สมัชชามหาคณิสสร : มรดกชิ้นสุดท้ายของมหานิกายที่เหลืออยู่ #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/dhamma/645942

วันที่ 21 ก.พ. 2564 เวลา 10:21 น.สมัชชามหาคณิสสร : มรดกชิ้นสุดท้ายของมหานิกายที่เหลืออยู่โดย อุทัย มณี

**********************

เมื่อเร็ว ๆ นี้ เห็นพระพรหมโมลี กรรมการมหาเถรสมาคม แม่กองธรรมบาลีสนามหลวง ได้ลงชื่อในคำประกาศการฝึกซ้อมอบรมพระอุปัชฌาย์ ในนาม “เลขาธิการสมัชชามหาคณิสสร” ด้วยความอยากรู้คำว่า “มหาคณิสสร” มีความเป็นมาอย่างไร องค์กรนี้ใครจัดตั้งขึ้นเพื่ออะไร และบทบาทปัจจุบันทำอะไรบ้าง จึงไปสืบค้นและสอบถามจากผู้รู้หลายท่าน

ความเป็นมาของ “มหาคณิสสร”  น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะแฝงด้วยการชิงเหลี่ยมอิงการเมืองระหว่างคณะสงฆ์มหานิกายและธรรมยุติกนิกาย แต่เบื้องต้นเพื่อให้เข้าใจศัพท์ว่า “มหาคณิสสร” ผู้เขียนขออ้างอิงคำแปลของ นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย ย่อ ๆ ว่า

มหาคณ + อิสสร = มหาคณิสสร แปลว่า “ผู้เป็นใหญ่แห่งคณะใหญ่” = มีคณะใหญ่ แล้วก็มีผู้มาเป็นใหญ่เหนือคณะใหญ่นั้น (คณะธรรมยุตมีแค่เจ้าคณะใหญ่) และ “มัชชามหาคณิสสร” คือ คณะกรรมการบริหารงานคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกายของพระภิกษุสงฆ์ไทย

ให้ตั้งข้อสังเกต 2 ความหมายนี้ คือ มหาคณิสสร แปลว่า “ผู้เป็นใหญ่แห่งคณะใหญ่” และ “มัชชามหาคณิสสร” คือ คณะกรรมการบริหารงานคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกายของพระภิกษุสงฆ์ไทย

สมัชชามหาคณิสสร ตั้งขึ้นโดย “สมเด็จป๋า” หรือ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณฺณสิริ) วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 17 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

จากการสอบถามผู้รู้ เล่าว่า การเกิดขึ้นของสมัชชามหาคณิสสร เป็นพระดำริของสมเด็จป๋า เพื่อตอบโต้คณะธรรมยุติกนิกายในยุคนั้นที่พยายามจะเข้ามาครอบงำคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกายผ่าน พ.ร.บ.2505 และรูปแบบการบวช

ก่อตัวขึ้นของสมัชชามหาคณิศร จึงเป็นอีกหนึ่งความพายามของพระสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ที่ต้องการแก้ปัญหา และต้องการจะสลัดออกมาจากการครอบงำ ถูกกลืนกิน โดยตั้งเป็นมติสงฆ์ฝ่ายมหานิกายว่า การบวชของฝ่ายมหานิกายให้ใช้รูปแบบของการบวชแบบ อุกาสะ ซึ่งเป็นการบวชแบบดั้งเดิม นัยหนึ่งก็เป็นฐานรักษาฝ่ายมหานิกายเอาไว้ไม่ให้สาบสูญ แต่อีกนัยหนึ่ง ก็เพื่อความเป็นอิสระจากการถูกครอบงำ

เพราะตั้งแต่ครั้งเกิดคดีความพระพิมลธรรม (อาจ อาภสเถร ) เป็นต้นมา ก็มีความพยายามในการรุกคืบที่จะให้ มหานิกายยกเลิก “บวชแบบอุกาสะ” ให้หมด ซึ่งมีหลายวัดฝ่ายมหานิกาย ที่เปลี่ยนรูปแบบการบวชแบบคณะธรรมยุตคือแบบ “เอสาหัง” จึงเป็นที่มาของการตั้งสมัชชามหาคณิศรขึ้นมา เพื่อรักษาการบวชแบบมหานิกายเอาไว้

แต่เนื่องจากสมเด็จป๋าตอนนั้นพระองค์ดำรงตำแหน่ง “สกลมหาสังฆปริณายก” จะจัดประชุมที่วัดโพธิ์ ก็คงไม่เหมาะสม จึงให้ไปจัดประชุมเพื่อดำเนินการเรื่องนี้ที่วัดสระเกศแทน

สุดท้ายคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกายตั้งแต่ระดับเจ้าคณะหนใหญ่ เจ้าคณะภาค จึงมีมติร่วมกันว่า จะตั้ง “สมัชชามหาคณิสสร” ขึ้น เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2516 และสมเด็จป๋า สมเด็จพระสังฆราชทรงเห็นชอบในอีกวันถัดมาคือวันที่ 26 มีนาคม 2516 และถือเอาวันนี้เป็นวันก่อตั้งสมัชชามหาคณิสสร ปัจจุบันมีสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำ ซึ่งเป็นผู้มีอาวุโสสูงสุดทางสมณศักดิ์ เป็นประธานสมัชชามหาคณิสสร และมีพระพรหมโมลี เป็นเลขาธิการ”

บทบาทปัจจุบันของสมัชชามหาคณิสสรไม่มีอะไรนอกจาก“จัดอบรมพระอุปัชฌาย์” ของคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย

การเกิดขึ้นของสมัชชามหาคณิสสร แต่อีกนัยหนึ่งในคณะธรรมยุตเองท่านก็มี เจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต มหานิกายจึงตั้ง “ประธานสมัชชามหาคณิสสร” บ้าง

และทั้งคณะธรรมยุตเขาก็มี “ระเบียบบริหารวัดธรรมยุต พ.ศ.2500” คณะสงฆ์มหานิกายยุคนั้นก็มี “ระเบียบบริหารสมัชชามหาคณิสสร” ขึ้นมา มีโครงสร้างทั้งฝ่ายปกครอง การศึกษา เผยแผ่  สาธารณูปการ ฝ่ายวิชาการ และฝ่ายอธิกรณ์ 

ส่วน พ.ร.บ.คณะสงฆ์ 2505 ถือว่า เป็นเรื่องของบ้านเมืองที่จะเข้ามาอุปถัมภ์ดูแลคณะสงฆ์เป็นสิ่งที่คณะสงฆ์ทั้ง 2 ฝ่ายต้องปฎิบัติตามบ้านเมืองเท่านั้น

ยุคก่อนการชิงไหวชิงพลิบระหว่างคณะสงฆ์ 2 นิกายค่อนข้างเข้มข้น การได้มาซึ่ง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ 2484 ถือว่าเป็นชัยชนะของฝ่ายมหานิกาย

การสูญเสีย พ.ร.บ.คณะสงฆ์  2484 และการเกิดขึ้นของ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ 2505 รวมทั้งการที่พระพิมลธรรม (อาจ อาสภเถระ) ถูกจับติดคุก ถือว่าเป็นความเพลี่ยงพล้ำของคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย

การก่อตั้ง “สมัชชามหาคณิสสร” ในปี 2516 จึงนับได้ว่าเป็นการรวมตัวของคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกายที่ต้องการจะ “ปลดแอก” จากการครอบงำของคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุต ที่พยายามรุกคืบด้วย “วิธีบวชแบบเอสาหัง”

และตอนนี้ “สมัชชามหาคณิสสร” ที่พระผู้ใหญ่ฝ่ายมหานิกายหาญกล้าท้าทายอำนาจ รวมตัวกันก่อตั้งขึ้นน่าจะเป็น “มรดก” ชิ้นเดียวของคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกายที่ยังหลงเหลืออยู่

ส่วนสีจีวรและรูปแบบการห่มผ้า..หลายปีมานี้ลูกผีลูกคน???

