำแนะนำกับผู้ที่สนใจว่า

“สำหรับคนที่สนใจ สิ่งแรกที่ควรทำ ควรเลือกซื้อไม้ที่มีระบบรากที่ดีแล้ว มีระบบกิ่งที่ดี เอามาปลูก เอามาจัดราก และเลี้ยงไปตามระยะเวลา โดยอาจเน้นไม้ทั่วไปด้วยก็ได้ที่ราคาไม่แพง อาจจะเลี้ยงเพื่อความเพลิดเพลิน เพราะการเลี้ยงให้โตไม่ใช่เรื่องยาก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การใส่ใจ คือเราจะเลี้ยงมันแต่ไม่รดน้ำดูแลมันเลยเป็นไปได้ยากที่จะโต ผมอยากให้เห็นประโยชน์ของการดูแล ถ้าวันใดมันขายได้ เราทำไปไม่เกิดความท้อ สร้างแรงบันดาลใจไปเรื่อยๆ มีความสุขที่ได้อยู่กับสิ่งที่ทำ สักวันไม้ที่เราทำ คือเราดูแลมัน สักวันมันขายได้ กลายเป็นมันดูแลเรา จากรายได้ที่เรามี จากสิ่งที่เราทำ”

เห็นได้ว่า พ.จ.อ. พีรภัทร มีเวลาช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ที่มาดูแลชวนชมที่เขารัก ด้วยการเรียนรู้จากการลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง สั่งสมประสบการณ์มาเรื่อยๆ ซึ่งตัว พ.จ.อ. พีรภัทร เองไม่ได้เรียนหรือเรียนจบด้านการเกษตรมา แต่เป็นเพียงนายทหารที่พร้อมจะพัฒนาตัวเอง สร้างสิ่งใหม่ๆ ขึ้นมาให้กับสวนของเขา จนวันนี้ ชวนชม ที่เขาปลูก เพราะเขารักและชอบ หลงใหลในเสน่ห์ กลับเป็นสิ่งที่สร้างรายได้ให้กับ พ.จ.อ. พีรภัทร

สำหรับท่านที่สนใจ หรือต้องการหาข้อมูลเพิ่มเติม ทาง พ.จ.อ. พีรภัทร ยินดีให้คำปรึกษา ตลอดจนการปลูก การจัดระบบราก การตัดแต่งกิ่ง การผสมพันธุ์ หรืออยากได้ชวนชมสวยๆ ก็สามารถติดต่อ พ.จ.อ. พีรภัทร ปิ่นทอง ได้ที่ สวน Mr. P ทางหมายเลขโทรศัพท์ (086) 513-2519

พะยูง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05034150958&srcday=2015-09-15&search=no

วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 607

ไม้ดอกไม้ประดับ

ผศ. วรรณา กัลยาณะวงศ์ ณ อยุธยา

พะยูง

พะยูง เป็นพันธุ์ไม้พระราชทานเพื่อปลูกเป็นมงคลแก่จังหวัดหนองบัวลำภู ซึ่งมีคำขวัญประจำจังหวัด คือ ศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อุทยานแห่งชาติภูเก้า-ภูพานคำ แผ่นดินธรรมหลวงปู่ขาว เด่นสกาวถ้ำเอราวัณ นครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน แต่ละท่อนของคำขวัญมีความหมายดังนี้

ศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ เมื่อครั้งสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เสด็จยกกองทัพมาที่ตำบลหนองบัวลำภู เมื่อ พ.ศ. 2117 เพื่อไปช่วยพระเจ้ากรุงหงสาวดี ที่กรุงศรีสัตตนาคนหุต (เมืองเวียงจันทน์) ขณะนั้นไทยเป็นเมืองขึ้นของกรุงหงสาวดี แต่สมเด็จพระนเรศวรทรงพระประชวรด้วยโรคไข้ทรพิษเสียก่อน พระเจ้ากรุงหงสาวดี จึงให้ยกทัพกลับกรุงศรีอยุธยา สถานที่ดังกล่าวตั้งอยู่ในบริเวณสวนสาธารณะริมหนองบัว หน้าที่ว่าการอำเภอเมืองหนองบัวลำภู

อุทยานแห่งชาติภูเก้า-ภูพานคำ เป็นพื้นที่ในบริเวณที่ราบสูงภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน อยู่ในพื้นที่จังหวัดหนองบัวลำภู พื้นที่ตอนล่างของจังหวัดอุดรธานี และตอนบนของจังหวัดขอนแก่น เป็นภูเขาหินทราย ประกอบไปด้วยพันธุ์ไม้ สัตว์ป่า ทิวทัศน์ที่สวยงามตามธรรมชาติ และสภาพป่าโดยทั่วไปเป็นป่าเต็งรัง ภูเก้า มีสันฐานคล้ายกระทะหงาย โดยมีที่ราบอยู่ตอนกลาง พื้นที่เช่นนี้ทำให้สันนิษฐานได้ว่า พื้นที่ส่วนนี้น่าจะเป็นซากภูเขาไฟโบราณที่ดับสนิทไปแล้วหลายร้อยล้านปี พื้นที่ส่วนใหญ่มีลักษณะสูงๆ ต่ำๆ บางแห่งเป็นที่ราบ

แผ่นดินธรรมหลวงปู่ขาว หลวงปู่ขาว อนาลโย เป็นพระอริยเจ้าที่ได้ชื่อว่า “เป็นเพชรน้ำหนึ่งแห่งวงศ์กรรมฐาน สายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต” เป็นผู้มีใจเด็ดเดี่ยว มุ่งมั่นในเป้าหมาย มีเมตตาธรรมเป็นเลิศ สง่างาม ตอนหลังได้กราบลาพระอุปัชฌาย์เพื่อออกธุดงค์ตามหาพระอาจารย์มั่น และได้ธุดงค์จาริกไปตามถิ่นต่างๆ จนในที่สุดก็มาพำนักจำพรรษาอยู่ที่วัดถ้ำกลองเพล อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู เมื่อ พ.ศ. 2510

