Aec Go On 18/06/59

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย 18 มิ.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/640922

 

กลับมาพูดถึง ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดใน AEC และในกลุ่ม IMT–GT อีกครั้ง เนื่องจากในปี 2558 อินโดนีเซียมีขนาดเศรษฐกิจหรือ GDP อยู่ที่ระดับประมาณ 8.96 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจัดเป็นประเทศที่ขนาด GDP ใหญ่ เป็นอันดับที่ 16 ของโลกและใหญ่เป็นอันดับ 1 ของ AEC โดยใหญ่กว่าประเทศอันดับ2 คือไทยที่มีขนาด GDP ประมาณ 4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของ AEC และ IMT-GT กว่าเท่าตัว

จากการคาดการณ์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF คาดว่าเศรษฐกิจของอินโดนีเซียจะมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วง 5 ปีข้างหน้าตั้งแต่ปี 2559 ถึง 2564 ประมาณ 5-6% ต่อปี แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีในระยะยาว และขนาดเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายใหญ่ขึ้นติดในระดับโลกเป็นลำดับ จนบริษัท Price waterhouseCoopers หรือ PwC ได้ออกรายงานคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจสำคัญของโลก โดย PwC คาดว่าอินโดนีเซียจะมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 11 และ 8 ของโลกในปี 2573 และ 2593 ตามลำดับ

การที่อินโดนีเซียมี 1,890,754 ตารางกิโลเมตรซึ่งจัดเป็นประเทศที่มีพื้นที่ใหญ่อันดับที่ 15 ของโลกและเป็นประเทศหมู่เกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ประกอบด้วยเกาะใหญ่น้อยกว่า 17,508 เกาะ จึงมีความหลากหลายและอุดมสมบูรณ์ด้วยทางทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ แร่ธาตุต่างๆ การเกษตรและการประมง

นอกจากนี้ อินโดนีเซียยังเป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรสูงสุดเป็นอันดับที่ 4 ของโลก โดยมีประชากรประมาณ 255 ล้านคน ถ้าดูโครงสร้างของประชากรพบว่าประชากรส่วนใหญ่คือวัยรุ่นและวัยทำงาน โดยประชากรที่มีอายุระหว่าง 0-14 ปี 15-29 ปี 30-54 ปี 55-64 ปี และอายุเกิน 65 ปีขึ้นไป 25.8% 17.1% 42.3% 8.2% และ 6.6% ตามลำดับ และอินโดนีเซียยังเป็นรัฐอิสลามใหญ่ที่สุดในโลก จึงทำให้อินโดนีเซียดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลกทั้งขนาดของตลาด กำลังซื้อและอำนาจซื้อในอนาคต พร้อมทั้งความมั่งคั่งของทรัพยากรธรรมชาติและแรงงานครับ.

ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ

 

AEC Go On 11/06/59

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 11 มิ.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/635886

 

“ถ้าจะซื้ออนาคตกับกัมพูชาก็น่าลงทุนในหลายสาขาการผลิต แต่ถ้าจะหวังผลในระยะสั้น ท่องเที่ยวและบริการดูจะเป็นสาขาที่น่าสนใจที่สุดสำหรับคนไทย” คือประโยคสุดท้ายที่ผมได้ทิ้งท้ายเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ขอขยายความต่อให้จบในสัปดาห์นี้เลยนะครับ

ที่ผมบอกว่าให้ซื้ออนาคต เพราะกัมพูชาเป็นประเทศที่กำลังก่อร่างสร้างตัว จึงเห็นการก่อสร้างถนนหนทางเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง การลงทุนจากต่างประเทศมีมากขึ้นเป็นลำดับโดยเฉพาะจากจีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น จึงไม่น่าแปลกใจที่คอนโดมิเนียมในกรุงพนมเปญจึงผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดและยังมีการก่อสร้างกันอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจของกัมพูชาสามารถเติบโตได้ 7-8% ได้อย่างต่อเนื่องต่อไปอีกอย่างน้อย 10 ปีข้างหน้า และเติบโตได้ 5-6% ภายใน 20 ปีข้างหน้า

