AEC Go On 02/04/59

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/599530

โดย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย 2 เม.ย. 2559 05:01

 

มาพูดคุยเรื่องการเจรจางานธุรกิจกับหน่วยงานราชการและภาคเอกชนในเวียดนามกันต่อกันเลยดีกว่านะครับ เริ่มต้นการแต่งกายกันว่าเสื้อผ้าหน้าผมที่ต้องเตรียมการเมื่อไปพบปะอย่างเป็นทางการควรทำอย่างไร เพราะความประทับใจของการพบปะกันครั้งแรกจะเริ่มต้นที่ความประทับใจทางสายตา จากการเห็นหน้าตาและการแต่งตัว เราจึงต้องพิถีพิถันเรื่องการแต่งตัวเวลาไปพบปะเจรจากับชาวเวียดนามด้วย

แน่นอนครับ เราควรสวมชุดที่สุภาพเรียบร้อย เสื้อผ้าหน้าผมดูสะอาดตาเรียบร้อย ไม่ยับยู่ยี่ โดยผู้ชายควรสวมเสื้อเชิ้ตสีพื้น ผูกเนกไท และสวมสูท สำหรับผู้หญิงก็ควรสวมชุดสูทเช่นกัน อย่างไรก็ตาม หากเป็นช่วงฤดูร้อนอาจไม่ต้องสวมสูทก็ได้ครับ และสิ่งที่ต้องระวังอย่างมากแม้ว่าเราจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องเล็กๆก็ตามคือ อย่าเผลอปลดกระดุมเสื้อเม็ดบนสุดออกนะครับ เพราะจะดูไม่สุภาพในสายตาของชาวเวียดนาม ไม่ว่าทั้งหญิงหรือชาย

ในการเจรจาธุรกิจกับชาวเวียดนามนั้น ควรใช้ล่ามที่พูดภาษาเวียดนามได้ รวมทั้งล่ามควรมีความรู้ในเรื่องธุรกิจด้วย โดยในช่วงแรกของการเจรจา เราควรเริ่มจากการกล่าวคำขอบคุณที่คู่เจรจายินดีให้เข้าพบ และในระหว่างการเจรจาก็ไม่ควรพูดอ้อมค้อมวกไปเวียนมา ควรใช้เวลาที่เหมาะสมพูดคุยให้ตรงประเด็นถึงการเข้ามาพบ

สิ่งที่คนไทยต้องเข้าใจให้มากๆถึงปฏิกิริยาของคู่เจรจาชาวเวียดนาม เขามักจะตอบตกลงและพยักหน้ารับ เข้าตำรา “always say yes” เพื่อแสดงให้เห็นว่าใส่ใจกับคำพูดของอีกฝ่าย แต่ไม่ได้หมายความว่าชาวเวียดนามจะตอบรับตกลงในทุกเรื่องที่พูดคุยกัน ทั้งนี้ในระหว่างการเจรจามักจะมีการเสิร์ฟของว่าง พร้อมทั้งเครื่องดื่มชาหรือกาแฟ เราควรรับประทานหรือทิ้งไว้โดยไม่แตะต้องเลย เพื่อเป็นการรักษามรรยาทและถือเป็นการให้เกียรติกับคู่เจรจาด้วย ชาวเวียดนามชอบพูดคุยเรื่องธุรกิจในระหว่างการรับประทานอาหาร การเลือกร้านอาหารดีๆ บรรยากาศดีๆ จะช่วยเสริมการเจรจาให้ประสบความสำเร็จง่ายขึ้นมากครับ.

ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ

AEC Go On 26/03/59

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/596049

โดย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย 26 มี.ค. 2559 05:01

 

ผู้อ่านหลายท่านถามผมบ่อยครั้งจนเป็นคำถามยอดฮิตคำถามหนึ่งว่า “ถ้าติดต่อพูดคุยหรือเจรจางานธุรกิจกับหน่วยงานราชการและภาคเอกชนในเวียดนามควรทำอย่างไรดี?” เนื่องจากปัจจุบันเวียดนามเนื้อหอมมากและมากขึ้นเป็นลำดับ โดยเฉพาะเมื่อเวียดนามเข้าเป็นสมาชิก WTO และ TPP ตลอดจนการกำลังเซ็นสัญญา FTA ระหว่างเวียดนามกับสหภาพยุโรป ยิ่งทำให้นักลงทุนต่างชาติรวมถึงนักลงทุนไทยยิ่งเพิ่มความสนใจในเวียดนาม