เด่นสกาวถ้ำเอราวัณ ถ้ำเอราวัณ เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของหนองบัวลำภู ขนาดใหญ่ อยู่บนภูเขาสูง ลึกประมาณ 365 เมตร มีบันได 611 ขั้น บริเวณปากถ้ำกว้างใหญ่มาก เต็มไปด้วยหินงอก หินย้อย และมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่ภายในถ้ำ ช่วงกลางถ้ำเป็นห้องโถงกว้าง มีหินงอก หินย้อย และเสาหินขนาดใหญ่ รวมถึงหินก้อนใหญ่รูปคล้ายช้างหมอบอยู่บนพื้น อันเป็นที่มาของชื่อถ้ำ

นครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน ในอดีต หนองบัวลำภู เป็นเมืองโบราณที่ก่อตั้งมาแล้วไม่น้อยกว่า 900 ปี เดิมเป็นดินแดนที่ขึ้นต่อกรุงศรีสัตตนาคนหุต มีชื่อว่า เมืองหนองบัวลุ่มภู เมืองกมุทาสัย หรือ นครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน จากการสันนิษฐานของนักโบราณและประวัติศาสตร์เชื่อว่า เป็นเมืองที่มีความเจริญเก่าแก่ตั้งแต่สมัยขอมเรืองอำนาจ และเนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายในการกระจายอำนาจมายังส่วนภูมิภาค เพื่อประโยชน์ในด้านการปกครอง การให้บริการของรัฐ การอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน การส่งเสริมให้ท้องที่เจริญยิ่งขึ้น ตลอดจนเพื่อความมั่นคงของชาติ ประกอบกับจังหวัดอุดรธานี มีอาณาเขตกว้างขวาง และมีพลเมืองมาก จึงเห็นสมควรแยกอำเภอต่างๆ บางอำเภอ ตั้งขึ้นเป็นจังหวัด โดยได้รับการสถาปนาให้เป็น “จังหวัดหนองบัวลำภู” อย่างเป็นทางการตั้งแต่ วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2536 เป็นต้นไป ชาวหนองบัวลำภูมีความภาคภูมิใจกับสิ่งต่างๆ ดังกล่าวข้างต้นเป็นอันมาก แต่ก็ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เกิดความภาคภูมิใจไม่น้อยเช่นเดียวกัน สิ่งนั้นก็คือ “ต้นพะยูง” ซึ่งเป็นต้นไม้พระราชทานเพื่อปลูกเป็นมงคลแก่จังหวัดหนองบัวลำภู และต่อไปนี้คือรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับต้นพะยูง

ชื่ออื่น : กระยง กระยุง ชะยุง แดงจีน ประดู่ตม ประดู่ลาย ประดู่เสน ประดู่น้ำ พระยูงไหม หัวลีเมาะ

ชื่อสามัญ : Siamese Rosewood

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dalbergia cochinchinensis Pierre

ชื่อวงศ์ : LEGUMINOSAE-PAPILIONOIDEAE

ถิ่นกำเนิด : ป่าดิบแล้งและป่าเบญจพรรณชื้น ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก

ข้อมูลทั่วไป :

พะยูง บางคนเรียก พยุง ความหมายจากพจนานุกรม แปล ไทย-ไทย ราชบัณฑิตยสถาน พะยูง หมายถึง ชื่อไม้ต้นชนิด Dalbergia cochinchinensis Pierre ex Laness. ในวงศ์ Leguminosae เนื้อไม้สีแดงคลํ้า ใช้ทําเครื่องเรือน แต่ พยุง หมายถึง ประคองให้ทรงตัวอยู่ ประคองให้อยู่ในสภาพปรกติ เช่น พยุงตัวลุกขึ้น พยุงตัวไม่ให้จมน้ำ ระวังไม่ให้ล้ม ไม่ให้ซวนเซ เป็นต้น เช่น พยุงลุก พยุงนั่ง พยุงคนไข้ พยุงฐานะ (ปาก) พยุพยุง ก็ว่า.

พะยูง เป็น 1 ใน 9 ของ “ไม้มงคล” ที่ใช้ในพิธีวางศิลาฤกษ์ นอกเหนือจาก ราชพฤกษ์ ขนุน ชัยพฤกษ์ ทองหลาง ไผ่สีสุก ทรงบาดาล สัก กันเกรา พะยูง เชื่อว่าเป็นมงคล คือพยุงฐานะให้ดีขึ้น ความสวยงามของเนื้อไม้ตามธรรมชาตินั้น อยู่ที่ลวดลายวงปีที่ถี่ยิบ เนื่องจากการเติบโตปีละนิดๆ ลำต้นส่วนใหญ่คดงอก็ยิ่งทำให้เกิดลวดลาย สีเนื้อไม้แดงเข้มจนอมม่วง กระพี้สีขาว เรียกว่า เนื้อไม้พะยูง สวยยิ่งกว่าไม้ใดๆ หลายเท่านัก