ถ้าไปดูสภาพการจราจรในเมืองหลวงที่ติดขัดทุกเส้นทางตลอด

ทั้งวัน ก็คงเป็นสิ่งบอกเหตุได้ว่าเศรษฐกิจกัมพูชาเติบโตได้อย่างดี และถ้า ดูจำนวนรถยนต์ที่อยู่ในโชว์รูมแล้วจะรู้สึกทันทีว่าความเป็นเมือง (urbanization) กำลังจะเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางในกัมพูชาในช่วง 10 ปีข้างหน้า

ถ้าดูโครงสร้างของประชากรของกัมพูชาที่มีจำนวน 15.5 ล้านคนซึ่งมีอัตราการเกิด 1.63% ต่อปีนั้น พบว่าประชาการส่วนใหญ่คือวัยรุ่นและวัยทำงาน โดยประชากรที่มีอายุระหว่าง 0-14 ปี 15-29 ปี 30-44 ปี 45-64 ปี และอายุเกิน 65 ปีขึ้นไป 31.9% 31.7% 18.8% 13.8% และ 3.8% ตามลำดับ แสดงให้เห็นว่าการเจริญเติบโตของขนาดของตลาด กำลังซื้อและอำนาจซื้อในอนาคตจะเกิดขึ้นอีกมาก เพราะประชากรของกัมพูชากำลังกิน กำลังใช้เพราะเป็นประเทศวัยรุ่นที่กำลังมีเงินเพิ่มขึ้น

ที่สำคัญจากการสอบถามจากหลายฝ่ายน่าจะยืนยันได้ว่า คนกัมพูชา นิยมสินค้าไทยอย่างมาก และนิยมชมชอบในการผูกมิตรมากที่สุด ถ้าเรามอบความจริงใจให้คนกัมพูชาอย่างเต็มที่ เขามอบใจให้เราเกินร้อยครับ.

ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ

 

AEC Go On 04/06/59

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 4 มิ.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/631178

 

ไปกัมพูชารอบนี้เมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมากับนักศึกษาหลักสูตร TEPCoT ผมรู้สึกว่าเศรษฐกิจและเมืองกัมพูชาเติบโตมากกว่าปีที่ผ่านๆมาอย่างมาก การก่อสร้างมีให้เห็นอย่างดาษดื่นทั้งการก่อสร้างถนนหนทางและอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมในกรุงพนมเปญ จึงไม่แปลกใจเลยที่เศรษฐกิจของกัมพูชามีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจปีละ 7% ต่อเนื่องในระยะหลังๆ

เศรษฐกิจของกัมพูชาที่เติบโตโดดเด่นในระยะหลัง เป็นผลพวงมาจากการนโยบายการพัฒนาประเทศที่ชัดเจน ผ่านการพัฒนาอุตสาหกรรมแทนการนำเข้าและอุตสาหกรรมส่งออกที่เน้นการใช้แรงงานเป็นสำคัญ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมสิ่งทอที่เติบโตอย่างโดดเด่น อีกทั้งยัง มีนโยบายส่งเสริมการลงเพราะทุนจากต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในประเทศกัมพูชาได้เสรีและมีมาตรการส่งเสริมการลงทุนที่ดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศ อีกทั้งยังเติมแต้มต่อด้วยการมีสิทธิพิเศษทางศุลกากรหรือ GSP จากประเทศพัฒนาที่ให้กับประเทศที่พัฒนาน้อยเฉกเช่น กัมพูชา เป็นแรงจูงใจให้นักลงทุนจากต่างประเทศ เพราะจะมีการเสียภาษีนำเข้าในอัตราที่ต่ำมากสำหรับสินค้าที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ และยุโรป

