รวมพลคนรักสัตว์ ในงาน PET EXPO THAILAND 2018

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/346128

รวมพลคนรักสัตว์ ในงาน  PET EXPO THAILAND 2018

รวมพลคนรักสัตว์ ในงาน PET EXPO THAILAND 2018

วันอังคาร ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2561, 06.00 น.

จบลงด้วยความประทับใจและความน่ารัก งาน PET EXPO THAILAND 2018 ด้วยบรรยากาศภายในงานที่มีแต่ความน่ารักน่าเอ็นดู ปีนี้จัดในคอนเซ็ปต์ “Friend” งานแฟร์ที่ดีที่สุด เพื่อเพื่อนที่ดีที่สุดของคุณในธีม “PETSPHRE” จักรวาลเพื่อนรัก ที่มีน้องปุกปุยต่างๆ ร่วมแต่งชุดอวกาศมางานแบบทั้งเท่และน่ารัก มีสัตว์เลี้ยงหลายๆ ชนิดมาให้ชมความน่ารัก ขี้อ้อนกันมากมาย แถมในปีนี้ยังจัดโปรโมชั่นทั้งสินค้าและบริการก็ขนกับมาแบบจัดเต็ม

บรรยากาศคึกคักตั้งแต่หน้างาน เหล่าคนรักสัตว์ทั้งหลายได้มารวมตัวกันที่นี่ ถ้ามีสัตว์เลี้ยงอยู่แล้วก็ได้มาพูดคุย อัพเดตวิธีการเสี้ยงสัตว์ใหม่ๆ แม้ว่าจะไม่ได้เลี้ยงสัตว์เลี้ยง แต่เป็นคนรักสัตว์ ชอบสุนัข ชอบแมว ต่างก็มางานนี้กันทุกปี เพราะก็จะได้มาเล่นกับสัตว์เลี้ยงน่ารักๆ แบบจุใจ โดยภายในงาน แบ่งเป็นโซน RABBIT, CAVY and PRAIRIE DOG LAND ที่มีแต่เจ้าหนูปุกปุยที่เอาความน่ารักมาบุกจนใจละลาย มีคนมาชมกันไม่ขาดสาย โซน EXOTIC PET AND EXOTIC CAFÉ มาพร้อมสัตว์ที่แปลกใหม่แต่ก็มีความน่ารักไม่แพ้ใคร โซน PET VILLAGE มีสัตว์เลี้ยงแสนรู้จากฟาร์มมามากมาย เช่น แพะ, ลามา, ม้าแคระ, ลาแคระ หมูแคระเวียดนาม ที่หลายๆ คนก็มาให้นม หรือผักที่มีจัดเตรียมไว้ให้กันอย่างสนุกสนาน โซนตรวจสุขภาพสำหรับสัตว์เลี้ยง ถือเป็นโซนฮอตฮิตเช่นกัน เพราะไม่ว่า สุนัข แมว หรือสัตว์ฟันแทะ ก็มีคุณพ่อคุณแม่จูงลูกๆ มาตรวจสุขภาพกันอย่างหนาแน่น บริการตรวจสุขภาพจาก DOG & CAT HEALTH CARE by ROYAL CANIN รพ.สัตว์ทองหล่อ และรพ.สัตว์รัตนาธิเบศร์ โซนสินค้าและบริการ ที่มาพร้อมกับโปรโมชั่นสุดพิเศษ ขนาดที่ว่าซื้อร้านไหนก็คุ้มได้ทั้งส่วนลดและของแถม รวมทั้งมีกิจกรรมให้ได้ร่วมสนุกมากมาย มีเพลงเพราะๆ จา มินิคอนเสิร์ต ไบรท์ AF และพลอย ชมพู นอกจากนี้ภายในงานนี้เรียกได้ว่าเป็นรันเวย์สำหรับน้องๆ สุดน่ารัก ที่คุณพ่อคุณแม่เลือกแต่งตัวให้แบบไม่ยอมกันเลย แถมยังมีน้องๆ ที่แต่งมาในธีมอวกาศเข้ากับธีมงานนี้อีกด้วย

สำหรับใครที่พลาดงานนี้ไปแล้วเจอกันใหม่ในปีหน้า กับงาน Pet Expo Thailand 2019 วันที่ 30 พฤษภาคม-2 มิถุนายน 2562 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา แต่ถ้าใครไม่อยากรอนานถึงปีหน้าก็มาเจอกันก่อนได้ที่งาน pet expo championship 2018 ในวันที่ 23-26 สิงหาคม2561 ณ บีบีซี ฮอลล์ ชั้น 5 เซ็นทรัล ลาดพร้าว

ศักดิ์ชัย ภัทรปรีชากุล กก.ผจก. บจ.เอ็น.ซี.ซี. เอ็กซิบิชั่น ออกาไนเซอร์, มทีรา วัชโรทัย South-East Asia Portfolio Management Ma-nager บจ.มาร์ส ประเทศไทย และ สพ.ญ.วรัทยา ประสมทรัพย์ ผอ.ฝ่ายการตลาด บจ.โรยัลคานิน (ประเทศไทย)ร่วมเปิดงาน

ศักดิ์ชัย ภัทรปรีชากุล กก.ผจก. บจ.เอ็น.ซี.ซี. เอ็กซิบิชั่น ออกาไนเซอร์, มทีรา วัชโรทัย South-East Asia Portfolio Management Ma-nager บจ.มาร์ส ประเทศไทย และ สพ.ญ.วรัทยา ประสมทรัพย์ ผอ.ฝ่ายการตลาด บจ.โรยัลคานิน (ประเทศไทย)ร่วมเปิดงาน

Pet care : ห้ามอาบน้ำ 7 วัน หลังฉีดวัคซีนจริงหรือ???

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/345749

Pet care : ห้ามอาบน้ำ 7 วัน หลังฉีดวัคซีนจริงหรือ???

Pet care : ห้ามอาบน้ำ 7 วัน หลังฉีดวัคซีนจริงหรือ???

วันอาทิตย์ ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2561, 06.00 น.

เมื่อวันก่อน ได้ยินคนพูดว่า คุณหมอสั่งว่า ห้ามอาบน้ำหมา 7 วัน หลังฉีดยา เขาเลยไม่กล้าให้สุนัขโดนน้ำ เพราะกลัวสุนัขตาย

พอฟังแล้ว ก็รู้สึกแปลกๆ เลยพยายามจับใจความว่า ประโยคที่ว่านั้น สื่อความหมายได้อย่างไรบ้าง

สิ่งแรก “การฉีดยา”ที่พูดถึง น่าจะหมายถึง “การฉีดวัคซีน” เพราะหากเป็นการฉีดยาชนิดอื่น เช่น ยากำจัดเห็บหมัด หรือยาฉีดเพื่อรักษาอาการต่างๆ นั้น ไม่ได้มีเงื่อนไขอะไรที่เกี่ยวข้องกับการห้ามอาบน้ำเลย (นอกจากคุณหมอจะเห็นว่าป่วย เลยสั่งห้าม)

สิ่งที่สอง ไม่กล้าให้โดนน้ำเลย หลังจากฉีดวัคซีน?? หรือถึงกับต้อง “ห้าม” อาบน้ำ 7 วันเลยทีเดียวหรือ???

วันนี้เรามาคุยเรื่องนี้กันดีกว่าครับ

ก่อนอื่น มาทำความรู้จัก “วัคซีน” กันก่อนครับว่า วัคซีน คืออะไร?

