SALAWAN ปล่อยคอลเลคชั่นใหม่ “A WAY DAY” Beach Lifestyle ฝีมือคนไทยที่กำลังมาแรง

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/life/work-life-balance/681493

วันที่ 26 เม.ย. 2565 เวลา 11:20 น.SALAWAN ปล่อยคอลเลคชั่นใหม่ “A WAY DAY” Beach Lifestyle ฝีมือคนไทยที่กำลังมาแรง

SALAWAN New Collection “A WAY DAY” แบรนด์แฟชั่นกางเกงว่ายน้ำชายสุดเท่จากฝีมือคนไทยที่คุณต้องมีไว้ครอบครอง!!!

SALAWAN แบรนด์แฟชั่นกางเกงว่ายน้ำชายแนว Beach Lifestyle จากฝีมือคนไทยที่กำลังมาแรง โดย SALAWAN ได้หยิบเอาความสวยงามของท้องทะเลไทยจากการออกไปท่องเที่ยวใช้ชีวิตทำกิจกรรมเพื่อเชื่อมต่อกับธรรมชาติ ด้วยสีสันสนุกสนานและลายพิมพ์ ที่อินสไปร์จากเรื่องราวการเดินทางในดินแดนแห่งธรรมชาติ ซึ่งได้ดีไซน์ด้วยการสร้างสรรค์ลวดลายผ้าที่คงความมีสไตล์และเอกลักษณ์เฉพาะตัวเพื่อตอบโจทย์หนุ่มๆ ที่รักในการแต่งตัว

สำหรับ SALAWAN ไม่ได้จำกัดแต่เพียงเป็นกางเกงว่ายน้ำเท่านั้น แต่ยังเพิ่มดีเทลความเท่สุดเก๋ และความคล่องตัวจึงเหมาะกับการสวมใส่ในวันหยุดพักผ่อนอีกด้วย ด้วยองค์ประกอบที่เพียบพร้อมด้วยจุดแข็ง ไม่ว่าจะเป็นการตัดเย็บอย่างทันสมัย เรื่องราวของที่มาแต่ละลวดลาย เนื้อผ้าที่ยืดหยุ่น ใส่สบาย และแห้งเร็ว

อีกหนึ่งจุดแข็งที่สำคัญของ SALAWAN คือการสร้างสินค้าด้วยการผลิตมาจากผ้ารีไซเคิล ซึ่งทำมาจากขวดพลาสติกที่ใช้แล้ว โดยกางเกงว่ายน้ำ 1 ตัวของ SALAWAN ผลิตมาจากขวดพลาสติกถึงจำนวน 5 ขวด เรียกได้ว่าเป็นกางเกงว่ายน้ำรักษ์โลกนั่นเอง เพื่อนักท่องเที่ยวยุคใหม่ที่สนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม

ล่าสุดกับคอลเลคชั่นใหม่ของ SALAWAN ภายใต้ชื่อ A Way Day โดยได้นำเสนอกางเกงว่ายน้ำที่ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผสมผสานด้วยสีสันและลายผ้าที่แตกต่างกันกับ 4 คาแรคเตอร์สุดเท่ ประกอบด้วย

  • Shark Wave แสงสีส้มของพระอาทิตย์ตอนตะวันลับขอบฟ้าตกกระทบกับเกลียวคลื่นในทะเล  เพิ่มความสนุกกับเหล่าเจ้าปลาฉลามกับลังแวกว่าย
  • Skyline Palm Tree เส้นขอบฟ้ากับสีสันของช่วงตะวันลับขอบฟ้าของชายหาดภูเก็ตที่ตัดกับต้นมะพร้าวริมหาดเป็นแรงบันดาลใจ แสงตะวันลับขอบสีชมพูตัดกับต้นมะพร้าวช่วงเวลาที่ที่หน้าลงไหลและเงียบสงบของท้องทะเล
  • Skyline Surfer เส้นขอบฟ้าที่ตัดกับนักเล่นเซิร์ฟที่กำลังโชว์ลีลาในกีฬาสุดเท่อย่างการโต้คลื่น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ของจังหวัดภูเก็ต
  • Chang Bangkok 2022 กางเกงว่ายน้ำแนว Beach Lifestyle ที่มาพร้อมกับลายผ้าที่สร้างสรรค์ด้วยการเอาช้างที่เป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองประจำชาติไทยมาประยุกต์ให้ดูทันสมัยแต่ยังคงความเป็นไทย พูดเลยว่าถ้าได้สวมใส่แล้วไม่มีเอ้าท์อย่างแน่นอน

นอกจากนี้ ยังมี New Salawan Solid color 4 เฉดสีใหม่   Phuket Sunrise, Black Sand, Phi Phi Purple, Similan Blue ให้ทุกคนค้นพบความสนุกสร้างจิตวิญญาณให้กับวันหยุดอีกด้วย  พบกับ SALAWAN คอลแลคชั่น A WAY DAY ได้แล้วที่ Facebook : Salawanbkk , Instargram : Salawan_Official , Line official Account : @salawan

ปลุกกระแสกีฬาเอ็กซ์ตรีมทั่วไทย

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/life/work-life-balance/681470

วันที่ 26 เม.ย. 2565 เวลา 09:35 น.ปลุกกระแสกีฬาเอ็กซ์ตรีมทั่วไทย

เก็บตกภาพความประทับใจ ในงาน “HATYAI EXTREME FESTIVAL 2022” ปิดฉากยิ่งใหญ่ สร้างกระแสกีฬา Extreme ทั่วไทยคึกคัก

เรียกว่าปลุกกระแสคนรักเอ็กซ์ตรีมขึ้นมาอีกครั้ง โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มอบหมายการกีฬาแห่งประเทศไทย และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พร้อมผนึกกำลังสมาคมกีฬาเอ็กซ์ตรีมแห่งประเทศไทย และสมาคมกีฬากระดานโต้คลื่นแห่งประเทศไทย กับงานแข่งขันกีฬา Extreme สุดยิ่งใหญ่ประจำปี พร้อมกิจกรรมต่างๆ มากมายในงานสร้างความคึกคักในหมู่นักกีฬา  ผู้ชม และนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศไทย เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมและรับชมการแข่งขัน Surfskate , Skateboard , Inline Speed Skate และ Speed Surfskate รวม 4 ชนิดกีฬา กับบททดสอบที่ท้าทาย สร้างความตื่นตาตื่นใจตั้งแต่วันแรกจนนาทีสุดท้าย  

การจัดการแข่งขัน “Hatyai Extreme Festival 2022” ถือเป็นความสำเร็จในการสร้างมาตรฐานใหม่ให้วงการกีฬาเอ็กซตรีมในประเทศไทย และสร้างการยอมรับให้คนทั่วไปมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกีฬาทั้ง 4 ชนิด ส่งเสริมให้วงการกีฬา Extreme เป็นที่แพร่หลาย มีการเติบโตสู่เส้นทางนักกีฬามืออาชีพทั้งในการแข่งขันระดับชาติและระดับโลก  

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า “การแข่งขัน Hatyai Extreme Festival 2022 ได้โชว์ศักยภาพของนักกีฬาไทย  ตลอดจนความร่วมมือระหว่างผู้จัดงานภาครัฐ เอกชน และคนในท้องที่ จึงทำให้การจัดงานครั้งนี้ประสบความสำเร็จ ส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นการใช้จ่ายในจังหวัดสงขลาให้คึกคักอย่างมาก ซึ่งในปี 2022 นี้ เราจะไม่หยุดพัฒนาและต่อยอดกระแสกีฬา Extreme ในแต่ละภูมิภาคทั่วประเทศ พร้อมสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงกีฬาให้เกิดขึ้นไปพร้อมๆ กัน ”

ติดตามภาพงานการแข่งขัน  “HATYAI EXTREME FESTIVAL 2022” ได้ที่ https://fb.watch/csDhcHhbCv/

ทำไมการพัฒนาถึงไม่ยั่งยืน?

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/life/work-life-balance/681469

วันที่ 26 เม.ย. 2565 เวลา 09:34 น.ทำไมการพัฒนาถึงไม่ยั่งยืน?

โดย ภก.ดร.จันทรชัย ถวิลพิพัฒน์กุล สถาบันอินทรานส์ Hipot – การปฏิรูปศักยภาพมนุษย์อย่างบูรณาการ ศาสตร์ชีวิตองค์รวมเพื่อความมั่นคงยั่งยืน

เราลงทุนเพื่อพัฒนาองค์กร เพื่อยกศักยภาพบุคลากร แต่ผลที่ได้มักต่ำกว่าที่คาดหวัง เพราะอะไร

ประการแรก เพราะเรายังติดอยู่ในกรอบความคิดเดิมๆ ที่เน้นเพียงเพื่อความมีประสิทธิภาพแต่เราต้องปรับมุมมองใหม่ ให้เป็นการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน

สอง ต้องเข้าใจว่าองค์กรคือระบบที่เกิดจากการเชื่อมโยงของมิติต่างๆ ที่หลากหลาย ปัญหาต่างๆ จึงทับซ้อนกันอย่างลึกซึ้ง แต่การจัดการกับปัญหานั้นกลับดำเนินไปในลักษณะเส้นตรงเชิงเดี่ยว แยกส่วน การพัฒนาจึงไม่ยั่งยืน

สาม เพราะขาดความเข้าใจถึงธรรมชาติของศักยภาพอย่างเป็นองค์รวม ที่มีทั้งที่แสดงออกมาภายนอกเพียงเล็กน้อย แต่มีเก็บไว้อีกมากมายอยู่ภายใน เราจึงมักให้ความสำคัญแต่เพียงการพัฒนาทักษะด้านการจัดการ แต่เข้าไม่ถึงฐานรากของชีวิต จึงไม่สามารถพัฒนาศักยภาพและขับออกมาได้อย่างเต็มที่

สี่ เพราะขาดวิสัยทัศน์ ขาดเป้าหมายชีวิต หาตัวเองไม่เจอ ขาดแรงบันดาลใจ ขาดความมุ่งมั่น จึงไม่สามารถนำตนเองให้ยืนหยัดรับมือกับความท้าทายที่ผ่านเข้ามาได้

ห้า เพราะต่างวัยต่างความคิด ติดกรอบเดิมๆ อยู่ใน Comfort Zone ไม่เปลี่ยน ไม่เล่นเชิงรุก มีทัศนคติติดลบ มองภาพเป้าหมายต่างกัน จึงไปคนละทาง

