เขาว่ากันว่า…คนไทยอ่านหนังสือไม่เกิน 8 บรรทัด?

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/life/work-life-balance/678421

วันที่ 17 มี.ค. 2565 เวลา 13:00 น.เขาว่ากันว่า…คนไทยอ่านหนังสือไม่เกิน 8 บรรทัด?

อ่านแล้วไปไหน? ตั้งคำถามกับอนาคตของวัฒนธรรมการอ่านไปด้วยกัน

‘การอ่าน’ หนึ่งคำสั้นกระชับประกอบด้วย 2 พยางค์ แต่มีความหมายล้านแบบแล้วแต่คนนิยาม การอ่านคือเพื่อน การอ่านคือความรู้ การอ่านคือการหลบไปในโลกแห่งจินตนาการส่วนตัว ฯลฯ

เพราะการอ่านไม่ต่างกับการเดินทางที่จะพาเราไปสำรวจความหมายและความเป็นไปได้ใหม่ๆ อยู่เสมอ แต่ละครั้งที่อ่านเราจึงอาจได้เพื่อนใหม่เป็นตัวละครจากวรรณกรรมสักเรื่อง เป็นคนที่จัดการอะไรได้ดีขึ้นจากหนังสือฮาวทูเล่มฮิต หรือแม้แต่การอ่านสเตตัสเฟซบุ๊กของเพื่อนสักคนที่ทำให้เราเห็นโลกในมุมที่ไม่เคยเห็น ทุกครั้งหลังอ่านอะไรสักอย่างจบ เรามักจะพบว่าเราเป็นคนใหม่ที่เดินทางมาไกลแล้วจากอดีต เพราะการอ่านพาเราเดินทางสู่อนาคตเสมอ

‘อ่านแล้วไปไหน?’ จึงเป็นคำถามที่อยากชวนทุกคนมาตั้งคำถามกับตัวเองว่า ‘การอ่าน’ ในนิยามของเรานั้นจะพาเราไปสู่สิ่งใด? มาเติมคำตอบในแบบของคุณไปด้วยกันในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 50 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 20 กับธีม ‘อนาคต’ ที่เชื่อว่าการอ่านจะพาทุกคนไปสำรวจเส้นทางใหม่ๆ ให้การอ่านทำให้อนาคตใกล้กว่าที่คุณคิด

อ่านอดีตเพื่ออ่านอนาคต: เขาว่ากันว่า…คนไทยอ่านหนังสือไม่เกิน 8 บรรทัด?

ว่ากันว่าคนไทยอ่านหนังสือไม่เกิน 8 บรรทัด หลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่าข้อมูลนี้จริงแค่ไหน? วัดจากอะไร แล้วกลุ่มตัวอย่างคือใครกันนะ? อ่านปีละ 8 บรรทัด หมายถึงทุกๆ เดือนครึ่งเราอ่านแค่คนละ 1 บรรทัดเท่านั้น รู้แบบนี้ยิ่งแอบเถียงอยู่ในใจว่าแค่อ่านสเตตัสเฟซบุ๊กเพื่อนก็เกิน 8 บรรทัดแล้วนะ แม้ประโยคนี้จะวนเวียนอยู่คู่สังคมนักอ่านและกลุ่มคนทั่วไป มายาวนาน แต่หากไล่ย้อนดูสถิติและงานวิจัยเรื่องการอ่านตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมากลับพบว่าข้อมูลที่ออกมานั้นสวนทางกับข้อความที่ว่าคนไทยอ่านหนังสือแค่ปีละ 8 บรรทัดอย่างสิ้นเชิง

ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติสำรวจการอ่านหนังสือของประชากรต่อเนื่องตั้งแต่ พ.ศ. 2548 – พ.ศ. 2561 โดยเก็บข้อมูลจากชาวไทย 55,920 ครัวเรือนตัวอย่าง ในทุกภูมิภาคและทุกช่วงวัย พบว่าคนไทยอายุ 6 ปีขึ้นไปใช้เวลาอ่านเฉลี่ยมากถึงวันละ 80 นาที ส่วนเยาวชนไทยเป็นกลุ่มที่ใช้เวลาอ่านหนังสือมากที่สุด อ่านเฉลี่ยวันละ 109 นาที

ไม่เพียงเท่านั้นแนวโน้มการอ่านของประชากรไทยยังเพิ่มขึ้นอีกด้วย โดยปี พ.ศ. 2551 มีอัตราการอ่านร้อยละ 66.3 และในปี พ.ศ. 2554 ร้อยละ 68.6 ส่วนปี พ.ศ.2561 อัตราอ่านของคนไทยเพิ่มขึ้นมาที่ร้อยละ 78.8 ที่สำคัญในจำนวนนักอ่านเหล่านี้มีผู้ที่อ่านหนังสือทุกวันมากถึงร้อยละ 54 และอ่านทุก 4-6 วันรองลงมา

โดยเฉพาะการอ่านของเด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 6 ปีที่อ่านด้วยตนเอง หรือผู้ใหญ่อ่านให้ฟังมีจำนวน 2.7 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 61.2 ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากปีก่อนๆ เช่นเดียวกับระยะเวลาการอ่านของน้องๆ หนูๆ ต่อวันที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าด้วย

ไม่เพียงข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติเท่านั้น ยังมีงานวิจัยจากสำนักงานอุทยานการเรียนรู้ (สอร.) ศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาสังคมและธุรกิจ (SAB) และสถิติของสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทยที่ยืนยันว่าในเวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมาคนไทยไม่ได้อ่านหนังสือปีละไม่กี่บรรทัดอย่างที่หลายคนเข้าใจ

เพราะการอ่านคือการเดินทาง วัฒนธรรมการอ่านจึงหลากหลายและไม่หยุดนิ่ง ไม่ต่างจากนิยามของการอ่าน เราทุกคนล้วนมีภาพในหัวของ ‘การอ่าน’ แตกต่างกันไป แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าภาพตัวแทนการอ่านในหัวใครหลายคนคือการอ่านหนังสือเล่มโต อัดแน่นไปด้วยความรู้ หรือวรรณกรรมเคร่งขรึมที่ชวนตั้งคำถามหรือสร้างแรงบันดาลใจให้ชีวิตมนุษย์เท่านั้น แต่เพราะการอ่านคือการเดินทาง วัฒนธรรมการอ่านจึงหลากหลายและไม่หยุดนิ่งตามไปด้วย

หากย้อนเวลากลับไปที่ยุคกรีกโบราณ นักปรัชญาสมัยนั้นบอกว่าการอ่านวรรณกรรมคือเรื่องอันตราย! โดยเฉพาะกับเยาวชน เนื่องด้วยเนื้อหาที่เป็นเรื่องแต่งอาจมอมเมาให้ผู้อ่านหลงไปในโลกแห่งความลวงได้ หรือหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีที่ล้วนยืนยันว่าช่วงก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 10 โลกตะวันตกเน้นการอ่านออกเสียง วัฒนธรรมการอ่านในใจหรือการอ่านที่ต้องการความเงียบเป็นสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นหลังจากนั้น

การอ่านนิทานให้เด็กฟังเพื่อพัฒนาการของเด็กในปัจจุบัน หรือวัฒนธรรมการอ่านในห้องสมุดที่ต้องการความเงียบสงบจึงผ่านการเดินทางมาไกลแสนไกลจากวัฒนธรรมการอ่านในอดีต แสดงให้เห็นว่าวัฒนธรรมการอ่านที่เราคุ้นเคยกันอยู่

ตอนนี้จึงอาจเป็นวัฒนธรรมการอ่านคนละรูปแบบกับวัฒนธรรมการอ่านเมื่อร้อยปีก่อน หรือพันปีก่อนอย่างสิ้นเชิง เช่นเดียวกับอนาคตของการอ่านนับจากวินาทีนี้มีที่อาจมีรูปแบบการเดินทางที่หลากหลายและไม่หยุดอยู่กับที่ แล้วแต่เราทุกคนจะช่วยกันแต่งแต้ม

แม้หลายคนจะคุ้นเคยกับวัฒนธรรมการอ่านในฐานะการอ่านหนังสือเล่มโตเท่านั้น แต่แนวโน้มการอ่านในปัจจุบันกำลังขยายตัวสู่แพลตฟอร์มใหม่ๆ โดยไม่จำกัดอยู่เพียงแค่หนังสือที่เป็นรูปเล่ม สถิติการอ่านหนังสือของคนไทยรวมเอาการอ่านหนังสือหรือบทความทุกประเภท ทั้งที่เป็นรูปเล่ม เอกสาร หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการอ่านผ่านสังคมออนไลน์ เช่น เฟซบุ๊ก ไลน์ อินสตาแกรม ทวิตเตอร์

สำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่าคนไทยอ่านข้อความจากสื่อสังคมออนไลน์มากที่สุดร้อยละ 61.2 โดยมีหนังสือพิมพ์รองลงมา ตามด้วยแบบเรียน และหนังสือทั่วไป อย่างไรก็ตามถ้าพูดถึงการอ่านแบบเป็นตัวบท นักอ่านยังเลือกอ่านหนังสือกระดาษมากกว่า e-book อย่างเห็นได้ชัด คงพอบอกได้ว่าวัฒนธรรมการอ่านในปัจจุบันมีความหลากหลายและเฉพาะตัวมากขึ้น การอ่านขยายตัวสู่การอ่านทุกรูปแบบ ทุกที่ ทุกเวลา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเราสามารถอ่านได้ทุกเวลาโดยการอ่านแต่ละแบบตอบโจทย์การใช้งานที่แตกต่างกัน

ผู้คนอาจไม่ได้ตามข่าวสารจากการอ่านหนังสือพิมพ์ก่อนออกจากบ้านตอนเช้า แต่ติดตามอ่านการสรุปข่าวจากอินฟลูเอนเซอร์ที่พวกเขาเชื่อถือผ่านเฟซบุ๊กหรือทวิตเตอร์แทน รวมถึงบางคนอาจเลือกอ่านนิยายแชทเป็นตอนๆ ผ่านแพลตฟอร์มนิยายออนไลน์ ก่อนตามซื้อหนังสือแบบรูปเล่มเพื่อเก็บสะสมแทน

รวมถึงรูปแบบหนังสือที่ผู้คนนิยมก็กำลังเปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน สถิติของสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทยช่วยให้เห็นเทรนด์จากนักอ่านมากขึ้น โดยหนังสือที่ขายดีที่สุดในงานหนังสือปี พ.ศ.2564 คือการ์ตูนและไลท์โนเวล และหนังสือประเภทหลักที่ได้รับความนิยมตลอดมาในงานสัปดาห์หนังสือคือ การ์ตูน รวมถึงนิยายวายที่กลายมาเป็นส่วนสำคัญของพัฒนาการวัฒนธรรมการอ่านและอุตสาหกรรมหนังสืออย่างไม่อาจปฏิเสธได้

เริ่มอ่านในแบบของเรา อนาคตในแบบของเรา

วัฒนธรรมการอ่านอาจมีรูปแบบต่างออกไปจากภาพที่ใครหลายคนคุ้นชิน แต่เพราะยังเคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่ง จึงแปลว่าวัฒนธรรมการอ่านในไทยยังมีชีวิต การอ่านทุกรูปแบบกำลังเพิ่มความหลากหลายและขยายความเป็นไปได้ของวัฒนธรรมการอ่านออกไปให้กว้างขวาง