เอาแบบเข้าใจง่ายๆ เลย วัคซีน คือ สารที่ฉีด/ใส่เข้าไปในร่างกายคนหรือ/สัตว์ เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อโรคนั่นเองครับ

ซึ่งหลักการของวัคซีน ก็คือ เราจะทำ “เชื้อ” ที่ทำให้เกิดโรคนั้นๆ (ไม่ว่าจะเป็น ไวรัส หรือแบคทีเรียก็ตาม)ผ่านกระบวนการที่ทำให้หมดฤทธิ์ไป หรือทำให้อ่อนฤทธิ์ลงหรือดึงเอาส่วนที่เป็นพิษออก แล้วฉีดเข้าไปในร่างกายคนหรือสัตว์

ร่างกายของคนหรือสัตว์นั้น ก็จะรับรู้ว่าไอ้เจ้าเชื้อที่ใส่ไปนั้นเป็นสิ่งแปลกปลอม

ระบบภูมิคุ้มกัน (โดยเฉพาะเม็ดเลือดขาว ที่เปรียบเสมือนกองทหาร) ก็จะเข้าไปต่อสู้/ทำลาย เชื้อเหล่านั้น และจดจำลักษณะและรูปร่างของเชื้อนั้นไว้ โดยเพิ่มจำนวนเซลล์ทหารนั้น เมื่อในอนาคต เชื้อตัวจริงในธรรมชาติเข้ามาสู่ร่างกาย เซลล์ทหารเหล่านั้น ก็จะเข้าไปต่อสู้กับเชื้อจริงทันทีครับ

แต่ในช่วงของการสร้างภูมิคุ้มกัน (อาจเรียกว่า ช่วงที่ร่างกายต่อสู้กับเชื้อ) ซึ่งอาจใช้เวลา 3-7 วันนั้น ร่างกายอาจไม่แข็งแรงเต็มที่เหมือนปกติ บางรายอาจพบว่ามีไข้ ตัวรุมๆ ได้บ้าง

ซึ่งในสมัยก่อน (ที่ต่างจากสมัยนี้ที่เราเลี้ยงสุนัขเหมือนสมาชิก “คน” หนึ่งในบ้านเลย) ที่เจ้าของ (โบราณๆ) ปล่อยปละละเลย เลี้ยงหมาแบบ “สุนัขใต้ถุนเรือน” ให้อยู่กินตามมีตามเกิด หลังจากจับมาฉีดวัคซีนแล้ว หมาก็ถูกปล่อยให้ไปเล่นตากฝนโดดน้ำในคลอง นอนแช่โคลนแช่น้ำแฉะๆ เล่นนอกบ้านทั้งคืน ประกอบกับ การผลิตวัคซีนในอดีตอาจไม่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยและปลอดภัยมากเท่าปัจจุบันนี้ หลังฉีดวัคซีนไป สุนัขในสมัยก่อนจึงอาจมีไข้ ตัวร้อนเกิดขึ้นได้

หรือบางรายอาจป่วยอยู่ก่อนแล้ว (แต่เจ้าของไม่ทราบ) แต่มาแสดงอาการป่วยหลังฉีดวัคซีนพอดี ก็เลย “เหมาไป (แบบมั่วๆ) เลย” ว่า “ถ้าฉีดวัคซีนแล้ว ไปอาบน้ำ หมาอาจจะตายได้”

ซึ่งโดยปกติ หากอาบน้ำสุนัข แล้วเช็ดตัวให้แห้งก่อนก็ไม่เกิดปัญหาอะไรครับ

ปัญหาที่ “อาจ” เกิดได้บ้าง ก็เป็นกรณีที่สุนัขขนยาวๆ ที่อาบน้ำแล้ว ไม่เช็ดตัวให้แห้ง ปล่อยให้ตัวเปียก-แฉะ-ชื้นทิ้งไว้ทั้งคืน ก็อาจจะเสริมให้สุนัขมีไข้ตัวรุมๆ ขึ้นได้บ้าง ในช่วงการสร้างภูมิคุ้มกัน (3-7 วันหลังฉีดวัคซีนนั้นครับ)

ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันการสับสน/การเข้าใจผิด/การวิตกของเจ้าของ เกี่ยวกับการป่วย (อยู่ก่อนแล้ว) กับการฉีดวัคซีน สัตวแพทย์มักจะ “แนะนำ” ว่า ให้ “งดหรือเลี่ยง” อาบน้ำ 3-7 วัน หลังฉีดวัคซีน” แต่ไม่ได้ห้ามอาบน้ำนะครับ!!!!!

และก็ไม่ได้หมายความว่าอาบน้ำไม่ได้ด้วยครับ เพราะหลายตัว ซุกซน เล่นจนตกน้ำครำ/คลุกสิ่งสกปรก มอมแมม

เราก็สามารถ “อาบได้” เพียงแค่ ในช่วงที่อากาศเย็น/ชื้น ก็ให้ใช้น้ำอุ่นอาบ และให้เช็ดตัว หรือใช้ไดร์เป่าขนให้แห้งทุกครั้งก่อนเท่านั้นเอง

ดังนั้น หลังจากฉีดวัคซีนแล้วก็อาบน้ำได้ เพียงแต่เช็ดตัวให้แห้งก่อนปล่อยให้ไปเล่นเท่านั้นเอง อย่าวิตกกันจนเกินไปนะครับ

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.ทิลดิสร์ รุ่งเรืองกิจไกร

ฝ่ายประชาสัมพันธ์และส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กร

คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

Pet care : การเลือกแชมพูให้กับสุนัข

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/344216

Pet care : การเลือกแชมพูให้กับสุนัข

Pet care : การเลือกแชมพูให้กับสุนัข

วันอาทิตย์ ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2561, 06.00 น.

สวัสดีครับ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเราได้คุยกันเรื่องการอาบน้ำให้น้องหมากันไปแล้ว สัปดาห์นี้เรามาคุยกันต่อเรื่องการเลือกแชมพูสำหรับสุนัขกันครับ

หลายคนสงสัยว่า เราสามารถเอาแชมพูของคนมาใช้ให้สุนัขแทนเลยได้หรือไม่?  บางคนบอกเราว่าใช้แชมพูสำหรับเด็กมาอาบให้สุนัขและแมวก็น่าจะได้ เพราะเด็กผิวอ่อนกว่าผู้ใหญ่ยังใช้ได้เลย ทำไมสุนัขจะใช้ไม่ได้ล่ะ!?!

ขอเรียนว่า ความคิดนี้เป็น “ความคิดที่ผิด” อย่างมากเลยครับ

การนำแชมพูของคนมาใช้อาบสัตว์เลี้ยงนั้น เป็นสิ่งไม่ควรทำ เนื่องจาก ค่าความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) ของผิวหนังคนกับสัตว์นั้น มีความ “แตกต่างกัน” ครับ

โดยปกติ ผิวหนังสุนัขนั้นมีค่า pH = 7.5 ซึ่งมีสภาวะเป็น“ด่างอ่อนๆ” (ความเป็นกลางของน้ำบริสุทธิ์มีค่าเท่ากับ 7) แต่ผิวหนังของคนมีค่า pH เท่ากับ 5.5 ซึ่งมีสภาวะเป็น “กรดอ่อนๆ” ซึ่งถือว่าไม่เหมือนกันเลยครับ

แชมพูสุนัขที่ดีจึงมีค่า pH ที่ 6.5-7.5 เพื่อไม่ทำให้เกิดความระคายเคืองผิวหนัง

แชมพูที่มีสภาวะเป็นกรดมากเกินไป จะไปทำลายไขมันที่คลุมผิวหนัง ทำให้ผิวหนังขาดความชุ่มชื้น เกิดอาการคันผิวหนัง ทำให้สุนัขเกา และอาจทำให้เกิดปัญหาผิวหนังอักเสบติดเชื้อ รวมถึงขนร่วงตามมาได้ครับ

นอกจากนี้ ผิวหนังของสุนัขไวต่อการแพ้มากกว่าด้วยเนื่องจากความหนาของชั้นผิวหนังของสุนัขจะน้อยกว่าของคน ดังนั้นสารเคมีในแชมพูจะทำให้เกิดความระคายเคืองได้ง่ายกว่าด้วยครับโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในลูกสัตว์หรือสัตว์ที่มีผิวหนังที่แพ้ง่าย เจ้าของยิ่งต้องเลือกแชมพูที่มีสูตรอ่อนโยน (hypoallergenic) เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหนังด้วย

แชมพูสำหรับสุนัขในเชิงสัตวแพทย์นั้นมีหลายประเภทขึ้นกับวัตถุประสงค์ของการใช้งาน ได้แก่ แชมพูแบบสูตรอ่อนเพื่อลดการระคายเคืองผิวหนัง แชมพูกำจัดเชื้อราและแบคทีเรียที่ผิวหนัง แชมพูบำรุงขน แชมพูสำหรับสุนัขโทนสีต่างๆ รวมถึงแชมพูกำจัดเห็บ เป็นต้น