รัฐบาลกัมพูชาพยายามผลักดันให้นักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนในสาขาการผลิตที่ไม่ใช่สิ่งทอมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันเศรษฐกิจของกัมพูชาพึ่งพาอุตสาหกรรมสิ่งทออย่างมาก โดยอุตสาหกรรมสิ่งทอมีสัดส่วนสูงถึง 16% ของ GDP กัมพูชา และมีสัดส่วนในการส่งออกสูงถึง 70-80% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมดของกัมพูชาไปยังตลาดโลกซึ่งคิดเป็น 1.2% ของการส่งออกทั้งโลกนับว่าใหญ่มากครับ ซึ่งกัมพูชาพยายามสนับสนุนอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานอื่นๆ เช่น อุตสาหกรรมอาหาร หรืออุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยี เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า แต่ปัญหาที่สำคัญของกัมพูชา ณ ขณะนี้ ซึ่งกัมพูชาก็ทราบดีและกำลังแก้ไขอยู่คือ ปัญหาราคาค่าไฟฟ้าค่อนข้างสูงเกือบ 2 เท่าของประเทศไทย และต้นทุนของ logistics สูงเพราะราคาน้ำมันสูงกว่าไทยและถนนหนทางยังไม่ค่อยดีนัก ถ้าจะซื้ออนาคตกับกัมพูชาก็น่าลงทุนในหลายสาขาการผลิต แต่ถ้าจะหวังผล ในระยะสั้น ท่องเที่ยวและบริการดูจะเป็นสาขาที่น่าสนใจที่สุดสำหรับคนไทยครับ.

ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ

 

AEC Go On 28/05/59

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/626639

โดย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย 28 พ.ค. 2559 05:01

 

ก่อนที่จะพูดถึงประเทศอินโดนีเซียต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว ผมขอคั่นรายการโดยจะย้อนกลับมาพูดถึงประเทศกัมพูชาสัก 2-3 สัปดาห์ เพราะผม (ในฐานะผู้อำนวยการหลักสูตร) เพิ่งเดินทางไปประเทศกัมพูชามาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยนำคณะนักศึกษา หลักสูตรผู้บริหารระดับสูงด้านการค้าและการพาณิชย์ (Top Executive Program in Commerce and Trade) หรือเรียกกันสั้นๆ ว่า “หลักสูตร TEPCoT” รุ่นที่ 9 จำนวน 100 คน ไปศึกษาดูงานที่กัมพูชารวม 4 วัน เลยคิดว่าน่าจะนำข้อมูลสดๆใหม่ๆ มาเล่าสู่กันฟังในคอลัมน์นี้

ในระยะ 4 ปีที่ผ่านมาผมได้เดินทางไปกัมพูชาทุกปีครับโดยไปเสียมเรียบที่เป็นที่ตั้งของนครวัดนครธมตลอด 3 ปีที่ผ่านมา และไปกรุงพนมเปญเมืองหลวงของกัมพูชาเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ในปีนี้ผมและคณะนักศึกษา TEPCoT เดินทางไปกรุงพนมเปญและเสียมเรียบ ที่กรุงพนมเปญ พวกเราได้มีโอกาสเข้าพบและรับฟังข้อมูลตลอดจนเป้าหมายและนโยบายของกัมพูชาจาก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ฯพณฯ จอม ประสิทธ์ ซึ่งเป็นอดีตรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์มา 19 ปี และดำรงตำแหน่งปัจจุบันมาแล้ว 4 ปี ถือว่ามีความต่อเนื่องในการวางนโยบายทั้งพาณิชย์และอุตสาหกรรมมาโดยตลอด

นอกจากนี้ ยังได้มีโอกาสเข้าพบปลัดกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งมาแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ซึ่งติดภารกิจเดินทางไปรัสเซียในช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่นายกรัฐมนตรีของไทยเดินทางไปรัสเซีย ซึ่งน่าจะตีความได้ว่ารัสเซียต้องการสร้างความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับ AEC มากขึ้น อีกทั้งยังได้รับฟังข้อมูลและมุมมองต่างๆ จาก เอกอัครราชทูตไทยประจำกัมพูชา ท่านณัฏฐวุฒิ โพธิสาโร และได้เข้าเยี่ยมชมนิคมอุตสาหกรรมที่กรุงพนมเปญ ซึ่งทำให้เห็นการเคลื่อนตัวทางเศรษฐกิจของประเทศกัมพูชามากขึ้น

หลังจากนั้น ได้ไปเยี่ยมชมนครวัดนครธมที่เมืองเสียมเรียบ เพื่อดูการจัดการระบบการท่องเที่ยวในเมืองมรดกโลกแห่งนี้ และดูงานการค้าชายแดนที่อรัญประเทศโดยได้มีโอกาสพบและพูดคุยกับผู้ว่าราชการจังหวัดบันเตียเมียนเจยและรองผู้ว่าราชการจังหวัดเสียมเรียบ ซึ่งมีข้อมูลหลายอย่างที่น่าสนใจมากครับ ขอเล่าต่อในสัปดาห์หน้านะครับ.

ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจ

AEC Go On 21/05/59

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/623179

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 21 พ.ค. 2559 05:01

 

เราจะเริ่มพูดถึงสมาชิกของ AEC ที่อยู่ใน IMT-GT ทีละประเทศโดยเริ่มต้นที่ ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นมหาอำนาจที่ใหญ่ที่สุดใน AEC และในกลุ่ม IMT–GT โดยมีขนาดเศรษฐกิจหรือ GDP อยู่ที่ระดับประมาณ 8.96 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2558 จัดเป็นประเทศที่ขนาด GDP ใหญ่เป็นอันดับที่ 16 ของโลกและใหญ่เป็นอันดับ 1 ของ AEC โดยใหญ่กว่าประเทศอันดับ 2 คือไทยที่มีขนาด GDP ประมาณ 4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กว่า 1 เท่า

นอกจากนี้ อินโดนีเซียยังเป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรสูงสุดเป็นอันดับที่ 4 ของโลก รองจากจีน อินเดีย และสหรัฐอเมริกา โดยมีประชากรประมาณ 255 ล้านคน และ อินโดนีเซียเป็นรัฐอิสลามใหญ่ที่สุดในโลก เพราะประชากรที่นับถือศาสนาอิสลามมีสูงถึง 85% ของประชากรทั้งประเทศหรือประมาณ 220 ล้านคน ประเทศอินโดนีเซียจึงเป็นประเทศที่มีความน่าสนใจอย่างมากเพราะมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่และมีจำนวนประชากรเป็นจำนวนมาก

อินโดนีเซียมีชื่ออย่างเป็นทางการคือ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย (Republic of Indonesia) โดยครองอันดับหนึ่งของโลกอีกรายการหนึ่งก็คือ เป็นหมู่เกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลกและใน AEC ที่ตั้งอยู่ระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกกับมหาสมุทรอินเดีย และระหว่างทวีปเอเชียกับออสเตรเลีย ทำให้ อินโดนีเซียสามารถควบคุมเส้นทางการติดต่อระหว่าง 2 มหาสมุทร ผ่านช่องแคบสำคัญต่างๆ คือ ช่องแคบมะละกา ช่องแคบซุนดรา และช่องแคบล็อมบ็อก ซึ่งจัดเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันที่สำคัญ จากตะวันออกกลางมายังประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชีย

การที่สภาพที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของประเทศอินโดนีเซีย มีลักษณะแยกกันเป็นหมู่เกาะมากมาย และมีอาณาเขตกว้างใหญ่ ประชากรในแต่ละพื้นที่ในแต่ละเกาะจะติดต่อกันได้ยาก อีกทั้งประชากรอินโดนีเซียประกอบด้วยหลายเชื้อชาติและเผ่าพันธุ์ ทำให้แต่ละภูมิภาคมีรูปแบบวัฒนธรรมของตนเอง และมีภาษาที่ใช้ในแต่ละพื้นที่แตกต่างกันไป การทำความเข้าใจชาวอินโดนีเซียอย่างถ่องแท้จึงต้องเข้าใจคนในพื้นที่นั้นๆ ว่าเป็นเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ใด ไม่ว่าจะยากเย็นแค่ไหนก็ตาม เมื่อนึกถึงว่าอินโดนีเซียเป็นตลาดใหญ่ที่มีอนาคตสดใส นานาชาติจึงสนใจที่เข้าไปลงทุนในอินโดนีเซียมากขึ้นเป็นลำดับ.

ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ.

