คุยกัน7วันหน : รู้จัก ‘มหานครฉงชิ่ง’ เจ้าของฉายา ‘แดนมังกรย่อส่วน’

https://www.naewna.com/lady/840389

คุยกัน7วันหน : รู้จัก ‘มหานครฉงชิ่ง’ เจ้าของฉายา ‘แดนมังกรย่อส่วน’

คุยกัน7วันหน : รู้จัก ‘มหานครฉงชิ่ง’ เจ้าของฉายา ‘แดนมังกรย่อส่วน’

วันอาทิตย์ ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567, 06.45 น.

สัปดาห์นี้ ไปทำความรู้จัก “ฉงชิ่ง” มหานครสุดมหัศจรรย์เหนือจินตนาการ ผสานทุกมิติครบจบในเมืองเดียว จนได้ฉายาว่า “เมืองจีนย่อส่วน” บินตรงจากไทยไปแค่ 3 ชม. ดูซีรี่ส์แป๊บเดียวก็ถึง ใครแพลนเที่ยวฉงชิ่งบอกเลยต้องอ่าน “รู้เขารู้เรา” เที่ยวร้อยครั้งฟินร้อยครั้ง!!

เมืองภูเขาที่จริงใจ

– หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ฉงชิ่งได้รับฉายาว่าเมือง 8 มิติ เพราะเป็นเมืองในภูเขาที่แท้ทรู อาคารบ้านเรือนต่างๆ จึงต้องออกแบบให้สอดรับกับสภาพทางภูมิศาสตร์ เช่น “หงหยาต้ง” หรืออาคารไม้ที่สร้างขึ้นริมหน้าผา,ลานจอดรถที่ลึกถึง 68 เมตร (เทียบเท่าตึก 20 ชั้น) สะพานรถยนต์ที่สูงละลิ่วประดุจรถไฟเหาะในสวนสนุก

– ที่นี่มีทั้งภูเขาและเนินเขาสูงต่ำหลายระดับ โดยสัดส่วนของภูเขาสูงกินพื้นที่ถึง 75.33% เนินเขา 15.60% พื้นที่ยกสูง 5.33% เป็นที่ราบรวมแล้วแค่ 3.74% เท่านั้น โอเค…พอเข้าใจแล้วว่าทำไมสถานีรถไฟใต้ดินถึงมีบันได 800 ขั้นและทำไมรถไฟถึงต้องวิ่งทะลุตึก

ลูกรักแยงซีเกียง

– นอกจากภูเขาแล้วธรรมชาติยังประทานแม่น้ำแยงซี หรือ แยงซีเกียง มาตุธารของจีนให้กับฉงชิ่ง โดยไหลผ่านพื้นที่ 18 เขตในฉงชิ่งเป็นระยะทางถึง 691 กม. คิดเป็นราวร้อยละ 11 ของความยาวรวมของแยงซี

– แม่น้ำแยงซียังแตกแขนงรากแก้วออกไปเป็นแม่น้ำสายย่อยหลักๆ อีกหลายสาย เช่น แม่น้ำอูเจียง แม่น้ำเจียหลิง ยังไม่รวมแม่น้ำสาขาเล็กๆ ที่มีลักษณะคล้ายรากฝอย เรียกได้ว่ามีครบทั้งภูเขาและแม่น้ำ

– โตรกสามผาแห่งแยงซีอันเลื่องชื่อของจีน ประกอบด้วยช่องแคบสามแห่ง หนึ่งในนั้นคือ “ช่องแคบชวีถัง” ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ของฉงชิ่ง บอกเลยว่าเป็นอีกหนึ่งที่เที่ยวที่สวยตราตรึงใจสุดๆ

เมฆหมอกเป็นใจ

– มหานครฉงชิ่งตั้งอยู่ช่วงตอนกลางของแยงซี มีทรัพยากรน้ำอุดมสมบูรณ์ มีฝนตกชุก มีความชื้นสูง และมีภูเขาน้อยใหญ่ล้อมรอบจึงมีลมพัดเข้ามาได้น้อย ทำให้ที่นี่กลายเป็นเมืองแห่งหมอก

– โดยเฉลี่ยในหนึ่งปีจะมีวันที่หมอกลง 30-50 วัน (คิดคร่าวๆ ปีหนึ่งมี 1-2 เดือนที่เจอหมอก) ภาพรถไฟขบวนน้อยวิ่งผ่านทะเลหมอกบนสะพานแขวนจึงไม่ใช่แค่ฉากในนิยายแฟนตาซีสำหรับคนฉงชิ่ง

บรรพชนของคนเมืองภูเขา

– หลายคนอาจได้ยินมาว่าหนุ่มสาวฉงชิ่งหน้าตาดี ผิวพรรณผุดผ่องแถมหุ่นยังเป๊ะปัง (บ้านเกิดเซียวจ้านนะรู้ยัง) เนื่องจากมีอากาศชุ่มชื้น แถมยังต้องเดินขึ้นเขากันทุกวี่วันจนเอว S(หรือเอวเคล็ดในบางคน) แต่วันนี้เราจะมาพูดถึงบรรพบุรุษชาวฉงชิ่งกัน

– ก่อนอื่น ฉงชิ่งมีประชากร 30 กว่าล้านคน กระจุกตัวอยู่ในเขตเมืองหลักราว 66% ด้วยความที่สังคมสงบและเจริญ ที่นี่จึงมีประชากรหนาแน่นมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิงและชิง และประกอบด้วยผู้คนจากหลากหลายชาติพันธุ์

– ช่วงต้นยุคจ้านกั๋ว (475-221 ก่อนคริสต์ศักราช) ชาวปาซึ่งมีถิ่นฐานในลุ่มน้ำฮั่นปะทะกับรัฐฉู่ จึงหอบผ้าผ่อนร่อนเร่ย้ายถิ่นหนีมายังพื้นที่สามโตรกของแม่น้ำแยงซี และมาตั้งเมืองหลวงขึ้นในแถบนี้ กลายเป็น “ผู้อพยพ” กลุ่มแรกสุดของฉงชิ่ง ก่อนที่จะหลอมรวมและกลืนกลายเข้ากับวัฒนธรรมของหลายชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ “ปาและสู่” หรือ “เสฉวน-ฉงชิ่ง” ในปัจจุบัน

– ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของจีน พื้นที่ตอนเหนือของจีนมักรบราฆ่าฟันกันไม่หยุด ต่อมาจึงมีชาวจีนเหนือลี้ภัยข้ามเทือกเขาไท่ปามายังพื้นที่แอ่งเสฉวนมากขึ้น เพราะสังคมที่นี่มีความมั่นคงและเจริญรุ่งเรือง

– คนเหล่านี้นำเครื่องมือและเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาด้วย รวมไปถึงความเชื่อทางจิตวิญญาณ จนเป็นที่มาของผลงานแกะสลักหน้าผาหินต้าจู๋ยาว 500 เมตรในสมัยราชวงศ์ซ่ง ที่บอกเล่าเรื่องราววิถีชีวิตของผู้คนสมัยโบราณ รวมถึงความเชื่อเรื่องนรกสวรรค์ในพุทธศาสนา

– ฉงชิ่งยังเป็นเทศบาลนครแห่งเดียวของจีนที่มีการจัดตั้งอำเภอปกครองตนเองของกลุ่มชาติพันธุ์ และมีมากถึง 4 อำเภอ

ตัวมารดาเรื่องหม้อไฟ

– มหานครที่ร้านอาหาร 8 ใน 10 บนถนนแทบจะเป็นร้านหม้อไฟ ทั้งเมืองอบอวลด้วยรสชาติและกลิ่นอายของพริกหม่าล่าและน้ำซุปร้อนๆ จากเตา จนได้ฉายา “นครแห่งหม้อไฟ”มาเก็บเข้าคลังเพิ่มอีกหนึ่ง

– ความแปลกของฉงชิ่งคือ ร้านหม้อไฟที่ตกแต่งอย่างดูดีมีระดับมักจะไม่ค่อยมีลูกค้าเนืองแน่น แต่ร้านที่สร้างด้วยอิฐธรรมดาๆ โต๊ะและเตาเก่าๆ มักจะมีคนต่อคิวยาว นั่นเพราะคนฉงชิ่งมองว่าหม้อไฟจะอร่อยหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับบรรยากาศ หลายคนจึงชอบจับกลุ่มกินหม้อไฟร่วมกันแบบจอยๆ ชิลๆ สบายๆ

– ความพิเศษของหม้อไฟหม่าล่าของที่นี่อยู่ที่น้ำมันพริกที่สืบทอดกันมายาวนานเรียกกันว่า “เหล่าโหยว” และ “ผีเสี้ยนโต้วป่าน” หรือเต้าเจี้ยวหมักจากถั่วปากอ้า ของขึ้นชื่ออำเภอผีของฉงชิ่ง

– คงพอเดาได้แล้วว่าคนที่นี่บริโภคน้ำมันกันฉ่ำมาก เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาฉงชิ่งจึงมีโครงการ “เปลี่ยนน้ำมันเหลือทิ้งให้เป็นพลังงาน” โดยนำมาพัฒนาเป็นน้ำมันเครื่องบิน ล่าสุดมีการนำไปใช้กับเครื่องบินโดยสารรุ่น C919 และ ARJ21 ที่พัฒนาโดยบริษัทโคแม็กของจีน

ตัวตึงเรื่องทอดสะพาน

– ฉงชิ่งมีอีกฉายาคือ “พิพิธภัณฑ์สะพานโลก” เพราะมีสะพานมากกว่า 20,000 แห่ง (รวมสะพานลอยและสะพานยกระดับ) แถมในจำนวนนี้ยังเป็นสะพานที่สร้างสถิติโลกมากถึง 17 แห่ง

– ฉงชิ่งวางแผนสร้างสะพานข้ามแม่น้ำ 57 แห่ง ในเขตเมืองหลัก เป็นสะพานข้ามแยงซี 28 แห่ง และสะพานข้ามแม่น้ำเจียหลิง 29 แห่ง ปัจจุบันสร้างเสร็จไปแล้ว 37 แห่ง และกำลังก่อสร้างอยู่ 7 แห่งในปัจจุบัน

ความ (ไม่) ลับ ของรถรางทะลุตึก

– หนึ่งในแลนด์มาร์คฉงชิ่งคงหนีไม่พ้น “สถานีหลีจื่อป้า”(Liziba Station) ของรถไฟสาย 2 ของฉงชิ่ง ที่รถไฟจะวิ่งตัดทะลุตึก เพราะมีป้ายสถานีอยู่ข้างในตึก

– คำถามคือคุณคิดว่าตึกกับรถไฟอะไรสร้างก่อนกัน?คำตอบคือสร้างขึ้นพร้อมกันเมื่อปี 2000 ว่ากันว่าในตอนนั้นผู้พัฒนามอบข้อเสนอสุดทรงพลังให้กับผู้ที่ซื้อห้องชุดในตึกนี้ นั่นก็คือสิทธิ์ในการนั่งรถไฟฟ้าเมืองฉงชิ่งฟรีตลอดชีพ

– แม้จะถูกเรียกว่ารถไฟรางเบา แต่จริงๆ รถไฟฟ้าที่วิ่งบนฟ้าของฉงชิ่งเป็นรถไฟฟ้ารางเดี่ยวแบบคร่อมราง (Straddle Monorail) เพราะมีความสามารถในการไต่พื้นที่สูงชันได้มากถึง 60% ที่เหลือนอกจากนั้นก็จะเป็นรถไฟฟ้าใต้ดิน

ชัยภูมิยุทธศาสตร์ชาติ

– ฉงชิ่ง มี GDP เป็นอันดับ 4 ของประเทศจีน ใน 2024 จากอุตสาหกรรมหลักได้แก่ ยานยนต์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวัสดุขั้นสูง โดยครึ่งปีแรกของปี 2024ฉงชิ่งผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 3.91 แสนคัน ครองอันดับหนึ่งของประเทศ เพิ่มขึ้นถึง 1.5 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

– ฉงชิ่งเป็นพื้นที่สำคัญเชิงยุทธศาสตร์หลายด้าน อาทิ เมืองศูนย์กลางในการพัฒนาภูมิภาคตะวันตกของประเทศ การพัฒนาเขตวงกลมเศรษฐกิจเมืองแฝดเฉิงตู-ฉงชิ่ง, ระเบียงการค้าทางบก-ทะเลระหว่างประเทศสายใหม่ (ILSTC) ทั้งยังเป็นเมืองศูนย์กลางการขนส่งระดับชาติที่ไม่ติดทะเลเพียงแห่งเดียว ที่มีความสามารถครบทั้ง 5 ประเภท ได้แก่ ท่าเรือบก ท่าเรือ ท่าอากาศยาน ภาคการผลิต และการพาณิชย์