มารู้จัก “ไม้พะยูง” กันเถอะ ไม้ที่ราคาแพงที่สุดในโลก นับวันการลักลอบตัดไม้พะยูงจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งการตัดในป่าธรรมชาติ ไปถึงบนพื้นที่ป่าสาธารณะ ในวัด ฯลฯ ตัด และลักลอบไปทำอะไร คำตอบก็คือ ส่วนใหญ่ส่งไปประเทศจีน ซึ่งมีความต้องการอย่างมาก เพราะมีความเชื่อในเรื่องการเป็นไม้มงคลเช่นเดียวกับไทย เริ่มจากที่ทางการจีนได้บูรณะซ่อมพระราชวังของจักรพรรดิเมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว เมื่อช่างฝีมือดีได้รื้อแล้วซ่อมงานไม้ต่างๆ พบว่า ส่วนที่สำคัญที่เกี่ยวข้องใกล้ชิดกับฮ่องเต้ เช่น เก้าอี้ ตั่งโต๊ะต่างๆ ล้วนทำจากไม้พะยูง และยังมีสภาพดีอยู่มาก ทั้งๆ ที่ผ่านมาแล้วหลายร้อยปี ทำให้เกิดกระแสต้องการไม้พะยูงมาทำเฟอร์นิเจอร์ปริมาณมากมายมหาศาล

คำกล่าวที่ว่า ไม้พะยูงเป็นไม้ที่มีราคาแพงที่สุดในโลกขณะนี้ คงเป็นคำกล่าวที่ไม่เกินความเป็นจริงนัก เพราะไม้ท่อนใหญ่ๆ ต้นสวยๆ ราคาในประเทศไทยขายกัน ลูกบาศก์เมตรละ 300,000-500,000 บาท (ไม้สัก ลูกบาศก์เมตรละ 30,000-50,000 บาท) มีการเปรียบเสมือนมีคนเอาทองคำไปแขวนอยู่ตามป่า จะเฝ้าอย่างไรก็ไม่มีทางรอดพวกจ้องจะสอย ทางแก้ไม่ให้มีการตัดไม้พะยูง และลักลอบขนส่งไปทางประเทศ มีทางเดียวคือ ต้องเพิ่มโทษให้รุนแรงเท่ากับการขนยาเสพติด หรือเสนอกันเล่นๆ ว่า ถ้าจะหยุดการตัดโค่น ก็คงต้องเปลี่ยนชื่อ จากไม้พะยูง เป็นชื่ออื่นๆ ที่มีความหมายสื่อไปในทางที่ไม่เป็นมงคล (เช่น ไม้ล่มจม หรือไม้พินาศ อะไรประมาณนั้น) อาจจะช่วยให้การลักลอบตัดโค่นน้อยลง และคงไม่ลืมที่จะส่งเสริมให้มีการปลูกเป็นไม้อนุรักษ์พันธุกรรมพืชในสวนพฤกษศาสตร์ สวนรุกขชาติ ที่สาธารณะทั่วๆ ไป

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :

ลำต้น ไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูง 25 เมตร ผลัดใบ เรือนยอดเป็นพุ่มกลมค่อนข้างโปร่ง กิ่งห้อยย้อยลง เปลือกนอกสีน้ำตาลแดง เรียบ หรือแตกเป็นสะเก็ดอ้าสี่เหลี่ยม หรือลอกเป็นแผ่นบาง เปลือกในสีขาวอมชมพู

ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อย 7-9 ใบ เรียงสลับ ใบรูปไข่แกมรูปขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนใบมน กลม หรือเป็นรูปลิ่มกว้างๆ ขอบใบเรียบ หลังใบสีเขียวเข้ม ท้องใบสีขาวนวล ใบเหนียวคล้ายแผ่นหนังบางๆ เส้นแขนงใบ ข้างละ 5-7 เส้น

ดอก ออกเป็นช่อแยกแขนงตามซอกใบและปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงรูปถ้วย ปลายแยกเป็น 5 แฉก ดอกรูปดอกถั่ว มี 5 กลีบ ดอกบานเต็มที่ กว้าง 5-8 มิลลิเมตร มีกลิ่นหอม ดอกสีขาว

ผล เป็นฝักแห้งไม่แตก แบนและบาง รูปขอบขนานสีน้ำตาลแดง เมล็ดรูปไตสีน้ำตาลเข็ม มี 1-4 เมล็ด ออกดอกเดือนพฤศจิกายน-กรกฎาคม ผลแก่เดือนกรกฎาคม-กันยายน

การขยายพันธุ์ เพาะกล้าจากเมล็ด

สรรพคุณทางสมุนไพร :

ราก แก้ไข้พิษเซื่องซึม ตำรับยาพื้นบ้านอีสาน จะใช้เปลือกต้นหรือแก่น นำมาผสมกับแก่นสนสามใบ แก่นขี้เหล็ก และแก่นแสมสาร ใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้มะเร็ง และนำมาต้มเอาแต่น้ำ ใช้เป็นยาอมรักษาโรคปากเปื่อย ปากแตกระแหง ยางสดใช้เป็นยาทาปาก รักษาโรคปากเปื่อย เท้าเปื่อย

ประโยชน์อื่นๆ :

เนื้อไม้ สีแดงอมม่วง หรือสีม่วงเป็นมัน มีลายสีดำหรือสีน้ำตาลอ่อน เสี้ยนสน เป็นริ้วแคบๆ เนื้อละเอียด เหนียว แข็ง การเลื่อย การไส การเจาะ การกลึงค่อนข้างยาก (เปรียบเทียบได้ว่ายาก ขนาดเลื่อยลันดาร้องไห้ หรือ ขวานสะอื้น) การขัดเงาปานกลาง เนื้อไม้ละเอียด แข็งแรง ทน ขัดและชักเงาได้ดี ใช้ทำเครื่องเรือน เกวียน เครื่องกลึง แกะสลัก ทำเครื่องดนตรี เช่น ซอ ขลุ่ย ลูกระนาด

บอนไซดี ที่ราชบุรี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05038150958&srcday=2015-09-15&search=no

วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 607

ไม้ดอกไม้ประดับ

ธีรวุฒิ เหล่าสงคราม

บอนไซดี ที่ราชบุรี

บอนไซ ไม่ได้เป็นแค่ต้นไม้ แต่ยังได้รับการยกย่องให้เป็นศิลปะแห่งสันติภาพที่เป็นสะพานเชื่อมสู่สันติภาพของโลกและยังแสดงถึงความพากเพียรของผู้เลี้ยง

ประวัติของบอนไซโลกและบอนไซไทย

เมื่อพูดถึง “บอนไซ” หลายๆ ท่านคงคิดว่าเป็นต้นไม้ชนิดหนึ่ง แต่ที่จริงแล้ว “บอนไซ” เป็นชื่อที่ใช้เรียก ต้นไม้ย่อส่วน หรือไม้แคระนั่นเองครับ

คำว่า “บอนไซ” เป็นคำทับศัพท์ของภาษาญี่ปุ่น หรือแปลเป็นไทยว่า “ไม้แคระ” บอนไซนี้มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน มีการเพาะเลี้ยงก่อนสมัยสงครามโลก ครั้งที่ 2 โดยเริ่มในราชวงศ์จิ้น ราวปี พ.ศ. 808-963 โดย ดูหยาน-หมิง จินตกวีชาวจีนที่เป็นผู้ริเริ่มปลูกต้นไม้ ไม้ดอกในกระถางเป็นท่านแรก ต่อมาในราชวงศ์ถังได้เรียกไม้ย่อส่วนนี้ว่า “เผิน วัน” ซึ่งได้รับความนิยมมากในราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง ซึ่งรู้จักกันในนาม “เผิน ชิง”

ในช่วงต้นสมัยสาธารณรัฐประชาชนจีน ช่วงปี พ.ศ. 2443 ได้มีการเปลี่ยนแปลง การปลูกเลี้ยงและการตัดแต่งกิ่งบอนไซเกิดขึ้น คือรูปแบบและรูปทรงต้นไม้ย่อส่วน ประกอบด้วยลักษณะโบราณที่เต็มไปด้วยความงดงาม และวิธีการนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ “หลิงหนานพ่าย” ประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้แพร่กระจายเรื่องบอนไซ เเละความสามารถในการเล่นบอนไซได้เป็นที่รู้จักกันทั่วโลกคือ ประเทศญี่ปุ่น โดยเริ่มจากข้าราชการจีนที่ลี้ภัยไปอาศัยอยู่ที่ญี่ปุ่นและได้นำตำราบอนไซไปด้วย ต่อมาหลังสงครามโลก ครั้งที่ 2 บอนไซได้แพร่ไปยังฝั่งตะวันตก (ยุโรป) ซึ่งในประเทศญี่ปุ่นได้มีการตั้งสมาคมบอนไซหลายสมาคม แต่ที่ใหญ่ที่สุด ชื่อ Nippon Bonsai Association (สมาคมบอนไซแห่งประเทศญี่ปุ่น) ต่อมาได้จัดตั้งสหพันธ์บอนไซโลก World Bonsai Federation และได้ยกย่องให้บอนไซเป็นศิลปะแห่งสันติที่เป็นสะพานเชื่อมสู่สันติภาพของโลก

บอนไซ เข้ามาในช่วงสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยพ่อค้าชาวญี่ปุ่น เป็นผู้นำเข้ามา แต่ในสมัยกรุงรัตนโกสินไม่ค่อยได้รับความนิยม และเพิ่งจะกลับมาได้รับความนิยมเมื่อ 30 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ก็ถือว่า บอนไซ นี้มีความเป็นมาในประเทศไทยนานมากเลยนะครับ

บอนไซ ที่ราชบุรี

ก่อนจะไปรู้จัก บอนไซ ที่ราชบุรี ผมต้องบอกก่อนว่า ตอนแรกผมคิดว่าบอนไซนั้นเป็นชื่อต้นไม้ชนิดหนึ่ง อยู่มาวันหนึ่งผมไปเดินตลาดนัดจตุจักร และได้เห็นต้นไม้ที่มีขนาดและรูปทรงที่แปลกตา ได้เข้าไปสอบถามกับคนขาย ทำให้ทราบว่า ต้นไม้ทั้งหมดคือ “บอนไซ” ตอนนั้นผมถึงบางอ้อทันที “บอนไซ” ที่จริงเป็นชื่อที่ใช้เรียก “ต้นไม้แคระ” แล้วนำบอนไซพวกนี้มาจากไหน คนขายบอกว่า บอนไซเหล่านี้มาจากราชบุรีนี่เอง มันประจวบเหมาะกับที่ผมได้รับมอบหมายงานพอดี ผมจึงกลับไปหาข้อมูล บอนไซ ที่ราชบุรี อยู่ตรงไหนกัน ค้นไปค้นมาก็ได้ทราบว่าอยู่ที่ ตำบลเกาะพลับพลา จังหวัดราชบุรี ซึ่งใกล้กับบ้านผม ผมจึงไปสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับบอนไซในบริเวณนั้นมาเพื่อทุกท่านครับ

คุณครูสมพงษ์ บัวผัน อายุ 72 ปี และ คุณครูทัศนัย บัวผัน อายุ 68 ปี (ภรรยา) อาศัยอยู่ที่ 139/1 หมู่ที่ 8 ตำบลเกาะพลับพลา อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี 70000 ในอดีตทั้งสองท่านได้เคยประกอบอาชีพครูสอนหนังสือและขายไม้ประดับ ประเภท ข่อยช่อ ตะโกช่อ มาก่อน