ดังนั้น การเลือกใช้แชมพูในสุนัขนั้น จึงต้องเลือกให้เหมาะสมกับสภาพผิวหนังของสัตว์เลี้ยง

หากสัตว์เลี้ยงของท่านมีปัญหาทางด้านผิวหนังแล้ว ควรขอรับคำปรึกษาสัตวแพทย์จะดีกว่า เพราะอาจต้องใช้การตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุของความผิดปกตินั้น จึงจะเลือกแชมพูที่เหมาะสมกับสัตว์เลี้ยงของเราครับ

“น้ำ” ที่ใช้อาบ ก็ควรเป็นน้ำที่มีอุณหภูมิเท่ากับอุณหภูมิห้อง (อุณหภูมิปกติ ณ เวลานั้นนั่นเอง) ซึ่งไม่ควรใช้น้ำที่มีอุณหภูมิที่สูงเกินไป (น้ำอุ่นหรือร้อน) เพราะการอาบน้ำด้วยน้ำที่อุ่นจะทำให้เส้นเลือดที่ผิวหนังเกิดการขยายตัว โดยเฉพาะในกรณีที่มีปัญหาผิวหนังอักเสบ จะทำให้เกิดผิวหนังอักเสบมากขึ้น ผิวก็จะแห้งมากขึ้น ซึ่งจะทำให้สัตว์เกิดอาการคันมากขึ้นด้วย

การฟอกแชมพู (โดยเฉพาะแชมพูยา) ก็ควรที่จะเอาแชมพูละลายน้ำให้เจือจางก่อนแล้วจึงชะโลมให้ทั่วตัว ไม่ควรนำแชมพูเทลงบนฝ่ามือแล้วถูบนตัวสัตว์ทันทีเพราะความเข้มข้นของแชมพูที่มากเกินไปอาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังของสัตว์ได้ครับ

หลังจากการฟอกแชมพูยา (รวมถึงแชมพูกำจัดเห็บหมัด)ก็ควรทิ้งแชมพูไว้บนตัวสัตว์อย่างน้อย 5-10 นาที เพื่อให้ตัวยาในแชมพูออกฤทธิ์ได้เต็มที่ (แต่ที่สำคัญ ต้องอย่าให้สุนัขเลียแชมพูเด็ดขาดครับ) เราควรนวดคลึงผิวหนัง หรือเกาเบาๆ เพื่อให้ยากระจายได้ทั่ว และเพื่อเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจของสุนัขไม่ให้เขาเลียแชมพูด้วยครับ  หลังจากนั้น ก็ต้องล้างแชมพูออกด้วยน้ำสะอาดให้เกลี้ยง แล้วเช็ดตัวให้แห้งหรือเป่าตัวให้แห้งด้วย “ลมเย็น” หรือที่“ไม่ร้อนเกินไป”

เห็นไหมครับการอาบน้ำและการใช้แชมพูเพื่อให้สุนัขของเราได้ประโยชน์มากที่สุดนั้น ก็เป็นทั้ง “ศาสตร์และศิลป์” เพียงแค่เราดูแลเอาใจใส่สัตว์เลี้ยงของเราในการอาบน้ำ ก็จะทำให้สัตว์เลี้ยงของเรามีสุขภาพผิวหนังและขนที่ดีขึ้นและลดอาการคันที่เกิดจากการติดเชื้อลงได้ครับ

ลืมบอกไปครับว่า ในกรณีฉุกเฉิน เช่น เมื่อเจ้าตูบเล่นซนจนตกน้ำมอมแมมเลอะเทอะ แต่บังเอิญแชมพูสำหรับสุนัขหมดพอดี เราก็สามารถใช้แชมพูคนอาบให้ “แก้ขัด” ไปก่อนได้ครับ ไม่ได้หมายความว่าจะห้ามใช้เลย  เพราะการใช้เพียง 1 หรือ 2 ครั้ง ก็ไม่ถึงกับทำให้เกิดปัญหาหนักหน่วงอะไร ดีกว่าปล่อยให้เจ้าตูบตัวเหม็นอยู่อย่างนั้นนะครับ

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.ทิลดิสร์ รุ่งเรืองกิจไกร

ฝ่ายประชาสัมพันธ์และส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กร

คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

โรคพิษสุนัขบ้า กับการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน!!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/344097

โรคพิษสุนัขบ้า  กับการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน!!

โรคพิษสุนัขบ้า กับการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน!!

วันเสาร์ ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2561, 06.00 น.

ถือเป็นปัญหาระดับชาติอีกปัญหาหนึ่งสำหรับปัญหาโรคติดต่อพิษสุนัขบ้า ซึ่งที่ผ่านมานั้นเกิดการแพร่ระบาดจนทำให้มีผู้เสียชีวิต จากกระแสสังคมดังกล่าวทำให้สังคมไทยตื่นตัวเกี่ยวกับโรคติดต่อชนิดนี้เป็นอย่างมาก รายการแนวหน้าวาไรตี้ โดย “ดร.เฉลิมชัย ยอดมาลัย” พาไปพูดคุยกับ ศ.น.สพ.ดร.รุ่งโรจน์ ธนาวงษ์นุเวช คณบดีคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เกี่ยวกับสวัสดิภาพของสัตว์ การป้องกันโรคติดต่อร้ายแรงอย่างโรคพิษสุนัขบ้า รวมไปถึงโครงการ
สำคัญๆ อย่าง โครงการสัตวแพทย์ จุฬาฯ ติดปีกซึ่งเป็นโครงการช่วยเหลือสุนัขจรจัดทั่วประเทศนอกจากนี้ ยังมีคำแนะนำดีๆ เกี่ยวกับการดูแลสัตว์เลี้ยงอีกด้วย

พิธีกรรายการ ดร.เฉลิมชัย ยอดมาลัย และ ศ.น.สพ.ดร.รุ่งโรจน์ ธนาวงษ์นุเวช 

ศ.น.สพ.ดร.รุ่งโรจน์ ธนาวงษ์นุเวช ได้เล่าถึงประเด็นนี้ว่า ผมมองว่าทุกวิกฤติ คือโอกาส โอกาสก็คืออย่างน้อยก็ทำให้คนเริ่มกลับมาสนใจ พอสนใจปุ๊บเราก็ต้องใส่ความรู้ไป คนที่ตื่นตัวคือคนที่รู้ ถ้าใส่ความรู้ไปความร่วมมือจะออกมา ซึ่งทำให้เราทำงานได้สะดวกและง่ายขึ้น ทีนี้มามองว่าโรคพิษสุนัขบ้ามันเยอะไหม? จริงครับ ซึ่งปัจจัยมีเยอะมากจากหลายๆ สาเหตุ ถ้าใครที่ย้อนอ่านหนังสือพิมพ์มันมาเพราะปัญหาวัคซีน ปัญหาในเรื่องของกฎหมาย ห้ามทารุณกรรมสัตว์ ปัญหาเรื่องของสุนัขจรจัดตรงนี้มันก็เริ่มสะสมมา พอสุดท้ายมันก็เริ่มเกิดปัญหา อาจารย์มองว่าตื่นกลัวดี แต่ต้องตระหนักว่าเรื่องนี้เราจะต้องจัดการกับมันอย่างไร ซึ่งที่นี่เราก็ได้ทำอะไรไปเยอะมากสำหรับโรคพิษสุขนัขบ้า