– ฉงชิ่งมีบริการขนส่งทางรางเชื่อมต่อทางหลวงจีน-เมียนมา และรถไฟข้ามพรมแดนจีน-เวียดนาม โดยมีการนำเข้า ทุเรียน วัตถุดิบอาหาร และมันสำปะหลังจากประเทศในอาเซียน และส่งออกรถยนต์แบรนด์จีนสู่อาเซียน และในปี 2024 นี้ ฉงชิ่งก็เพิ่งเปิดบริการรถไฟขนส่งข้ามพรมแดนระหว่างจีน ลาว ไทย และ มาเลเซีย

ความสัมพันธ์กับไทย

– ปี 2019 ฉงชิ่งถูกจัดอันดับให้อยู่ในลำดับที่ 2 ของภาคตะวันตกของจีน ที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนมาไทยมากที่สุด

ฉงชิ่งยังเป็นเมืองพี่เมืองน้องกับกรุงเทพฯ และเชียงใหม่ของไทย

– ปัจจุบันสายการบินที่ให้บริการบินตรงกรุงเทพฯ-ฉงชิ่งมีสองเจ้า ได้แก่ ไชน่าเอ็กซ์เพรสแอร์ไลน์ และแอร์เอเชียจวบจนปี 2019 กลุ่มเครือโภคภัณฑ์ไทย
ได้จัดตั้งซูเปอร์มาร์เก็ตโลตัส 10 แห่งในนครฉงชิ่ง

– ปัจจุบันมีนักศึกษาไทยศึกษาอยู่ที่สถาบันการศึกษาต่างๆ ของฉงชิ่งกว่า 600 คน เช่น มหาวิทยาลัยซีหนานวิทยาลัยอาชีวศึกษาและเทคนิควิศวกรรมฉงชิ่ง

โดย ดาโน โทนาลี

คุยกัน7วันหน : ‘ทรัมป์-แฮร์ริส’ ใครจะคว้าชัยศึกเลือกตั้ง 2024

https://www.naewna.com/lady/839033

คุยกัน7วันหน : ‘ทรัมป์-แฮร์ริส’ ใครจะคว้าชัยศึกเลือกตั้ง 2024

คุยกัน7วันหน : ‘ทรัมป์-แฮร์ริส’ ใครจะคว้าชัยศึกเลือกตั้ง 2024

วันอาทิตย์ ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567, 06.45 น.

เหลืออีกเพียง 3 วัน ก็จะถึงวันชี้ชะตา 5 พฤศจิกายน ว่าใครจะได้เป็นผู้นำสหรัฐฯ คนต่อไป ระหว่างรองประธานาธิบดี คามาลา แฮร์ริส ผู้แทนพรรคเดโมแครต และ โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีตัวแทน รีพับลิกัน ท่ามกลางการขับเคี่ยวของผู้สมัครจากทั้ง 2 พรรคการเมือง ซึ่งจนถึงตอนนี้ ยังไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าใครจะเป็นผู้ชนะ

เพราะแม้ผลสำรวจคะแนนนิยมระหว่างแฮร์ริสกับทรัมป์จะคู่คี่สูสีกันมากแค่ไหน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า คะแนนคณะผู้เลือกตั้งที่ผู้สมัครแต่ละคนจะได้รับจะสูสีกันไปด้วย

ผู้ที่จะชนะการเลือกตั้งและได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่ใช่ผู้ที่ได้คะแนนเสียงจากชาวอเมริกันมากที่สุด แต่เป็นผู้ที่คว้าเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งของแต่ละรัฐได้ถึง 270 เสียงก่อนคู่แข่ง โดยผู้สมัครแต่ละคนจะมีรัฐฐานเสียงของตัวเอง ซึ่งทำให้พอจะประเมินได้ว่า ขณะนี้ในมือของผู้สมัครแต่ละคน มีคะแนนของคณะผู้เลือกตั้งอยู่ในมือเท่าไหร่กันแล้ว

ข้อมูลการประเมินของสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น ชี้ว่า ปัจจุบันคามาลา แฮร์ริส น่าจะมีคะแนนในมือ 226 เสียง ขาดอีก 44 เสียงจะถึง 270 เสียง ขณะที่ โดนัลด์ ทรัมป์ มี219 เสียง และต้องการอีก 51 เสียงเพื่อไปถึงเส้นชัย

สาเหตุที่จนถึงตอนนี้ แฮร์ริสมีคะแนนนำทรัมป์ นั่นก็เป็นเพราะรัฐฐานเสียงของพรรคเดโมแครต มักจะเป็นรัฐใหญ่ๆ ที่มีประชากรหนาแน่นทำให้มีคะแนนจากคณะผู้เลือกตั้งมากตามไปด้วย เช่น รัฐแคลิฟอร์เนีย มี 54 เสียง ถือว่ามากที่สุดในประเทศหรือในรัฐนิวยอร์ก ที่มี 28 เสียง ก็ถือเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคเดโมแครตที่รีพับลิกันเจาะได้ยาก แม้ว่าทรัมป์ จะลงทุนไปขึ้นเวทีหาเสียงครั้งใหญ่เมื่อวันอาทิตย์ที่แล้วก็ตาม นักวิเคราะห์หลายคน มองว่าทรัมป์น่าจะเสียแรงและเสียเงินไปเปล่าๆ รีพับลิกันไม่เคยมีผู้สมัครเอาชนะได้ที่นี่มานานกว่า 40 ปีแล้ว และน่าจะเป็นเช่นนั้นต่อไป

ขณะที่ฐานเสียงของทรัมป์เองก็ไม่ธรรมดา มีทั้งรัฐเท็กซัสที่มี 40 เสียง มากเป็นอันดับ 2 ของประเทศ รวมไปถึงฟลอริดา ที่มีอยู่ 30 เสียง ซึ่งขณะนี้ เปลี่ยนจากรัฐสมรภูมิ หรือ Swing State กลายมาเป็นรัฐที่มีแนวโน้มสนับสนุนพรรครีพับลิกันแล้ว

การเลือกตั้งผู้นำสหรัฐฯ เป็นการเลือกตั้งที่มักจะตัดสินกันด้วยคะแนนในรัฐสมรภูมิ ซึ่งเป็นรัฐที่ไม่ได้สนับสนุนพรรคใดพรรคหนึ่งโดยเฉพาะ คะแนนจะแกว่งเอาแน่เอานอนไม่ได้ โดย Swing Stateในการเลือกตั้งรอบนี้ มีทั้งหมด 7 รัฐด้วยกัน ได้แก่ แอริโซนา จอร์เจีย วิสคอนซิน เนวาดา นอร์ทแคโรไลนา เพนซิลเวเนีย และมิชิแกน

ขณะที่ถ้าไปดูผลคะแนนในทั้ง 7 รัฐนี้ จากการเลือกตั้งเมื่อ 4 ปีที่แล้วจะเห็นว่า ส่วนต่างของชัยชนะต่ำสุดคือหลักหมื่นในรัฐแอริโซนา ไปจนถึง 150,000 เสียง ในมิชิแกน ในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว มีเพียงแค่รัฐนอร์ทแคโรไลนาเท่านั้น ที่ทรัมป์ชนะโจ ไบเดน ส่วนอีก 6 รัฐที่เหลือไบเดนกวาดเรียบ โดยเฉพาะแอริโซนาและจอร์เจีย ซึ่งเลือกแต่ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกันติดต่อกันไม่ต่ำกว่า5 สมัยแล้ว

ชาวอเมริกันในรัฐ Swing State แต่ละรัฐ มีประเด็นที่ให้ความสำคัญแตกต่างกันไป อย่างรัฐนอร์ทแคโรไลนา ขณะนี้ต้องจับตาดูว่า พายุเฮอร์ริเคนเฮลีนจะส่งผลกระทบ
ต่อคะแนนนิยมผู้สมัครแต่ละคนมากน้อยแค่ไหน หลังจากทรัมป์กล่าวหาว่า รัฐบาลนำเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยไปใช้กับผู้อพยพ โดยนับตั้งแต่ปี 1980 เป็นต้นมา รัฐนี้เคยเลือกผู้สมัครจากพรรคเดโมแครตเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น นั่นคือ บารัคโอบามา ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2008

ขณะที่กระแสต่อต้านสงครามและนโยบายสนับสนุนอิสราเอลทำสงครามในกาซาของรัฐบาลไบเดนกำลังทำให้แฮร์ริสและพรรคเดโมแครตสูญเสียเสียงสนับสนุนในรัฐมิชิแกน รัฐสมรภูมิสำคัญ ที่มีสัดส่วนชุมชนชาวอาหรับ-อเมริกันใหญ่ที่สุดในประเทศ เกือบ 400,000 คน

ส่วนเพนซิลเวเนีย ถือเป็นรัฐที่ทั้งทรัมป์และแฮร์ริส และบรรดาผู้สนับสนุนของทั้ง 2 พรรคการเมือง ต่างเดินสายหาเสียงกันนับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งรัฐนี้เลือกทรัมป์ในการเลือกตั้งปี 2016 และไบเดน ในปี 2020

เว็บไซต์ FiveThirtyEight นำข้อมูลเรื่องสัดส่วนประชากร สภาพเศรษฐกิจและผลสำรวจความคิดเห็นมาจัดทำเป็นแบบจำลอง 1,000 สถานการณ์ เพื่อดูว่า ใครจะมีโอกาสชนะการเลือกตั้งเท่าไหร่ ผลสำรวจพบว่า ทรัมป์มีโอกาสที่จะชนะและได้เป็นประธานาธิบดีมากถึง 545 ครั้งสูงกว่าโอกาสของแฮร์ริส ซึ่งอยู่ที่ 452 ครั้ง แต่มี 3 ครั้งที่การเลือกตั้งรอบนี้จะไร้ผู้ชนะ ซึ่งถือว่าเกิดขึ้นได้ยาก โดยมีโอกาสเกิดน้อยกว่า1 ใน 100

ที่น่าสนใจ คือ การคาดการณ์ของแบบจำลองชิ้นนี้ พบว่าทรัมป์มีโอกาสที่จะคว้าชัยชนะในรัฐที่เคยเป็นของไบเดนในการเลือกตั้งเมื่อปี 2020 ได้มากถึง 84% สวนทางกับแฮร์ริสที่มีโอกาสแย่งรัฐจากมือทรัมป์เมื่อ 4 ปีที่แล้ว เพียง 42% เท่านั้น

การประเมินชิ้นนี้สอดคล้องกับผลสำรวจคะแนนนิยมของผู้สมัครทั้ง 2 คน ก่อนหน้านี้ ที่ระบุว่า แฮร์ริสมีคะแนนนำแค่ในรัฐวิสคอนซินและมิชิแกนเท่านั้น และนำน้อยกว่า 1% ด้วย ขณะที่อีก 5 รัฐ Swing State ที่เหลือ ทรัมป์มีคะแนนนำ โดยเฉพาะในรัฐนอร์ท แคโรไลนา จอร์เจียและแอริโซนา ซึ่งทรัมป์นำมากกว่า 1%

อีกประเด็นที่ต้องจับตามอง ก็คือข้อมูลจากห้องปฏิบัติการการเลือกตั้งของมหาวิทยาลัยฟลอริดา ที่พบว่า มีชาวอเมริกันผู้มีสิทธิเลือกตั้งกว่า 61.9 ล้านคน ไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ล่วงหน้าก่อนวันเลือกตั้งจริงในวันที่ 5 พฤศจิกายนทั้งการเดินทางไปลงคะแนนเสียงด้วยตนเอง และลงคะแนนทางไปรษณีย์ ถือเป็นจำนวนการใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้ามากเป็นประวัติการณ์ หลายรัฐ Swing Stateสร้างสถิติใหม่ของการมีผู้ออกไปลงคะแนนเสียงล่วงหน้ามากเป็นประวัติการณ์เช่นกัน โดยในการลงคะแนนเลือกล่วงหน้าของการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว พบว่าไบเดนได้คะแนนเสียงมากกว่าทรัมป์ จนช่วยให้ไบเดนคว้าชัยชนะเข้าทำเนียบขาวได้สำเร็จ

แต่จากข้อมูลทั้งหลายทั้งปวงก็ยังไม่สามารถสรุปได้ว่า ใครจะเป็นผู้ชนะ นั่นทำให้การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ รอบนี้น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง ชนิดที่เรียกว่า กะพริบตาไม่ได้เป็นอันขาด

โดย ดาโน โทนาลี

คุยกัน7วันหน : ‘7 รัฐสมรภูมิ’ ตัวแปรแห่งชัยชนะ ศึกใหญ่ชี้ชะตา ‘แฮร์ริส-ทรัมป์’

https://www.naewna.com/lady/837647

คุยกัน7วันหน : ‘7 รัฐสมรภูมิ’ ตัวแปรแห่งชัยชนะ  ศึกใหญ่ชี้ชะตา ‘แฮร์ริส-ทรัมป์’

คุยกัน7วันหน : ‘7 รัฐสมรภูมิ’ ตัวแปรแห่งชัยชนะ ศึกใหญ่ชี้ชะตา ‘แฮร์ริส-ทรัมป์’

วันอาทิตย์ ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2567, 06.45 น.