การอ่านอนาคตจึงไม่ใช่แค่การอ่านรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นการอ่านที่เปิดกว้าง หลากหลาย คล้ายเป็นการเดินทางที่ทุกคนกำหนดเป้าหมายและอนาคตในแบบที่ตัวเองอยากเห็นได้ ไม่ว่าจะเป็นนักอ่านสายหลงใหลกลิ่นหมึกจากหนังสือแบบรูปเล่ม หรือเป็นสาย e-book เน้นพกพาสะดวก นักอ่านสายวรรณกรรมและข้อมูลเข้มข้น หรือสายนิยายวายไลท์โนเวลให้ชีวิตผ่อนคลาย กระทั่งสายอ่านออนไลน์ไล่อ่านตั้งแต่แคปชันอินสตาแกรมเพื่อนๆ ยันนิยายแชท เราทุกคนคืออนาคตของการอ่าน

มาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการอ่านที่แข็งแรงหลากหลายด้วยการ ‘อ่านอนาคต’ ไปด้วยกันในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 50 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 20 ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม – วันพุธที่ 6 เมษายน 2565 เวลา 10.00-21.00 น. (วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม เปิดให้เข้างานเวลา 17.00-21.00 น.) ณ สถานีกลางบางซื่อ

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/bookthai หรือสำรวจหนังสือแบบออนไลน์ก่อนได้ที่ https://www.thaibookfair.com

อ้างอิง วรรณกรรม : ประวัติศาสตร์เรื่องเล่าแห่งจินตนาการ = A little history of literature / John Sutherland ; แปล, สุรเดช โชติอุดมพันธ์

‘ลงมือทำ’ ทำด้วยกัน ทำด้วยใจ กลุ่มเซ็นทรัลพลิกโฉม ‘เซ็นทรัล ทำ’ ย้ำจุดยืนการพัฒนาอย่างยั่งยืน

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/life/work-life-balance/678393

วันที่ 17 มี.ค. 2565 เวลา 12:30 น.'ลงมือทำ' ทำด้วยกัน ทำด้วยใจ กลุ่มเซ็นทรัลพลิกโฉม 'เซ็นทรัล ทำ' ย้ำจุดยืนการพัฒนาอย่างยั่งยืน

กลุ่มเซ็นทรัล ขับเคลื่อนมิติใหม่ด้าน CSV พลิกโฉมกลยุทธ์ “เซ็นทรัล ทำ” ย้ำจุดยืนการพัฒนาอย่างยั่งยืน พร้อมเชิญชวนสังคมร่วมแสดงพลังของการ “ลงมือทำ” ด้วยภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่

ย้ำจุดยืนความเป็นผู้นำด้านการดำเนินโครงการเพื่อสังคมอย่างยั่งยืน กลุ่มเซ็นทรัล ใช้แนวคิดการสร้างคุณค่าร่วม (Creating Shared Values) เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต การศึกษา สังคม และสิ่งแวดล้อม ร่วมกันกับทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ชุมชน และองค์กร เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน ภายใต้โครงการเพื่อสังคมหลัก “เซ็นทรัล ทำ” ซึ่งมีแท็กไลน์ว่า ทำด้วยกัน ทำด้วยใจ

โดยความสำเร็จของ “เซ็นทรัล ทำ” ในปี 2564 ที่ผ่านมาครอบคลุมกว่า 44 จังหวัด ช่วยเหลือชุมชนกว่า 500,000 คน รวมกว่า 100,000 ครัวเรือน ทั่วประเทศ โดยสามารถสร้างรายได้คืนสู่ชุมชนผ่านการรับซื้อผลิตภัณฑ์ชุมชนเพื่อนำมาจำหน่ายในร้านเครือกลุ่มเซ็นทรัล มากกว่า 1,500 ล้านบาท และ ฟื้นคืนผืนป่ากว่า 2,000 ไร่ เป็นต้น อย่างไรก็ตามในปี 2565 กลุ่มเซ็นทรัลยังคงเดินหน้าอย่างเต็มกำลังด้วย 6 แนวทางการขับเคลื่อนเพื่อความยั่งยืน และ ปรับเพิ่มกลยุทธ์การสื่อสาร “เซ็นทรัล ทำ” – ทำด้วยกัน ทำด้วยใจ ผ่านภาพยนตร์โฆษณา “วงจรชีวิตของการทำ” เพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมและลงมือทำด้วยกันอย่างเข้มแข็งในการพัฒนาสังคมและชุมชนครบทุกมิติ

พิชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัล กล่าวว่า กว่า 75 ปี ของการดำเนินธุรกิจของกลุ่มเซ็นทรัล เรามีเจตนารมณ์อย่างแรงกล้าที่จะร่วมรับผิดชอบและมีส่วนร่วมต่อสังคมด้วยการขับเคลื่อนโครงการ “เซ็นทรัล ทำ” – ทำด้วยกัน ทำด้วยใจ โดยการร่วมมือกับทุกภาคส่วน ตั้งแต่ภายในองค์กร พนักงาน ผู้บริหาร สู่ภายนอกองค์กร ทั้งภาคประชาชน ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคีเครือข่าย บนพื้นฐานความเชื่อมั่นว่า “ความยั่งยืน” เกิดจากความมุ่งมั่นทำด้วยใจ และไม่สามารถสร้างได้ด้วยใครคนเดียว จึงต้องเริ่มต้นจากความร่วมมือกัน ตั้งใจทำ และมุ่งมั่นที่จะทำในระยะยาว

ทั้งนี้ การดำเนินโครงการเพื่อสังคม “เซ็นทรัล ทำ” ของกลุ่มเซ็นทรัลและบริษัทในเครือ มุ่งเน้นส่งเสริมความยั่งยืนจากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ ครอบคลุมทั้งการพัฒนาด้านการศึกษา, คุณภาพชีวิตที่ดี, การลดความเหลื่อมล้ำในสังคม, การสร้างอาชีพให้คนพิการ, การลดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและเพิ่มพื้นที่สีเขียว และ การพัฒนาสินค้าชุมชนในหลากหลายแนวทาง อาทิ พัฒนาผลิตภัณฑ์, สนับสนุนช่องทางการจัดจำหน่าย, การรับซื้อสินค้าโดยตรงจากเกษตรกร เพื่อสร้างรายได้ให้กับชุมชน รวมถึงการอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น ด้วยการต่อยอดการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์แบบวิถีชุมชน ซึ่งตลอดระยะเวลาการดำเนินธุรกิจภายใต้ “เซ็นทรัล ทำ” – ทำด้วยกัน ทำด้วยใจ เรามุ่งมั่น พัฒนาความเป็นอยู่ของทุกคน เพื่อให้ชุมชนเข้มแข็ง และสังคมเติบโตอย่างยั่งยืนและพึ่งพาตนเองได้

นอกจากนี้ เพื่อเป็นการนำเสนอความสำเร็จของ “เซ็นทรัล ทำ” พร้อมสร้างการตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมที่ทุกคนมีร่วมกัน ผ่าน “พลังของการลงมือทำ” ที่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่าและสร้างสังคมที่เราอยากเห็นร่วมกันได้ กลุ่มเซ็นทรัล จึงใช้กลยุทธ์การสื่อสาร “เซ็นทรัลทำ” – ทำด้วยกัน ทำด้วยใจ” ผ่านภาพยนตร์โฆษณา ที่ได้ผู้กำกับมากฝีมือ ณฐพล บุญประกอบ ผู้ฝากผลงานกำกับสารคดีชื่อดังและผู้เขียนบทภาพยนตร์ชื่อดัง มาร่วมตีโจทย์ออกมาเป็นภาพยนตร์โฆษณาในชื่อ “วงจรชีวิตของการทำ

ณฐพล บุญประกอบ ผู้กำกับภาพยนตร์สารคดีและผู้เขียนบทภาพยนตร์ กล่าวว่า “การออกแบบโครงสร้างของหนังเรื่องนี้มีแกนกลางอยู่ที่คำว่า “ทำ” โดยเริ่มต้นจากการลงมือทำแบบตามสะดวก ไม่จริงจัง จนค่อย ๆ ไต่ระดับไปสู่การลงมือทำ ร่วมมือกันทำ ตั้งใจและทดลองทำในสิ่งที่เชื่อมั่น ซึ่งปลายทางของหนังไม่ได้จบลงที่ผลิตภัณฑ์ชิ้นใด แต่เรา ต้องการสื่อสารให้คนดูเกิดแรงบันดาลใจจากเรื่องจริงของบุคคลและชุมชน รวมทั้งเชื่อในพลังแห่งการ “ลงมือทำ” เช่นเดียวกับผม ในฐานะผู้กำกับที่ผลลัพธ์ของการทำงานไม่ใช่แค่ได้หนัง 1 เรื่อง แต่คือการได้รับโอกาสในการเข้าไปสัมผัสพี่ ๆ ลุงป้าน้าอาที่ลงมือทำอย่างตั้งใจจริง ลงมือทำด้วยรอยยิ้มที่จริงจัง ทำให้ผมเกิดความรู้สึกถึงคุณค่าของการทำด้วยความจริงใจและมีเป้าหมายอย่างแท้จริง ซึ่งในทุกโครงการที่ปรากฎอยู่ในหนังเรื่องนี้ สำหรับผมถือเป็นประสบการณ์ที่มีค่าและเป็นประโยชน์มากครับ”

ทางด้าน สราวุธ วงค์กาวิน เกษตรกรคนรุ่นใหม่ ชุมชนแม่ทาออร์แกนิค จ. เชียงใหม่ หนึ่งในเกษตรกรที่ เซ็นทรัล ทำ ได้ร่วมสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจนเกิดผลลัพธ์จากการลงมือทำที่ประสบความสำเร็จ กล่าวว่า “กลุ่มเซ็นทรัล ได้นำความรู้ ความเชี่ยวชาญ เข้ามาส่งเสริมการทำงานในพื้นที่แม่ทา ทำความรู้จัก ทำความเข้าใจ ถึงสิ่งที่ควรส่งเสริมต่อยอดและส่วนที่ชุมชนต้องได้รับการเพิ่มเติม นอกจากนี้ยังมีการปรึกษาการทำงานร่วมกันกับชุมชนอย่างใกล้ชิด ส่งผลให้การพัฒนาชุมชนเป็นไปอย่างรวดเร็วและยั่งยืนอย่างครบวงจร เช่น การส่งเสริมการผลิตแบบสมาร์ทฟาร์ม, การบรรจุภัณฑ์ผลผลิต, อาคารคัดแยก-บรรจุที่ได้มาตรฐาน, รถห้องเย็นสำหรับลำเลียงพืชผักเพื่อคงความสด ใหม่ รวมทั้ง ท็อปส์ ยังรับซื้อผลผลิตเพื่อนำไปจำหน่ายและช่วยประชาสัมพันธ์ผลผลิตของแม่ทาให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางอีกด้วย”

อย่างไรก็ตาม ทางด้าน ทิศทางของ “เซ็นทรัล ทำ” ทำด้วยกัน ทำด้วยใจ นับจากนี้ จะถูกจัดทัพโครงการต่าง ๆ ที่ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เป็น 6 แนวทางการขับเคลื่อนเพื่อความยั่งยืน ดังนี้

1. ส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน สร้างอาชีพ และบรรเทาสาธารณภัย (Community & Social Contribution) ประกอบด้วย โครงการส่งเสริมการสร้างอาชีพและรายได้ให้แก่สมาชิกในชุมชนด้วยการยกระดับชุมชนผ่านการพัฒนาสินค้าชุมชน, การออกแบบบรรจุภัณฑ์, การเปิดช่องทางทางการสื่อสาร ขนส่ง และจัดจำหน่าย, การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชุมชนควบคู่กับการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม รวมถึงการช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนจากเหตุการณ์ภัยพิบัติต่าง ๆ

2. ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเสมอภาคในการเข้าถึงโอกาสอย่างเท่าเทียม (Inclusion) การดำเนินงานด้านการศึกษา พัฒนาทักษะความรู้ เติมเต็มโอกาสในการทำงาน และส่งเสริมด้านการกีฬาและสุขอนามัย เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับเด็ก เยาวชน คนพิการ และกลุ่มคนต่าง ๆ ในสังคม

3. พัฒนาศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ (Human Capital Development) การพัฒนาบุคลากร ตลอดจนส่งเสริมให้บุคลากรในองค์กรมีความรู้ความสามารถ มีทักษะในการปฏิบัติงานบนฐานความรู้ใหม่ได้ดียิ่งขึ้น เพื่อยกระดับศักยภาพและขีดความสามารถในการทำงานและการแข่งขัน

4. ขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนและการบริหารจัดการขยะมูลฝอย (Circular Economy & Waste Management) การดำเนินธุรกิจบนหลักการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีสำนึกความรับผิดชอบ ส่งเสริมความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม การลดปริมาณขยะมูลฝอย และการบริหารจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินธุรกิจและให้ทุกคนได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี

5. ลดการสูญเสียอาหารในกระบวนการผลิตและลดปริมาณขยะอาหาร (Food Loss & Food Waste Reduction) การจัดการอาหารส่วนเกินเพื่อลดปริมาณอาหารเหลือทิ้งตั้งแต่ต้นทาง ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนการใช้วัตถุดิบ การจัดการอาหารที่เหลือจากการจำหน่าย การแปรรูปอาหารที่ไม่สามารถรับประทานได้เป็นปุ๋ยอินทรีย์และก๊าซชีวภาพเพื่อนำมาสร้างประโยชน์หมุนเวียนต่อไป

6. ฟื้นฟูสภาพอากาศ ลดมลภาวะ และผลักดันการใช้พลังงานหมุนเวียน (Climate Action) ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจและให้บริการแก่ลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งแผงโซล่าร์เซลล์เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า การติดตั้งสถานีชาร์จรถไฟฟ้า การเพิ่มพื้นที่สีเขียวทั้งในและพื้นที่โดยรอบศูนย์การค้า และการปลูกป่าในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ

กลุ่มเซ็นทรัล มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจควบคู่กับความรับผิดชอบต่อสังคม ด้วยการพัฒนา รอบด้าน 360 องศา เพราะเราเชื่อว่าการเติบโตที่มั่นคงต้องอยู่บนการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งจะเกิดขึ้นเพราะพลังของการ “ลงมือทำ” ทำด้วยกัน ทำด้วยใจ”

ตะลุย 4 โซนเอาใจสายฟิต ในงาน Health & Fit Expo 2022 งานเดียวที่ตอบทุกไลฟ์สไตล์ Eat Play Fit

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/life/work-life-balance/678366

วันที่ 17 มี.ค. 2565 เวลา 09:48 น.ตะลุย 4 โซนเอาใจสายฟิต ในงาน Health & Fit Expo 2022 งานเดียวที่ตอบทุกไลฟ์สไตล์ Eat Play Fit

ตามมาฟิตให้สุด ปลุกชีวิตแบบเฮลตี้ ที่งาน Health & Fit Expo 2022 ที่เดียวตอบทุกไลฟ์สไตล์ Eat Play Fit เริ่มแล้ววันนี้ ถึง 20 มี.ค. 65 ที่เซ็นทรัลเวิลด์

บอกเลยว่างานนี้เหล่าคนฟิตและสายสุขภาพต้องมา!! กับงาน Health & Fit Expo 2022  งานเดียวที่รวมทุกสิ่งตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ Eat / Play / Fit เต็มอิ่ม 4 โซนจัดเต็มทั้ง HealthyLicious Zone รวมอาหารและขนมสายเฮลท์ตี้, Wellness Goods Zone สินค้าสุขภาพ, Health Innovation by NIA นวัตกรรมเพื่อสุขภาพฝีมือคนไทย และ Stay Fit Zone กิจกรรมสนุกอัพชีวิตแอคทีฟ โดย บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) จัดงานมหกรรมสินค้าเพื่อคนรักสุขภาพเต็มรูปแบบ สอดรับกระแสความนิยม เทรนด์เฮลตี้ที่มาแรงของทั้งคนรุ่นใหม่ และคนรุ่นใหญ่ที่หันมาออกกำลังกาย กินอาหารเพื่อสุขภาพกันมากขึ้น พร้อมเล็งเห็นโอกาสตลาดสุขภาพกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยงานเริ่มแล้วตั้งแต่วันนี้ – 20 มีนาคม 2565 ณ ชั้น 1 เซ็นทรัล คอร์ท และ โซนอีเดน ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ 

ภายในงานจะพบกับผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ 4 โซนหลักๆ ได้แก่

1 HEALTHYLICIOUS ZONE

อัพเดทเทรนด์ร้านอาหารสายคลีน พบกับเมนูอาหาร ขนม และเบเกอรี่ทางเลือกสำหรับคนรักสุขภาพ จากหลากหลายร้านดัง อาทิ

·      First Pride Plant Base Food จากพืช 100% อร่อยจนลืมว่าทำจากพืช คุณประโยชน์ครบถ้วนด้วยโปรตีน และไฟเบอร์ แต่คอเลสตอรอล 0%

·      GetFresh รวมอาหารเพื่อสุขภาพหลากหลายเมนูอร่อย รังสรรค์จากวัตถุดิบชั้นเลิศ ให้คลีน ลีน แบบไม่มีเบื่อ

·      Kleens Station สินค้าเพื่อสุขภาพทางเลือกใหม่สำหรับคนชอบออกกำลังกาย เเละรักสุขภาพ มีทั้งเบเกอรี่หน้าตาน่าทาน หวานน้อยอร่อยมาก แคลต่ำ

·      กันชง Cold Brew Coffee  กาแฟสกัดเย็นผสมกัญชา ใช้เมล็ดกาแฟ Arabica แท้ 100% ดื่มแล้วหลับสบาย ผ่อนคลาย ลดอาการปวดไมเกรนได้อีกด้วย

·      Healthiful by Central Food Hall รวมขนม ของทานเล่น กราโนล่า ซีเรียลบาร์ต่างๆ ให้สายเฮลท์ตี้ อร่อยเพลิน ไม่ต้องกลัวอ้วน

2 WELLNESS GOODS ZONE:

รวบรวมสินค้าและบริการเพื่อสุขภาพ ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก สำหรับดูแลร่างกาย ดูแลบ้าน และดูคนที่คุณรัก อาทิ

·      Senior Move ผู้ช่วยยุคใหม่ บริการพาผู้สูงอายุไปเที่ยว ไปพบแพทย์ หรือทำธุระต่างๆ สะดวกสบาย ปลอดภัย

·      Mega We Care วิตามิน และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร คุณภาพสูงได้มาตรฐานระดับสากล ครอบคลุมทุกปัญหาสุขภาพ

·      Ali Everyday Products ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจากธรรมชาติ สบู่เหลว น้ำยาล้างจาน น้ำยาซักผ้า น้ำยาทำความสะอาดพื้น เป็นมิตรต่อผิวและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

·      Agrowlab / Agrowplus ผลิตภัณฑ์จากกัญชง และกัญชา เพื่อสุขภาพหลากหลายชนิด อาทิ น้ำมันหอมระเหย, ยาหม่อง, สบู่อาบน้ำ

·      All About You รวมเครื่องสำอางและสกินแคร์ออร์แกนิกจากทุกมุมโลก ได้รับการยอมรับและผ่านการรับรองจากสถาบันนานาชาติ

3 HEALTH INNOVATION ZONE by NIA

โซนที่รวบรวมผู้ประกอบการไทยที่พัฒนานวัตกรรมสินค้าเพื่อสุขภาพ ได้มาตรฐานและได้รับรางวัลการันตี อาทิ

·      Prima Laser Therapy นวัตกรรมหมวกเลเซอร์ปลูกผม สำหรับแก้ปัญหาผมร่วง ผมบาง

·      APARA ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าจากสารสกัดที่ได้จากเซรั่มน้ำยางพารา ที่อุดมไปด้วยคุณสมบัติแห่งการบำรุงผิว 7 ประการ ผ่านการวิจัยและพัฒนามากว่า 20 ปี

·      SMILE FEET แผ่นรองเท้าที่ได้รับการออกแบบโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีงานวิจัยรองรับ ช่วยลดอาการปวดเท้าได้ถึง 75.5%

·      Taste’n Time มูสนมโภชนาการสูง นวัตกรรมเพื่อคนรักสุขภาพ อุดมไปด้วยส่วนผสมคุณภาพสูง อร่อย เข้มข้น อยู่ท้องและปลอดภัย เสริมการเจริญเติบโต ทานได้ทุกวัย

·      Vagaso Biotic Coffee ใช้เทคโนโลยีด้านชีวภาพหมักเมล็ดกาแฟ บ่ม และควบคุมปัจจัยต่างๆ เลียนแบบการหมักในกระเพาะชะมด ทำให้กาแฟมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร หอม นุ่ม กลมกล่อม และมีสารกาบาซึ่งเป็นมีประโยชน์ต่อร่างกายและระบบประสาท

4 STAY FIT ZONE

พบสินค้า Sportwear แบรนด์ดังราคาพิเศษจาก Super Sport และ Central Department Store พร้อมกิจกรรมสนุก ชวนมาอัพชีวิตให้แอคทีฟ อาทิ

“Fun & Fit with Physique57” ชวนคุณมาออกกำลังกายสนุกๆ ทำความรู้จักกับ “Barre Class” เทรนด์ออกกำลังกายแบบใหม่ ที่กำลังเป็นที่นิยมของสาวๆในยุคนี้ พร้อมเกมส์ “บีบบอล ชาเลนจ์” ประกอบเพลงสุดมันส์ ลุ้นรับ Physique 57 Fit Kit: 21-Day Challenge มูลค่า 1,150 บาท กลับไปออกกำลังกายที่บ้านอัพความฟิต ทวงคืนหุ่นปังภายใน 21 วันกันฟรีๆ (เฉพาะวันที่ 18-20 มีนาคม 2565)

อย่าพลาดกับงานมหกรรมเพื่อคนรักสุขภาพแบบครบวงจรแห่งปี กับงาน Health & Fit Expo 2022  มางานเดียวครบจบทุกความต้องการเพื่อสุขภาพที่ดี ตั้งแต่วันนี้ – 20 มีนาคม 2565 ณ ชั้น 1 เซ็นทรัล คอร์ท และ โซนอีเดน ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์  

G-SHOCK MR-G สุดยอดเรือนเวลาแห่งจักรพรรดิ์ 2022

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/life/work-life-balance/678252

วันที่ 16 มี.ค. 2565 เวลา 08:20 น.G-SHOCK MR-G สุดยอดเรือนเวลาแห่งจักรพรรดิ์ 2022

CASIO G-SHOCK รุกตลาดนาฬิการะดับพรีเมี่ยม ตอกย้ำภาพลักษณ์ผู้นำแบรนด์นาฬิกาในประเทศไทย เอาใจคอนาฬิการุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญด้านการลงทุนสินทรัพย์ พร้อมเผย New G-SHOCK Premium Model สุดยอดเรือนเวลาแห่งจักรพรรดิ์ 2022

CASIO G-SHOCK แบรนด์นาฬิกานำเข้าโดย Central Marketing Group ภายใต้ Central Retail Corporation พร้อมขยายส่วนแบ่งตลาดในประเทศไทย เตรียมรุกตลาดนาฬิการะดับพรีเมี่ยมเต็มตัว เอาใจคอนาฬิการุ่นใหม่ที่หันมาลงทุนสินทรัพย์ผ่านนาฬิกาหรูและรุ่นลิมิเต็ดต่างๆ พร้อมเปิดตัวนาฬิกาตัวท๊อปรุ่นใหม่ล่าสุด G-Shock MR-G (Majestic Reality G-Shock) ที่ได้รับคำชมว่าเป็น “สุดยอดเรือนเวลาแห่งจักรพรรดิ์แห่งปี 2022” เตรียมวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการภายในงาน Robinson The Ultimate Watch Fair 2022 at Fashion Island 22 มีนาคม – 3 เมษายน 2565 นี้ ที่ศูนย์การค้า แฟชั่น ไอส์แลนด์