แรงบันดาลใจให้คุณครูเริ่มทำบอนไซ คุณครูกล่าวว่า “เมื่อได้ย้ายมาสอนที่โรงเรียนวัดโสดาประดิษฐาราม ตำบลเข้าแรง ซึ่งเป็นแหล่งของบอนไซ แล้วมีพ่อแม่ของนักเรียนนำมาขายให้ ครูได้ซื้อไว้ บวกกับครูสอนวิชาเกษตรและได้นำบอนไซนี้ไปเป็นผลงานของนักเรียนในงานแสดงผลงานนักเรียน ซึ่งนักเรียนส่วนใหญ่ช่วยพ่อแม่ทำบอนไซ จึงมาถามครูว่า ผมเอาอันนี้ไปแสดงได้ไหมครับ ก็เลยนำบอนไซไปแสดงในงานจัดแสดงผลงานนักเรียน และด้วยความที่คลุกคลีมาเป็นเวลานาน จึงเกิดเป็นความชอบและเพาะเลี้ยงบอนไซเรื่อยมา พอครูเกษียณก็เลยนำบอนไซกลับมาไว้ที่บ้าน ด้วยความที่สะสมมานาน ทำให้บอนไซมีจำนวนมาก เพราะจำนวนมากจึงเกิดการขาย เพราะเราต้องใช้ต้นทุนในการเลี้ยงบอนไซ”

วิธีการทำบอนไซ…คุณครูได้มาจากการไปสอบถามและคลุกคลีกับผู้ปกครองของเด็กนักเรียนที่คุณครูสนิท จึงทำให้คุณครูรู้วิธีการทำบอนไซ การขายของคุณครูเริ่มจากการแลกเปลี่ยนกันภายในชุมชน และคุณครูเคยขายข่อยช่อ ตะโกช่อ มาก่อน บวกกับบ้านอยู่ติดถนน ทำให้มีคนรู้จักและคนที่เดินทางเข้า-ออก มาในบริเวณนั้นเห็นได้ จึงทำให้มีคนเข้ามาติดต่อซื้อ-ขาย บอนไซ

ต้นไม้อะไรบ้าง

ที่สามาถทำบอนไซได้

ต้นไม้ที่สามารถเอามาทำบอนไซได้นั้น เป็นต้นไม้ชนิดใดก็ได้ แต่ต้องเป็นไม้ยืนต้น มีใบขนาดเล็ก มีเปลือกสวยงาม ชนิดที่ได้รับความนิยมที่บ้านของคุณครูมี บอนไซตะโก บอนไซมะสัง บอนไซหมากเล็กหมากน้อย สิ่งที่ทำให้ทั้ง 3 ชนิดนี้ได้รับความนิยม เพราะเป็นพันธุ์ไม้ที่หายาก และต้องใช้เวลาในการเลี้ยงนาน จุดเด่นของ บอนไซตะโก จะเป็นไม้เก่า ผิวสวย เป็นไม้ในวังในวัดมาก่อน ใครเห็นก็ติดใจ รองลงมาเป็นบอนไซมะสัง จุดเด่นอยู่ที่หนาม ใบ และเกล็ดที่ต้น บอนไซมะสังถ้าโตเต็มที่เกล็ดจะมีลักษณะคล้ายเกล็ดของขาไก่ จะคล้ายกับบ๊อกวูด แต่จะต่างกันที่บอนไซมะสังจะมีเกล็ดแค่บริเวณด้านล่างของต้น ต่อมาเป็นบอนไซหมากเล็กหมากน้อย มีจุดเด่นที่ ใบ ราก ลำต้น และอปุนิสัยที่เลี้ยงง่าย

ทรงต้นที่ได้รับความนิยม

และการขายบอนไซ

คุณครูบอกว่า “ได้รับความนิยมทุกทรงต้น แต่ทรงต้นที่ครูได้รับรางวัลจากการประกวด เป็นทรงต้น ไม้ตกกระถาง” ได้รับรางวัลในงาน พฤกษาสยาม SIAM BOTANICAL SHOW ครั้งที่ 16 จัดขึ้นที่ เดอะมอลล์ สาขาบางกะปิ ได้รับรางวัล บอนไซ ชนะการประกวด ประเภทน้องใหม่ เมื่อ วันที่ 5-7 มิถุนายน พ.ศ. 2558 ที่ผ่านมา

ส่วนการขาย คุณครูว่า “มันบอกยาก ต้องอยู่ที่ความเก่า ความใหญ่ ฟอร์มสวย แล้วก็ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของผู้ซื้อและผู้ขายมาตกลงกัน แต่คิดจาก ถ้าเขาจ้างเลี้ยง จะมีราคา 200 บาท ต่อเดือน (เลี้ยงจากไม้ขนาดใหญ่) ถ้า 100 บาท ต่อเดือน (เลี้ยงจากไม้ขนาดเล็ก) รวมอุปกรณ์ทุกอย่าง จะใช้เวลาในการเลี้ยง 5-20 ปี แล้วแต่สายพันธุ์ เพราะเหตุนี้จึงทำให้ประเมินราคาขายได้ยาก”

บอนไซ เลี้ยงยากหรือไม่

คุณครูกล่าวว่า “บอนไซ เลี้ยงไม่ยาก แต่ต้องคอยหมั่นสังเกต เพราะเหมือนลูกอ่อน และเป็นไม้ที่เราบังคับเขา แต่จะตามใจไม่ได้ จะทำให้ กิ่งบวม ลำต้นยืด มันจะไม้สวย” การดูแล ให้น้ำ 1 ครั้ง ต่อวัน ถ้าเป็นฤดูร้อน ให้ 2 ครั้ง ต่อวัน ให้ปุ๋ย 3-4 เดือนครั้ง โดยผู้เลี้ยงจะต้องหมั่นสังเกตลักษณะอาการ สภาพของบอนไซว่า มีลักษณะเป็นอย่างไร และให้ดูแลรักษาตามอาการที่แสดงออกมา