หก เพราะไม่ใฝ่เรียนรู้ ขาดการคิดเชิงระบบ จึงแก้ปัญหาไม่เป็นองค์รวม จึงไม่อาจสร้างนวัตกรรมที่มีคุณค่าเชิงเศรษฐกิจได้

เจ็ด เพราะไม่เห็นคุณค่าตนเอง ขาดความเชื่อมั่น จึงไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้อย่างเหมาะสม นำไปสู่การทำลายในทุกความสัมพันธ์ และตัดโอกาสตนเองในการก้าวสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น

แปด เพราะในการสื่อสารมักเอาความคิดตนเองเป็นใหญ่ เอาตนเองเป็นศูนย์กลาง ไม่เปิดใจกว้างรับฟัง ไม่เข้าใจกัน ไม่ไว้ใจกัน จึงไม่อาจสร้างทีมงานบนฐานของศรัทธาได้

และเก้า เพราะไม่เห็นคุณค่าในความแตกต่าง จึงไม่อาจพัฒนาผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่จะขับเคลื่อนองค์กรให้บรรลุเป้าหมายอย่างมีส่วนร่วม เกื้อกูล ไปในทิศทางเดียวกันได้

ความท้าทายต่างๆ เหล่านี้มีผลกระทบต่อการดำเนินงาน และเป็นตัวปิดกั้นมิให้การพัฒนาไปสู่ความยั่งยืนท่านคิดว่าอะไรคือรากของปัญหา อะไรทำให้องค์กรแตกต่างกัน แล้วท่านจะรับมือกับปัญหาเหล่านี้อย่างไร ท่านจะนำความเข้าใจดังกล่าวไปกำหนดเป็นยุทธศาสตร์ เพื่อสร้างผู้นำการเปลี่ยนแปลงนำองค์กรสู่ความยั่งยืนได้อย่างไรผมมั่นใจว่าเรื่องราวที่นำมาแลกเปลี่ยนในครั้งนี้คงเป็นประโยชน์นะครับ

MIDO เปิดตัว Multifort Skeleton Vertigo เรือนเวลาหรูที่ได้แรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมระดับโลก

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/life/work-life-balance/681353

วันที่ 24 เม.ย. 2565 เวลา 16:45 น.MIDO เปิดตัว Multifort Skeleton Vertigo เรือนเวลาหรูที่ได้แรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมระดับโลก

สร้างลุคให้โดดเด่นได้ในทุกโอกาสกับ “มิโด” (MIDO) ที่ล่าสุดเปิดตัว “มัลติฟอร์ต สเกเลตัน เวอร์ติโก้” เรือนเวลาหรูที่ได้แรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมระดับโลกอย่าง สะพานซิดนีย์ฮาร์เบอร์ โดยมีแบรนด์แอมบาสเดอร์หนุ่ม “คิม ซู ฮยอน” ร่วมถ่ายทอดความงดงามผ่านไลฟ์สไตล์อันโดดเด่น

ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครบครัน และดีไซน์งดงามเหนือกาลเวลา ไปกับเรือนเวลาหรูจาก “มิโด” (MIDO) แบรนด์นาฬิกาชั้นนำจากสวิตเซอร์แลนด์ ในเครือเดอะ สวอท์ช กรุ๊ป เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) ในคอลเลกชั่นล่าสุด “มัลติฟอร์ต สเกเลตัน เวอร์ติโก้” (Multifort Skeleton Vertigo) ที่สะกดทุกสายตาด้วยหน้าปัดแบบเปลือย ซึ่งเผยให้เห็นถึงความงดงามของชิ้นส่วนกลไกอย่างชัดเจน อีกทั้งยังโดดเด่นด้านฟังก์ชั่นการใช้งาน ความสวยงาม และความแข็งแกร่ง ที่ได้แรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมอันโด่งดังของโลกอย่าง สะพานซิดนีย์ฮาร์เบอร์ (Sydney Harbour Bridge) ในประเทศออสเตรเลีย โดยนาฬิกาเรือนแรกจากตระกูล “มัลติฟอร์ต” (Multifort) และสะพานซิดนีย์ฮาร์เบอร์ (Sydney Harbour Bridge) ยังได้ถูกสร้างขึ้นพร้อมกันในสมัยทศวรรษที่ 1930 อีกด้วย

MIDO แบรนด์นาฬิกาที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 100 ปี นับตั้งแต่ จอร์จ แชแรน เริ่มก่อตั้งบริษัท MIDO G.Schaeren & Co. AG ขึ้นที่เมืองโซโลธูร์น ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ตั้งแต่ ค.ศ. 1918 ภายใต้ปรัชญาของการสร้างสรรค์แบรนด์ให้อยู่เหนือกาลเวลาด้วยแนวคิดการออกแบบที่ร่วมสมัย ผ่านการคัดเลือกวัสดุคุณภาพเยี่ยมที่มีความหรูหรา ทนทาน และยังคงไว้ซึ่งฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครบถ้วน

แบรนด์แอมบาสเดอร์หนุ่มชื่อดัง “คิม ซู ฮยอน” ได้กล่าวถึงนาฬิกาเรือนโปรด Multifort Skeleton Vertigo ว่า “นาฬิการุ่นนี้มีการออกแบบที่ไม่เหมือนใคร เพราะคุณจะได้เห็นกลไกการทำงานของนาฬิกาผ่านการดีไซน์ตัวเรือนแบบเปลือย ซึ่งนาฬิกาที่มีการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์นั้น สามารถสร้างความโดดเด่นให้กับการแต่งตัวได้เป็นอย่างดี อย่างนาฬิกาเรือนนี้สามารถใส่ได้ทั้งกับลุคคลาสสิก อย่างสูท หรือลุคแคชชวลอย่างกางเกงยีนส์และเสื้อยืด ก็สามารถสร้างคาแรคเตอร์ที่โดดเด่นได้แล้ว”

สำหรับ Multifort Skeleton Vertigo เป็นเรือนเวลาจากตระกูล Multifort ที่มีทั้งความโดดเด่นด้วยดีไซน์สไตล์สปอร์ต ชวนให้หลงใหลด้วยหน้าปัดและฝาหลังแบบเปลือย ที่สามารถมองเห็นการทำงานของกลไกอัตโนมัติคาลิเบอร์ 80 ที่อยู่ด้านใน ด้วยรายละเอียดการดีไซน์สุดประณีตบรรจง พร้อมลวดลายแนวตั้งบนหน้าปัดที่ได้แรงบันดาลใจจากเส้นสายเคเบิ้ลอันแข็งแกร่งที่ยึดตัวสะพานไว้ ผสมผสานเอกลักษณ์อันโดดเด่นด้วยลวดลายเจนีวา สไตรป์ พร้อมเทคนิคการทำสีแอนทราไซต์ เพื่อให้ได้รูปลักษณ์ที่ล้ำสมัย โดยตัวเข็มชั่วโมงและเข็มนาทีถูกเคลือบด้วยสารเรืองแสงซูเปอร์ ลูมิโนวา สีขาว ที่ช่วยให้อ่านค่าเวลาได้ง่ายและแม่นยำมากขึ้นแม้ในที่มืด พร้อมกระจกคริสตัลแซฟไฟร์ที่ช่วยป้องกันแสงสะท้อนบนหน้าปัดทั้งสองด้าน ส่วนตัวเรือนนั้นมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 42 มิลลิเมตร พร้อมฝาหลังที่สลักโลโก้ ‘MIDO’ ไว้อย่างชัดเจน และเม็ดมะยมแบบขันเกลียว เรียบโก้ด้วยสายรัดสแตนเลสสตีลและตัวล็อคแบบบานพับที่ทำจากเหล็กเคลือบซาติน อีกทั้งยังสามารถสำรองพลังงานยาวนานถึง 80 ชั่วโมง พร้อมบาลานซ์สปริงที่ทำจากนิวาครอน ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยในการต้านแรงแม่เหล็ก และป้องกันการกระแทกได้เป็นอย่างดี และฟังก์ชั่นดำน้ำลึกได้ถึงระดับ 100 เมตร

เคล็ดลับการเลือกนาฬิกาสำหรับคนที่เริ่มต้นอยากสะสม

การสะสมนาฬิกาที่เป็นงานอดิเรกของใครหลายคนนั้น นอกจากจะสะสมเพื่อชื่นชมความงดงาม หรือนำมาสวมใส่เพื่อเติมเต็มคาแรคเตอร์ให้สมบูรณ์แบบแล้ว ยังสามารถสะสมเพื่อเป็นการลงทุนได้อีกด้วย ดังนั้นองค์ประกอบสำคัญในการเลือกซื้อจะต้องประกอบไปด้วยแบรนด์ระดับโลกซึ่งเป็นที่รู้จัก เพราะแบรนด์ระดับโลกนั้นจะมีเรื่องราวประวัติศาสตร์มายาวนานจึงสามารถสร้างความน่าเชื่อถือได้ มีความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบแต่ละคอลเลกชั่นจึงสามารถสร้างมูลค่าได้เป็นอย่างดี รวมถึงดีไซน์ที่ต้องมีความคลาสสิกเหนือกาลเวลา สามารถสวมใส่ได้ทุกยุคสมัย และฟังก์ชั่นการใช้งานก็ต้องตอบโจทย์ได้อย่างครบครัน

พบกับ Multifort Skeleton Vertigo จากเรือนเวลาสัญชาติสวิตเซอร์แลนด์แบรนด์ MIDO นาฬิกาดีไซน์หรูคุณภาพมาตรฐานตามแบบฉบับ Swiss made ได้ที่เคาน์เตอร์ MIDO เซ็นทรัล, โรบินสัน, เดอะมอลล์ และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ หรือสั่งผ่านทางออนไลน์ MIDO Official Store ใน Shopee และ Lazada และติดตามรายละเอียดเพิ่มเติ่มได้ที่เว็บไซต์ www.midowatches.com, LINE Official Account: @midothailand หรือติดต่อได้ที่เบอร์ 02-610-0299

Pomelo เปิดตัวคอลเลคชั่นพิเศษฉลองวันคุ้มครองโลก

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/life/work-life-balance/681329

วันที่ 24 เม.ย. 2565 เวลา 12:55 น.Pomelo เปิดตัวคอลเลคชั่นพิเศษฉลองวันคุ้มครองโลก

“Pomelo” ฉลองวันคุ้มครองโลกด้วยคอลเลคชั่นพิเศษ พร้อมย้ำความมุ่งมั่นเดินหน้าโครงการ “Down to Earth”