AEC Go On 14/05/59

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/619680

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 14 พ.ค. 2559 05:01

 

ก่อนที่จะเข้าไปเจาะดูรายละเอียดของ ประเทศสมาชิกของ IMT–GT ในสัปดาห์หน้านั่นก็คือ อินโดนีเซียและมาเลเซีย ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจของ AEC ผมขอพูดถึง IMT-GT ในภาพรวมในสัปดาห์นี้อีกครั้งนะครับ ก่อนที่ผมจะเขียนเรื่อง IMT-GT เอง รู้สึกว่าในระยะหลังๆข่าวของ IMT-GT น้อยลงมากในประเทศไทยเพราะเป็นการรวมกลุ่มเชิงพื้นที่ ไม่ใช่การรวมกลุ่มระดับประเทศ

แต่เมื่อเข้าไปดูข้อมูลใน http://www.imtgt.org และ http://www.asean.org รวมถึง website ของหน่วยงานรัฐบาลไทย พบว่ามีการประชุมในทุกระดับตั้งแต่ระดับผู้นำจนถึงผู้ปฏิบัติทั้งภาครัฐและภาคเอกชนอย่างต่อเนื่องทุกปีจนถึงปัจจุบันในปี 2559 ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีที่ชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในกลุ่ม GMS หรือ “AEC บก” ที่มีเวทีความร่วมมือทางเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการเพิ่มอีกหนึ่งเวทีกับยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจของ AEC คืออินโดนีเซียและมาเลเซีย ทำให้ความคุ้นเคยสนิทสนมระหว่างไทยกับประเทศมุสลิมมีมากขึ้นและแน่นแฟ้นขึ้น แน่นอนว่านี่คือแต้มต่อที่ดีของไทยอีกประการหนึ่ง

ล่าสุด เมื่อปีที่แล้ว 28 เมษายน 2558 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำ IMT–GT ครั้งที่ 9 ที่รัฐเคดาห์ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งได้มีการพูดคุยกันถึงเรื่องการขับเคลื่อนแผนงาน IMT–GT ภายใต้แผน 5 ปีระยะที่ 2 ระหว่างปี 2555–2559 (IMT–GT Implementation Blueprint 2012–2016) ซึ่งเน้นความสำคัญ 7 เรื่อง

เรื่องแรก ได้แก่ การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษร่วมกันรวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรวมทั้งด่านศุลกากรและการอำนวยความสะดวกบริเวณชายแดน เรื่องที่สอง การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งทั้งทางบก ทางอากาศและทางทะเลให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เรื่องที่สาม การสร้างความเข้มแข็งให้พื้นที่ IMT-GT จะต้องให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืน เรื่องที่สี่ การพัฒนาความร่วมมือด้านผลิตภัณฑ์และบริการฮาลาล เรื่องที่ห้า การพัฒนาด้านกฎระเบียบ กฎหมายและนโยบายให้สอดคล้องกัน เรื่องที่หก การพัฒนาด้านการประมง และ เรื่องที่เจ็ด การพัฒนาด้านการเกษตร การประชุมระดับผู้นำทุกปีและมีแนวทางพัฒนาที่ชัดเจน ชี้ชัดว่า ไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย มุ่งมั่นสร้างความสัมพันธ์กันอย่างแท้จริง.

ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ

AEC Go On 07/05/59

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/616202

โดย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย 7 พ.ค. 2559 05:01

 

ความร่วมมือในกรอบเขตเศรษฐกิจสามฝ่ายอินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย หรือ IMT–GT ที่เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2536 นั้น มีวัตถุประสงค์ที่สำคัญในการจัดตั้งคือ เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ โดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตและขีดความสามารถในการพัฒนาเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ อีกทั้งยังเป็นการช่วยลดต้นทุนการผลิตและลดการแข่งขันกันเอง เพื่อให้สินค้าของประเทศสมาชิกสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ดียิ่งขึ้น

นอกจากนี้ การจัดตั้ง IMT-GT ยังเป็นการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างพื้นที่ร่วมโครงการของทั้ง 3 ประเทศ และกระตุ้นให้ประเทศสมาชิกมีการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีในการผลิต เพื่อแก้ไขปัญหาการกระจุกตัวของเมือง หรือเขตอุตสาหกรรมของสมาชิกผ่านการกระตุ้นให้เศรษฐกิจของพื้นที่เป้าหมายใน IMT-GT เติบโตอย่างรวดเร็ว