ดินของบอนไซจะเปลี่ยนปีละ 1 ครั้ง แต่บอนไซต้องอยู่ในดินเก่า 6 เดือนขึ้นไป สำหรับกระถาง คุณครูกล่าวว่า “กระถางนี้ จะต้องดูฟอร์มของไม้เป็นเกณฑ์ว่าไม้สามารถไปได้แค่ไหน ที่ทำอยู่ไม้เร็ว จะอยู่ที่ 2-3 ปี เปลี่ยนที แต่ถ้าเป็นไม้ช้า อาจจะ 3-5 ปี เปลี่ยนกระถางที”

โรคและแมลงที่พบมี โรครากเน่า เกิดจากเชื้อราภายในดิน อาการใบของบอนไซจะเริ่มมีสีเหลือง และต้นจะโตช้า วิธีป้องกัน ให้กำจัดทิ้งทันที เพื่อไม่ให้ระบาดไปยังต้นอื่น แมลงเจาะต้น วิธีป้องกัน ใช้สารชีวภาพ ซึ่งเป็นสารสกัดสมุนไพรจากธรรมชาติ หรือใช้สารเคมีกำจัดแมลง (ใช้ในปริมาณที่เหมาะสม) ฉีดพ่นในบริเวณที่พบสาเหตุ

สำหรับผู้ที่เริ่มเลี้ยงบอนไซ

คุณครูบอกว่า สำหรับคนที่เริ่มเลี้ยง อย่าเพิ่งท้อ สามารถเข้าไปปรึกษาคุณครูได้ และแนะนำให้เลี้ยงไม้เนื้ออ่อนก่อน เพราะมันโตเร็ว แล้วจะทำให้ผู้เลี้ยงมีกำลังใจ

นอกจากบอนไซแล้ว คุณครูยังจำหน่าย ข่อยช่อ ตะโกช่อ และสำหรับผู้ที่สนใจบอนไซและอยากได้คำปรึกษา ติดต่อได้ที่ 139/1 หมู่ที่ 8 ตำบลเกาะพลับพลา อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี 70000 โทรศัพท์ (032) 369-083, (081) 944-3645 Facebook : บอนไซ-ไม้ดัด ครูสมพงษ์ Sompong Bonsai

บ้านสวย ด้วยสีสันจากไม้ใบ ผลงาน กำนันอัมพร จุ้ยบาง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05044010958&srcday=2015-09-01&search=no

วันที่ 01 กันยายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 606

ไม้ดอกไม้ประดับ

ณัชชา เต็นภูษา

บ้านสวย ด้วยสีสันจากไม้ใบ ผลงาน กำนันอัมพร จุ้ยบาง

หลายท่านคงพอจะรู้จักไม้ใบกันอยู่บ้าง หรือบางท่านที่พอได้ยินก็อาจจะนึกถึงไม้ขนาดย่อมสีเขียวๆ ซึ่งวันนี้จะพาท่านผู้อ่านไปชมที่สวนบ้านใกล้เรือนเคียงกัน ที่ขับรถผ่านตั้งหลายหน แต่ไม่มีโอกาสไปเยี่ยมเยียนสักที ลองมาดูว่า จริงๆ แล้วไม้ใบนั้นมีหลากหลายสายพันธุ์ ซึ่งก็มีสีสันและลูกเล่นที่แตกต่างกันออกไป สามารถนำมาใช้ทดแทนไม้ดอกสวยๆ จากเมืองหนาวที่เริ่มขาดหายไปได้อย่างดี แถมยังดูแลง่ายกว่าอีกด้วย

คุณอัมพร จุ้ยบาง เรียนจบปริญญาตรี คณะศึกษาศาสตร์ วิชาเอกการประถมศึกษา จากมหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม จากนั้นก็ได้ไปสอนอยู่ที่โรงเรียนวัดสะพาน คลองเตย เป็นเวลา 5 ปี ภายหลังได้สมรสกับ คุณอำพัน จุ้ยบาง และตัดสินใจออกมาทำต้นไม้เต็มตัว

คุณอัมพร กล่าวว่า ตนเป็นลูกชาวสวนแต่ดั้งเดิม ซึ่งพื้นที่ในอำเภอบางกรวย ส่วนใหญ่จะปลูกไม้ยืนต้น ไม้ผล และครอบครัวของตนก็เช่นกัน แต่เนื่องจากวิกฤติการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ เมื่อปี 2538 ที่ทำให้ไม้ยืนต้นตายหมด ตนและสามีจึงคิดที่จะหันมาทำไม้ประดับแทนไม้ยืนต้นขนาดใหญ่

ปลูก พลูทอง ขายง่าย

กำไรดี แต่ลงแรงเยอะ

พลูทอง เป็นพรรณไม้เถาเลื้อย ตระกูลเดียวกับพลูด่าง การปลูกจะต้องทำค้างให้พลูเลื้อยขึ้น โดยใช้เสาไม้เต็ง ไม้รัง หรือไม้ทองหลางปักเป็นหลัก คุณอัมพรและสามีปลูกเลี้ยงพลูทองและขยายพันธุ์เพื่อจำหน่าย ณ ตอนนั้นรายได้อยู่ในเกณฑ์ดี คุณอัมพร บอกว่า ทำอยู่ปีเดียวก็สามารถซื้อที่ดินเพิ่มได้แล้ว แต่เนื่องด้วยแรงงานที่จำกัด และมีขั้นตอนในการปลูกที่ต้องลงแรงเยอะ จึงคิดจะเปลี่ยนไปทำไม้ใบชนิดอื่นแทน