โครงการจากคณะสัตวแพทย์ศาสตร์ จุฬาฯ ได้ริเริ่ม

เราเริ่มจากความปลอดภัยความอยู่ดีมีสุขของสุนัข นั่นจะเป็นโครงการที่บอกว่าที่ไหนมีสุนัขหิวโหยก็สามารถติดต่อเรามาเราก็จะช่วยไปดูให้ว่าเราจะช่วยอะไรได้บ้าง เช่น เรื่องของอาหาร หรือทำหมันหรือฉีดวัคซีน แต่มีอีกหนึ่งโครงการที่ทุกคนจะคุ้นอยู่หูกันอยู่แล้วคือ โครงการสัตวแพทย์ จุฬาฯ ติดปีก ถามว่าทำไมต้องติดปีก เป็นโครงการที่ได้รับความร่วมมือจากนกแอร์ คือโครงการนี้เป็นโครงการที่ประสบผลสำเร็จเพราะเราทำอย่างต่อเนื่องไปที่เดิมซ้ำๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคนในพื้นที่ก็ต้องทำด้วยกันร่วมมือกันด้วย

เราเริ่มต้นที่อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน เมื่อสักประมาณ 5 ปีที่แล้ว มาที่จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดอุดรธานี เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง จุดหนึ่งที่เราเห็นที่เราทำต่อเนื่องมาหลายๆ ปีคือ มันประสบความสำเร็จ อุบัติการณ์ของโรคในจุดที่เราไปทำมันลดน้อยลง และสุนัขไม่ได้เพิ่มขึ้นสำเร็จเพราะอะไร เพราะว่าเราลงพื้นที่ติดตามอยู่ซ้ำๆ เราต้องการทำเป็นโมเดลตัวอย่างว่าตรงนี้เราทำอะไรแบบไหนบ้าง และเป็นแบบอย่างให้ที่อื่นๆ ที่จะสามารถนำไปใช้
ในพื้นที่ของตัวเองได้

สิ่งที่สำคัญคือทางคณะสัตวแพทย์ จุฬาฯ ให้บริการฉีดวัคซีนฟรี

ทางโครงการเราได้เล็งเห็นอันตรายของโรคพิษสุนัขบ้า เราจะเห็นได้ว่ามีผู้เสียชีวิตเกือบทั้งปีในช่วงที่ผ่านมา ฉะนั้นพอเราเห็นตรงนี้เป็นวิกฤติเราก็ขอความร่วมมือกับสมาคมศิษย์เก่าที่มีอยู่ทั่วประเทศให้บริการฉีดวัคซีนฟรี ซึ่งเราก็ได้รับความร่วมมือจากศิษย์เก่าเป็นอย่างดี

อย่าลืมว่าโรคพิษสุนัขบ้าเกิดกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิด หมากัดหนู แมวกัดหนู สิ่งเหล่านี้สามารถติดต่อกันได้ บ้านเราอยู่ในเขตความชุกของโรคค่อนข้างสูง ฉะนั้นแล้วสุนัขต้องฉีดวัคซีนทุกปีเน้นย้ำว่าต้องทุกปีนะครับ หลายคนอาจคิดว่าอยากพาสัตว์เลี้ยงมาฉีดวัคซีน แต่ก็คิดว่าที่จุฬาฯ ไกลเหลือเกินแล้วเราจะพาไปฉีดที่ไหน ไม่จำเป็นต้องพามาฉีดที่จุฬาฯครับ ตอนนี้เราจะเห็นว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความสามารถที่จะให้บริการฉีดวัคซีนกับสัตว์เลี้ยงของท่านได้ ถ้าอยู่ต่างจังหวัด สามารถติดต่อได้เลยในส่วนของปศุสัตว์

เราจะเห็นว่าในช่วงที่เกิดวิกฤติศิษย์เก่าของเราฉีดวัคซีนให้ฟรี ตรงนี้คือเราช่วยสังคมเบื้องต้นแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นท่านก็ต้องช่วยกันมีส่วนในการรับผิดชอบร่วมกัน ในส่วนของกรุงเทพฯก็มีบริการเช่นกัน ถ้าท่านมีจำนวนสุนัขเยอะลำบากต่อการเดินทางสามารถโทร.ติดต่อมาที่คณะสัตวแพทย์ของเราได้

การแก้ปัญหาสัตว์จรจัดได้อย่างยั่งยืน “เลี้ยงสัตว์อย่างรับผิดชอบ”

เราต้องมองว่าความรับผิดชอบต่อสัตว์เลี้ยงเป็นสิ่งที่สำคัญ ปัญหาเมืองไทยตอนนี้คือประชากรสุนัขสูงกว่าแต่ก่อนประมาณ 3 เท่า เราต้องดูตัวเองว่าเราสามารถเลี้ยงได้แค่ไหนที่สำคัญทำหมันให้สัตว์เลี้ยงน่าจะเป็นทางออกที่ดี นอกจากลดประชากรสุนัขแล้วยังลดในเรื่องของโรคด้วย นั้นคือเป็นการช่วยสวัสดิภาพของสัตว์ด้วย ทีนี้ในชุมชนสมมุติว่ามีสุนัขเยอะชุมชนต้องมองแล้วว่าจะต้องทำอย่างไร เช่น อยากเก็บเอาไว้เลี้ยงเองหรืออยากให้จับออกไป จับออกไป ในที่นี่คือ สามารถส่งต่อให้กับผู้ที่อยากเลี้ยงสุนัขตามต่างจังหวัดได้

ขอความร่วมมือสำหรับเจ้าของสุนัข เช่นถ้าอยากให้เราไปฉีดวัคซีนให้ก็ขอความร่วมมือท่านช่วยควบคุมสุนัขของตัวเองด้วย ถ้าจับให้เราได้เราก็จะจัดการให้ท่านได้ อย่างที่บอกหลายๆ โครงการเราทำให้ฟรี สำหรับคนที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถโทรได้ที่เบอร์ 02-2189719

พบเรื่องราวดีๆ ที่ครบครันแบบนี้ได้ในรายการ “แนวหน้าวาไรตี้” ออกอากาศทุกวันอาทิตย์เวลา 16.00-16.25 น. ทางTNN2(และช่อง 784 ทางดิจิตัลทีวี) หรือTrue Visions 8ชมรายการย้อนหลังได้ที่ youtube ผู้หญิงแนวหน้าby คุณแหน

Pet care : สัตว์เลี้ยงกับการอาบน้ำ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/342658

Pet care : สัตว์เลี้ยงกับการอาบน้ำ

Pet care : สัตว์เลี้ยงกับการอาบน้ำ

วันอาทิตย์ ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2561, 06.00 น.

“การอาบน้ำ” เป็นวิธีการชำระสิ่งสกปรกที่ติดอยู่ตามผิวหนัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสุนัขที่นั่งและนอนบนพื้นถนนก็มีโอกาสที่จะคลุกคลีกับสิ่งสกปรกได้มากกว่าสุนัขที่นอนบนที่นอนนุ่มๆ สะอาดๆ ในบ้านแน่นอนครับ นอกจากนี้ ในแต่ละวันจะมีการลอกหลุดของเยื่อบุผิวหนังชั้นบนสุด (ซึ่งกลายไปเป็นขี้ไคลเหมือนๆ กับในคนเรา) รวมถึงมีการผลัดขนหรือมีการหลุดร่วงของขนเป็นปรกติอยู่แล้วด้วย โดยเฉพาะในปัจจุบันนี้สัตว์เลี้ยงมีความใกล้ชิดกับเจ้าของมาก บางรายถึงกับนอนร่วมหมอนเดียวกับเจ้าของเลยทีเดียว ดังนั้น คงไม่ดีแน่ถ้าปล่อยให้ผิวหนังและขนของสัตว์เลี้ยงของเรามีสิ่งสกปรกติดเต็มไปหมด

“การอาบน้ำ” จึงเป็นการขจัดสิ่งสกปรกที่ติดอยู่บนผิวหนังได้เป็นอย่างดี รวมถึงยังเป็นการช่วยลดอุณหภูมิของร่างกายให้เย็นลงทำให้สดชื่นขึ้นอีกด้วยครับ

@ แล้วเราควรอาบน้ำให้เจ้าตูบบ่อยแค่ไหนกันล่ะ?