สำหรับสาขาเศรษฐกิจและธุรกิจที่ IMT-GT เน้นให้ความสำคัญได้แก่ สาขาโครงสร้างพื้นฐานและการคมนาคม รวมถึงโลจิสติกส์ เพื่อเชื่อมโยงพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งระหว่างพื้นที่ของทั้ง 3 ประเทศ ให้มีความสะดวกมากขึ้น รวมถึงการผ่อนคลายกฎระเบียบ ขั้นตอนทางศุลกากรและการผ่านแดน สาขาการค้าและการลงทุน โดยการเร่งรัดปรับปรุงกฎระเบียบที่แตกต่างกัน สาขาการท่องเที่ยว พัฒนาความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวทั้งภายในกลุ่มสมาชิกและจากต่างประเทศ

สาขาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เน้นศึกษาแนวทางพัฒนาบุคลากรและฝึกอบรมร่วมกัน ตลอดจนการถ่ายทอดเทคโนโลยีทางการผลิต สาขาการเกษตร ประมง อุตสาหกรรมการเกษตรและสิ่งแวดล้อม เพื่อดำเนินโครงการผลิตร่วมกันของอุตสาหกรรม การผลิตทางการเกษตร และธุรกิจประมง และสาขาสุดท้ายคือ สาขาผลิตภัณฑ์และบริการฮาลาล

ดังนั้น หากธุรกิจไทยจะลงใต้ไปยังกลุ่ม IMT–GT การเลือกเข้าไปในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่กล่าวมาข้างต้นจะทำให้การเจาะตลาด IMT–GT จะทำได้ง่ายดายขึ้นครับ.

ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย
ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ

Aec go on 30/04/59

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/613039

โดย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย 30 เม.ย. 2559 05:01

 

เรามาเริ่มทำความรู้จัก IMT–GT ซึ่งเป็นเขตความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่สำคัญอีกหนึ่งกลุ่มใน AEC ไม่แพ้ GMS เลยทีเดียว และถือว่าเป็นกลุ่มประเทศที่สำคัญของ AEC โดยรวม และกลุ่ม AEC ทะเล ที่มีศักยภาพในการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงทั้งในปัจจุบันและอนาคต อีกทั้งยังเป็นกลุ่มประเทศที่มีประชากรมาก และยังเป็นตลาดสินค้ามุสลิมหรือตลาดฮาลาลที่สำคัญของโลกอีกตลาดหนึ่งเช่นเดียวกัน

ความร่วมมือเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย–มาเลเซีย–ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle : IMT-GT) ได้เริ่มต้นขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2536 โดยผู้นำทั้ง 3 ประเทศได้เห็นชอบที่จะให้ผลักดันการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในลักษณะไตรภาคี ระหว่างภาคใต้ของไทย ภาคเหนือของมาเลเซีย และพื้นที่บนเกาะสุมาตราของอินโดนีเซีย โดยมีความตั้งใจที่จะพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ธุรกิจและด้านต่างๆ ในพื้นที่จังหวัดที่มีระดับการพัฒนาที่ยังไม่สูงนักในแต่ละประเทศสมาชิก

พื้นที่ความร่วมมือใน IMT–GT ประกอบด้วย พื้นที่ของเกาะ สุมาตราของอินโดนีเซียจำนวน 10 จังหวัด ได้แก่ แคว้นอาเจะห์ จังหวัดสุมาตราเหนือ จังหวัดสุมาตราตะวันตก จังหวัดสุมาตราใต้ จังหวัดบังลา–เบลิตุง จังหวัดเรียว จังหวัดจัมบี จังหวัดลัมปุง และจังหวัดเรียวไอร์แลนด์ พื้นที่ทางตอนเหนือและตะวันตกของมาเลเซียจำนวน 8 รัฐ ได้แก่ เคดาห์ เปรัก ปีนัง เปอร์ลิส เซลังงอร์ กลันตัน มะละกา และเนกรีเซมบีลัน และพื้นที่ 14 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ได้แก่ สงขลา ปัตตานี นราธิวาส ยะลา สตูล ตรัง พัทลุง นครศรีธรรมราช ภูเก็ต พังงา กระบี่ ระนอง ชุมพรและสุราษฎร์ธานี

