Star Retro : ‘ชัย พองพอง’ ต่อยอดชีวิต มุเรียนศาสตร์ฮวงจุ้ย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/221343

วันอาทิตย์ ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2559, 06.00 น.
ย้อนอดีตเพลงอินดี้มีสไตล์ เพลง “หน้าใสใส” ของ วงพองพอง มักติดอยู่ในลิสต์เพลงฮิตติดหูคนฟัง หลายคนถามถึง “ชัย” ชัยอนันต์ ตรีสารศรี หรือ ชัย พองพอง นักร้องนำ สตาร์เรโทรสัปดาห์นี้จึงขอพาไปอัพเดทกัน กับเส้นทางอดีตจนถึงปัจจุบัน รวมถึงเรื่องราวก่อนหลังที่เจ้าตัวบอกแทบล้มลุกคลุกคลาน!?

ชีวิตครอบครัว?

“ผมเป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิดครับ ที่บ้านค้าขาย คือคุณพ่อเคยทำงานอยู่กระทรวงสาธารณสุข แล้วออกมาเปิดร้านขายยาแถวฝั่งธนบุรีตั้งแต่ปี 2523 พ่อแม่ผมเป็นเภสัชกรทั้งคู่ ผมมีพี่สาวหนึ่งคน ชีวิตครอบครัวตอนนั้นอบอุ่นอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ตอนหลังคุณพ่อแยกทางไป คุณแม่รับหน้าที่ดูแลร้านขายยาหาเลี้ยงพวกผมมา แต่ผมก็ยังเจอกับพ่ออยู่นะครับ เพราะพ่อกับแม่ไม่ได้ทะเลาะกัน เพียงแต่เขาแยกทางกันไป ตอนนั้นผมประมาณ 13 ปี ก็เลี้ยงดูกันไปตามอัตภาพ แม่เลี้ยงให้เป็นคนที่อดทน เอาตัวรอด แต่อย่าเอาเปรียบคนอื่น ทุกวันนี้แม่ผมยังเปิดร้านขายยาอยู่นะครับ ชื่อร้านชัยอนันต์ฟามาซี ตรงซอยวุฒากาศ 36คุณแม่ผมยังแข็งแรงดีมาก แต่พี่สาวผมเพิ่งเสียไปเมื่อปีที่แล้ว”

เส้นทางดนตรี?

“ช่วงเรียนบริหารการตลาดที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ผมได้เข้าชมรมดนตรีสากล ผมชอบการร้องเพลง ก็เลยไปสมัครประกวดโค้กมิวสิกอวอร์ด ได้เป็นตัวแทนของมหาวิทยาลัย แต่ว่าไม่ผ่าน เพราะผมร้องไม่ดี พอไปฟังคนอื่นร้อง โอ้โหเราเทียบไม่ได้เลยก็คิดใหม่ว่า ถ้าเราร้องเพื่อจะได้เงินล่ะ ต้องทำยังไงโทร.ไปถามพี่ที่ชมรมดนตรี และได้เจอแก๊งเพื่อนวงพองพองนี่แหละครับ ถึงได้เริ่มต้นทำเพลงกัน ผมไม่เคยรู้ว่าผมเขียนเพลงเป็น โดนบังคับทำอยู่พักหนึ่งจนพี่เอ๊ะแต่งเพลง “หน้าใสใส” มา คนในระแวก ม.หอการค้าฯร้องเพลงนี้ได้กันหมด คือเป็นเพลงดังในยุคนั้นของกลุ่มพวกเราวางซาวเบาท์กันกลางห้องซ้อม เพื่อซ้อมกันแล้วเอาผลงานไปเสนอกับทางค่ายจนผ่าน โดยมีพี่ไก่- สุธี แสงเสรีชน เป็นโปรดิวเซอร์ให้พวกผมในตอนนั้น”

ความมั่นใจที่จะเป็นนักร้อง?

“มั่นใจมากครับ เพราะเรามีเพลงของตัวเอง อย่างน้อยพวกเราคิดงานกันเป็น ในยุคนั้นนักดนตรีทุกคนต้องมีเพลงของตัวเอง ความคิดเราออกมาหลากหลายมาก กลายเป็นการกระตุ้นให้เราไม่ต้องไปรอว่าจะให้ใครมาทำอะไรให้ เรามีเพลงของตัวเอง ซึ่งเป็นผลดีมาถึงวันนี้ คือไปร้องที่ไหนไม่มีคนมาตามทวงค่าลิขสิทธิ์ เพราะเพลงเราเอง แต่งเอง ทำเองกับมือ ถึงไม่ใช่ผมแต่งก็พี่ผมแต่ง(ยิ้ม)”

ความเปลี่ยนแปลง เมื่อชื่อเสียงเข้ามา?

“ผมได้เป็นศิลปินตั้งแต่ตอนอยู่ปี 2 แล้วก็ดร็อปเรียนไปเทอมหนึ่ง เพราะช่วงนั้นต้องทัวร์คอนเสิร์ต งานเยอะมาก แต่เพื่อนๆ ในวงก็จบตามเกณฑ์ทุกคน ซึ่งเหนื่อยมาก ถามว่าอยากไปถึงจุดนั้นอีกไหม ผมเชื่อว่าไม่มีใครหรอกที่ไม่อยากเป็นที่รักของคนฟัง เราก็พยายามคิดงานกันให้ออกมาจากความรู้สึกจริงๆ ไม่ใช่ว่าตั้งใจแต่เพื่อที่จะดัง ทุกวันนี้วงพองพองยังคงเป็นวงที่รู้ใจกัน อารมณ์ดี ชีวิตทุกคนมีอะไรทำหมดแล้ว โดยที่ผมก็ใช้ชีวิตเป็นนักดนตรี นักร้อง ทุกคนมีอาชีพนักดนตรีของตัวเอง เมื่อไหร่พร้อมคิดอะไรปิ๊งๆ ออกมาก็ค่อยมาคุยกัน สำหรับผมบังเอิญว่าดังเป็นศิลปินแล้วทำเงินได้เยอะและได้ง่าย แต่พอขาลงโอ้โห..ได้ยากมากๆ แต่ผมไม่ท้อนะ คิดว่าเราต้องหาโอกาสแล้วก็มีโอกาสจริงๆ แต่ช่วงขาลงนี่ถ้าไม่มีแม่ ผมก็คงเป็นเหมือน วนิพกพเนจรเลยล่ะ ผมล้มหลายทีเลย สุดท้ายแม่ก็ให้กำลังใจ ไม่มีที่ไปก็ให้กลับไปอยู่บ้าน”

ความหมายของชื่อ พองพอง?

“คิดมาหลายชื่อจนได้ชื่อนี้เอาไปเสนอพี่น้อย- ปฏิมา นุชะยะ ตอนนี้ท่านเสียแล้ว พี่เขาบอกคิดได้ไง ครีเอทดี น่ารักด้วย ก็เลยเป็น “พองพอง” ผมก็ได้พี่น้อยกับพี่ไก่-สุธี สอนและให้วิชา พี่น้อย พี่ไก่สอน เทคนิคการเข้าห้องอัดเสียง การร้องกับไมค์ในห้องอัด ส่วนการร้องประสานเสียงในวงผมก็จะได้ความละเอียด แต่อาจจะไม่ได้เนี้ยบอย่างพี่ไก่ขนาดนั้น ได้รู้ว่าที่ถูกต้องควรใช้แบบไหน พี่น้อยกับพี่ไก่ให้ความรักความอบอุ่นเหมือนเป็นพ่อแม่ทางดนตรี สมาชิกพองพองทุกคนในวงรู้ดีว่า ถ้าไม่ทั้ง 2 คนพวกเราไม่ได้มีวันนี้หรอกครับคงไถลออกนอกทางกันหมดแล้ว ถ้าไม่ได้คำพูด คำดุว่าจากพี่น้อยและพี่ไก่-สุธี ผมไม่เคยลืม ทุกวันนี้รู้สึกว่าโชคดีที่เราเจอแบบนั้น เราถึงเป็นอย่างนี้ได้ ผมดีใจในเส้นทางดนตรีของผม และรู้สึกภูมิใจกับคนในวงทุกคน ผมรักเพื่อนทุกคนในวง ผมภูมิใจกับพวกเขา มีแต่ผมต่างหากที่ล้มบ่อยไปนิดหนึ่ง(หัวเราะ)”

อัลบั้มที่ทำในนามวง พองพอง?

“เราเริ่มด้วยอัลบั้มแรกด้วยชื่อ “พองพอง” แล้วก็มีอัลบั้มอะคูสติกทั้งอัลบั้ม ออกมาช่วงซัมเมอร์ มีเพลง รักในซิกเนเจอร์ ที่คนรู้จัก จากนั้นก็มีอัลบั้ม “เก้าอี้ขาวในห้องแดง” มีเพลงอย่าง เพื่อน, เพียงความทรงจำ แล้วก็ปิดตัวไป พี่เอ๊ะที่เป็นนักแต่งเพลงเขาก็ไปเป็นนักแต่งเพลงเต็มตัวเลย แต่งเพลงให้กับหลากหลายศิลปินมาก และมามีผลงานอีกทีโดยไม่มีพี่เอ๊ะในชื่อ“ซาวด์เซิร์ฟ” ทำเพื่อแก้ความอยาก ผมกับเค มือกีตาร์ก็แต่งกันเองทั้งอัลบั้ม คือเราเป็นวงที่ชอบทำเอง เพราะเราภูมิใจว่านี่คือความรู้สึกของเราจริงๆ ที่อยากจะถ่ายทอดให้แฟนเพลงได้ฟัง เราก็เลยพยายามที่จะทำเอง ก็เป็นซาวด์เซิร์ฟอยู่ 4 ปี มีเพลงดังอยู่ 2 เพลงคือ คนใจง่ายที่ไหนเขาทำ กับ โลกใหม่ๆ ตอนหลังกลับมาเป็น พองพอง โดยมีสมาชิกแค่ 3 คน”

แม้ชื่อวงจะเงียบหาย แต่งานดนตรีไม่เคยขาด?

“เรามีงานตลอดครับ แต่กระแสอาจจะไม่ค่อยดียุคสมัยเปลี่ยนไปเยอะ วิธีการขาย วิธีทำให้คนรู้จักก็ง่ายขึ้น เราก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับยุค และเร็วๆ นี้แหละครับคงจะมีผลงานเพลงใหม่ของ พองพอง ให้ได้ฟังกัน เป็นหน้าเดิมออริจินัล กับความรู้สึกเหมือนเดิม เพราะทุกครั้งผมร้องเพลง ผมมีความสุข ผมโชคดีที่ได้ทำงานที่เรารัก ถามว่าเก่งไหม ผมไม่ใช่คนเก่ง แต่ว่าผมอยากร้องเพลง ผมอยากให้คนฟังมีความสุข คือเราโชคดีที่อยู่กับความสุขที่เป็นเงินกลับมาหล่อเลี้ยงชีวิตประจำวันได้ด้วย ไม่มีวันไหนเลยที่ผมมีความรู้สึกว่าผมไม่อยากร้องเพลง ถ้าวันไหนผมรู้สึกแบบนั้น ผมจะอยู่ยังไงไม่รู้ คงจะทรมานเหมือนกับเราทำงานที่เราไม่อยากทำ”

โลดแล่นในนาม ชัย พองพอง?

“เกือบ 20 ปีแล้วครับ เมื่อก่อนผมเคยคิดนะว่าเราจะร้องเพลงได้อีกเท่าไหร่ จะอยู่เป็นวงได้นานแค่ไหนแยกวง ทะเลาะกันเถียงกันก็เคยมาหมดแล้ว ผมเคยคิดว่าผมจะอยู่ในอาชีพนี้ได้กี่ปีกัน แต่ทุกวันนี้ผมเลิกคิดแล้ว ผมจะทำไปจนกว่าจะร้องไม่ไหว ไม่มีคนจ้าง ผมก็จะไป เพราะผมรู้ว่าผมร้องเพลงเพราะ (หัวเราะร่วน) ผมรู้ว่าผมทำสิ่งนี้ได้ดี และมีความสุขกับมัน”

ความสัมพันธ์กับเพื่อนสมาชิกในวง?

“คือเราไม่เคยแตกกันเลย ผมโชคดีที่ได้วงดีได้เพื่อน ได้พี่ที่ดีมากๆ ทุกครั้งที่ผมล้มลงไปทุกคนจะให้กำลังใจกันแบบเพื่อนๆ กินเหล้า กินเบียร์ พี่เอ๊ะเป็นหัวหน้าวง ซึ่งเป็นพี่จริงๆ ผมเคยเอากีตาร์ไปจำนำกับเขานะ คือไม่มีเงิน เลยเอากีตาร์ที่ซื้อกันมาตั้งแต่ได้เงินก้อนแรก ตอนนั้นซื้อกันคนละตัว หลังๆ เริ่มทยอยหายกันไปทีละตัว เหลือของผมคนเดียว ผมก็ตั้งใจจะไปจำนำไว้กับพี่เอ๊ะ แต่พี่เขาไม่เอา เขาให้เงินมาใช้ ผมก็เลยฝากกีตาร์ไว้บอกวันหลังจะไปเอาคืน จนวันนี้ยังไม่ได้ไปเอาครับ (หัวเราะ) มีครั้งหนึ่งผมรู้สึกโดดเดี่ยวจนแม่บอกว่า “ชัย ยังมีญาติพี่น้องนะลูก” คือตอนนั้นผมรู้สึกเหมือนโดนทิ้งไม่มีใครสามารถมารับฟังเรื่องของผมได้ ไม่มีใครเข้าใจแม้กระทั่งคนที่เรารักเป็นแฟนกัน เพราะภาวะที่เรียกว่าอกหัก แต่เพราะคนในวงทำให้ผมรู้สึกไม่โดดเดี่ยว”

ช่วงที่ล้ม?

“ผมเป็นคนไม่ค่อยสมหวังในความรักครับผมอยากจะมีครอบครัวที่อบอุ่น แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นอย่างที่เราคิด เกิดเรื่องที่เราไม่คิดว่าจะเกิด แต่หลังจากผ่านมาหลายครั้ง ทำให้ผมเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่มีสติในการใช้ชีวิตมากขึ้น เลิกกินเหล้า เพราะผมไม่อยากให้ที่บ้านต้องเสียอะไรอีกแล้ว และไม่อยากให้แม่เสียใจกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง เป็นช่วงจังหวะชีวิตที่ทำให้เราเข้าใจการใช้ชีวิต หันมาดูแลตัวเองมากขึ้นอย่างจริงจังครับ”

ธุรกิจไม่เป็นดังหวัง?

“มีทั้งที่เป็นประสบการณ์ที่ดีและไม่ดี ผมทำโรงพิมพ์อยู่พักหนึ่งกับแฟนเก่า แล้วก็ไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้ชีวิตต้องแยกย้ายกันไป ปีที่แล้วเป็นปีที่ผมแย่มาก พี่สาวเสียชีวิต งานก็ไม่มี เลิกกับแฟน เศรษฐกิจไม่ดีอีก ผมเฟลนะ แต่รู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติของชีวิต สักวันหนึ่งทุกคนต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้ทั้งความผิดหวัง สมหวัง ไม่มีอะไรง่าย ผมรู้ดี”

เหตุการณ์ไม่คาดฝันกับการสูญเสียพี่สาว?

“ผมรู้สึกว่าที่ผ่านมาผมไปทำอะไรอยู่ ทำไมผมไม่ดูแลพี่สาวของผม เขามีพฤติกรรมบางอย่างแสดงออกให้เห็นและเรารู้ แต่เรามองข้ามไป และไม่รู้ว่าต่อมาจะส่งผลหนักจนทำให้เขาเสียชีวิตกะทันหัน คือเขาซึมเศร้าถึงขนาดว่าไม่อยากจะรับรู้โลกภายนอกคุณแม่ก็พาเขาไปหาหมอโดยต่อเนื่อง แต่ว่าแม่ก็พยายามปิดไม่ให้เรารู้ เพราะกลัวผมจะเครียด และอีกอย่างตอนนั้นครอบครัวเราไม่ได้คุยกันบ่อยเท่าที่ควร ผมรู้เลยว่าเราคุยกันน้อยไป ต่างคนต่างมีชีวิตของตัวเอง ลืมที่จะหันมาสนใจเรื่องเล็กน้อยกับคนใกล้ๆ ตัวอย่างครอบครัวเราเอง ถ้าเราได้ทำตรงนั้น ใส่ใจมากขึ้นก็คงไม่มานั่งเสียใจแบบนี้ แต่ตอนนี้ทุกคนในบ้านหันหน้ามาคุยกัน ผมเจอกับพ่อบ่อยขึ้น เหมือนเป็นชีวิตที่ต้องเริ่มใหม่ไปด้วยกัน ทุกครั้งที่ผมทำอะไร แม่จะแอบภูมิใจอยู่ข้างหลังเสมอ แล้วคิดเหรอว่าทุกครั้งที่เราไปทำอะไรไม่ดีมา เขาจะไม่เสียใจ ทุกวันนี้ผมก็ยังคิดนะว่าผมเป็นลูกที่ใช้ไม่ได้ วันนี้อายุเท่านี้แล้วเราจะให้อะไรแม่ได้มากกว่านี้นะ แต่เราก็ตั้งใจว่าจะดูแลเขาให้ดีที่สุด เพราะเราพลาดไปเยอะ เมื่อก่อนท่านอาจจะบอกว่าไม่ต้องก็ได้ แต่ไม่จริงหรอกครับ ทุกคนต้องการคนเอาใจใส่และดูแลจากลูกเสมอ”

อาชีพหลักยังคงเล่นดนตรี?

“ผมไม่เคยมีความคิดที่จะเลิกหรือทิ้งงานเพลงเลยผมรู้ว่าผมเป็นนักร้องตั้งแต่เกิด ผมชอบร้องเพลงตั้งแต่เด็กๆ ออกไปร้องเพลงหน้าเสาธง ร้องเพลงให้เพื่อนเต้น แถมคิดท่าเต้นให้เพื่อนอีกด้วย สนุกกับการทำตรงนี้ ทุกวันนี้เราเล่น เราไม่เขิน เรามาโชว์ให้แฟนเพลงได้ฟัง ผมตั้งใจร้องทุกเพลง รักในการเล่นการร้องเพลง อาชีพหลักของผมทุกวันนี้คือเล่นดนตรีกลางคืน และก็กำลังทำเพลงใหม่ของวงพองพองคิดว่าอีกไม่นานคงได้ฟังกันครับ”

ปัจจุบันเล่นดนตรีอยู่ที่ไหนบ้าง?

“ผมเป็นคนที่สู้งานมากครับ มีกี่ร้านรีบบอกรีบมาจ้างผมเลยนะครับ (หัวเราะ) ตอนนี้เล่นอยู่ที่ร้านวีต้า ทาวน์อินทาวน์ ทุกวันพฤหัสบดี ร้านหมาข้างถนนเล่นกับพี่แซ็กวันศุกร์ วันอังคารเล่นกับน้องอีกคนหนึ่งใช้ชื่อวงว่า ชูชัย ไม่ขายเพชรนะ (หัวเราะ) คือมือกีตาร์ชื่อชู ส่วนผม ชัย เลยใช้ชื่อว่า ชูชัย เลือกเล่นเพลงอะคูสติก แล้วก็มีที่เซ็นทรัลเฟสติวัล ร้านแฟตกัสผมรู้สึกว่าทุกอย่างตอนนี้ลงตัวแล้ว ชีวิตแฮปปี้ครับ”

เป้าหมายต่อไปในชีวิต?

“ผมกำลังสนใจศาสตร์ฮวงจุ้ยครับ มีความสุขในการเรียนฮวงจุ้ยมาก แต่ยังไม่อยากพูดอะไร เพราะเรายังเรียนไม่จบ อยากเรียนให้รู้จริง หลังจากมีเหตุการณ์หลายๆอย่างที่ผ่านมาทำให้เชื่อในศาสตร์นี้ คือแฟนคนปัจจุบันของผม เขาน่ารักมาก เขาเห็นว่าเราชอบ ก็เลยสมัครให้ ตอนแรกถูกแฟนบังคับให้ไปเรียน ตอนนี้จบคอร์สฮวงจุ้ยแล้วครับ กำลังจะจบคอร์สดวงจีน19 มิ.ย.นี้ แล้วก็จะเรียนต่อ ฤกษ์ยาม ครับ กลับตัวไม่ได้แล้ว ยิ่งเรียน ยิ่งมีเรื่องที่อยากรู้ มีความสุขไม่น้อยกว่าการร้องเพลงเลย ถึงจะ ยาก แต่ มันส์ ยิ่งไม่ได้ไปเรียนแล้วตามเพื่อนไม่ทัน มันกดดันสุดๆ เกือบธาตุไฟแตกตั้งหลายที(หัวเราะ) ผมค่อยๆ เก็บเกี่ยวความรู้ไปเรื่อยๆ ดีใจนะครับที่ได้เรียนศาสตร์นี้ และอยากขอบคุณ อ.บัณฑิต แซ่ลิ้ม ซือเฮีย ซือเจ๊ และเพื่อนๆรุ่น 15 สถาบันศาสตร์ฮวงจุ้ยแห่งประเทศไทยด้วยครับ ใครที่มีความสนใจฮวงจุ้ย ผมว่ามาเรียนที่นี่ ได้ความรู้จริง ใช้ได้จริง และ แฮปปี้ครับ”

วันนี้ยังเป็นแค่นักเรียน แต่อนาคตดูเหมือนว่า “ชัย พองพอง” อยากจะเป็นอาจารย์ทางด้านฮวงจุ้ยเพราะคนใกล้ชิดบอกกำลังขะมักเขม้นเอาจริงเอาจัง“ทีมข่าวบันเทิงแนวหน้า” ขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ

ลูกหมี

Star Retro : ‘ฟิวส์-กิตติศักดิ์ ชีวาสัจจาสกุล’ การเรียนรู้ที่ทำให้พบในสิ่งที่รัก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/220244

วันอาทิตย์ ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2559, 06.00 น.
สัปดาห์นี้ “สตาร์เรโทร” แวะมาจิบกาแฟยามบ่ายที่ร้าน HONOR SOCIAL HOUSE ร้านกาแฟสุดชิลย่านทาวน์อินทาวน์ ที่ว่ากันว่าเหล่านักแสดงและทีมงานค่ายทีวีซีนมักจะมารวมตัวกันที่นี่ และวันนี้เราก็มีนัดสุดพิเศษกับ “ฟิวส์-กิตติศักดิ์ ชีวาสัจจาสกุล”นักแสดงหนุ่ม ที่หันมาลุยงานเบื้องหลัง และปัจจุบันได้ขึ้นแท่นเป็นผู้กำกับการแสดง กับละครพีเรียดฟอร์มยักษ์
กระแสแรง “นางทาส” ซึ่งกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้นั้นหนุ่มฟิวส์ต้องเจอะเจออะไรมาบ้าง ตามอ่านกันได้เลยค่ะ

สำหรับกระแสละคร “นางทาส” เยอะมากครับ มีทั้งลบแล้วก็บวก แต่ลบจะเยอะกว่า สำหรับผมเองเฉยๆ เพราะว่ากระแสมันมีมาตั้งแต่วางตัวละคร แต่เราก็คิดว่าตามคำที่พี่ป๋อบอก ก้มหน้าก้มตาทำไป อยู่ภายใต้ของคำว่าตีความใหม่ เราไม่ไปแตะกับละครของอีกช่องที่เขาตีความไว้ เวอร์ชั่นนี้ 2559 เรานำมาตีความใหม่ทำให้ทุกอย่างมันมีที่มาที่ไป พอเป็นพี่เอกลิขิตเขียน ก็จะเป็นสไตล์ของทีวีซีน ผมรู้ปัจจัยนี้ตั้งแต่แรก แต่จะไปห้ามความคิดของคนดูไม่ได้

แวบแรกที่ได้รับมอบหมายให้กำกับเรื่องนี้

ผมรู้สึกว่ามันเป็นตำนาน ก็ถามตัวเองว่าเราถึงไหมแต่เรามีภาพที่เราเคยเห็นอีเย็น ทุกตัวละคร เห็นดาราในรุ่นก่อนๆ ที่เขาถ่ายทอดออกมาแล้วมันตราตรึง และมาดูผู้กำกับที่ทำก็เป็นชั้นครู ในมุมกลับกันมันคือความโชคดีครับ ที่เด็กคนนึงได้มาทำในยุคนี้ มันเป็นการนำเสนอใหม่ด้วย ซึ่งผมเชื่อว่าการนำเสนอในรูปแบบนี้ เป็นการนำเสนอที่ต่างคนต่างความคิด ตอนแรกกดดัน แต่ว่าพอทำแล้วความกดดันหายไป จะทำยังไงให้คนชอบ ก่อนเริ่มถ่ายก็ถามแม่ เพราะว่าแม่อยู่มาตั้งแต่เวอร์ชั่นพี่ตุ๋ย(มนฤดี ยมาภัย) ถามว่าอะไรที่ทำให้คนดูติด แม่ก็ตอบมาแบบชาวบ้านมากว่า ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้อีเย็นจะเจออะไร เราก็อ๋อ…เขารักตัวละคร เขาสงสารตัวละคร มันก็เลยเป็นคำที่กลับมาว่าแล้วเราจะทำยังไงให้คนดูรักตัวละคร รักอีเย็นให้ได้ ไม่ใช่รักแยม

เป็นละครเรื่องที่ 2 ที่กำกับ คิดว่าคนดูจะเปิดใจรับเราอย่างไร

ผมห้ามความคิดคนไม่ได้ครับ บางคนอาจจะว่าเด็กไป ใหม่ไป กระดูกยังไม่ถึง แล้วยิ่งมาเจอกับนักแสดงที่เขาไม่ได้คาดหวัง ถ้าเจอผู้กำกับที่รุ่นใหญ่กว่านี้ ดีกว่านี้จะเอาอยู่ไหม หรือเขาจะตีความดีกว่านี้หรือเปล่าผมไม่อาจห้ามความคิดได้

สิ่งที่ทำ อาจไม่ใช่สิ่งที่ฝันไว้

จริงๆ ผมอยากทำงานโฆษณา ผมเรียนมา ผมชอบงานโฆษณา มีช่วงที่ผมเล่นละครอยู่ช่อง 7 แล้วได้ไปฝึกงาน ผมรู้สึกว่ามันใช่ แต่ด้วยจังหวะเวลาที่ตอนนั้นเล่นละครด้วย เลยทำให้เราต้องเลือกว่าจะถ่ายละครให้จบ หรือว่าจะไปทำงานโฆษณา ด้วยอะไรหลายอย่างทำให้ผมต้องมาทางด้านละคร เลยทำให้โอกาสที่เขายื่นเข้ามามันหลุดไป ผมฝันว่าอยากจะกำกับโฆษณา งานกำกับละครนี่ยังไม่คิด เราอยากอยู่โปรดักชั่นเฮาส์ อยากคิดช็อตสั้นๆ แค่ 45 วิ 30 วิ เพราะว่าเป็นคนชอบคิดงาน แต่
พอดีมันควบคู่กับการมาเป็นดาราด้วย เลยทำให้เราต้องเลือกก็เล่นละครไปเรื่อยๆ จนได้มาเล่นช่อง 3 อยู่กับทีวีซีน ความคิดมันเริ่มโตขึ้น คิดว่าเดี๋ยวจะเก็บเงินแล้วก็ไปเรียนต่อทางด้านฟิล์ม (ยิ้ม) เมื่อก่อนโฆษณายังใช้ฟิล์มอยู่วันนึงพี่ปิ่น (ณัฏฐนันท์ ฉวีวงษ์) ก็ถามว่าอยากทำเบื้องหลังเหรอ เริ่มจากการที่เราเล่นละครไปสัก 5-6 เรื่องแล้วถึงเวลาที่ต้องพัก เราก็เลยขอไปเรียน อยากมีเงินสักก้อนนึงแล้วก็ออกจากวงการไปทำงานโฆษณา พี่ปิ่นก็เลยบอกว่างั้นมาทำละครสิ เราก็บอกว่า “ไม่เอาไม่ชอบละครมันแบน” พี่ปิ่นก็งงว่าแบนคืออะไร (หัวเราะ) คือมันก็คือละคร ด้วยความที่เราเป็นวัยรุ่น เขาก็บอกว่าอย่าดูถูกละครสิ ก็เลยไม่ดูถูกก็ได้ เลยมาทำละคร

ตำแหน่งแรกในงานเบื้องหลังละคร

เด็กกั้นรถครับ (หัวเราะ) คือเขาจะมีผู้ช่วย 1 ผู้ช่วย 2 อยู่หน้าเซตคอยบล็อกกิ้งนักแสดงสั่งเอ็กซ์ตร้า แต่ผมเป็นมากกว่าผู้ช่วย 2 คือผมต้องไปอยู่ไกลๆ แล้วปล่อยเอ็กซ์ตร้า และคอยกั้นรถ มันตลกตรงที่ในตอนนั้นผมก็เป็นดาราก็แต่งตัวดีมากอง คนเขาก็เปิดกระจกออกมาถามว่าถ่ายละครเหรอ แล้วหยุดดูเราด้วย ซึ่งพอมันเป็นค่ายตัวเอง จะไม่มีความเกรงใจเกิดขึ้น อย่างวันนี้
เป็นดาราเขาก็จะเรียกฟิวส์ พอไม่ใช่ปุ๊บก็จะมีคำว่าไอ้มาเลยเป็นอย่างนั้นอยู่ประมาณ 2 เรื่อง (ความรู้สึกตอนนั้น?) รู้สึกเขินครับ ผมไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ที่จะมีคนมาทักเรา ไม่ได้เขินที่ต้องมาเริ่มต้นแบบนี้ คือพื้นฐานผมสมัยเรียนหอการค้าและเริ่มเล่นละครแล้วจะหาผมได้ที่สนามบาส ผมจะเป็นคนปกติแบบนี้ เพราะฉะนั้นถ้าเจออะไรที่พุ่งเข้ามาหา ผมก็จะเกิดอาการเขินทำตัวไม่ค่อยถูก

เริ่มไต่ระดับและเก็บเกี่ยวประสบการณ์

หลังจากนั้นพี่ดุลย์ (อดุลย์ บุญบุตร) ก็ให้มาทำเวที หรือว่าตำแหน่งผู้ช่วยกำกับรายการ คือบล็อกกิ้งนักแสดง แต่ก่อนที่จะมาบล็อกกิ้งนักแสดง แกก็จะให้ขึ้นไปบนรถโอบี คือรถที่จะส่งภาพมาให้ข้างหน้ามอนิเตอร์ผู้กำกับดูจอ ก็จะเป็นคนบอกว่าบทนี้ใครพูดอะไร โดยผู้กำกับภาพคอยบอกอีกที แล้วพอตัวละครมันเยอะๆก็ต้องมีคนบอกบท คนนี้จะพูดต่อนะ เราก็ไปจด ตอนแรกไม่รู้หรอกว่าขึ้นไปทำอะไร จากนั้นก็เข้าใจว่าเขาให้เราไปดูภาพว่าที่เขาถ่ายทอดออกมามันคืออะไร พอเราลงมาข้างล่างมาเวทีเราก็จะเห็นภาพนั้นชัดขึ้นว่าตัวละครที่อยู่แค่ตรงนี้เพราะว่ากล้องมันรับได้แค่นี้ ผมเลยเข้าใจภาพมากขึ้น และขยับมาเป็นผู้ช่วย 1 เรื่อง “ลิขสิทธิ์หัวใจ” เจอปอกับแพท พาวเวอร์ทรีรุ่นแรก ซึ่งเรื่องนี้เป็นของ บริษัท ควิซแอนด์เควส (รับงานนอกค่ายด้วย?) พี่ดุลย์ให้ไปช่วยครับ แต่ตอนแรกเขาบอกว่าให้ไปเป็นแอ๊กติ้งโค้ชเราก็ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร คือเขาอยากให้เราไปคุยกับเด็กๆ เพราะว่าเขาคุยไม่รู้เรื่อง เราก็เลยเป็นตรงกลางที่แปลจากวัยรุ่นไปสู่ผู้ใหญ่ได้ คือเราเป็นผู้ช่วย 1 ด้วย เป็นครั้งแรกที่เราต้องเรียนรู้เอง บางรายละเอียดที่เราไม่รู้ อย่างเช่นตัวละครต่อยกัน รุ่งเช้ามาไม่มีแผล พี่แตนที่เป็นเจ้าของบริษัทเขาก็ถามว่า แล้วแผลหายไปไหน เรางงเลยครับ แผลคืออะไร เขาก็บอกว่าต่อยกันมาไม่มีแผลเลยหรือไง จำไว้นะถ้าเกิดตัวละครต่อยกันแล้วไม่มีแผลฉันจะหักเงิน เราก็อ๋อ…เกิดการเรียนรู้ด้วยสภาวะความจำเป็นหน้างาน หลังจากนั้นก็ได้เป็นผู้ช่วยผู้กำกับมาตลอด งานละครน้อยลงไปเลย ที่กลับมาเล่นจริงจังคือ “นางบาป” พร้อมกับเป็นผู้ช่วยด้วย วางบทแล้วไปแต่งตัวเล่นละคร เป็นเรื่องที่ชัดเจนเลยว่าควบ 2 ตำแหน่ง

ยังคงนึกถึงอาชีพในฝัน

ทุกวันนี้ผมก็ยังรักงานโฆษณาอยู่ครับ เพียงแต่ว่าพอเวลาทำละครแล้วมันเหมือนเกิดการเรียนรู้ไปในตัว แล้วมันก็รักที่จะทำไปโดยปริยาย ไม่ได้รักละครนะ แต่รักการทำงาน ว่าเรื่องนี้มันยังไง เพราะละครทุกเรื่องมันจะมีปัญหาให้เราได้รู้ ผมโชคดีที่ได้เจอผู้กำกับไม่ซ้ำเลยเกิดการเรียนรู้งานและเรียนรู้ผู้กำกับไปด้วย ถ้าเราซึมซับผู้กำกับได้มากเท่าไหร่ เราจะคิดแทนเขาได้แล้วทำยังไงให้เขาเชื่อใจ ผู้กำกับทุกคนจะมีภาพในหัวเวลาอ่านบท เราก็จะรู้ว่าเขาคิดยังไงเพราะอะไร พอเราคิดเยอะๆ เราก็จะซึมของเขาไป ก็เลยกลายเป็นว่าเขาไม่ต้องพูดเยอะ เขาก็จะฟังเรามากขึ้น และเราก็เริ่มสนุกค่อยๆ ขายไป พอขายได้เราก็จะแฮปปี้

9 ผู้กำกับ ที่ถือเป็นห้องเรียนห้องใหญ่สำหรับฟิวส์

พี่ดุลย์-อดุลย์ บุญบุตร, พ่ออี๊ด-สุประวัติ, พี่บุ๋ม- ประกาศิต, พี่หนุ่ม-กฤษณ์, พี่ผิน เกรียงไกรสกุล, พี่โหน่ง-วีระชัย, พี่อ๊อด-บัณฑิต, พี่ชนะ คราประยูร และพี่ซ้ง-ธรธร 9 ท่าน แต่ละท่านก็จะมีเทคนิคในการกำกับที่ต่างกัน อย่างพ่ออี๊ดเราก็พยายามซึมซับอะไรที่พ่อมีความแปลกประหลาด เมื่อก่อนผมเรียกไม่ถูกว่าคืออะไร จนวันนี้ผมรู้แล้วว่ามันคือบารมี แล้วมันไม่ได้มีทุกคนนะ เกิดขึ้นเองได้โดยไม่ต้องสร้าง ตอนแรกผมก็ไม่รู้หรอกว่าเราจะได้เทคนิคอะไรยังไง แต่พอมาเริ่มช่วยพี่ผิน ผมกำกับเรื่อง ในสวนขวัญ เพราะว่า 3 เดือนแรกพี่ผินยังมาไม่ได้ก็เลยต้องกำกับไปก่อน ผมรู้สึกว่าพออ่านบทไปแล้วมันมีบางฉากที่เราอยากได้ภาพแบบนี้ ทำไมอยู่ดีๆ เราอยากได้ดอลลี่แบบพี่โหน่ง ทำไมเราอยากได้จังหวะการเล่นแบบพี่ผิน ทำไมเวลาเราไปนั่งพูดกับนักแสดงเรารู้สึกอยากเป็นเหมือนพ่ออี๊ด แล้วก็ได้ความที่แบบอ่านแล้วอ่านอีกของพี่นะ จนวันที่เราได้ขึ้นเป็นผู้กำกับเต็มตัวจากเรื่อง ใต้เงาจันทร์พี่ปิ่นอยากให้เราเริ่มต้นกำกับเรื่องเบาๆ ก่อน มีคอเมดี้ด้วย เหมือนให้เราก้าวไปอย่างช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไป

ย้อนวันวานผลงานการแสดงที่ทำให้ทุกคนรู้จัก

ผลงานแจ้งเกิดผมไม่ค่อยมีนะครับ (หัวเราะ) เป็นนักแสดงที่อยู่กลางๆ ไม่ได้เปรี้ยงปร้าง ไม่ใช่ซุป’ตาร์ ก้าวแรกในวงการ มันเป็นช่วงชีวิตนึงของคุณอาผมครับ ที่เขาไปเดินห้างแล้วมีประกวด ก็เลยเอาใบสมัครมาให้น้องเขา ซึ่งเป็นอาอีกคนของผม แต่ผมก็อยู่ด้วย อาก็เลยมองมาที่ผมและคิดว่าหลานน่าจะมีสิทธิ์มากกว่าน้องผมก็ไม่เอา แต่สุดท้ายก็ไปประกวด ที่บ้านไปเชียร์กันทั้งบ้านเลย และก็ตกรอบ คงจะเป็นเพราะดวงจริงๆ คือรอบสุดท้ายเป็นเวทีใหญ่เขาก็เอาพวกที่ตกรอบมาเล่นกิจกรรม และมี พี่อุ๊บ-วิริยะ มาเป็นกรรมการตัดสินก็เลยขอเบอร์และพาไปถ่ายแบบถ่ายแฟชั่นเสื้อผ้าในนิตยสารวัยรุ่น พาไปเจอพี่สมเดช ได้ถ่ายงานนู่นนี่ เรารู้สึกว่ามันเวิร์กนะกับการที่ไปถ่ายเสื้อผ้า 4-5 ชุดแล้วได้เงินตั้งพันห้ามาซื้อรองเท้าสตั๊ด (หัวเราะ) และได้เล่นละครกับค่ายโซนิกทางช่อง 3 แต่เป็นลูกน้องผู้ร้าย ผู้กำกับก็เป็นเพื่อนพี่อุ๊บ ไปตั้งแต่ 7 โมง ได้เล่นทุ่มนึง พูดประโยคเดียว “ผู้หญิง
ไม่เกี่ยว” เตรียมตัวซ้อมเต็มที่ตื่นเต้นมากปูเสื่อรอนั่งซับหน้าซับตาตั้งแต่ 7 โมง พอถึงเวลาเข้าฉากพูด ผู้หญิงไม่เกี่ยวแล้วมันก็เหน่อ เทคเดียวผ่านเลย พอฉากนี้ออนแอร์ตอนนั้นผมอยู่ ม.6 อายมาก ไม่นึกว่าประโยคนี้มันจะย้อนมาทำร้ายผม เดินไปไหนเพื่อนก็ล้อ ผมจำถึงวันนี้เลย (หัวเราะ) นั่นคือครั้งแรกของการแสดงในชีวิต ผมเป็นคนสุพรรณซึ่งปกติก็ไม่ได้พูดเหน่อนะ แต่วันนั้นมันเหน่อเองหลังจากนั้นก็ได้เล่นร้อยรสบทละครของทางช่อง 3

ขยับมามีบทบาทมากขึ้น

พี่อุ๊บก็พาไปที่อัครมีเดียไปเล่น สวัสดีคุณครู ฉากจบของเรื่องคือเด็กทุกคนที่ครูสอนแล้วเขาได้ดี กลับมาไหว้ครูที่โรงเรียนต่างคนก็ต่างมีอาชีพ ผมเป็นทหารก็ใส่ชุดทหารมาเลย แล้วพอดีทางโคลีเซี่ยมเขาดูเลยเรียกมาคุยให้มาเล่นเรื่อง กองร้อย 501 ทั้ง 2 ภาค และเป็นความโชคดีที่ได้เล่นกับ อาบัณฑิต ฤทธิ์ถกล เรื่อง นางสาวโพระดก ซึ่งดีใจมากบุญชูคือหนังในใจเรา พอได้มาเล่นกับอาบัณฑิตวันแรกมาถึงก็เดินถือสมุดไปขอลายเซ็นอาเลย หลังจากนั้นก็ได้ร่วมงานกับดีด้า และได้ออกเทปกับค่ายรถไฟดนตรี สมัยนั้นมีออกเทปด้วยนะ ชีวิตทำหลายอย่างมาก จะเรียกว่าประสบความสำเร็จมากไหมมันก็คือในระดับนึง แต่มันทำให้ผมเข้าใจนักร้องว่าการที่เขาไปถึงสถานีแล้วมีคนมาอยู่ตรงกระจกมันเป็นอย่างนี้นี่เอง มีดีเจมาสัมภาษณ์ มีคนโทร.เข้ามาคุย อารมณ์แบบนี้พอเราเข้ามาทำงานมันทำให้เรารู้สึกว่าเราโชคดีมากเรายืนร้องเพลงแล้วมีคนร้องเพลงเราได้ เข้าใจเลยว่ามันมีคุณค่ามากแค่ไหน

ละครในฝันที่อยากจะกำกับ

พี่เลี้ยง ซึ่งพี่เลี้ยงเป็นละครเรื่องแรกที่ทำให้เด็กคนนึงที่อยู่ในช่วง ม.3-ม.4 เป็นช่วงที่เขาควรจะออกไปทำอะไรก็ไม่รู้ แต่มาดึงให้เขานอนดูอยู่หน้าทีวี.และยิ้มไปกับนางเอก เข้าใจไปกับพระเอก เข้าใจถึงความละมุนของคำว่า พี่ชายกับคุณเร และตลกมากคือแม่คิดว่าเราออกไปเที่ยวกับเพื่อนข้างนอก ก็ขับรถตามหาเราทั่วสุพรรณเลยแต่ไม่เจอ เพราะเรานอนอยู่บนห้องดูพี่ต้อม-รชนีกร เป็นคุณเรอยู่ (ยิ้มตาเป็นประกาย) เป็นละครที่ทำให้ผมรู้สึกกับคำว่าความรู้สึกในการนั่งดูละคร ผมรู้สึกว่าผมมีความรักกับดาราคนนี้ ผมอยู่วงโยธวาทิตก็แอบไปเป่าเมโลเดียนเป็นเพลงประกอบละครเรื่องพี่เลี้ยง คือมันคงมีอานุภาพมากที่ทำให้ผมเป็นขนาดนี้ได้

ผู้กำกับการแสดงในแบบที่ ฟิวส์ เป็น

ผมเป็นผู้กำกับที่หน้าตาไม่ค่อยมีคนอยากเข้าใกล้เวลาทำงาน หน้าตาดูจริงจัง หน้าจะคิดตลอดเวลา แล้วพอเจอกับตัวละครเยอะๆ นักแสดงเยอะๆ ผมจะจริงจังกับแอ๊กติ้งมาก ผมรู้สึกว่าละครที่ดีมันมาจากบทที่ดี และเล่นให้คนดูรู้สึกว่าคุณเป็นตัวนั้น ที่จริงจังนี่ไม่ได้ดุนะครับ ผมเป็นคนไม่ด่าคน เพราะเคยโดนแล้วผมก็เลยไม่อยากให้คนอื่นโดน ผมคิดว่าการที่คนเราได้เจอกันทำงานด้วยกัน คงจะมีอะไรลิขิตมาแล้ว มีแต่สิ่งดีๆให้กันดีกว่า เจอหน้ากันภายหลังจะได้มีแต่รอยยิ้มถึงแม้ว่าละครเรื่องนั้นจะซัคเซสหรือไม่ก็ตาม

ความรักที่สุกงอมพร้อมจะมีข่าวดีหรือยัง

พยายามจะให้ภายในปีนี้ครับ กำลังอยู่ในการรวบรวมชื่อต่างๆ แต่ว่าพื้นฐานคือเราไม่อยากจัดโรงแรมเรารู้สึกว่าไปโรงแรมจะต้องแต่งตัว ยกแก้วแล้วก็กลับ ผมอยากมีโมเมนต์ที่ผมมีความสุขกับโอ๋แล้วผมก็อยู่กับแขกกับญาติที่เราทั้งสองคนรู้จัก มันเลยทำให้ผมรู้สึกว่าผมจะต้องเขียนชื่อใครบ้าง มันเยอะนะ แต่ก็คิดว่าคงจะจัดแบบธรรมดา ให้เป็นอะไรที่น่าจดจำและมีความน่ารักดีกว่า อยากให้ความอบอุ่นมันเกิดขึ้น

ฟิวส์-โอ๋ เป็นคู่รักสไตล์ไหน

เราคบกันมาก็น่าจะ 10 ปีแล้วนะครับ เป็นคู่ที่เป็นทุกอย่าง ในสถานะเวลาและโอกาส บางทีก็เป็นเพื่อน บางทีก็เป็นแฟน บางทีเราไปกับเพื่อนเราเขาก็สามารถไปนั่งกับเพื่อนเราที่เป็นผู้ชายได้เลย มันเลยมีความไม่น่าเบื่อที่จะถูกปรับเปลี่ยนไป ผมโชคดีมาก คือมีช่วงนึงที่ผมทำงานแบบบ้ามาก บางทีเจอ 2 เรื่อง 7 วัน มันต้องอาศัยความเข้าใจ ความไม่คิดอะไรเยอะ (โอ๋คงจะชินเพราะอยู่วงการเหมือนกัน) ผมเคยถามเขาเรื่องนี้เขาก็บอกว่า คนบ้าอะไรจะมาชินได้ 7 วัน ตลอด 4-5 เดือนเขาไม่ชินแต่เขาแค่เข้าใจ เคยมีคนทักผมว่าทำไมไม่พาโอ๋ไปกินข้าวบ้าง ผมก็ค่อยถอยออกมา และผมก็ยังได้สิทธิ์นั้นอยู่ และมีพาเขาไปด้วยบ้าง อย่างเช่นไปดูโลเกชั่นเขาก็อยากไปเห็นเหมือนได้ไปเที่ยวไปถ่ายรูปด้วย

ชีวิตหลังแต่งงานมีข้อจำกัดในการรับงานของกันและกันบ้างไหม

โอ๋ยังรับอยู่ ผมไม่ค่อยไปก้าวก่ายเรื่องงานนะ ผมแล้วแต่เขา ผมมีความรู้สึกว่าคนเราจะมีพื้นที่ของตัวเอง ถ้ามันไม่ดูนอกกรอบการคบกันมากเกินไป ก็จะแล้วแต่เขาครับ (จะมีน้องเลยไหม) ผมอยากมีมากผมเป็นคนชอบเด็ก แล้วช่วงวัยตอนนี้ด้วยนะ เวลามีเด็กมากองถ่ายก็จะนั่งหอมกอดเลย ผมสนุกครับชอบเด็ก

บุคคลที่อยากจะกล่าวขอบคุณ

คนแรกคงเป็น พี่อุ๊บ-วิริยะ และเหล่าพี่ๆ ในวงการในเวลานั้นที่ผมได้เข้าวงการมาอาจจะพูดชื่อไม่หมดแต่ขอรวมไปว่าเป็นเพื่อนในวงการของพี่อุ๊บในช่วงนั้นถ้าได้อ่านคงเข้าใจผมนะครับ ทุกวันนี้ก็ยังได้ไปเจอพี่ๆ บ้างขอบคุณพี่ช่างแต่งหน้าทุกคนที่น่ารัก พี่ๆ นักข่าว แล้วก็อาคมน์ อรรฆเดช ที่เสียไปแล้ว อาพรพิมล เจ้าของโคลีเซี่ยม ที่ทำให้ผมเข้ามาแล้วมีชื่อเสียงมากขึ้น ทำให้ผมมีพลังในการใช้ชีวิตปลูกสร้างเด็กคนนึง ทำให้ผมได้เรียนรู้ตัวเอง แล้วก็พี่ปิ่นที่ได้ให้โอกาสมาอยู่ช่อง 3 ได้เข้ามาเป็นนักแสดงและได้มาทำงานเบื้องหลัง ถ้าวันนั้นพี่ปิ่นไม่ชวนให้ลองมาทำก็คงไม่มีวันนี้ ขอบคุณที่ทำให้ผมได้เจอผู้กำกับเยอะมากทั้ง 9 ท่าน ที่แต่ละท่านก็มีมุมมองที่ต่างกัน ขอบคุณผู้กำกับทั้ง 9 ท่าน รวมไปถึงนักแสดงที่ผมได้เจอ ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ที่ทำให้ผมได้เรียนรู้ครับ

แม้งานกำกับละครจะไม่ใช่สิ่งที่หนุ่มฟิวส์ใฝ่ฝันที่จะทำ แต่เมื่อได้รับโอกาสดีๆ จากผู้ใหญ่ที่เคารพเขาก็ทุ่มเทเต็มที่ จนวันนี้เขามีความรู้สึกรักที่จะทำมันต่อไปเรื่อยๆ แบบนี้วงการทีวี.บ้านเราก็มีผู้กำกับคุณภาพเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนแล้วสินะ

 

กุหลาบสีเงิน

Star Retro : ‘สวลี ผกาพันธุ์’ โต้โผสำคัญ ร่วมขับกล่อมบทเพลงถวายพระพร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/219127

วันอาทิตย์ ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2559, 06.00 น.
ตามที่สัญญาไว้ค่ะ หลังจากที่พาไปชมการซ้อม เตรียมตัวขึ้นคอนเสิร์ต “รวมใจถวายพระพรมหาราชินีนาถ” ของศิลปินระดับตำนานมา 2 สัปดาห์ติดเล่าถึงความพร้อมของภาพรวม และบทสัมภาษณ์ของ ศิลปินฝ่ายชาย กันไปแล้ว อาทิตย์นี้ขอปิดท้ายด้วย ความในใจจากแม่งานคนสำคัญ ศิลปินแห่งชาติ สวลี ผกาพันธุ์ ร่วมด้วยทีมศิลปินหญิง ที่พร้อมใจกันรังสรรค์ ให้วันที่ 11 มิถุนายนนี้ เป็นอีกหนึ่งวันสำคัญของวงการเพลงอมตะไทย

สวลี ผกาพันธุ์

สวลี ผกาพันธุ์

“คอนเสิร์ตครั้งนี้เป็นครั้งที่ 8 แล้วค่ะ ที่ทำให้ในนามมูลนิธิอุบลรัตน์ในพระบรมราชินูปถัมภ์ เพื่อนำเงินรายได้ส่วนหนึ่งไปช่วยด้านการศึกษา สร้างโรงเรียนเจ้าฟ้าฯที่เชียงดาว อยากให้ไปเห็นเองค่ะ แล้วจะซาบซึ้งมากลองนึกถึงเด็กที่บ้าน อยู่ไกล ต้องเดินทางไปโรงเรียนแสนจะลำบาก ต้องใช้ความวิริยะอุตสาหะมากที่จะต้องตื่นเช้าเดินทาง 2 ชั่วโมงมาเรียน และกลับอีก 2 ชั่วโมง เมื่อได้เงินจำนวนนี้ เราก็จะได้โรงเรียนกินนอน มีที่พักพอเพียงไปดูเถอะค่ะ ไม่ได้สวยวิจิตรพิสดารอะไร คืออยู่ได้ มีอาหาร มีเสื้อผ้านุ่งห่ม มีการศึกษาที่ดี มีผู้อบรมสั่งสอนที่ดี เป็นคณะซิสเตอร์ และมีแผนกเด็กป่วย HIV ซึ่งอยู่อีกตึกหนึ่ง คนที่ดูแลเด็กๆ เราก็สัมผัสได้ว่าเขาทำกุศลด้วยหัวใจจริงๆเงินที่ส่งไปให้มูลนิธิฯ ในการเลี้ยงเด็กเกือบ 600 คนนี้คุ้มเกินคุ้มกับชีวิตมนุษย์ค่ะ ที่ได้ให้ความรู้ ให้ความเป็นอยู่ที่ดีซึ่งความรู้นี่สำคัญที่สุด เด็กก็จะไม่ต้องถูกหลอกอีกต่อไป”

การเตรียมงานคอนเสิร์ตในปีนี้

“นักร้อง น้องรักเยอะค่ะ พอรู้ว่าทำคอนเสิร์ต แต่ละคนแทบจะมาด้วยใจจริงๆ คอนเซ็ปต์ปีนี้ก็จะเป็นเพลงจากภาพยนตร์ และละคร มีทั้งของไทย ของฝรั่ง เพื่อให้เพลงที่นำมาร้องมีความแปลกใหม่ แต่เพลงที่กำหนดไว้ให้ร้องทุกคน คือตอนจบเราจะมีเพลงฟินาเล่ค่ะ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ตรงวัน ไม่ตรงเดือนก็จริง แต่ก็ถือว่าใกล้กัน คืองานคอนเสิร์ตจัดในวันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน วันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระบรมราชินีนาถ 12 สิงหาคม
แต่เราก็ถือว่าในปีนี้ ที่ท่านจะทรงมีพระชนมพรรษา 7 รอบ3 เพลงสุดท้ายจึงวางไว้เป็นเพลงฟินาเล่ ให้นักร้องทุกคนออกมาร้องเพลงด้วยกัน ร้องถวายพระพรท่าน เป็นเพลงที่รู้จักกันอยู่แล้วค่ะ คือเพลง “สมเด็จ” เพลงนี้เป็นเพลงของคุณสมาน กาญจนะผลิน เนื้อร้องเป็นของคุณชาลีอินทรวิจิตร เราเป็นคณะแรกที่ร้องกันไว้ โดยคุณชาลีเขาเข้าใจทำค่ะ เขาเอาชื่อเพลงพระราชนิพนธ์ในแต่ละเพลง เช่นเพลง เทวาพาคู่ฝัน ,ลมหนาว ,ในดวงใจนิรันดร์ หรือว่าเพลงอาทิตย์อับแสง มาร้อยเรียงผูกกันจนกระทั่งสามารถมีชื่อเพลงอยู่ในเพลงนี้ได้ และตั้งชื่อเพลงว่า “สมเด็จ” ขึ้นต้นเพลงว่า โสมส่องมาจากแดนฟ้าไกล แก้วตาขวัญใจประชา… ถ้าไม่ทราบว่าเป็นชื่อเพลงพระราชนิพนธ์ ก็นับเป็นเนื้อร้องที่ไพเราะประโยคหนึ่ง”

“เพลงที่ 2 ที่พวกเราจะร้องถวายพระพร คือเพลง “แม่แห่งแผ่นดิน” มีโอกาสได้เป็นนักร้องออริจินัลรุ่นแรกอีกเหมือนกันค่ะ แต่ไม่ใช่สวลีคนเดียวนะคะ เราร้องกันเป็นหมู่คณะ คือเป็นคำพระราชดำรัสของ สมเด็จพระนางเจ้าฯ 4 บรรทัดเท่านั้นเองค่ะ แต่นักแต่งเพลงรวมกันหลายท่าน เขาเอาแต่ละบรรทัดมาขยายให้เป็นเรื่องเป็นราว เพื่อที่จะให้สัมผัสกับท่อนที่ 2 ที่จะต่อมา บรรทัดสุดท้ายของ 4 บรรทัดแรกก็นำมาปิดท้ายตอนจบ เป็นเพลงที่เนื้อหาดีมากเลยค่ะไม่อยากจะเล่าหมด อยากให้ไปฟังค่ะ ส่วนเพลงสุดท้ายถือว่าใครๆ ก็ร้องได้ คือเพลงสดุดีมหาราชา ราชินีค่ะ”

ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ

“เป็นเกียรติอย่างสูงสุดค่ะที่ได้ถวายรับใช้พระองค์ท่านมากว่า 30 ปี จนตอนหลังล้มสะโพกหัก ถอนสายบัวไม่ได้ จึงต้องหยุดไปค่ะ พระองค์ท่านพระทัยงดงามอย่างหาที่สุดมิได้ ภาพที่ทรงแย้มพระสรวล เป็นความงามอันบริสุทธิ์จริงๆ ค่ะ และเสน่ห์ที่ประทับใจทุกๆ คน คือพระองค์ท่านทรงจำชื่อคนแม่นที่สุด ไม่ใช่หมายถึงสวลีนะคะ แต่เวลาที่เข้าแถวรับเสด็จ จะเห็นพระองค์ท่านทรงทักคนนั้นคนนี้ ท่านทรงจำชื่อได้ทุกคนค่ะ สร้างความปลาบปลื้มแก่ผู้ที่เข้าเฝ้าฯทุกคน อยากให้มีอภินิหารค่ะ อยากให้พระองค์ท่านหายประชวร (เสียงสั่น) คือนานเกินไปแล้วค่ะ ถ้าพูดศัพท์ชาวบ้าน คือคิดถึงท่านค่ะ”

ศิลปินน้องใหม่เสริมทัพ

“ครั้งนี้มี คุณฮาร์ท-สุทธิพงศ์ ทัดพิทักษ์กุล,คุณสุชาติ ชวางกูร และคุณฉวีวรรณ ทองแย้ม ที่เพิ่มเข้ามาค่ะ คุณฮาร์ทเป็นคนร้องเพลงสนุก เป็นทั้งเอนเตอร์เทนเนอร์และซิงเกอร์ คือเป็นทั้งนักร้อง และนักพูด แก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าเก่ง และใบหน้าเขามีเสน่ห์ค่ะ ยิ้มตลอด และก็ยังไม่เคยมีโอกาสได้ร้องเพลงร่วมกันมาก่อน ครั้งนี้ก็เลยชวนเขา ด้านคุณสุชาติ เขามาแนวพระเอก เป็นสุภาพบุรุษ ร้องเพลงเพราะ ก็จะมาร้องเพลงหนังเพลงละครให้ได้ฟังกัน และคุณฉวีวรรณ ทองแย้ม เขาถนัดเพลงสากล ก็จะมาขับร้องในส่วนของเพลงสากลแปลงค่ะ”

เพิ่งผ่านพ้นการผ่าตัดกระดูกสันหลัง

“หลายคนถามว่าผ่าทำไม ผ่าตัดกระดูกสันหลังค่อนข้างเสี่ยง แต่เพราะเจอหมอที่เป็นยอดของหมอค่ะเลยยอมผ่า เทคนิคนี้เพิ่งมาถึงเมืองไทยได้ 2 ปี คุณหมอวิชาญและทีมงานท่านเก่งมาก สลบไป 6 ชั่วโมง ออกมาเรียบร้อยทุกอย่าง พอรุ่งขึ้นหมอมาเยี่ยม บอกให้ลุกขึ้นเดินจากเตียงที่เรานอนไปโต๊ะกินข้าว เดินได้แล้วค่ะ เป็นการยืนยันให้คนไข้อุ่นใจว่าฉันเดินได้แน่ แล้วก็มีบอกเดินอีกที คราวนี้ผมปล่อยมือนะ คุณหมอใจดีมากค่ะ”

เหตุนำมาสู่การผ่าตัดกระดูกสันหลัง

“คนชอบพูดว่าปวดหลัง แต่จริงๆ ไม่ใช่หลังนะคะ เป็นช่วงเอว แต่ไม่ใช่ว่าสวลีปวดครั้งเดียว แล้วไปหาหมอ คือปวดมาร่วม 7-8 ปีแล้วค่ะ ก็กินยา ตอนนั้นมีวันหนึ่งปวดมาก ก็โทรศัพท์ถึงคุณหมอประจำตัว ไม่ใช่คุณหมอวิชาญนะคะ คุณหมอก็บอกกินยาตัวนี้ รับรองต้องเดินได้ คือตอนนั้นปวดชนิดก้าวขาไม่ออก ไปปวดที่ต่างประเทศ ก็กินยาตามที่คุณหมอสั่ง เราก็เลยเคยตัว พอปวดก็ซื้อกินเองมาตลอด 8 ปี โดยที่ไม่ได้เล่าให้คุณหมอฟัง ปรากฏมันเป็นยาอันตราย ซึ่งเขากินกันชั่วครั้งชั่วคราว ถ้าไม่หายก็ต้องเปลี่ยน ยาก็เลยไปกระเทือนกับโรคประจำตัวคือความดันโลหิตสูง หมอที่รักษาความดัน ก็สงสัย ทำไมความดันขึ้นสูง จนต้องแอดมิท จนสุดท้ายคุณหมอบอกไหนมาเล่าให้ฟังสิ วันๆ กินยาอะไรบ้าง ก็เล่าให้ฟัง หมอก็อ้อ… ใครให้กินเราก็บอกกินเอง เช่นเรารู้ว่าเราจะไปต่างประเทศ เรากินก่อนล่วงหน้าเลยค่ะ ไปเที่ยว 10 วันไม่มีปัญหา แต่มันไปเป็นผลอีกทางหนึ่ง กับทางตับ ทางไต คุณหมอที่ผ่าสะโพกกับผ่าหัวเข่า คือคุณหมออารีย์ ที่รพ.จุฬาฯ บอกว่าผมไม่ได้ผ่าสันหลัง แต่มีหมอคนหนึ่งเก่ง ก็เลยแนะนำให้รู้จักคุณหมอวิชาญ คุณหมอวิชาญก็หาเวลาให้ โดยมีข้อแม้ว่า ต้องหายให้ทันคอนเสิร์ต (หัวเราะ) หมอบอกทันๆ ก็เลยนัดผ่าให้เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาค่ะ”

“เป็นการผ่าผ่านกล้องค่ะ เปลี่ยน 3 ท่อนฟังเหมือนง่ายนะคะ แต่เวลาผ่าเขาจะต้องเขี่ยเอาที่ผุ ที่ไม่ดีออกมา แล้วก็ใส่สารชนิดหนึ่งเข้าไปแทน คุณหมอบอกสมัยนี้รถยนต์ไม่มีใครเขาปะผุกันแล้ว เขาเปลี่ยนกันเป็นชิ้น หมดสมัยมาซ่อมแล้ว เพราะฉะนั้นกระดูกผุก็เขี่ยมันออกไป ใส่ใหม่เข้าไป คือคุณหมอพูดดูง่ายไปหมดเลยค่ะ แต่จริงๆไม่ได้อย่างนั้น มันก็เจ็บนะคะ แต่เราก็อดทน เพราะคุณหมอพูดอยู่คำว่า “ยังไม่เคยมีใครเป็นแล้วไม่หาย ไม่มีใครไม่หายปวดสักคน” เราก็ต้องอดทน อีกอย่างหนึ่งคือต้องขอเลย ทั้งลูกหลานครอบครัว บรรดากัลยาณมิตร และเพื่อนๆ รวมถึงบรรดาน้องรัก นักร้องทั้งหลาย คือขอร้องไม่ให้ไปเยี่ยม ไม่อยากให้ใครมาเยี่ยม เพราะไม่อยากคุย เขาก็จะพร้อมใจกันไลน์มาหาแทนค่ะ เช้ามาแล้ว ส่งไลน์มากันเป็นแถว(หัวเราะ) ก็ต้องถือโอกาสขอบคุณทุกกำลังใจด้วยค่ะ ทุกครั้งที่อ่านเจอข้อความที่ทุกคนให้กำลังใจมานั้น มีค่าสำหรับสวลีมากเกินกว่าที่จะบรรยายออกมาได้ค่ะ”

ความพร้อมของร่างกายตอนนี้

“หายทันขึ้นคอนเสิร์ตแน่นอนค่ะ เข่าก็ผ่ามาแล้ว สะโพกก็ผ่าแล้ว ตอนนี้คุณหมอไม่ได้ให้กายภาพ แต่ให้หัดเดินเฉยๆ ค่ะ วันแรกที่เดินนะคะ คล้ายๆ ครึ่งท่อนบน กับครึ่งท่อนล่าง คนละตัวกันเลย รู้สึกยังไม่สัมพันธ์กัน เราก็ต้องใส่เฝือก การที่เราใส่เข็มขัดก็เพื่อให้เชื่อมกัน อีกหน่อยก็จะเหมือนเดิม หมอบอกไม่มีใครไม่หาย อยู่ที่ว่าช้าหรือเร็วเท่านั้นเองค่ะ ใจสู้อยู่แล้วค่ะ”

ทิ้งท้ายถึงคุณผู้ฟัง

“ใครๆ ก็ต้องชอบความสนุก ถ้าชอบความสนุกเหมือนกัน ก็อยากชวนมาดูคอนเสิร์ต และถ้าคุณเลือกมาดูคอนเสิร์ตที่สวลีพูดถึงนี้ คือ “รวมใจถวายพระพรมหาราชินีนาถ” ในวันที่ 11 มิถุนายนนี้ คุณได้ฟังเพลงด้วย และในขณะเดียวกัน คุณก็ได้ทำบุญด้วย มาถึงที่ เป็นแพ็กเกจเลยค่ะ เพราะว่าในบัตรที่คุณซื้อ เสียสตางค์ไปนั้น ส่วนหนึ่งของเงินจำนวนนั้น เราจะนำไปบำรุงมูลนิธิอุบลรัตน์ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ซึ้งเลี้ยงเด็กอยู่กว่า 600 คน ให้มีที่อยู่ที่กินขนาดพอเพียง มีการศึกษา มีการอบรม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือมีวินัย และปลูกฝังให้รักชาติ รักพระเจ้าแผ่นดิน เรียกว่าเรามาเป็นแพ็กเกจให้เลยค่ะ ทั้งสนุก ทั้งได้บุญ”

ศรวณี โพธิเทศ

คู่เพื่อนซี้ ศรวณี โพธิเทศและ สุดา ชื่นบาน

เม้าท์-สุดา : ครั้งนี้รับผิดชอบในส่วนของเพลงแปลงค่ะ คนที่แต่งเพลงแปลงแรกๆ คือ คุณนคร มงคลายนเขาจะเอาเพลงเช่น My Truly, Truly Fair มาแต่งเป็นเพลง “กินกาแฟ” หรืออย่าง Seven Lonely Days ก็เป็น“7 วันที่ฉันเหงา” โดยมีคุณเพ็ญแข กัลย์จาฤก ร้องเอาไว้จะเป็นสไตล์เพลงไพเราะ แต่ถ้าเป็นของคุณเพ็ญศรี พุ่มชูศรีจะเป็นสไตล์ตลกขบขันค่ะ หรืออย่างของคุณมีศักดิ์เอาเพลง เดโอ เดเอโอ มาร้องเป็น “แดดออก” นี่คือเพลงแปลงแต่ก่อนเราไม่มีค่าลิขสิทธิ์ก็แปลงกันสนุกสนาน จากเพลงจีนก็มี เพลงแขกก็มี คือในสมัยก่อนร้องเพลงดี ร้องให้ไพเราะร้องยากนะคะ แต่ร้องเพลงแปลง ร้องง่าย ยิ่งเป็นเพลงตลก จะติดหูคนฟัง บางคนจะสนุกสนานไปทางหยาบคายแต่ของคุณนครจะไม่มีค่ะ จะเน้นกลอนที่สุภาพ ที่ตลก เพราะฉะนั้นครั้งนี้ก็จะเลือกร้องแบบตลกขบขัน โดยมีคุณฉวีวรรณ และคุณสุเทพ ร้องในแนวเดียวกันค่ะ

นิด-ศรวณี : ของนิดร้องเพลงภาพยนตร์ค่ะมาจากเรื่อง “รักริษยา” และก็ “พ่อพระในดวงใจ” โดยพี่รี่(สวลี ผกาพันธุ์) เป็นคนเลือกให้ค่ะ เพราะแต่ก่อนพี่รี่ร้องเพลงภาพยนตร์เยอะมาก บางเรื่องก็แสดงเองด้วย ต้องบอกว่าสนุกทุกครั้งค่ะ ที่ได้มาร่วมงานกับ อาจารย์วีณา(รศ.ดร.วีณา เชิดบุญญชาติ) และพี่รี่ เหมือนท่านเป็นจุดรวมใจของพวกเราทุกคนค่ะ

เสียงเพลงไม่เคยขาดหายจากชีวิต

เม้าท์-สุดา : จริงๆ แล้วอย่างพวกเราอยู่บ้านสบายๆ แต่จะเฉาเกินไปค่ะ เราออกมา เรายังได้แต่งเนื้อ แต่งตัวทำให้แจ่มใส สดชื่น ถ้าไม่รับงานเลย ก็จะกลายเป็นยายแก่สังเกตจากเพื่อนๆ ที่เขาไม่ได้ทำงานอย่างเรา เขาสบายใจจริงนะคะ แต่ว่าชีวิตเฉา พอออกมาข้างนอกก็จะไม่มีความกระตือรือร้น ชีวิตก็จะจุมปุ๊กอยู่กับลูกหลาน บ้าน หมาแมว ซึ่งแคบไป อย่างเรานี่ออกมา ก็จะได้ขับรถ ได้ใช้สายตาบริหารไปเรื่อยๆ ค่ะ ช่วงนี้มีทั้งงานคอนเสิร์ต งานละครก็หนักหนาแล้วค่ะ เพราะฉะนั้นไม่รับงานประจำแล้ว งานแบบนี้ได้ตังค์มากกว่า แต่ต้องจัดวันให้ดีๆ มีถ่ายละคร 3 เรื่อง จบไปแล้ว 2 เรื่องของช่อง 3 เหลืออีกเรื่องเป็นซีรี่ส์ของทางช่อง True4u “ครอบครัวตัวสลับ” ค่ะ

นิด-ศรวณี : ร้องเพลงบ้างเมื่อมีโอกาสค่ะ ส่วนใหญ่จะเป็นรับเชิญตามคอนเสิร์ต แต่ถ้าเป็นตามห้องอาหารในโรงแรมเลิกหมดแล้วค่ะ ไม่งั้นเย็นขึ้นมาก็ต้องแต่งตัว แล้วมาติดอยู่บนถนน กว่าจะกลับถึงบ้านก็ตี 2-ตี 3 กว่าจะอาบน้ำได้นอนก็แทบจะสว่าง เราก็ทำตรงนั้นมาเยอะ ทำมานานแล้วค่ะ เรียกว่าถึงเวลาร้างราสักที แต่คอนเสิร์ตที่ขึ้นทุกครั้งก็เครียดเหมือนกันนะคะ เพราะว่าเราต้องการให้ออกมาดีที่สุด เคยจัดคอนเสิร์ตเอง 12 ครั้ง ก็เครียดพอสมควรค่ะ ดีที่ว่าได้เพื่อนๆคอยช่วยเหลือเต็มที่ เราโชคดีกว่าเด็กๆ รุ่นนี้ ที่เขามีค่ายมีสังกัด แต่ของเราเสรี ชวนกันมาร่วมงานได้ตลอด (เม้าท์-สุดา : ก็น่าเห็นใจเขานะคะ เพราะเขาไปไหนไม่ได้ ไม่สามารถตัดสินใจเองได้ รุ่นเรานี่เลือกเองได้ว่าจะไปหรือไม่ไป) เวลาที่ได้ไปร้องเพลง แล้วเจอแฟนๆ เห็นแฟนๆ มานั่งคอย มีผลหมากรากไม้มาฝากกันก็ปลื้มใจค่ะ (เม้าท์-สุดา : เห็นแกกินนี่) ไม่ๆ…เขาหอบมาฝากเอง(หัวเราะ)

สำรวจสุขภาพ

นิด-ศรวณี : ตามวัยค่ะ แต่ค่อนข้างจะแข็งแรงมากกว่าวัยขณะนี้ค่ะ ดูจากอายุเพื่อนๆ นะคะ เราก็ดูจะแข็งแรงก็พยายาม สมองนี่ต้องพยายามใช้อยู่เรื่อยๆ

เม้าท์-สุดา : เหมือนกันค่ะ การที่มองอะไรออกไปแล้วคิด มันเท่ากับการลับมีด ถ้าเรานั่งจุมปุ๊กอยู่กับที่ชีวิตก็จะมีแค่นี้ แต่ถ้ามองออกไป ทีวี.เขามีอะไร เฟซบุ๊คเขามีอะไร อ่านดูฟังทำให้เราไม่ล้า ถ้าไอ้โน่นก็ไม่เอา ไอ้นี่ก็ไม่เอาชีวิตมันจมค่ะ

นิด-ศรวณี : ขึ้นคอนเสิร์ตแต่ละครั้ง เนื้อเพลง ช่วยได้มากค่ะ เรายังต้องท่อง ต้องจำเนื้อ ก็ช่วยให้สมองได้คิดได้ใช้งาน และขึ้นคอนเสิร์ตทุกครั้งต้องซ้อมค่ะเพลงเดียวกัน ร้องเป็นร้อยครั้ง ก็ต้องซ้อมเป็นร้อยครั้งแม้จะไม่ลืมเนื้อ แต่เสียงเราต้องมีการบริหารค่ะ เสียงแต่ละวันจะไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นต้องดูแลร่างกายให้ดีเหมือนเดิมทุกๆ ครั้งค่ะ

สุดา ชื่นบาน

เชิญชวนมาร่วมชมคอนเสิร์ต

เม้าท์-สุดา : ในเดือนหนึ่งก็ต้องหาเรื่องสนุกสนานใส่ตัวนะคะ อย่าไปเหงาอยู่ที่บ้าน ออกมาเจอผู้คน ฟังเพลง จะได้เห็นอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ บ้าง ทำให้ชีวิตไม่หงอยเหงาเกินไป ความสุขไม่มีใครให้คุณได้ คุณต้องออกมาหาเองเพราะว่าคนแก่แล้ว ไม่มีใครมาให้หรอก เด็กๆ ยังต้องออกไปสรรหาที่เที่ยวกันเลย คนแก่ก็อย่าไปเป็นปัญหาให้กับเด็กอะไรที่จะทำให้ตัวเองดี ที่ทำให้สดชื่นเลือกทำเถอะค่ะ

นิด-ศรวณี : ออกมาเถอะค่ะ เพราะมีเพลงเก่าๆเพลงที่เคยชื่นชอบ เคยได้รับฟัง และคิดถึง พอได้ฟังเพลงที่เราเคยชอบ ก็จะทำให้นึกถึงสิ่งดีที่เคยผ่านมา และนักร้องแต่ละคนก็ตัวจริงเสียงจริงนะคะ (เม้าท์-สุดา : ย่นจริงนะคะ)

ผศ.ดร.ญาดา อารัมภีร

ผศ.ดร.ญาดา อารัมภีร

“ดีใจและเป็นเกียรติมากๆ ค่ะ ที่คุณอารี่ (สวลี)ให้โอกาสดิฉันกับสามี (บูรพา อารัมภีร-ลูกชายครูสง่าอารัมภีร) มาร้องเพลงคู่กัน ก่อนหน้านี้มีโอกาสได้ร่วมงานกับคุณอาหลายครั้งแล้วค่ะ ครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ท่านกรุณาให้เราได้เป็นส่วนหนึ่งของงาน โดยจะรับผิดชอบร้องในส่วนของเพลงคู่ค่ะ ร้องร่วมกับคุณบูรพาก็คือเพลง“วันเพ็ญ” ซึ่งพระนิพนธ์ของพลตรีพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ ยุคล หรือในวงการบันเทิงเรียกกันว่า เสด็จพระองค์ชายใหญ่ ท่านทรงพระนิพนธ์คำร้องส่วนทำนองเป็นของคู่พี่น้อง ท่านผู้หญิงพวงร้อย (สนิทวงศ์)อภัยวงศ์ กับหม่อมหลวงประพันธ์ สนิทวงศ์ ร่วมกันแต่งค่ะคุณอาเลือกนี้เพลงนี้ให้ เพราะเป็นเพลงที่ไม่ช้ำ คือไม่มีใครนำไปร้องมาก เป็นโจทย์ที่ยากพอสมควรค่ะ(หัวเราะ) เพราะว่าเสียงต้นฉบับ เป็นของท่านอาจารย์นภา หวังในธรรม ท่านเสียงโซปราโนนะคะ ดิฉันคงไม่ถึง คงต้องขอให้คุณจิรวุฒิ กาญจนะผลิน (ผู้ควบคุมวงดนตรี) ช่วยลด
คีย์ลงมาให้ค่ะ”

เส้นทางนักร้อง

“ถ้าพูดถึงการเป็นนักร้อง เริ่มจากร้องเพลงไทยเดิมมาก่อนค่ะ อยู่วง สจม. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยพอมาทำงานที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ก็มาร้องเพลงสากล เพราะมีอาจารย์ท่านหนึ่งท่านเล่นดนตรีได้ ท่านก็ชวนมาร้องเพลง เวลามหาวิทยาลัยมีงานก็จะได้รับมอบหมายให้ช่วยแสดง แต่เวลาร้องในมหาวิทยาลัยกับร้องเวทีใหญ่ไม่เหมือนกันนะคะ”

“ต้องเรียนว่าที่ได้มาร้องเพลงคู่ เป็นเพราะว่าพี่แดง (นันทวัน เมฆใหญ่) ท่านเป็นคนจับมาร้องเพลงคู่กันค่ะเพราะว่าน้องสาวของพี่แดง คุณนีรนุช ปัทมสูต เป็นรุ่นพี่ที่คณะอักษรศาสตร์ และก็บอกพี่แดง ว่าเราร้องเพลงได้นะพี่แดง ก็เลยให้ร้องเพลงในรายการที่นี่มีดาวประดับใจ ซึ่งตอนนั้นครูสง่า ยังมีชีวิตอยู่ ท่านก็เล่นดนตรีอยู่ที่รายการนี้ด้วย พี่แดงก็คิดๆ อยู่ว่าจะให้ร้องคู่กับใครดี สามียืนอยู่ข้างๆก็บอก “ร้องคู่กับผมสิครับ” พี่แดงก็งงมาก ถามว่า “อ้าว เต้ยร้องเพลงเป็นด้วยเหรอ” เพราะปกติไม่เคยแสดงออกว่าร้องเพลงเป็น ซึ่งจริงๆ เขาเป็นคนร้องเพลงได้ค่ะ และเพราะด้วย ซึ่งเวลาครูสง่าแต่งเพลง ก็จะให้คุณเต้ยร้องเริ่มต้นเป็นไกด์ ก่อนที่จะให้นักร้องจริงๆ ไปร้องอยู่เสมอ แต่เขาไม่เคยขึ้นมาร้องเป็นเรื่องเป็นราวเท่านั้นเองค่ะ ที่นี้พอร้องด้วยกันปุ๊บ อาจจะเป็นดวงด้วยมั้งคะ คนดูก็ชอบ เสียงไปด้วยกันได้ แล้วเผอิญเป็นคู่สามี-ภรรยาร้องด้วยกัน คนก็เอ็นดู เลยได้ร้องมาเรื่อยๆ ค่ะ ตั้งแต่แต่งงานเมื่อปี 2541 ค่ะก็จะร้องคู่กันมาและทำหน้าที่พิธีกรในคอนเสิร์ตของครูแจ๋ว-สง่า อารัมภีร ทุกปีค่ะ”

ความประทับใจในการร่วมงานกับคุณสวลี

“ท่านเป็นคนสมบูรณ์แบบนะคะ คือทุกอย่างคุณอาจะเตรียมพร้อมมาก และจะต้องประณีตหมด ทั้งเรื่องการแต่งกาย การขับร้อง ท่านเป็นปูชนียบุคคลในวงการเพลงที่พร้อมจะให้คำแนะนำ ให้ความช่วยเหลือแก่รุ่นน้อง รุ่นเพื่อนรุ่นหลาน มีครั้งหนึ่งคุณอาขาเจ็บ ท่านผ่าสะโพกมา แล้วก็ยังจะต้องใส่ส้นสูงด้วย ก็เลยถามท่านว่า “คุณอาใส่รองเท้าแบนๆ ไม่ดีกว่าเหรอคะ” คุณอาบอก “เขามาดูแล้ว คนเสียสตางค์มาดูเขาต้องได้ดูสิ่งที่ดีที่สุดที่จะทำให้” และอีกสิ่งที่เคยถามคือ ทำไมคุณอาไม่ลดเสียงเลย เวลาที่ร้องเพลง คีย์เดิมตั้งแต่สมัยสาวๆ เพราะโดยปกติเส้นเสียงคนเราจะต่ำลง พอเป็นผู้ใหญ่ขึ้น แต่คุณอาบอกว่าถ้าเราไม่บังคับตัวเอง มันจะลดลงไปเรื่อยๆ โดยธรรมชาติของคนสูงวัย เพราะฉะนั้นต้องไม่ลด ต้องพยายามไม่ลด ทำให้ดีที่สุดให้เหมือนกับแต่ก่อน อาจจะไม่ได้ดีเท่าแต่ก่อน แต่ก็ต้องไม่ให้หย่อนลงมากว่ากันมาก นี่คือคนที่รักงาน สนุกกับงาน และทุ่มเทให้กับงานค่ะ”

งานในความรับผิดชอบ ณ ปัจจุบัน

“ปัจจุบันเออร์ลี่แล้วค่ะ ก่อนหน้านี้เป็นอาจารย์(ผู้ช่วยศาสตราจารย์) สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ภาควิชาวรรณคดี คณะมนุษยศาสตร์ คุณพ่อคุณแม่อายุมาก ก็เลยเออร์ลี่มาดูแลท่านค่ะ ช่วงนี้งานที่ทำก็จะเป็นเรื่องของ จัดรายการวิทยุศึกษา ทุกวันเสาร์ บ่ายโมงถึงบ่ายสองโมง เป็นบันทึกรายการ “พูดจาภาษาไทย”พอวันอาทิตย์จัดคู่กับคุณบูรพา อารัมภีร รายการสด“มุมความสุข” ช่วงอุทยานเพลงและคุย เพราะคนฟังจะชอบมาคุยกับเรา มากกว่าฟังเพลง(หัวเราะ) ช่วงสองทุ่มครึ่งถึงสี่ทุ่ม จันทร์-ศุกร์ จะเป็นรายการที่ราชบัณฑิตยสภามอบให้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เป็นผู้จัด ชื่อรายการ “นิยมไทย” ดูแลในส่วนของ “ลีลาภาษาไทยในเพลง” ค่ะ นอกจากนี้ก็มีไปบรรยายพิเศษ อบรมครูภาษาไทย อบรมการเขียนกวีนิพนธ์ และเป็นนักเขียนด้วยค่ะ”

ร่วมสนับสนุนการทำงานของมูลนิธิอุบลรัตน์ฯ

“ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการจัดคอนเสิร์ตของมูลนิธิอุบลรัตน์ฯมาโดยตลอดค่ะ เป็นงานการกุศล ที่มุ่งนำเงินไปช่วยเด็กผู้หญิง เพื่อให้พ้นจากการตกเขียว เงินที่ได้มาจากการจัดคอนเสิร์ตทุกครั้ง จะถูกนำไปดูแลบ้านมิตราทร และโรงเรียนเจ้าฟ้าอุบลรัตน์ ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำสำหรับเด็กผู้หญิง อยู่ที่อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เด็กที่เรียนที่นี่ส่วนใหญ่มีปัญญาในครอบครัว เช่น ติดเชื้อ HIV เป็นเด็กกำพร้า หรือพ่อแม่ติดคุก แล้วช่วงนั้นจะมีตกเขียว คนก็จะมาเอาเงินให้ครอบครัวเด็ก เพื่อพาเด็กไปทำงานบริการทางเพศ หรือส่งยาเสพติด มาแมร์มีเรียมท่านก็ได้รับเงินพระราชทาน จากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ไปซื้อที่ดิน ซื้อบ้าน กลายมาเป็นโรงเรียนเจ้าฟ้าอุบลรัตน์ ต่อมาเป็นบ้านมิตราทร ซึ่งหมายความว่า บ้านของมิตรที่เอื้ออาทรผู้ด้อยโอกาส เด็กที่มาเรียนที่นี่ก็จะมีทั้งคนไทย และเด็กชาวเขามูลนิธินี้ทำขึ้นเพื่อให้เด็กไม่ทิ้งถิ่น ให้พัฒนาตัวเองได้และก็กลับไปพัฒนาบ้านเกิดของตัวเอง โดยมีคณะภคินีเซนต์ปอลเดอ ชาร์ตร บริหารงาน เพราะฉะนั้นทุกบาททุกสตางค์จากคอนเสิร์ตครั้งนี้ หลังหักค่าใช้จ่ายแล้ว จะถูกนำไปสร้างชีวิตใหม่ให้แก่เด็กๆ ค่ะ”

นี่เป็นเพียงความในใจส่วนหนึ่งของกลุ่มนักร้องกว่า 30 ชีวิตผู้มุ่งสร้างสุขทางเสียงเพลงให้กับผู้ฟัง อีกทั้งยังหนุนนำเส้นทางบุญให้แก่ผู้มีจิตอันเป็นกุศล คอนเสิร์ต“รวมใจถวายพระพร มหาราชินีนาถ” อัดแน่นและเต็มไปด้วยนานาวัตถุประสงค์ มูลนิธิอุบลรัตน์ในพระบรมราชินูปถัมภ์, กองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรม กรมส่งเสริมวัฒนธรรม และ2 แม่งานคนสำคัญ สวลี ผกาพันธุ์ และ รศ.ดร.วีณาเชิดบุญญชาติ จึงฝากเน้นย้ำ เสาร์ที่ 11 มิถุนายนนี้พบกันที่ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เวลา 14.00 น. และ 19.00 น. โดยติดต่อซื้อบัตรได้ที่ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ โทร. 02-2623456 และฝ่ายกิจกรรมตรีนิตี้เรดิโอ โทร.02-6236800-1, 02-6366825และ 089-4441831 ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปค่ะ

Star Retro : ทัพศิลปินเตรียมความพร้อม ซ้อมคอนเสิร์ตเฉลิมพระเกียรติ ‘รวมใจถวายพระพร มหาราชินีนาถ’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/217975

วันอาทิตย์ ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.
เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2559 ที่ห้องประชุม 1 ชั้น 8 อาคารตรีนิตี้คอมเพล็กซ์สีลม ทัพศิลปินอาวุโสนำโดยศิลปินแห่งชาติสวลี ผกาพันธุ์, เรืออากาศตรีสุเทพวงศ์กำแหง, เรือตรีสันติ ลุนเผ่ ร่วมด้วย ธานินทร์ อินทรเทพ, ชัยรัตน์ เทียบเทียม, วิชัย ปุญญะยันต์,สุทธิพงศ์ ทัดพิทักษ์กุล, จิรวุฒิ กาญจนะผลิน, ภาสกร หุตะวณิช,บูรพา อารัมภีร, รศ.ดร.วีณา เชิดบุญญชาติ,ศรวณี โพธิเทศ, สุดา ชื่นบาน, ผุสดีเอื้อเฟื้อ, โฉมฉาย อรุณฉาน, จิตติมา เจือใจ,รุ่งฤดี แพ่งผ่องใส, นันทวัน เมฆใหญ่, ฉวีวรรณ ทองแย้ม และ ผศ.ดร.ญาดา อารัมภีร รวมตัวครั้งสำคัญ เพื่อซ้อมร้องเพลง เตรียมความพร้อมขึ้นคอนเสิร์ตใหญ่“รวมใจถวายพระพร มหาราชินีนาถ”

โดยบรรยากาศภายในงาน เต็มไปด้วยความสนุกสนานและอบอุ่นของพี่น้อง น้องรัก นักร้อง ที่ได้มาพบปะซักซ้อม ร้องเพลงร่วมกัน ก่อนที่จะเข้าช่วงไฮไลท์สำคัญ เหล่าศิลปินได้ทยอยแปลงโฉม เปลี่ยนเสื้อผ้าหน้าผมที่จะใช้ขึ้นแสดงบนเวทีจริง ให้สื่อมวลชนได้เก็บภาพ โดยเฉพาะ ศิลปินหญิง มาในลุคของ เจ้าสาว สวยสดงดงาม จาก Finale Wedding Studio โดย ปลา สุดจิตร์ ที่มาดูแลเก็บรายละเอียดของทุกชุดด้วยตัวเอง พร้อมให้การสนับสนุนเรื่องของเสื้อผ้าโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย

ภายในงานมีการจัดซ้อมโชว์การแสดงจำนวน 5 เพลง เริ่มด้วยเพลง “สมเด็จ” ขับร้องหมู่,เพลง “รักไม่รู้ดับ” ร้องโดย สวลี ผกาพันธุ์ และรวมศิลปินหญิง ต่อด้วย “เพลงชะตาชีวิต” โดย เรืออากาศตรีสุเทพ วงศ์กำแหง และธานินทร์ อินทรเทพ

จากนั้นเป็นเพลง “Seven Lonely Day”ขับร้องโดย 3 สาว สุดา ชื่นบาน, ฉวีวรรณ ทองแย้ม,ผุสดี เอื้อเฟื้อ และปิดท้ายด้วยเพลง “Can’t Help Falling in Love With You” โดย 3 หนุ่ม สุทธิพงศ์ ทัดพิทักษ์กุล,ชัยรัตน์ เทียบเทียม และ วิชัย ปุญญะยันต์ บรรเลงดนตรีโดย วงดนตรีกาญจนะผลิน ซึ่งมี จิรวุฒิ กาญจนะผลิน เป็นผู้ควบคุมวง

คอนเสิร์ต “รวมใจถวายพระพร มหาราชินีนาถ” จัดขึ้นเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติครบ 70 ปี ในวันที่ 9 มิถุนายน 2559 และเนื่องในโอกาสวันที่ 12 สิงหาคม 2559 นี้ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ องค์อุปถัมภิกามูลนิธิอุบลรัตน์ฯ จะทรงมีพระชนมพรรษา 7 รอบ 84 พรรษา มูลนิธิอุบลรัตน์ในพระบรมราชินูปถัมภ์ จึงได้ร่วมกับ กองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรม กรมส่งเสริมวัฒนธรรม คุณเชอร์รี่ เศวตนันทน์ (สวลี ผกาพันธุ์ ศิลปินแห่งชาติ) และ รศ.ดร.วีณา เชิดบุญญชาติ ร่วมกันจัดงานคอนเสิร์ตครั้งยิ่งใหญ่ เฉลิมพระเกียรติและถวายพระพร พร้อมเชิญชวนชาวไทยร่วมน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของทั้งสองพระองค์

โดยคอนเสิร์ตจะจัดขึ้นที่หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ในวันเสาร์ที่ 11มิถุนายน 2559 จำนวน 2 รอบ คือเวลา 14.00 น.และ 19.00 น. สามารถซื้อบัตรได้ที่ ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ โทร.02-2623456 และฝ่ายกิจกรรมตรีนิตี้เรดิโอ โทร.02-6236800-1, 02-6366825และ 089-4441831 ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปแล้วร่วมเป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์ทางดนตรีครั้งใหญ่ ผนึกกำลังศิลปินระดับตำนานวงการเพลงไทย ร่วมเฉลิมพระเกียรติและถวายพระพรชัย สร้างบุญครั้งใหญ่ร่วมกัน

 

star retro : รวมพล 5 ศิลปินชาย ขับขานบทเพลงถวายพระพร มหาราชินีนาถ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/216843

วันอาทิตย์ ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.
นานที หรือแทบจะเรียกว่า 1 ปีมีครั้ง กับการรวมตัวครั้งสำคัญ ของ ศิลปินรุ่นใหญ่ ทั่วฟ้าเมืองไทย ครั้งนี้ร่วม 30 ชีวิตพร้อมใจ ขับขานเพลงอมตะในคอนเสิร์ตใหญ่ “รวมใจถวายพระพร มหาราชินีนาถ” ซึ่งจัดโดย มูลนิธิอุบลรัตน์ ในพระบรมราชินูปถัมภ์, กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ร่วมด้วย 2 โต้โผคนสำคัญ สวลี ผกาพันธุ์ ศิลปินแห่งชาติ และ รศ.วีณาเชิดบุญญชาติ ผู้ไม่เคยปล่อยผ่าน ให้บทเพลงในตำนาน ห่างหายไปจากสังคมไทย

และครั้งนี้ “ทีมข่าวบันเทิงแนวหน้า” ได้ตามดูการซ้อม เตรียมตัวขึ้นคอนเสิร์ตของรุ่นใหญ่ ทำให้มีโอกาสได้อัพเดทความเป็นไปของ 5 หนุ่มใหญ่ ศิลปินในดวงใจที่หลายคนคิดถึงกัน

สุเทพ วงศ์กำแหง :

ศิลปินแห่งชาติ

“เป็นความภาคภูมิใจอีกครั้งหนึ่งของผมครับ ที่ได้ถวายความจงรักภักดีต่อพระบรมวงศานุวงศ์ ผ่านทางเสียงเพลง โดยที่พี่รี่(สวลีผกาพันธุ์) ซึ่งเป็นบุคคลที่ผมรักและเคารพเหมือนพี่สาวแท้ๆ หยิบยื่นโอกาสมาให้ เราเป็นน้องก็พร้อมที่จะตั้งใจทำอย่างดีที่สุด เพื่อเป็นประโยชน์กับส่วนรวมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยเฉพาะพอรู้วัตถุประสงค์ของพี่รี่ และอาจารย์วีณาแล้ว ว่างานชิ้นนี้ มีส่วนช่วยคนรายได้น้อย และคนที่ไร้การศึกษา ได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ก็ทำให้เราพึงใจที่จะทำ มีความสุขไปด้วย ที่ได้เห็นการทำงานของพี่รี่และอาจารย์วีณา และขอสนับสนุนงานของท่านทั้งคู่ ให้สำเร็จเรียบร้อยครับ ผมเชื่อว่าถ้าเราทำงานด้วยความรัก ความพอใจที่จะทำงานร่วมกัน มันเป็นความสุขทั้งนั้นครับ”

กิจวัตรวันนี้ของศิลปินวัย 82 ปี? “ผมไม่ได้ร้องเพลงประจำที่ไหนมานานแล้วครับ ขี้เกียจมีภาระที่จะต้องรับผิดชอบ(หัวเราะ) ตอนนี้กำลังดี คือขึ้นเวทีคอนเสิร์ตบ้าง นอกนั้นก็พักผ่อนอยู่บ้าน วันว่างก็จะเขียนหนังสือ เขียนรูปเขียนภาพสีน้ำ เป็นสิ่งที่ผมเคยเรียนมา และก็ได้นำมาใช้ประโยชน์ให้เกิดเป็นความสุข ความถี่ของคอนเสิร์ตช่วงนี้แทบจะเดือนเว้นเดือน และผมก็มีคอนเสิร์ตเดี่ยวของตนเองที่จัดทุกปีด้วย แต่ปีนี้ยังไม่รู้จะได้จัดรึเปล่าครับ เพราะมีคนมาขอเลื่อน มาขอเอาสถานที่วันเวลาที่จองไว้ เลยต้องยอมให้เขาไป และก็มีงานจัดรายการวิทยุของ อสมท ทุกวันอังคาร ช่วง 11.00-12.00 น.กับ 20.30-22.00 น. และวันอาทิตย์ ช่วง 07.30-10.00 น.”

เทคนิคการร้องเพลงของสุเทพ วงศ์กำแหง? “ร้องให้ถูกทำนอง ถูกเนื้อที่เขาแต่งมาเราก็พอใจแล้ว ร้องใส่ความรู้สึกเข้าไป เราก็มีความสุขแล้วครับ พักหลังมานี้ผมอาจจะลดคีย์เสียงร้องลงมานิดหนึ่ง แต่สุขภาพแข็งแรงดีตื่นนอนมาก็ออกกำลังกาย ตามที่คุณหมอแนะนำ”

ทายาทสืบทอดงานร้อง? “ลูกหลานผมไม่มีใครชอบร้องเพลงสักคนครับ ได้แต่ไล่ให้เขาไปหัดเปียโน เขาก็เรียนเปียโนกัน คือให้เขามีใจชอบดนตรี รู้จักดนตรี แล้วเด็กจะอ่อนโยน ไม่ก้าวร้าว เพราะเด็กที่ก้าวร้าวคือพวกที่ไม่รู้จักเพลง ไม่รู้จักโคลงกลอน ส่วนจะเป็นนักร้องหรือไม่เอาไว้ให้เขาโต เขาเลือกเขาเอง”

สันติ ลุนเผ่ :

ศิลปินแห่งชาติ

“รู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากครับ ที่ได้ร่วมงานกับศิลปินแห่งชาติ ผมมีโอกาสได้ร่วมงานกับคุณสวลี ผกาพันธุ์ มาแล้วหลายครั้งมีความสุขมาก ผมร้องเพลงกับคุณสวลีมาหลายเพลง ตอนหลังก็ได้ร่วมเวทีคอนเสิร์ตด้วยนับเป็นเกียรติอย่างยิ่ง โดยเพลงที่จะร้องในคอนเสิร์ตครั้งนี้ เพลงแรกเป็นเพลงพระราชนิพนธ์ “ความฝันอันสูงสุด” เพลงที่สอง เพลง “จากยอดดอย” และเพลงที่สามน่าจะเป็น You’ll Never Walk Alone เป็นเพลงที่คุณสวลีขอมา และก็เป็นเพลงที่ผมคุ้นเคยอยู่แล้วครับ มีความสุขครับที่ได้ร่วมร้องในครั้งนี้ ผมรู้จักกับคุณสวลีในฐานะที่แกเป็นนางเอกละคร เพราะพี่สาวผมชอบดูละคร ก็ได้ติดตามผลงานมาตลอดทั้งงานแสดง งานร้องเพลง เป็นรุ่นพี่ที่เคารพ พอได้มาร่วมงานกันก็ดีใจมาก ที่เขายังนึกถึงเรา เราก็แก่ๆ กันแล้ว ปีนี้ผมก็ 81 แล้วครับผมร้องเพลงมาตั้งแต่อายุ 4 ขวบ ตอนนี้ก็ยังร้องอยู่ (หัวเราะ)”

ยังคงจับไมค์ร้องเพลงอยู่ตลอด? “ใช่ครับ ตอนนี้ก็ได้ไปช่วยงานของกระทรวงวัฒนธรรมมาหลายงานแล้วครับ มิถุนายนนี้ก็มีขึ้นคอนเสิร์ต 3-4 งาน เราแก่แล้ว ไม่ค่อยดิ้นรนเท่าไหร่ ก็แล้วแต่เขาชวนไปไหน ก็ไปครับ(หัวเราะ) ก่อนหน้านี้ผมร้องร่วมกับวงดนตรีของสมเด็จพระนางเจ้าฯ วงเล็กๆ ของเรามีงานทุกอาทิตย์ แต่ตอนนี้หยุดไป ส่วนใหญ่ก็จะไปร้องรับเชิญ”

สุขภาพในตอนนี้? “มีโรคคนแก่ทั่วไปครับ ความดันบ้าง โรคเกาต์นิดๆ หน่อยๆ แต่ผมออกกำลังกายอยู่เรื่อยๆ ร่างกายก็แข็งแรงเช้ามา 9-10 โมงผมก็ไปวิ่งบ้าง เดินบ้าง บนสายพานกิจวัตรไม่ค่อยมีอะไร ตื่นมาเช้าทำกับข้าวกินเสร็จก็ออกไปฟิตเนส เที่ยงก็มาทำกับข้าวกินอีกที พักดูข่าวบ้าง เสร็จแล้วก็ปิดประตู ฝึกร้องเพลงไปจนถึง 3-4 โมงเย็น (ทำกับข้าวกินเองหรือคะ?) แถวนี้ไม่ค่อยมีอะไรขายครับ ผมทำเองได้ หลานเขาไปเรียนเมืองนอกหมดแล้วก็เหลือผมคนเดียว ผมก็ทำกินเอง ขับรถไปไหนมาไหนเองได้ครับ ยังพอไหวอยู่(หัวเราะ)”

เทคนิคการดูแลเสียง? “อย่าสำมะเลเทเมา อย่าเลอะเทอะ นอนเป็นเวลา กินเป็นเวลา ถึงเวลาทำอะไรต้องทำ ก็จะทำให้เรามีร่างกายที่แข็งแรง โดยเฉพาะเช้ามาวิ่งบนสายพาน15-20 นาทีทุกวันได้ก็จะดีมากครับ ผมไม่ดื่ม ไม่สูบ น้ำอัดลมก็ไม่กิน กินแต่น้ำจืดอย่างเดียวครับ”

จิรวุฒิ กาญจนะผลิน :

ผู้ควบคุมวงดนตรี

“ทุกครั้งที่มีคอนเสิร์ตของมูลนิธิอุบลรัตน์ฯ ผมจะมาดูแลทุกครั้งครับ ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 8 แล้ว ผมว่าครั้งนี้ค่อนข้างจะมีความหลากหลายในเรื่องของแนวเพลง คือเพลงที่กำหนดไว้ จะมีทั้งเพลงเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ เพลงพระราชนิพนธ์ที่เราคัดมา ก็เพื่อแสดงถึงความจงรักภักดีที่มีต่อพระองค์ท่าน และก็จะมีเพลงที่เกี่ยวกับบรรยากาศของภาพยนตร์ ของละครในอดีต เป็นเพลงที่มีความหมายเพราะๆ เป็นเพลงอมตะที่เราคุ้นหูกันอยู่ หรือเพลงที่เก่ามาก ทั้งเพลงไทย และเพลงสากล”

ส่วนของการเตรียมวง? “เครื่องดนตรีที่มองจากธีมเพลงครั้งนี้ คิดว่าจะใช้เป็นบิ๊กแบนด์ครับ คือเป็นดนตรีที่ประกอบด้วยแซกโซโฟน ทรัมเป็ต ทรอมโบน แล้วก็ริทึ่ม น่าจะลงตัวและเหมาะสมที่จะเล่นเพลงในงานครั้งนี้ อย่างเพลงสากลออกจะเป็นเพลงแนวบิ๊กแบนด์ส่วนใหญ่ ทั้ง Beyond the sea, smile มีหลากแนวมากครับ ทั้งสแตนดาร์ด เพลงสวิง แจ๊ส อย่างคุณสุชาติ ชวางกูร คราวนี้ก็มาแปลกเราจะเห็นภาพคุณสุชาติในลีลาน่ารัก ออกแนวหวาน แต่ครั้งนี้คุณสุชาติ จะมาร้องเพลงสากลโดยเขาเลือกเพลงในเวอร์ชั่นที่ค่อนข้างสนุกสนานผมว่าน่าสนใจมากครับ กับลุคใหม่ของสุชาติชวางกูร ในครั้งนี้”

ความผูกพันกับสวลี ผกาพันธุ์?“ผมร่วมงานกับคุณอาสวลี ตั้งแต่สมัยครูสมาน กาญจนะผลิน ซึ่งเป็นคุณพ่อผม ยังมีชีวิตอยู่ ทำงานด้วยกันมามากมาย เพลงดังที่คุณอาสวลีร้อง ก็เป็นเพลงที่แต่งโดยครูสมาน ไม่ว่าจะเป็น “จำเลยรัก”, “บ้านทรายทอง”, “เธออยู่ไหน” เพลงดังๆ ที่เป็นเพลงประจำตัวของท่าน แทบทุกเพลงจะเป็นเพลงครูสมานครับ ผมก็จะเห็นท่านมาตั้งแต่เด็กๆ ท่านเป็นคนที่มีความรัก ความเมตตาต่อครอบครัวผม ตั้งแต่สมัยคุณพ่อผม คือท่านมีความรักผูกพันกันมาเนิ่นนาน จนกระทั่งคุณพ่อผมเสียชีวิต ท่านก็ยังให้ความรัก ความเมตตา ดูแลกันมาตลอด ผมก็ทำงานให้ท่านมาตลอด เวลามีงานคอนเสิร์ต งานแสดง งานร้องเพลงที่ไหน ท่านก็จะให้ผมมีโอกาสทำงานดนตรีให้ท่าน”

ดนตรี กับบทเพลงอมตะ? “บทเพลงและดนตรีที่เราเล่น บางเพลงก็มีการดีไซน์ดนตรีให้ออกนอกกรอบ เพื่อให้ดูร่วมสมัย แต่ส่วนมากจะใช้เป็นเวอร์ชั่นเก่าครับ เพราะบางเพลงเราไม่กล้าเปลี่ยนเขา เนื่องจากอยู่ในใจคนแล้ว เป็นท่วงทำนองที่สมบูรณ์แบบแล้ว ยกตัวอย่างเพลงของคุณสวลี “จำเลยรัก” อินโทรขึ้นมา ก็ต้องเป็นแบบนี้ ถึงจะดีไซน์ใหม่ เราก็ยังต้องคงเค้าโครงเดิมไว้ เพราะฉะนั้นวิธีการกำกับดนตรีไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกันนะครับ มีความละเอียดอ่อน”

หน้าที่รับผิดชอบในปัจจุบัน? “หลังจากที่ผมเกษียณราชการออกมาจากธนาคารออมสินผมก็มาดูแลงานดนตรีต่อจากครูสมานคุมวงดนตรีกาญจนะผลิน รวมถึงดูแลลิขสิทธิ์มากมายของครูสมาน เป็นพันๆ เพลง และก็จัดรายการวิทยุด้วย”

ไม่ใช่แค่คุมดนตรีแต่จะร่วมร้องด้วย? “เป็นความต้องการของคุณอาสวลีครับ เลยได้ร้องในลักษณะของคนทำงานร่วมกัน คือผมจัด
รายการวิทยุกับคุณสวลี และภาสกร หุตวณิช ด้วยกัน 3 คนทำด้วยกันมาหลายปี เกือบ 10 ปีแล้วครับ ตั้งแต่เป็นสถานี 97 ตอนนี้เปลี่ยนเป็นสถานี 98.75 ทรินิตี้ เรดิโอ จัดด้วยกันทุกวันเสาร์ช่วงบ่ายโมง ถึงบ่าย 3 โมง ก็เลยได้จับกลุ่มคนที่ทำงาน 3 คนขึ้นเวทีด้วยกัน เราร้องด้วยกันครั้งแรกบนเวทีคอนเสิร์ต 84 ยังแจ๋วของคุณสวลีครั้งนี้ก็จะเป็นครั้งที่ 2 ที่ได้ร้องด้วยกันครับ”

ภาสกร หุตวณิช

อดีตนักดนตรีวงร็อคเคสตร้า

“ได้มาร่วมขึ้นคอนเสิร์ตครั้งนี้ด้วยเพราะคุณสวลีเลยครับ ปกติผมจัดรายการวิทยุอยู่กับ พี่อ๊อด-จิรวุฒิ และคุณสวลี เลยสนิทกัน และแกเห็นว่าผมเป็นนักดนตรีเก่า อยู่วงร็อคเคสตร้าก็เลยคิดว่าน่าจะมาร้องได้ อีกอย่างก็คือทำงานทางด้านนี้มา แกก็เลยชวนบอกคอนเสิร์ตนี้มาร้องด้วยนะ ร้องด้วยกัน 3 คน จริงๆ ผมค่อนข้างจะไม่ถนัดวิธีการร้องเพลงไทย เพราะว่าอยู่วงสตริงมา และอีกอย่างเพลงไทยไม่ค่อยได้ร้อง เพราะในวงก็มีคนร้องดีอยู่แล้ว คือคุณหรั่งพอเวลาที่จะให้ไปขึ้นเวที เราก็จะรู้สึก “จะรอดไหมเนี่ย” ครั้งที่แล้วที่ร้องไป แกก็บอกว่าผมร้องเหมือนฝรั่งมาร้องเพลงไทย(หัวเราะ)ก็พยายามจะแก้อยู่ครับ คราวที่แล้วที่ชวนอาจจะมีอิดออดบ้าง “จะดีเหรอ” แต่ครั้งนี้ไม่ปฏิเสธครับ (หัวเราะ) สู้ตาย”

ผลงานที่ผ่านมาและปัจจุบัน? “ผมเป็นสมาชิกก่อตั้งวงร็อคเคสตร้า และก็ไปเป็นโปรดิวเซอร์ที่แกรมมี่ บริหารค่ายเพลงอีกหลายค่าย จนกระทั่งมาทำวิทยุ ทำโทรทัศน์ เรียกว่าคลุกคลีงานด้านนี้มาตลอดครับ ผมมาทำค่ายเพลงอยู่ที่ทรินิตี้กับลูกชายอาจารย์วีณา ตอนนั้นเหมือนกับว่าออกจากแกรมมี่มา ก็มาอยู่ที่นี่ จนถึงวันหนึ่งที่นี่เขาทำสถานีวิทยุ ก็เลยให้ผมมาดูเรื่องวิทยุด้วย เพราะว่าเคยทำสื่อมาหลังจากนั้นก็ทำมาตลอด ตอนนี้น่าจะปีที่ 16 แล้วมั้งครับ ที่อยู่ที่นี่มา เราก็อยู่กันเหมือนเป็นครอบครัวไปแล้วครับ ไม่คิดจะไปไหน (หัวเราะ) และปัจจุบันก็ช่วยดูงานเลขาธิการสมาพันธ์ดิจิตอลคอนเท้นต์บันเทิง และนายกสมาคมอุตสาหกรรมบันเทิง เป็นกรรมการสภาหอการค้าเรื่องของดิจิตอลคอนเท้นต์บันเทิง ส่วนใหญ่เป็นทางงานเบื้องหลังครับ”

ความประทับใจที่มีต่อ สวลี ผกาพันธุ์? “เยอะมากครับ อย่างหนึ่งในเรื่องของความเป็นศิลปิน แกมีคำพูดคำหนึ่งซึ่งผมจำจนวันตายเลยครับ คือ “เราไม่เคยร้องเพลงเล่น” ผมเคยถามว่า พี่อยู่ว่างๆ อยู่บ้านร้องเพลงเล่นบ้างรึเปล่า พี่เขาบอกว่า เราไม่เคยร้องเพลงเล่นทุกครั้งที่ร้องออกมาคือร้องจริง ไม่ใช่หมายความว่าขึ้นคอนเสิร์ตแล้วร้องจริงนะครับ แต่คือทุกครั้งที่เปล่งเสียงออกมาเป็นเพลง แม้ว่าจะอยู่คนเดียวหรือซ้อม แกตั้งใจว่าจะร้องจริงๆ ไม่มีการร้องเล่นนี่คือความเป็นมืออาชีพจริงๆ ที่น่าทึ่ง อีกอย่างคือความทันสมัยของท่าน ด้วยวัยท่านอายุมากกว่าผมมาก แต่ผมไม่เคยเรียกเป็นอย่างอื่น นอกจากเรียกคุณพี่ เพราะความทันสมัย ใครจะคิดว่าคนวัย 80 กว่า เล่นเฟซบุ๊ค จับมือถือเล่นได้ทุกอย่าง ทำเอง ส่งเองหมด และสองคือเป็นคนยุติธรรม ไม่ว่าใครจะมาพูด คนนั้นเป็นยังงี้ คนนี้เป็นยังงั้น แกไม่มีเอนเอียง แกวางตัวเป็นผู้ใหญ่ที่เข้าใจว่าคนนั้นต้องทำยังงี้เพราะแบบนั้น คนนี้ที่เป็นยังงี้เพราะอย่างงั้น แกจะมีเหตุมีผล ไม่เคยได้ยินแกตำหนิใคร มีแต่ให้กำลังใจ นี่คือความประทับใจที่อยู่ด้วยกันมาครับ”

โอกาสที่จะได้เห็นวงร็อคเคสตร้ารียูเนียร์น? คงไม่มีแล้วครับ เพราะเราไม่ได้มีชื่อเสียงขนาดแกรนด์เอ็กซ์ หรืออิมพอสสิเบิ้ล อันนั้นเขาเป็นป๊อป ฐานเสียงเขาก็จะเยอะ ของเราเป็นกลุ่มทางเลือกใหม่ในตอนนั้น ที่ออกมาเป็นร็อก ถ้าจัดไปอาจจะไม่มีคนดูครับ(หัวเราะ) แล้วอีกอย่างคุณหรั่งยังเดินหน้าอยู่ เพราะฉะนั้นดูที่คุณหรั่งดีกว่าครับ

สุทธิพงศ์ ทัดพิทักษ์กุล-

(ฮาร์ท)

“เป็นครั้งแรกเลยครับ ที่ผมจะได้ขึ้นเวทีคอนเสิร์ตกับคุณสวลี ผกาพันธุ์ ตอนที่ติดต่อมาคุณสวลีบอกว่าผมเคยเล่นเปียโนให้ท่านร้อง สมัยผมเรียนอยู่ที่แอลเอ แต่ผมจำไม่ได้ จำได้ว่าเคยเจอคุณสุเทพ เพราะฉะนั้นก็เป็นไปได้ว่าครั้งนั้นผมจะเจอทั้งคุณสุเทพ คุณสวลี เพราะนานมากแล้วครับ ครั้งนี้คุณสวลีบอกว่าอยากให้ผมมาร้องเพลงกับคุณสวลีสักเพลงหนึ่ง ตอนนี้ยังไม่ได้สรุปครับว่าจะเป็นเพลงอะไร แต่คิดว่าน่าจะเป็นเพลงที่ชื่อว่า “ไม่ลืม” ที่ร้องว่า ท้องฟ้าวันนี้เงียบเหงา… โดยคุณสวลีจะร้องพาร์ทของเบิร์ด ผมก็จะร้องประสานกัน”

ความทรงจำเกี่ยวกับสวลี ผกาพันธุ์ “ผมฟังเพลงคุณสวลีมาตั้งแต่เด็กๆ ครับ โดยเฉพาะเพลงนี้ …ลั้ลลา ลัลลา ลัลลา ชุบชีวิตชีวันด้วยยาคูลท์ ยาคูลท์นั้นสร้างสุขสันต์ ส่งทุกวันเมื่อตะวันส่องฟ้า… เพลงโฆษณายาคูลท์ ซึ่งร้องโดยคุณสวลี ผกาพันธุ์

ครั้งแรกที่ได้รับการติดต่อ? “สำหรับผมใครโทร.มาชวนทำอะไร ผมถามก่อน มีค่าตัวไหมสำหรับผมเนี่ย เงินไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เรื่องใหญ่คือไม่ได้เงิน(หัวเราะ) พอรู้ว่ามีค่าตัวก็โอเค แล้วค่อยถามต่อว่าทำอะไร ในสิ่งที่คุณสวลีบอกคืออยากร้องเพลงกับน้องฮาร์ทเพลงหนึ่ง แล้วที่เหลืออยากให้ผมร้องเพลงที่เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ ไทยหรือฝรั่งก็ได้ ผมก็เลยบอกว่าผมอยากร้องเอลวิส พี่เขาก็บอกดี เพราะว่าคนที่มาดูส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ใหญ่ รู้จักเอลวิสทั้งนั้น (เหมือนจะอายุน้อยสุดในคอนเสิร์ตครั้งนี้?)ถ้าไม่มีกลุ่มเอเอฟ หรือเดอะสตาร์ จากในลิสต์ผมก็น่าจะเด็กสุดครับ เด็กสุดนี่คืออายุ 52 แล้วนะครับ(หัวเราะ) เพราะฉะนั้นน้องๆ พริตตี้ที่อ่านอยู่ กรุณาอย่างยุ่งนะครับ เพราะถ้ายุ่งแล้วเดี่ยวโดนข้อหาพรากผู้เฒ่า(หัวเราะ)

งานประจำ? “ทุกวันนี้ไม่มีงานประจำครับแต่มีงานจร คอนเสิร์ตครั้งนี้ก็ถือเป็นหนึ่งในงานจรส่วนใหญ่ตอนนี้ก็จะมีร้องเพลง พิธีกร และก็อ่านสารคดี พักหลังนี่แทบไม่ได้ออกทีวี.เลยครับ (ทำไมถึงเลือกที่จะหายไปจากหน้าจอ?) เป็นเพราะว่าเขาไม่จ้างครับ ถ้าเขาจ้างเราก็ไป ถ้าวันไหนไม่มีงาน ผมก็จะอยู่บ้าน แล้วก็ดูทีวี. ส่วนกิจวัตรประจำวันที่ผมทำทุกวันก็คือว่ายน้ำ วันละครึ่งชั่วโมง ว่ายไป-มาไม่หยุด ผมทำมาหลายปีแล้วครับเพราะเป็นผลดีกับสุขภาพร่างกายเราเอง (ไม่มีโรคประจำตัวใดๆ?) ผมถือคติว่าตราบใดที่เราไม่ไปตรวจ เราก็ไม่เจอครับ ผมคิดแบบนี้นะครับ คือไม่มีผิด ไม่มีถูก แล้วแต่ใครจะยึดแนวไหน เพราะสุดท้ายยังไงทุกคนก็ต้องตาย สำหรับผมเลือกที่จะอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ ดูแลร่างกายให้ดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ แล้วก็เมื่อไหร่ที่เราถึงเวลาไปก็ไปครับ”

ผลงานเพลงในนามเบิร์ดกะฮาร์ท? “เบิร์ดกะฮาร์ทเป็นศิลปินที่ผ่านจุดสุดยอดมาแล้ว ทุกวันนี้เราเหมือนเป็นการประคองให้ชื่อเสียงยังอยู่ในวงการ ไม่เลือนหาย แต่โอกาสที่จะกลับมาดังเหมือนแต่ก่อนคงน้อย แรงจูงใจที่จะทำเพลงใหม่ๆ ก็เลยน้อย เพราะว่าเดี่ยวนี้คนไม่นิยมซื้อซีดีมาฟัง จะชอบดาวน์โหลดแบบฟรีๆ เพราะฉะนั้นโอกาสที่เบิร์ดกะฮาร์ทจะออกผลงานใหม่ๆ น่าจะยากครับ แต่เรายังร้องเพลงอยู่ไม่ได้หายไปไหน เมื่อปีที่แล้วเบิร์ดกะฮาร์ทได้จัดคอนเสิร์ตใหญ่ที่อิมแพค เมืองทองธานี เป็นคอนเสิร์ตครบรอบ 30 ปีเบิร์ดกะฮาร์ท ถือว่าประสบความสำเร็จ บัตรขายหมดเกลี้ยง เราก็เลยเอาการแสดงเมื่อปีที่แล้วมาบรรจุลงดีวีดี แล้วก็ขาย ตอนนี้ขายไปได้ 17 แผ่น (หัวเราะ) ก็อยากฝากถึงแฟนๆ ว่าถ้าสนใจอยากจะดูการแสดงของศิลปินวัย 50 กว่า 2 คนที่ร้องเพลง แต่งเอง เล่นเอง และนอกจากร้อง ก็มีคุยด้วย ในนั้นมุขเพียบ สนุกสนาน ก็เชิญติดต่อได้ผ่านทางเฟซบุ๊คแฟนเพจของเบิร์ดกะฮาร์ท BYRD & HEART นี่เป็นครั้งแรกที่เบิร์ดกะฮาร์ททำสินค้ามาขายเอง โดยใช้วิธีขายตรงผ่านโซเชียลมีเดียครับ ถ้าคิดถึงก็อุดหนุนทางนี้ไปก่อนนะครับ”

และสำหรับคอนเสิร์ต “รวมใจถวายพระพร มหาราชินีนาถ” จะมีขึ้นในวันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน 2559 จำนวน 2 รอบ เวลา 14.00 น. และ 19.00 น. ที่หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ผู้สนใจติดต่อซื้อบัตรได้ที่ ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ หรือที่ฝ่ายกิจกรรมทรินิตี้เรดิโอ 02-6366800-1 หรือ 089-4441831 แต่ส่วนของการกระทบไหล่ศิลปินดังภายในงานนี้ยังไม่หมดค่ะ เพราะสัปดาห์หน้า “ทีมข่าวบันเทิงแนวหน้า” จะพาไปพูดคุยกับแม่งานคนสำคัญ และสาวๆ เสียงเพราะผู้ใจบุญ

star Retro : 93 ปี ศิลปินชั้นครู ‘ชาลี อินทรวิจิตร’ กว่าหนึ่งพันบทเพลง ที่กลั่นออกมาด้วย..หัวใจ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/lady/215734

วันอาทิตย์ ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.
“ชาลี อินทรวิจิตร” ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง (ผู้ประพันธ์คำร้อง-ผู้กำกับภาพยนตร์) ประจำปีพุทธศักราช 2536 มีผลงานประพันธ์คำร้องเพลงที่มีชื่อเสียงมากมาย กว่า 1,000 บทเพลง และอีกไม่นานนี้บทเพลงสุดคลาสสิกเหล่านั้น จะถูกนำมาขับขานอีกครั้งโดยศิลปินแห่งชาติและนักร้องชื่อดังมากมาย อาทิ สุเทพ วงศ์กำแหง, สวลี ผกาพันธุ์, จินตนา สุขสถิตย์, สันติ ลุนเผ่, เศรษฐา ศิระฉายา, ธานินทร์ อินทรเทพ, ผุสดี เอื้อเฟื้อ พร้อมด้วยวงเดอะฮอทเปปเปอร์, นันทิดา แก้วบัวสาย, สินจัย เปล่งพานิช, ตวงสิทธิ์ เรียมจินดา, เอกชัย ศรีวิชัย, กัน เดอะสตาร์, แก้ม เดอะสตาร์ และ ไก่-อัญชุลีอร บัวแก้วที่กว่าจะรวมศิลปินเหล่านี้ได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ซึ่งทุกคนมีความปรารถนาที่จะสืบสานงานเพลงอมตะของสุดยอดครูเพลงอย่างครูชาลี

ให้ยังคงอยู่ตราบนานเท่านาน ในวาระพิเศษ 93 ปี ของ ครูชาลี อินทรวิจิตรบริษัท โคลีเซียม อินเตอร์ กรุ๊ป จำกัด โดยพรพิมล มั่นฤทัย ประธานกรรมการในฐานะผู้ครอบครองลิขสิทธิ์ทุกบทเพลงอมตะของครูชาลี อย่างถูกต้องตามกฎหมาย จึงได้จัดคอนเสิร์ตเต็มรูปแบบขึ้นเป็นครั้งแรก โดยใช้ชื่อคอนเสิร์ตว่า “93 ปี ชาลี อินทรวิจิตร เพลงหนังคู่แผ่นดิน” โดยจุดเริ่มต้นของคอนเสิร์ตครั้งนี้มาจากความตั้งใจของ คมน์ อรรฆเดช โดยมี พรพิมล มั่นฤทัย ในฐานะผู้สานต่อความฝันของสามี และก่อนที่จะได้พบกับความตราตรึงใจในคอนเสิร์ตวันนั้น “สตาร์เรโทร” ขอโอกาสนำทุกท่านร่วมย้อนวันวานความประทับใจไปกับบรมครูท่านนี้

ชีวิตวันนี้ที่เรียบง่าย

“ปกติผมอยู่บ้านก็ไม่ค่อยได้ทำอะไรเลย เพราะว่าอายุก็ 93 แล้ว ได้แต่ออกกำลังบ้าง แกว่งแขนไปมานิดหน่อย เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง แล้วผมเป็นคนที่นับถือเจ้าแม่กวนอิมก็เลยจะไม่ทานเนื้อ ไม่ทานสัตว์ใหญ่ ส่วนเรื่องทำสวนปลูกต้นไม้ต้องยกให้เป็นหน้าที่ของแฟนผม (หัวเราะ) เพราะว่าเขาเป็นคนที่รักต้นไม้มาก (คุณธิดา อินทรวิจิตร คู่ชีวิตได้กล่าวเสริมว่า “ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมากว่า 18 ปี แล้วค่ะ อยู่ด้วยกันเหมือนเป็นเพื่อน เป็นคู่คิด ทำกับข้าวให้ทาน เขาจะชอบทานปลาน้ำจืด ไม่มีเมนูใดเป็นพิเศษ เพียงแค่ว่าขอให้ไม่เผ็ด เพราะว่าไม่ทานพริก”) ผมเกิดที่สมุทรสาคร ครอบครัวทำหลายอาชีพครับ

บางทีก็ทำเกี่ยวกับทะเล อยู่กับเรือโป๊ะ แต่ผมเป็นคนที่เหม็นคาวปลา และไม่ทานปลาทะเลด้วย แต่ถ้าเป็นปลาน้ำจืดแฟนผมทำให้ทานผมก็ทานได้ ปลาน้ำจืดจะไม่ค่อยเหม็นคาวเท่าไหร่ อย่างปลาทับทิม ปลาเนื้ออ่อนนี่คือชอบมาก ส่วนเรื่องการแต่งเพลงนั้น ทุกวันนี้ผมยังคงแต่งอยู่เหมือนเดิม แต่ว่าจะไม่ยอมแต่งโดยที่เอาเนื้อร้องไปก่อน เพราะถ้าเอาเนื้อร้องไปก่อนจะต้องแก้ไขอีก เมื่อมันเข้ากับทำนองไม่ได้ ดังนั้นจะต้องแต่งทำนองมาให้ผมก่อน แล้วก็ใส่เนื้อเข้าไป เมื่อเร็วๆ นี้ก็เพิ่งแต่งไป แต่ว่าผมจำชื่อเพลงไม่ได้แล้วนะคือมีศิลปินที่เขาอยากร้องเพลงในแบบเก่าๆ มาให้เราแต่งให้

จุดเริ่มต้นบนถนนสายดนตรี

ชีวิตในวงการบันเทิงของผม เริ่มต้นมาจากการเป็นนักแสดงละครเวที และแสดงภาพยนตร์มาก่อน แต่แล้วชีวิตก็เปลี่ยนไปกลายมาเป็นคนเขียนเพลง และได้กลายเป็นสิ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับเรา และประสบความสำเร็จสูงสุดก็ด้วยบทเพลงจากภาพยนตร์ ผมเริ่มแต่งเพลงเมื่อตอนหนุ่มๆ ผมเคยไปฟังเพลงกับ “ฉลอง สิมะเสถียร” เราเป็นเพื่อนวัยเดียวกัน ผมไปยืนมองดู “พี่สถาพร มุกดาประกร” ร้องเพลง ผมก็หันไปมองหน้ากับฉลอง บอกว่าเรามาเป็นนักร้องดีกว่า โอ้โห! เรียกว่าพี่พรร้องเพลงในประเทศไทยต้องยกนิ้วให้แก แม้กระทั่ง “พี่ล้วน ควันธรรม” อาจารย์ผมยังเทียบไม่ได้กับพี่สถาพร

พี่เขาร้องเพลงที่นิวโอเดียนห้าแยกพลับพลาไชย โดยมี “อาจารย์นารถ ถาวรบุตร” เป็นคอนดักเตอร์ เราฟังแล้วคือประทับใจมาก พวกนิสิตหญิงจุฬาฯก็ไปนั่งฟังกันเป็นตับเลย แสดงว่าพี่พรนี่เป็นขวัญใจของเขามาก ผมก็เลยอยากจะเป็นอย่างนั้นบ้าง เลยชวนฉลองมาเป็นนักร้องดีกว่า แต่ว่าเราจะไปให้ใครสอนดีล่ะ ก็เลยไปหา “พี่ล้วน ควันธรรม” ซึ่งเขาอยู่วงดนตรีแชมเบอร์มิวสิค และเขาก็สอนผมว่าจะต้องหัดแต่งเพลงด้วย ถ้าแต่งเพลงด้วยร้องด้วย จะเหนือกว่าคนอื่น เวลาเล่นละครก็เหมือนกัน

ถ้าร้องเพลงได้ เป็นนักร้องได้ก็จะเหนือกว่าคนอื่น คนอื่นเล่นละครร้องเพลงไม่ได้ ต้องเอาเสียงคนอื่นมาร้อง เขาก็ไม่เอาเพราะฉะนั้นนักร้องเนี่ยร้องเพลงได้เล่นละครได้จะเหนือกว่าคนอื่น เราก็เลยไปเรียนร้องเพลง และหัดแต่งเพลงด้วย เพลงแรกที่แต่งคือเพลง “พันท้ายนรสิงห์” ซึ่งไม่ใช่เพลงในหนังนะ เป็นพันท้ายนรสิงห์ของเราเองแล้วก็ลืมไปแล้ว และก็มาแต่งเพลงมาสลุง เป็นเพลงในละครเรื่องมาสลุง เรื่องของชาวพม่า และเพลงที่แต่งแล้วดังที่สุดก็คือ “เย้ยฟ้าท้าดิน” แต่แต่งไม่จบ เพราะว่าเขาบอกกินเวลาของละคร ก็เลยไม่ได้แต่งท่อนจบ ตอนหลัง “คุณสัมพันธ์ อุมากูล” ก็ไปแต่งต่อให้ครบ

แรงบันดาลใจในการแต่งเพลง

ไม่มีเทคนิคอะไรครับ มันอยู่ที่ไอเดียของเราเอง แต่ผมชอบแต่งเมื่อมีทำนองมา ไม่ชอบแต่งที่จะต้องเอาคำร้องไปใส่ทำนอง เพราะว่าผมจะต้องแต่งหลายหน (มีหลายเพลงที่บ่งบอกถึงสถานที่นั้นๆ) ใช่ครับมีเพลงท่าฉลอม เจ้าพระยา แม่กลอง กว๊านพะเยาแสนแสบ แล้วอย่างเพลง สาวนครศรี ก็แต่งให้ภรรยาคนแรก “คุณศรินทิพย์ ศิริวรรณ” หรือ “ไพริน คอลลิน” เขาเป็นฮอลันดานะพ่อเขาเป็นฮอลันดามาสร้างสนามบินดอนเมืองแล้วก็มารักกับคนไทย และชีวิตผมตอนหลัง “คุณวิจิตร คุณาวุฒิ” มาเห็นชอบ เลยให้ไปเล่นละคร โดยผมเป็นคนสร้างละครเรื่องดวงตาสวรรค์ และได้ “คุณวิจิตร คุณาวุฒิ” กำกับฯ ตุ๊กตาทอง 24 ตัว

เพลงที่ถือเป็นสูงสุดในชีวิต

ผมได้แต่งเพลงสดุดีมหาราชา รู้สึกเป็นเกียรติและประทับใจอย่างสูงสุด เป็นเพลงของแผ่นดินที่เรามีโอกาสได้แต่ง ซึ่งผมยังบอก “คุณสมาน กาญจนะผลิน” เลยว่าเพลงนี้จะต้องเป็นเพลงที่ทำให้เรามีความสุขเพราะว่าเราได้ทำให้พระเจ้าอยู่หัว แต่งให้พระเจ้าอยู่หัว และแต่งให้พระราชินี สมัยก่อนเพลง ถ้าแต่งให้พระเจ้าอยู่หัว ก็จะเฉพาะพระเจ้าอยู่หัว ให้พระราชินีก็ต้องเป็นอีกเพลงหนึ่งแต่เดี๋ยวนี้เราเอาเพลงนี้มาคู่กัน “ชรินทร์ นันทนาคร” เป็นคนสร้างเพลงนี้ในหนังของเขาหนังเรื่อง “ลมหนาว” และมีเพลงสดุดีมหาราชาที่เราแต่งเข้าไปอีกเพลง และมีเพลงที่แต่งให้กับพระราชินีด้วย “โสมส่องมาจากแดนฟ้าไกล แก้วตาขวัญใจประชา คู่บุญกษัตริย์ขัตติยา พระคือแม่ฟ้าของเรา ยิ่งกว่าสายฝนเย็นฉ่ำฟ้า พระกรุณาเหมือนดั่งลมหนาว เปลี่ยนชะตาชีวิตที่อับเฉา ให้เราเป็นเทวาพาคู่ฝัน” ผมนำชื่อเพลงพระราชนิพนธ์มาร้อยเป็นเพลง สมเด็จมหาราชินี

ศิลปินนักร้องที่ร้องเพลงของครูชาลีแต่ง แล้วรู้สึกประทับใจ

มีหลายคนนะ ผู้ชายก็คงจะเป็นคุณสุเทพ, คุณชรินทร์, คุณธานินทร์ แล้วก็คุณสันติ ลุนเผ่ ฝ่ายผู้หญิงก็ คุณสวลี ผกาพันธุ์, จินตนา สุขสถิตย์, อุมาพร บัวพึ่ง คนนี้ถูกใจผมที่ร้อง “ปล่อยฉันไป ปล่อยฉันไป เมื่อหัวใจ เธอมี คนคอยบัญชา น้ำตาฉันจะปริ่ม แม้ยิ้มจะปร่า มันหมดคุณค่า สำหรับตัวเธอ” อุมาพรบัวพึ่ง ร้องเพลงของผมเยอะ แล้วก็ผู้ชายอีกคน ดอน สอนระเบียบ เพลง ข้ามากับพระ เขาร้องแล้วผมยกนิ้วให้เลย

กับบทบาทของการเป็นผู้กำกับหนังและนักแสดง

ผมกำกับหนังไม่กี่เรื่องหรอก แล้วก็มาแต่งเพลง จะเน้นแต่งเพลงมากกว่า เพราะว่ากำกับหนังเนี่ยมันเหนื่อย เหนื่อยใจ ผมจำได้ว่าผมกำกับหนังอยู่เรื่องหนึ่ง แล้วผมแต่งเพลง “ทะเลไม่เคยหลับ” ผมก็เอาข้าวมาจานหนึ่งแล้วก็มีกับข้าวมา และไปนั่งกินคนเดียวถ้าเราไปนั่งกินกับนักแสดงเราก็กลัวว่าเขาจะไม่มีความสุข เพราะเขาก็เกรงใจเรา เราก็เลยไปนั่งทานข้าวที่ริมทะเล และมองออกไปเห็นหินก้อนหนึ่งมันปักอยู่ที่ทะเลสูงประมาณแขนเราได้ มันมีรูอยู่เล็กนิดเดียว แล้วผมไปนั่งกินข้าวอยู่ตรงนั้นเกือบเดือนรูมันกว้างขึ้นๆ เพราะว่าน้ำทะเลมันซัดนี่แหละจึงเป็นจินตนาการทำให้เกิดเพลงทะเลไม่เคยหลับ

“มองซิมองทะเล เห็นลมคลื่นเห่จูบหิน บางครั้งมันบ้าบิ่น กระแทกหินดังครืนครืน ทะเลไม่เคยหลับใหล ใครตอบได้ไหมไฉนจึงตื่น บางครั้งยังสะอื้นทะเลมันตื่นอยู่ร่ำไป ทะเลหัวใจของเราแฝงเอารักแอบเข้าไว้ ดูซิเป็นไปได้ ตื่นใจเหมือนดังทะเลครวญยามหลับใหล ชั่วคืนก็ถูกคลื่นฝันปลุกฉันรัญจวน ใจรักจึงเรรวนมิเคยจะหลับเหมือนกับทะเล” ผมรักเสียงเพลงอย่างมาก คิดว่าจะอยู่กับบทเพลง จะแต่งเพลงไปจนกว่าจะไม่มีเรี่ยวแรง หรือไม่มีวิญญาณที่จะทำต่อไป

คอนเสิร์ตใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น

“คอนเสิร์ต 93 ปี ชาลี  อินทรวิจิตร เพลงหนังคู่แผ่นดิน” ผมเป็นคนเลือกเพลงและศิลปินรับเชิญด้วยตัวเอง  แฟนๆ ที่เข้ามา
ชมคอนเสิร์ตจะได้ดื่มด่ำไปกับบทเพลงจากภาพยนตร์ที่เคยได้รับความนิยมอย่างมากในอดีต อาทิ บ้านทรายทอง, เรือนแพ, จำเลยรัก, น้ำเซาะทราย, ท่าฉลอม, แสนแสบ, ดอกแก้ว, เท่านี้ก็ตรม, ทะเลไม่เคยหลับ และ เทวดาเดินดิน, สายชล จาก ภาพยนตร์เรื่อง เรือนแพ, หยาดเพชร จาก ภาพยนตร์เรื่อง เงินเงินเงิน

นอกจากนี้ยังมีเพลงรักที่โด่งดัง และอยู่ในความทรงจำของผู้ฟังอีกมากมาย เช่น เธออยู่ไหน, เหมือนไม่เคย, สักขีแม่ปิง, ว้าเหว่, ป่านฉะนี้, ครวญ และ จูบฉันแล้วจงตายเสีย ซึ่งก็จะมีนักร้องศิลปินคุณภาพระดับประเทศหลากหลายรุ่นมาร่วมกันขับร้อง ผมก็ต้องขอขอบคุณศิลปินแขกรับเชิญทุกท่าน ที่ให้เกียรติมาร่วมบนเวทีในคอนเสิร์ตครั้งนี้ สำหรับผมเองก็จะร้องเพลงด้วย แต่จะร้องเพลงอะไรนั้นขออุบเอาไว้ก่อน ที่ร้องแน่นอนคือเพลง ยามชัง เพราะว่า “คุณสุพล โทณะวณิก” เขาแต่งขึ้น “ยามเช้า…พี่ก็เฝ้าคิดถึงน้อง ยามสาย…พี่หมายจ้องเที่ยวมองหายามบ่าย…พี่วุ่นวายถึงกานดา

ยามเย็น…ไม่เห็นหน้าผวาทรวง” ผมก็เลยเขียนมาเพื่อแก้กัน ดวลเพลงกัน “ยามชัง พี่ยิ่งช้ำทุกยามเช้าไม่เห็นเจ้าเหงาจิตคิดจนเกือบสาย วานอย่าชังให้พี่ช้ำถึงยามบ่าย อย่าให้ชายหมายคอยจนคล้อยเย็น ค่ำแล้วแสงเดือนงามอร่ามสรวงดาวลอยดวงดูกับทรามเมื่อยามเห็น ฟังเพลงรักเหมือนเพลงลา น้ำตากระเซ็น ไม่วายเว้นสวาทหวามยามน้องชัง” และในส่วนของภาคดนตรีบนเวทีคอนเสิร์ตนี้ก็ได้สุดยอดฝีมืออย่าง คุณจิรวุฒิ กาญจนะผลิน (วงกาญจนะผลิน) และ คุณอรรถพร กำภู ณ อยุธยา (วงมิตรต่างวัย) มาดูแลรังสรรค์ความไพเราะของบทเพลงตลอดคอนเสิร์ต ผมมั่นใจว่าแฟนเพลงจะเต็มอิ่มกับบทเพลงกับคอนเสิร์ตครั้งนี้แน่นอนครับ วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน 2559 เวลา 14.00 น. ณ หอประชุมใหญ่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย พบกันแน่นอนครับ

และสุดท้ายนี้ขอฝากถึงศิลปินรุ่นหลังทั้งหลายว่า ขอให้เขาพึงรำลึกไว้ว่าบทเพลงไม่ว่าจะเก่าหรือใหม่ ไม่ว่าจะดีหรือไม่ชอบ แต่ถ้าเราสนใจเราอย่าไปดูถูกเพลงนั้น ตั้งใจร้องให้ดีเพลงก็จะเพราะ ไม่ใช่ว่าพอเห็นเพลงไม่ค่อยเพราะแล้วไม่อยากร้อง คนร้องเพลงไม่เพราะแล้วร้องให้เพราะต้องถือว่าสุดยอดฝีมือ

ท่านใดที่ชื่นชอบในเพลงลูกกรุงที่เป็นอมตะเหล่านี้ บอกได้เลยว่าไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงค่ะ

 

Star Retro : ‘แซ็ก’ พัชรพล ปานพุ่ม หรือ แซ็ค วง I-Zax เกือบตาย เพราะไทรอยด์เป็นพิษ!?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/214795

วันอาทิตย์ ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.
สตาร์เรโทรสัปดาห์นี้ขอพาย้อนวันวานไปนั่งคุยกับอดีตนักร้องดัง วง I-Zax (ไอแซ็ค) “แซ็ก” พัชรพล ปานพุ่ม กับโหมดชีวิตที่เปลี่ยนไป งานดนตรียังคงมีไม่ขาดหาย ในขณะที่ครอบครัวค่อยๆ ขยาย แต่วันหนึ่งเขากลับพบประสบการณ์เฉียดตายแบบไม่ทันตั้งตัว!?

กำเนิดวง I-Zax (ไอแซ็ค)

“พวกเราเรียนด้วยกัน เป็นเพื่อนมหาวิทยาลัยเดียวกัน สมาชิกในวงเปลี่ยนหลายคนมาก แต่ตัวตั้งตัวตีก็คือผมกับมือกลองที่ตั้งใจจะทำวง ก็หามือกีตาร์สุดท้ายได้พี่เพชร แต่ว่าตอนนี้พี่เพชรไปทำวงอโศก กับเพื่อนๆ หลังจากที่ทำให้ หนุ่มกะลา แต่ก็ยังไปมาหาสู่ ทำงานให้กันครับ”

เมื่อต้องร้องนำ?

“เกร็งนะ แต่ผมถือว่าผมเป็นนักดนตรีที่ร้องเพลงได้ พอมาร้องเพลงปุ๊บ ผมก็ไม่ได้เล่นกีตาร์ละ ทิ้งกีตาร์ไป 7-8 ปี ไปเป็นนักร้องนำโดยที่ไม่จับกีตาร์เลย จนกระทั่งผมเห็นอะไรบางอย่าง คือจริงๆ แล้วดนตรี ถ้าเราทิ้งมันมันก็ทิ้งเรานะ ดนตรีมีชีวิตเมื่อวันหนึ่งเราไม่ได้จับมัน มันก็ไม่ต้องมาสนใจเรา ผมต้องขอบคุณพี่แอนท์ อีโมชั่นทาวน์ เอากีตาร์มาให้ผมเล่น ซึ่งตอนนั้นกีตาร์ผมให้คนอื่นไปหมด ขายบ้าง ให้ลูกศิษย์บ้าง ตอนนี้ไปอยู่ที่ใครยังนึกไม่ออกเลยพอกลับมาจับกีตาร์โปร่ง นั่งซ้อมในแบบที่เราเคยฝึกแต่แรก ปรากฏว่าจากที่เราเคยทำได้ ทำไมทำไม่ได้ ทุกวันนี้ยังนั่งนึกขอบคุณพี่แอนท์เลย ถ้าเกิดวันหนึ่งวันใดเราไม่ได้ร้อง ก็มีกีตาร์นี่แหละที่เล่นได้”

อัลบั้มแรกของวงไอแซ็ค?

“เป็นช่วงที่จบมหาวิทยาลัยใหม่ๆทำเพลงกับเพื่อนในมหาวิทยาลัยประมาณ 3-4 เพลง จริงๆ ทำไว้เยอะ แต่เราส่งไปแกรมมี่ 3-4 เพลงนี้ แล้วจังหวะนั้นพี่แมว (จีระศักดิ์ ปานพุ่ม) ซึ่งมีศักดิ์เป็นอาผม กรุยทางให้เรา แล้วเราก็เดินตามทางนั้น ถ้าไม่มีพี่แมวอาจจะยากหน่อย แต่คำว่า ไม่มี ไม่เป็น อันนี้ผมไม่เชื่อ ผมคิดว่าถ้าผมมุ่งมั่นว่าจะทำแล้วต้องทำได้ อาจจะช้าหน่อย แต่ก็ต้องใจเย็น ก็เหมือนนักดนตรีทุกวันนี้ เก่งผมไม่กลัว ผมกลัวโอกาส คนเรานะบางทีทุกวันนี้การที่จะอยู่ได้ต้องมีเพื่อนพ้องมีโอกาสและคอนเนคชั่นถึงจะอยู่ได้ยาวนาน ต่อให้ไม่มีผลงานเราก็ยังเจอเพื่อนๆ อยู่เหมือนเดิม”

เพลงฮิตติดหู ถึงทุกวันนี้?

“มี 3 เพลงที่เล่นประจำเลยคือคนรักกัน, ดอกไม้กับหัวใจ และ ปวดใจ เป็นเพลงรักที่ต้องเล่น ไม่เล่นไม่ได้ ทั้งๆ ที่มีเพลงใหม่นะครับ แต่คนก็ยังขอให้ร้องเพลงชุดแรกอยู่ (หัวเราะ)”

วงไอแซ็คห่างหาย?

“เพราะเราหมดสัญญากับบริษัท แต่ออกมาก็เป็นฟรีแลนซ์ ยังคงทำเพลงให้เพื่อนๆ ทำให้คนอื่นอยู่ ทุกวันนี้วงเราเพื่อนๆ ทุกคนยังอยู่ครบ ไม่ได้แตกไปไหน เพียงแค่ว่าแต่ละคนมีหน้าที่ ทุกคนมีครอบครัว อย่างมือเบสก็ไปอยู่ต่างจังหวัดเปิดโรงเรียนสอนดนตรีที่จังหวัดฉะเชิงเทรา วงเรามี 5 คนทุกคนยังเจอกันปกติครับ เรามีเฟซบุ๊คเห็นกันทุกวัน เพื่อนทำอะไรเราก็เห็นหมด เพียงแต่ว่าโอกาสที่จะรวมตัวกันค่อนข้างยาก เพราะเวลาไม่ตรงกัน”

ตัวตนของแซ็ก ที่หลายคนไม่เคยรู้?

“ผมถูกเลี้ยงมาในครอบครัวที่ค่อนข้างจะอิสระ พ่อแม่ไม่เคยบอกว่าจะต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ว่าด้วยความที่บ้านเราเล่นดนตรี พ่อแม่ก็เล่นดนตรี ไปที่ไหนก็จะไปด้วยกัน อยู่แต่ละที่ตามไนท์คลับ 3 ปี 5 ปี บ้าง คือนักดนตรีสมัยก่อนมีคุณค่ามากการจะไปเล่นในแต่ละที่ ต้องมีการเซ็นสัญญากันยาวๆ ช่วงที่ผมเกิดพ่อเล่นอยู่ที่โคราช แล้วแม่ก็ตามไปเจอกันที่นั่น ผมมีพี่น้องสามคนผมคนโต มีน้องชายและน้องสาวคนเล็กผมโตมากับย่า จะมีช่วงที่พ่อย้ายที่เล่นดนตรีบ่อยผมก็ต้องย้ายที่เรียนเรื่อยๆ พ่อเห็นว่าย้ายบ่อยไปแล้ว ก็เลยให้ผมไปอยู่กับย่าที่อุดรธานี หรือบางทีก็ไปอยู่ ขอนแก่น ผมเลยโตมากับ 2 จังหวัดนี้ครับ”

เส้นทางดนตรี?

“ถามว่าเริ่มชอบดนตรีเมื่อไหร่ ผมไม่รู้ตัวนะ เพราะเกิดมาก็เห็นเครื่องดนตรีแล้ว เห็นพ่อเล่น คือเป็นชีวิต เป็นสิ่งที่ไม่ได้บอกว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร เหมือนคนอื่น รู้แต่ว่าโตขึ้นต้องเป็นนักดนตรี ด้วยเพราะเราซึมซับกับสิ่งเหล่านี้มาตลอด พ่อผมเป่าแซ็ก ผมถึงชื่อแซ็ก”

แต่เครื่องดนตรีชิ้นแรกที่เล่นได้ไม่ใช่แซ็ก?

“กีตาร์ครับ ก่อนหน้านั้นพ่ออยากให้ผมเป่าแซ็ก สอนให้ผมเป่า แต่ผมเป่าไม่ได้สักที เราก็งงตัวเองสมองช้าหรือเปล่า เข้าใจเลยคำว่า “พ่อลูกสอนกันไม่ได้” ตอนนี้ผมก็พยายามสอนลูกเหมือนกัน (หัวเราะ) สุดท้ายพ่อปล่อยให้ผมไปเรียนรู้ดนตรีเอง ที่ผมเล่นดนตรีได้ทุกวันนี้ ไม่ได้ถูกพ่อสอนมา ไม่ได้ถูกอาสอนมา แต่เป็นการที่ผมเรียนรู้เอง แล้วไปศึกษาต่อกับเขาอีกที เหมือนเริ่มจากทฤษฎีอ่าน ก.ไก่ ได้ก่อน แล้วคุณถึงจะไปเรียนภาษาไทย สังคม วิชาอะไรต่อไปก็ได้ อย่างบ้านผมเล่นดนตรีแจ๊ส ลูกทุ่ง หมอลำ เล่นหมด ไม่ได้แบ่งว่าแนวนี้แนวไหน ขอแค่เราเชื่อว่าเราทำได้ อยากเรียนโน้ตทำยังไงถึงจะอ่านโน้ตได้ ก็ไปเล่นคาเฟ่ ใช้ชีวิตอยู่คาเฟ่ อยู่กับนักร้องที่เขาเอาโน้ตมาตั้งวางเล่นตามโน้ต ไม่เคยเล่นก็ต้องฝึก ช่วงนั้นผมประมาณอายุ 16-17 ได้ครับ”

ทิ้งเรียนเพื่อที่จะออกไปหาประสบการณ์ชีวิต

“ตอนนั้นเพิ่งเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษมปีหนึ่ง ก็ต้องออกไปช่วยน้าที่จังหวัดขอนแก่นเพราะวงเขาขาดมือกีตาร์ ก็ลุยเลยขอลองสักครั้งในชีวิต ทิ้งเรียนเพื่อที่จะออกไปหาประสบการณ์ แต่พอเอาเข้าจริงๆ ประสบการณ์อยู่ที่คนนะ สิ่งที่เราแสวงหาคือประสบการณ์ก็จริง แต่ว่าคนที่สร้างประสบการณ์กับเรา ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่าเรามีพัฒนาการเลย เราเห็นชีวิตความเป็นไปแบบนั้นทุกๆ วัน เราก็เบื่อ เลยกลับมากรุงเทพฯ มาเรียนต่อที่เดิมจนจบ แล้วก็เจอเพื่อนจนเกิดเป็นวงไอแซ็คขึ้นมา”

เคยเบนเข็มไปเป็นครู?

“ผมเคยรู้สึกเบื่อๆ เลยไปเป็นครู เพราะผมจบครูจากมหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม ก็ไปสอนนักเรียนวงโยธวาทิต ที่โรงเรียนประชานิเวศน์ แต่รู้สึกว่าไม่ใช่ตัวเรา สอนได้นิดหน่อยประมาณปีหนึ่งแล้วก็ออกมาใช้ชีวิต ตอนสอนยังคงรับงานกลางคืน เล่นดนตรีดึกๆ เลิกเสร็จสอนต่อตอนเช้า บ่อยเข้าเริ่มไม่ไหว เลยกลับมาใช้ชีวิตในสิ่งที่เราถนัดดีกว่า กลับมาฝึกเล่นดนตรีโบยบินไปตามจังหวัด เล่นดนตรีใช้ชีวิตกับวงอื่นๆ บ้าง”

วง ไอแซ็ค จะกลับมารียูเนียนกันอีกครั้งไหม?

“ใจผมคิดนานแล้วอยากจะชวนเพื่อนทำเพลงใหม่อีกสักครั้ง อย่างที่ผมบอกด้วยจังหวะที่ไม่ลงตัว ซึ่งจริงๆ เพื่อนเขาก็คิดเหมือนเรานี่แหละ เพราะเวลาเรานัดดื่มสังสรรค์กัน พวกเราพูดสิ่งเดียวกัน เรื่องเดียวกัน ในความคิดที่เหมือนกันว่า ทำเพลงไหม ก็เลยได้ปล่อยออกมา 2 เพลง เพื่อดูกระแส และโชคดีที่สมัยนี้มีช่องทางการนำเสนอผลงานเยอะขึ้น ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่จะต้องออกสื่อวิทยุ ทีวี. ถึงจะดัง แต่ทุกวันนี้ยูทูบ เฟซบุ๊ค ได้หมด 2 เพลงที่ปล่อยไปเมื่อ 7-8 เดือนก่อนเลยถือว่าเกินคาดมากๆ ไม่ได้โปรโมทหรือเปิดวิทยุเลยนะ ดูแค่ว่าคอนเนคชั่นจากการที่เราโพสต์ในยูทูบและเฟซบุ๊คว่าจะไปได้ไกลแค่ไหน ล่าสุดยอดวิวไปถึงประมาณ 7 แสนกว่า เป็น 7 แสนที่ภูมิใจจริงๆ หลังจากที่ไม่ได้รวมตัวกันทำเพลงมาประมาณ 7 ปี เพราะมัวแต่ไปทำเพลงให้คนอื่น ทำเบื้องหลังกัน”

เพลงคือสายเลือด?

“ผมทำมาตลอดครับ ทั้งๆ ที่พยายามจะหยุด เพราะรู้สึกว่าอิ่มตัว กับสังคมปัจจุบัน และสถานการณ์เพลงของบ้านเรา จากที่เคยทำรายได้เดือนหนึ่งได้เท่านี้ แต่กลายเป็นว่าเราต้องพยายามเหนื่อยกว่าเดิมโดยไม่รู้กี่เท่า เพื่อให้มีรายได้เท่าเดิม ผมไม่รู้คนอื่นเป็นเหมือนผมหรือเปล่า แต่เรารู้สึกว่า
สถานการณ์วงการเพลงตอนนี้แย่มากๆในขณะเดียวกันกฎหมายลิขสิทธิ์ก็แข็งแรงเหลือเกิน(หัวเราะ)”

แพลนชีวิตจากนี้?

“ช่วงนี้ผมกำลังทำธุรกิจขายสบู่ครับ ผมอยากทำให้เต็มที่ ส่วนงานดนตรีตอนนี้เป็นในส่วนของการไปเล่น ไปพบปะเพื่อนๆมากกว่า เรื่องคิดสร้างเพลงก็มีนะ แต่ว่ายังไม่รู้ว่าจะทำไปขายใคร แต่ทำให้คนฟังนี่ทำแน่ บางทีเราก็ต้องทำเพลงขาย เพื่อมาทำสบู่ของเรานี่แหละ (หัวเราะร่วน) ก็ต้องหาจังหวะหาช่องทางกันไปครับ”

มาจับธุรกิจสบู่ได้อย่างไร?

“เพื่อนที่รู้จักกันเขาทำของเขาอยู่แล้วครับ แต่ว่าเขาผิดหวังจากเพื่อนร่วมงาน โดนหักหลังโดนโกงจนเขาคิดจะทิ้ง ผมรู้เรื่องราวมาตลอด เลยบอกเพื่อนว่าสิ่งที่คุณทำดีนะเพราะวัตถุดิบทุกอย่างมาจากธรรมชาติ แต่สิ่งที่ไม่ดีคือคนที่ทำกับคุณ ยังไงคุณก็ต้องทำต่อ ตอนแรกสบู่นี้ใช้ชื่อว่า กลอรี่(GLORY) ซึ่งผมไม่เข้าใจทำไมชื่อนี้ แต่การที่เราจะลงทุนทำกับเขา ก็ต้องรู้ที่มาที่ไปในสิ่งที่เราจะทำ พอเขาบอก กลอรี่ คือพระสิริ แสงของพระเจ้า ความสว่างของพระเจ้า พอรู้ความหมายแล้วเราก็ศรัทธา นี่คือความศรัทธาที่มี ผมถึงรู้สึกตั้งแต่แรกแล้วว่าจะทิ้งทำไม ทำต่อเถอะ ผมก็มาเปลี่ยนรูปลักษณ์ รีโนเวททุกอย่างใหม่ทำโบชัวร์ ออกแบบตามที่เราเคยเรียนมา เพราะเมื่อก่อนผมก็เคยเป็นอาร์ตอยู่ ตัดต่อ รีทัชเป็น ฝากด้วยนะครับ คนที่สนใจสามารถเข้าไปดูได้ที่เฟซบุ๊คแฟนเพจ GLORY SOAP หรือโทร.โดยตรงที่ 099-4696519,082-9311627 ผมเริ่มทำมาได้ประมาณ1 ปี เริ่มเข้าที่เข้าทางแล้วครับ มีคนสั่งเข้ามาเรื่อยๆ ผมก็คิดถึงลูกสาวในอนาคตข้างหน้า เขาอาจจะมาสานต่อพัฒนาต่อยอดไปทำเป็นครีมถูตัว สิ่งที่ไม่เคยมีบนโลกนี้ก็ได้ ผมก็คิดของผมไปเรื่อย(หัวเราะ)”

เคยเกือบตายเพราะอาการไทรอยด์เป็นพิษ?

“ผมเป็นไทรอยด์เป็นพิษชนิดเข้าขั้นที่ว่าหมอให้พักเดือนหนึ่งแล้วค่อยกลับไปดูว่าจะผ่าหรือกลืนแร่ สรุปผมไม่ต้องผ่าหรือกลืนแร่ด้วย อยู่ๆ ก็หายไปเอง หมองงกับเคสผมมาก ตอนนั้นน้ำหนักลงไปเยอะมากภายในระยะเวลาที่มันสำแดงให้ผมรู้ว่าไม่ไหวแล้ว ร่างกายแย่ร่วม 2 เดือน เหนื่อยง่าย หายใจไม่ทั่วท้อง ทำอะไรก็หงุดหงิด กินน้ำตลอด นอนเท่าไหร่ก็ไม่พอ กินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม ร่างกายทำงานผิดระบบหมดเลย ควบคุมตัวเองไม่ได้ ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ตอนแรกผมคิดว่าตัวเองเป็นโรคร้าย ตัดสินใจไปหาหมอ หมอมองหน้าปุ๊บให้ไปเจาะเลือดด่วน ตกใจกว่าเดิมอีก กลายเป็นว่าผมเป็นไทรอยด์เป็นพิษเริ่มปรับตัวใหม่หันมาดูแลตัวเองมากขึ้น เนื่องจากเห็นยาหมอแล้วตกใจ กินเยอะมาก กินเป็นกำมือเลยนะ กว่าจะหาย ไตก็วายพอดี (หัวเราะ) ก็เลยเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ จากนอนดึกไม่เป็นเวลา ไม่หิวเราก็ต้องกิน ร่างกายมีเวลาในการทำงาน นาฬิกาชีวิตผมเชื่อเลยหลังจากที่ตัวเองป่วยมา ผมยังดีที่ร่างกายเตือนผม บางคนไม่เตือนมาเยือนแล้วไปเลยก็มี แต่สิ่งหนึ่งที่บอกตัวเองเลยว่าต้องตื่นต้องฟื้น ต้องกลับมาเหมือนเดิม เพราะลูกเลยเราเห็นเขานอนกอด เลิกโรงเรียนแล้วมากอดเราในขณะที่เรารู้สึกตัว แต่เราตื่นไม่ได้มีแค่น้ำตาที่ไหลออกมา อยากตื่นนะ ความรู้สึกร่างกายไม่สนองแต่ความคิดเรายังทำงาน ผมอยู่โรงพยาบาลเกือบเดือน หลังจากรักษากลับบ้านก็ฟื้นเลย โชคดีที่มีโอกาสได้กลับมา ร่างกายสำคัญมากๆ (สุขภาพตอนนี้?) โอเคแล้วครับ ไปเจาะเลือดทุกสามเดือน ค่าเลือดก็ปกติ เรื่องเดียวที่ยังมีสิทธิ์กลับมาเป็นได้คือ เรื่องการให้ตับได้พักผ่อน อย่านอนดึก แค่นั้นเองก็พยายามอยู่ครับ ตอนนี้ตีสาม เมื่อก่อนตีห้านะ คือเป็นอย่างนี้มาตลอดตั้งแต่เด็กแล้ว ชีวิตครอบครัวนักดนตรี พ่อผมเมื่อก่อนก็เป็นแบบนี้กลับมาตีสองตีสามผมก็ต้องตื่นมากินข้าวกับพ่อ บางวันพ่อก็ซื้อซาลาเปามาฝากดึกๆ แล้วเราเป็นเด็ก ก็เลยกลายเป็นว่าเราก็ติดชีวิตแบบนั้นมา แล้วผมก็ไม่เคยคิดว่าอยู่ๆ ร่างกายจะมาประท้วงผมอะไรแบบนี้ ทั้งๆ ที่มันก็ต้องเคยชินแล้ว เพราะเราเป็นแบบนี้ตั้งแต่เด็ก ปรากฏว่าไม่ได้แล้ว แม้แต่พ่อผมเองก็เป็นเหมือนกัน เพราะเราใช้ชีวิตเหมือนกัน อยู่ด้วยกันตลอด ผมเป็นก่อนพ่อผมเป็นตามผมไม่กี่เดือนนี้เองครับ อยากให้ระวังกัน เพราะไทรอยด์เป็นภัยเงียบที่หลายคนคิดว่าไกลตัว”

บทบาทคุณพ่อ?

“ผมเจอกับภรรยาคนปัจจุบัน ตอนออกอัลบั้มชุดแรก ตอนนั้นเราเสียใจอกหักผิดหวังมาก แล้วมาเจอคนนี้ เสียใจไม่เกินสองวันมีคนนี้เข้ามา ดูแลดี๊ด๊า และโลกกลมอีก คือแฟนผมคนนี้คือน้องสาวเพื่อนสนิทสมัยเรียนปวช. แล้วผมก็ไม่รู้ว่าเพื่อนคนนี้มีน้องสาว เลยกลายเป็นว่า อ๋อ..เราเคยเจอกันมาก่อนนะ ทุกวันนี้ก็แต่งงานมีลูกด้วยกัน 2 คนครับ ลูกสาวคนโต น้องอั้ม 7 ขวบ ส่วนคนเล็กน้องอิน 4 ขวบ กำลังซนเป็นลิงเลย”

ครอบครัวสุขสันต์?

“ผมเข้าใจมากกว่า ผมเรียนรู้ที่จะอยู่ให้เป็น ก็ไม่ได้จะมีความสุขตลอดเวลา ก็มีบ้างที่มีปัญหา ถึงขนาดที่ว่าเคยคิดมานั่งคุยกันจะเลิกกัน แยกทางกัน แต่ว่าก็มีเหตุให้เป็นอย่างนั้นไม่ได้ เพราะลูก เราก็มีอะไรหลายๆ อย่าง เราเห็นชีวิตคนอื่นที่สวยงาม ถ้าวันหนึ่งที่เขาผิดหวัง สุดท้ายเขาก็ต้องไปมีคนใหม่แล้วก็ใช้ชีวิตเริ่มใหม่กับคนใหม่ ผมกลับคิดว่าทำไมไม่คุยไม่กลับมาเรียนรู้กับคนของคุณที่คุณเลือกแล้วให้ยาวที่สุดและนานที่สุดล่ะ ต่อให้ไม่มีความสุขผมก็ถือว่าเป็นบททดสอบของตัวเอง แค่เราเข้าใจ บางทีเรายอมได้เราก็ยอม เขาก็เป็นภรรยาเรา ไม่รู้จะไปเอาชนะหรือโชว์ใคร”

ช่างเป็นชีวิตที่น่าอิจฉาของ “แซ็ก- พัชรพล” ด้วยความมุมานะที่ไม่มีหมด ทำให้เขามีครอบครัวที่น่ารัก และได้ทำงานที่รักจนมาถึงทุกวันนี้

ลูกหมี

Star Retro : ‘ไข่มุก-ศจีพันธ์’ ทิ้งชื่อเสียงโด่งดัง เพื่อสร้างฝันในแบบครอบครัว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/213801

วันอาทิตย์ ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

แม้จะเล่นละครผ่านงานแสดงมาไม่กี่เรื่อง แต่ฝีมือของอดีตนักแสดงสาว “ไข่มุก-ศจีพันธ์ เจริญสุข” หรือ “ทญาณ์ ไมอ๊อคซิ”ภรรยาสาวของ ปีเตอร์ ไมอ๊อคซิ ก็เป็นที่จดจำของแฟนคลับหลายต่อหลายคน จนวันหนึ่งเมื่อเธอต้องตัดสินใจเลือกที่จะไปสร้างครอบครัว งานในวงการบันเทิงจึงลดน้อยลงและค่อยๆ หายไปในที่สุด วันนี้ “สตาร์เรทโทร”มีโอกาสเจอะเจอเธอเมื่อครั้งที่ติดตามมาคอยดูแลสามี “ปีเตอร์ ไมอ๊อคซิ”ในกองละครเรื่อง “กุหลาบตัดเพชร” เนื่องจากหนุ่มปีเตอร์ได้รับอุบัติเหตุระหว่างเล่นฟุตบอล จนต้องเข้าเฝือก เราเลยไม่พลาดที่จะอัพเดทชีวิตของเธอให้แฟนๆได้หายคิดถึงกัน

หน้าที่หลักในวันนี้เปลี่ยนไป?

ดูแลครอบครัวค่ะ ตอนนี้มุกมีลูกสองคน ช่วงแรกที่ห่างหายจากวงการบันเทิงไปก็ประมาณ 5-6 ปี หลังจากนั้นได้กลับมาเล่นหนังใหญ่เรื่อง “เกิร์ลเฟรนด์” พอจบเรื่องนี้ก็มีน้องอีกคนหนึ่ง คราวนี้เลยยาวเลยประมาณ 10 ปีได้ค่ะ (มีคนชวนให้กลับมาเล่นบ้างไหม?) ไม่มีแล้วค่ะ สงสัยจะเงียบ และหายไปนาน จริงๆ มุกอยู่วงการนี้มาตั้งแต่อายุ 15 แอ๊กติ้งต่างๆ ก็อยู่ในสายเลือดแล้วไม่ได้หายไปไหน ก็ยังรักวงการอยู่ สนใจเล่นได้ แต่ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะเข้ามาอยู่ตรงนี้เหมือนเดิม ขอเป็นข้างหลังดีกว่าค่ะ ดูปีเตอร์เล่นก็คอมเม้นท์เขาไปนิดๆ หน่อยๆ แต่ถ้ามีโอกาสให้อยู่ข้างหน้าหรือแสดงบทอะไรก็แล้วแต่โอกาสที่เข้ามาดีกว่าค่ะ

ผลงานในอดีตที่ประทับใจและทำให้แจ้งเกิด

“กระถินริมรั้ว” ค่ะ ละครสมัยก่อนไม่เหมือนเดี๋ยวนี้ สมัยก่อนจะถ่ายไปออนไปอย่างเช่นถ่ายตอนเย็นออนตอนกลางคืนพอวันรุ่งขึ้นชีวิตเราก็เปลี่ยนไปเลย ตกใจมากเพราะว่าเดินถนนไม่ได้แบบปกติ จากที่เคยเดินสยามได้ชิลๆ พอละครเรื่อง กระถินริมรั้ว ออกอากาศกลายเป็นว่าไม่ได้แล้วนะเดินไปคนเข้ามาขอลายเซ็นเรียกชื่อในละครอีกเราก็ตกใจ มีคนมาขอลายเซ็นก็งง จะทำยังไง เพราะตอนนั้นยังไม่มีลายเซ็นเป็นของตัวเอง (หัวเราะ) หลังจากนั้นรีบกลับบ้านเลย เดินไม่ได้แล้วคนรุม กลับบ้านไปเครียดเลยนะ ชีวิตเปลี่ยนไปมากจริงๆ ช่วงนั้นเพราะเราต้องระมัดระวัง แต่ก่อนหน้านี้จะไปเล่นรับเชิญบ้างในเรื่อง “บ้านไร่ริมธาร” ส่วนเรื่อง “สุริยาที่รัก” เล่นเป็นนางเอกออนแอร์ทางช่อง 9 ซึ่งสุริยาที่รักก็เป็นอีกเรื่องที่ประทับใจ เพราะมีความเข้มข้น ผู้กำกับคือ “อาฉลวย ศรีรัตนา” ต้องบอกว่าเมื่อก่อนเราก็เจอแบบธรรมดาไม่มีอะไรมาก แต่พอมาเรื่องนี้เจอผู้กำกับที่เรียกว่าดุเลย ก็พยายามเรียนรู้กัน ทำงานอีกรูปแบบหนึ่งเลย เพราะไม่ใช่อย่างที่เรามองเป็นเรื่องเล่นๆตอนนั้นมีพี่ในกองมาบอกว่าที่จังหวัดยะลารู้จักหนูหมดเลยนะ เพราะตอนนั้นยะลารับได้ช่องเดียวคือช่อง 9 เราดังมากเลยนะในยะลาก็ดีใจ (หัวเราะร่วน) และเรื่องนี้แหละที่เรามีข่าวประมาณว่า อาฉลวยดุว่าเราเล่นไม่เป็น แถมตีด้วย แต่ก็เป็นประสบการณ์อีกอย่างหนึ่งว่าการทำงานต้องจริงจังขนาดนั้นสมัยนั้นไม่ได้มีโรงเรียนการแสดงหรือครูสอนการแสดงแบบสมัยนี้นะ ยังเคยถามเลยรุ่นหลังๆ โดนตีไหม นี่บอกเคยมาแล้วโดนตีมาแล้ว (หัวเราะ) ไปเล่าให้ใครฟังนี่มีแต่คนถามว่าโอ้โห! ไข่มุกอยู่รุ่นโน้นเลยเหรอ ก็จะบอกว่าไม่ใช่รุ่นโน้นหรอกรุ่นหลัง แต่ไปเจออารุ่นโน้น (หัวเราะ) ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีค่ะ

การทำงานในวันนี้กับสมัยก่อน

มุกเล่นละครมาประมาณ 7 เรื่องค่ะอาจจะเลือกแต่งงานเร็วไปหรือเปล่า (หัวเราะ)ตอนนั้นก็เหมือนกำลังจะดังด้วยแหละ แต่เราเลือกที่จะแต่งงานแล้วก็เลยหายไปเลย ซึ่งมุกมองว่าการทำงานสมัยก่อนกับสมัยนี้แตกต่างกันเยอะเลย ภาพสวยกว่า อะไรๆ ก็ดีตามยุคตามสมัยนะคะ จริงๆ ตัวมุกเอกก็เริ่มจากการถ่ายโฆษณา ตั้งแต่อายุ 15 แล้วมาเล่นละครก็ประมาณอายุ 24 ปี ถ่ายโฆษณามายาวนานมากทั้งภาพนิ่งและเคลื่อนไหวก่อนที่จะมาเล่นละคร

จากเจ้าแม่โฆษณาสู่นางเอกในหลายๆ บทบาท

ไม่คิดเลยค่ะ แต่พอถึงจุดหนึ่งที่เขาเรียกว่า “อิ่มตัว” เพราะโฆษณาทุกอย่างจะเห็นแต่หน้าเรา ก็มีคนบอกว่างั้นก็ต้องไปเล่นละคร ก็ไปแคสที่กันตนา ไปเจอ “พี่สุ-สุชีรา”เขาก็จะคอยเลือกดูแลจัดคิวเราทุกอย่าง แล้วพี่สุหายเราก็หาย ก็ไปแต่งงาน แต่ก็ได้เล่นละครของกันตนาหลายเรื่องนะคะ มีของดาราวิดีโอด้วย

เอกลักษณ์ที่บ่งบอกความเป็นตัวตนของไข่มุก

เสียงที่แผ่วเบา คือไปถ่ายละครทุกคนจะคอยบอกว่า มุกเสียงดังหน่อย อย่างบางทีเป็นดราม่าก็ต้องเศร้า สำหรับเราคือการตะโกนเสียง แล้วเคยมีหนังสือพิมพ์ลงว่ามุกเป็นนางเอกเสียงน้ำเซาะทราย ทางผู้ใหญ่หลายคนบอกนะว่ามุกต้องไปฝึกนะ เป่าผ้าม่านไล่คีย์เสียงบ้าง (หัวเราะร่วน) เขาบอกว่าอ้าปากให้กว้าง ฉะนั้นเวลาเล่นอะไรก็ต้องเล่นโอเว่อร์ไว้ก่อน เล่นละครไมค์ลอยของเราก็จะต้องพิเศษกว่าเพื่อน คือปรับระดับเสียงดัง

วงการบันเทิงให้อะไรบ้างในชีวิต

มุกอาจจะไม่ได้อยู่ตรงนี้นานมาก แต่ก็ประมาณ 2 ปี ได้ประสบการณ์ชีวิต ชื่อเสียงชั่วข้ามคืน หนังสือพิมพ์ นิตยสารเกือบจะทุกเล่มลงข่าว แล้วพอมาเป็นนางเอกเราก็ถ่ายชุดว่ายน้ำ ผู้ใหญ่ก็เตือน ซึ่งตอนนั้นเราไม่ได้คิดอะไร คิดว่าเมื่อก่อนเราก็เคยถ่ายมา เรามาสายโฆษณาอยู่แล้ว และไม่ได้เซ็กซี่อะไรมากมาย แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่แค่ชุดว่ายน้ำแล้ว ก็ไม่เห็นเป็นไร อย่างว่ายุคสมัยเปลี่ยนไปสมัยก่อนนางเอกก็คือนางเอก จะไปถ่ายวับๆ แวมๆ ไม่ได้

คิดว่าตักตวงประสบการณ์ในวงการบันเทิงน้อยไปไหม

เราได้มาขนาดนี้ในตอนนั้น ก็ถือว่ามากแล้วค่ะ ที่ผู้ใหญ่ให้โอกาสเราได้เรียนรู้ประสบการณ์ สนุกนะคะและประทับใจในสิ่งที่ผ่านมา ถือว่าคุ้มค่าแล้ว แต่ทุกวันนี้ยังวนเวียนอยู่ไม่ไปไหนนะถือว่าเป็นคนในสายนี้เพราะแฟนก็ยังอยู่ แค่เปลี่ยนบทบาทและหน้าที่ไม่ได้มาเป็นคนในกล้องออกทีวี.เหมือนเมื่อก่อน

จุดเริ่มเติม “รัก” จนกลายเป็นครอบครัวในวันนี้

ตอนนั้นเป็นนักแสดงนี่แหละค่ะ แล้วปีเตอร์ก็เป็นเพื่อนของเพื่อนที่มาทางวงการเพลง ตอนนั้นเขากำลังจะเข้าเป็นกลุ่มบอยแบนด์วงหนึ่ง แต่ไม่ได้รับการคัดเลือก ซึ่งเราก็รู้จักกัน แล้วก็มีคุยกันมาเรื่อยๆ จากเพื่อนก็พัฒนามาเป็นแฟน ตอนนั้นเขาไม่รู้จักเราเลยนะ ว่าเราเป็นนักแสดงและเขาเองก็ยังไม่ได้เข้ามาในวงการเท่าไหร่ เรารู้สึกดีตรงนี้แหละ แต่เมื่อก่อนวงการบันเทิงไม่ได้เปิดเผยเหมือนสมัยนี้ ช่วงที่รักกันก็ไม่ได้เปิดเผยเพราะเราก็เป็นนักแสดง

หมั่นเติมความรักให้กันและกัน

ไม่ใช่คู่ที่หวาน แต่เราจะอยู่เป็นเพื่อนกันมากกว่าค่ะ เข้าใจกันตรงๆ มีปัญหาอะไรก็บอกก็พูดกัน บางทีเราไม่ต้องบอกแค่มองหน้ากันเราก็รู้แล้วว่าตอนนี้ใครมีปัญหา เราก็จะเข้ามากอดกัน ดูแลความรู้สึกกันด้วยคำพูด คอยให้กำลังใจซึ่งกันและกัน

บทบาทคุณแม่ของพยานรักทั้งคู่

ช่วงนี้คุณพ่อจะเริ่มมีบทบาทเยอะเราไม่ได้เลี้ยงลูกแบบว่า…ถ้าถามว่าประคบประหงมไหม ระดับหนึ่งค่ะ แต่ว่าก็จะดูแลในระดับหนึ่งอย่างใกล้ชิด ปล่อยได้ปล่อยเลี้ยงเปิดค่ะ อย่างที่บอกช่วงนี้เขาเป็นวัยรุ่นคุณพ่อก็จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น เพราะเด็กผู้ชายเหมือนกัน เขาจะมีดื่มมีสังสรรค์กับเพื่อนๆ เราก็รับได้นะ เพราะวันข้างหน้าต่อไปอาจจะต้องเจอเยอะกว่านี้ก็ได้ ก็มีความดุให้เขาเห็นบ้าง แต่คุณแม่จะดุไม่เท่าคุณพ่อ คือถ้าคุณพ่อพูดนะ คำเดียว จบ

วางอนาคตไว้ให้ลูกๆ อย่างไร

อยากจะวางนะคะ แต่ความจริงแล้วทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับเด็ก เราไม่บังคับว่าลูกจะต้องเป็นอย่างนี้นะ คือทำอะไรก็ตามอย่างที่เขามีความสุข เราสนับสนุนเขาเต็มที่ อย่างลูกคนโตตอนนี้จากที่ดูจะเห็นว่าเขาชอบทำหนังที่โรงเรียน เป็นผู้ผลิต เขียนบทเองวาดการ์ตูน ทำเลย์เอ้าท์ รวมทั้งถ่าย เขาเคยเอาการ์ตูนเลโก้ตัวต่อมาถ่ายเป็นหนัง เขาเริ่มทำตั้งแต่เด็กๆ ถ่ายทำเป็นรถพุ่งชนกำแพงลูกเอามาให้ดู แม่นั่งดูแบบอึ้งๆ นั่งทำปากหวอตอนนั้นเขาอยู่ป.1 เองนะคะ คือเขาจะเด่นด้านกิจกรรม เรียนไม่เด่น (หัวเราะ)

ฉายแววเหมือนคุณพ่อคุณแม่

มีบ้างค่ะ แต่ช่วงนี้ให้เรียนอย่างเดียวก่อน ตอนนี้น้องยังวัยรุ่นอยู่ ถ้ามาทางนี้ก็กลัวว่าจะไม่สนใจเรียน (อาจจะทำเบื้องหลัง?) อันนี้ก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ ต้องดูกันต่อไป แต่เขามีความสนใจด้านนี้ อย่างโรงเรียนมีทำละครเวทีเขาก็มักจะไม่ค่อยถูกเลือกให้อยู่เบื้องหน้า แต่จะเลือกให้อยู่เบื้องหลังตลอด ส่วนคนเล็กก็อยู่ในระหว่างการเลือก ยังไม่ชัดเจน สองคนจะต่างกันเลยค่ะ คนโตนี่จะเหมือนคุณพ่อมาก ถ้าวันหนึ่งเขาจะเข้าวงการเราอนุญาตแน่นอนค่ะ ตามใจ อยากอยู่ตรงไหนก็ขอให้ทำให้ดีที่สุด ทำเบื้องหน้าหรือเบื้องหลัง อยากทำอะไรก็ทำ ถ้าไม่เดือดร้อนใคร เราก็สนับสนุนเต็มที่ มีช่วงหนึ่งตอนลูกคนโตเล็กๆ มีคนชวนไปถ่ายโฆษณาแต่ปีเตอร์บอกว่าเขาไม่อยากให้ลูกเหนื่อยให้ถึงเวลาเขาก่อนแล้วกัน เพราะปีเตอร์เขารู้ว่าอยู่ตรงนี้เป็นยังไง เหนื่อยแค่ไหน

อัพเดทอาการบาดเจ็บของคุณสามี

ดีขึ้นเยอะแล้วค่ะ แต่ช่วงนี้เราก็เป็นห่วงเขาก็เลยตามมาดูแลเหมือนขาเขาเหลือข้างเดียว เกิดถ้าเขาล้มไปก็จะหนักเลยนะคือเขาไม่เคยป่วยหรือเป็นหนักขนาดนี้มาก่อน ตอนแรกที่ทราบข่าวตกใจมากค่ะ เพราะตอนนั้นเขาโทร.มาบอกว่าอยู่ Emergency ได้ยินเสียงหวอด้วย คือเขาอยู่ในรถพยาบาลฉุกเฉิน โทร.มาบอกว่าเขาขาหัก แต่โชคดีมีคนดูแลใกล้ชิด ตอนนี้ก็ดูแลกันไป ขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วงนะคะ

แล้วสุขภาพร่างกายของมุกเอง

ก็จะเริ่มเข้าฟิตเนส เพราะว่าด้วยอายุก็ต้องดูแลตัวเองมากขึ้น ระมัดระวังเรื่องอาหาร ไม่ทานเนื้อสัตว์มา 2 ปีแล้วค่ะ ถือศีลปกติ เราอยู่ตรงไหนมีความสุขก็อยู่ตรงนั้นทุกอย่างพิสูจน์ได้ค่ะ

บทบาทที่ปีเตอร์รับเล่นแล้วรู้สึกโดนใจ

เขาเล่นตัวร้ายเหมาะนะคะ แต่อยากจะเห็นเป็นแอ๊กชั่นดราม่า อย่างเรื่อง“กุหลาบตัดเพชร” ก็ยังไม่ได้ดูเต็มๆ แต่ที่ผ่านมาเขาเล่นบทแบบนี้ได้ดี แล้วตอนที่เขาไปเล่น “สตรีเหล็ก” อันนี้ไม่น่าเชื่อเลย (หัวเราะร่วน) ขำนะคะ เพราะเราก็จะรู้ไงว่าเขาเป็นยังไง ก็มีติดคาแร็กเตอร์กลับมาบ้านบ้างเวลาพูดก็ออกนิดหน่อย แต่ปีเตอร์เป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูงมาก เขารักการแสดงคนที่มาอยู่ตรงนี้ในระดับหนึ่งต้องมีความรักในการแสดง อย่างไข่มุกก็เหมือนกันทุกวันนี้ก็ยังเฉียดๆ กลายๆ อยู่ในวงการนี่แหละค่ะ คิดถึงวงการเสมอ มีออกเกมโชว์กับพี่ปีเตอร์บ้าง หรือถ้ามีโอกาสก็จะรับเล่นหนังเล่นละครตรงนี้ก็แล้วแต่ผู้ใหญ่เห็นสมควรค่ะ

ฝากแง่คิดเยาวชนคนรุ่นใหม่

จริงๆ ชีวิตคนเราก็มีแค่นี้นะคะทำอะไรให้ง่าย ชีวิตก็ง่าย ไม่ต้องไปมากมายอะไรมาก เทคโนโลยีต่างๆ เป็นสิ่งจำเป็น แต่เราไม่ต้องเอาตัวเราไปยึดติดอยู่กับมัน ความสงบมีความสุขที่สุด ทำชีวิตเราให้ง่าย แต่ไม่ใช่หยุดขวนขวายนะ ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดด้วยเช่นกันค่ะ

ขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้ไข่มุก และครอบครัวเข้มแข็งต่อสู้กับทุกปัญหาและความยากลำบากต่างๆ ไปได้ทุกสภาวะและขอภาวนาให้หนุ่มปีเตอร์หายเป็นปกติเร็วๆ นะคะ สู้ๆ ค่ะ

กุหลาบสีเงิน

star retro : 4 ทศวรรษ ตำนาน ‘แกรนด์เอ็กซ์’ กับการรวมตัวครั้งใหม่ในรอบ 14 ปี!!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/212771

วันอาทิตย์ ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2559, 06.00 น.
tags : star retro
เกริ่นกันสักนิด ก่อนจับเข่าคุยกับ 9 ชีวิต บุคคลในตำนานของวงการเพลงไทย สมาชิกวง “แกรนด์เอ็กซ์” ที่กลับมารวมตัวกันครั้งใหม่ หลังห่างหายกันไปร่วม 14 ปี

วงแกรนด์เอ็กซ์ เป็นกลุ่มศิลปินที่ประสบความสำเร็จสูงสุดและยาวนานที่สุดวงหนึ่งของประเทศ สามารถสร้างประวัติศาสตร์ การจำหน่าย เทปคาสเซ็ทแบบถล่มทลายมากกว่าหนึ่งล้านตลับเป็นครั้งแรก ในอัลบั้ม ลูกทุ่งดิสโก้ (ปี2522) และอีกหนึ่งล้านห้าแสนตลับในอัลบั้ม แกนด์เอ็กซ์ โอ (ปี 2524) พวกเขาโด่งดังยาวนานเป็นที่รักของแฟนเพลงทุกวัยอย่างต่อเนื่อง ผลงานเพลงทั้งหมดยังทรงคุณค่าอยู่ในความทรงจำ และหลายเพลงถูกนำไปเรียบเรียงและขับร้องใหม่หลายต่อหลายครั้ง

40 กว่าปีที่แล้ว วงดนตรีแกรนด์เอ็กซ์ ฉีกรูปแบบในการนำเสนอของศิลปินในยุคนั้น ด้วยภาพลักษณ์ที่สุภาพเรียบร้อย ประกอบกับฝีมือการเล่นดนตรีที่เฉียบขาดดุดัน ทำให้พวกเขาได้รับการยอมรับจากประชาชนทุกเพศทุกวัยตั้งแต่ผู้ใหญ่จนถึงวัยรุ่น นอกจากภาพลักษณ์ที่ดีงามแล้ว แกรนด์เอ็กซ์ยังเป็นวงที่มีการวางแผนงานอย่างเป็นระบบ และริเริ่มทำสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ ใส่ความทันสมัยของเครื่องดนตรี และเทคโนโลยีใหม่ๆ จัดกิจกรรมทางดนตรีอย่างมีรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น คอนเสิร์ต แฟนมีตติ้ง คอนเสิร์ตเปิดอัลบั้ม ซึ่งสามารถจำหน่ายบัตรได้อย่างถล่มทลาย และหลายคอนเสิร์ตที่สถานที่จัดงานถึงกับไม่สามารถรองรับแฟนเพลงจำนวนมหาศาลได้

“แจ้” ดนุพล แก้วกาญจน์ เล่าว่า “สมัยนั้นแกรนด์เอ็กซ์ไปเล่นที่หอประชุมจุฬาลงกรณ์ จนหลังๆ ครูบาอาจารย์ไม่ให้ไปแล้วครับ เพราะหอประชุมพัง (หัวเราะ) ที่สร้างใหม่มา ยังพูดถึงกันเลยว่าเคยพังเพราะวงแกรนด์เอ็กซ์ แต่ไม่ได้ตีกันนะครับ แฟนเพลงแกรนด์เอ็กซ์ไม่เคยมีตีกัน แต่คนดูแย่งกันจะดู เบียดกันจนกระจกแตก เพราะหอประชุมเขาไม่ได้สร้างมาเพื่อรับปริมาณคนมากมายขนาดนี้โรงหนังเอเชียก็พัง รายการโลกดนตรีต้องย้ายจากอัดในห้องส่ง ออกมาจัดข้างนอกก็เพราะแกรนด์เอ็กซ์ไปเล่น คนเบียดกันจนล้น กล้อง ประตูจะพัง เลยต้องย้ายออกมา ย้ายมาแล้วคนก็ดูเยอะ จนเลยไปถึงเกาะกลางถนน ปีนต้นไม้ดูก็มี เวลามีคอนเสิร์ต แฟนๆ จะมารอซื้อบัตรกันล่วงหน้า มากางมุ้งนอนก็มี ที่มีข่าวคนไปนอนรอซื้อบัตรเกาหลีสมัยนี้ สมัยก่อนพ่อ-แม่เขาก็เป็นมาก่อนนะ(หัวเราะ) แล้วเราก็เคยขับรถไปแอบดูช่วงที่แฟนๆไปนอนรอซื้อตั๋วด้วย เพราะกลัวว่าเขาจะไม่ปลอดภัยกัน”

แกรนด์เอ็กซ์ เป็นวงแรกและวงเดียวที่มีสื่อเป็นของตัวเอง ตั้งแต่ นิตยสารชื่อ IQ ที่คอยอัพเดทเรื่องราวต่างๆ ของวงให้กับแฟนเพลงได้ติดตาม มีรายการวิทยุเป็นของตัวเอง และยังมีโฆษกประจำวง

นอกจากนี้ วงแกรนด์เอ็กซ์ ยังเป็นวงแรกที่มีการตั้งกลุ่มแฟนคลับ และมีการดูแลจัดการอย่างเป็นระบบ โดยกลุ่มแฟนคลับจะเรียกตัวเองว่า “สายเลือดแกรนด์เอ็กซ์” หรือ Grand Ex’s Family และทุกคนมีบัตรประจำตัวสมาชิก นอกเหนือจากนั้น แฟนคลับทุกคนเสมือนคนในครอบครัว

“ต้อง” นคร เวชสุภาพร กล่าวว่า “ถ้าถามว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้วงแกรนด์เอ็กซ์กับแฟนๆ ผูกพันกัน ผมว่าหนึ่งเลยคือผลงาน
ที่ทำให้คนไม่ลืมเรา และคนรุ่นใหม่ๆ ก็หันมาศึกษาเพลงของเราด้วย สองคือปัจจุบันนี้ไม่ใช่เรื่องของรูปร่างหน้าตา อายุสรีระแล้ว แต่เป็นเรื่องของความศรัทธา เหมือนเราไปดูศิลปินเก่าๆ เราไม่ได้ไปดูว่าเขาแตกต่างจากเดิมไปแค่ไหน แต่เราไปดูเพราะเรารักเขา เราชื่นชมผลงานของเขาที่สำคัญคือแฟนๆ เขาจำได้ว่าสมัยเด็กๆ พวกเราเคยสอนอะไรเขาไว้ ให้เขาตั้งใจเรียน ให้เขาเป็นเด็กดี เชื่อฟังพ่อ-แม่ ไม่ต้องเอาดอกไม้มาให้ที่หน้าเวที ไม่ต้องมากอดจูบพวกเรา อะไรต่างๆ เรานี้ ทำให้ครอบครัวและผู้ปกครองของแฟนเพลงของเราให้การต้อนรับและไว้วางใจ จนกระทั่งเขาจบมหา’ลัย ไปเรียนนอกกลับมา เราผูกพันกับแฟนเพลงแบบนี้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องเล่นคอนเสิร์ต แค่ไปเจอเราที่ไหนเขาก็ดีใจครับ หลายคนที่เข้ามาหาเราแล้วบอกว่า เขาเป็นตัวเป็นตนก็เพราะแกรนด์เอ็กซ์ นี่คือหนึ่งในจำนวนนิดเดียว หรือบางคนบอกทุกเย็นต้องกลับมาฟังวิทยุ ให้เราสอนเขา นอกจากฟังเพลงเพราะๆ เราก็แทรกคำสอนให้เขา หนังสือ IQ เอามาดูได้เลยครับ ในนั้นมีแต่เรื่องสอนใจคนทั้งนั้น สิ่งเหล่านี้ทำให้แฟนคลับกับเราเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน”

 

ผลงานที่ส่งให้วงแกรนด์เอ็กซ์ โด่งดังเป็นพลุแตกคือ ชุด “ลูกทุ่งดิสโก้ 1” จากนั้นในปีต่อมา หลังการเข้ามาร่วมวงของ “แจ้”

ดนุพล แก้วกาญจน์ วงก็เข้าสู่ยุคฮอตฮิตติดลมบน โดยมีผลงานชุดที่ 4 อัลบั้ม “เขิน” ออกมาฉีกแนว สร้างปรากฏการณ์ใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นในวงการเพลง ตามมาด้วย อัลบั้ม “ผู้หญิง” (มี.ค. 2524) ที่มีเพลงเพื่อชีวิตอย่าง “แม่ใจร้าย” และเพลง “หัวใจมีปีก” ที่สร้างชื่ออย่างมากให้กับแจ้ ก่อนจะปล่อย “บันทึกการแสดงสดที่หอประชุมจุฬาฯ” ตามมาเป็นอัลบั้มชุดที่ 6 ในปี 2524 ในปีเดียวกันนั้น อัลบั้ม “แกรนด์เอ็กซ์โอ” ออกมาที่สร้างความแปลกใหม่ให้วงการเพลงไทยอีกครั้ง เมื่อนำเพลงลูกกรุงอมตะเก่าๆ มาเล่นและร้องใหม่ในสไตล์ของพวกเขา อัลบั้มนี้สร้างยอดขายเทปคาสเซ็ทถล่มทลายมากกว่า 1 ล้าน 5 แสนตลับ นับเป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของวง

“ที่มาของชื่อ “แกรนด์เอ็กซ์” คือ “Grand” ที่แปลว่ายิ่งใหญ่ และ Ex ซึ่งมาจาก “Experience” ที่หมายถึงฝีมือและประสบการณ์ครับ” ต้อง-นคร กล่าว

จากนั้นผลงานเพลงของพวกเขาถูกปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง อัลบั้มชุดที่ 8 “บุพเพสันนิวาส”, อัลบั้มที่ 9 “นิจนิรันดร์” และอัลบั้มที่ 10 “พรหมลิขิต” ที่มี “อ๊อด” ศรายุทธ สุปัญโญ มาเสริมความแกร่งของวง ผลงานเพลงอัลบั้มนี้จึงเจือไปด้วยกลิ่นความเป็นฟิวชั่นแจ๊ซ (ตามสไตล์ถนัดของอ๊อด) พร้อมกับการเรียบเรียงดนตรีที่สวยงามละเมียดละไมนับเป็นการเดินเข้าสู่สีสันใหม่ทางดนตรีของวงแกรนด์เอ็กซ์

ต้อง-นคร เล่าว่า “เราละเอียดถึงขนาด ภายในวงมีระเบียบเป็นข้อๆ เลยนะครับ พิมพ์เป็นระเบียบแจกทุกคนในวงว่าต้องประพฤติตัวยังไง ซึ่งไม่เกี่ยวกับเล่นดนตรีนะครับ ว่ากันแต่เรื่องความประพฤติว่าจะต้องเป็นตัวอย่างให้กับน้องๆ ยังไงบ้าง เพื่อจะเตือนทุกคนว่าถ้าเราทำอย่างนั้นได้ เราก็จะเป็นศิลปินในใจเขาตลอดไป”

แจ้-ดนุพล เสริมว่า “แกรนด์เอ็กซ์มีผู้จัดการวงครับ แล้วผู้จัดการก็มีสิทธิ์เต็มที่ รักษาผลประโยชน์ของวง ให้วงมีภาพลักษณ์ที่ดีที่สุด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องยอมเสียสละ บางข้อคนในวงอาจจะไม่ชอบ เพราะความเป็นศิลปินมักจะรักอิสระ อยากไว้ผมยาว อยากพูดอะไรก็พูด แต่ว่าเราเป็นองค์กรที่มีเป้าหมาย อยากเดินไปในทางเดียวกัน ก็ต้องยอมรับข้อตกลงร่วมกัน”

ต้อง-นคร “เราเคยถึงขนาด มีแฟนคลับจะฆ่าตัวตาย เราไปหาเขาถึงที่บ้าน เพื่อพูดให้เขายอมล้มเลิกความคิด สอนเขา ให้แง่คิดในการดำรงชีวิต ทุกวันนี้เขายังมีตัวตนอยู่ คือทุกคนในวงมีหน้าที่ตรงนี้ แล้วแต่ว่าใครจะเจอสถานการณ์แบบไหน เพราะฉะนั้นเรามากกว่าแฟนคลับศิลปิน คนที่ชื่นชอบเราถึงใช้คำว่าเป็น สายเลือดแกรนด์เอ็กซ์”

การเข้ามาของ อ๊อด-ศรายุทธ ได้ชื่อว่าเป็น ยุคสุดยอดของวงแกรนด์เอ็กซ์ เป็นความลงตัวในเรื่องฝีมือการทำงานเพลง ของศิลปินฝีมือฉกาจ ทั้ง 9 คน คือ ต้อง-นคร เวชสุภาพร (กีตาร์/หัวหน้าวง), แจ้-ดนุพล แก้วกาญจน์(ร้องนำ), เบิ้ม-ประสิทธิ์ ไชยะโท (กลอง), ตี๋-วสันต์ สิริสุขพิสัย (คีย์บอร์ด), แดง-เสน่ห์ ศุภรัตน์ (ทรัมเป็ต), แอ๊ด-ทนงศักดิ์ อาภรณ์ศิริ (เบส), รัก-พนัส หิรัญกสิ (แซ็กโซโฟน), เต๊ะ-โชคดี พักภู่ (ทรอมโบน) และ อ๊อด-ศรายุทธ สุปัญโญ (คีย์บอร์ด/ ซินธิไซเซอร์) ซึ่งทุกคนสามารถร้องเพลงได้ และแต่ละคนมีเพลงประจำตัว

ในหนึ่งอัลบั้มจะต้องมี 1 เพลงเพื่อสังคม

แจ้-ดนุพล “การแต่งเพลงของเราเริ่มจากนโยบายก่อนครับ เราต้องซื้อใจเด็กวัยรุ่น รุ่นเดียวกับเรา แล้วก็วางแผนกันว่าจะให้เพลงเราซึมซับเข้าไปในบ้านยังไง ให้พี่ป้าน้าอาเริ่มชอบ”

ต้อง-นคร “10 เพลงในแต่ละอัลบั้ม แกรนด์เอ็กซ์จะขอไว้เพลงหนึ่ง เป็นเพลงสร้างสรรค์ไว้ให้พ่อ-แม่สั่งสอนเด็ก อย่างเช่นเพลง อย่าหย่า, เดียวดาย, แม่ใจร้าย ถามว่าเป็นการตลาดไหม ก็เป็นการตลาด แต่เราคิดไว้แล้วว่าเป็นสิ่งที่อยากคืนให้กับสังคม เรามีโอกาส เพราะเรามีแฟนเพลง ถ้าเราไม่มีแฟนเพลงเราคงทำไม่ได้ คนฟังไม่เพราะ ไม่เป็นอะไร แต่อย่างน้อยเราได้สอนคน”

แจ้-ดนุพล “เพราะบางทีเด็กวัยรุ่นเขาเชื่อฟังเรามากกว่าเชื่อฟังพ่อ-แม่ เขารักเขาหลงใหล ยิ่งเขามั่นใจว่าเราชักจูงเขาไปในทางที่ดี เราก็อาศัยโอกาสตรงนี้ช่วยพ่อ-แม่เขาทางอ้อม เราไม่ได้ไปดุไปว่า แต่เรามีวิธีการสอนที่ทำให้เขาไม่เบื่อ”

อัลบั้ม “เพชร” ในปี 2526 คือผลงานที่ได้ชื่อว่าดีที่สุดของวง และเป็นเพชรแห่งวงการเพลงไทยที่ยังคงความคลาสสิกมาจนทุกวันนี้ โดยพวกเขาทำเพลงเอง แต่งเพลงเอง และมีบทเพลงเป็นตำนานมากมาย ตามด้วยอัลบั้ม “บริสุทธิ์” อีกหนึ่งผลงานของแกรนด์เอ็กซ์ ซึ่งที่มาของชื่ออัลบั้มนี้ มาจากการเกิดของหนูน้อย โต๋-ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร (ลูกชาย ต้อง-นคร) หลังจากอัลบั้มที่ 14 “ดวงเดือน” จึงเริ่มมีการแยกตัวของสมาชิกในวง แต่ผลงานเพลงของวงแกรนด์เอ็กซ์ยังไม่หายไปไหน และมีบทเพลงใหม่ๆเกิดขึ้นอีกมากมาย รวมถึงมีสมาชิกใหม่อย่าง โอ๋-ไอศูรย์ วาทยานนท์, จอนนี่ แอนโฟเน่, เอ-อริชัย อรัญนารถ และ ไก่-สุธี แสงเสรีชน เข้ามาเสริมทีม

พ.ศ.2545 วงแกรนด์เอ็กซ์จัดคอนเสิร์ตใหญ่ “Grand Exhibition” ที่อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี และจากครั้งนั้นก็ไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะกลับมารวมตัวกันอีกครั้งในรอบ 14 ปี เพื่อจัดคอนเสิร์ต “แกรนด์ เอ็กซ์ แกรนด์ คอนเสิร์ต” ที่จะมีขึ้นในวันที่ 18 มิถุนายน 2559 ณ อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี

จุดเริ่มต้นของคอนเสิร์ตครั้งนี้?

ต้อง-นคร : ก่อนหน้านี้ผมพบกับทางบีอีซีเทโรอยู่บ่อยๆ ครับ เพราะว่า โต๋ ลูกชายผมเป็นศิลปินสังกัดค่ายนี้ แล้วประมาณปีที่แล้วก็คุยกันว่าทำคอนเสิร์ตรวมแกรนด์เอ็กซ์ไหมเขาก็ถามผมว่าพี่เอาจริงรึเปล่า แน่ใจว่ารวมได้เหรอ เราก็บอกทำไมจะไม่ได้ พอเขาเอาจริงคุณไบรอันยืนยันว่าอยากทำจริงๆ ผมก็เลยไปปรึกษาแจ้ จริงๆ มีคนติดต่อมาเยอะนะครับ แต่พอดีเราเห็นการทำงานของที่นี่มาเยอะ การทำงานเขาอินเตอร์ และก็กล้าที่จะลงทุน ไม่ใช่เอาแต่กำไรอย่างเดียว เพราะเรื่องแสงสีเสียงเป็นส่วนที่สำคัญมาก เราต้องคุยกันรู้เรื่องก่อน ไม่ใช่อยากจะจัดอย่างเดียว แต่อย่างอื่นไม่ยอมลงทุน แล้วต้องมานั่งลำบากใจกัน ก็เลยส่งให้แจ้คุยต่อครับ เพราะรู้ว่าแจ้เขามีโครงการทำอัลบั้มเดี่ยว และคอนเสิร์ตเดี่ยวส่วนตัวอยู่ด้วย”

แจ้-ดนุพล : พอได้คุยกัน เราก็คิดว่าของเรามันออกเมื่อไหร่ก็ได้ แต่เหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้มาบ่อยๆ เลยขอทำคอนเสิร์ตรวมตัวแกรนด์เอ็กซ์ก่อนครับ

กระแสตอบรับของการรวมตัวกันอีกครั้ง?

ต้อง-นคร “บัตรจะเปิดขายวันแรก 30 เมษายนนี้ ที่ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ แต่ผมว่าถึงบัตรยังไม่เปิดขาย ตอนนี้ก็เต็มทุกที่นั่งแล้วครับ เพราะคนจ้องจะซื้อกันเยอะมาก บัตรอาจจะไม่พอด้วยซ้ำ แค่เราประกาศไปว่าจะมีคอนเสิร์ตคนอินบ๊อกซ์เข้ามาที่บีอีซีเทโรกันเยอะมาก แต่ที่เราเปิดรอบเดียว เพราะเราอยากให้ความพิเศษกับคนที่ซื้อบัตรจริงๆ เป็นลิมิเต็ดอิดิชั่น แต่ถ้าอยากดูจริงๆ ตามไปดูที่ต่างจังหวัดได้ครับ เปลี่ยนบรรยากาศกันครับ”

คิวคอนเสิร์ตในภูมิภาคต่างๆ เริ่มที่ หาดใหญ่ เสาร์ที่ 13 สิงหาคม ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล หาดใหญ่ / เชียงใหม่ เสาร์ที่
27 สิงหาคม ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา เชียงใหม่ แอร์พอร์ต และ ขอนแก่น เสาร์ที่ 24 กันยายน ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ขอนแก่น

ถูกยกไปเปรียบเทียบกับวงดิ อิมพอสซิเบิ้ล?

แจ้-ดนุพล “ พี่ต้อย-เศรษฐา วงดิ อิมพอสซิเบิ้ล ถือเป็นอาจารย์ เป็นไอดอลของพวกเราครับ อิมพอสซิเบิ้ลเป็นเหมือนผู้ที่เปลี่ยนแปลงดนตรี จากลูกกรุงมาเป็นรูปแบบของดนตรียุคใหม่ มีฮัมโมนี่ มีการเรียบเรียงเสียงประสาน ใช้ความเป็นสากลเข้ามาล้างหูคนไทย ใช้ศัพท์ว่า “สตริงคอมโบ้” เพียงแต่ว่าวงอิมพอสซิเบิ้ลเป็นอาจารย์ที่เขียนตำราไว้ยังไม่จบ แกรนด์เอ็กซ์เป็นแมสโปรดัก คือสามารถทำสิ่งเราเหล่านั้นให้เป็นจริง กระจายไปถึงคนทั้งประเทศได้ โดยการขายเทปคาสเซ็ทเล่นคอนเสิร์ต มีแอคทิวิตี้ต่างๆ นานาที่ทำให้สังคมการฟังเพลงของคนไทยเปลี่ยนใหม่ เลิกฟังเพลงสากลเพลงฝรั่ง หันกลับมาฟังเพลงไทย”

จะมีอัลบั้มใหม่ของวงแกรนด์เอ็กซ์ไหม?

แจ้-ดนุพล “เรายังไม่ได้คิดถึงตรงนั้นเลยครับ อยากให้คอนเสิร์ตนี้สำเร็จลุล่วงก่อน แล้วเราสามารถสร้างความสุขให้แฟนเพลง
หมื่นกว่าท่านแฮปปี้กลับบ้านไป นั่นคือความสุข หลังจากนั้นค่อยมาดูกันครับ ผมว่าคำตอบมีอยู่ในอากาศอยู่แล้ว แต่ทั้งหมดมันขึ้นอยู่กับว่าทุกคนจะต้องมีไฟที่อยากจะทำ”

ต้อง-นคร “หลังคอนเสิร์ตนี้ ทุกคนจะได้ประสบการณ์ใหม่มา เราก็จะรู้แล้วว่าหลังจากนี้ เราควรจะหยุด เลิกเล่นดีกว่า หรือเราเห็นอะไรบางอย่างที่แฟนเพลงตอบรับมา ก็ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์จากแฟนเพลงครับ เพราะการทำใหม่ ไม่ใช่ของง่าย ของเก่าๆ เราก็ทำไว้ดีแล้วจะทำให้ดีไปกว่าเดิม ค่อนข้างยาก”

อ๊อด-ศรายุทธ “แค่เพลงเก่าๆ ที่มีก็เลือกไม่ถูกแล้วครับ คิดมาหลายเดือนว่าจะเอาเพลงไหนมาเล่นในคอนเสิร์ตนี้บ้าง เอาเข้าเอาออก เพื่อจะให้สมบูรณ์ที่สุด เท่าที่เราจะทำได้ ลำบากที่สุดตอนนี้คือการคัดเพลง เพราะจาก 100% เหลือ 20% ไม่ใช่เรื่องง่าย ก็ต้องอ่านใจผู้ฟัง แล้วก็ดูความลงตัวเหมาะสมกับสภาวะปัจจุบันด้วยครับ”

ระยะเวลาของคอนเสิร์ต?

ต้อง-นคร “เราเล่น 2 ชั่วโมง 15 นาที ครับ แต่ละคนนี่แข็งแรงมากครับ จริงๆ อาจจะยาวกว่านั้นก็ได้ ผมว่าเป็นเวลาที่กำลังดี การดูคอนเสิร์ต 2 ชั่วโมง ผมว่าอิ่มพอดีๆ ไม่แน่นเกินไป คือเราน่ะไหวอยู่แล้วครับ แต่ต้องถามคนดูว่าเขาไหวไหม (หัวเราะ) เพราะคนดูผู้ใหญ่เขาต้องเข้าห้องน้ำ ทำธุระกัน แต่เราน่ะยิ่งเล่นยิ่งมันส์ครับ บนเวทียิ่งเล่นยิ่งสนุก สมมุติว่ากำลังเราเล่นได้ 100 ถ้าขึ้นเวทีจริงๆ จะได้ถึง 150 นี่คือความสนุก ยิ่งถ้าคนดูสนุกด้วยโอ้โห..ถึงไหนถึงกัน แต่ครั้งที่แล้ว ที่อิมแพคฯ เราทรมานคนเกินไป เล่นไปเกือบ 4 ชม.เราเข็ด เพราะบางคนบอกสนุกแต่มันยาวไปไม่ไหว เที่ยวนี้ก็เลยไม่อยากให้เกินกำลังของคนที่มาดูครับ เพราะไม่อย่างนั้นบางคนเขาต้องพลาดบางเพลงไป เพราะเขาดูไม่ไหว มันก็ไม่ยุติธรรมกับเขา เราเลยอยากให้ส่วนรวมได้เต็มที่ พอดีๆ ครับ เหมือนเราทานเยอะเกินไปก็จะเลี่ยนจริงไหมครับ”

แขกรับเชิญ?

แอ๊ด-ทนงศักดิ์ “คอนเสิร์ตเราระบุเลยว่าเป็นแกรนด์เอ็กซ์ เพราะฉะนั้นทุกคนที่มาก็อยากเห็นเรา 9 คนบนเวที แฟนคลับที่อยากให้เป็นแบบนั้น เพราะจริงๆ เราก็มีเพื่อนๆ ในวงการที่อยากจะมาร่วมเป็น Guest แต่สุดท้ายแฟนคลับเขาก็บอกว่าอยากดูแกรนด์เอ็กซ์ เหมือนเราอยากดูอีเกิลส์ เราก็อยากดูอีเกิลส์ให้เต็มอิ่ม พวกแฟนคลับเขาก็มีความคิดคล้ายๆ กับพวกเรา”

แจ้-ดนุพล “Guest ในคอนเสิร์ตนี้อาจจะมีมา 1 ท่านครับ แต่เรายังไม่ได้เลือกเลยครับว่าจะเป็นใคร ไม่ใช่ไม่บอกนะ แต่ยังไม่ทราบเลยครับว่าจะเป็นใครดี (มีเสียงแซวว่า : อาจจะเป็น ไมเคิล แจ๊คสัน) ชวนเขาแล้ว ไมเคิล แจ๊คสันเขาบอกไม่มา(หัวเราะ)”

ส่วนหนึ่งของตำนานผู้ปฏิวัติเพลงไทย มองเด็กรุ่นใหม่ในปัจจุบัน?

แจ้-ดนุพล “ส่วนตัวผม คิดว่าถึงเวลาที่ควรต้องปฏิวัติเพลงไทยอีกรอบ เพราะสมัยก่อนเพลงลูกกรุงฟังแล้วเรารู้ว่าเป็นเพลงไทย ฟังเพลงอินเดียถึงแม้จะแปลไม่ออก แต่เราฟังเราก็รู้แล้วว่านี่เพลงอินเดีย ฟังเพลงจีนทำนองมานิดหนึ่งเราก็รู้แล้วว่าเพลงจีน แต่ทุกวันนี้เราฟังเพลงไทย เราไม่รู้ว่าเพลงไทยหน้าตาเป็นยังไง ผมมองว่าเมโลดี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เรื่องทำนองสำคัญมาก เพราะสิ่งที่จะติดหูคนเป็นอย่างแรกคือทำนอง ก็ต้องฝากเด็กๆ รุ่นใหม่ เพราะเด็กสมัยนี้เก่ง แต่ไม่มีซิกเนเจอร์ ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง”

รัก-พนัส “เด็กรุ่นใหม่บางคนทำภาษาไทยวิบัติ บางทีฟังแล้วอึดอัด แต่ถามว่าเพลงดังไหม ดังแต่มันดังแค่ 3 เดือน พอหมด 3 เดือนก็ไม่มีคนฟังแล้ว”

ไม่ใช่เรื่องง่ายกับการสร้างตำนาน และยากยิ่งกว่ากับการยื้อความนิยมให้นานที่สุด ตลอดระยะเวลา 40 กว่าปี ทำไมวงแกรนด์เอ็กซ์ถึงไม่เคยสะดุด? จากบทสัมภาษณ์นี้น่าจะฉุดให้หลายคนซึมซับได้ .. พวกเขาเป็นศิลปินผู้สร้างสรรค์ แม้บางครั้งต้องแลกกับความสุขส่วนตัวบ้าง ก็พร้อมที่จะทำเพื่อแฟนๆ !!

Star Retro : มาดใหม่ ‘แจ็ค วง FLY’ คมจักร บุญรอด เจ้าของร้านอาหารสุดคลาสสิก ตอบโจทย์ชีวิตนักดนตรี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/211719

วันอาทิตย์ ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2559, 06.00 น.

จากคนเบื้องหน้า แจ็ค-คมจักร บุญรอด หรือ แจ็ค วง FLY หายหน้าหายตาไปพักใหญ่ สืบมาสืบไปได้ความว่า อดีตศิลปินคนดัง พบทางสงบของจิตใจ รวมถึงลุยธุรกิจด้านใหม่ ด้วยการผนวกเอาสิ่งที่รักและหลงใหลมาต่อยอดเป็นร้านอาหาร “คัลเลอร์บาร์ การ์เด้นท์” ปักหลักอยู่ที่เชียงใหม่ เพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตและครอบครัวในบั้นปลาย

เส้นทางสายดนตรี

ช่วงอายุ 20 ปี ผมเริ่มทำงานหาเงินได้เอง ตอนนั้นยังเรียนอยู่ที่วิทยาลัยครูสวนดุสิตช่วงปี 2 มีเพื่อนติดต่อให้ไปเล่นดนตรี เพราะมือกีตาร์ขาด ผมมีแต่กีตาร์โปร่ง ก็เล่นไปอยู่ประมาณ 3 เดือน แล้วอาจจะเป็นเพราะโชคชะตา มีคนมาชวนผมไปร่วมวงด้วย เล่นที่จันทบุรี ผมเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วยจนจบอนุปริญญาที่วิทยาลัยครูสวนดุสิต ด้านนิเทศศิลป์หลังจากนั้นก็เล่นดนตรีทุกวัน แทบจะไม่มีวันหยุด เล่นมาเรื่อยๆ จนอายุ 30 แล้วถึงได้ออกอัลบั้มกับวง FLY ซึ่งก่อนนั้นเพื่อนๆในวง FLY ก็เล่นตามร้านด้วยกันมา โดยมีพี่เต๋อ(เรวัต พุทธินันทน์) เป็นคนที่ปั้นเราขึ้นมา พี่เต๋อเป็นคนที่บรีฟงานวงผมเป็นวงสุดท้ายก่อนที่ท่านจะเสียครับ

หลงใหลอะไรในงานดนตรี

ผมเป็นเด็กที่ไม่รู้หรอกว่าชอบหรือไม่ชอบดนตรี แต่ว่าสมัยอายุประมาณ 10 ขวบบอกพ่อว่าอยากได้ของเล่น ซื้อรถบังคับวิทยุให้หน่อย แต่พ่อกลับซื้อกีตาร์มาให้ ผมก็งง แต่ที่แปลกกว่า คือพอได้มา เราก็เล่นเลย เล่นได้เพลงหนึ่ง ซึ่งผมก็ไม่รู้นะไม่มีใครสอน ทุกอย่างเป็นเอง พ่อเป็นทหารอากาศ แล้วก็เป็นนักร้องด้วย ตอนหลังผมเคยถามพ่อว่าทำไมถึงซื้อกีตาร์มาให้ พ่อบอกว่า เห็นผมไปนั่งดูคนอื่นเล่นกีตาร์แล้วก็รู้ว่าผมมีความชอบและสนใจ ผมเลยเข้าใจและรู้สึกว่า ความเป็นพ่อเป็นแม่คนนี่ เขารู้นะ ว่าทางที่ลูกชอบจะไปยังไง ทางไหน ตั้งแต่วันนั้นมาผมกลายเป็นคนที่เล่นกีตาร์ อยากเล่นเพลงอะไรก็เล่น อยากทำอะไรก็ทำ แล้วก็มีความสุขทุกครั้ง เพราะเวลาเล่น เพื่อนก็อยากจะร้องเพลงสมัยก่อนผมได้ฉายาว่า กีตาร์คิง คือตอนนั้นมีพี่แหลม กีตาร์คิง เพื่อนๆก็เลยยกให้ผมเป็นกีตาร์คิงอีกคน เพราะว่าเล่นกีตาร์ให้คนร้องเพลงได้ทุกคน เล่นได้หมด ใครร้องอะไร เล่นได้หมด เหมือนเป็นตู้เพลง

ที่มาของชื่อวง FLY

ตอนแรกเราชื่อวง THE FLY ครับ แต่พี่เต๋อเขาเคยทำโฆษณามาก่อน เขาบอกคำว่า FLY จำง่ายกว่า เลยได้ชื่อนี้มา วง FLY มีผลงานเพลงทั้งหมด 6 อัลบั้มครับอัลบั้มที่ 1 (Fly 12 ปีก) อัลบั้มที่ 2 (Fly Acoustic) อัลบั้ม 3 (แมลงเพลง) อัลบั้มที่ 4 (Fly 2 K) ชาวนากับงูเห่า อัลบั้มที่ 5 FLY MAN และอีกอัลบั้ม (Modifly) เอาเพลงมารีมิกซ์ทำเป็นแดนซ์ แล้ววงก็แยกย้ายกันไป ผมกลับมาทำเป็นโมดิฟลาย แล้วก็รู้สึกเหนื่อยมากไม่รู้เรากำลังทำอะไรอยู่ แต่ก็ลองอีกสักชุดหนึ่ง ไปทำอัลบั้มเดี่ยวของตัวเอง หลังจากนั้นก็พัก

ช่วงชีวิตตอนเป็น วง FLY

ถือเป็นช่วงชีวิตที่ดีที่สุดนะ เพราะวง FLY ทำให้ผมมีชื่อเสียงและรู้ตัวเองว่าเราเป็นใครทำอะไรได้บ้าง ผมเป็นคนแต่งเพลงเองในวง ผมจะเป็นคนที่เรียนรู้อะไรเร็ว ตอนแรกไม่ได้เป็นคนแต่งเพลงเก่ง แต่พอมาอยู่กับแกรมมี่ ต้องขอบคุณพี่เต๋อ เรวัต คือผมชื่นชมแกมากและชื่นชมมาตั้งนานแล้ว ผมรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้เก่งมาก ทำอะไรมาก็โดนใจคนหมดในยุคนั้นที่ผ่านมาผมก็อยากจะทำงานกับคนเก่ง ผมก็เลยพยายามทะเยอทะยานจนกระทั่งวง FLY ดังมากในภาพของวงเล่นกลางคืน ดังที่สุดละ ดังจนแกรมมี่เข้ามาคุย เข้ามาดิวก็เลยได้ทำงานกับพี่เต๋อ พอได้ทำก็เป็นอย่างที่เห็นประสบความสำเร็จ วง FLY มีข้อดีที่ว่าเล่นสดดีมาก เล่นสนุกกันมากๆ

ทุกวันนี้เพลง “ชาวนากับงูเห่า” ยังถูกหยิบมาเปิดอยู่บ่อยๆ

ต้องยกความดีความชอบให้คนแต่งเนื้อเพลง พี่นิ่ม สีฟ้าครับ คือผมทำเมโลดี้ ทำดนตรีไปให้พี่เขาเขียน พี่เขามองว่าตลาดของวง FLY กว้าง เป็นตลาดของชาวนา แล้วในมุมการเมืองก็จะมีคำพวกนี้อีก ค่อนข้างจะแมสกับสังคม สามารถใช้เพลงแตะเรื่องพวกนี้ ก็เลยทำให้กระแสเพลงนี้ดีและค่อนข้างดัง ต้องยกผลประโยชน์ให้พี่นิ่ม สีฟ้าแต่งเนื้อร้องดีมาก ตอนแรกผมดูเนื้อเพลง ซึ่งผมก็ไม่ได้เก่งขนาดเขานะ คิดว่าคล้ายเพลงเพื่อชีวิตเลย แต่พอทุกอย่างผสมผสานกันไปกับวง FLY กลายเป็นเพลงโมเดิร์นแบบใหม่ เลยได้รับความสนใจ เรียกว่าเป็นการปฏิวัติแนวเพลง รวมถึงปฏิวัติเรื่องแฟชั่นด้วย เพราะผมทำผมสีแดง ใส่กระโปร่งคือตอนนั้นไม่รู้คิดอะไร(หัวเราะ) ตัดเองทำเองทุกอย่างแล้วแฟนๆกลับชอบ

เหตุผลที่วง FLY แยกตัว

พูดตามตรงคือเมื่อถึงจุดอิ่มตัว นักร้องนำแยกตัวไป และวงการดนตรีเริ่มหาเงินยากแล้ว เทปผีซีดีปลอมมีเยอะ เราก็คนทำมาหากิน เมื่อไม่มีเงิน เราก็หาทางออกกันไป ตอนนั้นผมทำรายการอยู่ก็ประคองรายการไป จนสุดท้ายรู้สึกว่าอยากจะกลับไปดูแลครอบครัว ทำงานกับครอบครัวให้ชัดเจน เพราะว่าผมไม่ค่อยได้ดูแลครอบครัว ถ้าจะต้องดูแลก็คงจะเป็นช่วงนี้แหละครับ

โอกาสที่จะเห็นวง FLY กลับมารวมตัว

ยังไม่มีโอกาสเลยครับ แต่ก็ยังเจอกัน แค่ยังไม่ได้ประสานงาน หรือคุยกันเกี่ยวกับเพลง ผู้ใหญ่ก็มีตามๆ แต่ผมยังต้องดูธุรกิจที่เชียงใหม่ด้วย นี่ห่างมาทำธุระที่กรุงเทพฯ 2 วันก็เป็นห่วงแล้ว เรียกว่าตอนนี้น้อยครั้งมากจะมากรุงเทพฯ และแปลกอยู่อย่างหนึ่งตอนนี้เวลามากรุงเทพฯ ไม่ค่อยได้เจอเพื่อน ไม่ค่อยมีใครมาหา แต่พอไปอยู่เชียงใหม่ กลายเป็นว่ามีแต่คนอยากจะไปหาไปเที่ยว จริงๆ ผมเป็นคนไม่ค่อยอยากจะเปิดร้านนะ ขี้เกียจคุยกับคน แต่พอเปิดแล้ว ก็ต้องทำและคุย แล้วที่สำคัญไม่ได้คุยภาษาไทยด้วยต้องคุยภาษาอังกฤษกับฝรั่ง (หัวเราะ) บางทีก็มึนๆ ฟังไม่รู้เรื่องก็มี แต่ตอนนี้เริ่มชินมากขึ้น มีครูมาสอนภาษาอังกฤษ จริงจังขึ้น เวลาครูจะมาทดสอบก็จะเป็นแบบเด็กป.4 เริ่มเรียนกันอีกครั้งกับแฟนด้วย ได้น้องที่มาสอนเป็นชาวอเมริกันครับ

ธุรกิจที่กำลังไปได้สวย

ตอนนี้ผมเปิดร้านอาหารอยู่ที่เชียงใหม่ครับ เป็นร้านที่มีดนตรี เครื่องดื่ม และอาหารด้วย ที่นั่งประมาณ 40 โต๊ะ ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นฝรั่งเกือบ 90% เพราะใจจริงๆ ผมอยากเจาะกลุ่มตลาดฝรั่งอยู่แล้วด้วยความที่จังหวัดเชียงใหม่ เป็นเมืองท่องเที่ยวเราก็จะเน้นเพลงสากล เพลงไทยนี่แทบจะไม่ได้เล่นเลย เพราะว่าส่วนใหญ่จะเป็นฝรั่งกับคนจีน ร้านอยู่ตรงตลาดอนุสาร แถวไนท์บาร์ซ่า ก็จะมีฝรั่งมาเล่นดนตรีแจมด้วย มีดนตรีสดทุกวัน ส่วนผมเองก็ลงไปเล่นด้วยกับวงน้องๆ ที่เป็นวงสุดท้ายของแต่ละวัน เราจะเอานักดนตรีรุ่นใหม่อย่างเช่น พวกมหาวิทยาลัยราชภัฏที่เขาเล่นดนตรีได้ และร้องเพลงสากลได้ด้วย ก็ให้การบ้านเขาไป แนะนำวิธีการเล่นให้กับเขา ว่าจะเล่นอย่างไรให้ดึงลูกค้า เพราะเราก็มีประสบการณ์เรื่องดนตรี การทำเพลง ก็จะเอามาสอนเขา สมัยทำวง FLY ผมเป็นหัวหน้าวง ก็ต้องคิดวางแผนกันว่าวันนี้เราจะเล่นแบบนี้ หรือทำอะไร ซึ่งอันนั้นเราทำแค่วงเดียวของเรา แต่พอมีร้าน 1 วัน เราเล่นกัน 3 วงและรวมวงอื่นๆ ที่สลับไปมาในแต่ละวัน ก็จะมีทั้งหมด 7 วง ผมก็จะแนะนำว่าเล่นยังไงให้สื่อสารกับลูกค้าได้ อย่างเพลงภาษาอังกฤษถึงเราจะร้องไม่ชัดฝรั่งเขาก็เฉยๆ นะ แต่จะเน้นที่เมโลดี้มากกว่า ต้องไม่เพี้ยนสิ่งสำคัญคือความสนุกสนานและต่อเนื่อง

ชื่อร้าน คัลเลอร์บาร์การ์เด้นท์

ร้านเปิดมาประมาณ 3 ปีแล้วครับ ปีนี้เข้าปีที่ 4 ที่ใช้ชื่อนี้ เพราะคิดอะไรไม่ออก (หัวเราะ) ตอนนี้ฝรั่งก็จะตีความกันไปว่า เป็นคัลเลอร์ฟูของมิวสิก แล้วฝรั่งก็ยกให้ร้านผมเป็นบาร์ร้านอาหารที่เป็น คัลเลอร์ฟูมิวสิก ได้ที่หนึ่งของเชียงใหม่จาก 1,200 กว่าร้าน
ฝรั่งเขาจะรีวิวประมาณว่าอะเมชิ่งมิวสิก ที่นี่เฟรนด์ชิพมาก คือผมเป็นคนเล่นดนตรีในความรู้สึกเรานะ ผมอยากสร้างดนตรีให้คนรู้สึกว่า คุณเป็นใครมาจากไหนไม่รู้ล่ะ แต่มาอยู่ที่นี่ เราสนุกด้วยกัน เหมือนเวลาเราเล่นคอนเสิร์ต เราละลายพฤติกรรมคนให้มีความสุขแบบนี้ทุกวัน

เบนเข็มจากนักดนตรีเป็นเจ้าของธุรกิจเต็มตัว

เดี๋ยวนี้วงการเพลงผมว่าค่อนข้างจะพังนะ ผมรู้สึกอย่างงั้น เลยทำให้เรารู้สึกไม่ได้ตื่นเต้นหรือจะไปทำเพลงให้ดัง เพราะเรารู้สึกว่าเราได้ในสิ่งที่เราอยากได้มาหมดแล้ว ตอนนี้คิดอยู่อย่างเดียวว่าทำธุรกิจตัวเองเอาวิชาชีพของตัวเองมาขยายสร้างรายได้เอาเงินหมุนทุกวัน คืออย่างตอนวง FLY ดังมากๆ เต็มที่เราเล่นได้อย่างมากก็ 16 โชว์ ต่อเดือน ต้องเดินทางไป เดินทางมา แต่ตอนนี้ผมมีรายได้เข้ามาทุกวัน ได้เล่นดนตรีด้วย วันไหนอยากหยุดก็ปล่อยน้องๆ เล่นกันไป กลายเป็นเหมือนโปรดิวเซอร์ มิวสิกไดเร็กเตอร์ ผมทำเองหมด ไม่ได้มีหุ้นส่วนกับใคร

เหตุที่เลือกเชียงใหม่

เพราะภรรยาผมเป็นคนเชียงใหม่ครับ เลยย้ายไปอยู่เชียงใหม่ ที่อยากจะไปอยู่เชียงใหม่ เพราะตอนนั้นรู้สึกว่าไม่สนุกที่จะอยู่กรุงเทพฯ แล้ว กับวง FLY ก็ไม่ได้ทำอะไร มีโปรเจกท์นู่นนี่นั่นทำก็ไม่ชัดเจน แต่ก็พยายามทำรายการแมลงมันส์ ที่ค้างอยู่ให้จบ พอถึงเวลาก็แยกย้ายกันไป รู้สึกว่าเริ่มไม่ตื่นเต้นแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่าเหมือนเราต้องพยายามรักษาอะไรอีกก็ไม่รู้ และที่บ้านภรรยาเขาค้าขายอยู่แล้ว ผมก็เลยมองว่าเป็นแบบเดิมนี่แหละ แต่เอาสิ่งที่เรามีอยู่มาขยายผล ผมก็ดูแลเรื่องดนตรี ภรรยาก็ดูแลเรื่องการขาย สต๊อกเงินเข้าออกทั้งหมดทำกันอยู่สองคนสามีภรรยาครับ

พยานรักเติมเต็มชีวิตครอบครัว

ผมมีลูกสาว 2 คนครับ คนแรกกับภรรยาเก่าอายุ 27 ปี คนที่สอง 17 ปี คนโตทำงานเกี่ยวกับวงการโฆษณาอยู่ที่กรุงเทพฯ ส่วนคนเล็กอยู่ที่เชียงใหม่ คนเล็กจะเป็นเด็กอาร์ต เขาส่งผลงานทางอินสตาแกรมประกวดวันฮาโลวีนของอะไรไม่รู้นะแต่ได้อันดับที่ 9 ของโลก เขาทำกับเพื่อนเขา ตอนนี้เรียนอยู่ที่โรงเรียนวารีในเมืองเชียงใหม่ ปีนี้จบแล้ว ก็จะเข้ามหาวิทยาลัย ตกลงกันอยู่ว่าจะให้เข้าที่กรุงเทพฯ หรือ อยู่ที่เชียงใหม่ เพราะต้องดูแลธุรกิจด้วย เมื่อปีที่แล้วเขาได้ทุน FX ไปอยู่ที่อิตาลี เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนอยู่ 1 ปี พอกลับมาเราก็ปล่อยให้เขาเลือกเอง แล้วตอนนี้ที่ร้านคัลเลอร์บาร์ก็กำลังขยายตัว เพิ่มเป็น 3 สาขา ผมก็อยากให้ลูกสาวเข้ามาช่วยดูแล

อนาคตที่คาดหวังไว้

ตอนนี้ไม่มีอะไรมากกว่านี้แล้วครับ คือทำให้ดีที่สุดของทุกวัน ปกติผมก็เป็นคนที่ชอบอยู่ต่างจังหวัดอยู่แล้วด้วย ฉะนั้นการมาอยู่เชียงใหม่จึงเป็นเรื่องที่ดีมากเพราะว่าไปอยู่โน่นผมซื้อมอเตอร์ไซค์คันหนึ่ง แล้วก็ขับไปตามป่าตามเขาเดินทางง่ายๆ มีรถเก๋งไว้ขับไปกับครอบครัวอีกคันหนึ่ง

รายได้ประจำตอนนี้

โอเคมากๆ เลยครับ และรู้สึกว่ามีความยั่งยืน เพราะว่าเป็นธุรกิจของเราเอง อย่างวงดนตรียุคนี้พูดยากนะ ถ้างานไม่เวิร์กไม่ดีจริงๆ งานจ้างก็ไม่มีนะ พอไม่มีงานจ้างก็ลำบาก

ฝากความคิดถึงแฟนเพลง

ขอบคุณทุกคนและดีใจที่ได้บอกเล่าเรื่องราวให้กับแฟนๆ ติดตาม และฝากน้องๆ รุ่นใหม่ให้เต็มที่กับการทำงาน และชัดเจนรักษาความเป็นก้อนใหญ่ๆ กลมๆ รักษาภาพลักษณ์ของตนเองให้ได้ครับ

ใครที่ทนความคิดถึง แจ็ค วง FLY อยากเห็นฝีมือการเล่นดนตรีแบบสดๆ รวมถึงอยากเปลี่ยนบรรยากาศในการนั่งชิลแวะเวียนไปที่ร้านคัลเลอร์บาร์การ์เด้นท์เชียงใหม่ กันได้ค่ะ