คณะสงฆ์ “ถูกปฎิรูป” แล้ว #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/dhamma/644705

วันที่ 07 ก.พ. 2564 เวลา 09:47 น.คณะสงฆ์ “ถูกปฎิรูป” แล้วโดย อุทัย มณี

************************

การเปลี่ยนแปลงระบบการสถาปนา “สมณศักดิ์” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในมุมมองของผู้เขียนถือว่าคณะสงฆ์ “ถูกปฎิรูปแล้ว”

การเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองของคณะสงฆ์ตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ 2505 ว่าด้วยการแต่งตั้งตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช จนถึงเจ้าอาวาสพระรามหลวงยุคนี้ ผู้เขียนถือว่าคณะสงฆ์ “ถูกปฎิรูปแล้ว”

สัญญาณทั้งหมดนี้ ล้วนเกิดขึ้นจากสถาบันพระมหากษัตริย์และองค์พระมหากษัตริย์ในฐานะ ทรงเป็นพุทธมามก และทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก

การถวายสถาปนาสมณศักดิ์ในรัชกาลปัจจุบัน “ทรงเลือก” เป็นเฉพาะรายบุคคล ซึ่งทั้งหมดถือว่าเป็น “พระราชอำนาจ” โดยชอบธรรม

ความจริงระบบ “สมณศักดิ์” คือ “ความเชื่อมโยง” ระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับสถาบันสงฆ์อันมีนัยสำคัญ

ช่วงหลัง ๆ ระบบสมณศักดิ์ มีพระภิกษุบางรูป ฆราวาสลูกศิษย์บางรายก่อให้เกิดขบวน “การวิ่งเต้น เล่นพรรคเล่นพวก ”

พระสุปฎิปันโน พระภิกษุที่ทำงานอุทิศตนเพื่อพระพุทธศาสนา ถูกละเลย ถูกทอดทิ้ง

เพื่อทราบถึง พระเนตร พระกรรณ จึงพอเดาได้ว่า การถวายสถาปนา สมณศักดิ์ดังปรากฏอยู่ในรัชกาลปัจจุบันเพื่อ แก้ไข “ปัญหาเหล่า” นี้

แม้แต่ตำแหน่งทางปกครองของคณะสงฆ์..แม้ปัจจุบันจะยังไม่เข้ารูปเข้ารอย แต่คาดว่า..เร็ว ๆนี้อาจมีการแต่งตั้ง เพื่อให้เข้ารูปเข้ารอยหา “ตัวจริง” โดยเฉพาะตำแหน่ง “เจ้าคณะภาค” ที่มีการรักษาการมาอันยาวนาน

มีข่าววงในว่า ที่ประชุม “มหาเถรสมาคม” มีการพูดคุยเรื่องนี้ 2-3 นัยสำคัญ คือ

หนึ่ง กรรมการมหาเถรสมาคม…ต้องไม่ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะภาค

สอง เจ้าคณะภาคต้องอยู่ในภาคของตนเอง..เว้น

สาม คือในภาคไม่มีพระภิกษุสมณศักดิ์ระดับ “ชั้นราช” ต้องคงไว้ให้พระภิกษุที่มีสมณศักดิ์ชั้นราชในส่วนกลาง

และแนวนี้ต้องปฎิบัติทั้งมหานิกาย -ธรรมยุติกนิกาย โปรดรอฟัง

หากเป็นจริงดังข่าวแว่วที่ไม่ผ่านการกลั่นกรองถือว่า “คณะสงฆ์ถูกปฎิรูป” ขึ้นอีกขั้น เพื่อกระจายอำนาจการปกครองสู่ภูมิภาค

จากเดิมทั้งเจ้าคณะหนใหญ่ เจ้าคณะภาค กองอยู่แต่ในส่วนกลาง บางวัดมีทั้งเจ้าคณะหนใหญ่ ทั้งเจ้าคณะภาค บางวัดมีเจ้าคณะหนใหญ่สองรูปด้วยซ้ำไป

คนทำงานเพื่อพระพุทธศาสนา ในภูมิภาค ซึ่งเป็น มดงานจริง ๆ เกิด “น้อยเนื้อต่ำใจ”

ความจริงเรื่องนี้ก็..อยากให้ทราบถึงพระเนตร พระกรรณด้วย

ภาพ :สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

เจ้าคุณสุทัศน์ : พระผู้สร้างประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งแห่งวงการศึกษาบาลี #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/dhamma/644103

วันที่ 31 ม.ค. 2564 เวลา 11:09 น.เจ้าคุณสุทัศน์ : พระผู้สร้างประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งแห่งวงการศึกษาบาลีโดย อุทัย มณี

********************

เจ้าคุณสุทัศน์หรือพระธรรมราชานุวัตร เจ้าสำนักเรียนบาลีวัดโมลีโลกยาราม กรุงเทพมหานคร ส่งคลิปวีดีทัศน์มาให้ชม 2 คลิป คลิปหนึ่งเป็นรายการเจาะใจและอีกคลิปหนึ่ง เป็นคลิปผลิตโดยสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

จุดเด่นที่สื่อให้ความสนใจของสำนักเรียนบาลีวัดแห่งนี้เพราะเป็นสำนักเรียนที่มีนักเรียนอยู่แบบคับแคบแออัดอัตคัดที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ เป็นสำนักเรียนที่นักเรียนต้องกางเต็นท์อยู่ และมีจุดเด่นคือสำนักเรียนแห่งนี้เป็น “สำนักเรียนบาลีที่มีนักเรียนสอบได้อันดับหนึ่ง” ของประเทศไทย มีชื่อเสียงที่นักเรียนบาลีทุกรูปอยากจะมาอาศัย

วัดโมลีโลกยารามเดิมเหมือน “วัดร้างและวัดที่ถูกลืม” จริง ๆ  ยุคก่อนปี 40 ผู้เขียนเป็นสามเณรอยู่วัดอรุณราชวรารามติดกับวัดโมลี เคยไปหาพระเพื่อนอยู่บ่อยครั้ง

แต่หลังปี 2540 อดีตพระพรหมกวี ต้นตำรับหนังสือราชการของพระ “วิทยาพระสังฆาธิการ” ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของเจ้าคุณสุทัศน์ย้ายมาจากวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ มาเป็นเจ้าอาวาสวัดโมลี พร้อมกับเจ้าคุณสุทัศน์ วัดโมลีแห่งนี้ก็ได้รับการพัฒนามากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะ “การศึกษาบาลี”