Pomelo (โพเมโล) แฟชั่นแพลตฟอร์มอันดับ 1 ใน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เฉลิมฉลองวันคุ้มครองโลกด้วยการยกระดับความคิดริเริ่มในการผลิตสินค้ากลุ่มยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมภายใต้โครงการ “Down to Earth” เป็นปีที่สองติดต่อกัน ผ่านแนวคิด “Make it Count” ตอกย้ำความมุ่งมั่นที่มีมายาวนานในการนำเสนอเครื่องแต่งกายและผลิตภัณฑ์ที่นำเทรนด์และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงทีละขั้นด้วยการเปิดตัวคอลเลคชั่นพิเศษซึ่งมีวางจำหน่ายแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป   

โครงการ “Down to Earth” 

วันคุ้มครองโลกปีนี้ โพเมโล เปิดตัวคอลเลคชั่นสุดพิเศษ ในสินค้ากลุ่มยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งทำจากวัสดุและกระบวนการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงผ้าฝ้าย ทั้งนี้ โพเมโลภูมิใจที่ได้ร่วมงานกับ The Better Cotton Initiative (BCI) เพื่อคัดสรรผ้าฝ้ายที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม คอลเลคชั่นฤดูร้อนจำนวน 31 ชิ้น ซึ่งทำจากผ้าที่ผ่านกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการทำงานที่มีจริยธรรม ซึ่งรวมถึงผ้าฝ้ายและผ้าเดนิมที่มีกระบวนการผลิตที่ไม่ทำลายคุณภาพของน้ำโดยคอลเลคชั่นนี้นำเสนอผลงานชิ้นสำคัญที่มาพร้อมสีสันและลายพิมพ์ที่เต็มไปด้วยความสดใส ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากแคว้น คัมปาเนีย (Campania) สถานที่ท่องเที่ยวบนชายฝั่งทางตอนใต้ของอิตาลี  

‘Down to Earth’ คือโครงการหลักที่รวมเอาความคิดริเริ่มต่าง ๆ เกี่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทั้งหมดของ โพเมโล โดยมีเป้าหมายที่จะพัฒนาและเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมแฟชั่นในอนาคตทั้งในระยะเวลาอันใกล้และในระยะยาว ภายในปี 2565 โพเมโลยังได้ตั้งเป้าหมายเพิ่มขึ้นเป็น 40% สำหรับการเลือก ใช้วัตถุดิบ ที่มีความยั่งยืนมากขึ้นสำหรับผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ภายใต้แบรนด์โพเมโล ซึ่งสะท้อน ให้เห็นถึงความมุ่งมั่น ในการผลักดันการเปลี่ยนแปลงและมอบสินค้าแฟชั่นที่ทั้งอินเทรนด์และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในขณะเดียวกัน  

นายเดวิด โจว ประธานกรรมการบริหาร (ซีอีโอ) และ ผู้ร่วมก่อตั้ง โพเมโล แฟชั่น กล่าวว่า “ในช่วงเวลาที่เรากำลังก้าวสู่ความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีแฟชั่น เรายังคงให้ ความสำคัญต่อการสร้างการเปลี่ยนแปลงต่อชุมชนและโลกของเรา การผลักดันประเด็นการอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนทั่วทั้งภูมิภาคของโพเมโล เราเลือกทำโดยการผลิตสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยใช้ฝ้ายที่ปลูกและเก็บเกี่ยวด้วยกระบวนการที่มีความยั่งยืน เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถเพลิดเพลินกับสินค้าที่มีคุณภาพและมีความสวยงามทันสมัย ซึ่งผลิตขึ้นด้วยวิธีการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่สุดเท่าที่จะเป็น ไปได้”  

“นอกจากนี้ เทคโนโลยีแบบเฉพาะบุคคล (Personalization technology) ของเรายังช่วยให้ลูกค้าสามารถเลือก ซื้อสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในแบบที่ตนเองชอบ ซึ่งผลิตและได้รับการคัดสรรสำหรับลูกค้าที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์ ‘Sustainable Edit” ซึ่งมีสินค้าที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นสินค้าจาก แบรนด์ที่เป็นมิตรต่อโลก สินค้ากลุ่ม Pre-Loved ผลิตภัณฑ์ดูแลบ้าน (earth care homeware) และผลิตภัณฑ์ เพื่อความงาม เป็นต้น”  

รวมพลัง มุ่งหน้าสู่ความยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 

โพเมโลภูมิใจที่ได้เป็นพันธมิตรกับแบรนด์ที่มีเป้าหมายเดียวกัน ในการเดินหน้าสร้างอนาคตที่ยั่งยืนมากขึ้น ในโลกแฟชั่นโดยที่ผ่านมาโพเมโลได้ส่งเสริมแบรนด์ชั้นนำที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมบนแพลทฟอร์มของเรา อาทิ Sabina, Born on Saturday, HVISK, V Activewear, Le Specs, L’occitane, Innisfree, Skin 1004, Laneige และ Cotton On และ แบรนด์อื่น ๆ อีกมากมายที่แชร์แนวคิดร่วมกันและให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมใน ทิศทางเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันคุ้มครองโลกปีนี้ โพเมเลได้จับมือกับแบรนด์ อาทิ Sabina, Mymomsaysimcool, Memories Brand , Zentury Vintage, Imnotamorningperson, และ Vick’s 

“ปัจจุบันเรามีแบรนด์มากกว่า 500 แบรนด์ ทั้งแบรนด์ระดับนานาชาติ แบรนด์ของดีไซเนอร์ไทย และแบรนด์ต่าง ๆ จากอินสตาแกรมที่กำลังมาแรงที่สุด ทั้งหมดรวบรวมไว้ในแพลตฟอร์มของเรา แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น ก็คือ การที่เรายังคงมีความมุ่งมั่นในเรื่องของความยั่งยืนและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ทั้งในเรื่องของการนำเสนอแบรนด์ของเราเอง และการประสานความร่วมมือกับแบรนด์ต่าง ๆ ที่มีความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม โดยในขณะเดียวกัน เรายังคงมุ่งมั่นที่จะร่วมขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง และสร้างสรรค์สิ่งที่ดีกว่า เพื่ออนาคต เพื่อสิ่งแวดล้อม และเพื่อทุกคน” เดวิด โจว กล่าวเสริม 

ก้าวเดินบนเส้นทางสู่ความยั่งยืน 

โพเมโลได้คำนึงสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนมาอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ปี 2561 โพเมโล ได้เปิดตัวคอลเลคชั่นแคปซูล “Purpose” เพื่อเผยความตระหนักในเรื่องการ อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในทุกผลิตภัณฑ์ของคอลเลคชั่นนี้ โดยภายใต้การสร้างสรรค์คอลเลคชั่นนี้ โพเมโลได้สำรวจกระบวนการผลิตและการเลือกใช้วัตถุดิบใหม่ ๆ เช่น การเลือกใช้ผ้าฝ้ายออร์แกนิก ผ้ารีไซเคิล และผ้าเหลือใช้ เพื่อนำมาใช้ในแนวทางที่ยั่งยืนมากขึ้น จากความสำเร็จของคอลเลคชั่นนี้ โพเมโลได้ขยายแนวคิดในการสร้างสรรค์นี้ไปยังกลุ่มสินค้าต่าง ๆ ของโพเมโลในวงกว้างมากขึ้น 

ต่อมาในปี 2563 โพเมโล ริเริ่มคอลเลคชั่นหน้ากากผ้าเพื่อสังคม “Pomelo Cares” เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ และบุคลากรทางการแพทย์ในช่วงการระบาดใหญ่ของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ โพเมโล ยังร่วมมือกับ วีจีไอ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ‘Trash to Treasure’ เปลี่ยนขยะเหลือใช้แทนถุงของโพเมโล และปรับปรุงร้านค้าต่าง ๆ ด้วยแนวคิด 3R: ลดการใช้ ใช้ซ้ำ และนำกลับไปใช้ใหม่ (Reduce, Reuse, and Recycle) 

และตั้งแต่เดือนมกราคม 2564 โพเมโลยังได้เปิดตัว E-commerce Mailers ที่ย่อยสลายได้ 100% โดยมีเป้าหมายเพื่อลดปริมาณการใช้บรรจุภัณฑ์ให้เหลือน้อยที่สุด โดยร่วมมือกับ Grounded Packaging ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มระดับโลกที่นำเสนอโซลูชันบรรจุภัณฑ์ตามสั่ง นอกจากนี้ยังมีความพยายามที่จะรักษาสิ่งแวดล้อมในรูปแบบอื่น ๆ รวมถึงการนำกระดาษรีไซเคิลที่ผ่านการรับรอง FSC ซึ่งออกแบบมาเพื่อสร้างความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมและลดของเสียจากบรรจุภัณฑ์ที่เหลือใช้ 

ทั้งนี้ เพื่อต่อยอดการพัฒนาอย่างยั่งยืนของโพเมโลและเติมเต็มความหมายให้กับคุ้มครองโลกในปีนี้โพเมโลยัง ได้เปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์ ‘Sustainable Edit” โดยมีวางจำหน่ายแล้วที่เว็บไซต์ pomelofashion.com แอปพลิเคชัน และที่ร้าน Pomelo ในประเทศไทย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป  

Sensitive Skin Awareness Month เดือนแห่งการบอกลาผิวแพ้ง่ายเพื่อผิวสุขภาพดี

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/life/work-life-balance/681084

วันที่ 21 เม.ย. 2565 เวลา 09:45 น.Sensitive Skin Awareness Month เดือนแห่งการบอกลาผิวแพ้ง่ายเพื่อผิวสุขภาพดี

เมื่อผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังพบ 70% ของคนบนโลกกำลังเผชิญปัญหาสุขภาพผิวอ่อนแอจากหลายปัจจัย เซตาฟิลชวนบอกลา 5 สัญญาณผิวแพ้ง่ายเพื่อผิวสุขภาพดี ผ่านแคมเปญ Sensitive Skin Awareness Month

หนึ่งในแบรนด์ที่คนผิวแพ้ง่ายบอบบางรู้จักกันดี ต้องมี เซตาฟิล (Cetaphil) ผู้พัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ดูแลผิวชั้นนำของโลก ที่ล่าสุดเดินหน้าภารกิจพิเศษเพื่อเสริมสร้างผิวสุขภาพดีเป็นครั้งแรกพร้อมกันทั่วโลก ผ่านแคมเปญ Sensitive Skin Awareness Month เพื่อให้ความรู้สู่สมการผิวสุขภาพดีตลอดเดือนเมษายนนี้