ข้อมูลจากห้องปฏิบัติการการเลือกตั้งของมหาวิทยาลัยฟลอริดา ของสหรัฐฯ พบว่า มีชาวอเมริกันผู้มีสิทธิเลือกตั้งเกือบ 25 ล้านคน ไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ล่วงหน้าก่อนวันเลือกตั้งจริงในวันที่ 5 พฤศจิกายน ทั้งการเดินทางไปลงคะแนนเสียงด้วยตนเอง และลงคะแนนทางไปรษณีย์ หลายรัฐรวมถึงรัฐสมรภูมิ อย่างนอร์ทแคโรไลนา และจอร์เจีย สร้างสถิติใหม่ในวันแรกของการลงคะแนนเสียงล่วงหน้าเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยมีผู้ออกมาใช้สิทธิ์มากเป็นประวัติการณ์

มีผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งสหรัฐฯ 2024 มีประมาณ 240 ล้านคน แต่มีแนวโน้มว่าจะมีประชากรส่วนหนึ่งเท่านั้นที่จะเป็นผู้ตัดสินว่า “ใครจะเป็นประธานาธิบดีคนต่อไป” นักวิเคราะห์การเลือกตั้งสหรัฐฯ เชื่อว่ามีเพียงไม่กี่รัฐที่เรียกว่า “รัฐสมรภูมิ” หรือ Swing states” ที่จะเป็นจุดเปลี่ยนของชัยชนะระหว่างคามาลา แฮร์ริส ตัวแทนพรรคเดโมแครต และ โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน

ระบบเลือกตั้งของสหรัฐฯ ประชาชนไม่ได้เข้าคูหาแล้วกาชื่อ แฮร์ริส หรือ ทรัมป์โดยตรง แต่ประชาชนจะลงคะแนนเสียงให้กับคณะเลือกตั้ง หรือ Electoral College โดยที่รัฐแต่ละรัฐต้องส่งตัวแทนของแต่ละพรรคแข่งกัน ผู้ที่ได้คะแนนมากที่สุดในรัฐนั้นๆ จะถือเป็นคะแนนเก็บให้กับผู้สมัครลงตำแหน่งประธานาธิบดี จำนวนคะแนนเสียงของแต่ละรัฐจะถูกกำหนดด้วยจำนวนประชากร โดยมีทั้งหมด 538 คะแนนที่รอการชิงชัย และผู้ชนะคือผู้สมัครที่ได้รับคะแนน 270 คะแนนขึ้นไป

รู้จัก ‘รัฐสมรภูมิ’

รัฐสมรภูมิ หรือ Swing states คือ รัฐที่คาดเดาได้ยากว่าประชากรในรัฐส่วนใหญ่จะเทคะแนนเสียงให้พรรคใด ทำให้รัฐเหล่านี้เป็นเวทีสำคัญของการรณรงค์หาเสียง ผู้สมัครทั้ง 2 พรรคใหญ่ มักจะทุ่มทรัพยากรอย่างหนักเพื่อเก็บคะแนนเสียงในรัฐเหล่านี้ โดยผลการเลือกตั้งในรัฐสมรภูมิ มักเป็นตัวชี้ขาดว่า ใครจะได้เป็นประธานาธิบดีคนต่อไป

เพราะคะแนนเสียงที่ผันผวน ส่งผลให้การทำนายผลการเลือกตั้งเป็นเรื่องยาก เป็นข้อกังวลใจในทีมวางกลยุทธ์หาเสียงของแต่ละพรรค และการชนะในรัฐสมรภูมิเพียงไม่กี่รัฐ อาจส่งผลให้ผู้สมัครคนหนึ่งได้เป็นประธานาธิบดีเลยก็ได้

ในการเลือกตั้งปี 2020 มี 7 รัฐที่เป็นกุญแจสำคัญสู่เส้นทางทำเนียบขาวได้แก่ รัฐแอริโซนา จอร์เจีย มิชิแกน เนวาดา นอร์ทแคโรไลนา เพนซิลเวเนีย และ วิสคอนซิน รัฐที่ผู้ชนะได้คะแนนเสียงทิ้งห่างกันไม่ถึงร้อยละ 3 แต่ 7 รัฐที่กล่าวมาข้างต้นไม่ได้ถูกตั้งให้เป็นรัฐสมรภูมิแต่แรกเริ่มอย่างใด การเลือกตั้งปี 2016 ไอโอวาและโอไฮโอ กลายเป็นรัฐสมรภูมิ ขณะที่การเลือกตั้งในปี 2012 ก็มีชื่อรัฐเล็กๆ อย่างนิวแฮมป์เชียร์ ที่ติดโผรายชื่อรัฐสมรภูมิได้

ปัจจัยหลักที่เป็นตัวกำหนดว่ารัฐใดจะเป็นรัฐสมรภูมิได้นั้น ขึ้นอยู่กับ จำนวนประชากรในรัฐที่มีแนวคิดทางการเมืองที่ต่างกันแต่อยู่ในจำนวนที่ใกล้เคียงกัน ทำให้ทีมวางแผนของผู้ลงสมัครคาดเดาได้ยาก ว่าควรส่งผู้สมัครคนใดเข้าชิงตำแหน่ง ผลการเลือกตั้งในอดีตที่ผันผวน รวมถึงสถานการณ์สำคัญๆ ในช่วงเวลานั้นๆ ก็เป็นปัจจัยร่วมที่สำคัญเช่นกัน ทั้งปัญหาเศรษฐกิจ สังคม หรือการตอบสนองของรัฐบาลในนโยบายต่างประเทศ

1.แอริโซนา (Arizona)

ในการเลือกตั้งปี 2020 โจ ไบเดน (เดโมแครต) ชนะ โดนัลด์ ทรัมป์ (รีพับลิกัน)ไปด้วยคะแนนเพียง 10,000 คะแนน โดยคณะผู้เลือกตั้งได้คะแนน 11 จาก 538 คะแนน

สิ่งที่น่าจับตาคือ แอริโซนา เป็นรัฐนี้ติดกับประเทศเม็กซิโก จึงกลายเป็นศูนย์กลางการถกเถียงเรื่องการย้ายถิ่นฐาน การข้ามพรมแดน ทรัมป์ยังให้คำมั่นที่จะดำเนินการ “การเนรเทศครั้งใหญ่ที่สุด” ในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ หากเขาได้เป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง ขณะที่แฮร์ริสไม่เห็นด้วย และเธอเองก็ได้รับหน้าที่แก้ปัญหาวิกฤตชายแดนในรัฐบาลไบเดน แอริโซนายังเป็นศูนย์กลางของการโต้เถียงเรื่อง การห้ามทำแท้ง โดยพรรครีพับลิกันพยายามเสนอนโยบายยกเลิกการเข้าถึงการทำแท้งอย่างถูกกฎหมาย

2.มิชิแกน (Michigan)

ในการเลือกตั้งปี 2020 โจ ไบเดน (เดโมแครต) ชนะ โดนัลด์ ทรัมป์(รีพับลิกัน) ไปด้วยคะแนนเพียง 150,000 คะแนน โดยคณะผู้เลือกตั้งได้คะแนน 15 จาก 538 คะแนน

แม้ว่าชาวมิชิแกนส่วนใหญ่จะสนับสนุนไบเดน แต่ขณะนี้ รัฐนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านการสนับสนุนอิสราเอลของประธานาธิบดีในช่วงสงครามตะวันออกกลาง ในการเลือกตั้งขั้นต้นของประเทศเมื่อต้นปี มีผู้ลงคะแนนกว่า 100,000 คะแนน เลือกตัวเลือก “ยังไม่ตัดสินใจ” ในบัตรลงคะแนน ส่วนหนึ่งมาจากแคมเปญที่นักเคลื่อนไหวออกมาต่อต้านการช่วยเหลือทางการทหารของรัฐบาลแก่อิสราเอล ที่สำคัญ มิชิแกนมีสัดส่วนของชาวอาหรับ-อเมริกันมากที่สุดในประเทศ ซึ่งอาจเป็นกลุ่มที่ไม่สนับสนุนเดโมแครต แต่แฮร์ริสก็มีท่าทีเรื่องอิสราเอลที่ตึงเครียดขึ้น ในขณะที่ทรัมป์ ให้ความสำคัญของรัฐนี้โดยเรียกร้องให้อิสราเอลดำเนินการกับฮามาสให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว

3.เนวาดา (Nevada)

ในการเลือกตั้งปี 2020 โจ ไบเดน (เดโมแครต) ชนะ โดนัลด์ ทรัมป์ (รีพับลิกัน)ไปด้วยคะแนนเพียง 34,000 คะแนน โดยคณะผู้เลือกตั้งได้คะแนน 6 จาก 538 คะแนน

รัฐเนวาดาลงคะแนนให้พรรคเดโมแครตในหลายการเลือกตั้งที่ผ่านมา แต่มีสัญญาณว่าปีนี้รีพับลิกันอาจพลิกเกมชนะได้ ผลสำรวจล่าสุดระบุว่าทรัมป์เคยมีคะแนนนำไบเดนอยู่มาก แต่ความได้เปรียบดังกล่าวลดลงตั้งแต่แฮร์ริส ขึ้นเป็นผู้สมัครเดโมแครต เป้าหมายทั้ง 2 ฝ่ายพยายามรวบรวมคะแนนเสียงจากกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวละติน-อเมริกัน

4.จอร์เจีย (Georgia)

ในการเลือกตั้งปี 2020 โจ ไบเดน (เดโมแครต) ชนะ โดนัลด์ ทรัมป์ (รีพับลิกัน)ไปด้วยคะแนนเพียง 13,000 คะแนน โดยคณะผู้เลือกตั้งได้คะแนน 16 จาก 538 คะแนน

ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2020 เมืองฟูลตันในจอร์เจีย เกิดคดีความที่ทรัมป์และพรรครีพับลิกัน ถูกกล่าวหาว่ามีความผิดฐานแทรกแซงการเลือกตั้ง ทรัมป์ปฏิเสธการกระทำผิด แต่เขาก็ถูกตัดสินว่ามีความผิดจริงไปแล้ว 1 คดี ส่วนที่เหลือยังอยู่ในกระบวนการ 1 ใน 3 ของประชากรในจอร์เจียเป็นชาวแอฟริกัน-อเมริกัน ซึ่งเป็นสัดส่วนของชาวผิวสีที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ และเชื่อกันว่ากลุ่มประชากรนี้มีบทบาทสำคัญที่ทำให้ไบเดนคว้าคะแนนจากรัฐนี้ในปี 2020 แต่มีรายงานว่าในปีนี้กลุ่มคะแนนเสียงหลักกลับผิดหวังในตัวไบเดน ต้องจับตาว่าการรณรงค์หาเสียงของแฮร์ริสจะกระตุ้นชาวแอฟริกัน-อเมริกันกลุ่มนี้ให้กลับมาเทคะแนนให้อีกได้หรือไม่

5.นอร์ทแคโรไลนา (North Carolina)

ในการเลือกตั้งปี 2020 โดนัลด์ ทรัมป์ (รีพับลิกัน) ชนะ โจ ไบเดน(เดโมแครต) ไปด้วยคะแนนเพียง 74,000 คะแนน โดยคณะผู้เลือกตั้งได้คะแนน 16 จาก 538 คะแนน

นอร์ทแคโรไลนา เป็นรัฐแรกที่ทรัมป์เลือกลงพื้นที่หาเสียงหลังเหตุการณ์ลอบยิงเขาเมื่อเดือนก.ค. ที่ผ่านมา หลังผลสำรวจแสดงให้เห็นว่า คะแนนนิยมในตัวทรัมป์และแฮร์ริสนั้นสูสีกัน ทรัมป์มักกล่าวว่า รัฐนี้ถือเป็นรัฐที่เขาให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ และเชื่อว่าจะคว้าชัยชนะจากรัฐนี้ได้สำเร็จ ในการเลือกตั้งครั้งก่อน ทรัมป์คว้าชัยด้วยคะแนนนำที่ไม่ห่างสักเท่าไหร่ ทำให้มีผู้เรียกรัฐนี้ว่า เป็นรัฐสีม่วง(สีแดงและสีน้ำเงินผสมกัน)

รัฐนอร์ทแคโรไลนาติดกับรัฐจอร์เจีย และมีประเด็นการเลือกตั้งสำคัญๆ หลายอย่าง เช่นเดียวกับแอริโซนา ซึ่งเป็น 1 ในรัฐซันเบลต์ (Sun Belt States) คือชื่อ
เรียกกลุ่มรัฐทางตอนใต้และตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐฯ ที่มีภูมิอากาศร้อนหรืออบอุ่นตลอดปี รวมถึงมีการเติบโตทางเศรษฐกิจและประชากรสูงในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐในกลุ่มนี้มีความสำคัญทางการเมือง เพราะมีประชากรจำนวนมากและเพิ่มขึ้นตลอดทั้งปี ส่งผลให้มีจำนวนคะแนนเสียงในคณะเลือกตั้ง (Electoral College) มากขึ้น

6.เพนซิลเวเนีย (Pennsylvania)