คุณอำพัน ได้ปรึกษากับ อาจารย์สุรัตน์ วรรณโน ท่านเป็นนักสะสมพันธุ์ไม้แปลกและหายากคนสำคัญของไทย ซึ่งเคยเข้าไปดูไม้ใบที่สวนของครอบครัวจุ้ยบาง และพบว่า คุณอำพันสามารถเพาะพันธุ์ไม้ใหม่ๆ ขึ้นมาได้หลายชนิด เลยติดต่อกันเรื่อยมา และท่านได้ให้คำแนะนำว่าให้ลองปลูกไม้ตระกูลฟิโลเดนดรอน

ในช่วงแรกนั้น อาจารย์สุรัตน์ได้นำพันธุ์ไม้ตระกลูฟิโลเดนดรอนมาให้คุณอำพัน และคุณอำพันก็ได้ผสมพันธุ์เพื่อให้มีพันธุ์ใหม่มากขึ้น ผลปรากฏว่าขายดีมาก จึงนำต้นพันธุ์ของตนเองไปจ้างบริษัทเอกชนให้เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อให้ แต่เมื่อนำมาปลูกขาย ปรากฏว่าตามท้องตลาดก็มีต้นแบบเดียวกับของคุณอำพัน ซึ่งเมื่อสอบถามแล้วทางบริษัทก็บอกว่า มีคนซื้อของคุณอำพันไปทำต่อและเพิ่งเพาะไปได้ไม่นาน แต่ก็ยังน่าแปลกใจ เพราะขายได้ในเวลาเดียวกัน

จากนั้น ทั้งคู่จึงตัดสินใจที่จะขยายพันธุ์โดยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ โดยที่จะทำห้องปฏิบัติการเองทั้งหมด จึงไปศึกษาหาความรู้ ทั้งๆ ที่ไม่เคยมีความรู้ทางด้านการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชมาก่อนเลย

คุณอำพัน ไปเรียนรู้การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ที่สำนักส่งเสริมและฝึกอบรมการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ส่วนคุณอัมพรก็ไปเรียนรู้ ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน และกลับมาทำห้องปฏิบัติการเอง

จากนั้นก็เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อไม้ตระกูลฟิโลเดนดรอนออกมาได้เยอะ และคุณอำพันก็ได้ผสมไม้จำพวก หน้าวัว ใบที่สวยๆ แปลกตาออกมาได้หลายต้น โดยมีอาจารย์สุรัตน์เป็นที่ปรึกษา แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายเมื่อคุณอำพันเสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ในปี 2550 จากนั้นคุณอัมพรจึงสานต่องานแต่เพียงผู้เดียว

ก้าวผ่านอุปสรรคครั้งใหญ่

การผลิตไม้ใบอย่างครบวงจรกำลังดำเนินไปได้สวย มีตลาดรองรับ มีลูกค้าประจำมากมายทั้งในและต่างประเทศ แต่ก็กลับพบกับวิฤติครั้งยิ่งใหญ่ นั่นคือมหาอุทกภัยในปี 2554 นั่นเอง

“เสียหายหลายล้านเหมือนหมดตัว มีที่เป็น 10 ไร่ จมน้ำหมดทุกที่ ตอนนั้นไม่เหลืออะไรเลย” คุณอัมพร กล่าว

นับได้ว่าเป็นช่วงที่เกือบจะย่ำแย่ที่สุด เพราะไม้ทุกชนิดที่เพาะไว้ก็เสียหายหมด แม้กระทั่งต้นหมากแดงที่ปลูกไว้ตามสันร่องและริมร่องก็ตายหมด รวมถึงห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ พืชที่กำลังเพาะเลี้ยงก็เสียหายหมด แต่ก็ยังนับว่าโชคดี เพราะสิ่งที่เหลือติดตัวก็คือความรู้และประสบการณ์นั่นเอง

เมื่อผ่านพ้นวิกฤติช่วงนั้นมาได้ คุณอัมพรก็ตัดสินใจรีบฟื้นฟูทุกอย่างขึ้นมา ถึงแม้จะท้อแท้ลงมากก็ตาม แต่ก็ยังใจสู้ เพราะคิดว่าอาชีพของตนคือชาวสวน ถ้าไม่ทำต้นไม้แล้วจะทำอะไร แต่ด้วยแรงงานที่ขาดหายไป 1 แรง และตอนนั้นตนเองก็มีตำแหน่งเป็นกำนันตำบลบางขนุนแล้วด้วย จึงทำเท่าที่ตนทำไหว คุณอัมพรเลิกเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเอง เปลี่ยนมาเป็นสั่งจากบริษัทเอกชนมาคราวละมากๆ แทน ส่วนห้องปฏิบัติการก็ยังมีอุปกรณ์ครบครัน หากใครสนใจมาขอเช่าทำก็ให้เช่าได้

ไม้ใบสวยงาม

ฟิโลเดนดรอน อะโกลนีมา

ไม้ที่คุณอัมพรปลูก เป็นไม้ในร่ม ไม่ต้องการแสงแดดมาก มีสีสันสวยงาม และพวกไม้เศรษฐกิจ มีทั้งไม้สวยงามนำไปจัดตกแต่งสวนหรือประดับบ้านได้ มีหลายสกุล ทั้งฟิโลเดนดรอน และ อะโกลนีมา อย่างหน้าวัวใบที่มีหลายรูปแบบ แต่ที่ทำเยอะที่สุดเห็นจะเป็นฟิโลเดนดรอน เพราะทำมาตั้งแต่ดั้งเดิม แต่ก็ไม่ได้มีแต่ไม้แบบเดิมๆ เท่านั้น เพราะคุณอัมพรหมั่นหาไม้สวยๆ มาขยายพันธุ์เพิ่มอยู่ตลอด