สุทธนา เผ่าไทย ผู้บริหารส่วนงานผลิตภัณฑ์ผู้บริโภค บริษัท กัลเดอร์มา (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยผลสำรวจตลอด 2 ทศวรรษที่ผ่านมาในกว่า 20 ประเทศจาก 5 ทวีปทั่วโลกว่า กว่า 50% ของกลุ่มตัวอย่างที่เซตาฟิลได้ทำการสำรวจมีสภาพผิวที่บอบบาง แพ้ง่าย และปัญหาดังกล่าวมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนถือเป็นสัญญาณอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม ดังนั้น เพื่อเป็นการเสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่ผิว เซลาฟิล (Cetaphil) จึงได้สร้างสรรค์แคมเปญ ‘Sensitive Skin Awareness Month’ ให้เป็นเดือนแห่งการรณรงค์เผยแพร่ความรู้ให้แก่ผู้บริโภคเพื่อบอกลาปัญหาผิวแพ้ง่าย

“ปัจจุบันผู้บริโภคมีแนวโน้มการเกิดสภาพผิวแพ้ง่ายจากหลายสาเหตุด้วยกัน โดยเฉพาะจากการทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ความงามและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่หลากหลาย รวมทั้งการต้องเผชิญกับปัญหามลภาวะ และไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป ล้วนส่งผลให้เกิดผลกระทบต่อสภาพผิวทั้งสิ้น

แม้ผู้บริโภคยุคใหม่จะฉลาดเลือก แต่ก็อาจตัดสินใจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ผิดพลาดได้ หากไม่รู้สภาพผิวของตนเอง ที่สำคัญพบว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ไม่รู้ว่ามีสภาพผิวที่แพ้ง่าย เซตาฟิล (Cetaphil) จึงพยายามสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่ผู้บริโภคกลุ่มนี้ ด้วยการนำเสนอ 5 สัญญาณผิวแพ้ง่ายเพื่อให้ผู้บริโภคได้ดูแลผิวอย่างเหมาะสมที่สุด” นายสุทธนา เผ่าไทย กล่าว 

ทั้งนื้ แคมเปญ Sensitive Skin Awareness Month ที่จะจัดขึ้นโดยเซตาฟิล ประเทศไทยนั้น มีวัตถุประสงค์เช่นเดียวกับที่จัดขึ้นในทุกประเทศ คือต้องการสร้างให้เป็นเดือนแห่งการให้ความรู้เรื่องผิวแพ้ง่าย ให้ความรู้ผู้บริโภคเกี่ยวกับสาเหตุและสัญญาณของผิวที่บอบบาง รวมถึงการดูแลผิวแพ้ง่ายให้ดีที่สุดและเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน โดยได้ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังระดับแนวหน้าของไทยและต่างชาติผ่านการสร้างสรรค์วิดีโอเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับสภาพผิวแต่ละประเภทโดยเฉพาะปัญหาผิวบอบบาง แพ้ง่ายแบบเจาะลึก

นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรม Real Change Real Skin ที่ชวนผู้ใช้จริงมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ทั้งหมด 20 ท่าน ผ่านทาง Cetaphil Facebook fan page โดยให้คณะกรรมการคัดเลือก พร้อมรับผลิตภัณฑ์จาก Cetaphil ไปใช้ พร้อม Review ติดต่อกัน 7 วัน เพื่อบอกลา 5 สัญญาณผิวแพ้ง่าย กันไปเลย ซึ่งหลังจากจบกิจกรรมทั้งหมด 7 วัน บอกได้คำเดียวว่าเห็นผลจริง ทั้งยังได้ร่วมกับ Shopee สอดแทรกเคล็ดลับการดูแลผิวแพ้ง่ายพร้อมโปรโมชันพิเศษผ่านเฟซบุ้กไลฟ์ พร้อมมอบผลิตภัณฑ์ขนาดทดลองผ่านกิจกรรมทางช่องทางโซเชียลมีเดียอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับเกียรติจากแฟนพันธุ์แท้ของ เซตาฟิล ‘เขื่อน-ภัทรดนัย เสตสุวรรณ’ มาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์จริงในการดูแลผิวแพ้ง่ายด้วย ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อผู้บริโภค” นายสุทธนา เผ่าไทย กล่าวถึงภาพรวมกลยุทธ์การสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องในการดูแลผิวแพ้ง่ายที่เซตาฟิล ประเทศไทยสร้างสรรค์ขึ้น

บอกลา 5 สัญญาณผิวแพ้ง่าย เพื่อผิวสุขภาพดีแบบฉบับเซตาฟิล 

1. เกราะป้องกันผิวอ่อนแอ (Weakened Skin Barrier) ผิวของเราทุกคนมีเกราะป้องกันผิวตามธรรมชาติอยู่ที่ผิวชั้นนอก แต่เมื่อผิวได้รับการระคายเคืองจากปัจจัยภายนอก เช่น ฝุ่น มลภาวะ สารเคมีจากผลิตภัณฑ์บำรุงผิว หรือปัจจัยภายใน เช่น การพักผ่อนไม่พอ ความเครียด จะทำให้เกราะป้องกันผิวอ่อนแอลง ผิวเกิดรอยรั่ว พวกสิ่งสกปรก แบคทีเรีย สารเคมีต่างๆ ก็เข้าไปรบกวนให้ผิวเกิดการระคายเคือง ส่งผลให้เรามีผิวแพ้ง่าย มีอาการผิวแห้งกร้าน เกิดริ้วรอยก่อนวัย หากไม่รีบแก้อาจเกิดเป็นปัญหาผิวเรื้อรัง ทั้งรักษายากและใช้เวลานานเลยทีเดียว

2. ผิวแห้งกร้าน ขาดความชุ่มชื้น (Dryness) เกราะป้องกันผิวที่อ่อนแอลง ทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น แห้ง แตก ลอกเป็นขุย เกิดอาการตึงๆ ผิว ตามมาด้วยอาการคัน แสบผิว ผิวระคายเคืองง่าย หากปล่อยไว้อาจลุกลามกลายเป็นผื่นภูมิแพ้ผิวหนังที่รักษาได้ยาก ซึ่งผลิตภัณฑ์ในกลุ่มมอยส์เจอไรเซอร์ สามารถช่วยเติมน้ำให้ผิว ฟื้นฟูผิวให้กลับมาชุ่มชื้นและแข็งแรงได้

3. ผิวไม่เรียบเนียน มีผดผื่น (Roughness) ผิวแห้ง มักตามมาด้วยอาการคัน เมื่อเราห้ามมือห้ามใจไม่ไหว ไปแกะเกา ผิวก็ลอกเป็นขุย เมื่อผิวถูกทำร้ายมากเข้าก็จะขึ้นปื้นแดงๆ ถ้าเกาต่อเนื่องปื้นแดงจะขยายบริเวณใหญ่ขึ้น เกิดผดผื่นตามมา ทำให้ผิวไม่เรียบเนียน ขรุขระ และไม่น่าสัมผัส

4. ผิวทั้งแสบทั้งระคายเคือง (Irritation) สังเกตไหมว่า แค่ออกไปโดนแสงแดดนิดเดียว ทำไมผิวเราทั้งแสบ ทั้งระคายเคือง นั่นเป็นสัญญาณว่า เพราะผิวอ่อนแอ จึงถูกรังสียูวีจู่โจมทำร้าย ทำให้ผิวระคายเคือง ตามมาด้วยอาการแสบผิว รอยแดงบนผิวหน้า และหนักที่สุดถ้าไม่ป้องกันด้วยครีมกันแดดอยู่เสมอ ผิวอาจไหม้แดดได้ ซึ่งฟื้นฟูยากสุดๆ

5. ผิวแน่นตึง (Tightness) เกิดมาจากผิวที่ขาดน้ำ ขาดความชุ่มชื้น ไม่จะเป็นว่าต้องเกิดขึ้นกับคนที่สภาพผิวแห้งเท่านั้น แต่ผิวมันก็ขาดน้ำได้ โดยจะมีความรู้สึกตึงผิว รู้สึกว่าหน้าแห้งมาก สำหรับผู้หญิงที่แต่งหน้าเป็นประจำ จะรู้สึกเลยว่า เครื่องสำอางไม่ติดผิว หลุดล่อนออกโดยง่าย จะแต่งกี่ลุคก็ไม่มั่นใจ

บอกลาผิวแพ้ง่าย ด้วย 3 STEP ง่ายๆ ดังนี้

STEP 1 ล้างหน้าให้สะอาดด้วย “คลีนเซอร์สูตรอ่อนโยน”

ทำความสะอาดผิวหน้าทั้งเช้าและเย็นด้วย Cetaphil Gentle Skin Cleanser ล้างสิ่งสกปรกหมดจด ไม่แน่นผิว

• นวัตกรรม Moisturizing Film ล้างพร้อมล็อกความชุ่มชื้นให้ผิว ปกป้องผิวจากการสูญเสียน้ำระหว่างวัน

• สร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง ด้วยส่วนผสมจาก Glycerin และ Panthenol

• สูตร Non-comedogenic อ่อนโยน ปราศจากส่วนผสมของสบู่ ไม่ทำร้ายผิว ไม่อุดตันรูขุมขน

• ไม่พบสัญญาณผิวแน่นตึงหลังใช้ติดต่อกันเกิน 2 สัปดาห์3,4,12

• 95% ของผู้หญิงทุกคนเห็นด้วยว่าใช้ Cetaphil Gentle Skin Cleanser แล้วรู้สึกผิวดีทันทีหลังล้างหน้า  

STEP 2 บำรุงให้ผิวนุ่มชุ่มชื้นด้วย “มอยส์เจอไรเซอร์”

บำรุงทั้งเช้าและเย็น ฟื้นฟูผิวแห้งกร้าน หมองโทรม ให้กลับฟื้นคืนความสดใส เปล่งปลั่ง อิ่มน้ำด้วย Cetaphil Moisturising Cream ครีมบำรุงสำหรับผิวแห้ง-แห้งมาก และผิวแพ้ง่ายโดยเฉพาะ 75 เปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้ที่มีปัญหาผิวพบว่าเกราะป้องกันเสียหายลดลงหลังจากใช้ได้ 3 วัน 21

• ฟื้นคืนเกราะป้องกันผิว เติมความชุ่มชื้นให้ผิวกลับมาชุ่มชื้นได้ภายใน 7 วัน

• ฟื้นบำรุงผิวถึงขีดสุดด้วยสารสกัดจากธรรมชาติอย่าง Sweet Almond Oil วิตามิน E และ B5สูตรเข้มข้นแต่ไม่เหนอะหนะผิวใช้ได้ทั้งผิวหน้าและผิวกายอ่อนโยนต่อผิวบอบบางแพ้ง่ายปราศจากน้ำหอมและลาโนลินไม่อุดตันผิวไม่ก่อให้เกิดสิว