ผู้เขียนรู้จักกับเจ้าคุณสุทัศน์แบบผิวเผินผ่านเจ้าคุณขวัญหรือ พระศรีสุทธิเวที เลขานุการเจ้าคณะภาค 9 วัดอรุณราชวราราม  ผู้ซึ่งเป็นพระอาจารย์ และซึ่งเป็นกัลยาณมิตรกับเจ้าคุณสุทัศน์อีกที

หลังจากสึกออกมาเคยตามเจ้าคุณขวัญไปวัดโมลี 2 ครั้ง ไปถวายภัตตาหารเลี้ยงเพลพระเณร เจ้าคุณสุทัศน์ ท่านชวนให้หาสามเณรมอญมาเรียนที่วัดโมลีโลกยาราม

หรือแม้กระทั้งเคยเจอท่านที่สนามบินย่างกุ้ง ตอนที่ผู้เขียนไปพาคณาจารย์จาก มจร ไปเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยกับมหาวิทยาลัยสงฆ์มอญ เล่าให้ท่านฟังคร่าว ๆ ระบบการศึกษาพระสงฆ์มอญสอบบาลีที่มีสนามสอบแห่งเดียวมีพระเณรสอบเกือบ 2 พันรูป จุดศูนย์อยู่ที่รัฐมอญ เมืองเมาะละเหม่ง ประเทศเมียนมา

เจ้าคุณสุทัศน์ก็สนใจที่อยากจะมาดูการสอบและอุปถัมภ์การสอบ ตั้งใจว่าอยากจะชวนท่านไปดูการสอบบาลีของคณะสงฆ์รามัญนิกาย..แต่เกิดวิกฤติโควิดเสียก่อน

พระธรรมราชานุวัตร

ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เคยพบท่านอีกเลย ส่วนใหญ่ติดตามข่าวของท่านจากเพจของวัด พร้อมทั้งเสนอข่าวสารของวัดผ่านเว็บข่าว thebuddh.com และเขียนบทความผ่านคอลัมน์นิสต์บ้างในบางโอกาส

ปัจจุบันการหาสามเณรและพระภิกษุมาเรียนบาลีเป็นเรื่องใหญ่สำคัญสำนักเรียนต่าง ๆ บางสำนักต้องยุบตัวลง  โดยเฉพาะวัดต่างจังหวัด

ผู้เขียนเคยมีประสบการณ์จัดบวชสามเณรชาติพันธุ์มอญ 2 -3 ปี ขนาดเชิญชวนให้ทุนการศึกษาจนจบเปรียญธรรม 9 ประโยคและปริญญาตรี ก็ยังหาคนมาบวชเรียนยาก

การที่สำนักเรียนวัดโมลีโลกยาราม เจริญและเติบโตได้แบบนี้ ต้องมีดี เท่าที่เห็นตอนนี้คือ เจ้าสำนักเรียนเจ้าคุณสุทัศน์ ท่านมีความตั้งใจดี เพราะสอนเอง ดูแลเอง กำกับเอง จึงผงาดเป็นเจ้ายุทธจักร..ในวงการศึกษาบาลี

พระพรหมกวี

ซ้ำได้องค์ผู้อุปถัมภ์ดีคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในหลวงองค์รัชกาลที่ 10, พลตรีหญิงเจ้าคุณพระสินีนาฏพิลาสกัลยาณี ,พลตำรวจเอกวิระชัย ทรงเมตตา และครอบครัว,กองทัพเรือ รวมทั้งคหบดี บริษัทห้างร้านต่าง ๆ

ซึ่งถือว่าได้ทำบุญกับ “ผู้เป็นเหน่อเนื้อแห่งนาบุญและผู้เป็นเหล่าก่อแห่งสมณโคดมอย่างแท้จริง”ฟังจากเจ้าคุณสุทัศน์เป้าหมายของท่าน ไม่มีอะไรมาก แค่ต้องการให้พระภิกษุ-สามเณรเหล่านี้เป็นพระสังฆาธิการ เป็นอาจารย์กลับไปสอนในวัดตนเองหรือกลับไปพัฒนาบ้านเกิด หรือเป็นแบบไหนก็ได้ที่ช่วยพระศาสนาและสังคมได้

เป้าหมายของเจ้าคุณสุทัศน์ ท่านมองแบบพระภิกษุ แต่ในฐานะผู้เขียนเคยผ่านตรงจุดนั้นมา และมีประสบการณ์อยู่นอกวัดมานับสิบปี

อยากเห็น..การก้าวหน้าของผู้จบเปรียญธรรม 9 ประโยคบ้างทั้งทางโลกและทางธรรม หมายความว่า อยู่เป็นพระภิกษุก็มีงานรองรับ ออกมาข้างนอกก็มีงานรับรอง มิใช่จบมาไม่มีงานรองรับ..สึกลาเพศออกมาก็ว้าเหว่

เพิ่งเห็นปีนี้วิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส ของมหาจุฬา ฯ นำคนจบประโยค 9 มาศึกษาต่อระดับปริญญาเอก ผู้เขียนแค่ฝันอยากเห็นพวกประโยค 9 จบมามีงานของคณะสงฆ์รองรับตามภารกิจ 6 ด้าน หรือมีทุนศึกษาต่อจริง ๆ

สงสัยต้องรอให้เจ้าคุณสุทัศน์หรือพระธรรมราชานุวัตร ต้องเข้าไปมีบทบาทอยู่ในกองธรรมบาลีและในมหาเถรสมาคมอีกทาง..

โชคดี !! เราไม่มีกระทรวงพระพุทธศาสนา” #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/dhamma/643482

วันที่ 24 ม.ค. 2564 เวลา 10:34 น.โชคดี !! เราไม่มีกระทรวงพระพุทธศาสนา”โดย อุทัย มณี

********************

หลายวันก่อนนั่งสนทนากับพระคุณเจ้า 2 -3 รูป ถึงบทบาทสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติกับกิจการคณะสงฆ์ในปัจจุบัน

รูปหนึ่งพูดออกเปรย ๆว่า “โชดดีแล้ว ที่เราไม่มีกระทรวงพระพุทธศาสนา” ส่วนอีกรูป พูดตรง ๆ ว่า “แค่สำนักงานพุทธ ฯ ทุกวันนี้ก็แทบมองหน้ากันไม่ติด ยึดแต่กฎหมาย มุ่งจ้องแต่ควบคุมพระ..”

ทำให้นึกถึงคำพูดของนักวิชาการท่านหากจำไม่ผิดชื่อ ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ ยุคก่อนปี 2545 เคยปรารภกับกลุ่มเรียกร้องกระทรวงพระพุทธศาสนาว่า “พวกพระคุณเจ้าจะให้เอาระบบข้าราชการซึ่งเป็นฆราวาส มาใช้กับคณะสงฆ์ทำไม หมายความว่า จะให้ฆราวาสคนหัวดำ มาปกครองพระได้อย่างไร..”