ในสภาพอากาศร้อนอบอ้าวอย่างบ้านเรานั้น เราสามารถอาบได้เป็นประจำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ขึ้นกับสภาพอากาศ ลักษณะของผิวหนังและขน รวมถึงสภาพแวดล้อมที่อยู่ของเขาด้วยว่าเสี่ยงต่อการสัมผัสความสกปรกได้มากแค่ไหนครับ หากเป็นช่วงที่อากาศร้อนหรือมีสภาพแวดล้อมที่เขาไปวิ่งเล่นเปรอะเปื้อน ก็อาจเพิ่มจำนวนครั้งต่อสัปดาห์มากขึ้นกว่านี้ได้ครับ

“การอาบน้ำ” นอกจากจะเป็นการทำความสะอาดขจัดสิ่งสกปรกที่ผิวหนังแล้ว ยังเป็นการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหนังได้อีกด้วย ตามทฤษฎีแล้ว การอาบน้ำจะทำให้ผิวหนังชุ่มชื่นและไม่เกิดอาการคัน (การคันที่เกิดจากผิวที่แห้ง) แต่ทั้งนี้ แชมพูที่ใช้ต้องไม่ก่อให้เกิดความระคายเคืองด้วยนะครับ

“การอาบน้ำด้วยแชมพู” แนะนำว่า สามารถทำได้ประมาณสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง (ในกรณีสุนัขที่มีสภาพผิวหนังปกตินะครับ)  แต่ในช่วงที่สภาพอากาศร้อนอบอ้าว เราก็สามารถอาบน้ำให้สุนัขได้ทุกวัน เพื่อเป็นการลดความร้อน โดยการอาบด้วย “น้ำเปล่า” โดยไม่ต้องใช้แชมพูก็ได้ (หรือต้องใช้แชมพูสูตรอ่อนๆ หรือตัวที่มีสารบำรุงผิวหนังและขน) และต้องเช็ดตัวให้แห้งหรือเป่าด้วย “ลมเย็น” (อย่าใช้ลมร้อนเพราะผิวหนังจะแห้ง) เนื่องจากการอาบน้ำด้วยแชมพูมักจะทำให้มีการชะล้างไขมันที่ร่างกายสัตว์สร้างขึ้นมาเพื่อเคลือบผิวหนัง รวมถึงอาจทำให้ผิวหนังและขนแห้งได้ ซึ่งหากสัตว์มีผิวหนังที่แห้งมากๆ และเป่าแห้งด้วยไอร้อนด้วย ก็จะทำให้ไขมันที่คลุมผิวหนังหายไป จึงมักจะทำให้เกิดอาการคันมากขึ้นได้ครับ

“น้ำ” ที่ใช้อาบ ก็ควรใช้น้ำที่มีอุณหภูมิห้อง (หมายถึงเท่ากับอุณหภูมิปกติ ณ เวลานั้นนั่นเอง) ซึ่งไม่ควรใช้น้ำที่มีอุณหภูมิที่สูงเกินไป (น้ำอุ่นมากๆ) เพราะการอาบน้ำด้วยน้ำที่อุ่นนั้น นอกจากจะทำให้ผิวแห้งแล้ว ยังจะทำให้เส้นเลือดที่ผิวหนังเกิดการขยายตัว โดยเฉพาะในกรณีที่มีปัญหาผิวหนังอักเสบ จะทำให้เกิดผิวหนังอักเสบมากขึ้นอีกด้วยครับ

คงได้ข้อมูลพอเป็นไอเดียแล้วนะครับ อย่าลืมว่าหลังอาบน้ำต้องเช็ดตัวและขนให้แห้งทุกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตาม “อุ้งเท้าทั้งสี่” เพราะหากปล่อยให้ซอกนิ้วชื้นแฉะแล้ว อาจเป็นจุดที่หมักหมมของเชื้อโรคจนทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราและมีการอักเสบของผิวหนังตามมาได้ด้วยครับ

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.ทิลดิสร์ รุ่งเรืองกิจไกร

ฝ่ายประชาสัมพันธ์และส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กร

คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

Pet care : ‘แนวปฏิบัติของการเลี้ยงสัตว์อย่างรับผิดชอบ’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/341230

Pet care : ‘แนวปฏิบัติของการเลี้ยงสัตว์อย่างรับผิดชอบ’

Pet care : ‘แนวปฏิบัติของการเลี้ยงสัตว์อย่างรับผิดชอบ’

วันอาทิตย์ ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

“Owning a dog is not just a privilege-it’s a responsibility”หรือ “การได้เป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยง” ไม่ใช่สิทธิพิเศษ แต่เป็น“ความรับผิดชอบที่พึงมีต่อชีวิตสัตว์และสังคม”

สัตว์เลี้ยงยอดฮิตในปัจจุบัน คงไม่พ้นสุนัขและแมว ซึ่งเหตุผลของการครอบครองสัตว์เลี้ยงของแต่ละคนนั้นย่อมมีความแตกต่างกัน บ้างก็เพราะหลงใหลในความน่ารักจนอดใจไม่ไหว บ้างก็เพราะอยากได้ความเป็นเพื่อน ความเป็นลูก หรือเป็นทาสผู้ซื่อสัตย์  บ้างก็อยากได้เพราะต้องการมีเหมือนคนอื่น ตามแฟชั่น

แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม การมีโอกาสได้ครอบครองเป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงนั้น ไม่ใช่สิทธิพิเศษ แต่เป็น “ความรับผิดชอบ”ที่ผู้ครอบครองพึงมีต่อสัตว์ จนชั่วชีวิตของสัตว์เลี้ยงตัวนั้น

ในชีวิตจริง เรามีญาติ มีเพื่อนฝูงมากมาย แต่อย่าลืมว่าสัตว์เลี้ยงนั้น เค้ามีเจ้าของคือเรา “เพียงคนเดียว” ที่เป็นเจ้าชีวิตเป็นที่พักพิงของเขา

ดังนั้นในการเป็น “เจ้าของสัตว์ที่มีความรับผิดชอบ” นั้นจะประกอบด้วยแนวปฏิบัติตนตามหลักสากล 16 ข้อ ดังนี้

1.คิดให้รอบคอบก่อนการตัดสินใจรับสัตว์เลี้ยง

2.เลือกชนิดและพันธุ์สัตว์เลี้ยงที่เหมาะสมกับที่อยู่อาศัยและไลฟ์สไตล์

3.เลี้ยงสัตว์ตามจำนวนที่สามารถให้การดูแลด้านอาหารน้ำ ที่อยู่อาศัย สุขภาพ และให้ความเป็นเพื่อนได้อย่างไม่บกพร่องไม่เลี้ยงจำนวนมากเกินไปจนเป็นภาระ

4.ยอมรับในความสัมพันธ์การเป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงจนตลอดชีวิตของสัตว์

5.จัดหาการออกกำลังกายที่เหมาะสม

6.ฝึกหัดนิสัยที่ดีให้สัตว์เลี้ยง

7.ตระหนักอยู่เสมอว่าการเลี้ยงสัตว์ต้องใช้เวลาและเงิน

8.สัตว์เลี้ยงต้องได้รับการป้องกันโรคอย่างเหมาะสมได้แก่ วัคซีน การป้องกันปรสิต และการให้การรักษาเมื่อเจ็บป่วย

9.รักษาความสะอาดของสัตว์เลี้ยงอยู่เสมอ

10.ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงสัตว์ เช่นการจดทะเบียนตัวสัตว์ การสวมสายจูงเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ และการควบคุมเสียงและกลิ่นไม่ให้รบกวนผู้อื่น

11.ไม่ปล่อยให้สัตว์เลี้ยงหากินเองอยู่นอกบ้าน

12.สัตว์เลี้ยงได้รับการระบุตัวตน เช่น การใช้ป้ายชื่อ ไมโครชิพ
หรือการสัก

13.จำกัดการขยายพันธุ์สัตว์ โดยคุมกำเนิดหรือทำหมันตามความเหมาะสม

14.เตรียมพร้อมรับเหตุฉุกเฉินอยู่เสมอ เช่น น้ำท่วม ไฟไหม้ต้องมีการวางแผนจัดเตรียมอุปกรณ์ในการเคลื่อนย้ายสัตว์ออกจากสถานที่เกิดเหตุ