ก่อนจะเข้าไปทำธุรกิจในเวียดนาม เราควรรอบรู้ธรรมเนียมปฏิบัติและเทคนิคในการติดต่อธุรกิจกับชาวเวียดนาม เพราะนั่นเป็นปราการด่านแรกที่จะช่วยให้การติดต่อหรือเจรจาต่อรองทางธุรกิจ เพื่อให้ “เรา” รู้จักและคุ้นเคย “เขา” มากขึ้น ตามวลีอมตะของซุนวูที่ว่า “รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะทั้งร้อยครั้ง”

ในการติดต่อธุรกิจครั้งแรกกับชาวเวียดนามควรติดต่อผ่านคนกลาง (Third Party) ซึ่งหากคนกลางนั้นเป็นบุคคลที่คู่เจรจาชาวเวียดนามให้ความเชื่อถือและรู้จักเป็นอย่างดีแล้ว ก็จะยิ่งทำให้การติดต่อธุรกิจหรือสานต่อความสัมพันธ์ระหว่างกันเป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม หากไม่สามารถหาคนกลางในลักษณะที่ต้องการได้ ก็อาจใช้วิธีส่งจดหมายหรือเอกสารแนะนำตัว รวมถึงกำหนดนัดหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร โดยระบุถึงวัตถุประสงค์ของการติดต่อธุรกิจอย่างตรงไปตรงมา

ชาวเวียดนามโดยทั่วไปเป็นคนตรงเวลาและคาดหวังว่าคู่เจรจาจะตรงเวลาด้วย เมื่อได้พบกันควรทักทายด้วยการจับมือ (หากเป็นเพศเดียวกัน) พร้อมกันทั้ง 2 ข้าง ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เพื่อแสดงถึงมิตรภาพที่จริงใจ หรือโค้งศีรษะลงเล็กน้อย (หากต่างเพศกัน) พร้อมกล่าวคำทักทายสวัสดีเป็นภาษาเวียดนามว่า “ชิน-จ่าว” จะทำให้คู่เจรจาชาวเวียดนามเกิดความประทับใจ ทั้งนี้ หากเป็นการพบกันครั้งแรกควรมีการแลกนามบัตรกันโดยใช้มือทั้ง 2 ข้างยื่นนามบัตร หลังจากได้รับนามบัตรมาแล้ว ไม่ควรเก็บใส่กระเป๋าทันที แต่ควรพยายามอ่านออกเสียงคำนำหน้าชื่อ ชื่อ นามสกุล และตำแหน่งในนามบัตร เพื่อแสดงถึงความเอาใจใส่เพื่อให้ได้ใจคู่เจรจาชาวเวียดนามเต็มร้อยครับ.

ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ

AEC Go On 19/03/59

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/592696

โดย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย 19 มี.ค. 2559 05:01

 

เราพูดคุยเกี่ยวกับ do and don’t in Vietnam ในเรื่องการทักทายและรับประทานอาหารไปหลายครั้งแล้ว วันนี้ขอพูดคุยเกี่ยวกับการพบปะสนทนาและการติดต่อกับหน่วยราชการและนักธุรกิจเวียดนามโดยรวมๆ นะครับ เพราะ การเริ่มต้นธุรกิจนั้นจะต้องติดต่อพูดคุยหรือเจรจางานกับหน่วยงานราชการและภาคเอกชนต่างๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เวลาได้ติดต่องานราชการเวียดนามนั้นควรแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อยให้มากที่สุดไว้ก่อนครับ ทั้งนี้ ชุดที่เหมาะสมเวลาเดินทางไปติดต่องานในสถานที่ราชการเวียดนามคือการใส่สูทผูกไท รองลงมาคือเสื้อเชิ้ตผูกไท และเมื่อเข้าไปติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ หากต้องมีการพูดคุยเจรจากับข้าราชการหลายคน เราควรพูดคุยเจรจากับเจ้าหน้าที่ที่มีความอาวุโสมากที่สุด ถึงแม้ว่าเจ้าหน้าที่ที่มีความอาวุโสน้อยกว่าจะมีทักษะการใช้ภาษาอังกฤษดีกว่า เพราะคนเวียดนามเน้นระบบอาวุโสและให้เกียรติผู้อาวุโสสูงมาก