แน่นอนยุคนั้นบรรดาชาวพุทธสุดโต่งที่เรียกร้องพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติก็ดี กระทรวงพระพุทธศาสนาก็ดี  “ยั่วและด่าทอตอบโต้” นักวิชาการท่านนี้ต่าง ๆ นานา

วันนี้พระสงฆ์และฆราวาสหลายคน “คงรู้ซึ้งเห็นใจ ต่อบทบาทสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ” แล้ว

คงเห็น “สัจธรรม” และระบบ “ราชการในเมืองไทย” แล้ว และหลายรูปถอยไม่เรียกร้องให้ตั้ง “กระทรวงพระพุทธศาสนา” แล้ว

เมื่อหลายปีก่อนในยุคของคณะรักษาความสงบแห่งชาตินี่แหละ มีข่าวร่ำลือว่า มีรองนายกรัฐมนตรีท่านหนึ่งต้องการจะ “ยุบสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ” ไปสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม โดย “ควบสำนักงานพุทธ และกรมการศาสนา” รวมกัน

เนื่องด้วยภารกิจ “ทับซ้อน” ตอนหลังแนวคิดนี้ไม่มีคนสานต่อ เมื่อรองนายกรัฐมนตรีท่านนี้ไม่ได้ร่วมรัฐบาล

และหากย้อนกลับไปยุคสมัยอธิบดีชื่อ ปรีชา กันธิยะ เป็นอธิบดีกรมการศาสนา ก็เคยมีปัญหาขัดใจกันมาแล้ว ระหว่างสำนักงานพุทธกับกรมการศาสนา ตอนที่กรมการศาสนาต้องการตั้ง “สภาชาวพุทธ” ขึ้น

ชาวพุทธในเมืองไทยทั้งคณะสงฆ์และฆราวาส “น่าสงสาร” ส่งเสียงร้องอะไรก็ไม่ได้ จะผลักดันกฎหมายอะไรก็ไม่มีเสียงตอบรับจากชนชั้นอำนาจ ถูกควบคุมและให้อยู่ภายใต้อาณัติอยู่ร่ำไป

ตอนนี้คณะกรรมาธิการเสนอร่างกฎหมายไปถึงรัฐบาล หลายฉบับ เช่น ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมพุทธศาสนิกชน, ร่างพระราชบัญญัติสภาองค์กรส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนา,ร่างพระราชบัญญัติธนาคารพุทธแห่งประเทศไทย หรือแม้กระทั้งร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการเดินทางไปพุทธสังเวชนียสถาน ..

หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่มีผู้รับสาย ไม่มีเสียงตอบรับ

ในขณะที่พึ่งของชาวพุทธอย่างสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ…ก็ไม่มีคำตอบให้

แล้วแบบนี้พวกเราชาวพุทธจะไปลุกขึ้นเรียกร้องกระทรวงพระพุทธศาสนาทำไม

จะไปเรียกร้องพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติเพื่ออะไร

ใครทราบตอบที !!

เปิดปม !! พุทธมณฑลปัตตานี “ไม่เกิด” ?? #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/dhamma/642916

วันที่ 17 ม.ค. 2564 เวลา 10:24 น.เปิดปม !!  พุทธมณฑลปัตตานี “ไม่เกิด” ??โดย อุทัย มณี

หากผู้เขียนเป็นคนจังหวัดเชียงราย ตอนนี้คงไม่มีอะไรที่น่าดีใจไปกว่า การได้มาซึ่งดินในการสร้างพุทธมณฑลจังหวัดเชียงราย หลังยืดเยื้อมากว่า 70 ปี

!@ เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับคณะสงฆ์จังหวัดเชียงรายที่มุ่งมั่น

!@ เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับผู้บริหารท้องถิ่นและภาครัฐในพื้นที่ ที่ร่วมด้วยช่วยกันในการผลักดัน ในด้านเอกสารและร่วมกันเป็นพยายามในการใช้ที่ดิน

!@ เรื่องนี้ต้องยกความดีให้กับนักการเมืองตั้งแต่ระดับท้องถิ่นจนถึงระดับชาติ ที่ประสานกันได้อย่างลงตัว

!@ ที่สำคัญเรื่องนี้ จะเกิดขึ้นมิได้ หากไม่ได้การประสานงานจากคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร

และที่สำคัญที่สุด..เรื่องนี้เกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มี “คนเดินเรื่อง”

ซึ่งทั้งหมดเกิดขึ้นได้เพราะ “ใจประสานใจ” ของหมู่ชาวพุทธทั้งในส่วนภูมิภาคและส่วนกลาง โดยเฉพาะผู้นำท้องถิ่น-นักการเมืองและคนเดินเรื่อง

อยากเห็นความสามัคคีของหมู่ชาวพุทธแบบนี้เกิดขึ้น ณ จังหวัดปัตตานี

ดำเนินการเรื่อง…พุทธมณฑลจังหวัดปัตตานี

พุทธมณฑลปัตตานีเปลี่ยนสถานที่มาแล้ว 4 ครั้ง ระดมทุนไปแล้วไม่รู้กี่รอบ

ล่าสุดได้ข่าวกลับไปสู่จุดเดิมที่เจ้าคณะจังหวัดรูปเก่า เคยกำหนดและระดมทุนเอาไว้คือ ณ บ้านมะพร้าวต้นเดียว อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี

พุทธมณฑลปัตตานี เริ่มคิดและทำมาตั้งแต่ปี 2545 ยึดเยื้อมานานเกือบ 20 ปี ยังไม่มีอะไรคืบหน้า

ที่ยืดเยื้อ..ชาวพุทธเราอาจไปโทษคนต่างศาสนา ซึ่งต้องยอมรับส่วนหนึ่งใช่ แต่มิใช่ประเด็นหลักของการเกิดหรือไม่เกิดพุทธมณฑลปัตตานี

เท่าที่รู้..ไม่มีผู้มีบารมี ทั้งพระสงฆ์และฆราวาส ฟันธงชี้ชัดทั้ง “สถานที่สร้างและระดุมทุน”

ไม่ต้องคิดมาก..แค่เปลี่ยนสถานที่มาแล้ว 4 ครั้ง บ่งบอกชัดว่า ชาวพุทธขาดความสามัคคี

การสร้างพุทธมณฑลปัตตานีเริ่มมาตั้งแต่เจ้าคณะจังหวัดองค์เก่าจุดแรกที่คิดจะทำคือ

จุดแรก คือ บ้านมะพร้าวต้นเดียว อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี ซื้อที่ระดมทุนเรียบร้อย ที่ดินติดทะเล

จุดที่สอง เปลี่ยนไปเป็นสถานที่ติดริมทะเลบริเวณอ่าวปัตตานี ซึ่งเป็นที่ดินเปล่าขนาดใหญ่จากการงอกของแผ่นดิน ตั้งอยู่หมู่ 6 ตำบลรูสะมิแล อำเภอเมืองปัตตานี

ตรงนี้ถูกต่อต้านยังหนังทั้งคนในพื้นที่และนักวิชาการ นักการศาสนาอิสลาม เพราะไปเป็นแหล่งชุมชนของคนนับถือศาสนาอิสลาม