ทั้งนี้ IMT–GT ครอบคลุมประชากรในพื้นที่ประมาณ 80 ล้านคน แยกเป็นอินโดนีเซีย 54 ล้านคน มาเลเซีย 16 ล้านคน และไทย 10 ล้านคน จากประชากรของทั้ง 3 ประเทศที่มีรวมกัน 350 ล้านคน จัดเป็นตลาดที่ใหญ่มากแห่งหนึ่งครับ ถ้าเราสร้างความร่วมมือในระดับพื้นที่ได้อย่างดี อาศัยภาคใต้เป็นภาคนำการเจาะเข้าสู่ตลาดใหญ่รวม 280 ล้านคน ในอินโดนีเซียและมาเลเซียจะทำได้ง่ายขึ้น.

ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ

AEC Go On 23/04/59

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/609480

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 23 เม.ย. 2559 05:01

 

เมื่อพูดถึง AEC ผมจะแบ่งกลุ่มประเทศสมาชิก AEC ออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ 2 กลุ่ม คือกลุ่ม AEC ที่อยู่บนบก กับกลุ่ม AEC ที่อยู่ในทะเล หรือจะเรียกให้เท่ๆ ก็คือ กลุ่ม AEC แม่น้ำ (River AEC) กับกลุ่ม AEC ทะเล (Ocean AEC) ขอย้ำกันก่อนนะครับว่าการแบ่งกลุ่ม AEC ออกเป็น 2 กลุ่มแบบนี้เป็นการแบ่งตามนิยามของผมเองไม่ใช่เป็นการแบ่งกลุ่มอย่างเป็นทางการของกลุ่มอาเซียนนะครับ

สำหรับกลุ่มประเทศ AEC ที่อยู่บนบกซึ่งอาจเรียกว่า “อาเซียนผืนแผ่นดินใหญ่” หรือ “AEC บก” ประกอบด้วย 5 ประเทศคือ กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนามและไทย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศกำลังพัฒนาขั้นแรกๆ ยกเว้นประเทศไทยที่มีระดับการพัฒนาประเทศที่สูงกว่าและระดับการพัฒนาใกล้เคียงกับกลุ่มประเทศ “AEC ทะเล” สมาชิกของ “AEC บก” ทั้งหมดอยู่ในกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขงหรือ GMS (Greater Mekong Subregion) ที่เราได้พูดถึงประเทศที่อยู่ในกลุ่ม CLMV ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศกลุ่มย่อยของ GMD ไปแล้วในหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา

ตอนนี้เราจะเริ่มต้นพูดถึงกลุ่มที่ 2 ต่อไป ก็คือ กลุ่มประเทศ AEC ที่อยู่ในทะเลซึ่งอาจเรียกว่า “อาเซียนเกาะ” หรือ “AEC ทะเล” ประกอบด้วย 5 ประเทศคือ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และบรูไน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มประเทศที่มีระดับการพัฒนาค่อนข้างสูงและเป็นประเทศสมาชิกอาเซียนรุ่นแรกเช่นเดียวกับไทยตั้งแต่ปี 2510 เป็นต้นมา (ยกเว้นบรูไนที่เป็นสมาชิกอาเซียนตั้งแต่ปี 2527) และถ้าจะดูให้ลึกเข้าไปอีกจะเห็นได้ว่ากลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่นับถือศาสนาอิสลามโดยส่วนใหญ่ (ยกเว้น ฟิลิปปินส์ที่ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์) กลุ่มนี้จึงเป็นตลาดฮาลาลหรือตลาดสินค้ามุสลิมที่สำคัญของ AEC และของโลก เนื่องจากมีประชากรจำนวนมากและมีกำลังซื้อสูง

ถ้าจะเริ่มต้นกลุ่ม AEC ทะเล คงต้องเริ่มที่กลุ่มประเทศที่อยู่กลุ่ม IMT-GT หรือประเทศที่อยู่ในโครงการความร่วมมือเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle : IMT-GT) ซึ่งเริ่มต้นความร่วมมือกันตั้งแต่ปี 2536 เป็นต้นมา ที่มาที่ไปเป็นอย่างไรคุยต่อสัปดาห์หน้านะครับ.

ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ

AEC Go On 09/04/59

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/602996

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 9 เม.ย. 2559 05:01

 

ปิดประเด็น “do and don’t in Veitnam” กันในสัปดาห์นี้นะครับ เราคุยเรื่องควรทำ (do) ในเวียดนามมาหลายครั้งแล้ว มาคุยเรื่องไม่ควรทำ (don’t) ในเวียดนามกันบ้างดีกว่า ขอเริ่มต้นเรื่องการพูดคุยสนทนากับชาวเวียดนามกันก่อนดีกว่านะครับ เพราะนี่คือด่านแรกของการสร้างความคุ้นเคยกัน

แม้ว่าคนเวียดนามจะชอบให้สนทนาพูดคุยหรือสอบถามเกี่ยวกับศาสนา รวมทั้งปรัชญาต่างๆ อีกทั้งชาวเวียดนามชอบพาเพื่อนต่างชาติไปเยี่ยมชมวัดเวียดนามด้วย เพราะคนเวียดนามเห็นว่าการสนทนาในหัวข้อดังกล่าวเป็นการแสดงถึงความมีอารยธรรม แต่ไม่ควรวิจารณ์หรือตัดสินความเชื่อด้านศาสนาของคนเวียดนามโดยเด็ดขาดนะครับ โกรธกันง่ายมาก แค่สนทนาแลกเปลี่ยนมุมมองซึ่งกันและกันก็พอครับ เรื่องที่ควรหลีกเลี่ยงระหว่างการสนทนาอีก 2 เรื่อง คือปัญหากับแรงงาน และประเด็นสงคราม โดยเฉพาะสงครามเวียดนาม-อเมริกา เพราะการสนทนาด้านสงครามยังเป็นประเด็นอ่อนไหวมาก เสี่ยงต่อความไม่พอใจในวงสนทนาอย่างมาก

ในการเดินทางไปสถานที่ต่างๆ ไม่ควรสวมหมวกและควรถอดรองเท้าก่อนเข้าสถานที่สำคัญ เช่น วัด พิพิธภัณฑ์ มหาวิทยาลัย เป็นต้น เพราะถือเป็นการลบหลู่ต่อสถานที่นั้นๆ และถ้ายังไม่สนิทสนมกันมากควรใส่เสื้อผ้าสีสุภาพไม่ฉูดฉาดและไม่ควรใส่เครื่องประดับมากจนเกินไปเพราะถือว่าไม่สุภาพ การสวมกางเกงขาสั้น กระโปรงสั้น และเสื้อสายเดี่ยวเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งในการเดินทางไปสถานที่สำคัญต่างๆกับชาวเวียดนาม

สังคมเวียดนามเป็นสังคมที่ยังคงความอนุรักษ์นิยม การแตะเนื้อต้องตัวเพศตรงข้ามและไม่ควรจับหรือสัมผัสศีรษะของบุคคลอื่นหรือส่งของข้ามศีรษะคนอื่น เพราะถือเป็นมารยาทที่ไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง เวลาสนทนากันก็ไม่ควรพูดด้วยน้ำเสียงดังและห้วนเพราะคนเวียดนามถือว่าเป็นมารยาทที่หยาบคาย นอกจากนี้ ไม่ควรชี้นิ้วใส่ผู้อื่นหรือสิ่งของต่างๆ ให้ใช้การผายมือแทน และไม่ควรยืนเท้าสะโพกหรือยืนกอดอก เมื่อคุยหรือเจรจากับบุคคลอื่น ถ้าต้องการยื่นหรือรับส่งของให้ใครควรรับและส่งของด้วยสองมือเพื่อแสดงให้เห็นถึงความสุภาพของเรา.

ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