สำหรับมือใหม่ที่สนใจจะเลี้ยงต้นไม้ประเภทไม้ใบ คุณอัมพรแนะนำให้ลองเลี้ยงพวก หน้าวัวใบ ไม้ด่าง หรือจะเป็นหน้าวัวดอกก็ได้ เพราะดูแลไม่ยาก ศัตรูพืชไม่เยอะ ใช้พื้นที่ในการปลูกน้อย เพราะไม่ใช่ไม้ใหญ่ และสวยอยู่นาน อาจจะเริ่มปลูกจากทีละน้อย ถ้าเริ่มดูแลเป็นแล้วค่อยเริ่มชนิดอื่นไปเรื่อยๆ ก็ได้

การดูแล คุณอัมพร บอกว่า สองสามวันค่อยรดน้ำครั้งหนึ่งก็ได้ แต่น้ำที่ใช้จะใช้น้ำเค็มไม่ได้ เพราะใบจะไหม้ อย่างที่สวนของคุณอัมพร จะใช้น้ำฝนที่พักไว้ในบ่อที่ขุดขึ้นมาเพื่อเก็บน้ำไว้โดยเฉพาะ หรือถ้าหน้าแล้งก็จะไปขอน้ำจากทางจังหวัดมาใช้

การให้ปุ๋ย 2-3 เดือน ค่อยให้ครั้งหนึ่ง เป็นปุ๋ยสูตรละลายช้า การจัดการเรื่องโรค จะมีช่วงหน้าฝนที่ต้นไม้จะเป็นราง่าย ก็ให้ยากำจัดเชื้อราสักครั้งหนึ่ง

วัสดุปลูกที่ใช้ คุณอัมพรจะใช้กาบมะพร้าวสับแช่น้ำ เพราะเป็นวัสดุที่ระบายน้ำได้ดี และเก็บรักษาความชื้นไว้ได้ ถ้าหากเป็นไม้พวกฟิโลเดนดรอนก็จะผสมดินลงไปด้วย แต่ถ้าเป็นหน้าวัวใบจะไม่ใช้ดินเลย เพราะต้นไม้ชนิดนี้ไม่ชอบดิน

ปัจจุบัน คุณอัมพรยังเป็นสมาชิกกลุ่มไม้ดอกไม้ประดับหน้าวัว เป็นกลุ่มของจังหวัดนนทบุรี ที่ตั้งมาเพื่อส่งเสริมการขายหน้าวัวเป็นอาชีพ โดยจะได้รับการสนับสนุนงบประมาณหรือต้นไม้มาบ้างในบางครั้ง เพื่อให้สมาชิกในกลุ่มนำไปปลูกเลี้ยงเพื่อขายเป็นอาชีพ ในปัจจุบัน มีสมาชิกประมาณ 40-50 คน หน้าวัวที่ปลูกเป็นประเภทหน้าวัวดอก

ในด้านของการตลาด คุณอัมพรมีหน้าร้านอยู่ที่ตลาดนัดจตุจักร ขายทุกวันอังคารถึงวันพฤหัสบดี ถึงจะมองว่าตลาดไม้ใบซบเซาลงมาก เนื่องจากภาวะทางเศรษฐกิจที่เสื่อมถอยลง แต่คุณอัมพรก็ยังมองว่า ตลาดต้นไม้ตลาดนัดจตุจักรเป็นที่รู้จักมานาน จึงเป็นแหล่งจำหน่ายที่เหมาะสมที่สุด

ลูกค้าประจำส่วนใหญ่มีทั้งรายใหญ่และรายย่อย จำพวกแม่ค้าที่มารับไปขายต่อ และนักสะสมต้นไม้ หรือผู้ที่สนใจที่ติดตามมาจากการที่คุณอัมพรเคยไปออกงานประจำปี อย่างงานเกษตรแฟร์ และงานไม้งามอร่ามสวนหลวง ร.9

ช่วงนี้ไม้ใบที่สวนคุณอัมพรกำลังงามได้ที่ พร้อมจำหน่าย เป็นไม้กระถางที่นำไปปลูกลงดินก็งาม หากใครกำลังอยากได้ไม้ประดับในที่ร่มแสงแดดรำไร ไว้ตกแต่งชมเล่นเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ หรือจะลองนำไปปลูกเลี้ยงเป็นงานอดิเรก ก็ถือว่าเป็นกิจกรรมยามว่างที่ดีทีเดียว

ราคามีตั้งแต่หลักสิบ ประมาณ 50 บาท เป็นต้นไป แล้วแต่ขนาดและสายพันธุ์

หากใครสนใจ ไม้ประดับประเภทไม้ใบที่ดูแลง่าย สีสันสวยงาม ไม่ว่าจะเป็นในด้านการสอบถามความรู้เพิ่มเติม หรือสนใจรับไปจำหน่ายต่อ ก็สามารถติดต่อไปได้ ที่หมายเลขโทรศัพท์ (081) 458-3920 คุณอัมพร จุ้ยบาง หรือจะเข้าไปติดต่อด้วยตนเองก็ไปได้ ที่บ้าน เลขที่ 63/8 หมู่ที่ 4 ตำบลบางขนุน อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี 11130 หรือจะให้ไปง่าย ก็ตั้ง GPS ไปที่อำเภอบางกรวย เข้าไปทางตำบลบางขนุน แล้วถามคนแถวนั้นว่า บ้านกำนันอัมพร ไปทางไหนก็ได้