แม้กระทั้ง ประธานคณะกรรมอิสลามจังหวัดปัตตานี และประธานเครือข่ายคณะกรรมการอิสลาม 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็ออกมาต้าน

ตอนหลังแม้จะเปลี่ยนชื่อจาก พุทธมณฑลปัตตานีเป็น เจดีย์รวมใจคนในชาติ แล้วก็ยังวุ่นไม่จบ วุ่นวาย..จนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องออกโรงระงับ

จุดที่สาม ข้าง ๆวัดหลักเมือง ติดกับวิทยาลัยสงฆ์ปัตตานี มจร มีที่ดินผืนใหญ่ แต่ต้องหาทุนเยอะหลายร้อยล้านบาท ติดปัญหาเรื่องระดมทุนอีก จนต้องถอย

จุดที่สี่ มีความพยายามจะไปสร้างแถว ๆ วัดช้างให้ อำเภอโคกโพธ์ ก็ไม่สำเร็จอีก จนล่าสุดถอย..มาอยู่จุดแรกคือ บ้านมะพร้าวต้นเดียว

เรื่องการก่อสร้างพุทธมณฑลจังหวัดปัตตานี เท่าที่รู้ตอนนี้ มีทั้ง “ศึกภายใน..และศึกภายนอก” คือ ในหมู่ชาวพุทธ ทั้งคณะสงฆ์และฆราวาส ไปคนละทิศคนละทาง ในพื้นที่ก็มีคนมุสลิมบางคนคัดค้าน..แต่ผู้คนอิสลามส่วนใหญ่ “รู้รักสามัคคี”

เข้าใจซึ่งกันและกัน..ไม่มีปัญหา ไปมาหาสู่กันได้ด้วย “กัลยาณมิตร”

ตลอดระยะเวลา 20 กว่าปี คนทำงานบางคนทั้งพระและฆราวาสล้มตายจากไปแล้วก็มี บางรายขอถอยเพราะ “ทิฎฐิพระ..มานะเจ้า”

ตอนนี้ในพื้นที่จังหวัดปัตตานีไร้ผู้มีบารมีนำทัพ ก่อเกิด “พุทธมณฑลปัตตานี”

เรื่องเล่า : ชาวโคก หนอง นา โมเดล (2) #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/dhamma/642366

วันที่ 10 ม.ค. 2564 เวลา 12:05 น.เรื่องเล่า : ชาวโคก หนอง นา โมเดล (2)โดย อุทัย มณี

******************* 

เมื่อตอนที่แล้วผู้เขียนทิ้งท้ายไว้ว่า ไปอบรม “โคก หนอง นาโมเดล” ไปเจออะไร ได้รับอะไรมาบ้าง เพื่อสร้างความมั่นคงและยั่งยืนให้กับชีวิตตนเองและครอบครัว

ต้องยอมรับก่อนว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ท่ามกลางทางสามแพร่ง คือ ทางหนึ่ง เป็นสื่อมวลชนรายได้หลักเลี้ยงครอบครัวมาจากตรงนี้ ทางที่สอง เป็นนักศึกษาสันติวิธี ของ มจร ซึ่งยังต้องศึกษาและต้องใช้เวลาพอสมควร และสาม ทำเกษตรกร เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับตนเองและครอบครัว

ในสามทางนี้หากถามว่าทางไหนอยากเดินที่สุดต้องตอบว่า “เกษตรกร” เป้าหมายหลักยามตกงานหาเงินในเมืองไม่ได้หรือยามสูงวัยต้องยึดอาชีพนี้ วางแผนชีวิตไว้แบบนี้ จึงเลือกเข้าร่วมโครงการ โคก หนองนาโมเดล ของกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวมหาดไทย

ผู้เขียนเลือกที่จะไปอบรมที่ศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนเพชรบุรี โดยความอนุเคราะห์ของอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ส่งตัวไปอบรม 4 คืน 5 วัน ระหว่างวันที่ 21 -25 ธันวาคม 2563

เมื่อผู้เขียนไปถึงได้รับการต้อนรับอย่างดียิ่งจากผู้อำนวยการศูนย์ในฐานะมิใช่ผู้อบรมโดยตรงแต่ให้อยู่ในฐานะผู้สังเกตการณ์

ก่อนไปผู้เขียนเตรียมหมอน ผ้าห่ม ไปเต็มที่เพราะคิดว่าไปพักสถานที่ราชการคงมีสภาพโทรม ๆ เก่า ๆ แต่เมื่อไปถึงผิดคาดศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนเพชรบุรี มีอาคารพักดังโรงแรม 3 อาคาร มีหอประชุม มีเรือนครัว เทียบได้กับโรงแรมประเภท 3 ดาว สะอาด มีแปลงโคกหนองนา ทั่วในพื้นที่ มีสระน้ำในพื้นที่มีจักรยานให้ออกกำลังกาย  ร่มรื่นเหมือนกับรีสอร์ททั่วไป

ตารางอบรมตื่นตั้งแต่ตีห้าจนถึงสามทุ่ม แน่นเอี้ยดไปด้วยกิจกรรมเสริมความรู้

คนของกระทรวงมหาดไทยเป็นที่น่าชื่นชมอย่างหนึ่งคือ พูดเก่ง ทำงานตื่นตัวตลอดเวลา มิใช่เพราะผู้เขียนเข้าร่วมโครงการนี้แล้วมาพูดเอาใจ มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ คนมหาดไทยอยู่กระทรวงไหนมักทำงานว่องไว พูดเก่ง เข้าถึงประชาชนเสมอ  เพราะนักรัฐศาสตร์ นักพัฒนาชุมชน ส่วนใหญ่ถูกสอนให้ทำงานใกล้ชิดกับประชาชน

ผู้เขียนเห็นเจ้าหน้าที่ ที่นี่ตั้งแต่ระดับผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการ เจ้าหน้าที่ปรับตัวมาเป็นพิธีกร ทำกิจกรรม ร้อง เต้น อบรมให้ความรู้ ถ่ายทอดการทำปุ๋ยหมัก การทำน้ำยาซักผ้า จุลินทรีย์สังเคราะห์แสง หรือกระทั้งนำผลิตภัณฑ์จากเกษตรมาต่อยอดทำผลิตภัณฑ์โอทอป เป็นงานทุกท่าน

แอบถามเจ้าหน้าที่บางคนว่า เคยทำแบบนี้มาก่อนหรือไม่ คำตอบคือไม่ แต่เนื่องจากเป็นนโยบายต้องปฏิบัติและเรียนรู้ บางส่วนก็ไปอบรมผ่านหลักสูตรมาทั้งโครงการจิตอาสาและโครงการเศรษฐกิจพอเพียงของอาจารย์ยักษ์

คนมาอบรมส่วนใหญ่ผู้ใหญ่หน่อย ปราชญ์ด้านเกษตรดี ๆ นี่เอง มีภูมิและองค์ความรู้อยู่แล้ว ส่วนน้อง ๆ อีกกลุ่มคือ นักพัฒนาพื้นที่หรือลูกจ้างตามโครงการของกรมการพัฒนาชุมชน

ก่อนวันสุดท้ายมีรุ่นพี่เครือข่าย “ฅ.ยั่งยืน”  มาเป็น “ครูพาทำ” คือ สอนวิธีทำโคกหนอง นา โมเดล สอนวิธีออกแบบโคกหนองนาโมเดล

ยุคการแพร่ระบาดของโควิดนี้ คงไม่มีอะไรยั่งยืนไปกว่า การสร้างความมั่นคงด้านอาหารให้กับตนเองและครอบครัว และคำตอบของความยั่งยืน คือ โคก หนองนาโมเดล หรือการทำงานเกษตร ปลูกทุกอย่างที่กินได้ และกินทุกอย่างที่ปลูก

และหลาย ๆ คนคิดว่า การทำโคก หนองนาโมเดล นี้ไม่สามารถนำไปสู่ความ “มั่งคั่ง”ได้ ความจริงคิดผิด ตอนนี้หลายคนโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ นักธุรกิจ หันมาทำโคก หนอง นาโมเดลกันมาก ต่อยอด เป็นเชิงพาณิชย์ ทั้งอาหารปลอดสารพิษและพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว

สมัยนี้ใครไม่ทำโคก หนอง นาโมเดล ตกยุคและล้าหลัง..!!!

เปิดโครงการสถานีโทรทัศน์พระพุทธศาสนาผลิตสื่อสร้างสรรค์ #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/dhamma/641656

วันที่ 31 ธ.ค. 2563 เวลา 12:26 น.เปิดโครงการสถานีโทรทัศน์พระพุทธศาสนาผลิตสื่อสร้างสรรค์กองทุนสื่อผนึกกำลังสถานีโทรทัศน์โลกพระพุทธศาสนา ขับเคลื่อนงานพัฒนาสื่อปลอดภัยถ่ายทอดเรื่องราวความเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น มรดกวัฒนธรรม และพระพุทธศาสนา

เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.  เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดยานนาวา มอบหมายพระราชพรหมาภรณ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดยานนาวา เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พร้อมด้วย พระศรีวชิราภรณ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดยานนาวา โดยมี ดร.ธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เป็นประธานฝ่ายคฤหัสถ์ ในพิธีเปิดโครงการสถานีโทรทัศน์พระพุทธศาสนาเพื่อการพัฒนาการผลิตและเผยแพร่สื่อสร้างสรรค์ ณ สถานีวิทยุโทรทัศน์โลกพระพุทธศาสนา เฉลิมพระเกียรติฯ WBTV วัดยานนาวา กรุงเทพมหานคร

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าว เป็นการบูรณาการทุกภาคส่วนทั้งฝ่ายบรรพชิตและคฤหัสถ์ นำเสนอเครือข่ายพลังบวร ผ่านรายการโทรทัศน์ที่ถ่ายทอดเรื่องราวความเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น มรดกวัฒนธรรม และพระพุทธศาสนา เชื่อมเครือข่ายคณะสงฆ์และหน่วยงานต่าง ๆ ผ่านสถานีพระพุทธศาสนา และสื่อสังคมออนไลน์ มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อสร้างช่องทางการนำเสนองานเครือข่ายพลังบวร ผ่านช่องทางสื่อดิจิทัลสถานีโทรทัศน์พระพุทธศาสนา และทางสื่อสังคมออนไลน์ 2. เพื่อผลิตรายการเรื่องเล่าของท้องถิ่น มรดกวัฒนธรรม พระพุทธศาสนา มาถ่ายทอดในรูปแบบที่น่าสนใจ และเผยแพร่ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้แก่ประชาชนในวงกว้าง เป็นแรงบันดาลใจให้อยากเข้าร่วมสัมผัสวิถีวัฒนธรรมและพระพุทธศาสนา และ 3.เพื่อเชื่อมเครือข่ายคณะสงฆ์และหน่วยงานต่าง ๆ ในการร่วมสร้างสรรค์ พัฒนา ผลิตรายการสื่อสร้างสรรค์พลังศรัทธาและกิจกรรมของคณะสงฆ์ ซึ่งมุ่งประสงค์ให้เกิดช่องทางการนำเสนองานเผยแพร่วิถีใหม่ด้านพระพุทศาสนา และศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น ผ่านความร่วมมือของคณะสงฆ์ พุทธศาสนิกชน และหน่วยงานภาคีเครือข่ายในการพัฒนาศักยภาพด้านการผลิตและเผยแพร่สื่อที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์ในสังคม

อย่างไรก็ตาม สามารถติดตามรายการละเอียด “สถานีพระพุทธศาสนา” ได้ทาง WBTV สถานีวิทยุโทรทัศน์โลกพระพุทธศาสนา เฉลิมพระเกียรติฯ https://www.facebook.com/WBTVwatyannawa หรือ https://www.youtube.com/c/WBTVwatyannawa

มหาจุฬาอาศรมรำลึก #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/dhamma/640732

วันที่ 20 ธ.ค. 2563 เวลา 13:13 น.มหาจุฬาอาศรมรำลึกโดย อุทัย มณี

***************

เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่าน ผู้เขียนและกลุ่มเพื่อน ๆ รุ่น พธ.บ.46  ทั้งที่เป็นพระภิกษุและฆราวาสได้เดินทางไปร่วมถวายภัตตาหารเพลแด่พระวิปัสสนา คณาจารย์ และนิสิตคณะสังคมศาสตร์ ที่มหาจุฬาอาศรม ตำบลพญาเย็น อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา

ในยุคที่เป็นนิสิตผู้เขียนเคยไปปฎิบัติธรรมที่นี่ 2 ปีซ้อนคือในปี พ.ศ.2541 และในปี 2542 ยุคนั้นมหาจุฬาอาศรมมีกุฎิเก่า ๆ อยู่แค่ 1-2 หลังเป็นดงมะพร้าวและมีต้นลำไยแซม ๆอยู่ทั่วไป บนพื้นที่ 79 ไร่ ด้านหลังติดภูเขา รอบ ๆ มีห้วยน้ำ

ยุคที่พวกเราไปปฎิบัติมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ยังไม่มีชื่อเสียงขนาดนี้ นิสิตก็ไม่มากขนาดนี้ การเป็นอยู่การอุปถัมภ์ของญาติโยมก็อาจจะน้อยกว่ายุคปัจจุบันมาก จำได้คร่าว ๆ ว่า ตอนเช้าจะมีกาแฟกับกล้วย ส่วนตอนกลางวันจะมีเจ้าภาพที่พอจำชื่อได้บ้าง ครูครัวครูต้อนำกะหรี่ปั๊บและอาหารมาถวายนิสิตเราทุกวัน และอีกท่านหนึ่งคือคุณป้าประเทือง ยุคนั้นคือ ร้านประเทืองไฟฟ้า พอจะจำได้ก็มีประมาณนีh

ฟังจากการบอกเล่าของพระมหาพีรพล วิโรจโน หรือ พระครูศรีนิคมพิทักษ์ ผู้เป็นประธานสงฆ์ที่นี่ท่านเล่าว่า