ในการเลือกตั้งปี 2020 โจ ไบเดน (เดโมแครต) ชนะ โดนัลด์ ทรัมป์ (รีพับลิกัน) ไปด้วยคะแนนเพียง 82,000 คะแนน โดยคณะผู้เลือกตั้งได้คะแนน 19 จาก 538 คะแนน

ทั้งเดโมแครตและรีพับลิกันต่างพยายามรณรงค์หาเสียงอย่างหนักในรัฐเพนซิลเวเนีย ที่ซึ่งทรัมป์รอดพ้นจากความพยายามลอบสังหารครั้งแรก เพนซิลเวเนียมีบทบาทสำคัญในการเลือกตั้งปี 2020 โดยสนับสนุนไบเดน บ่อยครั้งที่เขามักพูดถึงความเชื่อมโยงของเขากับเมือง Scranton ซึ่งเป็นเมืองชนชั้นแรงงานที่เขาเติบโตขึ้นมา

สภาพเศรษฐกิจถือเป็นปัญหาสำคัญของรัฐนี้ อัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงทั่วประเทศภายใต้การบริหารของไบเดน ชาวเพนซิลเวเนียไม่ใช่อเมริกันกลุ่มเดียวที่รู้สึกกดดันเรื่องค่าครองชีพอันเป็นผลจากภาวะเงินเฟ้อแม้กระทั่งราคาอาหารตามร้านสะดวกซื้อในรัฐเพนซิลเวเนียก็พุ่งสูงเร็วกว่าในรัฐอื่นๆ ตามข้อมูลของ Datasembly ผู้ให้บริการข้อมูลการตลาด

7.วิสคอนซิน (Wisconsin)

ในการเลือกตั้งปี 2020 โจ ไบเดน (เดโมแครต) ชนะ โดนัลด์ ทรัมป์ (รีพับลิกัน)ไปด้วยคะแนนเพียง 21,000 คะแนน โดยคณะผู้เลือกตั้งได้คะแนน 10 จาก 538 คะแนน

ในการเลือกตั้งปี 2020 และ 2016 ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีชนะด้วยคะแนนห่างกันเพียง 20,000 กว่าคะแนนเท่านั้น ผู้เชี่ยวชาญอธิบายว่า คะแนนเสียงจากรัฐชายขอบถูกเฉลี่ยมากขึ้น เพราะประชาชนไม่ได้เทคะแนนส่วนใหญ่ไปที่ทั้ง2 พรรคใหญ่ บางครั้งผู้สมัครจากพรรคอื่นก็ได้คะแนนสนับสนุนไปเช่นกัน

ผลสำรวจในปีนี้ระบุว่า คะแนนนิยมในตัวผู้สมัครอิสระอย่าง “โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดีจูเนียร์” อาจส่งผลเสียต่อคะแนนเสียงของแฮร์ริสหรือทรัมป์ และทว่า เคนเนดี ได้ยุติการรณรงค์หาเสียงของเขาไปในช่วงปลายเดือนสิงหาคมและเลือกสนับสนุนทรัมป์

โดย ดาโน โทนาลี

คุยกัน7วันหน : คาบสมุทรเกาหลีระอุ สองเกาหลีทะเลาะกันไม่เลิก

https://www.naewna.com/lady/836339

คุยกัน7วันหน : คาบสมุทรเกาหลีระอุ สองเกาหลีทะเลาะกันไม่เลิก

คุยกัน7วันหน : คาบสมุทรเกาหลีระอุ สองเกาหลีทะเลาะกันไม่เลิก

วันอาทิตย์ ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2567, 07.00 น.

ความขัดแย้งระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้เป็นประเด็นที่หลายฝ่ายให้ความสนใจมาต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาแต่ดูเหมือนความขัดแย้งจะทวีความรุนแรงในช่วงหลายเดือนมานี้ เริ่มจากเดือนพฤษภาคม 2567 เป็นข่าวดังไปทั่วโลกเมื่อเกาหลีเหนือส่งบอลลูนที่เต็มไปด้วยขยะและสิ่งปฏิกูลข้ามฝั่งไปยังเกาหลีใต้ อีก 1 สัปดาห์ถัดมาเกาหลีใต้ตรวจพบบอลลูนขยะอีกมากกว่า 700 ลูกที่ข้ามฝั่งมายังแดนโสมขาว

เหตุการณ์ดังกล่าว คิม โย-จอง น้องสาวผู้ทรงอิทธิพลของ คิม จอง-อึน ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ ประกาศเตือนว่าหากเกาหลีใต้ยังคงดำเนินการแจกใบปลิวและกระจายเสียงผ่านลำโพง ซึ่งถือเป็นการยั่วยุข้ามพรมแดน อาจเผชิญการตอบโต้ครั้งใหม่จากเกาหลีเหนือ และยังบอกอีกว่าเกาหลีใต้จะต้องอับอายจากการไล่เก็บขยะทุกวันโดยไม่ได้หยุดพัก

และก็คงจะไม่ได้พักกันจริงๆ จนถึงตอนนี้ ก็ยังมีข่าวการโจมตีกันไปมา ทั้งโปรยใบปลิวโจมตี คิม จอง-อึน ผู้นำเกาหลีเหนือผ่านโดรน ปล่อยบอลลูนบรรจุสิ่งปฏิกูลลอยข้ามแดน กระทั่งล่าสุด เกาหลีเหนือระเบิดทำลายถนนและรถไฟ เส้นทางเชื่อมระหว่างสองชาติที่เส้นขนานที่ 38 ส่งสัญญาณตัดขาดความสัมพันธ์แบบถาวร ?!?

ในมุมมองของคนทั้งโลกอาจเห็นว่า เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ เป็นคู่ขัดแย้ง คู่สงครามกันอย่างที่ คิม จอง-อึนผู้นำสูงสุดแดนโสมแดงประกาศกร้าวไว้ไม่นานมานี้ แต่กลับกัน ในสิ่งที่ชาวเกาหลีทั้งเหนือและใต้รุ่นอาจุมม่าทั้งหลายถูกปลูกฝังมาตั้งแต่สมัยแยกดินแดนออกเป็น 2 ฝั่งบนล่างตอนปี 1953 คือ พวกเขาล้วนมีรากเหง้าเดียวกัน คือเป็นชาวเกาหลีด้วยกันมาแต่อ้อนแต่ออก ที่ต้องถูกทำให้พรากจากกันเพราะคนนอกเมื่อวานและวันนี้อาจทะเลาะกัน แต่วันหน้าอาจจะได้กลับมาคืนดีกัน

ต้องเข้าใจก่อนว่า ความขัดแย้งบนคาบสมุทรเกาหลี มีที่มาจากสงครามเกาหลี เป็นความขัดแย้งระหว่างเกาหลีเหนือ ที่สนับสนุนโดยสหภาพโซเวียต และเกาหลีใต้ที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา สงครามปะทุขึ้นในปี1950 เมื่อเกาหลีเหนือบุกเข้ารุกล้ำเกาหลีใต้ สงครามยืดเยื้อนาน 3 ปี จนกระทั่งลงนามในข้อตกลงหยุดยิงในปี 1953 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เกาหลีถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนโดยมีเขตปลอดทหารกั้นกลาง หรือที่เรียกว่า “แนวขนานที่ 38”

ในการลงนามข้อตกลงหยุดยิงปี 1953 ทั้งสองเกาหลีไม่ได้ลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพ ทำให้ทั้งสองยังคงอยู่ในสถานะสงครามมาจนถึงปัจจุบันนี้หรือพูดภาษาชาวบ้านคือ เขายังทำสงครามกันอยู่ ไม่มีใครแพ้หรือชนะในตอนนี้ แต่แค่ไม่ยิงใส่กัน ภาวะสงครามแบบนี้ทำให้เกิดความตึงเครียดทางการเมือง ไม่เฉพาะเกาหลีทั้งสอง แต่รวมถึงเหล่าประเทศมหาอำนาจที่ “ชักใย”อยู่เบื้องหลังของทั้งสองพี่น้อง

ขณะที่ประเทศมหาอำนาจใหญ่ๆ ต่างเลือกเข้าข้างเกาหลีตามระบอบการปกครอง รัสเซีย จีน อยู่ฝั่งเกาหลีเหนือ คอยสนับสนุนทั้งอาวุธ กำลังทหาร วันดีคืนดีก็จะเห็นข่าวผู้นำเกาหลีเหนือนั่งรถไฟขึ้นไปทางมอสโก ไซบีเรีย ไปเจอ วลาดีมีร์ ปูติน บ้าง ไปเจอ สี จิ้นผิง บ้าง ส่วนเกาหลีใต้ ก็มีสหรัฐฯ และเพื่อนบ้านใกล้เคียงอย่างญี่ปุ่นจับมือแน่น ผ่านการซ้อมรบร่วมกันของทหารทั้ง 2 ชาติ

ว่ากันว่า ความขัดแย้งสองเกาหลีจะเกิดขึ้นเมื่อใด รุนแรงหรือไม่ ให้จับตาดูท่าที “รัฐบาล” ของเกาหลีใต้ ถือว่ามีผลต่อการส่งสัญญาณจากเกาหลีเหนือเป็นอย่างมาก ปกติแล้วเกาหลีใต้จะมีพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรคคือพรรคอนุรักษ์นิยม ซึ่งบริหารประเทศอยู่ในปัจจุบัน ประธานาธิบดี ยุน ซอก-ยอลมีแนวคิดเข้าหาสหรัฐฯ อย่างเปิดเผย และไม่ค่อยตอบสนองกับจีนและรัสเซีย การฝึกซ้อมทางทหารของสหรัฐฯ และเกาหลีใต้จัดขึ้นทุกปี แต่ถ้าเป็นยุคของพรรคอนุรักษ์นิยม เกาหลีใต้จะทำแบบยิ่งใหญ่เหมือนเอาใจสหรัฐฯ มาก ทำให้เกาหลีเหนือไม่ชอบ

หากเป็นยุคที่พรรคเสรีนิยมประชาธิปไตยก้าวหน้าขึ้นมาบริหารประเทศ เช่น ในยุคของ อดีตประธานาธิบดีมุน แจ-อิน เกาหลีใต้ก็ยังมีจุดยืนเดิม คืออยู่ฝ่ายสหรัฐฯ เพียงแต่จะไม่ทำอะไรออกนอกหน้าจนเกินงาม บ่อยครั้งที่นัดพูดคุยเพื่อหาทางประสานรอยร้าวของสองพี่น้องในอดีต ตัวของ มุน แจ-อิน เองก็เคยเป็นผู้ประสานให้ โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตผู้นำสหรัฐฯ และ ผู้นำคิม ได้พบปะกันเพื่อหาข้อเจรจาเรื่องปลดอาวุธนิวเคลียร์ มาแล้วด้วย

แล้วเมื่อไหร่ คาบสมุทรเกาหลีจะสงบ?

ในแง่ของการเมือง มหาอำนาจของโลกทั้งทางฝั่งประชาธิปไตยและคอมมิวนิสต์ อาจเห็นเป็นทางเดียวกันคือ ถ้าสองเกาหลีรวมชาติกัน แล้วเลือกระบอบการปกครองอย่างใดอย่างหนึ่งไปเลย อีกฝ่ายก็กลายเป็นสูญเสียเพื่อสมาชิกไปอีกหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นเพื่อนสมาชิกที่มีคุณภาพ ถ้ารวมชาติแล้วเลือกเป็นประชาธิปไตย จีน รัสเซีย คงไม่ยอมแต่ถ้ารวมชาติแล้วเลือกเป็นคอมมิวนิสต์สหรัฐฯ ญี่ปุ่น ก็คงไม่ยอมเหมือนกัน

ในแง่เศรษฐกิจ ในช่วงที่เกาหลีทำสงครามกัน พื้นที่ทางเกาหลีใต้ถูกทำลายเสียส่วนใหญ่ ทรัพยากรต่างๆ แทบไม่เหลือ แต่เกาหลีใต้ใช้เวลาไม่กี่สิบปี พัฒนาตัวเองขึ้นมาจนนำหน้าหลายประเทศใหญ่ๆ ในโลกไปได้ ติด Top 10 ประเทศเศรษฐกิจดีของโลก

ส่วนเกาหลีเหนือเอง ยังเต็มไปด้วยทรัพยากรใต้ดิน โครงสร้างพื้นฐานต่างๆที่ญี่ปุ่นเคยสร้างไว้สมัยที่เคยเข้ามายึดครองเกาหลีอยู่ช่วงหนึ่งในอดีต ก็ไม่ได้ถูกทำลาย และเกาหลีเหนือยังมีประชากรกว่า 30 ล้านคนที่สามารถเป็นแรงงานพัฒนาประเทศได้ ซึ่งสามารถทดแทนกับภาวะการเกิดที่ต่ำลงเรื่อยๆ ของเกาหลีใต้เรียกว่า ถ้าทั้งสองเกาหลีรวมชาติกันสำเร็จ มีโอกาสที่จะแซงหน้าเพื่อนบ้านอย่างญี่ปุ่นได้แน่นอน อาจใช้เวลาไม่เกิน 20 ปี