คุณนรากร สะสม ผู้อำนวยการแบรนด์ CASIO Mega Brand ได้กล่าวถึงเหตุผลของการรุกตลาดในครั้งนี้ว่า “หากเอ่ยชื่อ CASIO G-SHOCK คงไม่มีใครไม่รู้จักอย่างแน่นอน แต่ในประเทศไทยนอกจากนักสะสมนาฬิกา ยังมีผู้บริโภคจำนวนไม่มากนักที่รู้ว่า G-Shock มีนาฬิการะดับพรีเมี่ยมอยู่หลายรุ่นที่บรรดาเซียนนาฬิกาและนักสะสมต้องแข่งกันจับจองเพราะจำนวนที่มีจำกัดในแต่ละปี ประกอบกับช่วงปีที่ผ่านมา พฤติกรรมผู้บริโภครุ่นใหม่เริ่มให้ความสนใจซื้อเพื่อสะสม เพื่อการลงทุนมากขึ้น ซึ่งลูกค้ากลุ่มเหล่านี้ยังคงมีการใช้จ่ายต่อเนื่อง หากพบกับรุ่นที่โดนใจ ทางแบรนด์จึงเห็นว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะรุกตลาดในส่วนนี้ พร้อมให้แบรนด์ CASIO G-SHOCK เข้าไปเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่คุ้มค่าเมื่อคุณคิดจะลงทุนกับนาฬิการะดับพรีเมี่ยม”

สาหตุหลักที่เหล่าคนรักนาฬิกาหันมาสนใจลงทุนกับ CASIO G-SHOCK ระดับ Premium ไว้ดังนี้

G-SHOCK นาฬิกาที่ทนทานที่สุดตลอดกาล

เรื่องราวอันเกิดจากแรงบันดาลใจของการสูญเสียนาฬิกาที่บิดาให้ไว้ดูต่างหน้า คุณ Kikuo Ibe วิศวกรหนุ่มของ CASIO จึงตั้งใจที่จะสร้าง “นาฬิกาที่ไม่มีวันพัง” และ ในปี 1983 การต่อสู้กับกฎแห่งธรรมชาติก็สิ้นสุด หลังจากความพยายามอย่างไม่ถ้อถอยมากว่าสองปีเต็ม เขาออกแบบนาฬิกาที่สามารถต้านทานแรงเหวี่ยงและการกระแทกเทียบเท่าการตกตึกสามชั้น หรือ 10 เมตร ทนแรงดันน้ำที่ 10 บาร์  และใช้งานได้นาน 10 ปีโดยไม่ต้องใช้แบตเตอรี่ก้อนใหม่ ตั้งแต่นั้นมา ชื่อ G-SHOCK ได้กลายเป็นคำกล่าวขานถึงการก้าวข้ามขีดจำกัดของนาฬิกาตลอดมา เพราะในสมัยนั้นแม้แต่นาฬิกาเรือนแสนก็ยังยากที่จะทำสิ่งเหล่านี้ได้

คุณค่าเหนือกาลเวลา

หลายคนคงปฎิเสธไม่ได้เลยว่า G-SHOCK ไม่ได้เป็นเพียงนาฬิกาแต่เป็น “นาฬิกาเรือนแรก” ของชีวิต เป็นเครื่องหมายแทนความทรงจำอันทรงคุณค่า ที่ไม่สามารถแปลค่าเป็นเงินได้ ด้วยสาเหตุนี้เอง G-SHOCK จึงได้ต่อยอดและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าตลอดเวลา อีกหนึ่งความพิเศษของ G-SHOCK Premium คือการผลิตชิ้นงานจากช่างฝีมือผู้มากประสบการณ์และโรงงานระดับพรีเมี่ยมในประเทศญี่ปุ่นที่ใส่ใจทุกรายละเอียด คุณจึงมั่นใจได้ว่า G-SHOCK Premium ที่คุณเป็นเจ้าของนั้นคือสุดยอดทั้งในแง่ของงานดีไซน์และเทคโนโลยีชั้นสูง พร้อมยังคงดีเอ็นเอแห่งความแข็งแกร่งที่สุดในวงการนาฬิกาเอาไว้ได้อย่างน่าทึ่ง

สินค้า G-Shock Premium นี้ประกอบด้วย:

G-Shock MR-G (Majestic Reality G-Shock)

“ความยิ่งใหญ่” และ “ความจริง”  สองคำนี้คือปรัชญาที่อยู่เบื้องหลังกลุ่มผลิตภัณฑ์ MR-G ซึ่งนำเสนอด้วยกระบวนการทำมือจากผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขา แสดงออกให้เห็นถึงจิตวิญาณของชาวญี่ปุ่นที่ภาคภูมิใจในงานศิลปะและวัฒนธรรมอันวิจิตรบรรจง   MR-G ได้กลายเป็นเรือนเวลาจักรพรรดิ์ของ G-Shock ที่เต็มเปี่ยมด้วยนวัตกรรมชั้นสูงอันได้แก่ ตัวเรือนซึ่งทำจากไททาเนียมคุณภาพสูงสุด น้ำหนักเบา การใช้วิศวกรรมวัสดุแบบพิเศษต่างๆ และเทคโนโลยีการผลิตที่เป็นนวัตกรรมผนวกกับความเอาใจใส่จากช่างฝีมือชาวญี่ปุ่นที่ผ่านการฝึกอบรมอย่างเข้มข้นหลายสิบปีเพื่อมาเป็นช่างประกอบมือ หรือ Master ให้กับ G-Shock MR-G ทุกเรือน ที่ผลิตจากเมืองยามากาตะ ประเทศญี่ปุ่น ทำให้ MR-G เป็นแบรนด์ระดับพรีเมียมของ G-Shock ที่นักสะสมทุกคนอยากเป็นเจ้าของ (ราคา 100,000 – 300,000 บาท)

G-Shock MT-G (Metal-Twisted G-Shock)

“โลหะศิลป์” การบิดเกลียวในโลกแห่งโลหะ ก้าวไปอีกขั้นกับการเดินทางที่ล้ำสมัยจากการผสมผสานโลหะศิลป์และเทคโนโลยีแห่งอนาคต ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างป้องกันหลักที่ทำจากสเตนเลสสตีลอันทนทาน และ เรซินเสริมคาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบา การตกแต่งผิวโลหะระดับพรีเมียม และโมดูลควบคุมด้วยสัญญาณคลื่นวิทยุ พลังงานแสงอาทิตย์พร้อม Bluetooth® เพื่อการแสดงและปรับเวลาอัตโนมัติที่รวดเร็วและแม่นยำ G-Shock MT-G ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายไว้ในนาฬิกาเพียงเรือนเดียวด้วยดีไซน์ทันสมัย เทคโนโลยีระดับสูง หรูหรา น้ำหนักเบา และแข็งแรงทนทาน ในทุกสภาวะ (ราคา 40,000-70,000 บาท)

G-Shock Full Metal (The Origin)

สำหรับผู้ที่ชื่นชอบงานดีไซน์แบบ “Signature” G-Shock Full Metal คือคำตอบ ด้วยการต่อยอดแรงบันดาลใจจาก G-Shock รุ่นแรก DW5000C รุ่น Original อันเป็นอัตลักษณ์ที่ยังคงความงามในตำนานแห่งโลกนาฬิกา มาพร้อมกับการอัพเกรดด้วยโครงสร้างสเตเลสสตีลแวววาวทั้งเรือน โดดเด่นด้วยตัวเรือนทรงสี่เหลี่ยมไร้กาลเวลา อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีและดีเอ็นเออันแข็งแกร่งตามแบบฉบับของ G-Shock (ราคา 20,000 – 70,000 บาท)

G-Shock MOG (Master of G-Shock)

พัฒนาเพื่อตอบสนองการใช้ชีวิตแบบสมบุกสมบัน ทนต่อทุกสภาวะทั้งทางอากาศ (G-Shock Gravity Master) บนบก (G-Shock Mud Master) และใต้ท้องทะเล (G-Shock Frogman) ผนึกฟังค์ชันก์การใช้งานชั้นสูงสำหรับทุกสภาพแวดดล้อม อาทิเช่น เข็มทิศดิจิทัล มารตวัดแรงดันอากาศ มารตวัดความสูงจากระดับน้ำทะเล เทคโนโลยีการป้องกันฟุ่นโคลน ฟังค์ชันก์การดำน้ำลึก GPS และอื่นๆอีกมากมาย

และเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในกลุ่ม Premium ทาง G-Shock จึงยึดหลักนโยบาย 4 Ps ในการดูแลลูกค้าเพื่อพัฒนาต่อยอด ยกระดับ และขยายกลุ่มสินค้า G-Shock Premium ในประเทศไทย

1. Premium Products – การนำเสนอสินค้าในกลุ่ม G-Shock Premium อย่างต่อเนื่อง และการเพิ่มการนำเข้าสินค้ารุ่น Limited Editions ในประเทศไทยเพื่อตอบสนองความต้องการของลุกค้าที่เพิ่มมากขึ้นในทุกๆปี

2. Private – การดูแลลูกค้าอย่างเป็นส่วนตัวด้วยบริการ Remote Personal Shopper เพื่อความสะดวกสบายในการเลือกชมสินค้าแบบหนึ่งต่อหนึ่ง สะดวก สะอาด ปลอดภัย และ รวดเร็ว

3. Privilege – สิทธิประโยชน์พิเศษ อาทิเช่น การเข้าชมและจองสินค้าในรอบ Exclusive Preview และ Pre-order, สิทธิประโยชน์วันเกิด และ กิจกรรมพิเศษต่างๆ รวมถึงการรับคะแนนเพิ่มเติมจาก T1 และ T1 exclusive

4. Peace of mind – การบริการหลังการขายแบบครบวงจรตลอดอายุการใช้งาน ศูนย์บริการลูกค้ามารตฐานจากCMG

New G-SHOCK Premium Model 2022

G-SHOCK MR-G สุดยอดเรือนเวลาแห่งจักรพรรดิ์ 2022

เปิดตัวปีเสือดุ 2022 ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วกับ G-Shock Limited Edition Year of The Tiger MTG-B1000CX-4AER และ SOLD OUT ในพริบตาในเดือนมกราคมที่ผ่านมา และในเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ ภายในงาน Robinson The Ultimate Watch Fair 2022 at Fashion Island  G-SHOCK เตรียมเผยโฉม MR-G B2000 พร้อมกันถึง 3 รุ่นได้แก่ MR-G B2000B-1A4 ในธีมสีแดง AKA-ZONAE, MR-G B2000B-1A1 สีดำ และ MR-G B2000D-1A สีดำเรือนเงิน ความแข็งแกร่ง ความงาม และความแม่นยำของ MR-G จักพรรดิ์แห่ง G-SHOCK สะท้อนให้เห็นถึงหัวใจสำคัญของงานหัตถศิลป์แบบญี่ปุ่นอย่างแท้จริง โดยชูเรื่องราวของความแข็งแกร่งผ่านแรงบันดาลใจชุดเกราะซามูไรในช่วงสงคราม โดยมีสีแดง AKA-ZONAE บ่งบอกถึงพลังและความเด็ดเดี่ยว เส้นรอบวงกรอบหน้าปัดนาฬิกามีพื้นผิวที่เรียบง่ายแต่งดงาม แรงบันดาลใจจากความโค้งที่นุ่มนวลของใบดาบซามูไรสะท้อนให้เห็นบนเครื่องหมายดัชนี หน้าปัดแสดงผิวเคลือบเจียรไนย์ซึ่งมีขอบและเส้นโค้งตัดแบบพัดญี่ปุ่น โดยมีเพียงเทคโนโลยีการผลิตแบบนาโนของ Yamagata Casio เท่านั้นที่สามารถผลิตได้

G-SHOCK MR-G รุ่นใหม่ทั้งสามรุ่นนี้ทำจากไทเทเนียมชุบเคลือบด้วยเทคนิคพิเศษ DLC หรือ คาร์บอนคล้ายเพชรที่กรอบตัวเรือน และสาย เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติต่าง ๆ มากมายอาทิเช่น การปรับเวลาเองอัตโนมัติด้วยคลื่นสัญญาณวิทยุเมื่อเดินทางไปต่างประเทศ พร้อมฟังก์ชั่น Bluetooth ในการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนสร้างความสะดวกสบายในการใช้งานในทุกมิติ โมดูลเอกสิทธิ์ของ MR-G ยังมีแผ่นยึดเคลือบทองเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการต้านสนามแม่เหล็กไฟฟ้า และกระจกคริสตัลแซฟไฟร์เคลือบป้องกันแสงสะท้อนบนหน้าปัดเมื่ออยู่กลางแจ้ง หมดกังวลเรื่องการเปลี่ยนถ่านหรือไขลานด้วยระบบพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งทั้งหมดนี้มาในขนาด 54.7 x 49.8 x 16.9 มม. และหนักเพียง 150 กรัมทำให้มั่นใจได้ว่าทุกรายละเอียดของนาฬิการุ่นนี้เปี่ยมด้วยพลังและความเป็นเลิศ

รุ่น  MR-G B2000B-1A4DR (สีแดง AKA-ZONAE) ราคา 98,000 บาท

รุ่น MR-G B2000B-1A1DR (สีดำ) ราคา 98,000 บาท

รุ่น MR-G B2000D-1ADR (สีดำเรือนเงิน) ราคา 85,600 บาท

สามารถเป็นเจ้าของ MR-G B2000 Serie ที่งาน Robinson The Ultimate Watch Fair 2022 at Fashion Island ตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม – 3 เมษายน 2565 พร้อมสิทธิพิเศษต่างๆ ภายในงานอีกมากมาย

ติดตามข้อมูลใหม่ๆ ได้ที่ Facebook : Casio Watches Thailand Instagram @casiothailand ช้อปปิ้งได้ที่ CHAT & SHOP >> @casiowatchcmg หรือ https://lin.ee/a96lBTJ และ Website www.casio-cmg.com

#GSHOCKTH

#CASIOCMG

#MRG

“สว่างไสว ศิวิไล” ความคิดสร้างสรรค์ที่พร้อมชุบชีวิตคนและเมือง

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/life/work-life-balance/678169

วันที่ 15 มี.ค. 2565 เวลา 12:33 น.“สว่างไสว ศิวิไล” ความคิดสร้างสรรค์ที่พร้อมชุบชีวิตคนและเมือง

ชุบชีวิตของผู้คนและเมือง ผ่านการรวมตัวของศิลปะและวัฒนธรรมร่วมสมัย “สว่างไสว ศิวิไล” ปลุกความคิดสร้างสรรค์พร้อมฉลองการใช้ชีวิตในทุกวันกับ SIWILAI ตั้งแต่วันนี้-27 มีนาคม 2565

จากความตั้งใจของ SIWILAI (ศิวิไล) ที่จะเชื่อมโยงผู้คนกับประสบการณ์ที่น่าสนใจและสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ ซึ่งเป็นหนทางในการส่องแสงแห่งความหวังไปสู่อนาคต เทศกาลศิลปะ “สว่างไสว ศิวิไล” จึงเกิดขึ้น เพื่อเป็นแพลตฟอร์มชุมชนที่สร้างสรรค์ความคิดเชิงบวก ส่งเสริมอิสรภาพในการแสดงออกและสร้างแรงบันดาลใจ ผ่านพลังของศิลปะและวัฒนธรรมหลากหลาย โดย SIWILAI ภูมิใจที่จะนำเสนอ สุดยอดผลงานศิลปะของศิลปินไทยร่วมสมัยที่คัดสรรมาเพื่อสนับสนุนและขยายขอบเขตศิลปะในท้องถิ่นให้แพร่หลายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ภายในงานผู้ชมจะได้รับเชิญเข้าร่วมเดินทางสำรวจจิตใจของศิลปินและกระบวนการสร้างงานเฉพาะบุคคลของศิลปินระดับแนวหน้าของประเทศ ตลอดจนจิตรกร ประติมากร ช่างภาพวิดีโอ นักออกแบบภาพเคลื่อนไหว ศิลปินจัดวาง และศิลปินหน้าใหม่ กับผลงานศิลปะชิ้นหายากและผลงานศิลปะที่รังสรรค์ขึ้นใหม่จากศิลปิน ได้แก่ ฤกษ์ฤทธิ์ ตีระวนิช, ไทวิจิต พึ่งเกษมสมบูรณ์, มิตร ใจอินทร์, ทัศนัย เศรษฐเสรี, หริธร อัครพัฒน์, จักกาย ศิริบุตร, เอจิ ซูมิ, ส้ม ศุภปริญญา, กรกฤต อรุณานนท์ชัย, ธนัช ตั้งสุวรรณ, หฤษฎ์ ศรีขาว, ณัฐดนัย จิตต์บรรจง, ณัฐพล สวัสดี, สะรุจ ศุภสุทธิเวช และ อลิสา ฉุนเชื้อ ที่เตรียมเปิดตัวผลงานเป็นครั้งแรก พร้อมเปิดโอกาสให้นักสะสมงานศิลปะสามารถจับจองเป็นเจ้าของผลงานศิลปะได้เฉพาะในงานอีกทั้งยังมีผลิตภัณฑ์ Limited Edition อาทิ เสื้อยืด หมวก ถุงผ้า ที่ออกแบบพิเศษโดยศิลปิน วางจำหน่ายเฉพาะงานนี้

นอกจากนั้น งาน “สว่างไสว ศิวิไล” ยังมุ่งเน้นประสบการณ์เชิงปฏิสัมพันธ์กับผู้ชม จึงจะจัดให้มีงานเสวนาพูดคุยกับศิลปิน เวิร์กช็อป งานดนตรี การนำชมผลงานศิลปะ ตลาดศิลปะ และกิจกรรมความร่วมมือด้านอาหารและศิลปะในช่วงสุดสัปดาห์รวมถึงไฮไลท์ของงานนี้ซึ่งเป็นงานเลี้ยงอาหารค่ำที่นำโดยสองครีเอเตอร์ชื่อดังระดับโลก ได้แก่ ศิลปิน ฤกษ์ฤทธิ์ ตีระวนิช และเชฟ เดวิด ทอมป์สัน (David Thompson), การแสดงสดของศิลปิน กรกฤต อรุณานนท์ชัย และ ธนัช ตั้งสุวรรณ พร้อมแขกรับเชิญทางดนตรีที่จะมาร่วมสร้างประสบการณ์เซอร์ไพร้ส์ รวมไปถึงมาสเตอร์คลาสการทำพาสต้าโดย Nam Nam Pasta and Tapas ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากผลงานของ มิตร ใจอินทร์, เวิร์กช็อปวาดภาพกับนักวาดภาพประกอบ Juli Baker and Summer หรือ ป่าน-ชนารดี ฉัตรกุล ณ อยุธยา อีกทั้งผลงานภายใต้การนำของ ไทวิจิต พึ่งเกษมสมบูรณ์ ที่จะมาเปลี่ยน ‘SIWILAI Café’ พื้นที่สำหรับจิบกาแฟและอิ่มอร่อยกับมื้ออาหารในช่วงกลางวัน ให้เป็น Soulid Ground Café นอกจากนี้ ยังพบกับงานดนตรีและอีเว้นท์ที่มีชีวิตชีวาจาก Quay Records, Horoza และกลุ่มนักสร้างสรรค์อื่นๆ ที่จะมาร่วมสร้างสรรค์พื้นที่ในเทศกาลศิลปะนี้ให้น่าตื่นเต้นยิ่งขึ้น

งาน “สว่างไสว ศิวิไล” จะจัดขึ้นในสถานที่ทั้งหมดของ SIWILAI (ร้าน SIWILAI Store, SIWILAI Café, SIWILAI City Club และ SIWILAI Sound Club) และบริเวณด้านหน้าและภายในศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี ตั้งอยู่บนถนนเพลินจิต รวมถึง เซ็นทรัล: ดิ ออริจินัล สโตร์ บนถนนเจริญกรุง ได้ถูกใช้เป็นพื้นที่ของศิลปะที่มีชีวิตตลอดทั้งเทศกาล นอกจากนี้ AP Thailand เตรียมจับจองพื้นที่บริเวณเอเทรียม สเปซ ชั้น G เซ็นทรัล เอ็มบาสซี เพื่อเปิดตัว “THE IDEAL WORLD STORE By AP” ที่เชิญชวนผู้ชมมาคิดถึงการสร้างโลกในอุดมคติ ด้วยมุมมองใหม่แบบไร้จากทุกข้อกำหนด

เทศกาล “สว่างไสว ศิวิไล” จัดโดย SIWILAI ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มในการนำเสนอความเป็นไทย และตอบรับกับการใช้ชีวิตที่แฝงไว้ด้วยความร่วมสมัย แสดงถึงการขับเคลื่อนไปในทิศทางเดียวคือการก้าวไปข้างหน้า โดยความร่วมมือกับ 3 แกลเลอรี่ชั้นนำของไทย ได้แก่ ARTIST+RUN, Gallery VER และ Bangkok CityCity Gallery สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมติดตามรายละเอียดได้ที่ Sawang Sawai Siwilai หรือชมวีดีโอได้ที่นี่ 

โฟกัสผิวบอบบางรอบดวงตา ด้วยคุณค่าจาก Aesop Exalted Eye Serum

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/life/work-life-balance/677899

วันที่ 11 มี.ค. 2565 เวลา 14:20 น.โฟกัสผิวบอบบางรอบดวงตา ด้วยคุณค่าจาก Aesop Exalted Eye Serum

Aesop กลุ่มผลิตภัณฑ์ Skin Care+ เผย Exalted Eye Serum ตัวช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิวที่บอบบางรอบดวงตา

เพราะผิวรอบดวงตาเป็นบริเวณที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ เนื่องจากมีลักษณะที่บอบบางและต้องการการฟื้นบำรุงที่เข้มข้นเพื่อผิวที่ชุ่มชื้น แข็งแรง ทั้งยังเป็นส่วนที่น้ำมันโดยธรรมชาติอยู่น้อย จึงมักแห้งและขาดน้ำได้ง่าย จนสังเกตได้ผิวรอบดวงตาที่หมองคล้ำ ไม่สดใส ไปจนถึงดวงตาที่ดูอ่อนล้า มีอายุ มีอาการแพ้ระคายเคืองต่อสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง รวมถึงอาการต่างๆ มักปรากฏขึ้นเมื่ออยู่ในสภาวะแวดล้อมที่ทำให้ผิวขาดน้ำได้ง่าย อย่างเช่น บนเครื่องบิน เป็นต้น

เพื่อรับมือกับสภาวะดังกล่าว Aesop จึงคิดค้น Exalted Eye Serum ที่เปี่ยมด้วยคุณค่าการบำรุงเพื่อฟื้นฟูผิวให้กลับชุ่มชื้นแข็งแรง ด้วยวิตามินนานาชนิด ได้แก่ วิตามินบี 3 วิตามินบี 5 วิตามินชี และวิตามินอี เติมเต็มน้ำหล่อเลี้ยงและปรับสมดุลความชุ่มชื้นให้กับผิวรอบดวงตา คืนสุขภาพผิวที่ดีจนสังเกตได้ถึงผิวที่เรียบเนียน อ่อนเยาว์ขึ้น ด้วยคุณค่าจากแพนธีนอลและโซเดียม คาร์ราจีแนน ช่วยเสริมสร้างการเก็บกักน้ำหล่อเลี้ยงผิวได้ยาวนาน อันเป็นคุณสมบัติหลักของ Exalted Eye Serum รวมถึง Pelvetia Canaliculata Extract ช่วยเสริมสร้างความเรียบเนียน ยืดหยุ่นให้กับผิว

ผลิตภัณฑ์ Exalted Eye Serum บรรจุในขวดแก้วสีอำพัน ปริมาณ 15 มล. พร้อมหัวปั๊มแบบกด ราคา 3,520 บาท

ด้วยคุณค่าอาหารผิวนานาประการ จึงทำให้ Exalted Eye Serum เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการส่งเสริมเติมเต็มความชุ่มชื้นผิวบริเวณที่บอบบาง พร้อมเอสเซนเชียลออยล์จาก Cedar Atlas และ Frankincense ซึ่งช่วยในการปลอบประโลมผิว ผสานกับ Juniper Berry Oil มอบกลิ่นหอมอบอุ่นเพื่อเพิ่มความสุนทรีย์ให้กับผู้ใช้ เพียงแค่หยดเซรั่มลงบนฝ่ามือ 2-3 หยด แล้วแต้มลงบนผิวรอบดวงตาด้วยปลายนิ้วอย่างเบามือ นวดเบาๆ จนเซรั่มซึมลงสู่ผิว หลังจากการทำความสะอาดและปรับสภาพผิวด้วยโทนเนอร์แล้ว จากนั้นจึงบำรุงผิวทั่วใบหน้าและลำคอ

ซูมเทรนด์ผม 3 ลุค 3 สไตล์บนรันเวย์ New York Fashion Week AW22

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/life/work-life-balance/677805

วันที่ 10 มี.ค. 2565 เวลา 14:55 น.ซูมเทรนด์ผม 3 ลุค 3 สไตล์บนรันเวย์ New York Fashion Week AW22

แจกไอเดียเสกผม 3 ลุค 3 สไตล์ เมื่อ Dyson ร่วมกับแฮร์สไตล์ลิสต์ Jawara และ Jon Reyman สร้าง 3 ลุคบนรันเวย์ New York Fashion Week AW22

นับเป็นอีกหนึ่งอีเวนต์แฟชั่นแห่งปี สำหรับ New York Fashion Week Autumn Winter 2022 ซึ่งได้จบไปอย่างสวยงามเป็นที่เรียบร้อย นอกจากหลากหลายผลงานจากดีไซเนอร์ที่เป็นที่พูดถึงแล้ว อีกหนึ่งองค์ประกอบที่สำคัญไม่แพ้กันและถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของงานนั่นก็คือการออกแบบทรงผม โดยในวันนี้เราได้เคล็ดลับและวิธีจัดแต่งทรงผมจากรันเวย์ NYFW AW22 ที่ Dyson ร่วมกับแฮร์สไตล์ลิสต์ชื่อดังอย่าง Jawara และ Jon Reyman ผสานความงามเข้ากับเทคโนโลยีเพื่อเส้นผมจนออกมาเป็น 3 ลุค 3 สไตล์ที่สามารถประยุกต์ได้วันที่ต้องการ

Dyson x Brandon Maxwell

Jawara, February AW22

เริ่มด้วยทรงผมจากคอลเลคชั่น Autumn Winter 2022 ของ Brandon Maxwell ที่ออกแบบทรงผมโดย Jawara ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากคุณยายของ Maxwell เอง โดยลุคนี้ถือเป็นการสดุดีความสง่างามแบบคลาสสิกของคุณยายผู้เป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจและแรงผลักดันให้ Brandon Maxwell สนใจด้านการออกแบบแฟชั่น โดย Jawara ได้ถ่ายทอดความสง่าแบบคลาสสิกนี้ออกมาด้วยองค์ประกอบอย่าง มวยผม ริบบิ้นประดับ และผมถักแบบโมเดิร์น โดยได้ความช่วยเหลือจากเทคโนโลยีของผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผมจาก Dyson อย่างเครื่องเป่าผม Dyson Supersonic และเครื่องหนีบผม Dyson Corrale จนได้ออกมาเป็นลุคบนรันเวย์ที่คุณก็สามารถประยุกต์ทำได้เองที่บ้าน 

1. เตรียมผมด้วยเครื่องเป่าผม Dyson Supersonic โดยเลือกใช้หัวเป่าตามลักษณะเส้นผมที่ต้องการ เริ่มด้วยการใช้หัวสำหรับเป่าเรียบ (Smoothing Nozzle attachment) กับแปรง Dyson Paddle Brush เป่าผมหมาดให้แห้งเพื่อลดผมชี้ฟูและทำให้ผมเปล่งประกาย

2. แยกผมกลางกระหม่อมด้วยหวีหมุดจากนั้นใช้หัวเป่าจัดแต่งทรง (Styling Concentrator attachment) ของเครื่องเป่าผม Dyson Supersonic โดยเป่าลมไปยังโคนผมทั้งสองข้างเพื่อสร้างแสกผมที่ชัดคม

3. จากนั้นใช้เครื่องหนีบผม Dyson Corrale เพื่อสร้างลุคผมตรง โดยสามารถเลือกระดับความร้อนเพื่อให้เข้ากับสภาพเส้นผม จากนั้นหนีบผมให้ตรงสวยตลอดโคนผมจรดปลายผม โดยเครื่องหนีบผม Dyson Corrale เป็นเครื่องหนีบผมเครื่องแรกและเครื่องเดียวที่ใช้เทคโนโลยี flexing plate แผ่นโลหะยืดหยุ่นที่สามารถทำให้จัดทรงได้ง่ายขึ้นด้วยความร้อนที่น้อยลง ทำให้ผมไม่สัมผัสกับความร้อนที่มากจนเกินไป

4. ต่อไปจะเป็นส่วนของผมถักแบบโมเดิร์น โดยเลือกช่อผมประมาณ 1 นิ้วจากทั้งสองฝั่ง ถักเป็นเปียตรงกลางเริ่มจากบนลงไปจนถึงต้นคอ จากนั้นใช้ยางมัดเก็บผมที่เหลือตรงต้นคอ ตามด้วยทัดผมข้างๆ ไว้หลังหูและสร้างมวยผมพร้อมจัดสไตล์ตามต้องการ จบด้วยสเปรย์จัดทรง และตกแต่งด้วยริบบิ้นสีดำ

5. จบลุคให้เรียบร้อยด้วยหัวเป่าลดผมชี้ฟู (Flyaway attachment) ของ Dyson Supersonic ที่ช่วยเก็บผมชี้ฟูด้วยความร้อนต่ำ เก็บปลายผมชี้ฟูบริเวณด้านหน้า โดยหัวเป่านี้เป็นเพียงหนึ่งในหลากหลายหัวเป่าที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบรับความหลากหลายของการจัดทรง โดยในเช็ตของเครื่องเป่าผม Dyson Supersonic จะประกอบด้วย หัวสำหรับเป่าเรียบ (Smoothing Nozzle attachment) หัวเป่าลมอ่อนโยน (Gentle Air attachment) หัวเป่ากระจายลม (Diffuser attachment) หัวเป่าจัดแต่งทรง (Styling Concentrator attachment) และหัวเป่าลดผมชี้ฟู (Flyaway attachment)

Dyson x Christian Siriano

Jon Reyman, February AW22

ต่อมาในคอลเลคชั่น Autumn Winter 2022 ของ Christian Siriano ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากยุค 80 และ 90 ได้สไตล์ลิสต์ผมอย่าง Jon Reyman ที่ออกแบบทรงผมที่ส่งเสริมการใช้แสงเงาที่แข็งแรงของ Siriano โดยทั้งสองคนได้ร่วมกันผสานเทคโนโลยีเข้ากับความงามของสตรีจนได้ออกมาเป็นลุคที่ชวนฝันแต่ในขณะเดียวกันก็ทรงพลัง ด้วยลุคผมเงางามที่ประดับด้วยลูกปัด คริสตัล และจีบผม

1. เตรียมเส้นผมด้วยเครื่องเป่าผม Dyson Supersonic โดยเลือกใช้หัวเป่าตามลักษณะเส้นผมที่ต้องการ ใช้หัวเป่าแบบ Smoothing Concentrator กับแปรง Dyson Paddle Brush เริ่มต้นการจัดทรงเส้นผมด้วยการไดร์ด้วยลมที่แรงและแม่นยำจาก Dyson Supersonic

2. จากนั้นแสกกลางและลงผลิตภัณฑ์จัดทรงที่เพิ่มความเงางาม และใช้เครื่องหนีบผม Dyson Corrale ตลอดเส้นผมทั้งสองข้าง โดยผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นแสกผมที่เงา ให้ความ wet look ที่ศีรษะด้านหน้าและด้านบน

3. ทัดผมทั้งสองข้างไว้หลังหู และรวบบริเวณต้นคอและฉีดสเปรย์ทั่วทั้งหัวเพื่อล็อก และให้ผลิตภัณฑ์แต่งผมเซ็ตตัวโดยสามารถติดแฮร์คลิปเพื่อป้องกันผมหลุดทรง ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที และปล่อยก่อนเริ่มรันเวย์

4. Finish look ด้วย Dyson Supersonic อีกครั้งด้วยหัวเป่าลดผมชี้ฟู (Flyaway attachment) ตั้งแต่โคนจรดปลาย และเพื่อเพิ่มความ ดราม่าและลูกเล่น ประดับแสกผมด้วยลูกปัดและคริสตัล และสร้างจีบผมด้านหลัง

Dyson x Peter Do

Jawara, February AW22

มาถึงลุคสุดท้ายจากคอลเลคชั่น Autumn Winter 2022 ของ Peter Do ที่นำเสนอพลังและความมั่นใจ โดยสไตล์ของทรงผมจาก Jawara ใช้การจัดทรงในลุคเรียบแต่คมให้อารมณ์แบบ Futuristic ด้วยเทคโนโลยีในผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผมจาก Dyson 

1. เริ่มด้วยการหนีบผมให้ตรงด้วยเครื่องหนีบผม Dyson Corrale Straightener โดยเริ่มจากผมบริเวณด้านหลังจากต้นคอจนถึงผมด้านหน้า

2. ขั้นต่อไปให้แบ่งผมเป็น 2 ส่วน โดยใช้หวีหมุดแบ่งผมในแนวนอนโดยใช้เส้นระหว่างหูเป็นตัวแบ่ง ซึ่งจะได้ผมช่อบนบริเวณเหนือหูขึ้นไป และผมช่อล่างบริเวณล่างหู โดยเราจะโฟกัสที่ผมช่อบนบริเวณเหนือหู ใส่เจลแต่งผมบริเวณโคนผมและหวีไปด้านหลังโดยทัดผมด้านข้างไว้หลังหู

3. จากนั้นใช้หัวเป่ากระจายลมของเครื่องเป่าผม Dyson Supersonic hair dryer เพื่อช่วยให้ผมเซ็ตตัว โดยหัวเป่าแบบกระจายลม (Diffuser attachment) ถูกออกแบบเพื่อกระจายลมอย่างสม่ำเสมอเพื่อการจัดทรงโดยไม่ทำให้ผมเสียทรง ผสานกับเทคโนโลยี Air Multiplier ทำให้สามารถได้กระแสลมที่แรงและควมคุมทิศทางได้ทำให้ลดการเกิดผมชี้ฟูและเพิ่มความนุ่มสลวยและเงางาม