“ปัจจุบันครูต้อเสียชีวิตแล้ว ลูก ๆ ก็มาทำบุญบ้างแต่ไม่ประจำ ส่วนคุณป้าประเทืองมาต่อเนื่องทุกปี โดยเฉพาะเมื่อมีนิสิตมาปฎิบัติธรรมท่านจะมาทุกวันไม่เคยขาด มีความศรัทธามั่นคงมากต่อพระพุทธศาสนา

อาศรมแห่งนี้ มีขนาด 79 ไร่ ที่ เดิมเป็นซึ่งเป็นสวนมะพร้าวและลำไย ของนางชวนชื่น ศีระวงษ์ ซื้อในนามของมูลนิธิมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2517 ในราคา 350,000 บาท ตัวตั้งตัวตียุคนั้นมี หลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ สมเด็จพุทธโฆษาจารย์ หรือ เจ้าคุณประยุทธ ปยุตฺโต อาจารย์ดนสวัสดิ์ ชาติเมธี เป็นต้น

ในปี 2544ทางมหาวิทยาลัยได้ดำเนินการให้ทางราชการโอนเปลี่ยนชื่อโฉนดที่ดินจากมูลนิธิมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และได้ดำเนินการจัดตั้งเป็นมหาจุฬาอาศรม ศูนย์ปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน…”

พวกเราโชคดีวันที่พวกเราไปเลี้ยงเพลมีโอกาสได้ใส่บาตร พระราชปริยัติกวี อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซึ่งหลังจากท่านให้ศีลให้พรเรียบร้อยแล้ว ก็นำรับบาตรจากศรัทธาของญาติโยม วันที่พวกเราไปอาจเป็นวันแรก ๆ มีคนมาร่วมใส่ 2-3 เจ้าภาพ แต่อาหารการฉันก็เพียงพอ เพราะมีแม่ครัวประจำคอยเต็มเติมไว้ให้ด้วย

การปฎิบัติธรรมประจำปีของนิสิตมหาจุฬา ฯ ถือว่าเป็น “ข้อบังคับอย่างเข็มงวด” สำหรับนิสิตที่นี่ทั้งพระและฆราวาส ตลอดหลักสูตรอย่างน้อยต้องปฎิบัติธรรม 45 วันขึ้นไป ส่วนอาจารย์ผู้สอนช่วงนี้ก็เป็น “เด็กวัด” คอยดูแล คอยบริการนิสิต และปฎิบัติธรรมร่วมกับนิสิตด้วย

มหาจุฬาอาศรมยุคนี้ ไม่มีเหมือนยุคเมื่อ 20 ปีที่แล้วจริง ๆ สถานที่นี้ร่มรื่น ร่มเย็น กุฎิเกิดขึ้นหลายหลัง มีอุโบสถแบบเรียบร้อย แต่พอให้กลิ่นอายของบรรยากาศการปฎิบัติธรรมสมัยผู้เขียนเป็นนิสิตเมื่อ 20 ปีที่แล้วบ้างคือ “สถานที่อาบน้ำชั่วคราว” ที่มาถังมาวาง ๆ เอาไว้แล้วมีผ้ากั้นให้นิสิตได้อาบกัน ส่วนห้องน้ำสำหรับปลดทุกข์เห็นมีหลายห้อง แต่เมื่อเข้าไปใช้ส่วนใหญ่ “พังหมดแล้ว”

สำหรับการปฎิบัติธรรมปีนี้สอบถามจาก ผศ.ดร.เมธาพันธ์ โพธิธีรโรจน์ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายประชาสัมพันธ์ มจร ท่านเล่าว่า มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยส่วนกลาง นอกจากจะมีการปฎิบัติธรรมตามสถานที่ที่แต่ละคณะได้กำหนดไว้แล้ว ในส่วนของภูมิภาคก็มี เช่นเดียวกันรวมกันแล้วเกือบ 40 จังหวัดทั่วประเทศ  เช่น วิทยาเขตหนองคาย วิทยาเขตเชียงใหม่ วิทยาเขตนครศรีธรรมราช วิทยาเขตแพร่ หรือแม้กระทั้งวิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส

ซึ่งส่วนใหญ่จะปฎิบัติธรรมภายในพื้นที่ของตนเอง มีบางวิทยาเขตอาจออกนอกพื้นที่เช่น วิทยาเขตแพร่ วิทยาลัยสงฆ์ปัตตานี รวมกันแล้วนับหมื่นรูป/คน ในส่วนกลางที่ มจร วังน้อยก็มี ที่พุทธมณฑลก็มี จึงขอเชิญชวนชาวพุทธไปร่วมถวายภัตตาหารหรือน้ำปานะ นิสิตได้ หากสงสัยประการใดติดต่อสอบถามได้ที่กลุ่มงานธรรมวิจัย มจร วังน้อย โทร 035-248-000 ต่อ 8138 

มจร.ถวายดุษฎีบัณฑิต เจ้าคุณสมาน วัดท่าตอน #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/dhamma/640451

วันที่ 16 ธ.ค. 2563 เวลา 17:45 น.มจร.ถวายดุษฎีบัณฑิต เจ้าคุณสมาน วัดท่าตอนโดย สมาน สุดโต

***************

สภามหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย (มจร) อนุมัติถวายปริญญาดุษฎีกิตติมศักดิ์ แด่พระเทพมังคลาจารย์(สมาน กิตติโสภโณ) เจ้าอาวาสวัดท่าตอน พระอารามหลวง รองเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ และสมเด็จพระวันรัต ที่ได้รับพระบัญชาจากสมเด็จพระพระสังฆราชเป็นผู้ประทานปริญญาบัตรให้เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2563 นั้น คณะศิษย์ ทั้งในกรุงเทพฯ และเชียงใหม่ จัดฉลอง และแสดงมุทิตาจิตให้ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ท่าเตียน ช่วงเช้าวันที่ 14 ธันวาคม 2563

ทั้งนี้ ได้นิมนต์พระราชจริยาภรณ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพลวิมลมังคลารามเป็นประธานสงฆ์ 9 รูปในการเจริญพระพุทธมนต์และ ถวายพรพระ โดยมี พระราชรัตนสุนทร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพน ร่วมพิธีด้วย โดยเมื่อรับการถวายมุทิตาจิตจากคณะศิษย์ทั้งพระสงฆ์และฆราวาสแล้วได้ถ่ายภาพร่วมกันในพระอุโบสถวัดพระเชตุพนฯด้วย

พระเทพมังคลาจารย์ ซึ่งเป็นพระเถระที่มีความคิดสร้างสรรค์ สร้างผลงานให้แก่พระศาสนามากทั้งในด้านถาวรวัตถุและปกป้องพระพุทธศาสนา เช่น สร้างพุทธมณฑล ประจำจังหวัดเชียงใหม่ที่ล่าช้ามานาน เมื่อท่านได้รับมอบหมายงาน ก็ทำจนสำเร็จในเวลาสั้นๆ

นอกจากนั้นได้แก้ปัญหาความขัดแย้งเรื่องการปกครองวัดที่สิทธิครอบครองคาบเกี่ยวกับประเทศเพื่อนบ้าน ก็ทำได้เรียบร้อย ส่วนการดูแลพระสงฆ์ เณรน้อยให้อยุ่ในกรอบพระธรรมวินัย ให้เป็นที่ตั้งศรัทธาปสาทะแก่พุทธบริษัท ก็ทำสำเร็จ ได้รับคำชมจากพระชั้นผัูปกครองเสมอ