ต้องยอมรับว่าความสัมพันธ์สองเกาหลีเป็นความสัมพันธ์แบบลมเพลมพัด บทจะทะเลาะก็ทะเลาะกันแรง ต่างฝ่ายต่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมเกาหลีเหนือก็จะเดินหน้ายิงขีปนาวุธระเบิดทำลายเส้นทางเชื่อมต่อ ส่งบอลลูนเข้าไปป่วน หนักสุดถึงขั้นประกาศตัดสัมพันธ์และขู่ทำสงคราม ส่วนเกาหลีใต้ก็ประณามสิ่งต่างๆ ที่เกาหลีเหนือทำไป และเดินหน้าสานสัมพันธ์ซ้อมรบกับสหรัฐฯ ไปเรื่อยๆ

แต่หลายคนเชื่อว่า พวกเขาคงไม่กล้ารบกันจริงๆ เพราะยังไงเสียก็เป็นคนเกาหลีเหมือนกัน อีกทั้งบรรดาชาติมหาอำนาจที่คอยหนุนหลัง ก็คงไม่อยากให้สองเกาหลีรบกัน เพราะเสี่ยงที่จะต้องสูญเสียทั้งอาวุธและทรัพยากรต่างๆในช่วงที่โลกของเราก็กำลังเกิดสงครามและความขัดแย้งมากเกินพอแล้ว

ถึงอย่างนั้นก็ตาม จะให้ตอบคำถามชัดๆ ว่า แล้วทั้งสองเกาหลีจะขัดแย้ง ต่างฝ่ายยั่วยุกันต่อไปอีกนานแค่ไหน…คำตอบก็คงจะอยู่ในสายลม (คือไม่รู้เหมือนกัน)

โดย ดาโน โทนาลี

คุยกัน7วันหน : เงินปอนด์สเตอร์ลิงอังกฤษรูดหนัก สวนทางเงินดอลลาร์พุ่งกระฉูด

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/683742

คุยกัน7วันหน : เงินปอนด์สเตอร์ลิงอังกฤษรูดหนัก  สวนทางเงินดอลลาร์พุ่งกระฉูด

คุยกัน7วันหน : เงินปอนด์สเตอร์ลิงอังกฤษรูดหนัก สวนทางเงินดอลลาร์พุ่งกระฉูด

วันอาทิตย์ ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2565, 06.10 น.

ขณะที่เงินปอนด์สเตอร์ลิงของอังกฤษอ่อนค่าร่วงหนัก เงินดอลลาร์สหรัฐ กลับแข็งค่าพุ่งทะยาน ท่ามกลางหลายวิกฤตโลกเป็นฉากหลัง ทั้งสงครามในยูเครน สินค้าราคาพุ่งและมาตรการล็อกดาวน์ป้องกันโควิด-19 ในจีน วิกฤตค่าเงินที่แกว่งไปมาไม่มีเสถียรภาพกำลังทำให้หลายฝ่ายกังวลเกี่ยวกับภาพรวมเศรษฐกิจโลกและความไม่แน่นอนในตลาดการเงิน

อัตราแลกเปลี่ยนเงินปอนด์สเตอร์ลิงของอังกฤษกับเงินดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงหนึ่งของการซื้อขายที่ตลาดเอเชีย เมื่อช่วงเช้าของวันจันทร์ที่ผ่านมาอยู่ที่ 1.0327 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อ 1 ปอนด์ ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ลดลง 4.9% จากอัตราแลกเปลี่ยนช่วงปิดตลาด เมื่อวันศุกร์ก่อนหน้า แม้หลังจากนั้นค่าเงินปรับขึ้นเล็กน้อย มาอยู่ที่ 1.0699 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อ 1 ปอนด์ แต่ยังคงต่ำกว่าราคาปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ก่อนหน้า ประมาณ 3.6% ขณะที่เมื่อเทียบกับเงินยูโร เงินปอนด์สเตอร์ลิงของอังกฤษก็อ่อนค่าลง 1.3%ที่ระดับ 92.60 เพนนี ต่อ 1 ยูโร ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2000

ค่าเงินปอนด์เริ่มดิ่งลงอย่างต่อเนื่อง หลังจาก ควาซี ควาร์เต็ง รัฐมนตรีคลังของอังกฤษ ประกาศมาตรการปรับลดภาษีครั้งใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่ปี 1972 เป็นวงเงินประมาณ 45,000 ล้านปอนด์ (ราว 1.79 ล้านล้านบาท) ครอบคลุมระหว่างปี 2026-2027 ซึ่งแยกต่างหากจากมาตรการเยียวยาครัวเรือนในประเทศจากวิกฤติพลังงาน ซึ่งจะมีวงเงินสูงถึง 100,000 ล้านปอนด์ (ราว 3.98 ล้านล้านบาท) มาตรการปรับลดภาษีดังกล่าว รวมถึงการตัดลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอัตราพื้นฐาน มูลค่า 5,000 ล้านปอนด์ (ประมาณ 210,000 ล้านบาท) และอัตรา 45% อีก มูลค่า 2,000ล้านปอนด์ (ประมาณ 82,000 ล้านบาท),การยกเลิกการขึ้นเงินนำส่งกองทุนประกันสังคม และการยกเว้นการเก็บอากรแสตมป์ที่อยู่อาศัย

แม้การประกาศนี้อาจจะช่วยบรรเทาภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่อังกฤษน่าจะเข้าสู่ภาวะนี้แล้ว แต่การที่รัฐบาลอังกฤษมีแนวโน้มว่าจะต้องกู้ยืมเงินมหาศาลถึง 72,000 ล้านปอนด์(เกือบ 3 ล้านล้านบาท) ในช่วง 6 เดือนข้างหน้า ก็ส่งผลกระทบต่อตลาดเช่นกันและเป็นการเพิ่มความไม่แน่นอนในตลาดการเงิน พร้อมกับเตือนว่า ภาครัฐจะเผชิญกับความเสี่ยง ในการแก้ไขการขาดดุลงบประมาณ ซึ่งจะยิ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และเงินปอนด์อาจอ่อนค่าลงอีกจนแตะ 1 ต่อ 1 เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งนั่นจะส่งผลให้การนำเข้าสินค้าจำเป็นและสินค้าโภคภัณฑ์อย่างน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติด้วยเงินดอลลาร์ จะยิ่งมีราคาและต้นทุนที่สูงขึ้นอย่างมาก

เปา หลิน เทียน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน บอกกับอัล-จาซีราว่า ความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจอังกฤษในตอนนี้อยู่ในระดับต่ำมาก นโยบายด้านเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรีลิซ ทรัสส์ ที่มุ่งเน้นการลดภาษีในกลุ่มคนร่ำรวยไม่เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนส่วนใหญ่ และน่าจะไม่สามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่อยู่ในช่วงขาลงมาระยะหนึ่งแล้วได้

แม้รัฐบาลอังกฤษจะมีเครื่องมือหลักในการรับมือกับการอ่อนค่าของเงินปอนด์ซึ่งก็คือการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อหวังดึงเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาเก็บผลกำไรที่ดีกว่าแต่จนถึงตอนนี้ ธนาคารกลางอังกฤษก็ยังไม่มีท่าทีจะปรับขึ้นดอกเบี้ย แม้ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ จะเพิ่งส่งสัญญาณรับลูกเมื่อวันจันทร์ว่าจะไม่ลังเลที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหากจำเป็นก็ตาม

ส่วนค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่กำลังแข็งค่าและขึ้นเอาๆ ต่อเนื่องมาตั้งแต่กลางปี 2021 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะในเดือนที่แล้ว ที่ค่าเงินดอลลาร์พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 20 เดือน เมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักอื่นๆ ของโลก6 สกุลเงินนั้น นักวิเคราะห์มองว่ามีแรงผลักดันอยู่ 2 ประการ

ประการแรกคือความเชื่อมั่นที่มีต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ของบรรดาผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ เพราะค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ที่แข็งค่าย่อมสะท้อนถึงรากฐานที่แข็งแกร่งของเศรษฐกิจในประเทศ ที่แม้จะกำลังเผชิญกับทั้งวิกฤตอัตราเงินเฟ้อและการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ยังสะดุด แต่หลายฝ่ายยังเชื่อมั่นในเสถียรภาพของเงินดอลลาร์สหรัฐ เพราะสหรัฐฯ มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่และแข็งแกร่งมากแม้ภาพรวมเศรษฐกิจโลกจะยังไม่มั่นคง ทั้งจากสงครามยูเครนและเศรษฐกิจขาลงในยุโรป แต่นักลงทุนเชื่อว่าถือเงินดอลลาร์ไว้ในมือ ยังไงก็ปลอดภัยกว่าเห็นๆ ขณะที่ชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอื่นๆ มีเพียงญี่ปุ่นประเทศเดียวในกลุ่ม 10 ประเทศยักษ์ใหญ่ที่ยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จีนเองปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงด้วยซ้ำ ขณะที่ยุโรปเองก็กำลังดำดิ่งสู่ภาวะชะลอตัวเต็มรูปแบบ

ส่วนแรงผลักดันที่สอง ซึ่งมีความสำคัญมาก หนีไม่พ้นการประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด ที่ล่าสุด เพิ่งปรับเพิ่มอีก 0.75% เป็นรอบที่ 3 ติดต่อกันสู่ระดับ 3.00%-3.25% ในการประชุมเมื่อวันพุธที่แล้ว โดยมุ่งเป้าไปที่การต่อสู้ภาวะเงินเฟ้อที่แตะระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี แม้มาตรการนี้อาจต้องแลกมาด้วยภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและตัวเลขว่างงานที่สูงขึ้น แต่จะได้เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นเงินดอลลาร์สหรัฐ ถูกซื้อไปเก็บมากขึ้นช่วยให้ค่าเงินพุ่งขึ้นตามไปด้วย แม้ว่ารัฐบาลอังกฤษและกลุ่มประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโร หรือยูโรโซน มีแผนที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยด้วยเช่นกัน แต่จนถึงตอนนี้ ยังไม่มีท่าทีชัดเจนและปรับขึ้นแบบเอาจริงเล็งเห็นผลเหมือนกับเฟดของสหรัฐฯ ทำให้เงินดอลลาร์ชิงความได้เปรียบไปแล้วหลายช่วงตัว

แน่นอนว่า เงินดอลลาร์สหรัฐ ที่แข็งค่าขึ้น ทำให้ผู้บริโภคชาวอเมริกันได้ประโยชน์ เพราะจะได้ซื้อสินค้านำเข้าจากต่างประเทศในราคาที่ถูกลง การเดินทางไปพักผ่อนยังต่างประเทศก็มีค่าใช้จ่ายลดลง แต่กับอีกหลายฝ่ายถือเป็นฝันร้าย ไม่เพียงแต่จะยังฉุดค่าเงินสกุลอื่นให้ดิ่งลง ผู้คนในประเทศอื่นๆ ก็จะต้องมีรายจ่ายมากขึ้นเมื่อซื้อสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ หรือเมื่อต้องเดินทางไปสหรัฐฯ อัตราเงินเฟ้อในประเทศอื่นๆ มีแนวโน้วปรับเพิ่มขึ้น น้ำมันเชื้อเพลิงและสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ที่มักจะใช้เงินดอลลาร์ในการซื้อ ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ตามด้วยค่าใช้จ่ายด้านอาหาร พลังงาน และอื่นๆของภาคครัวเรือนเป็นเงาตามตัว แน่นอนว่าปัญหาในการจ่ายหนี้ของครัวเรือนในต่างประเทศก็จะมีมากขึ้นฉุดให้รัฐบาลต้องเก็บภาษีเพิ่ม จนครัวเรือนต้องมีรายจ่ายเพิ่ม นำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อในประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เรียกว่าพี่กันสบาย แต่ทั่วโลกตายหยังเขียด

โดย ดาโน โทนาลี

คุยกัน7วันหน : ทำไมชาวญี่ปุ่นไม่ชอบใจ การจัดรัฐพิธีศพให้แก่ ‘ชินโสะ อาเบะ’

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/682191

คุยกัน7วันหน : ทำไมชาวญี่ปุ่นไม่ชอบใจ  การจัดรัฐพิธีศพให้แก่ ‘ชินโสะ อาเบะ’

คุยกัน7วันหน : ทำไมชาวญี่ปุ่นไม่ชอบใจ การจัดรัฐพิธีศพให้แก่ ‘ชินโสะ อาเบะ’

วันอาทิตย์ ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2565, 06.05 น.

หลังจากที่นายฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ออกมาประกาศเรื่องการจัดรัฐพิธีศพให้แก่นายชินโสะ อาเบะ อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ที่ถูกลอบสังหารระหว่างเข้าร่วมแคมเปญหาเสียงของพรรคเสรีประชาธิปไตย หรือ แอลดีพี เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยจะจัดขึ้นที่สนามกีฬาในกรุงโตเกียว วันที่ 27 กันยายนที่จะถึงนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้นำจากชาติต่างๆ ทั่วโลก ได้มีโอกาสร่วมไว้อาลัย และยังเป็นการแสดงให้เห็นด้วยว่าญี่ปุ่นจะไม่ยอมอ่อนข้อให้ความรุนแรง

แต่เมื่อมีการประกาศเรื่องนี้ขึ้นก็มีชาวญี่ปุ่นไม่น้อยที่ออกมาคัดค้านและไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้บางคนถึงขั้นจุดไฟเผาตัวเองเพื่อประท้วงเลยทีเดียว หลายคนมองว่าไม่สมควรที่จะจัดรัฐพิธีศพ เนื่องจากต้องใช้เงินภาษีจำนวนมาก ผู้เชี่ยวชาญคาดว่า รัฐพิธีศพของนายอาเบะ น่าจะต้องใช้เงินราวๆ 1,700 ล้านเยน หรือประมาณ 440 ล้านบาท สูงกว่าตัวเลขที่รัฐบาลคาดการณ์ไว้ตอนแรกอย่างมาก และว่ากันว่าสูงกว่างบประมาณในการจัดรัฐพิธีพระบรมศพ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งอังกฤษ ที่เพิ่งผ่านพ้นไปอีกต่างหาก โดยค่าใช้จ่ายรัฐพิธีพระบรมศพ อยู่ที่ราว8 ล้านปอนด์ หรือราว 1,300ล้านเยน ขณะที่ค่าใช้จ่ายรัฐพิธีศพนายอาเบะ ส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายเรื่องการรักษาความปลอดภัย รวมถึงค่ารับรองแขกคนสำคัญจากต่างประเทศ ซึ่งคาดว่าจะเดินทางมาร่วมพิธีราว 700 คน จาก 217 ประเทศ ภูมิภาคและองค์การระหว่างประเทศ ในจำนวนนี้จะเป็นผู้นำหรืออดีตผู้นำ 49 คน รวมถึงนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโดของแคนาดา, นายกรัฐมนตรีฮันด็อกซู ของเกาหลีใต้, ประธานาธิบดีเหวียน ซวน ฟุก ของเวียดนาม, นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของอินเดีย, นายกรัฐมนตรีแอโธนีอัลบาเนซี ของออสเตรเลีย และรองประธานาธิบดี คามาลา แฮร์ริสของสหรัฐฯ

เดอะ สเตรตไทม์ส รายงานว่า มีสาเหตุหลักๆ อยู่ 2 ประการ ที่ทำให้ผู้คนชาวญี่ปุ่นออกมาคัดค้านเกี่ยวกับเรื่องนี้ เรื่องแรกก็คือ การตัดสินใจที่ไม่เหมาะสมของนายกรัฐมนตรีคิชิดะ และเรื่องที่สองเกี่ยวกับกรณีที่สมาชิกพรรคแอลดีพี จำนวนมากเกี่ยวข้องกับลัทธิโบสถ์แห่งความสามัคคี

หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ลอบสังหารนายอาเบะ ซึ่งผู้ก่อเหตุสารภาพในเวลาต่อมาว่า ลงมือเพราะเข้าใจว่านายอาเบะ เกี่ยวข้องกับลัทธิโบสถ์แห่งความสามัคคี อันเป็นตัวการที่ทำให้มารดาของเขาต้องล้มละลายและครอบครัวแตกสลาย ต่อมานายคิชิดะ ก็ประกาศตัดความสัมพันธ์กับลัทธิดังกล่าวในทันที แต่หลังจากที่ผลการตรวจสอบโบสถ์ออกมา กลับพบว่า พรรคแอลดีพี ที่นายอาเบะยังมีอิทธิพลอยู่มาก มีความเกี่ยวข้องกับลัทธิโบสถ์แห่งความสามัคคี ขณะที่ผลสืบสวนขั้นต้นของทางพรรคเมื่อช่วงต้นเดือนกันยายน พบว่า มีสมาชิกพรรคเกือบครึ่งหนึ่งจากทั้งหมด 379 คน ที่มีส่วนเกี่ยวพันกับลัทธิโบสถ์แห่งความสามัคคี ทำให้คะแนนนิยมของนายกรัฐมนตรีคิชิดะร่วงต่ำสุดตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง โดยผลสำรวจของหนังสือพิมพ์ไมนิจิ เดลี ของญี่ปุ่น ระบุว่า นายกรัฐมนตรีคิชิดะมีคะแนนนิยมเหลือเพียงร้อยละ 29 ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ลดลงร้อยละ 6 จากผลสำรวจในช่วงปลายเดือนสิงหาคม

แม้ว่านายอาเบะ จะเป็นนายกรัฐมนตรีนาน 2 สมัย กินระยะเวลานานถึง 8 ปี และยังเป็นนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุด และมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก แต่ว่าความนิยมในประเทศของเขาก็ยังคงไม่เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนยอมรับว่าสมควรจัดงานรัฐพิธีศพให้ นอกจากนี้การจัดรัฐพิธีศพให้แก่นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นบ่อยๆซึ่งหากย้อนกลับไปครั้งล่าสุด ก็คือในปี 1967 ที่มีการจัดรัฐพิธีศพให้แก่นายชิเงรุ โยชิดะ อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ที่มีศักดิ์เป็นพระอัยกาฝ่ายพระชนนีในเจ้าหญิงโนบูโกะ พระชายาในเจ้าชายโทโมฮิโตะ แต่ในครั้งนั้น งบประมาณที่ใช้จัดรัฐพิธีศพ อยู่ที่เพียง 18 ล้านเยนหรือเทียบกับในปัจจุบัน ก็ราวๆ 70 ล้านเยนเท่านั้น

นายกรัฐมนตรีคิชิดะ บอกเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ทราบถึงความไม่พอใจเรื่องการจัดรัฐพิธีศพจากประชาชนจำนวนมากแล้วอย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าการยกเลิกงานไม่ใช่ทางออกที่ดีเนื่องจากรัฐบาลญี่ปุ่นได้ดำเนินการเรื่องระบบรักษาความปลอดภัย รวมถึงส่งคำเชิญไปยังประเทศต่างๆ เรียบร้อยแล้ว แต่ก็ถือเป็นสิ่งน่ากังวลไม่น้อย จากตัวเลขงบประมาณการจัดงานที่สูงลิ่วท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจที่ญี่ปุ่นกำลังเผชิญเหมือนกับทั่วโลกจนอัตราเงินเฟ้อในประเทศพุ่งทะยานสูงสุดในรอบกว่า 30 ปี ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า ควรนำเงินที่เป็นค่าใช้จ่ายจัดรัฐพิธีศพ ไปให้อุดหนุนครัวเรือนยากจนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาเงินเฟ้อในประเทศมากกว่า

หลายคนทราบกันดีว่า ด้วยแนวคิดความเป็นชาตินิยมของนายอาเบะ ทำให้เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากจากประชาชนชาวญี่ปุ่น บางคนถึงกับพูดว่า การถูกลอบสังหารครั้งนี้ เป็นเหมือนกับกรรมตามสนอง

สมัยยังมีชีวิตอยู่ นโยบายของอาเบะตอนเป็นนายกรัฐมนตรี เคยสร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์และทำให้ญี่ปุ่นแบ่งออกเป็นสองฝักสองฝ่ายมาแล้ว แต่ถึงตอนนี้ แม้ตัวจะจากไป แต่เสียงซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับตัวเขาก็ยังคงสะท้อนดังก้อง วนเวียนอยู่ในชีวิตผู้คนชาวญี่ปุ่นต่อไป…ไม่เปลี่ยนแปลง

โดย ดาโน โทนาลี

คุยกัน7วันหน : ก้าวต่อไปของอังกฤษ ในยุคพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/680675

คุยกัน7วันหน : ก้าวต่อไปของอังกฤษ ในยุคพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3

คุยกัน7วันหน : ก้าวต่อไปของอังกฤษ ในยุคพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3

วันอาทิตย์ ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2565, 06.10 น.

ทันทีที่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จสวรรคต เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ องค์มกุฎราชกุมารของอังกฤษและสหราชอาณาจักร พระชนมพรรษา73 พรรษา องค์รัชทายาทลำดับที่ 1 ผู้ทรงดำรงพระอิสริยยศเจ้าชายแห่งเวลส์ มาอย่างยาวนาน ก็ได้ทรงสืบทอดราชบัลลังก์เป็นสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 หลังทรงอยู่ในตำแหน่งรัชทายาทมาเป็นเวลานานถึง 70 ปี ถือเป็นการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญในราชวงศ์อังกฤษ ด้วยเหตุนี้สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 จึงทรงเป็นบุคคลผู้มีอายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์อังกฤษที่ได้ขึ้นครองบัลลังก์ ทั้งยังทรงเป็นผู้ครองตำแหน่งรัชทายาทยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์อังกฤษอีกด้วย

สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ทรงมีพระนามเดิมว่า เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ ฟิลิป อาเธอร์ จอร์จ ทรงเป็นพระราชโอรสองค์โตของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และเจ้าชายฟิลิปพระองค์ทรงได้รับการสถาปนาพระอิสริยยศ เจ้าชายแห่งเวลส์ หรือมกุฎราชกุมารในปี 2512เมื่อทรงเจริญพระชนมายุ 21 พรรษา

การประกาศการขึ้นครองราชย์ต่อสาธารณชนที่ระเบียงของพระราชวังเซนต์เจมส์ มีการประโคมเสียงแตรสัญญาณ และการป่าวร้องขึ้นว่า ขอพระเจ้าจงคุ้มครองพระราชา หรือ God Save the King ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 70 ปี ที่เพลงชาติอังกฤษในชื่อเดียวกัน จะเปลี่ยนเนื้อร้องจากคำว่า Queen หรือ ราชินีกลับมาเป็นคำว่า King หรือพระราชา เพราะนับตั้งแต่พระเจ้าจอร์จที่ 6 เสด็จสวรรคต เมื่อพุทธศักราช 2495 เพลงชาติอังกฤษก็ร้องว่า God save the Queen มาโดยตลอด เพื่อสื่อถึงสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ที่สืบทอดราชบัลลังก์กษัตริย์ แต่จากนี้เป็นต้นไป เพลงชาติอังกฤษจะถูกร้องว่า God save the King อีกครั้งในทุกสถานที่ เพื่อสื่อถึงสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3

การขึ้นครองราชย์ของพระองค์ ยังนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงลำดับการสืบราชสันตติวงศ์ของสมาชิกราชวงศ์อังกฤษด้วยเช่นกัน เพราะเจ้าชายวิลเลียม พระราชโอรสพระองค์โตในกษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 3 และเจ้าหญิงไดอานา ทรงขึ้นเป็นผู้สืบราชสันตติวงศ์ลำดับที่ 1 และพระอิสริยยศจะเปลี่ยนจากดยุกแห่งเคมบริดจ์ เป็นดยุกแห่งคอร์นวอลล์ เช่นเดียวกับเจ้าหญิงแคทเทอรีน พระชายา ก็จะเปลี่ยนพระอิสริยยศ จากดัชเชสแห่งเคมบริดจ์ เป็นดัชเชสแห่งคอร์นวอลล์

ส่วนผู้สืบราชสันตติวงศ์ลำดับที่ 2 ที่เคยเป็นของเจ้าชายวิลเลียม จะเปลี่ยนไปเป็นเจ้าชายจอร์จ พระโอรสพระองค์โตของเจ้าชายวิลเลียม และเจ้าหญิงชาร์ลอตต์ กับเจ้าชายหลุยส์พระโอรสพระธิดา เป็นผู้สืบทอดราชสันตติวงศ์ลำดับที่ 3 และ 4ตามลำดับ

อย่างไรก็ดี การเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และการผลัดเปลี่ยนรัชสมัยนำมาสู่คำถามเกี่ยวกับอนาคตของเครือจักรภพอังกฤษ โดยเฉพาะประเทศสมาชิกในภูมิภาคแคริบเบียน หลังจากบาร์เบโดสเป็นสาธารณรัฐ เมื่อปลายปี 2021 ทำให้มีความกังวลว่าจะกลายเป็นโดมิโนตัวแรกที่ล้มไปยังประเทศอื่นๆ ด้วยหรือไม่เพราะในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หลายประเทศสมาชิกเครือจักรภพต่างเริ่มทยอยส่งสัญญาณเกี่ยวกับแผนการลงประชามติว่าด้วยเรื่องการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองเป็นระบอบสาธารณรัฐ เช่น แอนทีกาและบาร์บิวดา ประเทศหมู่เกาะเล็กๆ ในแถบทะเลแคริบเบียน ที่เตรียมแผนการจัดลงประชามติภายในระยะเวลา 3 ปีนับจากนี้ รวมถึงออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และจาเมกา ที่มีกระแสผลักดันให้เกิดการลงประชามติในประเทศ เพื่อหวังออกจากการเป็นสมาชิกเครือจักรภพ และก้าวไปสู่การเป็นประเทศในระบอบสาธารณรัฐ

ผลสำรวจความคิดเห็นที่จัดทำโดยองค์กรในจาเมกาชี้ว่า เมื่อเวลาผ่านไป กระแสการเรียกร้องให้จาเมกาแยกตัวออกมาเป็นสาธารณรัฐ ซึ่งจะสามารถเลือกผู้นำแห่งรัฐ หรือ head of state ได้เอง เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ตัวเลขผู้สนับสนุนการเป็นสาธารณรัฐ เพิ่มจาก 44% เมื่อ 10 ปีที่แล้ว (ปี 2012) เป็น 56% เมื่อเดือน ก.ค.2022 ซึ่งชาวจาเมกาส่วนใหญ่ โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวต้องการที่จะก้าวต่อไปข้างหน้า และหลุดพ้นจากอดีตอันเลวร้ายสมัยอยู่ใต้อาณานิคมยาวนานมากกว่า 300 ปี

ถือเป็นสิ่งที่น่าวิตกกังวล ต่อคำกล่าวที่ว่า “จักรวรรดิอังกฤษกับดินแดนที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน” ที่เคยแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของประเทศนี้ในอดีตได้เป็นอย่างดี

โดย ดาโน โทนาลี

คุยกัน7วันหน : ควีนเอลิซาเบธที่ 2 ราชินีผู้ก้าวไปพร้อมกับโลกที่เปลี่ยนแปลง

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/679165

คุยกัน7วันหน : ควีนเอลิซาเบธที่ 2  ราชินีผู้ก้าวไปพร้อมกับโลกที่เปลี่ยนแปลง

คุยกัน7วันหน : ควีนเอลิซาเบธที่ 2 ราชินีผู้ก้าวไปพร้อมกับโลกที่เปลี่ยนแปลง

วันอาทิตย์ ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2565, 06.12 น.

สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อปี1952 ทรงเป็นองค์พระประมุขที่ทรงครองราชสมบัติยาวนานที่สุดแห่งราชวงศ์อังกฤษ ด้วยระยะเวลาถึง 70 ปี และทรงเป็นสักขีพยานในการเปลี่ยนผ่านทางสังคมในอังกฤษและเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นมากมายรัชสมัยของพระองค์ครอบคลุมตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 15 คน เริ่มจากวินสตัน เชอร์ชิล และปิดท้ายที่ลิซ ทรัสส์ ที่พระองค์เพิ่งทรงแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษอย่างเป็นทางการไปเมื่อต้นสัปดาห์นี้

The Straits Times รายงานว่า ความสำเร็จสูงสุดของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ก็คือการรักษาความนิยมของสถาบันกษัตริย์ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาและนำสถาบันกษัตริย์ไปสู่โลกสมัยใหม่เปิดกว้างและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองสังคมและวัฒนธรรม

รัชสมัยของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เริ่มขึ้นท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงผันผวนอย่างรวดเร็วของสถานการณ์โลก ทำให้จักรวรรดิอังกฤษต้องดำเนินมาถึงจุดจบในที่สุด ขณะที่เสด็จเยือนประเทศเครือจักรภพเมื่อปลายปี 1953 หลายประเทศในจำนวนนั้นซึ่งรวมถึงอินเดียต่างได้รับเอกราชและแยกตัวเป็นอิสระออกไป

สิ่งที่ร้อยรวมประเทศที่เป็นอดีตอาณานิคมของอังกฤษเอาไว้ด้วยกันได้ในยุคใหม่ คือการเป็นสมาชิกเครือจักรภพ ที่บางส่วนยกย่องให้สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เป็นองค์ประมุขสูงสุด

นอกจากนี้ ยังต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์ทางการเมืองหลายครั้งในช่วงต้นรัชสมัย ส่วนใหญ่มาจากการที่ต้องทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีจากพรรคอนุรักษ์นิยม ที่ทางพรรคขาดกระบวนการเลือกสรรผู้นำที่แน่นอน จนทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้น

พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจที่มีความสำคัญ เชื่อมโยงกับเหตุการณ์สำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ของสหราชอาณาจักรและของโลกหลายครั้ง โดยหลังสิ้นสุดสงครามอ่าวเปอร์เซียในปี 1991 ทรงเป็นกษัตริย์อังกฤษพระองค์แรกที่ได้มีพระราชดำรัสต่อสภาคองเกรสของสหรัฐฯ

ในเดือนพฤษภาคม ปี 2011 สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงเป็นกษัตริย์อังกฤษพระองค์แรกที่เสด็จฯทรงเยือนสาธารณรัฐไอร์แลนด์ อย่างเป็นทางการ มีพระราชดำรัสให้ชาวไอริชมีความอดทนอดกลั้นและประนีประนอมต่อความขัดแย้งกับอังกฤษที่ผ่านมาในหน้าประวัติศาสตร์ ในปีต่อมาพระองค์ยังได้เสด็จฯทรงเยือนไอร์แลนด์เหนือในโอกาสนี้ได้ทรงจับมือกับนายมาร์ตินแม็คกินเนส อดีตผู้นำขบวนการไออาร์เอ ซึ่งเคยเรียกร้องอิสรภาพจากอังกฤษอีกด้วย นับว่าเป็นเหตุการณ์ที่ได้รับความสนใจอย่างมาก เนื่องจากพระญาติสนิท คือลอร์ด หลุยส์ เมาท์แบตเทน ถูกสังหารด้วยระเบิดของขบวนการไออาร์เอไปเมื่อปี 1979

พระองค์ยังทรงแสดงความห่วงกังวล ในครั้งที่สกอตแลนด์จัดการลงประชามติเพื่อเตรียมแยกตัวเป็นเอกราชในปี 2014 โดยมีพระราชดำรัสกับประชาชนผู้มารอเฝ้าที่ปราสาทบัลมอรัล และผลการลงประชามติในครั้งนั้น คือ ชาวสกอตแลนด์ยังต้องการอยู่ร่วมในสหราชอาณาจักรต่อไป

ขณะเดียวกัน ตลอดช่วงรัชสมัยของพระองค์ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ได้รับการจารึกว่าเป็นกษัตริย์พระองค์แรกของอังกฤษที่เสด็จฯเยือนจีนแผ่นดินใหญ่
ในปี 1986 รวมถึงการเสด็จฯเยือนราชอาณาจักรไทยถึง 2 ครั้ง หนังสือพิมพ์ Express ของอังกฤษรายงานเมื่อปี2020 ว่า สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงเดินทางเป็นระยะทางทั้งหมดกว่า 1 ล้านไมล์ และเสด็จฯทรงเยือนทั้งหมด 110 ประเทศ ทั้งยังเรียกพระองค์ว่าทรงเป็น “ประมุขของรัฐที่เดินทางมากที่สุดตลอดกาล”ด้วย

ผู้ที่สนับสนุนสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 กล่าวว่า พระองค์ทรงมีบทบาทสำคัญในการช่วยประคับประคองสถาบันกษัตริย์ให้อยู่รอดได้ในอังกฤษ ในเวลาที่
สถาบันเบื้องสูงในหลายๆ ประเทศค่อยๆ หมดความสำคัญลง

แต่ถึงกระนั้น สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 น่าจะเป็นผู้ที่ถูกสาธารณะจับตาตรวจสอบดูมากที่สุดคนหนึ่งตลอดช่วงระยะเวลาการครองราชย์ อีกทั้งยังทรงต้องเผชิญกับการโจมตีในเรื่องส่วนพระองค์ด้วยเช่นกัน ว่า ราชสำนักของพระองค์นั้นมีความเป็นชนชั้นสูงแบบอังกฤษมากเกินไป สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองของคนรุ่นใหม่ที่มีต่อสถาบันกษัตริย์ว่ากำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ในช่วงปลายทศวรรษ 1960 สำนักพระราชวังบักกิ้งแฮมเริ่มดำเนินนโยบายนำเสนอภาพลักษณ์ใหม่ของพระราชวงศ์อังกฤษในรูปแบบที่เป็นทางการน้อยลงแต่ดูผ่อนคลายและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

เมื่อปี 1992 พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสเนื่องในโอกาสพระราชพิธีเฉลิมฉลองการครองราชย์ครบ 40 ปีว่า ปีนั้น “กลับกลายมาเป็น “ปีอันแสนโหดร้าย” หลังพระราชโอรสและพระราชธิดา 3 พระองค์ อันได้แก่เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ เจ้าชายแอนดรูว์และเจ้าหญิงแอนน์ ต่างประกาศแยกทางหรือหย่าร้าง

อุบัติเหตุทางรถยนต์ที่กรุงปารีสในปี 1997 ซึ่งทำให้เจ้าหญิงไดอานาแห่งเวลส์ อดีตพระชายาของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์สิ้นพระชนม์ ส่งผลสะเทือนต่อภาพลักษณ์ของราชวงศ์อังกฤษอย่างมากอีกครั้ง มีผู้แสดงความไม่พอใจที่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และสำนักพระราชวังนิ่งเฉยเย็นชาต่อเหตุการณ์ดังกล่าว ในที่สุดสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ได้ทรงมีพระราชดำรัสผ่านการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ และทรงแสดงการไว้อาลัยต่อการจากไปของพระสุนิสาและให้คำมั่นอีกครั้งว่า สถาบันกษัตริย์จะปรับตัวให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงทางสังคมมากยิ่งขึ้น

นักวิเคราะห์ระบุว่า แม้สถาบันกษัตริย์อังกฤษในช่วงปลายรัชสมัยของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 จะไม่ได้แข็งแกร่งมั่นคงเหมือนดังช่วงต้นรัชสมัย แต่ทรงตั้งพระทัยจะให้สถาบันกษัตริย์ยังคงเป็นที่เคารพรักของชาวอังกฤษต่อไปตราบนานเท่านาน

โดย ดาโน โทนาลี

คุยกัน7วันหน : เศรษฐกิจรัสเซียไม่สะเทือน แม้ตะวันตกคว่ำบาตรหนัก

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/677649

คุยกัน7วันหน : เศรษฐกิจรัสเซียไม่สะเทือน แม้ตะวันตกคว่ำบาตรหนัก

คุยกัน7วันหน : เศรษฐกิจรัสเซียไม่สะเทือน แม้ตะวันตกคว่ำบาตรหนัก

วันอาทิตย์ ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2565, 06.00 น.

ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกต่อรัสเซียได้เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของรัสเซียกับโลกภายนอกเป็นอย่างมาก แต่บรรดาผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า รัสเซียจะสามารถเอาตัวรอดได้จากวิกฤตนี้

สำนักข่าวอัล จาซีรา รายงานว่า ในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมาหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต รัสเซียอ้าแขนรับทุนนิยม และแม้รัสเซียและชาติตะวันตกเผชิญความตึงเครียดทางการเมืองบ่อยครั้ง แต่สายสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างกันยังคงแข็งแกร่ง ชาวรัสเซียชนชั้นกลางสามารถเดินทางเข้า-ออกยุโรปได้อย่างง่ายดาย หรือซื้อสินค้าตะวันตกรุ่นใหม่ล่าสุด ขณะที่บริการทางการเงินพื้นฐานเช่นการส่งหรือรับเงินข้ามประเทศ สามารถทำได้ในเวลาไม่กี่นาที

แต่สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปหลังรัสเซียเปิดปฏิบัติการทางทหารพิเศษในยูเครน ทำให้สหรัฐฯและชาติพันธมิตรในยุโรปและเอเชียมีมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อรัสเซีย ตั้งแต่การสั่งอายัดเงินทุนสำรอง/ ตัดธนาคารรัสเซียออกจากระบบโอนเงินระหว่างประเทศ /ห้ามเรือและเครื่องบินของรัสเซียเข้าเทียบท่าหรือผ่านน่านฟ้า /รวมถึงจำกัดการนำเข้าสินค้ารัสเซีย นอกจากนี้ บริษัทต่างชาติมากกว่า 1,200 รายประกาศถอนตัวหรือระงับกิจการในรัสเซียด้วย เช่น แอปเปิล แมคโดนัลด์ อิเกีย วีซาและมาสเตอร์การ์ดเป็นต้น

การถาโถมคว่ำบาตรรัสเซียกลับส่งผลในหลายมุม

ในมุมหนึ่ง จีดีพีของรัสเซียหดตัวลดราวร้อยละ 4 ในช่วงไตรมาสที่สองของปีนี้ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีที่แล้ว และคาดว่าจะหดตัวร้อยละ 7 ในไตรมาสที่สาม ขณะเดียวกันมาตรการจำกัดการส่งออกสินค้าบางประการให้รัสเซีย ดันอัตราเงินเฟ้อของรัสเซียทะยานสู่เลขสองหลักไปแล้ว และสินค้าที่ถูกจำกัดการนำเข้านั้น สำคัญต่อภาคการผลิตของรัสเซีย และรัสเซียเองยอมรับว่า เป็นเรื่องท้าทายที่จะต้องหาแหล่งวัตถุดิบใหม่ทดแทน

อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ด้วยข้อจำกัดอันมากมาย แต่ปรากฏว่าเศรษฐกิจรัสเซียนั้นมีความยืดหยุ่นมากกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ เงินรูเบิลของรัสเซียกลับกลายเป็นสกุลเงินที่ทำผลงานดีสุดของปีนี้ อัตราเงินเฟ้อเริ่มลดลงจาก ร้อยละ 17.8 ในเดือนเมษายน มาอยู่ที่ร้อยละ 14.9 ในเดือนสิงหาคม นอกจากนี้ ระหว่างเดือนมกราคมถึงกรกฎาคม บัญชีเดินสะพัดของรัสเซียยังได้ดุลทำสถิติสูงสุดที่ 167 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 6 ล้านล้านบาท หรือมากกว่าสามเท่าจากปีที่แล้วด้วย

นั่นจึงหมายความว่า การคว่ำบาตร ไม่ส่งผลกระทบต่อรัสเซียมากเท่าไหร่นัก

ขณะเดียวกัน เมื่อเดือนที่แล้ว กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ ปรับเพิ่มการคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจรัสเซียใหม่ โดยคาดการณ์ว่าจีดีพีปี 2022 ของรัสเซียจะหดตัวร้อยละ 6 จากที่เดิมคาดว่าจะหดตัวร้อยละ 8.5

แอนตอน ทาบัคห์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ Expert RA กล่าวกับอัล จาซีรา ว่า มีสองปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจรัสเซียยังไปได้ดีประการแรก คือ การส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ที่มากขึ้น โดยเฉพาะพลังงาน ทางการรัสเซียคาดว่าจะมีรายได้จากการขายพลังงานในปีนี้มากกว่า 337 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 12 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2021 ถึงร้อยละ 31ส่วนปัจจัยที่สองคือ การใช้จ่ายภาครัฐที่เพิ่มมากขึ้น

ขณะเดียวกัน สำหรับผู้ประกอบการชาวรัสเซียบางราย การคว่ำบาตรนั้นกลายเป็นแหล่งของโอกาสที่ไม่คาดคิด

นิโคไล ดูเนฟ รองประธาน Opora Russia ซึ่งเป็นสมาคมธุรกิจเอสเอ็มอีในรัสเซีย กล่าวว่า การแห่ถอนตัวของธุรกิจข้ามชาติยักษ์ใหญ่ นั้นเปิดโอกาสให้ธุรกิจภายในประเทศได้ขยายส่วนแบ่งตลาด โดยเฉพาะด้านอาหาร เครื่องสำอาง เครื่องแต่งกายการท่องเที่ยว และการก่อสร้าง

นอกจากนี้ ทาบัคห์กล่าวว่า ชาติที่ไม่ได้เป็นชาติตะวันตก ยังมีบทบาทสำคัญในยุทธศาสตร์รับมือการคว่ำบาตรของรัสเซียด้วย เช่น การเติบโตในภาคการผลิตเอเชียและตะวันออกกลาง ทำให้รัสเซียหาสินค้าทดแทนของตะวันตกได้ง่ายขึ้น

อย่างไรก็ตาม คำถามต่อจากนี้คือ แล้วเศรษฐกิจรัสเซีย จะสามารถเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้างในระยะยาวได้อย่างไร และจะกลับมาสร้างเศรษฐกิจบนรากฐานใหม่ให้ประสบความสำเร็จได้อย่างไร

คริส เดวอนเชอร์-เอลลิซผู้ก่อตั้ง Dezan Shira & Associatesบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนทั่วเอเชีย เผยว่า มีสองปัจจัยสำคัญที่อาจเอื้อให้รัสเซีย อย่างแรกคือ รัสเซียครอบครองทรัพยากรธรรมชาติมหาศาลซึ่งสำคัญต่อเศรษฐกิจโลกในวงกว้าง หากดูจากการจัดอันดับต่างๆ รัสเซียจะครองอันดับหนึ่ง สอง หรือไม่ก็สามในการครอบครองทรัพยากรสำคัญของโลก ตั้งแต่พลังงาน ไปจนถึงเพชรน้ำจืด สินแร่หายาก และแร่อื่นๆ อีก

ส่วนประการที่สอง แม้รัสเซียกำลังมีปัญหากับชาติตะวันตก แต่ในแง่ภูมิศาสตร์การเมือง ยากที่จะสามารถโดดเดี่ยวรัสเซียได้ เพราะรัสเซียยังมีมิตรมหาอำนาจอีกหลายราย เช่น จีนอินเดีย และอิหร่าน รวมถึงซาอุดีอาระเบียตุรเคีย บราซิล และหลายชาติในแอฟริกาที่ทรงอิทธิพลมากขึ้น

ดังนั้น เดวอนเชอร์-เอลลิซ จึงเชื่อว่า เมื่อชั่งดูแล้ว ดูเหมือนว่ารัสเซียน่าจะผ่านเรื่องนี้ไปได้นั่นเอง

โดย ดาโน โทนาลี

คุยกัน7วันหน : จีนใจป้ำ ยกหนี้ให้ 17 ชาติแอฟริกา

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/676127

คุยกัน7วันหน : จีนใจป้ำ ยกหนี้ให้ 17 ชาติแอฟริกา

คุยกัน7วันหน : จีนใจป้ำ ยกหนี้ให้ 17 ชาติแอฟริกา

วันอาทิตย์ ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2565, 06.45 น.

จีน ซึ่งเป็นประเทศเจ้าหนี้เงินกู้รายใหญ่ที่สุดของชาติกำลังพัฒนาทั่วโลก ประกาศยกหนี้เงินกู้ปราศจากดอกเบี้ย 23 รายการให้กับประเทศในแอฟริกา 17 ประเทศพร้อมโยกเงินทุนสำรองกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือ IMF ของตน ไปให้กับชาติต่างๆในแอฟริกาด้วย

นายหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศและมนตรีแห่งรัฐของจีน ประกาศยกหนี้เงินกู้จำนวนดังกล่าวให้กับประเทศในแอฟริกา ในที่ประชุมความร่วมมือจีน-แอฟริกา เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แม้จะไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดว่ายกหนี้เงินกู้จำนวนเท่าใดให้กับประเทศไหนบ้าง แต่เชื่อว่าเป็นหนี้เงินกู้ที่ปราศจากดอกเบี้ย 23 รายการให้กับประเทศในแอฟริกา 17 ประเทศ

ขณะที่ข้อมูลจากสถาบันศึกษาก้าวหน้าระหว่างประเทศ ของมหาวิทยาลัยจอนส์ ฮอปกินส์ ในสหรัฐฯ พบว่าตั้งแต่ปี 2000 จีนได้ประกาศยกหนี้เงินกู้ให้กับประเทศในแอฟริกาหลายรอบ เฉพาะในปี 2019 ก็ยกหนี้ไปจำนวนกว่า 3,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1.2 แสนล้านบาท โดยเกือบทั้งหมดเป็นหนี้เงินกู้ระหว่างประเทศแบบไม่มีดอกเบี้ย ซึ่งแซมเบียได้ประโยชน์จากการยกหนี้ในรอบนี้มากที่สุด

อย่างไรก็ดี จีนยังไม่ได้พิจารณายกหนี้เงินกู้แบบผ่อนปรน (concessional loan) ที่มีระยะเวลาในการชำระเงินคืนยาวกว่าเงินกู้ทั่วไปและมีอัตราดอกเบี้ยต่ำมากและเงินกู้เพื่อการพาณิชย์ ซึ่งเป็นรูปแบบของเงินกู้ส่วนใหญ่ที่จีนให้กู้กับชาติในแอฟริกา แต่ได้มีการปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ให้กับประเทศลูกหนี้ในแอฟริกาเหล่านี้เพื่อลดผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางทั่วโลก รวมถึงธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด จนสุ่มเสี่ยงที่อาจทำให้ประเทศลูกหนี้เงินกู้หลายประเทศทั่วโลก ติดกับดักหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ต่างชาติได้ จนอาจเกิดการผิดนัดชำระหนี้มากเป็นประวัติการณ์ เพราะล้วนได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจมาตั้งแต่ก่อนโควิด-19 ระบาดแล้ว

ที่ผ่านมา จีนมักถูกหลายฝ่ายกล่าวหาว่า ความร่วมมือของจีนกับชาติแอฟริกาและประเทศยากจนในภูมิภาคอื่นๆ ทำให้เกิด “กับดักหนี้” ขึ้น แต่ในเวลาเดียวกัน จีนก็มีส่วนสำคัญในการผลักดันให้เกิดข้อตกลงปลดหนี้ โดยร่วมมือกับประเทศในกลุ่ม G20 ชะลอการชำระหนี้ของลูกหนี้ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจจากการระบาดของโควิด-19

ก่อนหน้านี้ หวัง อี้ เคยเดินทางเยือน 3 ประเทศแอฟริกาตะวันออกและถือโอกาสนี้ปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่า ความร่วมมือของจีนกับแอฟริกาทำให้เกิดกับดักหนี้ ยืนยันว่าโครงการเงินกู้และสินเชื่อที่จีนให้กับหลายชาติในแอฟริกานั้นก็เพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน ไม่ได้เป็นเงื่อนไขแลกเปลี่ยน กับการอ่อนข้อทางการค้าและการทูตแก่จีนแต่อย่างใด และผู้ที่กล่าวหาเช่นนั้น เพราะไม่อยากเห็นแอฟริกามีการพัฒนา

นอกจากยกหนี้เงินกู้ปราศจากดอกเบี้ยให้ชาติในแอฟริกา จีนยังประกาศพร้อมโยกเงินทุนสำรองกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 3.6 แสนล้านบาท ในกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ของตน ไปให้กับประเทศยากจนในแอฟริกา และภูมิภาคอื่นๆ ด้วย ระบุว่าเป็นไปตามนโยบายของ คริสตาลินาจอร์เจียวา ผู้อำนวยการ IMF ที่ต้องการให้ประเทศร่ำรวยช่วยเหลือประเทศยากจนมากขึ้น ด้วยการให้เงินกู้และเงินให้เปล่า

นอกจากนี้ จีนให้คำมั่นที่จะเสริมสร้างการค้ากับแอฟริกา และได้ทำข้อตกลงกับ 12 ประเทศในทวีปนี้เพื่อยกเลิกภาษี 98% ของผลิตภัณฑ์ที่พวกเขาส่งออกไปยังจีน เพิ่มความสามารถในการแข่งขันของสินค้าแอฟริกา พร้อมทั้งย้ำว่า จีนจะยังคงให้ความช่วยเหลือด้านอาหาร เศรษฐกิจและการทหารแก่แอฟริกา เพิ่มเติมจากความช่วยเหลือในการต่อสู้กับโควิด-19 โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือเพื่อการพัฒนา จีนยังได้เสนอการลงทุนมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในโครงการโครงสร้างพื้นฐานเพื่อตอกย้ำว่า ความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย ก็เพื่อความผาสุกของประชาชน ไม่ใช่การแข่งขันระดับประเทศใหญ่เพื่อผลประโยชน์ทางภูมิรัฐศาสตร์

ความเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ของจีน สะท้อนความพยายามของจีนในการกระชับความสัมพันธ์กับบรรดาประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะในแอฟริกา ซึ่งจีนมองว่า มีบทบาทสำคัญในโครงการ Belt and Road Initiative ซึ่งเป็นโครงการโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก ย้ายศูนย์กลางเศรษฐกิจโลกไปทางทิศตะวันออก โดย หวัง อี้ ย้ำว่า จีนและแอฟริกายืนเคียงข้างกันเพื่อส่งเสริมและพัฒนาความร่วมมือด้านต่างๆ ไม่ใช่เพียงเพื่อหาพันธมิตรสร้างบรรยากาศสงครามเย็นแบบที่บางประเทศกำลังทำอยู่

เป็นที่ทราบกันดีว่า จีนและสหรัฐฯ กำลังแข่งกันสั่งสมและสร้างอิทธิพลไปทั่วโลก ขณะที่การประกาศยกหนี้ให้ประเทศในแอฟริกาของจีน เกิดขึ้นในช่วงที่ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯกำลังตกต่ำดำดิ่งถึงขีดสุด จากการเดินทางเยือนไต้หวันของประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ และการที่จีนถือหางรัสเซียที่กำลังปฏิบัติการทางทหารในยูเครนขณะที่สหรัฐฯ ก็เคลื่อนไหวไม่น้อย โดย ลินดา โธมัส-กรีนฟิลด์เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติ ได้เดินทางเยือนยูกันดาและกานาในสัปดาห์แรกของเดือนสิงหาคม พร้อมกับขู่ประเทศในแอฟริกาว่าพวกเขาไม่สามารถค้าขายกับรัสเซียได้ เพราะจะละเมิดการคว่ำบาตรของชาติตะวันตก

ส่วน แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ก็ไปเยือนแอฟริกาใต้ สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก และรวันดาในเดือนนี้เช่นกัน เป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางที่มุ่งลดความสัมพันธ์ระหว่างแอฟริกากับจีนและรัสเซีย

โดย ดาโน โทนาลี