ที่สำคัญมากๆคือ ไม่ควรไปติดต่อราชการเวลาพักกลางวัน เนื่องจากคนเวียดนามจะใช้เวลาพักในการหลับกลางวัน และถือว่าการปลุกในช่วงการหลับกลางวันถือเป็นมารยาทที่ไม่สุภาพอย่างยิ่ง (พูดง่ายๆว่าทำให้โกรธง่ายและโกรธนานครับ) และถ้าสามารถทำได้ก็ควรมีของขวัญเล็กๆ น้อยๆ มอบให้แก่หน่วยงานราชการที่ติดต่อหรือคู่เจรจาธุรกิจเพื่อแสดงน้ำใจ แต่ไม่ควรเป็นของที่มีราคาแพงเกินไป เพราะจะดูเป็นการให้สินบนแทนที่จะเป็นการแสดงน้ำใจ

ดังนั้น ในการพบกันเพื่อเจรจาธุรกิจในครั้งแรกไม่ควรมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้กับคู่เจรจาชาวเวียดนาม โดยเฉพาะของขวัญที่มีค่า แต่หากเป็นการมอบของที่ระลึกเล็กน้อย เช่น ช็อกโกแลต หรือของฝากจากประเทศไทย จะได้ใจคนเวียดนามไปสุดๆครับ และที่ละเลยไม่ได้เลยคือเรื่องกระดาษห่อของขวัญครับ สำคัญมากๆ เราควรห่อของขวัญด้วยกระดาษที่มีสีสันสดใสสวยงาม เพราะชาวเวียดนามชอบทุกสิ่งทุกอย่างที่มีสีสันสดใส เพราะสื่อความหมายถึงความสุข มอบแล้วเขาจะรู้สึกดีทันที ที่สำคัญอย่ามอบผ้าเช็ดหน้าเป็นของขวัญให้แก่ชาวเวียดนามโดยเด็ดขาด เพราะถือว่าเป็นพฤติกรรมที่สื่อถึงความโศกเศร้าของชาวเวียดนาม.

ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ

AEC Go On 12/03/59

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/589231

โดย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย 12 มี.ค. 2559 05:01

 

นักธุรกิจหลายคนบอกผมเสมอๆว่า “การรู้จักมักคุ้นและเข้าถึงนิสัยใจคอของลูกค้าหรือพันธมิตรทางธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว สังเกตได้ง่ายๆจากการดูพฤติกรรมการเล่นกอล์ฟในสนามกอล์ฟด้วยกัน” แต่ถ้านักธุรกิจเหล่านั้นก็บอกต่อนะครับว่า ถ้ายังไม่สามารถเล่นกอล์ฟด้วยกัน ให้สังเกตตอนพบปะพูดคุยและท่าทางต่างๆเวลารับประทานอาหารด้วยกัน

เราพูดคุยในเรื่องอาหารและการรับประทานอาหารกับชาวเวียดนามไปบ้างแล้ว มาต่อในเรื่องราวที่ต้องพึงระวังเวลาทานอาหารกับชาวเวียดนามกันบ้างดีกว่า เมื่อเราถูกเชิญไปรับประทานอาหารกับชาวเวียดนาม ไม่ต้องแสดงออกถึงความใจกว้างของเรานะครับ อย่าพยายามชำระค่าอาหารตัดหน้าชาวเวียดนามที่เป็นผู้เชิญเรามาทานอาหารมื้อนั้น เพราะถือว่าเสียมารยาท เนื่องจากธรรมเนียมของชาวเวียดนาม ผู้เชิญจะต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบชำระค่าอาหารในมื้อนั้นทั้งหมด

แต่ถ้าเราเป็นฝ่ายเชิญชาวเวียดนาม แน่นอนครับเราต้องเป็นคนชำระเงินค่าอาหาร สิ่งที่ต้องระมัดระวังอย่างยิ่งเวลาจ่ายเงินโดยเฉพาะกับร้านอาหารทั่วไปๆ ที่ยังไม่ได้มาตรฐานเท่าที่ควร เราควรตรวจบิลใบเสร็จก่อนการชำระเงินทุกครั้ง เพราะเมนูอาหารส่วนใหญ่ในหลายร้านมักไม่มีราคาติดไว้ จึงควรตรวจสอบว่าราคาอาหารถูกต้องตามที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่แรกก่อนชำระเงินหรือเปล่า ดังนั้น ทุกครั้งเมื่อสั่งอาหารควรตรวจสอบราคาอาหารในเมนูบางประเภทที่ไม่ได้แสดงราคา โดยเราต้องสอบถามและต่อรองราคาก่อนสั่ง ไม่เช่นนั้นเวลาชำระเงินอาจจะถูกคิดราคาที่แพงกว่าความเป็นจริง เรื่องนี้คนไทยเคยมีประสบการณ์แย่ๆ ที่ต้องจ่ายแพงมาหลายคนหลายครั้งแล้วครับ