พระเทพมังคลาจารย์กล่าวถึงหลักการในการทำงานว่า 1 ขยัน 2 รู้จักแบ่งปัน 3 รู้จักแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ฉับพลัน และ 4 รู้จักปล่อยวางหากทำตามหลักนี้ เรื่องที่ยากลำบาก จะง่ายขึ้น พร้อมกันนั้นท่านบอกให้บรรดาลูกศิษย์ ให้ถือเป็นหลักดำเนินชีวิตอะไรที่ยาก จะง่ายขึ้นบรรดาศิษย์ทั้งหลายรับแล้ว ถวายมุทิตาจิต ได้พร้อมกันสวดบท โส อัตถลัทโธ วิรุฬโห พุทธสาสเน.ถวายด้วย

ทรงบำเพ็ญพระกุศลคล้ายวันประสูติสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 11 #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/dhamma/640443

วันที่ 16 ธ.ค. 2563 เวลา 16:36 น.ทรงบำเพ็ญพระกุศลคล้ายวันประสูติสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 11 สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช ทรงบำเพ็ญพระกุศลคล้ายวันประสูติพระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหลวงชินวรสิริวัฒน์สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 11 

เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จมายังวัดชินวรารามวรวิหาร (พระอารามหลวง) อ.เมือง จ.ปทุมธานี ในการทรงบำเพ็ญพระกุศลคล้ายวันประสูติ เจ้าพระคุณ พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า สกลมหาสังฆปริณายกพระองค์ที่ 11 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ยุคที่ 2 องค์อุปถัมภ์วัดชินวราราม(วัดมะขามใต้)

สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จเข้ามณฑปรอยพระพุทธบาท ที่บรรจุอังคาร หม่อมปุ่น ชมพูนุท ณ อยุธยา หม่อมมารดาในสมเด็จพระสังฆราชเจ้า ทรงจุด ธูป เทียน บูชาพระรัตนตรัย ทรงจุดเครื่องทองน้อย ทรงทอดผ้าไตร 20 ไตร พระสงฆ์ 20 รูป สดัปกรณ์ พระสงฆ์ อนุโมทนาฯ เสด็จออกจากมณฑปรอยพระพุทธบาท เข้าสู่พระอุโบสถ ทรงจุด ธูป เทียน บูชาพระพุทธชินวร พระประธานประจำพระอุโบสถ ทรงปลูกต้นมะขาม 2 ต้น บริเวณด้านหน้า ตำหนักชินวร เสด็จเข้าสู่ตำหนักชินวร ทรงจุด ธูป เทียน บูชาพระรัตนตรัย ทรงจุดเครื่องทองน้อย ที่หน้าพระรูปพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวร สิริวัฒน์

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ประทับ ณ พระเก้าอี้ พระธรรมรัตนาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี พระราชวรเมธาจารย์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี (ธรรมยุต) พระมงคลวโรปการ เจ้าอาวาสวัดชินวราราม นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี เข้าเฝ้าทูลถวายเครื่องสักการะตามลำดับ

พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า เป็นพระโอรสในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนเจริญผลพูลสวัสดิ์ (ต้นราชสกุลชมพูนุท) ประสูติแต่หม่อมปุ่น ชมพูนุท ณ อยุธยา เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.2402 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้า เมื่อพุทธศักราช 2464 สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 25 ส.ค.2480 พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ทรงอุปการะการก่อสร้างวัดมะขามใต้ ต.บางขะแยง อ.เมือง จ.ปทุมธานี สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย จนแล้วเสร็จ และเสด็จมาประทับแรม ณ วัดมะขามใต้ เป็นประจำ

เมื่อหม่อมมารดาถึงแก่กรรม ได้โปรดให้เชิญอังคารมาบรรจุไว้ ณ มณฑปพระพุทธบาท ต่อมาเมื่อเจ้าพระคุณ สมเด็จพระสังฆราชเจ้าพระองค์นั้นสิ้นพระชนม์แล้ว คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัชกาลที่ 8 ได้ขนานนามวัดเป็นพระอนุสรณ์ว่าวัดชินวราราม และยกฐานะเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร เมื่อ พ.ศ.2481 เป็นพระอารามหลวงแห่งแรก ของจังหวัดปทุมธานี เจ้าพระคุณ พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ทรงบริบูรณ์ด้วยพระศีลาจารวัตรเนกขัมมปฏิปทาไม่บกพร่อง มีพระอัธยาศัยเยือกเย็นสุภาพ ไม่เคยมีผู้ใดเคยเห็นพระอาการกริ้วโกรธหรือมีรับสั่งผรุสวาทรุนแรงแม้แต่ครั้งเดียว ทรงพระสุขุมคัมภีรภาพในการบริหารกิจการพระศาสนา ด้วยความมั่นคงในหลักการตามพระธรรมวินัยเป็นสำคัญนอกจากนั้นยังทรงอุปการกิจสาธารณูปการไว้เป็นอันมาก เช่น ทรงอุปถัมภ์โรงเรียนวัดราชบพิธสืบต่อจากเจ้าอาวาสยุคที่ 1, ทรงอุปถัมภ์การสร้างวัดมะขามใต้ (วัดชินวราราม) สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย จังหวัดปทุมธานี

นอกจากนั้น ทรงสร้างโรงเรียนวัดชินวราราม (เจริญผลวิทยาเวศม์) จังหวัดปทุมธานี เป็นต้นเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของคณะสงฆ์วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ที่จะมาทอดผ้าบังสุกุลอุทิศแด่หม่อมปุ่น ชมพูนุท ณ อยุธยา ณ มณฑปพระพุทธบาท และบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายเจ้าพระคุณ พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ณ วัดชินวรารามวรวิหาร เป็นประจำทุกปี

ทั้งนี้ มีพระมงคลวโรปการ เจ้าอาวาสวัดชินวราราม วรวิหาร ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี พระครูสมุห์วัชระ ภทฺทธมฺโม (พระครูต้น) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี นายกิตติพงศ์ ทองปุย ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดปทุมธานี พลตรีธวัชชัย ตั้งพิทักษ์กุล ผบ.มทบ.11 พล.ต.ต.ชยุต มารยาทตร์ ผบก.ภ.จว.ปทุมธานี นางกุลทรัพย์ ชื่นโกสุม นายกเหล่ากาชาดจังหวัดปทุมธานี นายจรูญศักดิ์ สิงหเดช รองผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี นายพิษณุ ประภาธนานันท์ นายอำเภอธัญบุรี พ.ต.อ. อเนก สระทองอยู่ รรท.ผกก.เมืองปทุมธานี นางสาวฐิต์ณัฐ สมบัติศิริ วัฒนธรรมจังหวัดปทุมธานี และหัวหน้าส่วนราชการ ประชาชนทุกหมู่เหล่าเฝ้ารับเสด็จ