STEP 3 ปกป้องผิวตลอดวันด้วย “ครีมกันแดดสูตรบางเบาพิเศษ”

เพื่อปกป้องผิวจากแสงแดดและมลภาวะตลอดวัน ช่วงกลางวันใช้ Cetaphil Sun SPF50+ PA++++ Light Gel  

• เนื้อเจลบางเบาพิเศษ (Light GEL) เกลี่ยง่าย ซึมซาบเร็ว ให้ความรู้สึกเบาสบายผิว

• สูตร Very Water Resistant กันน้ำ ทนเหงื่อ เหมาะสำหรับวันออกแดดจัด และการเล่นกิจกรรมทางน้ำ

• ค่า SPF 50+ PA++++ ปกป้องผิวได้สูงสุดยาวนานจากรังสี UVA และ UVB

• อ่อนโยนปราศจากส่วนผสมของน้ำหอม สารกันเสีย และพาราเบน

ข้อมูลอ้างอิง

^ จากผลสำรวจการแนะนำผลิตภัณฑ์ของแพทย์ผิวหนังในประเทศสหรัฐอเมริกา จำนวน 1,532 คน พ.ย. 2562 โดย IQVIA ประเทศสหรัฐอเมริกา

*95% ของผู้หญิงไทยอายุระหว่าง 18-40 ปี (213 จาก 223 คน) เห็นด้วยว่ารู้สึกผิวดีทันทีหลังล้างหน้าด้วย เซตาฟิล เจนเทิล สกิน คลีนเซอร์ จากการสำรวจบนเว็บไซต์ tryandreview ประเทศไทย ระหว่างเดือน ธ.ค. 2562 – ม.ค. 2563 3 Data on file, Gladerma Laboratories L.P. CRLNJ2020-0498 4Data on file, Gladerma Laboratories L.P. 86-1308-74 12Data on file, Gladerma Laboratories L.P. MKG001

**จากการศึกษาทางคลินิกในอาสาสมัครผู้หญิง จำนวน 50 ราย ระหว่างเดือน ก.ค. ถึง ส.ค. 2560 โดย Biometrix, Inc. ประเทศสหรัฐอเมริกา

21Data on file, Gladerma Laboratories L.P. GLI.04.SPR.US10402

สำหรับผู้ที่มีผิวบอบบางแพ้ง่ายหรือไม่มั่นใจสภาพผิว สามารถตรวจสอบ 5 สัญญาณผิวแพ้ง่ายได้ที่ https://www.cetaphil.co.th/ หรือ https://www.facebook.com/CetaphilThailand

เรียนรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบัน ณ สตูดิโอโยคะไลฟ์สไตล์ใจกลางกรุง ‘Atha Yoga Lifestyle Studio’

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/life/work-life-balance/681283

วันที่ 23 เม.ย. 2565 เวลา 14:30 น.เรียนรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบัน ณ สตูดิโอโยคะไลฟ์สไตล์ใจกลางกรุง 'Atha Yoga Lifestyle Studio'

เช็กอิน Community แห่งใหม่สำหรับคนอยากมีสุขภาพดี ที่ Atha Yoga Lifestyle Studio สตูดิโอโยคะไลฟ์สไตล์ใจกลางสุขุมวิท จากความตั้งใจของคุณแพร-ณัชชา หมู่ธนะกิจภิญโญ

เมื่อความไม่สมบูรณ์แบบคือความสวยงามที่แท้จริง

ท่ามกลางความเร่งรีบของไลฟ์สไตล์คนเมืองย่านทองหล่อ สุขุมวิท ยังมีสถานที่เงียบสงบให้คนกรุงไปปรุงแต่งชีวิต เติมมุมสงบผ่อนคลายผ่านดีไซน์สะดุดตาด้วยความโค้งของฝ้าเพดานและผนังอาคารที่ออกแบบมาโดยได้รับแรงบันดาลใจจากความเชื่อที่ว่า “ความไม่สมบูรณ์แบบคือความสวยงามที่แท้จริง” ที่นี่คือ “Atha Yoga Lifestyle Studio”

Atha (อฐ)

รู้จักกับ Atha

สำหรับ Atha (อฐ) มาจากภาษาสันสกฤต ที่มีความหมายว่า “ณ เวลานี้” “ตอนนี้” ด้วยต้องการให้คนที่เข้ามาสัมผัสได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบัน คุณแพร-ณัชชา หมู่ธนะกิจภิญโญ ผู้ก่อตั้ง เล่าถึงความเป็นมาว่า จากการที่เราเป็นคนที่มีโครงสร้างกระดูกใหญ่ ตั้งแต่เด็กจนโตก็พยายามกับการลดน้ำหนักมาโดยตลอด เพราะยึดติดกับค่านิยมความสวยตามบรรทัดฐานของสังคมมากเกินไป แต่การลดน้ำหนักมากๆ ก็ เปรียบเสมือนเป็นการลงโทษและทำให้ตัวเองรู้สึกแย่

คุณแพร-ณัชชา หมู่ธนะกิจภิญโญ ผู้ก่อตั้ง Atha Yoga Lifestyle Studio

หลังจากได้รู้จักกับโยคะและฝึกฝนก็เปลี่ยนทัศนคติของตัวเองอย่างสิ้นเชิง เพราะนอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรง โยคะทำให้เรียนรู้ในการยอมรับตัวเอง อยู่กับตัวเองในปัจจุบัน มีความสุขในแบบฉบับของตัวเองที่ไม่จำเป็นต้องทำตามค่านิยม จึงเป็นแรงบันดาลใจในการเปิดสตูดิโอสอนโยคะเพื่อให้ทุกคนได้สัมผัสเสน่ห์ของโยคะที่ทำให้เราเรียนรู้ตัวตนของเรา ซึ่งกลายเป็นที่มาของ Atha Yoga Lifestyle Studio แห่งนี้

การเรียนโยคะที่ Atha จะเน้นการเรียนในแบบที่เหมาะกับความต้องการของผู้ฝึก เน้นการรู้จักตัวตนให้มากยิ่งขึ้น และเข้าถึงจิตใจของตัวเองอย่างลึกซึ้ง โดยมีครูสอนโยคะที่มากด้วยประสบการณ์หลากหลายคน และจุดเด่นที่นับว่าสร้างความแตกต่างให้กับที่นี่ คือบริการที่ปรึกษา (consultation service) โดยครูโยคะผู้เชี่ยวชาญจะคอยให้คำแนะนำว่าแต่ละคนเหมาะกับการฝึกแบบไหน เป้าหมายการฝึกเป็นอย่างไร เพื่อให้ผู้ฝึกได้รับการฝึกที่ตอบโจทย์กับตัวเองมากที่สุด

Atha Class

คลาสเรียนโยคะของ Atha จะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทได้แก่ Private Class คือการฝึกตัวต่อตัวกับครู Semi-Private Class เป็นการฝึกร่วมกันกับเพื่อน 2-5 คน โดยจับกลุ่มกันเอง และ Group Class การเรียนแบบกลุ่ม

Private Class และ Semi-Private Class จะเป็นการฝึกที่เน้น Tailor-made class ครูผู้สอนจะดีไซน์คลาสให้ตอบโจทย์กับความต้องการของผู้ฝึกหรือเป้าหมายที่ผู้ฝึกตั้งไว้ เหมาะสำหรับผู้ฝึกที่มีความมุ่งมั่น ต้องการเพิ่มศักยภาพให้กับตัวเอง เพราะโปรแกรมการสอนจะถูกออกแบบมาอย่างเข้มข้น

Group Class มาพร้อมกับคอนเซปต์ที่แปลกใหม่และแตกต่าง เริ่มตั้งแต่ชื่อของคลาสโยคะ ที่ไม่ได้เรียกตามรูปแบบของโยคะทั่วไป แต่นำเอา “Feel ความรู้สึก” มาตั้งเป็นชื่อคลาส เพราะเชื่อว่าร่างกายของคนเราในแต่ละวันจะมีอารมณ์ความรู้สึกที่แตกต่างกันไป โดยแบ่งออกเป็น 4 Feels ด้วยกัน คือ Feel Calm, Feel Good, Feel Active และ Feel Sweaty ซึ่งแต่ละ Feel ผู้ฝึกสามารถเลือกฝึกได้ตามความต้องการของตัวเองในแต่ละวัน

โดยใน Group Class คือครูสอนโยคะแต่ละคนจะดีไซน์คลาสของตัวเอง ด้วยการนำท่าโยคะรูปแบบต่างๆ มาปรับเพื่อให้เหมาะสมในแต่ละ Feel ทำให้แม้จะฝึก Feel เดียวกัน แต่เรียนกับครูที่ต่างกัน ผู้ฝึกก็จะได้รับประสบการณ์การฝึกที่แตกต่างออกไป ซึ่งยังคงได้ถึงอารมณ์และความรู้สึกนั้นๆ อยู่ ทำให้ รู้สึกสนุกและไม่น่าเบื่อ แม้จะไม่เคยฝึกโยคะมาก่อน

Sound Bath ศาสตร์บำบัดด้วยเสียง

Sound Bath

ถ้าพูดถึง Atha สิ่งที่เป็น Signature เลยของที่นี่คือคลาส Sound Bath ศาสตร์บำบัดด้วยเสียงหรือการนอนอาบเสียง ที่ใช้คริสตัล โบลว์ (crystal bowl) หรือพลังจากหินคริสตัลมาเป็นตัวช่วยการบรรเลง เสียงตัวโน้ตที่บรรเลงออกมาแต่ละตัวช่วยในการบำบัดความเครียด ทำให้การนอนหลับดีขึ้น และยังช่วยฟื้นฟูจิตใจได้ดีอีกด้วย

โยคะเป็นศาสตร์ที่ทำให้คนได้ใกล้ชิดกับพื้นที่ ผ่านการรับรู้ทางสายตาและการสัมผัส การออกแบบสตูดิโอจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ทุกองค์ประกอบ และการตกแต่งภายใน ออกแบบมาเพื่อเสริมประสบการณ์การเล่นโยคะโดยเฉพาะ เน้นให้เกิดความรู้สึกสงบ ผ่อนคลาย และปรับอารมณ์จากความวุ่นวายภายนอก ทำให้มีสมาธิมากขึ้น