15.หากไม่สามารถดูแลสัตว์เลี้ยงต่อไปได้ ต้องมีการวางแผนจัดเตรียมอย่างเหมาะสม

16.เฝ้าระวังสุขภาพสัตว์เลี้ยงอยู่เสมอ หากมีสิ่งผิดปกติควรปรึกษาสัตวแพทย์

จากแนวปฏิบัติทั้งหมดนี้ สรุปได้ว่า การจะมีสัตว์เลี้ยงสักตัวให้พิจารณา 3 ด้าน คือ

1.หลักสวัสดิภาพสัตว์ หรืออิสรภาพ 5 ประการ (Five Freedoms) ได้แก่

1.1 อิสระจากความหิว กระหาย และการได้รับอาหารที่ไม่ถูกต้อง (Freedom from hunger and thirst)

1.2 อิสระจากความไม่สะดวกสบาย อันเนื่องมาจากสิ่งแวดล้อมไม่เหมาะสม (Freedom from discomfort)

1.3 อิสระจากความเจ็บปวด การบาดเจ็บ หรือเป็นโรค(Freedom from pain, injury and disease)

1.4 อิสระจากความกลัวและความทุกข์ทรมาน (Freedom from fear and distress)

1.5 อิสระในการแสดงพฤติกรรมตามธรรมชาติของสัตว์(Freedom to express normal behavior)

2.ความรับผิดชอบต่อสังคมโดยรอบ ไม่ทำให้ผู้อื่นรำคาญหรือเดือดร้อน

3.ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม เก็บอุจจาระและสิ่งขับถ่ายของสัตว์ในที่สาธารณะ

ดังนั้น ก่อนที่จะตัดสินใจหาสัตว์เลี้ยงมาเลี้ยงสักตัว อย่าลืมพิจารณาสถานภาพและความสามารถในการดูแลของเราให้ดีก่อน หากปฏิบัติได้ทั้งหมดนี้แล้ว จึงค่อยตัดสินใจนำสัตว์มาเลี้ยงกันนะครับ

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จากศาสตราจารย์ สัตวแพทย์หญิง ดร.เกวลีฉัตรดรงค์ รองคณบดี คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.ทิลดิสร์ รุ่งเรืองกิจไกร

ฝ่ายประชาสัมพันธ์และส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กร

คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

Pet care : ตอน ‘อาจารย์ใหญ่’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/339811

Pet care : ตอน ‘อาจารย์ใหญ่’

Pet care : ตอน ‘อาจารย์ใหญ่’

วันอาทิตย์ ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

“อาจารย์ใหญ่” ที่ผมพูดถึงในวันนี้คือ “อาจารย์ใหญ่ทางสัตวแพทย์” นั่นก็หมายถึงร่างกายของสัตว์เลี้ยงที่เสียชีวิตและได้รับการบริจาคมายัง “ศูนย์กายสัตว์อุทิศ” คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อให้นิสิตสัตวแพทย์ได้ใช้เรียนกันครับ

เนื่องจากร่างสัตว์เหล่านั้นได้มาจาก “การบริจาค” ซึ่งถือเป็นการเสียสละอย่างมากทั้งจาก “ตัวสัตว์เอง” และ “เจ้าของสัตว์”อีกทั้งในการเรียนการสอนของคณะสัตวแพทยศาสตร์นั้น มีหลายรายวิชาที่จะต้องใช้ “ร่างสัตว์” เพื่อให้นิสิตสัตวแพทย์ได้ “เรียน” กัน

ครูที่สอน “กายวิภาคศาสตร์ทางสัตวแพทย์” อย่างผมมักจะพูดกับนิสิตสัตวแพทย์เสมอว่า…

…ไม่ว่าเราจะเรียก “ร่างสัตว์” ต่างๆ ที่นำมาใช้เรียนเหล่านั้นว่า “สัตว์ทดลอง” “Specimen” “ครูใหญ่” “อาจารย์ใหญ่” หรืออะไรก็ตาม

ผมขอให้นิสิตคิดเสมอว่า ทุกชีวิตนั้น ได้ชื่อว่าเป็น“ครู” เป็นชีวิตหนึ่ง ซึ่ง “เสียสละ” ให้พวกเราได้ “ใช้เรียน” เพื่อให้เกิดความรู้ความชำนาญในเชิงสัตวแพทย์ทั้งสิ้น

ผมจะเน้นเสมอว่า ขอให้นิสิตสัตวแพทย์ทุกคน พึงระลึกและตระหนักว่า กว่าเราจะได้เป็น “นายสัตวแพทย์หรือ สัตวแพทย์หญิง” ได้ เราต้องผ่าน “ชีวิตเหล่านั้น” มาแล้วจำนวนเท่าไหร่

ดังนั้น ในการ “เรียน” จาก “ชีวิตของเขาเหล่านั้น” ผมขอให้นิสิตสัตวแพทย์ทุกคนได้ สำนึก และระลึกถึง “บุญคุณ” ของ “ชีวิตเหล่านั้น” ที่เป็นเสมือน “ครู” ให้เราได้ศึกษาเพื่อให้เกิดความเข้าใจและความชำนาญ

ขอให้ใช้”ชีวิต”ของเขา “อย่างเคารพ”

ขอให้เราใช้ร่างเขา “อย่างสำนึก”

จอให้เราใช้ร่างเขา “อย่างรู้คุณค่า”

ขอให้เราใช้ร่างเขาให้ “เกิดประโยชน์สูงสุด”

ให้นิสิตมองเขาว่าเป็น “ครู”

ไม่ใช่เป็นแค่ “ร่างสัตว์ตัวหนึ่ง”

ผมจึงอยากเรียนท่านผู้อ่านทุกท่านว่า เรายังมีความต้องการในการใช้ “ร่างกายสัตว์” เพื่อการศึกษาทางสัตวแพทย์ และใช้ “อย่างมีคุณค่า” ที่สุด แต่เนื่องจากจำนวนสัตว์ต่างๆ (โดยเฉพาะ สุนัขและแมว) ที่ได้รับจากการบริจาคนั้นยังมีความต้องการอีกเป็นจำนวนมาก เพื่อเพียงพอต่อการเรียนการสอนในแต่ละปีผมจึงใคร่ขอเชิญชวนให้เจ้าของสัตว์ทุกท่านได้พิจารณาว่า หากสัตว์เลี้ยงของท่านเสียชีวิตลง และมีความประสงค์จะ“บริจาคร่างสัตว์เลี้ยง” เพื่อเป็นวิทยาทานในการศึกษาของนิสิตสัตวแพทย์แล้วละก็ ขอให้สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับคุณสมบัติและเงื่อนไขต่างๆ ได้ที่…

ศูนย์กายสัตว์อุทิศ

ชั้น 5 อาคารสัตววิทยวิจักษ์

คณะสัตวแพทยศาสตร์

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ถ.อังรีดูนังต์ ปทุมวัน

โทร.02-2189838, 02-2189839

หมายเหตุ :  ศูนย์กายสัตว์อุทิศนี้ จัดตั้งขึ้น เมื่อปี พ.ศ.2558โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรับบริจาคร่างกายสัตว์เลี้ยงทุกชนิดที่เสียชีวิตแล้ว เพื่อใช้เป็น “ครู” ให้นิสิตสัตวแพทย์ได้ศึกษาครับ

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.ทิลดิสร์ รุ่งเรืองกิจไกร

ฝ่ายประชาสัมพันธ์และส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กร

คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

Pet care : โรคนิ่ว เรื่องที่ทำให้หน้านิ่วและคิ้วขมวด (ตอนจบ)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/338400

Pet care : โรคนิ่ว เรื่องที่ทำให้หน้านิ่วและคิ้วขมวด (ตอนจบ)

Pet care : โรคนิ่ว เรื่องที่ทำให้หน้านิ่วและคิ้วขมวด (ตอนจบ)

วันอาทิตย์ ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราได้รู้จักสาเหตุและอาการที่แสดงออกของสัตว์เลี้ยงที่ประสบปัญหาโรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะไปแล้ว วันนี้เรามารู้จักวิธีการรักษากันครับ

@ การรักษาโรคนิ่วทำได้อย่างไร?

