ชายคาพระพิรุณ : 10 พฤษภาคม 2564 #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/571771

ชายคาพระพิรุณ :  10 พฤษภาคม 2564

ชายคาพระพิรุณ : 10 พฤษภาคม 2564

วันจันทร์ ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2564, 06.00 น.

วันนี้เป็นวันพืชมงคล ซึ่งถือเป็นวันมงคลสำหรับพี่น้องเกษตรกร ซึ่งปกติในทุกๆ ปี จะกำหนดให้มีพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ที่ท้องสนามหลวง โดยนับว่าเป็นพระราชพิธีที่มีความเก่าแก่สืบต่อมาตั้งแต่โบราณเพื่อเสริมสร้างขวัญและกำลังใจให้กับเกษตรกร และยังเป็นการระลึกถึงความสำคัญของเกษตรกรที่มีต่อเศรษฐกิจไทย พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญจะประกอบด้วย 2 พระราชพิธี คือ พระราชพิธี พืชมงคล และพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ที่มีความแตกต่างกันคือ พิธีพืชมงคล เป็นพิธีทำขวัญเมล็ดพันธุ์พืชต่างๆ อาทิ ข้าวเปลือกจ้าว ข้าวเหนียว ข้างฟ่าง ข้าวโพด ถั่ว งา เผือก มัน เป็นต้น การประกอบพิธีพืชมงคลก็เพื่อให้พันธุ์เหล่านั้นปราศจากโรคภัย และอุดมสมบูรณ์ มีความเจริญงอกงามดีพิธีแรกนาขวัญ เป็นพิธีที่เริ่มต้นการไถนาเพื่อหว่านเมล็ดข้าว ซึ่งการประกอบพิธีแรกนาขวัญนี้ก็เพื่อให้เป็นอาณัติสัญญาณว่า บัดนี้ ฤดูกาลแห่งการทำนาทำไร่ และเพาะปลูกได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว แต่เนื่องด้วยสถานการณ์โควิด-19 ในปีนี้จึงงดพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญที่สนามหลวง แต่จะปรับรูปแบบการจัดพิธีโดยจะประกอบพิธีปลุกเสกเมล็ดพันธุ์ข้าว และประกอบพิธีไถหว่านในแปลงนาทดลอง สวนจิตรลดา

โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีหนังสือถึงสำนักพระราชวัง พระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยงดพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ประจำปี 2564 และขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตประกอบพิธีปลุกเสกพันธุ์ข้าวพระราชทาน เพื่อเป็นพันธุ์ข้าวสำหรับเพาะปลูก รวมถึงเพื่อความเป็นสิริมงคลและขวัญกำลังใจแก่เกษตรกรทั่วประเทศ ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยงดพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ประจำปี 2564 และพระราชทานพระมหากรุณาในการต่างๆ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประธานฝ่ายฆราวาสในพิธีปลุกเสกเมล็ดพันธุ์ข้าวพระราชทาน ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในวันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม 2564 เวลา 17.00 น. และปฏิบัติหน้าที่ประธานในพิธีหว่านข้าวในแปลงนาทดลอง สวนจิตรลดา ในวันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม 2564 โดยมี ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้หว่านข้าว พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้อัญเชิญพระคันธารราษฎร์ใหญ่ (ประทับนั่ง) พระคันธารราษฎร์จีน (ประทับนั่ง) ที่ประดิษฐาน ณ หอพระคันธารราษฎร์ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ไปประดิษฐานเป็นพระพุทธรูปประธานในพิธีปลุกเสกเมล็ดพันธุ์ข้าวพระราชทานและพันธุ์พืชต่างๆ ในวันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม 2564 ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ส่วนผู้ที่ได้รับรางวัลเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ ผู้แทนสถาบันเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ ผู้แทนสหกรณ์ดีเด่นแห่งชาติ ปราชญ์เกษตรของแผ่นดิน ประจำปีพุทธศักราช 2563-2564 จำนวน 76 คนจะเข้ารับโล่รางวัลพระราชทานเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกระทรวงเกษตรฯ จะกำหนดวันและเวลาที่เหมาะสมอีกครั้ง

ขุนเกษตรา

ชายคาพระพิรุณ : ‘กรมส่งเสริมสหกรณ์’ คัดเลือก ‘สหกรณ์ดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2564’ #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/570156

ชายคาพระพิรุณ :  ‘กรมส่งเสริมสหกรณ์’คัดเลือก  ‘สหกรณ์ดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2564’

ชายคาพระพิรุณ : ‘กรมส่งเสริมสหกรณ์’คัดเลือก ‘สหกรณ์ดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2564’

วันจันทร์ ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2564, 06.00 น.