ดีไซน์และการออกแบบ Atha Yoga Lifestyle Studio

จุดที่เป็นไฮไลท์ของสตูดิโอ คือทางเข้าห้องโยคะ จะได้พบกับเสน่ห์ของประตูทางเข้าที่มีดีไซน์เหมือนทางเข้าถ้ำ ใช้ลูกเล่นการซ่อนไฟที่พื้นห้องเพื่อให้เกิดทิศทางของแสงที่แตกต่างจากโถงด้านนอกเป็น Transition space ให้ผู้ฝึกได้ปรับอารมณ์ก่อนเข้าสู่พื้นที่เล่นโยคะด้านในได้ละทิ้ง ได้ปลดปล่อยความวุ่นวายจากข้างนอก เพื่อเตรียมชาร์จพลังได้อย่างเต็มที่

เมนูเพื่อคนรักสุขภาพของ Atha Cafe

Atha Yoga Lifestyle Studio ถือว่าตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรักสุขภาพ เพราะนอกจากจะได้ฝึกโยคะเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของร่างกายแล้ว ที่นี่ยังมี Atha Café คอยให้บริการเครื่องดื่ม อาหารว่าง สำหรับผู้ที่มาฝึกโยคะจะได้จิบชาหลังฝึกเพื่อเพิ่มความสดชื่นให้ร่างกาย โดยเมนูไฮไลท์ที่ทุกคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าชอบมาก คือ โยเกิร์ต โบวล์ (Yogurt Bowl) ที่รับประทานคู่กับซอสราสเบอร์รี่ หรือบลูเบอร์รี่ ทำสดใหม่ทุกวัน โรยหน้าด้วยกราโนล่า เป็นเมนูที่อร่อย อิ่มท้อง และยังสุขภาพดีอีกด้วย

โดยความตั้งใจของ Atha คือต้องการที่จะเป็น Community สำหรับทุกคนที่อยากมีสุขภาพดี โดยมีโยคะเป็นสื่อกลาง และร่วมส่งต่อ message “Yoga for anyone” ให้โยคะเข้าถึงทุกคนได้ง่าย ใครๆ ก็เล่นได้ และเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ในชีวิต

เพื่อตอบโจทย์ให้ทุกไลฟ์สไตล์สามารถเข้าถึงโยคะได้ง่ายขึ้น Atha จึงได้จัดโปรแกรม Atha Yoga Retreat ชวนคุณมาหลีกหนีความวุ่นวายจากตัวเมือง กลับคืนสู่ธรรมชาติที่ห้อมล้อมไปด้วยท้องทะเลอันแสนงดงามของเกาะมันนอก จังหวัดระยอง โดยงานนี้ Atha ปิดทั้งเกาะมันนอก เพื่อชวนคุณมาผ่อนคลายไปกับการฝึกโยคะริมทะเล ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Solace by the Sea” ให้ทุกโสตประสาทสัมผัสทั้ง 5 ดื่มด่ำกับธรรมชาติอย่างเต็มอิ่ม ในวันที่ 28-30 พฤษภาคม 2565 นี้

สำหรับใครที่อยากรีชาร์จพลังงานบวกให้กับร่างกายและจิตใจต้องห้ามพลาดโปรแกรมพิเศษนี้ เพราะตลอด 3 วัน 2 คืน คุณจะได้อิ่มเอมไปกับการฝึกโยคะ ที่ทาง Atha ได้จัดเตรียมคลาสพิเศษที่ดีไซน์เพื่อให้ตอบโจทย์ 5 ประสาทสัมผัสของคุณ ได้แก่

– คลาสโยคะ Sunset Sight Flow คลาสฝึกโยคะท่ามกลางแสงยามเย็นในช่วงพระอาทิตย์กำลังตกดิน ที่จะกระตุ้นโสตประสาทด้านการมองเห็น ท่ามกลางบรรยากาศเย็นสบายและแสงที่สวยงามตาจะช่วยให้การฝึกโยคะมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

– คลาสโยคะ Ocean Scent Breathing คลาสที่จะกระตุ้นโสตประสาทด้านกลิ่น สูดรับกลิ่นไอจากธรรมชาติแห่งท้องทะเลไปพร้อมกับการฝึกหายใจแบบ Ujjayi ตามศาสตร์ของโยคะ โดยจะเน้นการกระชับกล้ามเนื้อด้านหลังลำคอ เพื่อสร้างเสียงที่คลายกับคลื่นของมหาสมุทรในขณะที่หายใจ

– คลาส Sound bath และการฝึกโยคะนิทรา ที่จะช่วยกระตุ้นโสตประสาทด้านการฟัง ให้คุณนอนอาบเสียงจากคริสตัลโบลว์ ไปพร้อมกับการฟังเสียงคลื่นแห่งท้องทะเล เพื่อให้ร่างกายและจิตใจได้พักผ่อนอย่างล้ำลึก และผ่อนคลายขั้นสุดที่จะช่วยให้การนอนของคุณหลับลึกอย่างสบาย

– กระตุ้นโสตประสาทด้านการสัมผัสไปกับ องค์ประกอบความสวยงามธรรมชาติพร้อมกับกิจกรรมและเวิร์กช้อปพิเศษ

– กระตุ้นต่อมการรับรส โดย Atha ได้ร่วมกับ El Mercado ที่มาช่วยเนรมิตให้ค่ำคืนของคุณเต็มไปด้วยอรรถรส กับกิจกรรมฝึกโยคะไปพร้อมกับจิบไวน์รสนุ่มๆ ในคลาส Wineyasa คลาสโยคะที่เน้นการฝึกสมาธิและการทรงตัว หลังจบคลาสเพลิดเพลินไปกับอาหารเมนูซิกเนเจอร์จากร้าน El Mercado ที่เตรียมทีมมาเสิร์ฟความอร่อยกลางเกาะมันนอกถึงสองวันเต็ม

พบกับคอมมูนิตี้ของคนรักสุขภาพได้ที่ Atha Yoga Lifestyle Studio อาคารคอนโดมิเนียม Noble Remix ชั้น 2 ซอยสุขุมวิท 36 ใกล้สถานีรถไฟฟ้า BTS สถานีทองหล่อ

ติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่ www.athalifestyle.com

Facebook: Atha.Lifestyle

Instagram: @atha.lifestyle

Line Official Account: @athalifestyle

หรือโทรศัพท์ 065-638-5398

ช้อปรักษ์โลก Ecotopia ร่วมสร้างโลกที่ดีไปด้วยด้วยกัน ต้อนรับ Earth Day

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/life/work-life-balance/681167

วันที่ 22 เม.ย. 2565 เวลา 07:20 น.ช้อปรักษ์โลก Ecotopia ร่วมสร้างโลกที่ดีไปด้วยด้วยกัน ต้อนรับ Earth Day

ต้อนรับ Earth Day วันคุ้มครองโลก Ecotopia แหล่งรวมสินค้าอีโค่แสดงจุดยืนเป็นคอมมูนิตี้ใส่ใจสิ่งแวดล้อม

“Ecotopia” ที่สุดของแหล่งรวมสินค้าอีโค่สำหรับคุณ ครบครันหลากหลายเพื่อโลกที่ดีขึ้น เป็นศูนย์รวมผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ สินค้าออร์แกนิค เปิดให้ทุกคนเข้ามาค้นพบและเลือกสรรได้ที่อีโค่โทเปียได้อย่างครบครัน จบในที่เดียวกว่า 300 แบรนด์ ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในวันคุ้มครองโลก หรือ Earth Day ทุกวันที่ 22 เมษายน เพื่อปลุกจิตสำนึกเกี่ยวกับปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อม ซึ่งอีโค่โทเปีย เป็นคอมมูนิตี้ที่แสดงจุดยืนในการร่วมใส่ใจสิ่งแวดล้อมมายาวนาน เป็นเมืองรวมผลิตภัณฑ์รักษ์โลกที่สามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างหลากหลาย ณ Ecotopia ชั้น 3 สยามดิสคัฟเวอรี่ ดิเอ็กซ์พลอราทอเรี่ยม

“เราสร้างโลกให้ดีขึ้นไปด้วยกัน” เป็นความตั้งใจที่ ECOTOPIA มุ่งมั่นในการร่วมเป็นส่วนหนึ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับโลกของเรา ด้วยการลดการสร้างขยะ เพิ่มการใช้ซ้ำ ทำความรู้จักกับธรรมชาติในมุมมองใหม่และสร้างคุณค่าของเหลือใช้ให้กลับมามีประโยชน์ขึ้นอีกครั้ง อีกทั้งยังสามารถค้นหาผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้ง่ายๆ จบในที่เดียวอีกด้วย

ในการสร้างโลกให้ดีไปด้วยกันในยุคนี้ มีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นเพราะมีนวัตกรรมใหม่ๆมาให้ได้ทดลองใช้ในชีวิตประจำวันมากมาย อาทิ NATEDE นวัตกรรมเครื่องฟอกอากาศด้วยต้นไม้ โดยจุดเด่นที่ทำให้ไม่เหมือนใครคือ การใช้งานร่วมกับธรรมชาติได้ดีเยี่ยม เพราะสามารถปลูกต้นไม้ในกระถางพร้อมฟอกอากาศไปในตัว นอกเหนือจากมอบอากาศบริสุทธิ์แล้ว ยังสามารถตกแต่งมุมบ้านได้อย่างสวยงามอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีเครื่องฟอกอากาศอีกมากมาย ทั้งแบบพกพา หรือตั้งไว้ในสถานที่ต่างๆ อย่าง SABAIDEE CARE เครื่องฟอกอากาศ รุ่น NAPHA IV นอกจากช่วยขจัดเชื้อโรคแล้วยังช่วยกรองฝุ่น กำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์อีกด้วย หรือจะแบบพกพาง่าย กระทัดรัด แบบ Aura Air Mini เครื่องฟอกอากาศแบบพกพา สามารถตั้งโต๊ะทำงาน หรือไว้บนรถก็ได้

นอกจากนี้ ด้วยสถานการณ์โควิด19 ที่ยังมีอยู่ต่อเนื่อง ผลิตภัณฑ์ที่เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันที่ควรต้องมี อย่าง หน้ากากอนามัย, แอลกอฮอล์ล้างมือ ซึ่งมีการพัฒนามีส่วนผสมที่ช่วยป้องกัน ปกป้องได้ยาวนาน อย่าง Disinfect & Shield (ดิสอินเฟ็กต์ แอนด์ ชีลด์) นวัตกรรมกำจัดและป้องกันแบคทีเรียและ