ที่สำคัญ เมื่อเราเป็นเจ้าภาพควรรอให้แขกเป็นฝ่ายเริ่มตักอาหารก่อนเสมอเพื่อเป็นการให้เกียรติแขกที่เราเชิญมานะครับ และสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงอีกเรื่องหนึ่งคือไม่ควรมองอาหาร หรือแสดงความต้องการอยากรับประทานอาหารของผู้อื่นหรือพูดว่าขอชิมหน่อย ไม่ว่าเรากับเขาจะสนิทกันแค่ไหน เพราะเป็นมารยาทที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งในการรับประทานอาหารร่วมกับชาวเวียดนามครับ.

ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ

AEC Go On 05/03/59

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/585942

โดย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย 5 มี.ค. 2559 05:01

 

การพบปะทักทายผู้คนในเวียดนามด้วยคำอะไร เรียกชื่อผู้ชายผู้หญิงเวียดนามอย่างไรดี เป็นเรื่องที่เราได้พูดคุยกันไว้ในสัปดาห์ที่แล้ว สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำหรือ Do and Don’t ในเวียดนามที่เราควรรู้อีกเรื่องคงหนีไม่พ้นเรื่องการสร้างความคุ้นเคยกันด้วยการรับประทานอาหารร่วมกับชาวเวียดนาม เพราะการทานข้าวด้วยกันเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่แนบแน่นมากยิ่งขึ้น ดังนั้น เราควรมารู้เรื่องอาหารการกินและธรรมเนียมปฏิบัติบนโต๊ะอาหารกันดีกว่าครับ

อาหารประจำชาติของชาวเวียดนามมีหลากหลายพอสมควรครับ แต่ละเมนูนั้นคนไทยก็คุ้นชินโดยส่วนใหญ่เพราะอาหารเวียดนามในประเทศไทยมีอยู่มากมายหลายร้าน อาหารจานเด็ดที่คนเวียดนามนิยมรับประทานก็คือ “เปาะเปี๊ยะ เวียดนาม” และตามด้วย “เฝอ” ซึ่งคนไทยคุ้นเคยมากอยู่แล้ว

แต่ที่คนไทยยังไม่คุ้นชินเห็นจะเป็น “สตูค้างคาว” ซึ่งถือเป็นอาหารชั้นเลิศขึ้นชื่อ และหากินได้ยากของชาวเวียดนาม เพราะชาวเวียดนามเชื่อว่าเนื้อค้างคาวเป็นราชันของเนื้อทั้งปวง นอกจากนี้คนเวียดนามยังเชื่อว่าเลือดค้างคาวแบบสดๆ เป็นยาบำรุงชั้นเยี่ยม เรียกได้ว่าถ้าเราจัดนำเนื้อค้างคาวไปให้คนเวียดนามได้ เขาจะประทับใจเราแบบสุดๆ เลยครับ อีกเมนูหนึ่งที่จัดเป็นยาบำรุงชั้นเลิศสำหรับชาวเวียดนามก็คือ “เหล้าดองงู” ครับ

คนไทยควรเรียนรู้เรื่องการร่วมรับประทานอาหารกับชาวเวียดนามที่สำคัญเรื่องหนึ่งคือ คนเวียดนามมักจะใช้ตะเกียบในการรับประทานอาหาร พร้อมถือชามข้าวไว้ในมืออีกข้างหนึ่ง การรับประทานโดยวางชามข้าวไว้บนโต๊ะแสดงถึงความเกียจคร้าน สิ่งที่ควรจำไว้อย่างมากก็คือ ไม่ควรใช้ส้อมจิ้มอาหารเพราะถือว่าไม่สุภาพ ควรใช้ช้อนกลาง

ตักอาหารมาใส่ในจานส่วนตัวก่อนรับประทานถ้าจำเป็น เนื่องจากชาวเวียดนามนิยมใช้ตะเกียบในการรับประทาน

ที่สำคัญเมื่อถูกเชิญไปรับประทานอาหาร ไม่ควรพยายามชำระค่าอาหาร เนื่องจากตามมารยาทของชาวเวียดนาม ผู้เชิญจะต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบชำระค่าอาหารในมื้อนั้นทั้งหมด เพียงแค่นี้คนเวียดนามก็รักเรามากขึ้นแล้วครับ.

ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ

AEC Go On 27/02/59

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/582676

โดย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย 27 ก.พ. 2559 05:01

 

สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำหรือ Do and Don’t ในทุกๆ ประเทศเป็นสิ่งที่ทุกคนควรจะรู้ เมื่อเข้าไปในประเทศที่เราจะเดินทางเข้าไปเที่ยว ไปอยู่ ไปทำงานหรือไปทำธุรกิจต่างๆ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามเป็นประเทศที่คนไทยเข้าไปลงทุนมากอีกประเทศหนึ่งใน AEC เราจึงควรให้ความสำคัญกับเรื่องนี้

พูดเรื่อง do and don’t ในเวียดนาม เราเริ่มต้นกันตามธรรมเนียมปฏิบัติคือคำพูดและการทักทายของชาวเวียดนามคือ “ซิน จ่าว” โดยผู้ที่มีลำดับอาวุโสน้อยกว่าควรกล่าวทักทายก่อน ทั้งนี้เนื่องจากชาวเวียดนามให้ความสำคัญกับลำดับอาวุโสมาก เวลาทักทายกันก็ไม่ควรใช้การไหว้นะครับ เนื่องจากชาวเวียดนามจะใช้การไหว้สำหรับกิจกรรมทางศาสนาเท่านั้น

การทักทายกับชาวเวียดนามควรใช้การจับมือแบบสากลทั่วไป แต่ชาวเวียดนามบางคนก็นิยมใช้การสัมผัสแบบสองมือโดยวางมือซ้ายไว้บนข้อมือขวาซึ่งก็สามารถทำได้ ทั้งนี้ เวลาทักทายกันควรถามไถ่เรื่องสุขภาพเพื่อแสดงความใส่ใจต่อคู่สนทนา และหากสนิทกันมาก ควรถามถึงสุขภาพของบิดาและมารดาของคู่สนทนาด้วย

เมื่อกล่าวสวัสดีทักทายกันแล้วก็ต้องรู้จักชื่อเสียงเรียงนามกัน เวลาเรียกชื่อของชาวเวียดนามในระยะแรกๆ ที่ยังไม่ค่อยคุ้นเคยกันมากนักควรเรียกชื่อให้ครบทุกส่วน ควรเรียกชื่อโดยขึ้นต้นด้วย มิสเตอร์ มิส หรือ มิสซิส (Mr., Ms หรือ Mrs.) ก่อนเรียกชื่อเพื่อความสุภาพ ไม่ควรเรียกเฉพาะชื่อของชาวเวียดนามเท่านั้น โดยเรียงชื่อของชาวเวียดนามจากนามสกุล ชื่อกลาง และชื่อตัวเองเช่น “มิสเตอร์เหงียน วัน ทัก”

เมื่อพบปะพูดคุยธุระกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เมื่อถึงเวลาแยกกันก็จะใช้คำกล่าวอำลากันว่า “ต๋าม เบียด” ซึ่งโดยปกติแล้วผู้เป็นแขกหรือผู้ถูกเชิญจะต้องเป็นฝ่ายเริ่มกล่าวลาก่อนหรือแสดงท่าทีที่สื่อถึงการลา เพราะสำหรับชาวเวียดนามนั้น ผู้เป็นเจ้าภาพหรือผู้เชิญจะไม่เป็นคนกล่าวลาหรือแสดงท่าทีว่าอยากจะลาก่อนเพราะถือว่าเป็นการเสียมารยาทอย่างมาก ดังนั้น เมื่อชวนชาวเวียดนามมาพบปะพูดคุยกันทางธุรกิจไม่ควรกล่าวลาก่อนนะครับ.

ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ

AEC Go On 20/02/59

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/579614

โดย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย 20 ก.พ. 2559 05:01

 

เวียดนามเป็นประเทศที่อยู่ในกลุ่ม CLMV ประเทศเดียวที่ไม่มีพรมแดนติดกับไทย ดังนั้น การสร้างความสัมพันธ์ ความคุ้นเคย และกิจกรรมทางเศรษฐกิจร่วมกันจึงไม่ได้เป็นไปตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นง่ายๆ เหมือนกับกลุ่มประเทศ CLM (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) ที่มีตะเข็บตามแนวชายแดนติดกับไทย

อย่างไรก็ตาม ไทยกับเวียดนามก็มีความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์อย่างยาวนาน ทำให้ไทยกับเวียดนามมีความผูกพันทางเศรษฐกิจตลอดจนการค้าการขายมากพอสมควร การค้าระหว่างไทยกับเวียดนาม ในปีล่าสุด 2558 มีมูลค่ารวม 439,062.2 ล้านบาท หรือขยายตัวร้อยละ 15.2 โดยแบ่งเป็นการส่งออกสินค้าไปเวียดนาม 301,215.3 ล้านบาท และนำเข้าจากเวียดนาม 137,847.9 ล้านบาท ทำให้ไทยเกินดุลการค้ากับเวียดนาม 163,367.4 ล้านบาท โดยไทยเป็นผู้ค้าอันดับต้นๆ ของเวียดนาม โดยไทยเป็นประเทศที่เวียดนามนำเข้าสินค้าสูงสุดเป็นอันดับ 5 ขณะที่เวียดนามเป็นตลาดที่ไทยส่งออกสินค้าสูงสุดเป็นอันดับที่ 12

สินค้าที่ประเทศไทยส่งออกไปเวียดนาม 5 อันดับแรก ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป รถยนต์และส่วนประกอบ เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ และเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาสินค้าส่งออกของไทยโดยรวม จะสังเกตได้ว่าคนเวียดนามนิยมสินค้าไทยแทบทุกประเภททั้งสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า ตลอดจนวัตถุดิบเพื่อการผลิตต่อ เรียกได้ว่าสินค้าแทบทุกประเภทนั้นไทยส่งออกไปยังเวียดนามได้ทั้งสิ้นกับตลาดที่มีประชากรเกือบ 100 ล้านคนที่กำลังมีอำนาจซื้อสูงขึ้นเป็นลำดับ จึงถือได้ว่าเวียดนามเป็นตลาดส่งออกสินค้าที่ไทยควรเข้าไปเจาะตลาดมากขึ้น

ส่วนสินค้านำเข้าไทยจากเวียดนาม 5 อันดับแรก ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ น้ำมันดิบ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ และสัตว์น้ำสด แช่เย็น แช่แข็ง แปรรูปและกึ่งสำเร็จรูป ทั้งนี้จะสังเกตได้ว่าเรานำเข้าสินค้าประเภทวัตถุดิบที่ดีมีคุณภาพเพื่อมาเติมเต็มกระบวนการผลิตของไทย.

ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ

AEC Go On 13/02/59

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/576437

โดย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย 13 ก.พ. 2559 05:01

 

มาลุยประเทศสุดท้ายในกลุ่ม CLMV กันต่อเลยนะครับ หลังจากในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้พาทุกท่านไปรู้จักมักจี่กับประเทศในกลุ่ม CLM มาแล้ว แน่นอนครับว่าประเทศสุดท้ายใน CLMV ที่เราจะมาพูดถึงกันคือประเทศเวียดนาม หรือ V ครับ

เวียดนามเป็นประเทศหนึ่งที่ถูกกล่าวขวัญถึงอย่างมากในเวทีโลกและในไทย เนื่องจากเป็นประเทศที่มีการเจริญเติบโตที่รวดเร็ว ขนาดเศรษฐกิจและขนาดตลาดภายในประเทศที่ใหญ่และมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างดี อีกทั้งยังเป็นฐานการผลิตที่สำคัญที่มีทั้งทรัพยากรธรรมชาติและทรัพยากรมนุษย์ที่มีราคาไม่แพงและมีจำนวนมาก และยังได้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรหรือ GSP จากประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ หรือสรุปง่ายๆว่าเป็นประเทศเนื้อหอมในระดับโลก และโดดเด่นมากเป็นลำดับหลังจากได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกขององค์กรการค้าโลกหรือ WTO ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2007 เป็นต้นมา