4. ฉีดสเปรย์ให้ทั่วเพื่อล็อคทรงผม

โดยทั้ง 3 ลุคนี้ ได้ตัวช่วยอย่างเครื่องเป่าผม Dyson Supersonic ที่มีเทคโนโลยี Air Multiplier ทำให้ได้กระแสลมที่แรงและสามารถควบคุมทิศทางได้อย่างแม่นยำทำให้การจัดทรงผมนั้นง่ายและยังช่วยลดผมชี้ฟูอีกด้วย ในส่วนของลุคผมตรงก็ได้เครื่องหนีบผม Dyson Corrale ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี Flexing Plate ที่มีใน Dyson Corrale เท่านั้น ทำให้สามารถหนีบผมได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยความร้อนที่น้อยลง ไม่ทำร้ายเส้นผมจากความร้อนที่มากเกินทำให้ผมสวยและดูเงางาม โดยใครอยากลองทำตามหรือประยุกต์ 3 ลุคดูก็อย่าลืมหาตัวช่วยได้ที่ Dyson Demo Stores ทั้ง 4 สาขา; สาขาเซ็นทรัลเวิร์ล, สาขาเซ็นทรัล ลาดพร้าว, สาขาไอคอนสยาม, และสาขาสยามพารากอน หรือสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Dyson.co.th

TIMEX ร่วมกับ PEANUTS จับ SNOOPY สวมนวมอวดลีลาแม่ไม้มวยไทยสู่สายตาชาวโลก

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/life/work-life-balance/677798

วันที่ 10 มี.ค. 2565 เวลา 14:28 น.TIMEX ร่วมกับ PEANUTS จับ SNOOPY สวมนวมอวดลีลาแม่ไม้มวยไทยสู่สายตาชาวโลก

TIMEX X PEANUTS MUAY THAI ผลงานคอลลาโบเรชั่นอันน่าตื่นเต้น เอ็กซ์คลูซีฟพิเศษสำหรับแฟนๆ ชาวไทยเท่านั้น!!

ถึงเวลาเขย่าหัวใจของแฟน ๆ ชาวไทยอีกแล้วเมื่อนาฬิกา TIMEX จับมือกับ PEANUTS  สร้างสรรค์ผลงานคอลลาโบเรชั่นสุดพิเศษที่จะเกิดขึ้นที่ประเทศไทยที่เดียวเท่านั้น กับ TIMEX X PEANUTS MUAY THAI ใครล่ะจะไปคาดคิดว่าวันหนึ่งจะได้เห็นตัวการ์ตูนอันเป็นที่รักตั้งแต่วัยเด็กอย่าง SNOOPY มาจับนวมพร้อมวาดลีลาแม่ไม้มวยไทยออกสู่สายตาชาวโลกแบบที่ทุกคนกำลังดูอยู่ตอนนี้ นี่ถือเป็นอีกหนึ่งรุ่น LIMITED EDITION ที่เราภูมิใจนำเสนอทุกๆคนเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าใครก็ไม่มีเหตุผลที่จะพลาด TIMEX X PEANUTS MUAY THAI ไปได้แล้วล่ะ อย่าพลาดโอกาสที่จะเก็บสะสมคอลเลคชั่นอันเลอค่าครั้งนี้เพราะสินค้ามีจำนวนจำกัดเพียง 50 เรือนเท่านั้น!

อีกหนึ่งความพิเศษของคอลเลคชั่นนี้คือการนำสุดยอดรุ่นฮิตตลอดกาลจาก TIMEX อย่าง weekender และ Standard มาปัดฝุ่นใหม่ปรับดีไซน์ให้พิเศษมากยิ่งขึ้นด้วยความน่ารักจาก SNOOPY ที่กำลังวาดลวดลายแม่ไม้มวยไทยบนหน้าปัดนาฬิกาขนาด 38 มม. มาพร้อมสายผ้าและสายหนังให้เลือกแมทช์ได้ตามสไตล์ของคุณ

สามารถเป็นเจ้าของนาฬิกา TIMEX X PEANUTS MUAY THAI ได้แล้ววันนี้ที่ www.tdccorp.co.th หรือร้าน Timedeco, watch else shop และแผนกนาฬิกาในห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป

#peanuts

#snoopy

#TimexxPeanuts

#TimexxPeanutsMuayThai

POEM ส่งคอลเลกชั่น The Dreamer ต้อนรับฤดูกาลสปริง/ซัมเมอร์ 2022

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/life/work-life-balance/677658

วันที่ 09 มี.ค. 2565 เวลา 08:55 น.POEM ส่งคอลเลกชั่น  The Dreamer ต้อนรับฤดูกาลสปริง/ซัมเมอร์ 2022

เผยเสน่ห์อันงดงามเหนือกาลเวลาไปกับแบรนด์เสื้อผ้าสตรีชั้นนำ POEM ต้อนรับฤดูกาลสปริง/ซัมเมอร์ 2022 ด้วยคอลเลกชั่น The Dreamer ถ่ายทอดเรื่องราวประวัติศาสตร์ทางแฟชั่นในยุคโรแมนติก สู่เครื่องแต่งกายสไตล์คลาสสิกที่แฝงความโก้หรู

ร่วมสัมผัสความงดงามของประวัติศาสตร์แฟชั่นผ่านแบรนด์เสื้อผ้าสตรีชั้นนำ “โพเอม” (POEM) ผลงานการออกแบบจากครีเอทีฟไดเรคเตอร์ฝีมือเฉียบ ฌอน–ชวนล ไคสิริ ในคอลเลกชั่นสปริง/ซัมเมอร์ 2022 ที่ชื่อว่า “เดอะดรีมเมอร์” (The Dreamer) โดยหยิบยกเรื่องราวประวัติศาสตร์แฟชั่นในยุคโรแมนติก ที่เครื่องแต่งกายบอกเล่าถึงวิถีชีวิตของผู้คน ถ่ายทอดสู่เสื้อผ้าสไตล์คลาสสิกที่แฝงความโก้หรูผ่านเทคนิคการตัดเย็บขั้นสูง ที่เสริมบุคลิกของหญิงสาวให้ดูสง่างามได้ในทุกโอกาส

POEM แบรนด์เครื่องแต่งกายคุณภาพสูง ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 2006 มีจุดเด่นอยู่ที่งานดีไซน์ผสมผสานการตัดเย็บเสื้อผ้าแบบบูติคเข้ากับไลฟ์สไตล์ของผู้หญิงในปัจจุบัน โดยมีแนวคิดหลักจากการนำมุมมองในเรื่องโครงสร้าง รูปทรง และเส้นสายทางสถาปัตยกรรมมาผสมผสานเข้ากับสัดส่วนสรีระของหญิงสาว ผ่านไอเดียของ ฌอน–ชวนล ไคสิริ ผู้หลงใหลในสไตล์โมเดิร์นคลาสสิก ที่ใช้เทคนิคการตัดเย็บเสื้อผ้าสไตล์เดรสเมกกิ้งจากประเทศฝรั่งเศส รวมไปถึง โพเอม กูตูร์ (POEM Couture) ชุดราตรีและชุดแต่งงานที่รังสรรค์ขึ้นจากคาแรคเตอร์ของผู้สวมใส่ให้โดดเด่นแบบหนึ่งเดียว

ฌอน–ชวนล ไคสิริ กล่าวถึงแนวคิดหลักของการออกแบบคอลเลกชั่นนี้ว่า “แรงบันดาลใจของคอลเลกชั่นนี้ เกิดจากตอนเรียนที่มหาวิทยาลัย และได้มีโอกาสคลุกคลีเกี่ยวกับเครื่องแต่งกายละครเวที ทำให้เราได้ศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์แฟชั่น ได้เห็นถึงความแตกต่างในการตีความหมายของเครื่องแต่งกาย ดีเทลต่างๆ ทำให้เกิดความสนใจเป็นอย่างมาก ซึ่งในอดีต เสื้อผ้าที่สวยหรู อาจเป็นตัวแทนของมารยาทของชนชั้นสูง ความสง่างาม หรือแม้แต่เป็นเครื่องวัดความมั่งคั่ง และอำนาจ แต่สำหรับผมแล้ว เครื่องแต่งกายที่หรูหราเหล่านั้น เปรียบเสมือนตัวแทนของ แรงงาน ทักษะ การอุทิศตน และศิลปะที่ทุ่มเทสร้างสรรค์โดยคนชนชั้นล่าง มากกว่าจะเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง และสถานะทางสังคม ตามที่สังคมชั้นสูงได้กำหนดไว้ เพราะฉะนั้น คอลเลกชั่นนี้เป็นการตีความใหม่และเสียดสีถึงแนวคิดเกี่ยวกับเครื่องแต่งกายในอดีต ดัดแปลงให้เป็นงานศิลปะ ที่เข้าถึงได้ และเน้นย้ำถึงพลังและความตั้งใจของทีมงานที่อยู่เบื้องหลังเสื้อผ้าอันสวยหรู”

สำหรับคอลเลกชั่นสปริง/ซัมเมอร์ 2021 The Dreamer ทางทีมดีไซน์นำเสนอแรงบันดาลใจหลักมาจากประวัติศาสตร์ในช่วงยุคโรแมนติก เมื่อเครื่องแต่งกายถูกตีความให้เป็นการบ่งบอกถึงสถานะ ชนชั้น และความมั่งคั่ง แต่ในทางกลับกัน ฌอน–ชวนล ไคสิริ เล็งเห็นถึงความหมายอีกด้านของเสื้อผ้าในแต่ละยุคสมัย ที่สื่อถึงรายละเอียดของความตั้งใจ งานฝีมือ และศิลปะในเสื้อผ้า และได้หยิบยกเอาเอกลักษณ์ของเสื้อผ้าในยุคนั้นมาสร้างสรรค์เป็นคอลเลกชั่นที่มีกลิ่นอายของประวัติศาสตร์แฟชั่นจากยุคโรแมนติก โดยมีการหยิบยกเอาดีเทลเครื่องแต่งกายจากยุคหลุยส์ที่ 16 และยุคปฎิวัติครั้งใหญ่ในฝรั่งเศส อาทิ แขนเสื้อแบบบาน ชายกระโปรงระบายเป็นชั้น และกระโปรงบอลลูน มาผสมผสานอย่างลงตัวและถ่ายทอดเป็นเครื่องแต่งกายที่มีความคลาสสิกที่แฝงด้วยความโก้หรู

โดยซิลลูเอทหลักประจำคอลเลกชั่นนี้จะโดดเด่นเดรสยาวทรงสอบเข้ารูปขับเน้นรูปร่าง เพิ่มลูกเล่นด้วยระบายที่ปลายแขน สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายโรแมนติก และความเรียบหรู เพิ่มความสนุกให้กับการแต่งกายของสุภาพสตรีด้วยเดรสยาวที่แต่งเติมด้วยเลเยอร์ระบาย โดดเด่น และพริ้วไหวเมื่อขยับตัว อีกหนึ่งไอเท็มเด่นที่ไม่แพ้กันก็คือคอร์เซต (corset) ที่ถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของแบรนด์ มาตีความใหม่ด้วยผ้าเดนิมและลายพิมพ์ดอกไม้นานาพรรณ รวมไปถึงเดรสกระโปรงทรงบอลลูนที่ถูกดีไซน์ให้ช่วยขับเน้นส่วนโค้งเว้าของหญิงสาวผู้ส่วมใส่ นอกจากนี้ยังมีกางเกงหลากหลายดีไซน์ ไม่ว่าจะเป็นกางเกงขายาว กางเกงขาสั้น และกางเกงสามส่วน ที่สามารถมิกซ์แอนด์แมทช์กับเสื้อเชิ้ต หลากหลายดีไซน์ ทำให้คอลเลกชั่นนี้มีกลิ่นอายของความมาสคิวลีน (masculine) ผสมได้อย่างลงตัว ส่วนสีสันในคอลเลกชั่นนี้มีการใช้ทั้งโทนสีคลาสสิกอย่าง ขาว, ดำ, เบจ และเดนิม รวมถึงโทนสีพาสเทลอย่าง เขียวมิ้นท์และฟ้าอ่อน