การรักษานิ่ว ทำได้ 2 ทางหลัก คือ รักษาทางอายุรกรรมและทางศัลยกรรม

1.การรักษาทางอายุรกรรม ทำโดยการให้ยากิน หรือให้อาหารละลายตะกอนนิ่ว รวมถึงให้ยาปฏิชีวนะ เพื่อลดการติดเชื้อแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะร่วมด้วย โดยระหว่างการรักษาจะมีการถ่ายภาพรังสีวินิจฉัยหรืออัลตร้าซาวนด์เพื่อประเมินขนาดของก้อนนิ่วเป็นระยะด้วย

แต่การรักษาทางอายุรกรรมเพียงอย่างเดียวในสุนัขบางตัวอาจไม่ได้ผล เนื่องมาจากก้อนนิ่วมีขนาดใหญ่  ก้อนนิ่วอุดตันท่อปัสสาวะ หรือสัตว์ไม่กินยาหรืออาหารละลายก้อนนิ่วอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการไม่ใส่ใจป้อนยาของเจ้าของสัตว์ด้วย เป็นต้น ดังนั้นจึงอาจต้องมีความจำเป็นในการพิจารณาทำการรักษาทางศัลยกรรมร่วมด้วย

2.การรักษาทางศัลยกรรม โดยการวางยาสลบ เพื่อผ่าตัดนำก้อนนิ่วออกจากกระเพาะปัสสาวะ

ในการรักษาโรคนิ่วนั้น สัตวแพทย์จะทำการตรวจวินิจฉัยต่างๆ เพื่อเป็นประโยชน์ในการรักษา ซึ่งได้แก่

*การตรวจปัสสาวะ (Urinalysis) เพื่อวิเคราะห์ความเป็นกรดด่างของปัสสาวะและวิเคราะห์ชนิดของผลึกนิ่ว

*เพาะเชื้อและหาความไวต่อยาปฏิชีวนะในน้ำปัสสาวะ (Bacterial culture and Drug sensitivity) ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการเลือกใช้ยาปฏิชีวนะที่เหมาะสมในการรักษา กรณีที่เกิดการติดเชื้อร่วมด้วย

*ตรวจเลือด (Hematology and Blood chemistry)เพื่อประเมินการติดเชื้อและการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายประกอบการรักษา

*การถ่ายภาพรังสีวินิจฉัย (X-ray) อาจทำการฉีดสารทึบรังสีหรืออากาศเข้ากระเพาะปัสสาวะร่วมด้วยในกรณีที่เป็นนิ่วโปร่งแสง เพื่อหาจำนวน ขนาดและตำแหน่งของก้อนนิ่ว

*อัลตร้าซาวนด์ (Ultrasound) เพื่อตรวจหาก้อนนิ่วและประเมินการอักเสบของกระเพาะปัสสาวะร่วม

*ตรวจวิเคราะห์องค์ประกอบนิ่ว เพื่อเลือกวิธีการป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ

เมื่อรักษาจนหายแล้ว มีโอกาสจะเกิดขึ้นอีกได้หรือไม่?

คำตอบคือ “มี” โอกาสกลับมาเป็นอีกได้แน่นอนครับ หากการเลี้ยงดูยังคงเป็นเหมือนเดิม  ดังนั้นการดูแลสุนัขหลังการรักษาโรคนิ่ว เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำจึงสำคัญและมีความจำเป็นมาก สิ่งที่ควรทำได้แก่

*ให้อาหารควบคุมการเกิดนิ่วตลอดชีวิต จำพวกอาหารควบคุมแร่ธาตุที่เป็นองค์ประกอบของนิ่ว

* ให้สัตว์กินน้ำมากขึ้น ทำให้ปัสสาวะมีความเข้มข้นลดลงช่วยลดการตกตะกอนนิ่วลง

*ปล่อยให้สัตว์เดินไปปัสสาวะบ่อยขึ้น หรือจัดที่ให้สัตว์ปัสสาวะสะดวกขึ้น เพื่อลดพฤติกรรมกลั้นปัสสาวะในกรณีสุนัขไม่ชอบขับถ่ายในกรงที่เลี้ยง

สิ่งที่สำคัญ เมื่อเห็นอาการของเจ้าตูบและเจ้าเหมียวเริ่มอาการปัสสาวะผิดปกติ ปัสสาวะไม่ค่อยออก ปัสสาวะบ่อยมีเลือดหรือสิ่งแปลกปลอมปนมากับน้ำปัสสาวะ หรือมีอาการผิดปกติใดๆ อย่าชะล่าใจนะครับ รีบพาไปพบสัตวแพทย์ปัญหาต่างๆ จะได้แก้ไขตั้งแต่ระยะแรก และทำให้สัตว์ฟื้นตัวได้เร็วจะได้ไม่เสียใจภายหลังครับ

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.ทิลดิสร์ รุ่งเรืองกิจไกร

ฝ่ายประชาสัมพันธ์และส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กร

คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

Pet care : โรคนิ่ว เรื่องที่ทำให้หน้านิ่วและคิ้วขมวด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/337026

Pet care : โรคนิ่ว เรื่องที่ทำให้หน้านิ่วและคิ้วขมวด

Pet care : โรคนิ่ว เรื่องที่ทำให้หน้านิ่วและคิ้วขมวด

วันอาทิตย์ ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

(ตอนที่ 1)

โรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ หรือ Cystic calculiเป็นปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นได้บ่อยในสัตว์เลี้ยงแสนรักของเราที่ทำให้สุนัขเกิดความเจ็บปวดและทรมานอย่างมาก รวมถึงทำให้เจ้าของต้องทรมานใจไม่แพ้กันด้วยครับ วันนี้เรามารู้จักโรคนี้รวมถึงวิธีการป้องกันและการรักษากันนะครับ

@นิ่ว คืออะไร?

นิ่ว คือ การสะสมของตะกอนแร่ธาตุ ซึ่งเกิดได้ตลอดทางเดินปัสสาวะ ได้แก่ ใน กระเพาะปัสสาวะที่ท่อปัสสาวะ และที่ไต แต่ที่มักพบได้บ่อยในสัตว์เลี้ยงนั้นมักเป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ

นิ่วมีหลายชนิด ขึ้นกับองค์ประกอบของนิ่ว ซึ่งมักพบภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบร่วมด้วย เนื่องจากก้อนนิ่วระคายเคือง ทางเดินปัสสาวะ

@เจ้าตูบเจ้าเหมียวของเรา จะเป็นนิ่วได้อย่างไรและเหตุใดจึงเป็นโรคนิ่ว?

โรคนิ่วเกิดได้จากหลายปัจจัยร่วมกัน ได้แก่

*อายุมาก

*กินน้ำน้อย กลั้นปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะมีความเข้มข้นสูงขึ้น การตกตะกอนของผลึกนิ่วเกิดได้มากขึ้น

*ได้รับอาหารที่มีโปรตีนสูง แร่ธาตุสูงเป็นประจำเช่น เครื่องในสัตว์ สัตว์ปีก

*ติดเชื้อแบคทีเรียที่ทางเดินปัสสาวะ ทำให้เปลี่ยนแปลง ความเป็นกรดด่าง ส่งผลให้เกิดการตกตะกอนนิ่ว

*เป็นสายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงในการเกิดโรคนิ่วสูงเช่น ดัลเมเชียน

*สัตว์ที่เป็นโรคบางโรคที่โน้มนำให้เกิดตะกอนนิ่วมากกว่าปกติ เช่น ไทรอยด์เป็นพิษ โรคมะเร็งบางชนิด

*สัตว์ที่มีระดับแคลเซียมในกระแสเลือดและปัสสาวะสูงซึ่งเกิดได้จากการเสริมแคลเซียม วิตามินดีหรือฟอสฟอรัสมากเกินไป

@เราจะทราบอย่างไร ว่าสัตว์เลี้ยงของเราเป็นนิ่ว?