เวียดนามมีชื่ออย่างเป็นทางการคือ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม มีประชากรมากกว่า 90 ล้านคน ถือเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับ 14 ของโลก อันดับ 9 ของเอเชีย และอันดับ 3 ของ AEC รองจากอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ตามลำดับ โดยมีอัตราการเจริญเติบโตของประชากรในรอบ 5 ปีที่ผ่านมาเฉลี่ยประมาณ 1.1% ต่อปี จึงทำให้เวียดนามถูกมองว่าเป็นตลาดใหญ่ทั้งในปัจจุบันและในอนาคตที่นานาชาติอยากเข้าไปลงทุน

ในด้านเศรษฐกิจเวียดนามมีขนาดเศรษฐกิจหรือ GDP ประมาณ 1.9 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 6.8 ล้านล้านบาท จัดเป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับที่ 55 ของโลกและอันดับที่ 6 ของ AEC รองจากอินโดนีเซีย ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ตามลำดับ ในระยะหลังเวียดนามได้เปิดประเทศมากขึ้นและสนับสนุนระบบทุนนิยมเข้าไปในเศรษฐกิจของเวียดนามมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงหลังปี 2007 ที่เวียดนามเข้าเป็นสมาชิกของ WTO เป็นต้นมาทำให้เวียดนามมีความโดดเด่นในเวทีเศรษฐกิจโลกมากขึ้น โดยมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเฉลี่ยปีละ 6 ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และถูกคาดว่าจะเติบโตได้ประมาณ 6-6.5% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า เรียกได้ว่า “เวียดนามยังเด่นและยังแรงอยู่ในเวทีโลก”.

ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ

ทิศทางหุ้น 08/02/59

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/573923

โดย บ.ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด 8 ก.พ. 2559 05:01

 

ภาวะการซื้อขายหุ้น

ดัชนี SET ปรับเพิ่มขึ้น จากการคาดการณ์ว่าเฟดอาจชะลอการตัดสินใจที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเดือน มี.ค. 59 ออกไป โดยดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,306.29 จุด เพิ่มขึ้น 0.41% จากสัปดาห์ก่อน ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยปรับลดลงในช่วงต้นสัปดาห์ โดยได้รับแรงกดดันจากข้อมูลดัชนี PMI ของจีนที่ออกมาแย่ รวมทั้งยังมีแรงขายในหุ้นกลุ่มโทรคมนาคมจากความกังวลต่อการเพิ่มทุน อย่างไรก็ดี ดัชนีตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวขึ้นในช่วงกลาง-ปลายสัปดาห์ โดยกลับไปยืนเหนือระดับ 1,300 จุดอีกครั้ง จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น หลังเงินดอลลาร์ฯ อ่อนค่า ท่ามกลางคาดการณ์ถึงความเป็นไปได้มากขึ้นที่เฟดอาจจะเลื่อนการขึ้นอัตราดอกเบี้ยออกไปอีก

สำหรับแนวโน้มสัปดาห์นี้ (8-12 ก.พ.) บริษัท หลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีมีแนวรับที่ 1,295 และ 1,280 จุด แนวต้านอยู่ที่ 1,315 และ 1,330 จุด ตามลำดับ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามได้แก่ แถลงการณ์การดำเนินนโยบายการเงินของเฟดต่อสภาคองเกรส การรายงานความเชื่อมั่นผู้บริโภค การรายงานข้อมูลจีดีพีของประเทศในยูโรโซน รวมทั้งการรายงานข้อมูลเงินสำรองระหว่างประเทศของจีน.

ภาวะตลาดเงินและอัตราแลกเปลี่ยน

เงินบาทกลับมาแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 3 เดือนที่ 35.47 บาทต่อดอลลาร์ฯ ช่วงท้ายสัปดาห์ หลังจากที่เงินบาทอ่อนค่าในช่วงแรกตามแรงขายสินทรัพย์เสี่ยงท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเงินบาทดีดตัวกลับมาแข็งค่าตั้งแต่ในช่วงกลางสัปดาห์ ขณะที่เงินดอลลาร์ฯได้รับแรงกดดันมากขึ้นจากการที่ตลาดประเมินว่า จังหวะการปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ น่าจะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ หลังเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟดต่างก็มีท่าทีที่ระมัดระวังมากขึ้นในการส่งสัญญาณเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงิน นอกจากนี้ เงินบาทยังมีแรงหนุนเพิ่มเติมจากสถานะซื้อสุทธิพันธบัตรและหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติช่วงท้ายสัปดาห์ด้วยเช่นกัน โดยเงินบาทปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ 5 ก.พ. ที่ 35.49 บาทต่อดอลลาร์ฯ

สำหรับแนวโน้มสัปดาห์นี้ (8-12 ก.พ.) ธนาคารกสิกรไทยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 35.35-35.65 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยอาจต้องจับตาการปรับตัวของตลาดการเงินโลกหลังรับรู้ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ก.พ.ยอดค้าปลีก ดัชนีราคานำเข้าและส่งออกเดือน ม.ค. และสต๊อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่ง/ภาคธุรกิจเดือน ธ.ค. นอกจากนี้ นักลงทุนอาจรอติดตามสุนทรพจน์เกี่ยวกับนโยบายการเงินของนางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด ต่อสภาคองเกรสในช่วงกลางสัปดาห์ด้วย
เช่นกัน อนึ่ง ตลาดการเงินจีนจะปิดทำการตลอดสัปดาห์เนื่องในวันหยุดช่วงเทศกาลตรุษจีน.

บ.ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด

AEC Go On 06/02/59

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/573145

โดย บ.ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด 6 ก.พ. 2559 05:01

 

หลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้นำพาท่านผู้อ่านแวะเวียนเยี่ยมเยือนประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่ม CLMV ที่มีอาณาเขตและชายแดนติดกับประเทศไทยคือ กัมพูชา สปป.ลาว สหภาพเมียนมา หรือเรียกย่อๆ ว่ากลุ่ม CLM ทั้งภาพรวมของระบบเศรษฐกิจ ขนาดตลาด จำนวนประชากร ทิศทางการเติบโตทางเศรษฐกิจ การค้าระหว่างประเทศทั้งการนำเข้าและการส่งออกระหว่างไทยกับ CLM ตลอดจนสิ่งที่ควรทำหรือไม่ควรทำ (do and don’t) ใน CLM

ก่อนที่จะเคลื่อนคอลัมน์นี้ไปสู่ประเทศสุดท้ายในกลุ่ม CLMV คือ เวียดนามหรือ V ที่มีความโดดเด่นบนเวทีโลกมากขึ้นเป็นลำดับ แม้ว่า เวียดนามจัดเป็นคู่แข่งที่สำคัญของไทยในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเข้าไปลงทุนสร้างฐานการผลิตเพื่อสินค้าป้อนตลาด AEC และตลาดโลก แต่อีกมุมหนึ่งเวียดนามก็เป็นคู่ค้าที่สำคัญที่นำเข้าสินค้าไทยมากขึ้นเรื่อยๆ และเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่ไทยต้องเข้าไปเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดที่เราต้องเรียนรู้ แต่ผมอยากจะสรุปมุมมองของผมที่มีต่อ CLM ก่อนที่จะพูดถึงเวียดนามและประเทศอื่นๆ อีก 5 ประเทศที่เหลือใน AEC

แม้ว่าเราอาจจะพูดถึง CLM ได้เพียงบางเรื่องโดยยังไม่ได้ลงรายละเอียดในแต่ละเรื่องมากนัก และยังมีอีกหลายๆ เรื่องของ CLM ที่ยังไม่ได้พูดถึง (ซึ่งผมสัญญาว่าจะกลับมาลงรายละเอียดของแต่ละประเทศอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเราได้เห็นภาพรวมของแต่ละประเทศใน AEC แล้ว) แต่ผมหวังว่าท่านผู้อ่านคงเห็นภาพรวมว่า CLM ที่มีตะเข็บติดชายแดนไทยมีความน่าสนใจและมีความสำคัญมีความหมายต่อธุรกิจไทยและประเทศไทยมากน้อยแค่ไหน เพราะ CLM เป็นกลุ่มประเทศที่เป็นทั้งฐานการตลาดเพื่อการส่งออกที่มีประชากรรวมกันเกือบ 100 ล้านคน

อีกทั้งเป็นฐานของวัตถุดิบด้านทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งสินค้าเกษตร สินค้าประมง ตลอดจนสินแร่และพลังงานโดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติรวมทั้งทรัพยากรแรงงาน และยังเป็นฐานการผลิตที่สำคัญที่ธุรกิจไทยสามารถเข้าไปผลิตเพื่อส่งออกต่อไปยังประเทศต่างๆ โดยได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีศุลกากรหรือ GSP ด้วย.

ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