ไวรัสสุดล้ำแบรนด์ดังจากสหรัฐอเมริกา ป้องกันกำจัดแบคทีเรียไวรัสได้ถึง 99.99 รวมทั้งผลิตภัณฑ์ซักผ้าที่ไม่มีสารระคายเคืองเหมาะกับเด็กเล็กหลากหลายยี่ห้อมากมาย รวมไปถึงถุงขยะที่สามารถย่อยสลายได้ ของใช้ในครัวเรือน อย่างช้อนส้อมทำจากวัสดุธรรมชาติ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้

อีกทั้งยังชวนมาสวยต้อนรับวันคุ้มครองโลกไปกับผลิตภัณฑ์บิวตี้ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ มีความออร์แกนิค ไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ มีทั้งบลัชออน ลิปสติก Maria TintedVegan มีส่วนประกอบจากธรรมชาติ ให้ความชุ่มชื้นบำรุงริมฝีปาก, สบู่ก้อน Wavertree & London นำเข้าจากออสเตรเลีย มีให้เลือกถึง 35 ผลิตจากวัตถุดิบชั้นดีจากธรรมชาติ และมีครีมกันแดด ยาสระผม ครีมนวดผมออร์แกนิคอีกมากมาย

ตอกย้ำการให้ความสำคัญในวันคุ้มครองโลก “ECOTOPIA” จัดแคมเปญมอบโปรโมชั่นพิเศษกับ “ECOTOPIA EARTH DAY SALE PLANET WARRIORS” เอาใจสายรักษ์โลก ไม่ช้อป ไม่ได้แล้ว ลดสูงสุด 50% พร้อมรับคูปองท้ายบิลสูงสุด 200 บาท พิเศษ ช้อปครบ 2,500 บาท รับฟรี Disinfect&Shield มูลค่า 990 บาท และสำหรับลูกค้า VIZ Member ช้อปครบ 1,500 บาท รับ Coins X5 (รับสูงสุด 30 coins) ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 เมษายน 2565

ECOTOPIA มอบความสะดวกสบาย ช้อปออนไลน์ง่ายๆ หลากหลายช่องทาง ผ่าน OneSiam SuperAPP, Shopee, Lazada หรือสามารถช้อปได้ที่ ECOTOPIA ชั้น 3 สยามดิสคัฟเวอรี่ ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ติดตามรายละเอียดได้ที่ Facebook : Ecotopia Thailand

รู้จัก ‘เดือนเต็ม วรเดชวิเศษไกร’ ผู้นำทีมการขุดเจาะของไทยที่พิสูจน์แล้วว่า ‘ผู้หญิงก็ทำได้’

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/life/work-life-balance/681009

วันที่ 20 เม.ย. 2565 เวลา 10:25 น.รู้จัก ‘เดือนเต็ม วรเดชวิเศษไกร’ ผู้นำทีมการขุดเจาะของไทยที่พิสูจน์แล้วว่า ‘ผู้หญิงก็ทำได้’

‘เดือนเต็ม วรเดชวิเศษไกร’ วิศวกรขุดเจาะหญิงสุดแกร่งของเชฟรอน ฉีกกรอบความคิดสู่ความท้าทายในอาชีพสาขา STEM โอกาสที่ผู้หญิงก็ทำได้

คุณมูน “เดือนเต็ม วรเดชวิเศษไกร”

ในวันที่โลกเกิดการเปลี่ยนแปลงและเติบโตอย่างรวดเร็ว ผู้คนต่างเชื่อว่านวัตกรรม เทคโนโลยีและความรู้ใหม่ๆ ถือกำเนิดขึ้นทุกวัน เราเดินหน้าไปสู่ความเท่าเทียม เปิดรับ แลกเปลี่ยน และเชื่อมโยงถึงกันมากขึ้น เราทุกคนมีโอกาสและทางเลือกที่หลากหลายในการใช้ชีวิต แต่ในความเป็นจริง ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเข้าถึงโอกาสนั้นได้อย่างเท่าเทียมกัน

จากข้อมูลขององค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา สำนักงานภาคพื้นเอเชีย (USAID) แสดงให้เห็นว่า ผู้หญิงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีบทบาทไม่มากนัก โอกาสในการเลือกอาชีพของพวกเธอมีข้อจำกัดจากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความยากจน ความเหลื่อมล้ำทางสังคม โอกาสทางการศึกษาน้อยกว่าเด็กชาย ขาดการแนะแนวและให้ความรู้ด้านวิชาชีพว่าผู้หญิงก็สามารถยืนหยัดในแวดวงนี้ได้ ขาดผู้หญิงต้นแบบให้ยึดถือและเดินรอยตาม รวมทั้งขาดความร่วมมือเป็นหนึ่งเดียวในระดับภูมิภาค

ยิ่งหากมองลึกไปที่อาชีพสาขา STEM สายงานที่ต้องใช้องค์ความรู้และจุดเด่นโดยรวมของศาสตร์ 4 สาขาวิชาไม่ว่าจะ Science (วิทยาศาสตร์) Technology (เทคโนโลยี) Engineering (วิศวกรรมศาสตร์) และ Mathematics (คณิตศาสตร์) เข้าไว้ด้วยกัน ไม่แปลกเลยหากความซับซ้อน ข้อจำกัดของพละกำลังหรือความคล่องตัว จะชวนให้ผู้คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดและตีกรอบทางความคิดว่า STEM เป็นสาขาอาชีพที่ผู้หญิงเติบโตได้ยาก ทำให้ผู้หญิงในอาชีพสาขานี้มีจำนวนน้อย จากรายงานฉบับหนึ่งของ The World Economic Forum ระบุว่า เมื่อเทียบกับแวดวงสาธารณสุข การศึกษา องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร หรือกฎหมาย ผู้หญิงจะได้รับการว่าจ้างงานและมีพื้นที่ในอาชีพมากกว่ากลุ่มอาชีพ STEM อย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็น ซอฟต์แวร์ ไอที สายการผลิต โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน และเหมืองแร่ หรือในกลุ่มวิศวกรรมปิโตรเลียม มีผู้หญิงคิดเป็นเพียงราว 25 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

ปัญหาภาวะความเหลื่อมล้ำทางเพศนี้ ไม่ได้ส่งผลแค่ในเชิงอัตลักษณ์หรือตัวตนเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อธุรกิจอย่างมาก เพราะนำไปสู่ระบบเศรษฐศาสตร์ที่ขาดประสิทธิภาพ รวมถึงชะลอการพัฒนาและเติบโต ในทางตรงกันข้าม ความเท่าเทียมทางเพศนั้นสามารถเพิ่มมูลค่าให้เศรษฐกิจโลกได้มากถึง 12 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ไม่เพียงเพิ่มพูนชื่อเสียง แต่ยังแสดงถึงความเป็นผู้นำขององค์กรและเป็นตัวอย่างให้แก่คนรุ่นใหม่ รวมทั้งดึงดูดและรักษาพนักงานที่มีความสามารถไว้ได้อย่างน่าทึ่ง

เชฟรอน ในฐานะหนึ่งในบริษัทพลังงานระดับโลกที่เชื่อในความสามารถและศักยภาพของผู้หญิง อีกทั้งสนับสนุนให้ผู้หญิงรับหน้าที่เป็นผู้ขับเคลื่อนองค์กรในตำแหน่งสำคัญมาโดยตลอด วันนี้เราจึงจะพาคุณมารู้จัก คุณมูน “เดือนเต็ม วรเดชวิเศษไกร” ผู้หญิงคนแรกในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการขุดเจาะหลุม (Wells Manager) ของบริษัท เชฟรอนเอเชียเซ้าท์ จำกัด ผู้นำทีมการขุดเจาะของไทยที่ทำการขุดเจาะเพื่อการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมและจัดหาพลังงานให้กับประเทศสำเร็จจำนวนหลายร้อยหลุมในแต่ละปี ทำลายสถิติการจัดการแท่นขุดเจาะที่เร็วที่สุดในโลก และเป็นตัวแทนวิศวกรหญิงในประเทศไทยที่ได้รับเกียรติเข้าร่วมพูดคุยในงาน USAID E4SEA ภายใต้หัวข้อ Girls and STEM for a Sustainable Energy Sector in Southeast Asia ตอกย้ำศักยภาพและความเป็นผู้นำของผู้หญิงในอาชีพสาขา ‘STEM’ ได้อย่างเด่นชัด

เพราะเชื่อว่า ‘ผู้หญิงก็ทำได้’ ควบคู่ไปกับการสนับสนุนของครอบครัว แม้คุณพ่อหรือคุณแม่จะไม่เคยทำงานสาย STEM มาก่อน แต่พวกเขาก็ไม่เคยปิดกั้นหรือมีความเชื่อในค่านิยมแบบเดิมๆ ที่ว่า เด็กผู้ชายมีจุดแข็งด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์มากกว่า ในขณะที่เด็กผู้หญิงมีจุดแข็งด้านการใช้ภาษา ซึ่งค่านิยมเหล่านี้อาจจะส่งผลให้เด็กผู้หญิงให้ความสนใจในการเรียนรู้ด้าน STEM น้อยลงได้

ยิ่งไปกว่านั้น คุณครูมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยผลักดันความสนใจในการเรียนรู้ด้าน STEM เธอเล่าว่า “สมัยประถมศึกษาไม่ได้ชอบวิชาคณิตศาสตร์เป็นพิเศษ แต่พอย้ายมาเรียนชั้นมัธยมศึกษาได้เจอคุณครูที่ทำให้วิชาเลขเป็นเรื่องที่เข้าใจง่ายและเรียบง่าย จึงเกิดเป็นความชื่นชอบในวิชานี้ จากที่ไม่ได้โดดเด่นด้านคณิตศาสตร์ ก็ทำได้ดีขึ้น”

นอกจากคุณครูซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการศึกษา ทั้งในแง่การต่อยอด การสร้างแรงบันดาลใจและความมั่นใจให้กับนักเรียนหญิงแล้ว เธอยังมีพี่สาว ผู้ทำงานในอาชีพสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็น Role Model หรือ ต้นแบบที่มีส่วนสำคัญในการสร้างประสบการณ์จริงและสร้างแรงบันดาลใจ โดยพาคุณมูนไปพบเจอประสบการณ์ที่ดีและน่าตื่นเต้นต่างๆ เช่น การเยี่ยมชมเครื่องจักรในโรงงานกระดาษ