อาการที่บ่งบอกว่าเจ้าตูบ เจ้าเหมียวของท่านเริ่มเป็นโรคนิ่ว ได้แก่

*ปัสสาวะบ่อยขึ้น แต่ปริมาณน้อยกว่าปกติ

*ปัสสาวะเป็นสีแดงหรือมีเลือดปน

*แสดงอาการปวดเบ่งตอนปัสสาวะ

*บางตัวมีนิ่วอุดตันท่อปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะไม่ออก ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินควรพาสุนัขมาพบสัตวแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาโดยเร่งด่วน เพราะถ้าปล่อยทิ้งไว้อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

*อาการทางระบบอื่นๆ เช่น ซึม เบื่ออาหารอ่อนแรง อาเจียน อาจพบร่วมกับอาการข้างต้นได้

จะเห็นได้ว่าอาการของโรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะของสุนัขมีการแสดงออกหลายแบบ สุนัขบางตัวอาจเกิดอาการหลายอย่างร่วมกัน แต่บางตัวอาจแสดงอาการเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น ดังนั้น “การสังเกตอาการโดยเจ้าของ” จึงมีความจำเป็นอย่างมาก เพราะจะเป็นประโยชน์ต่อการช่วยวินิจฉัยของสัตวแพทย์ และจะช่วยให้สัตวแพทย์ให้การรักษาอย่างถูกต้องและแม่นยำด้วยครับ สัปดาห์หน้าเรามาคุยกันถึงเรื่องการรักษาโรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะกันครับ

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.ทิลดิสร์ รุ่งเรืองกิจไกร

ฝ่ายประชาสัมพันธ์และส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กร

คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

Pet care : เมื่อเจ้าตูบได้รับ‘สารเคมี’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/335669

Pet care : เมื่อเจ้าตูบได้รับ‘สารเคมี’

Pet care : เมื่อเจ้าตูบได้รับ‘สารเคมี’

วันอาทิตย์ ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2561, 06.00 น.

เราคงยอมรับกันว่า ในปัจจุบันนี้มีการใช้สารเคมีกันอย่างแพร่หลายในทุกครัวเรือน สารเคมีหลายชนิดเป็นที่อันตรายอย่างมากต่อสุขภาพของสมาชิกในบ้าน  ซึ่งอาจมาในรูปของ สารฆ่าแมลง
กรด ด่าง ยาเบื่อหนู หรือแม้แต่น้ำยาทำความสะอาดบ้าน ซึ่งหากเข้าสู่ร่างกายไม่ว่าจะเป็นโดยการกิน การสูดดม และการสัมผัสแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นอันตรายทั้งสิ้น  ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องระมัดระวังในการใช้งานเป็นพิเศษ แต่ความประมาทเลินเล่อในการใช้งาน หรือการเก็บ หรือแม้แต่อุบัติเหตุก็จะอาจเป็นเหตุที่ทำให้เราหรือสัตว์เลี้ยงได้รับสารพิษเหล่านั้นได้

เมื่อสัตว์เลี้ยงได้รับสารพิษเรานั้นแล้ว  ปัจจัยมีผลต่อการหาย หรือลดอันตรายที่เกิดขึ้น นั่นคือความรวดเร็วในการพาไปพบสัตวแพทย์เพื่อรับการรักษา การปฐมพยาบาลโดยเจ้าของในช่วงก่อนถึงมือสัตวแพทย์หรือระหว่างเดินทางไปพบสัตวแพทย์เป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะเป็นการช่วยลดความรุนแรง ลดการเจ็บปวด ลดการเสียหายของอวัยวะ และลดโอกาสที่การเสียชีวิตของสัตว์เลี้ยงได้

หลักการปฐมพยาบาลสัตว์ เมื่อสัตว์ได้รับสารเคมีมีดังต่อไปนี้

1.เมื่อได้รับสารเคมีโดยการกิน

การช่วยให้สัตว์อาเจียนเอาสารพิษที่กินไปออกมาเป็นวิธีหนึ่งที่เจ้าของสามารถทำได้ เมื่อ “สัตว์ยังมีสติ” ตื่นตัว และให้ความร่วมมือกับเจ้าของเท่านั้น และควร “ทำภายใน 1 ชั่วโมง” หลังจากที่สัตว์กินสารเคมีเข้าไป

วิธีการกระตุ้นให้สัตว์อาเจียนที่กล่าวนั้น สามารถทำได้หลายวิธีได้แก่…

1.1 ล้วงคอให้อาเจียน เป็นวิธีที่ทำให้อาเจียนได้ง่าย แต่ไม่แนะนำเพราะ มีความเสี่ยงต่อเจ้าของในการถูกสัตว์เลี้ยงกัดได้

1.2 ป้อนด้วยน้ำเชื่อมเข้มข้น ซึ่งจะไปกระตุ้นการอาเจียนได้ โดยในแมว ใช้น้ำเชื่อมปริมาณ 5 ซีซี หรือประมาณ 1 ช้อนชา ส่วนในสุนัข ใช้น้ำเชื่อมปริมาณ 5 ซีซี หรือ 1 ช้อนชาต่อสุนัขน้ำหนักตัว 5 กิโลกรัม

1.3 ป้อนด้วยน้ำยาไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ที่มีความเข้มข้น 3% (Hydrogen peroxide 3%) ก็คือตัวที่เราใช้ล้างแผลนั่นเอง  ปริมาณ1 ช้อนโต๊ะ หรือ 20ซีซี ต่อ สุนัขหรือแมวน้ำหนัก 10 กิโลกรัม

หมายเหตุ **การป้อนน้ำเชื่อม หรือ ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ที่มีความเข้มข้น 3% นั้น หากสัตว์เลี้ยงไม่อาเจียนภายใน 20 นาทีหลังได้รับการกระตุ้นไปแล้ว สามารถกระตุ้นซ้ำได้อีก 1 ครั้ง **

การกระตุ้นให้สัตว์อาเจียนนั้น มีข้อจำกัดในกรณี…

1.สัตว์อยู่ในภาวะสลบ ชัก ดุร้าย ไม่มีสติ หรืออ่อนแอมาก เพราะมีโอกาสอย่างสูงที่ทำให้เกิดการสำลักแล้วเศษอาหารเข้าทางเดินหายใจได้

2.หากกินสารเคมีเข้าไปแล้วนานเกินกว่า 1 ชั่วโมง ทำไม่ได้เนื่องจากสารเคมีนั้นๆ จะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดไปแล้ว

3.หากสารเคมีที่สัตว์กินเข้าไปเป็นสารประเภทกรด ด่าง สารหอมระเหยที่เป็นผลิตภัณฑ์จากปิโตรเลียม หรือสารที่มีฤทธิ์กัดกร่อน ให้ป้อนด้วยไข่ดิบ หรือนม เพื่อลดการระคายเคือง และรีบพาสัตว์ไปพบสัตวแพทย์โดยเร็วที่สุด

2.เมื่อได้รับสารเคมีโดยการสูดดม

แก้ไขเบื้องต้นโดยการ รีบพาสัตว์เลี้ยงไปยังพื้นที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์ อากาศถ่ายเทสะดวก และปราศจากสารเคมีเหล่านั้น จากนั้นให้รีบพาส่งสัตวแพทย์ให้เร็วที่สุด

3.เมื่อได้รับสารเคมีโดยการสัมผัสถูกผิวหนัง

เจ้าของควรใส่ถุงมือ และให้ล้างตัวสัตว์ที่บริเวณที่สัมผัสสารเคมีด้วยน้ำสะอาด ร่วมกับการใช้สบู่ อย่างน้อย 15 นาที  แล้วสังเกตอาการและนำส่งสัตวแพทย์โดยเร็ว

5.เมื่อได้รับสารเคมีเข้าตา

ให้ทำการล้างตาของสัตว์ด้วยน้ำเกลือล้างแผล จนคิดว่าสารเคมีน่าจะถูกชะออกไปหมดแล้ว จากนั้นให้รีบนำส่งสัตวแพทย์โดยด่วน

หวังว่าการปฐมพยาบาลนี้ คงช่วยให้เราสามารถลดอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับน้องหมา น้องแมวของเราจากกรณีได้รับสารเคมีนะครับ

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.ทิลดิสร์ รุ่งเรืองกิจไกร

ฝ่ายประชาสัมพันธ์และส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กร

คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย