รับดิจิตอลไลฟ์สไตล์ ไอโมบายปรับธุรกิจ สร้างภาพลักษณ์ใหม่ ไฮเทคตอบโจทย์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/601082

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 4 เม.ย. 2559 18:05

 

สามารถ ไอ-โมบาย ลงทุน 300 ล้านบาท ปรับภาพลักษณ์ใหม่ให้แบรนด์ เปลี่ยนช็อปทันสมัยภายใต้แนวคิด Open Shop รวมสินค้าและบริการครบที่เดียว พร้อมผุดไอเดียอีคอมเมิร์ซ สร้างเว็บตอบโจทย์นักช็อปออนไลน์ทั้งไทยและต่างชาติ…

นายจักรกฤช จารุจินดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สามารถ ไอ-โมบาย จำกัด จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในปัจจุบันที่นิยมใช้งานสมาร์ทโฟนและแอพพลิเคชั่นเพื่ออำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน บริษัทจึงนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ เพื่อตอบสนองความพฤติกรรมการใช้งานดังกล่าว และดำเนินการปรับโครงสร้างธุรกิจออกเป็น 2 ระเภทหลัก คือ โมบายล์ บิสสิเนส (Mobile Business) และนอน โมบายล์ บิสสิเนส (Non Mobile Business) โดยกลุ่มโมบายล์ บิสสิเนสนั้นจะเน้นการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคด้วยผลิตภัณฑ์ที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายและตรงใจ ส่วนนอน โมบายล์ บิสสิเนสนั้น จะเป็นธุรกิจที่ไม่ใช่มือถือแต่จะตอบโจทย์ความต้องการใช้งานด้านดิจิตอล คอมเมิร์ซ และคอนเทนต์ รวมถึงการเปิดตัวสายธุรกิจใหม่เพิ่มเติม

“จากแนวทางเข้าสู่ยุคเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต ออฟ ธิงค์ (IoT) บริษัทจึงมีแนวคิดพัฒนารูปแบบสินค้าและบริการให้รองรับความต้องการดังกล่าว ภายใต้แนวคิดที่เรียกว่าโอเพ่น (Open) ด้วยการสร้างรายได้ในรูปแบบต่างๆ โดยตั้งเป้ารายได้ในปีนี้ไว้ที่ 8,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากกลุ่มมือถือ 6,500 ล้านบาท และกลุ่มไม่ใช่มือถือ 1,500 ล้านบาท”

สำหรับรูปแบบธุรกิจในปีนี้ แบ่งออกเป็น Open Shop ธุรกิจค้าปลีกที่เป็นร้านค้าไลฟ์สไตล์จำหน่ายมือถือ แก็ตเจ็ต อุปกรณ์เชื่อมต่อเครือข่าย และอุปกรณ์ติดตัวแบรนด์ O’Life โดยภายในร้านดังกล่าวยังให้บริการอื่นๆ อาทิ O’Fix ศูนย์ซ่อมมือถือซึ่งรับซ่อมแซมมือถือทุกแบรนด์ , O’Pay ศูนย์รับชำระบิลทุกประเภท ,​ O’Top Up ตู้เติมเงินเพื่ออำนายความสะดวก , O’Cafe จำหน่ายกาแฟและเครื่องดื่มสุขภาพ , O’Sport & Health and Smart Home จำหน่ายสินค้ากีฬาและสุขภาพ ซึ่งบริษัทตั้งเป้าปรับร้านไอ-โมบาย เดิม 28 สาขา ให้เป็นร้าน Open Shop รูปแบบใหม่ภายในสิ้นปีนี้ จากปัจจุบันที่มีสาขาแรก ณ อาคารซอฟต์แวร์ปาร์ค ถนนแจ้งวัฒนะ

นอกจากนี้ บริษัทยังได้เปิดตัวสายธุรกิจใหม่ด้านอีคอมเมิร์ซ ได้แก่ เว็บไซต์ Thailandmall แหล่งช็อปปิ้งเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ , WappWapp ตอบสนองทุกความต้องการของผู้บริโภคทั้งด้านการกิน ความบันเทิงในทุกไลฟ์สไตล์ , Thailand Check-in บริการช่วยเหลือนักท่องเที่ยว เป็นต้น ขณะเดียวกัน บริษัทได้เข้าซื้อกิจการจาก Phoinikas ที่ทำธุรกิจด้านดิจิตอล มาร์เก็ตติ้ง เพื่อขยายธุรกิจด้านดิจิตอล คอมเมิร์ซให้ครบวงจร และในช่วงต้นเดือนเมษายนนี้ บริษัทจะมีการเปิดตัวบริการ Open MVNO ภายใต้ความร่วมมือกับบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT อีกด้วย

“เราใช้งบลงทุนกว่า 300 ล้านบาท เพื่อปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ของแบรนด์และขยายธุรกิจ โดยเชื่อว่าภายใน 3 ปีจากนี้ บริษัทจะสามารถสร้างรายได้ไม่ต่ำกว่า 15,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากกลุ่มมือถือ 50% กลุ่มที่ไม่ใช่มือถือ 50% แม้ว่าปัจจุบันรายได้จากกลุ่มธุรกิจมือถือจะปรับลดลงจากเดิมที่ 7,000 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา เนื่องจากโอเปอเรเตอร์มีการทำตลาดอย่างหนักในกลุ่มมือถือราคาระดับล่าง แต่เชื่อว่ากลยุทธ์การทำตลาดมือถือที่บริษัทจะให้ความสำคัญกับสมาร์ทโฟนราคาระดับกลาง หรือไม่เกิน 7,000 บาทนั้น จะทำให้บริษัทมีรายได้ตามเป้าหมายอย่างแน่นอน ซึ่งบริษัทจะทยอยเปิดตัวสมาร์ทโฟนออกสู่ตลาดราว 10 รุ่นในปีนี้ จากปีก่อนหน้าที่เปิดตัวไปแล้วกว่า 45-47 รุ่น เพื่อรองรับการมาของทีวีดิจิตอล”.

สาวกไอโฟนว่าไง? รุ่นใหม่เปิดตัวปีหน้า จอใหญ่สุด 5.8 นิ้ว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/600267

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 4 เม.ย. 2559 06:05

 

(ด้านซ้ายคือไอโฟน 6เอส พลัส ส่วนด้านขวาคือไอโฟน เอสอี)

นักวิเคราะห์ขาประจำออกมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับไอโฟนรุ่นใหม่ คาดหน้าจออาจปรับใหม่ใหญ่ 5.8 นิ้ว พร้อมเปิดตัวในปี 2017…

เพิ่งทยอยจำหน่ายรุ่นล่าสุดอย่าง “ไอโฟน เอสอี” (iPhone SE) ได้ไม่นาน ล่าสุด เริ่มมีกระแสข่าวเกี่ยวกับรุ่นถัดไปออกมาแล้ว โดยขณะนี้ข่าว(ลือ)ล่าสุด มาจากนักวิเคราะห์คนดัง “หมิง ฉี กั๊วะ” (Ming-Chi Kuo) ที่เคยออกมาให้รายละเอียดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของแอปเปิลก่อนมีการเปิดตัว ก็ได้ออกมาเปิดเผยข่าวใหม่ซึ่งระบุว่าเป็นเรื่องราวของไอโฟนรุ่นใหม่

โดยครั้งนี้ เขาเปิดเผยว่า ไอโฟนรุ่นถัดไปอาจเปิดตัวในปี 2017 และแอปเปิลกำลังตัดสินใจว่าจะใช้วัสดุประเภทใดระหว่างกระจก พลาสติก หรือโลหะ

ทั้งนี้ เขาได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวว่า แอปเปิลอาจตัดสินใจใช้ตัวเครื่องแบบกระจกเหมือนที่ใช้กับไอโฟน 4 และไอโฟน 4เอส เนื่องจากการใช้ตัวเครื่องพลาสติกนั้นไม่สามารถทำให้มีความบางและแข็งแรงได้ในเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ อาจมีการเปลี่ยนไปใช้หน้าจอแบบอะโมเลตจอโค้ง แทนหน้าจอแบบแอลซีดีที่ใช้งานมานานตั้งแต่ไอโฟนรุ่นแรก ขณะที่ขนาดหน้าจอรุ่นใหม่นั้น อาจมีขนาดใหญ่เบิ้มไปถึง 5.8 นิ้ว ถือเป็นขนาดที่ใหญ่กว่าไอโฟน 6เอส พลัส ซึ่งใหญ่ที่สุดในปัจจุบันในไซส์ 5.5 นิ้ว

ภาพที่อ้างว่าเป็นภาพหลุดของไอโฟน 7

ส่วนฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่หลายคนลุ้นมานานอย่างเรื่องชาร์จไร้สายนั้น ยังไม่มีรายละเอียดใดๆ ออกมาเพิ่มเติม

ขอให้เก็บความสงสัยต่อไปอีกนิด เชื่อว่าไม่นานเกินรอจะต้องมีข่าว(ลือ)ใหม่ๆ ออกมาอัพเดตอย่างแน่นอน…!

ที่มา : macthai , iclarified , 9to5mac

เกม Pocket MapleStory SEA มาแรงติดชาร์ตท็อปทรี ในสโตร์ 3 ชาติอาเซียนแล้ว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/600367

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 3 เม.ย. 2559 05:45

 

เพลย์พาร์ค ส่งเกมมือถือ Pocket MapleStory SEA ให้ดาวน์โหลดเล่น ทำสาวกเมเปิ้ลแห่ดาวน์โหลดจนติดอันดับท็อปทรีใน Top Free Download หมวดเกม บน iOS พร้อมกันใน 3 ประเทศ คว้าที่ 1 ในไทยและสิงคโปร์ ขณะที่ฟิลิปปินส์มาอันดับ 2…

นางสาวศิริรัตน์ ไวศรายุทธ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชียซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ( มหาชน) กล่าวว่า เกม Pocket MapleStory SEA นับเป็นก้าวสำคัญของเอเชียซอฟท์ ในการบุกตลาดเกมมือถือ ปี 2559 นี้ ด้วยศักยภาพของตัวเกม คาแรกเตอร์ที่โดดเด่น มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ตลอดจนชื่อเสียงและฐานผู้เล่นที่รอคอย Maple Story เวอร์ชั่นมือถือ ทำให้ได้รับกระแสตอบรับจากเกมเมอร์ท่วมท้น จนทำให้ Pocket MapleStory SEA ขึ้นเป็นอันดับ 1 ในหมวดเกมของหลายๆ ประเทศภายในชั่วข้ามคืน เรียกได้ว่าเป็นเกมมือถือที่ประสบความสำเร็จเร็วที่สุดของเราก็ว่าได้

รอง กก.ผจก.บริษัทเอเชียซอฟท์ฯ กล่าวต่อว่า ทางบริษัทฯ มีการวางแผนร่วมกันใน 4 ประเทศที่เปิดให้บริการ ในการจัดกิจกรรมและโปรโมชั่นที่ตรงกับความต้องการของผู้เล่นในแต่ละประเทศให้มากที่สุด รวมถึงผู้พัฒนามีการวางแผนการอัพเดตเกมอย่างต่อเนื่อง คาดว่า Pocket MapleStory SEA จะเป็นเกมที่ทำรายได้ขึ้นอันดับ 1 ในพอร์ตเกมมือถือที่เราเปิดให้บริการในเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน

เกมมือถือ Pocket MapleStory SEA

นางสาวศิริรัตน์ กล่าวอีกว่า นอกจาก Pocket MapleStory SEA แล้ว เมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เรามีการเปิดเกมมือถือ โกวเล้ง เทพยุทธ์เหนือฟ้า ซึ่งถือเป็นเกมที่ได้รับการตอบรับที่ดีมากเช่นกัน มีอันดับ Grossing (อันดับแอพทำเงินสูงในสโตร์) สูงกว่าอันดับ Download และมีผู้เล่นรีวิวเกมในระดับ 5 ดาวเป็นจำนวนมาก โดยทุกเสียงชื่นชอบในตัวเกมที่มีภาพสวยงาม และแนวการเล่นที่ไม่เหมือนใครในหมวดเกมจีนที่เปิดให้บริการอยู่ในปัจจุบัน รวมถึงเกม Dragon Encounter มังกรตัวพ่อง ที่มียอดดาวน์โหลดเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าตัว ในวันเดียวกับที่เปิดตัว Pocket MapleStory SEA ทำให้มั่นใจในภาพรวมการเปิดให้บริการเกมมือถือของเอเชียซอฟท์ ว่ามีทิศทางที่ดี และจะประสบความสำเร็จตามแผนที่วางไว้ ในการผลักดันเกมมือถือออกสู่ผู้เล่นอย่างต่อเนื่องแน่นอน

รอง กก.ผจก.บริษัทเอเชียซอฟท์ฯ กล่าวด้วยว่า ในปีนี้ เอเชียซอฟท์ เตรียมที่จะเปิดเกมบนมือถืออีก 17 เกม และเกมบนพีซีอีก 7 เกม ใน 6 ประเทศในภูมิภาคอาเซียน โดยมีทั้งเกมเก่าและใหม่ที่มีชื่อเสียงที่เกมเมอร์ให้การรอคอย.

เพียงวันแรกที่เปิดตัว Pocket MapleStory SEA สาวกเมเปิ้ลต่างรวมพลังดาวน์โหลดจนทะยานติดอันดับท็อปทรีใน Top Free Download หมวดเกม บน iOS พร้อมกันใน 3 ประเทศ โดยในไทยและสิงคโปร์ขึ้นอันดับ 1 หลังเปิดให้บริการเพียงชั่วข้ามคืน ส่วนมาเลเซียติด อันดับ 2 ขณะที่ฟิลิปปินส์กำลังไต่อันดับขึ้นมาเรื่อยๆ.

ถึงเวลาไอทีเพื่อธุรกิจ จีเอเบิลเปิดเกมรุก รับเทรนด์ดิจิตอลเสริมแกร่ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/600149

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 2 เม.ย. 2559 15:00

 

จีเอเบิล ปักธงลุย 3 โซลูชั่น คลาวด์ บิ๊กดาต้า ซีเคียวริตี้ ชูแผนธุรกิจแบบ Corporate Digital Transformation รับเทรนด์องค์กรธุรกิจยุคดิจิตอล…

นายนาถ ลิ่วเจริญ ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทจีเอเบิล ในฐานะผู้ให้บริการไอทีโซลูชั่นครบวงจร เปิดเผยว่า จากการเปลี่ยนแปลงด้านไอทีเข้าสู่ยุคดิจิตอล ทำให้องค์กรธุรกิจต้องเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว และสร้างโอกาสในการแข่งขันทางธุรกิจ โดยเทรนด์เทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมอย่างน่าจับตาในไทย ได้แก่ Cloud, Big Data, 4G, IoT, SaaS, Security, Mobile Banking, E-Commerce, AI, Smart Devices ซึ่งเทรนด์เทคโนโลยีดังกล่าวมีความสอดคล้องกับทิศทางการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัทจีเอเบิลในการให้บริการลูกค้ากลุ่มองค์กร ภายใต้รูปแบบ End-to-End Solution Partner หรือการให้บริการแบบครบวงจรตั้งแต่ต้นจนจบ สู่การเป็น Corporate Digital Transformation

อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทให้ความสำคัญไอทีโซลูชั่น 3 ด้าน คือ คลาวด์ (Cloud) บิ๊กดาต้า (Big Data) และซีเคียวริตี้ (Security) เนื่องจากถือเป็นเทคโนโลยีหลักที่จะช่วยให้องค์กรธุรกิจมุ่งสู่ยุคดิจิตอลได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีการคาดการณ์ว่าการใช้งานคลาวด์ทั่วโลกอาจมีการเติบโตถึง 71% ในปีนี้ จากเดิม 51% ในปีที่ผ่านมา ขณะที่ประเทศไทยยังมีการเติบโตเพียงเล็กน้อย แต่เชื่อว่าจะมีการลงทุนเพิ่มขึ้นในระยะ 3-5 ปี สำหรับการใช้เทคโนโลยีดังกล่าวไม่ต่ำกว่า 20-25%

ส่วนบิ๊กดาต้าถือเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มความได้เปรียบเชิงธุรกิจให้องค์กร ซึ่งบริษัทตระหนักถึงความสำคัญดังกล่าว จึงมีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และพันธมิตรทางธุรกิจ จัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ Big Data Experience Center หรือ BX ในปีที่ผ่านมา เพื่อสนับสนุนให้เกิดการนำเทคโนโลยีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ขณะที่ ซีเคียวริตี้ มีผลวิจัยจากบริษัท Intel Security (McAfee) ระบุว่าอาชญากรรมไซเบอรทั่วโลกในปี 2558 อาจสร้างมูลค่าความเสียหายถึง 4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 14 ล้านล้านบาท) จากการโจมตีบนโลกไซเบอร์ เช่น Ransomeware หรือโจรเรียกค่าไถ่ออนไลน์, การข่มขู่ด้วยเทคนิคประเภท DDoS (Distributed Denial of Service) ที่มักเกิดขึ้นกับหน่วยงานต่างๆ โดยกลุ่มบริษัทจีเอเบิลได้มุ่งเน้นบริการดังกล่าว ด้วยรูปแบบการให้บริการตั้งแต่ต้นจนจบ.

หมดเวลาแล้ว! เอเชียซอฟท์ ประกาศยุติให้บริการ Thai Ragnarok Online

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/599923

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 2 เม.ย. 2559 04:45

 

เอเชียซอฟท์ ประกาศ ยุติการให้บริการเกมออนไลน์ Thai Ragnarok Online หลังหมดสัญญาให้บริการ 30 มิ.ย.59 นับถอยหลังปิดตำนานมหากาพย์เกมออนไลน์ที่ดังที่สุด และนานที่สุดอีกเกมหนึ่ง เหลือเพียงความสุขและความทรงจำหลังคีย์บอร์ด…

เมื่อเวลา 17.01 น. วันที่ 1 เม.ย.2559 บริษัทเอเชียซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการเกม Ragnarok Online (แร็กนาร็อกออนไลน์) หรือ RO ในประเทศไทย ได้ประกาศว่า การให้บริการ เกม Ragnarok Online ภายใต้การดูแลของ บริษัทเอเชียซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จะสิ้นสุดลงในวันที่ 30 มิถุนายน 2559 ตามรายละเอียด ดังนี้

กำหนดการปิดระบบต่างๆ

1 มิ.ย. 59 เวลา 10.00 น. ปิดระบบการเติมเงินทุกช่องทาง

30 มิ.ย. 59 เวลา 23.59 น. ปิดการใช้งานส่วน Item Mall (ผู้เล่นที่ยังมี Cash Point เหลือ กรุณาใช้ให้หมดก่อนปิดให้บริการในวันที่ 30 มิถุนายน 2559) ปิดให้บริการ Live Chat ปิดระบบการแจ้งปัญหาหน้าเว็บไซต์ ปิดการให้บริการ Call Center BBS จะให้บริการเหลือแต่หมวดพูดคุยทั่วไปเท่านั้น ยุติการให้บริการเกมถาวร

โดยเอเชียซอฟท์ฯ จะดำเนินการส่งต่อข้อมูลภายในเกมตั้งแต่วันแรกที่ทำการเปิดเกม จนถึงวันสิ้นสุดสัญญา คืนให้กับผู้พัฒนาเกม คือ บริษัทกราวิตี้ เกาหลีใต้ และเพื่อเป็นการขอบคุณผู้เล่นทุกท่าน ทางทีมงาน Ragnarok Online จึงขอมอบช่วงเวลาพิเศษให้กับผู้เล่นทุกคนได้ร่วมส่งท้ายกับความทรงจำสุดพิเศษ ตั้งแต่เดือนเมษายน 2559 จนถึงเวลาสิ้นสุดการให้บริการดังนี้

GM ปล่อย Boss ทุกวันจนสิ้นสุดการให้บริการ
Activities with GM (Farewell)
แจก Airtime ฟรี สำหรับทุกคน
แจกสนั่น ลั่นเซิร์ฟ

พร้อมกันนี้ ทีมงาน Thai Ragnarok Online ได้ เปิดใจกับผู้เล่นทุกคนใน We Love RO รักเสมอ…เพื่อนคนนี้

14 ปีแห่งความทรงจำของ ทีมงาน Thai Ragnarok Online บ.เอเชียซอฟท์ฯ

สำหรับ Ragnarok Online เป็นเกมแบบ MMORPG มุมมองบุคคลที่สามจากด้านเฉียงบน ระบบกึ่งสามมิติ (ฉากเป็นภาพสามมิติ แต่ตัวละครและศัตรูเป็นภาพสองมิติ) ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัท กราวิตี้ คอร์ปอเรชั่น ประเทศเกาหลีใต้ เปิดให้บริการเป็นครั้งแรกในเกาหลีใต้เมื่อ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2544 โดยเนื้อหาส่วนใหญ่มาจากการ์ตูนเรื่อง แร็กนาร็อก ซึ่งประพันธ์โดย Lee Myung-Jin สำหรับในประเทศไทยเปิดให้บริการเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2545 โดยบริษัท เอเชียซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ถือลิขสิทธิ์จนถึง พ.ศ. 2559 และเปลี่ยนผู้ถือลิขสิทธิ์เป็น บริษัท อิเลคทรอนิกส์ เอ็กซ์ตรีม จำกัด ตั้งแต่ พ.ศ. 2559

ทั้งนี้ บริษัทเอเชียซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้เริ่มให้บริการเกมออนไลน์มาตั้งแต่ปี 2545 โดยได้สิทธิ์การให้บริการจากจนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 14 ปี นับเป็นเกมออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด และยืนหยัดให้บริการมายาวนานที่สุดเกมหนึ่งของประเทศไทย.

ทีวีครองเจ้าตลาดโฆษณา! จับตา เฟซบุ๊ก-ยูทูบ โกยรายได้มหาศาล

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/599286

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 1 เม.ย. 2559 15:05

 

สมาคมโฆษณาดิจิตอล (DAAT) เผยธุรกิจสื่อสารใช้สื่อดิจิตอลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ชี้จุดเด่นเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายได้ตรงกลุ่ม…

นายศิวัตร เชาวรียวงษ์ นายกสมาคมโฆษณาดิจิตอล (ประเทศไทย) หรือ DAAT เปิดเผยว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แนวโน้มการเลือกสื่อเพื่องานโฆษณามีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการปรับลดในสื่อประเภทต่างๆ สู่สื่อออนไลน์​ โดยเฉพาะสื่อสิ่งพิมพ์ที่มีสัดส่วนลดลงจาก 19% เหลือ 10% นิตยสาร จาก 7% เหลือ 3% และ วิทยุ จาก 8% เหลือ 5% ส่วนโทรทัศน์เป็นสื่อเดียวที่มีสัดส่วนคงเดิมที่ 50-60% ขณะที่สื่อดิจิตอลมีสัดส่วนอยู่ที่ 7-8%

“ความนิยมใช้สื่อดิจิตอลเพื่อการโฆษณาเริ่มต้นเมื่อปี 2556 จากความแพร่หลายของบริการ 3จี และอินเทอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับความแตกต่างของสื่อดิจิตอลที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดีกว่าสื่อประเภทอื่นอย่างชัดเจน จากพฤติกรรมการใช้งาน หรือแม้กระทั่งความสนใจข้อมูลก็สามารถวัดและแบ่งประเภทได้จากการใช้งานสื่อและสังคมออนไลน์ ขณะเดียวกัน โทรทัศน์ก็มีแนวโน้มจำนวนผู้รับชมน้อยลง จากปัญหาความสับสนช่องรายการจากตอนเปลี่ยนเข้าสู่ยุคทีวีดิจิตอล รวมถึงพฤติกรรมการรับชมรายการทีวีบนมือถือ แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน”

สำหรับสื่อโฆษณาที่ได้รับความนิยมในปีที่ผ่านมา 3 อันดับแรก ได้แก่ โทรทัศน์ สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อดิจิตอล ซึ่งคาดว่าในปีนี้จะมีการเปลี่ยนแปลง โดยสื่อดิจิตอลอาจขยับขึ้นมาอยู่ในลำดับที่ 2 แทนสื่อสิ่งพิมพ์ ส่วนสื่อดิจิตอลที่ได้รับความนิยม 3 อันดับแรกในปีนี้ คือ เฟซบุ๊ก ยูทูบ และดิสเพลย์ แอด ซึ่งเฟซบุ๊กถือเป็นสื่อโฆษณาดิจิตอลที่ครองส่วนแบ่งสูงสุดในปี 2558 ที่ 24% คิดเป็นการเติบโตกว่า 95% จากปีก่อนหน้า ขณะที่ ยูทูบ มีสัดส่วนที่ 20% เติบโตขึ้น 87% และดิสเพลย์ แอด มีส่วนแบ่งอยู่ในอันดับใกล้เคียงกัน

อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจร่วมกับบริษัทวิจัย ทีเอ็นเอส พบว่ามูลค่าเม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อดิจิตอลในปี 2558 มีอัตราเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยมูลค่า 8,084 ล้านบาท เติบโตขึ้นกว่า 32% และคาดว่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 23% หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 9,927 ล้านบาทในปีนี้ โดยอุตสาหกรรมที่ใช้สื่อดิจิตอลมากที่สุดในปีที่ผ่านมา คือ กลุ่มธุรกิจสื่อสาร 974 ล้านบาท ธุรกิจยานยนต์ 918 ล้านบาท ธุรกิจเครื่องประทินผิว 595 ล้านบาท ธุรกิจผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม 567 ล้านบาท และธุรกิจผลิตภัณฑ์บำรุงผม 513 ล้านบาท ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าในปีนี้ธุรกิจสื่อสารก็จะเป็นกลุ่มที่มีการลงทุนในด้านดังกล่าวสูงสุด ถึง 1,304 ล้านบาท.

คืนชีพ โมโต สู่สังเวียนมือถือ! ส่อง 10 ทีเด็ดแบรนด์ฮิต งัดสู้ศึกสมาร์ทโฟน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/598784

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 31 มี.ค. 2559 06:05

 

โมโต เปิดเกมรุกในไทย ประเดิมเสิร์ฟสมาร์ทโฟนพร้อมสมาร์ทวอทช์ หลังหายจากตลาด 5 ปีเต็ม เชื่อจุดเด่นในแบรนด์ยังสามารถครองใจลูกค้าอยู่หมัด…

ก่อนหน้านี้ เคยมีข่าวว่า “เลอโนโว” จะพาอดีตแบรนด์ดังมือถือ อย่าง “โมโต”กลับมาทำตลาดในประเทศไทยอีกครั้ง หลังหายจากตลาดมือถือไปพักใหญ่ โดยบอกเพียงว่า…การทำตลาดในครั้งนี้ โมโต (หรือ โมโตโรล่า ในอดีต) จะเป็นการทำตลาดร่วมกัน

ถือเป็นข่าวดีของมิตรรักแฟนโมโต กับประโยค “Hello Moto” อันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ ส่วนรายละเอียดในการฟื้นคืนชีพของโมโตในครั้งนี้“ไทยรัฐออนไลน์” ได้รวบรวมมาให้คุณทำความรู้จักกับทิศทางและกลยุทธ์ ก่อนโมโตจะกลับมาลุยตลาดมือถืออีกครั้ง ก่อนใคร!!!

“โมโตหายไปจากตลาดมือถือไทยราว 5 ปี แต่ด้วยจุดแข็งของแบรนด์โมโตที่มีมายาวนานในอดีต เชื่อว่ายังมีแฟนที่ชื่นชอบและรอการกลับมาของแบรนด์โมโตอยู่ไม่น้อย” นายทวนทอง ศรีวิเชียร ผู้จัดการประจำประเทศไทย ฝ่ายผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟน เลอโนโว เปิดเผย และกล่าวว่า การกลับมาทำตลาดในประเทศไทยครั้งนี้ถือเป็นช่วงที่โมโตมีความพร้อมอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการทำตลาดสมาร์ทโฟนในระดับราคา 8,000 บาทขึ้นไป ด้วยช่องทางจำหน่ายผ่านพันธมิตรธุรกิจ รวมถึงโปรโมชั่นส่งเสริมการขายเพื่อดึงดูดความสนใจจากผู้บริโภคและการประชาสัมพันธ์ในช่องทางต่างๆ อย่างต่อเนื่อง

โมโต กลับมาแล้ว! หลังหายจากตลาดมือถือเมืองไทยไป 5 ปี

นายทวนทอง ยังกล่าวอีกว่า จากนี้เลอโนโวและโมโตจะทำตลาดร่วมกัน โดยเรียกว่าการทำตลาดแบบดูอัล แบรนด์ (Dual Brand) มีความแตกต่างอยู่ที่กลุ่มผลิตภัณฑ์เป้าหมาย โดยโมโตจะทำตลาดในกลุ่มราคากลาง-สูง ขณะที่เลอโนโวจะทำตลาดในกลุ่มราคาล่าง-กลาง ซึ่งในปีนี้บริษัทได้เพิ่มงบประมาณในการทำตลาดอีกกว่าเท่าตัว เพื่อแบ่งการทำตลาดให้กับเลอโนโวและโมโตในสัดส่วนเท่ากัน ถือเป็นการลงทุนสูงสุดในธุรกิจสมาร์ทโฟนตั้งแต่ปี 2556 ที่เลอโนโวเริ่มเข้าสู่ตลาดมือถือ

“เรามีความมั่นใจในแบรนด์โมโตค่อนข้างมาก เชื่อว่าสมาร์ทโฟนโมโตจะช่วยเสริมตลาดในกลุ่มดังกล่าวซึ่งมีสัดส่วนเป็นตลาดขนาดใหญ่ของไทย ให้กับแฟนโมโตที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีความเข้าใจและศึกษาการใช้งานสมาร์ทโฟนมาเป็นอย่างดี รวมถึงคนที่ต้องการสมาร์ทโฟนทางเลือกใหม่หรือกำลังเบื่อแบรนด์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะคนที่ต้องการกล้องถ่ายรูปคุณภาพดี แบตเตอรี่ทนทาน และราคาที่เหมาะสม ก็เชื่อว่าโมโตจะสามารถตอบโจทย์เหล่านั้นได้”

2 เมษายนนี้ พร้อมจำหน่าย

นอกจากนี้ โมโต ยังได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่จะเป็นทัพแรกในการกลับมาทำตลาดในประเทศไทย กับสมาร์ทโฟน 3 รุ่น และนาฬิกาอัจฉริยะ 1 รุ่น รวมถึงรายละเอียดการทำตลาดเพื่อกลับมาคืนชีพในแวดวงมือถือประเทศไทยอีกครั้ง แต่จะเป็นอย่างไรนั้น โปรดทำความรู้จักไปพร้อมกัน…

1. สำหรับสมาร์ทโฟนที่โมโต เตรียมปล่อยเป็นล็อตแรกเพื่อสร้างความคุ้นเคยกับตลาดสมาร์ทโฟนเมืองไทย คือ โมโต จี เทอร์โบ, โมโต เอ็กซ์ เพลย์, โมโต เอ็กซ์ สไตล์ ซึ่งทุกรุ่นถูกจัดเป็นสมาร์ทโฟน 4จี ที่มีจุดเด่นแตกต่างกันไป

2. โมโต จี เทอร์โบ เป็นน้องเล็กที่มาพร้อมกับความพิเศษในการทนน้ำทนฝุ่น โดยสามารถอยู่ในน้ำได้นาน 30 นาที พ่วงด้วยความสามารถในการชาร์จแบตเตอรี่แค่ 15 นาที แต่ใช้งานได้นาน 6 ชั่วโมง แถมมาพร้อมกล้องถ่ายภาพด้านหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล ที่มีระบบลดการสั่นสะเทือนระหว่างถ่ายวีดิโอและลดความล่าช้าของชัตเตอร์

โมโต จี เทอร์โบ

3. โมโต เอ็กซ์ เพลย์ สมาร์ทโฟนกล้องเทพ กับความละเอียดของกล้องหลังที่ 21 ล้านพิกเซล กับชิปประมวลผลแบบควอลล์คอม สแนปดราก้อน 615 รองรับการถ่ายวีดิโอ 1080p กับ RAM 2GB และหน่วยความจำขนาด 16GB หรือ 32GB

โมโต เอ็กซ์ เพลย์

4. โมโต เอ็กซ์ สไตล์ อีกหนึ่งสมาร์ทโฟน 4จี ที่มาพร้อมหน้าจอขนาด 5.7 นิ้ว กับวัสดุที่สามารถป้องกันรอยขีดข่วนและมีความทนทานพิเศษอย่าง Corning Gorilla Glass 3 กับชิปสแนปดราก้อน 808 ความเร็ว 1.8 GHz และ RAM 3GB พร้อมรองรับการใช้งานอย่างเต็มรูปแบบ

โมโต เอ็กซ์ สไตล์

5. ไม่ได้หมดเพียงแค่สมาร์ทโฟน แต่โมโตยังได้เผยโฉมสมาร์ทวอทช์รุ่น 360 (เจน 2) นาฬิกาอัจฉริยะตระกูลแอนดรอยด์ เพื่อตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ยุคดิจิตอลที่ต้องการเชื่อมต่อการใช้งานระหว่างสมาร์ทโฟนและสมาร์ทวอทช์ ซึ่งมีให้เลือก 2 หน้าจอ แบบ TFT LCD ขนาด 46.5 มม. หรือ 42 มม. ความจุ 4GB พร้อมเชื่อมต่อ Google Now และ Moto Body เพื่อช่วยดูแลสุขภาพของผู้ใช้งาน ภายใต้จุดเด่นการใช้งานได้แบบเต็มหน้าจอ และสามารถสแตนบายได้นานถึง 30 ชั่วโมง

6. สำหรับกลยุทธ์ในการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในช่วงแรก…โมโตเลือกจับมือกับโอเปอเรเตอร์อย่างทรูมูฟ เอช เนื่องจากมีความสำเร็จร่วมกัน จากการจำหน่ายสมาร์ทโฟน 3จี-4จี ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ทรูมูฟ เอช เป็นผู้ดำเนินการจัดจำหน่ายและกระจายสินค้าไปยังช่องทางขายต่างๆ อาทิ ทรูช้อป เว็บไซต์ไอทรูมาร์ท รวมถึงตัวแทนจำหน่ายของทรูที่มีอยู่ทั่วประเทศด้วย

7. ความร่วมมือกับทรูมูฟ เอช ไม่ได้มีเพียงการจัดจำหน่าย แต่ยังมีการจัดโปรโมชั่นเพื่อลูกค้าทรูมูฟ เอช อาทิ ซื้อโมโต เอ็กซ์ สไตล์ รับฟรี โมโต 360 ขนาด 46.5 มม. หรือขนาด 42 มม. เมื่อสมัครแพ็กเกจ 4G+ Super Smart 699 พร้อมชำระค่าบริการล่วงหน้า 2,000 บาท สำหรับการใช้งานต่อเนื่อง 12 เดือน และมีให้เลือกซื้อโมโต เอ็กซ์ เพลย์ หรือโมโต จี เทอร์โบ เพื่อรับสิทธิ์ซื้อโมโต 360 ในราคาพิเศษลด 50% เมื่อสมัครแพ็กเกจ 4G+ Super Smart 399 โดยชำระค่าบริการล่วงหน้า 1,000 บาท สำหรับการใช้งานต่อเนื่อง 12 เดือน เรียกว่าลดราคาล่อใจกันเต็มเหนี่ยว!

โมโต 360 (เจน 2) สวยคลาสสิก แต่ซ่อนความไฮเทค

8. แน่นอนว่าโมโตไม่ได้ปรับแค่กลยุทธ์การจัดจำหน่ายเท่านั้น แต่ยังปรับบริการหลังการขายด้วย! โดยมีการขยายระยะเวลารับประกันจากเดิม 1 ปี เป็น 1 ปี 6 เดือน เพื่อเรียกความเชื่อมั่นให้แบรนด์

9. แน่นอนว่า…เมื่อทรูเป็นผู้ดูแลเรื่องการจัดจำหน่าย ดังนั้น…คำตอบของคำถามประเภทว่า เมื่อเครื่องมีปัญหาต้องติดต่อที่ไหน หรือ ส่งซ่อม ส่งเคลม ได้กับใคร คำตอบก็คือ…ทรูช้อป นั่นเอง แต่ในเรื่องของระบบหลังบ้าน ตลอดจนบุคลากร และผู้บริหารแบรนด์โมโตนั้น ยังคงเป็นกลุ่มคนเลือดเดิมที่ดูแลเลอโนโวอยู่นั่นเอง

10. ใครที่ติดตามมาจนถึงข้อนี้ เชื่อว่าคงอยากรู้ราคาทั้งสมาร์ทโฟนและสมาร์ทวอทช์ โมโต กันแล้ว งั้นเริ่มกันเลย…โมโต จี เทอร์โบ ราคา 8,290 บาท โมโต เอ็กซ์ เพลย์ ราคา 12,990 บาท โมโต เอ็กซ์ สไตล์ ราคา 19,990 บาท ส่วนโมโต 360 ขนาด 46.5 มม. ราคา 13,999 บาท ส่วนขนาด 42 มม. ราคา 12,999 บาท

อีกไม่นานเกินรอก็จะถึงกำหนดจัดจำหน่ายแล้ว นั่นคือวันที่ 2 เมษายนนี้ ใครเป็นแฟนคลับ​ “โมโต” เตรียมตัวควักกระเป๋าตังค์ได้เลย…!

อ่านเพิ่มเติม “โมโตจะกลับมา! เลอโนโวพลิกกลยุทธ์ขาย หวังสิ้นปีขายไม่ต่ำกว่าล้านเครื่อง” ได้ที่นี่.

ทุ่ม 400 ล้านบาทดูแลลูกค้า ดีแทคเร่งปั้นบลู เมมเบอร์ หวังสิ้นปี 3 แสนราย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/598064

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 30 มี.ค. 2559 14:50

 

ดีแทค เร่งปั้นลูกค้าพรีเมี่ยมเข้าแคมเปญ Blue Member ตั้งเป้าไม่ต่ำกว่า 3 แสนรายภายในสิ้นปีนี้ ชี้ลูกค้าพึงพอใจช่วยลดยอดไหลออกจากระบบได้ดีขึ้น ล่าสุดจับมือดิเอ็มควอเทียร์มอบส่วนลดเอาใจนักช็อป…

นางสาวเพ็ญพงา สุทธิมณฑล ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารลูกค้า บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค เปิดเผยว่า หลังจากดีแทคเปิดแคมเปญบลู เมมเบอร์ (Blue Member) เพื่อดูแลและมอบสิทธิพิเศษให้ลูกค้าพรีเมี่ยมของดีแทคเมื่อเดือนกันยายน 2558 โดยมีจำนวนลูกค้าในช่วงแรก 1.5 แสนราย ปัจจุบันจำนวนลูกค้าที่ได้รับสิทธิ์ในแคมเปญดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 2 แสนราย หรือคิดเป็นสัดส่วนการเติบโตราว 30% ขณะเดียวกันก็สามารถลดอัตราการไหลออกของลูกค้า (Churn Rate) ได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้นและลดลงกว่า 3 เท่าตัว โดยอัตราดังกล่าวในภาพรวมของระบบอยู่ที่ 15% แต่ลูกค้าบลู เมมเบอร์อยู่ที่ 0.5%

“แคมเปญบลู เมมเบอร์ เป็นการมอบสิทธิพิเศษและดูแลลูกค้าระดับพรีเมี่ยมของดีแทค การเติบโตถึง 30% ถือเป็นตัวเลขที่น่าพอใจอย่างมาก เนื่องจากเป็นการเติบโตแบบเลข 2 หลักเป็นครั้งแรกในด้านงานบริการลูกค้า โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้าเพิ่มจำนวนลูกค้าบลู เมมเบอร์ เป็น 3 แสนราย จากการนำเสนอสิทธิประโยชน์ใน 4 ด้านหลัก คือ บลู ดีไวซ์ (Blue Device) บลู แอ็คเซ็ส (Blue Access) บลู แคร์ (Blue Care) และบลู ไลฟ์สไตล์ (Blue Lifestyle) รวมทั้งขยายการสื่อสารและทำความรู้จักไปยังลูกค้า และการเพิ่มลูกค้าระดับพรีเมี่ยมจากการใช้งานแพ็กเกจในราคาที่กำหนดเพื่อรับสิทธิ์ดังกล่าว ขณะเดียวกันก็ขยายความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจในด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในทุกไลฟ์สไตล์”

ทั้งนี้ ลูกค้าบลู เมมเบอร์ แบ่งเป็นสัดส่วนกรุงเทพฯ 60% ต่างจังหวัด 40% เนื่องจากบริการพิเศษที่มอบให้ลูกค้านั้นให้บริการอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ​ เป็นหลัก โดยกว่า 90% ของลูกค้าเป็นผู้ใช้งานสมาร์ทโฟน และแบ่งเป็นเพศชาย 57% เพศหญิง 43% ส่วนสิทธิพิเศษที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากลูกค้าบลู เมมเบอร์ คือ ส่วนลดสำหรับช็อปปิ้งที่ดิเอ็มควอเทียร์ และชมภาพยนตร์ราคาพิเศษที่เอสเอฟ

ฉลอง 1 ปี คิวเรเตอร์ ด้วยการมอบสิทธิพิเศษให้ลูกค้าบลู เมมเบอร์

อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ดีแทคได้เพิ่มงบประมาณในส่วนของการดูแลลูกค้าเป็น 400 ล้านบาท เพื่อดูแลลูกค้าดีแทคทุกระดับ ให้ได้รับบริการและการดูแลเป็นพิเศษ โดยเชื่อว่าการมอบบริการและสิทธิพิเศษแก่ลูกค้าจะเป็นปัจจัยในการรักษาฐานลูกค้าเดิมและขยายฐานลูกค้าใหม่ได้ เนื่องจากดีแทคมีงบประมาณสำหรับลงทุนในบริการและเครือข่ายเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้าหลังจากไม่ได้ใช้งบประมาณกับการประมูลใบอนุญาตคลื่นความถี่ในช่วงที่ผ่านมา

ล่าสุด ดีแทค ได้ร่วมกับดิเอ็มควอเทียร์ และน้ำแร่เพอร์ร่า ฉลองคิวเรเตอร์ครบรอบ 1 ปี ศูนย์รวมแฟชั่นแบรนด์และดีไซเนอร์ไทยกว่า 60 แบรนด์ ซึ่งดีแทคมอบสิทธิพิเศษให้ลูกค้าดีแทคและลูกค้าบลู เมมเบอร์ ที่ใช้บริการในศูนย์การค้าเอ็มโพเรี่ยม เอ็มควอเทียร์ และพารากอน ตลอดปีนี้รวมมูลค่า 6 ล้านบาท อาทิ รับบัตรกำนัล 500 บาท เมื่อซื้อสินค้าครบ 1,000 บาทขึ้นไป หรือรับบัตรเงินสด 500 บาท เมื่อซื้อสินค้าครบทุก 5,000 บาท และรับบัตรเงินสด 3,000 บาท เมื่อซื้อสินค้าครบทุก 20,000 บาท ที่แผนกคิวเรเตอร์ ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ส.ค.2559 ส่วนลูกค้าบลู เมมเบอร์ ยังได้รับสิทธิพิเศษเมื่อกดรับสิทธิ์ ณ เคาน์เตอร์ชำระเงินจำนวน 1 สิทธิ์ต่อเลขหมายต่อเดือน

สำหรับลูกค้าดีแทคที่จะได้รับสิทธิเป็นบลู เมมเบอร์ จะต้องใช้งานแพ็กเกจ Love&Roll 1,499 บาทต่อเดือน หรือเป็นลูกค้าในระบบรายเดือนที่ใช้งานตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป พร้อมทั้งใช้งานไม่ต่ำกว่า 2,000 บาทต่อเดือน หรือเป็นลูกค้าดีแทคตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป พร้อมทั้งมีการใช้งานอย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 300 บาทต่อเดือน.

มาแล้วแต่ยิ้มไม่เต็มปาก! แอปเปิลเคาะ 58 ประเทศวางขายไอโฟน SE

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/598120

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 30 มี.ค. 2559 06:05

 

แอปเปิล ประกาศประเทศที่พร้อมวางจำหน่ายไอโฟน เอสอี เป็นลอตแรกและลอตสองรวม 58 ประเทศ เริ่มขายตั้งแต่ 31 มีนาคมนี้ ตามติดด้วยช่วงต้นเมษายน…

เพิ่งเปิดตัวสู่สายตาชาวโลกอย่างเป็นทางการ เมื่อช่วงเที่ยงคืนของวันที่ 22 มี.ค. (ตามเวลาประเทศไทย) สำหรับสมาร์ทโฟนน้องใหม่ค่ายแอปเปิลอย่าง “ไอโฟน เอสอี” (iPhone SE) ซึ่งสเปกจะไม่ได้มีลูกเล่นหรือเทคโนโลยีใหม่ๆ ใส่เข้ามา แต่ด้วยราคาที่ถูกกว่าไอโฟนรุ่นก่อนๆ ในระดับ 13,000-14,000 บาท ทำให้แฟนแอปเปิลจำนวนไม่น้อยแสดงความสนใจไอโฟนรุ่นเล็กกับหน้าจอ 4 นิ้ว นี้ทันที!

และเหมือนว่า “แอปเปิล” จะรู้ใจ จึงได้รีบประกาศกลุ่มประเทศที่จะวางจำหน่ายไอโฟน เอสอี ลอตที่ 1 และลอตที่ 2 ออกมาแล้ว โดยในลอตแรกนั้น จะเริ่มวางจำหน่ายในวันที่ 31 มี.ค.นี้แล้ว หลังจากเปิดให้จองซื้อไปตั้งแต่วันที่ 24 มี.ค. ส่วนลอตที่ 2 จะเริ่มจำหน่ายในช่วงต้นเดือนเม.ย.

สำหรับประเทศที่จะได้จำหน่ายไอโฟน เอสอี เป็นกลุ่มแรก ได้แก่ ออสเตรเลีย, แคนาดา, จีน, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, ฮ่องกง, ญี่ปุ่น, นิวซีแลนด์, เปอโตริโก, สิงคโปร์, สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา

ส่วนประเทศกลุ่มที่ 2 ที่ได้สิทธิ์จำหน่ายไอโฟน เอสอี ได้แก่ แอลบาเนีย, อันดอร์รา, ออสเตรีย, บาห์เรน, เบลเยียม, บอสเนีย, บัลแกเรีย, โครเอเชีย, สาธารณรัฐเช็ก, เดนมาร์ก, เอสโตเนีย, ฟินแลนด์, กรีซ, เกิร์นซีย์, เจอร์ซีย์, ฮังการี, ไอซ์แลนด์, อินเดีย, ไอร์แลนด์, เกาะแมน, อิตาลี, โคโซโว, คูเวต, ลัตเวีย, ลิกเตนสไตน์, ลิทัวเนีย, ลักเซมเบิร์ก, มาซิโดเนีย, หมู่เกาะมัลดีฟส์, มอลตา, โมนาโก, เนเธอร์แลนด์, นอร์เวย์, โปแลนด์, โปรตุเกส, โรมาเนีย, รัสเซีย, ซาอุดีอาระเบีย, สโลวาเกีย, สโลวีเนีย, สเปน, สวีเดน, สวิตเซอร์แลนด์, ไต้หวัน, ตุรกี และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

คุณสังเกตเห็นอะไรจากรายชื่อ 58 ประเทศเหล่านี้หรือไม่? ยังไม่มีชื่อประเทศไทยติดโผนั่นเอง งานนี้ยืนยันได้แน่นอนว่า แฟนๆ ชาวไทยรอกันไปก่อน…!!!

ที่มา : apple

อ่านข่าว “จอเล็ก จอใหญ่โดน จับ ไอโฟน SE เทียบสเปกรุ่นพี่ ไซส์นี้ผ่านไหม?” เพิ่มเติมได้ ที่นี่.

มุมมองใหม่ประเทศไทย ชมภาพชุดสตรีทวิว กูเกิลจัดให้ 150แห่ง!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/597563

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 29 มี.ค. 2559 06:05

 

กูเกิล เปิดตัวภาพชุดใหม่ในบริการสตรีท วิว ถ่ายทอดมุมมองสถานที่ประเทศไทยชุดใหม่ เปิดตัวพร้อมกันกว่า 150 แห่ง หลังจัดเก็บข้อมูลทั่วประเทศแล้วกว่า 4 แสนกิโลเมตร…

นายไมเคิล จิตติวาณิชย์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดด้านธุรกิจ กูเกิล ประเทศไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันมี 7 บริการจากกูเกิลที่มีผู้ใช้งานมากกว่า 1,000 ล้านคนต่อเดือน ได้แก่ กูเกิล เสิร์ช (Google Search), ยูทูบ (YouTube), จีเมล์ (G mail), กูเกิล แมปส์ (Google Maps), กูเกิล เพลย์ (Google Play), กูเกิล โครม (Google Chrome) และระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Android) ซึ่งกูเกิลพยายามพัฒนาฟีเจอร์ในบริการต่างๆ เพื่อตอบสนองการใช้งานของผู้บริโภครวมถึงผู้บริโภคชาวไทยด้วย

ในการพัฒนาบริการเพื่อคนไทยนั้น เราพิจารณาว่าคนไทยนิยมค้นหาเรื่องอะไร และได้จัดให้มีความสะดวกในการค้นหาข้อมูลมากขึ้น เพื่อประหยัดเวลาในการค้นหาและเรียกดูข้อมูล โดยล่าสุด กูเกิล ได้เปิดตัวภาพชุดพิเศษสถานที่ท่องเที่ยวแบบชมได้ 360 องศา ผ่านบริการกูเกิล สตรีท วิว (Google Street View) อีกกว่า 150 แห่ง ในจังหวัดต่างๆ รวมถึงเชียงใหม่ สุราษฎร์ธานี อยุธยา และสุโขทัย จากสถานที่ต่างๆ อาทิ สถานที่ท่องเที่ยว สถานที่ทางประวัติศาสตร์ หมู่เกาะ เป็นต้น

ไมเคิล จิตติวาณิชย์ สาธิตการใช้ฟีเจอร์ทอล์ค แบ็ค

“วัตถุประสงค์ในการเพิ่มเติมภาพชุดใหม่ๆ เกิดขึ้นภายใต้ความต้องการมอบประสบการณ์การใช้งานกูเกิล แมปส์ ที่ดีขึ้นแก่คนไทย การสร้างวัฒนธรรมด้านการท่องเที่ยว และทำให้ชาวต่างชาติรู้จักสถานที่ท่องเที่ยวของคนไทยมากขึ้นเพียงใช้บริการกูเกิล สตรีท วิว ซึ่งเราได้บันทึกภาพเส้นทางทั่วประเทศไทยไปแล้วกว่า 4 แสนกิโลเมตร และมีการอัพเดตเส้นทางอย่างสม่ำเสมอตามความเหมาะสม เพื่อเติมเต็มข้อมูลหลังจากเปิดให้บริการตั้งแต่เดือนมีนาคม 2555” ผู้จัดการฝ่ายการตลาดด้านธุรกิจ กูเกิล ประเทศไทย กล่าว

อย่างไรก็ตาม จากการใช้งานสมาร์ทโฟนอย่างแพร่หลาย ทำให้กูเกิล เสิร์ช ถูกใช้ผ่านมือถือมากกว่าเดสก์ท็อป เช่นเดียวกับกูเกิล แมปส์ ที่พบว่ามีแนวโน้มการใช้งานบนมือถือเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และถือเป็นอีกหนึ่งบริการของกูเกิลที่ได้รับความนิยมจากผู้ใช้งานชาวไทย สำหรับวางแผนเส้นทาง การเดินทาง การท่องเที่ยว ซึ่งพบว่าจำนวนการใช้งานเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 2 เท่าตัวในช่วงเทศกาล ล่าสุด กูเกิลได้พัฒนาบริการกูเกิล เสิร์ช ให้สามารถตอบโต้กับผู้ใช้งานเป็นเสียงพูดภาษาไทย โดยเรียกว่าฟีเจอร์ทอล์ก แบ็ค (Talk Back) เป็นหนึ่งในบริการค้นหาด้วยเสียง ซึ่งเพิ่งเปิดให้บริการเสียงภาษาไทยเมื่อช่วงต้นปีนี้หลังจากเปิดให้บริการมาแล้วในหลายประเทศ ตอบสนองแนวโน้มการใช้บริการค้นหาด้วยเสียงของผู้ใช้งานกูเกิลทั่วโลก ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าตัว

กูเกิล เสิร์ช ใช้งานได้สะดวก ทั้งบนมือถือหรือเดสก์ท็อป

นอกจากนี้ กูเกิลยังได้เปิดตัวอุปกรณ์บันทึกภาพสำหรับบริการกูเกิล สตรีท วิว ที่นำมาใช้งานล่าสุดสำหรับประเทศไทย คือ กูเกิล สตรีท วิว เทรคเกอร์ (Google Street View Trekker) เป้สะพายหลังที่มีกล้องถ่ายรูปอยู่ที่ด้านบน โดยผู้ใช้อุปกรณ์ดังกล่าวจะทำการสะพายเป้พร้อมเดินไปยังสถานที่ต่างๆ อาทิ ตรอกหรือซอย พิพิธภัณฑ์ เป็นต้น ซึ่งอุปกรณ์ดังกล่าวมีการใช้งานในหลายประเทศแล้ว ทั้งนี้อุปกรณ์ดังกล่าวมีเลนส์ 15 ตัวอยู่ด้านบนของชุดกล้อง แต่ละตัวจะเล็งมุมกล้องต่างกันเพื่อสร้างภาพมุมกว้างแบบ 360 องศา เมื่อเดินไปตามทางก็จะมีการจัดเก็บภาพในทุกๆ 2.5 วินาที ส่วนอุปกรณ์กล้องเทรคเกอร์นั้นมีน้ำหนัก 18 กิโลกรัม หากตั้งบนพื้นจะสูงประมาณ 4 ฟุต และเมื่ออยู่บนหลังของผู้ใส่จะสูงขึ้นเหนือไหล่ประมาณ 2 ฟุต โดยเมื่อชาร์จแบตเตอรี่เต็มจะใช้งานได้ 6-8 ชั่วโมง

ค้นหาบรรยากาศ 360 องศาของทะเลได้ง่ายๆ เพียงปลายนิ้ว

ไร่สตรอเบอรี่ ก็มีให้ชม

วัดเก่า สถานที่เชิงประวัติศาสตร์ ก็มีให้เลือกชม

กูเกิล สตรีท วิว เทรคเกอร์ มีเลนส์มากกว่า 15 ตัว

ใส่แล้วเดินเท้าแบบนี้ เพื่อเก็บภาพในสถานที่ต่างๆ

ผู้สนใจสามารถเยี่ยมชมคลังภาพเพิ่มเติมได้ที่ สตรีท วิว ประเทศไทย