“เรายืนอยู่หน้าเครื่องพวกนั้น แล้วจินตนาการว่าตัวเองสามารถซ่อมเครื่องพวกนี้ แก้ปัญหาให้มันทำงานได้แบบสดๆ ทันเวลาตอนนั้นเลย สำหรับเรามันน่าตื่นเต้นมาก เป็นเรื่องสำคัญที่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งได้มีโอกาสได้เห็นสิ่งต่างๆ และจับต้องความฝันได้แบบเป็นรูปธรรม ทำให้เห็นว่าเรารู้ว่าเราอยากทำอะไรในชีวิต ในอนาคตของเรา” คุณมูนกล่าวในงาน USAID E4SEA

จนกระทั่งความฝันเป็นจริง เธอได้เข้าทำงานกับทางบริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด และเติบโตในสายนี้ จนได้รับการโปรโมทเป็นหนึ่งในผู้บริหารของ บริษัท เชฟรอนเอเชียเซ้าท์ จำกัด ซึ่งที่เชฟรอน มีวัฒนธรรมองค์กรที่ให้คุณค่าด้านความหลากหลายภายในองค์กร (Diversity and Inclusion) พร้อมทั้งสร้างโอกาสในการทำงานในแวดวงพลังงานให้กับผู้หญิงผ่านระบบขั้นตอนการทำงานและการสร้างสิ่งแวดล้อมที่สนับสนุนให้เกิดความพร้อมและความสบายใจ แม้เพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชาย แต่ก็ไม่เป็นปัญหา ทุกคนสามารถแลกเปลี่ยนความเห็นและทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี ทำให้งานดำเนินอย่างราบรื่นและเกิดเป็นผลสำเร็จร่วมกัน “ถึงแม้วันนี้เราไม่ได้ทำงานในโรงงาน แต่เราได้ทำงานกับทางเชฟรอน เป็นงานที่เน้นการลงพื้นที่ เรายังเป็นคนเดิมที่มีความสุขกับการทำให้เครื่องจักรทำงาน เราอยากตัดสินใจ ช่วยแก้ปัญหาในหน้างาน และทำให้งานเดินต่อไปได้ สิ่งเหล่านี้เป็นจริงได้เพราะการสนับสนุนผู้หญิงให้มีโอกาสเข้าถึงงานในสาย STEM นั่นเอง”

เด็กส่วนใหญ่มักไม่ชอบเรียนคณิตศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์เพราะคิดว่าเป็นวิชาที่ยาก การจูงใจให้เด็กทุกคนรวมถึงเด็กผู้หญิงมาสนใจเรียนวิชาที่ก้าวไปสู่วิชาชีพสาขา ‘STEM’ นั้นจึงต้องเริ่มจากห้องเรียนที่สนุก ครูจึงมีบทบาทสำคัญที่จะสร้างสิ่งแวดล้อมในการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้คิดวิเคราะห์ แก้โจทย์ปัญหาที่เชื่อมโยงกับโลกภายนอก สร้างแรงบันดาลใจให้เด็กอยากเรียนและก้าวหน้าในอาชีพที่ต้องใช้ทักษะทางด้าน STEM

โดย ดร. เกศรา อมรวุฒิวร  ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาโครงการศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยสะเต็มศึกษาขององค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEAMEO – STEM-ED) ได้กล่าวในงาน USAID E4SEA ถึงโครงการ Chevron Enjoy Science: สนุกวิทย์ พลังคิด เพื่ออนาคต ซึ่งร่วมมือกับทางบริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ว่าเป็นโครงการที่จัดขึ้นเพื่อยกระดับคุณภาพการเรียนการสอนด้าน STEM โดยมุ่งเน้นการเพิ่มศักยภาพของครูผู้สอนให้มีทักษะการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (inquiry-based approach) ใช้โครงงานเป็นฐาน (project-based approach) และส่งเสริมการเรียนรู้ STEM ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียนให้กับเยาวชน ผ่านการพัฒนาครูที่เน้นการลงมือปฏิบัติ ผลของโครงการทำให้คุณครูที่เข้าร่วมโครงการ 100% สามารถเชื่อมโยงคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์เข้ากับชีวิตประจำวัน โดย 72% ของครูผู้สอนสามารถจัดกระบวนการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ได้ส่งผลให้เด็กนักเรียน 92% ตั้งใจเรียนและทำงานที่ครูมอบหมายให้และยังสะท้อนว่าได้เรียนรู้แนวคิดหลักทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์จากแผนการสอนที่ครูออกแบบมาอย่างดี นักเรียนถึง 90% ใส่ใจและสนุกกับการเรียนคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์มากขึ้น และที่สำคัญนักเรียนหญิงที่เข้าร่วมโครงการมีสัดส่วนที่สนใจเรียนต่อในสาขา STEM สูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบ นับเป็นอีกความมุ่งมั่นที่พยายามทำเพื่อให้ผู้หญิงมีโอกาสและความมั่นใจมุ่งสู่อนาคตสาย STEM มากขึ้น

กิจกรรมในโครงการ Chevron Enjoy Science: สนุกวิทย์ พลังคิด เพื่ออนาคต 

ทั้งหมดนี้เราจะเห็นว่า ‘ผู้หญิง’ ก็สามารถเข้ามามีบทบาท เติบโต และประสบความสำเร็จในอาชีพสาขา ‘STEM’ ได้ เพียงได้รับการส่งเสริมให้มีทัศนคติที่ดีต่อวิทยาศาสตร์ เชื่อมั่นในศักยภาพ พัฒนาตัวเองอย่างสม่ำเสมอ สั่งสมประสบการณ์ที่ได้รับพร้อมก้าวข้ามขีดจำกัดมุ่งสู่ความท้าทายในความสามารถ และกล้าที่จะแสดงออกอย่างมั่นใจให้โลกรับรู้ว่า ‘ผู้หญิงก็ทำได้’ 

เชฟรอนประเทศไทย ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมความหลากหลาย ความเท่าเทียม พัฒนาคน พัฒนาการศึกษาในกลุ่มอาชีพสาขา ‘STEM’ ให้ผู้หญิงทุกคนได้มาพิสูจน์ความสามารถที่มีและเติบโตในอาชีพสาขา ‘STEM’ ไปด้วยกัน

ชวนช้อปหนักมาก! คิง เพาเวอร์ เปิดประสบการณ์ให้นักเดินทางได้ช้อปคุ้มที่สนามบินอีกครั้ง

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/life/work-life-balance/680955

วันที่ 19 เม.ย. 2565 เวลา 15:12 น.ชวนช้อปหนักมาก! คิง เพาเวอร์ เปิดประสบการณ์ให้นักเดินทางได้ช้อปคุ้มที่สนามบินอีกครั้ง

ต้อนรับการกลับมาเดินทางอีกครั้งกับ คิง เพาเวอร์ ด้วยแนวคิด ‘ชวนไทยเที่ยวโลก ชวนโลกเที่ยวไทย’ พร้อมโปรโมชั่นพิเศษภายในสนามบินเพื่อนักเดินทาง ตั้งแต่วันนี้ – 31 พฤษภาคม นี้ ที่ คิง เพาเวอร์

คิง เพาเวอร์ อัดแคมเปญเพื่อนักเดินทาง เปิดประสบการณ์ให้นักเดินทางได้ช้อปคุ้มที่สนามบินอีกครั้ง ที่ คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ, ดอนเมือง และภูเก็ต พร้อมโปรโมชั่นพิเศษสำหรับบริการ KING POWER CLICK & COLLECT บริการช้อปสินค้าดิวตี้ฟรีในระบบออนไลน์ เพื่อต้อนรับการกลับมาเดินทางอีกครั้งกับ ด้วยแนวคิด ‘ชวนไทยเที่ยวโลก ชวนโลกเที่ยวไทย’ พร้อมโปรโมชั่นพิเศษภายในสนามบินเพื่อนักเดินทาง ตั้งแต่วันนี้ – 31 พฤษภาคมนี้ ที่คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ,ดอนเมือง และภูเก็ต สมาชิกคิง เพาเวอร์ รับคูปองส่วนลด 30% 1 ใบ สำหรับซื้อสินค้าที่ร่วมรายการ 1 ชิ้น เมื่อสมัครสมาชิก Scarlet  และเติม E-Purse มูลค่า 6,000 บาท หรือ สมัครสมาชิก Onyx และเติม E-Purse มูลค่า  60,000 บาท รวมถึงรับส่วนลด 20% จากร้านค้าที่ร่วมรายการ

พร้อมรับสิทธิเมื่อช้อปสินค้าดิวตี้ ฟรี ผ่านระบบออนไลน์กับบริการ KING POWER CLICK & COLLECT ตั้งแต่วันนี้ – 30 เมษายน นี้ มอบส่วนลดสูงสุด 25%  เมื่อช้อปครบ 4,000 บาทขึ้นไป เฉพาะการสั่งซื้อสินค้า Duty Free ที่ร่วมรายการ และเฉพาะการสั่งซื้อสินค้า Duty Free สำหรับเที่ยวบินขาออก (Departure flight) และเที่ยวบินขาเข้า (Arrival Flight) เพียงใส่รหัสส่วนลด “DFS25” สามารถใช้ได้ที่ www.kingpower.com และ แอปพลิเคชัน KING POWER ซึ่งสามารถช้อปได้สะดวก รวดเร็ว จากที่ไหนก็ได้ตลอด 24 ชั่วโมง รับของง่ายขึ้นที่สนามบินทั้งขาเข้า-ขาออก  สามารถช้อปปิ้งได้จนถึง 2 ชั่วโมงสุดท้ายก่อนออกเดินทาง

พิเศษ ! ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ขอเชิญนักเดินทางสัมผัสประสบการณ์ ‘ดิวตี้ ฟรี เวิล์ดคลาส ช้อปปิ้ง เดสติเนชั่น’ กับแฟลกซ์ชิพสโตร์ระดับลักชัวรี่แบรนด์ชั้นนำมากกว่า 20  แบรนด์ระดับโลก พร้อม แฟลกซ์ชิพสโตร์เครื่องสำอาง น้ำหอม แบรนด์ชั้นนำ ได้แก่ ชาแนล (Chanel), เอสเคทู (SKII), ลังโคม (Lancôme), เอสเต้ ลอเดอร์ (ESTÉE LAUDER) และ ดิออร์ (DIOR) ในโซน World Beauty และสินค้าคุณภาพมากมายเพื่อนักเดินทาง ตลอดจนการใช้บริการห้อง The Atlas Club และ King Power Space ภายใต้มาตรการสุขอนามัยระดับสากล ซึ่งสมาชิกคิง เพาเวอร์ โดยสามารถตรวจสอบสิทธิการเข้าใช้บริการล่วงหน้าที่ http://member.kingpower.com