อีกหนึ่งความพิเศษของคอลเลกชั่นนี้ คือการที่ POEM ได้สร้างสรรค์เครื่องประดับขึ้นมาเป็นครั้งแรกโดยร่วมมือกับ PAVONE แบรนด์จิวเวลรีสัญชาติไทยชื่อดัง ในคอลเลกชั่น Rhymes of Mercury สร้างสรรค์เครื่องประดับศีรษะรูปทรงโบว์สีเงิน ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากแนวคิดในการย้อนกลับลักษณะของวัสดุที่ทำจากโลหะและปรอท ให้ดูพริ้วไหวและยืดหยุ่นเหมือนเนื้อผ้าด้วยเทคนิคชั้นสูง ที่ช่วยเติมเต็มลุคของหญิงสาว POEM ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

เคล็ดลับแต่งกายให้หญิงดูดีอย่างมั่นใจในโอกาสสำคัญ

ในโอกาสสำคัญ ผู้หญิงมักจะพิถีพิถันในการเลือกสวมใส่เสื้อผ้าเพื่อเสริมสร้างบุคลิกหรือภาพลักษณ์ให้ดูดีเป็นพิเศษ อย่าง งานแต่งงานหรืองานทางการที่อาจต้องพบปะผู้ใหญ่ ก็ควรที่จะเลือกเสื้อผ้าให้เหมาะสมกับโอกาสนั้นๆ เช่น การสวมใส่เดรสยาวเข้ารูป โทนสีอ่อน อย่างสีเบจ หรือสีเขียวมิ้นท์ แล้วคาดเข็มขัดเส้นเล็ก โดยอาจจะมิกซ์ แอนด์ แมทช์กับกระเป๋าหนังหรือรองเท้าส้นสูงหัวปิดสักคู่ เพื่อเพิ่มความสง่างาม แต่หากต้องไปคุยธุรกิจหรือประชุมงานก็อาจจะสร้างลุคเรียบโก้ด้วยเสื้อเชิ้ตแขนยาว สีสุภาพ เข้าคู่กับกางเกงยีนส์ขายาว หรือกางเกงสามส่วน เพิ่มความพิเศษด้วยการสวมทับด้วยคอร์เซตก็จะสร้างลุคให้ดูน่าค้นหามากขึ้น และอาจจะเพิ่มเครื่องประดับสักหนึ่งชิ้นอย่าง ที่คาดผม ก็จะเสริมบุคลิกให้ดูโดดเด่นมากยิ่งขึ้น

พบกับคอลเลกชั่นเสื้อผ้า The Dreamer และเครื่องประดับ Rhymes of Mercury ได้แล้วที่ร้าน POEM เกษรวิลเลจ, สยาม สแควร์ วัน, สยาม พารากอน,ดิ เอ็มโพเรียม, เซ็นทรัลเวิลด์ รวมถึงช่องทางออนไลน์ทาง LINE ID: @poembkk และ Instagram: @poem_official สำหรับ ‘โพเอม เมนส์แวร์’ (POEM Menswear) สามารถเยี่ยมชมได้ที่ เกษรวิลเลจ หรือ LINE ID: @poem_menswear, Instagram: @poem_menswear และเว็บไซต์ www.poembangkok.com

เมื่อแฟชั่นรวมกับเทคโนโลยี ส่อง realme บทเวที PARIS FASHION WEEK 2022

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/life/work-life-balance/677551

วันที่ 08 มี.ค. 2565 เวลา 10:35 น.เมื่อแฟชั่นรวมกับเทคโนโลยี ส่อง realme บทเวที PARIS FASHION WEEK 2022

realme ชูคอนเซ็ปต์ Light Shift Design เทรนด์ใหม่ของการออกแบบสมาร์ทโฟน สู่เวที PARIS FASHION WEEK 2022

realme (เรียลมี) แบรนด์เทคโนโลยีเพื่อคนรุ่นใหม่ที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก นำเสนอผลิตภัณฑ์ครั้งแรกในงาน Paris Fashion Week 2022 เปิดตัว realme 9 Pro Series และกระเป๋าคาดหน้าอกรุ่นเอ็กซ์คลูซีฟซึ่งร่วมออกแบบกับดีไซเนอร์แบรนด์ชั้นนำระดับโลก

ด้วยปรัชญา “Dare to Leap” ทำให้ realme โดดเด่นท่ามกลางแบรนด์สมาร์ทโฟนในท้องตลาด ซึ่งไม่ได้จำกัดเพียงแค่การพัฒนาผลิตภัณฑ์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการออกแบบและแนวทางการสื่อสารกับผู้ใช้งาน realme ด้วย สำหรับกระเป๋าคาดหน้าอกรุ่นนี้ถูกออกแบบมา เพื่อใส่สมาร์ทโฟน realme 9 Pro Series โดยเฉพาะ ซึ่งเป็นสมาร์ทโฟนกลุ่ม Hero Product ของแบรนด์ โดย realme 9 Pro+ ได้ถูกนำเสนอในเรื่องเซ็นเซอร์กล้อง Sony IMX766 OIS เป็นรุ่นแรกในเซกเมนต์นี้ พร้อมลำโพงสเตอริโอคู่ที่มาพร้อมระบบเสียง Dolby Atmos โดดเด่นด้วยฝาหลังเปลี่ยนสีได้กับ Light Shift Design จอแสดงผลคุณภาพเยี่ยมด้วยอัตรา Refresh Rate สูง และประสิทธิภาพเร็วแรงด้วยชิปเซ็ต Dimensity 920 5G

เมื่อแฟชั่นมารวมกับเทคโนโลยี

เมื่อแบรนด์เสื้อผ้าของคนรุ่นใหม่มาพบกับเทคโนโลยีอันล้ำสมัย การร่วมมือสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่จึงเกิดขึ้น เช่นเดียวกับที่แบรนด์ HELIOT EMIL จากกรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ซึ่งได้ทุ่มเทให้กับการออกแบบและเทคนิคการผลิตแนวใหม่ เพื่อผสานรูปลักษณ์และประโยชน์ใช้สอยไว้ในผลิตภัณฑ์เสื้อผ้าของแบรนด์ ซึ่งสิ่งนี้สอดคล้องกับปรัชญาด้านการออกแบบของ realme design studio ได้อย่างลงตัว

ด้วยเหตุนี้ HELIOT EMIL และ realme Design Studio จึงได้ร่วมมือกันออกแบบกระเป๋าคาดหน้าอกที่ได้แรงบันดาลใจมาจากคอนเซ็ปต์ Light Shift Design ของ realme 9 Pro Series เพื่อคนที่หลงรักแฟชั่นและเทคโนโลยี โดยแบรนด์ HELIOT EMIL ได้นำเสนอเรื่องราวของการร่วมมือครั้งสำคัญนี้ ผ่านผลงานกระเป๋าคาดหน้าอกรุ่นเอ็กซ์คลูซีฟอย่างเป็นทางการในงาน Paris Fashion Week 2022

กระเป๋าคาดหน้าอกสำหรับสมาร์ทโฟนรุ่นแรกกับการออกแบบ Light Shift Design

กระเป๋าคาดหน้าอก realme 9 Pro Series ที่ร่วมกันออกแบบรุ่นนี้ ช่วยปกป้องเลนส์ สวมใส่ง่ายเหมาะสำหรับชีวิตในเมืองที่ต้องการความคล่องตัวในการหยิบจับสมาร์ทโฟน พร้อมโชว์ดีไซน์ Light Shift Design เมื่อออกไปสัมผัสแสงแดด ฝาหลังของสมาร์ตโฟนจะเปลี่ยนสีจากสีฟ้าเป็นสีแดง ราวกับการเปลี่ยนสีของท้องฟ้าในยามพระอาทิตย์ขึ้น

“แสงดาว (Starlight)” ได้กลายมาเทรนด์หลักของหลายแบรนด์ดัง ตัวอย่างเช่น Coca Cola Starlight ที่สร้างเอ็กเฟ็กต์ดาวระยิบระยับในลักษณะเดียวกัน โดยเปิดตัวไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา หรือแม้กระทั่งเครื่องประดับคอลเลกชั่น Starlight ของ Louis Vuitton ไปจนถึงแบรนด์ Maison Margiela และ Island Stone ก็เปิดตัวสินค้าที่มีดีไซน์นี้เช่นกัน

แบรนด์ผู้นำด้านเทคโนโลยีที่นำเทรนด์ด้านการออกแบบ

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ realme ก้าวสู่โลกแห่งการออกแบบ เพราะ realme ได้ก่อตั้ง realme Design Studio ขึ้นในปี 2020 ซึ่งประกอบด้วยทีมนักออกแบบอิสระที่เชี่ยวชาญด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมและการออกแบบเชิงสุนทรียภาพ และในฐานะสตูดิโอการออกแบบสมาร์ตโฟนแห่งแรกของวงการ realme Design Studio ได้ร่วมงานกับนักออกแบบชั้นนำมากมาย อาทิ เอ็ดดี โอพารา หัวหน้าทีมนักออกแบบแห่ง Pentagram, นาโอโตะ ฟุกาซาวะ มาสเตอร์ด้านการออกแบบอุตสาหกรรมร่วมสมัยแห่งญี่ปุ่น และ โจส เลวี ดีไซเนอร์แห่ง Hermès ซึ่งได้นำความเชี่ยวชาญมาใช้ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ผ่านการร่วมมือกับ realme

ครั้งนี้ ผู้ก่อตั้งแบรนด์แฟชั่นชั้นนำ HELIOT EMIL ได้ร่วมเป็นนักออกแบบรับเชิญของ realme Design Studio เพื่อสร้างคลื่นลูกใหม่ในโลกการออกแบบระดับสากล ผ่านการผสานเทคโนโลยีสุดล้ำและไฮแฟชั่นเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน โดยชู Light Shift Design ของ realme 9 Pro Series ให้เป็นหนึ่งในผู้นำเทรนด์การออกแบบสมาร์ทโฟนแนวใหม่

ในฐานะแบรนด์ที่ก่อตั้งขึ้นตามความต้องการของหนุ่มสาวรุ่นใหม่ realme จึงไม่ใช่แค่ผู้นำเทรนด์ผลิตภัณฑ์เท่านั้น แต่ยังสร้างวัฒนธรรมการเป็นผู้นำเทรนด์ของตัวเอง เพราะนอกจากนำเสนอผลิตภัณฑ์ประสิทธิภาพสูงภายใต้ดีไซน์ที่ล้ำสมัย realme ยังมีส่วนร่วมในสร้างสรรค์เพลงต้นฉบับ การออกแบบแฟชั่น และการออกแบบอุตสาหกรรมใหม่ ด้วยการผสานวัฒนธรรมของคนหนุ่มสาวเข้ากับเทคโนโลยี ทำให้ realme สามารถสร้างภาพลักษณ์ของตนเองและได้มอบค่านิยมของแบรนด์สู่ผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ทั่วโลก นั่นก็คือ จงกล้าที่จะมุ่งไปข้างหน้าและก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง

เป็นเจ้าของ realme 9 Pro Series กับโปรโมชั่นพิเศษ ได้แล้ววันนี้ realme 9 Pro Series นำเสนอ 2 สี ได้แก่ Sunrise Blue และ Arora Green พร้อมโปรโมชั่นพิเศษ และรับของสัมนาคุณพิเศษมากมาย พร้อมพบโปรโมชั่นพิเศษ และของสัมนาคุณ ดูรายละเอียดอื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่ Facebook Fanpage : realmeTH