เป็นประจำทุกๆ ปี ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะมีนโยบายให้ส่วนราชการในสังกัดดำเนินการคัดเลือกเกษตรกร สถาบันเกษตรกรและสหกรณ์ที่มีผลงานดีเด่น สาขาอาชีพ/ประเภทที่กำหนดเป็นเกษตรกร สถาบันเกษตรกร และสหกรณ์ดีเด่นแห่งชาติ เพื่อยกย่องประกาศเกียรติคุณ และเผยแพร่ผลงานดีเด่นให้สาธารณชนทั่วไปได้รู้จัก อีกทั้งเป็นการเสริมสร้างให้เกิดขวัญกำลังใจในการสร้างผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมยิ่งขึ้น สำหรับในส่วนของกรมส่งเสริมสหกรณ์นั้น ขุนเกษตรา ได้รับการเปิดเผยจาก นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ว่า ในปี 2564 กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้ดำเนินการคัดเลือกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติโดยกำหนดคุณสมบัติว่าจะต้องมีผลการดำเนินงานมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี และต้องมีข้อมูลย้อนหลัง (งบการเงิน) เพื่อการตรวจสอบไม่น้อยกว่า 3 ปี ต้องเป็นสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรที่ผ่านระดับมาตรฐานของกรมส่งเสริมสหกรณ์ ต้องไม่มีข้อบกพร่อง และไม่มีข้อสังเกตของผู้สอบบัญชี หากเป็นสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร ที่เคยได้รับพระราชทานโล่รางวัลดีเด่นแห่งชาติมาแล้ว จะต้องไม่น้อยกว่า 5 ปี นับจากปีที่ได้รับรางวัล จึงมีสิทธิ์เข้ารับการคัดเลือกได้ ซึ่งการแบ่งประเภทสหกรณ์ดีเด่น มีทั้งสหกรณ์ที่อยู่ในภาคการเกษตรและสหกรณ์นอกภาคการเกษตร ได้แก่ สหกรณ์การเกษตรทั่วไป สหกรณ์โคนม สหกรณ์นิคม สหกรณ์ประมง สหกรณ์ผู้ใช้น้ำ สหกรณ์ผู้ผลิตยางพารา สหกรณ์ออมทรัพย์ สหกรณ์ร้านค้า สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน สหกรณ์บริการ และสหกรณ์ในพื้นที่โครงการพระราชดำริหรือพื้นที่โครงการหลวง ส่วนการคัดเลือกกลุ่มเกษตรกรดีเด่น แบ่งออกเป็น กลุ่มเกษตรกรทำนา กลุ่มเกษตรกรทำสวน กลุ่มเกษตรกรทำไร่ กลุ่มเกษตรกรเลี้ยงสัตว์ และกลุ่มเกษตรกรทำประมงหรือกลุ่มเกษตรกรเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ

ทั้งนี้ ในปี 2564 มีสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร ที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นสหกรณ์ดีเด่นแห่งชาติ จำนวน 6 แห่ง ประกอบด้วย 1.สหกรณ์การเกษตรไชยา จำกัด จังหวัดสุราษฎร์ธานี 2.สหกรณ์โคนมไทย-เดนมาร์คพัฒนานิคม จำกัด จังหวัดลพบุรี 3.สหกรณ์ออมทรัพย์สาธารณสุขพัทลุง จำกัด จังหวัดพัทลุง 4.ร้านสหกรณ์พนักงานโรงพยาบาลบ้านแพ้ว จำกัด จังหวัดสมุทรสาคร 5.สหกรณ์บริการไออาร์พีซี จำกัด จังหวัดระยอง และ 6.สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนรวมน้ำใจท่ายาง จำกัด จังหวัดเพชรบุรี ส่วนกลุ่มเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2564 จำนวน 2 แห่ง คือ 1.กลุ่มเกษตรกรทำนากุดประทาย จังหวัดอุบลราชธานี และ 2.กลุ่มเกษตรกรปลูกหม่อนเลี้ยงไหมดงบัง จังหวัดชัยภูมิซึ่งเกษตรกร สถาบันเกษตรกร และสหกรณ์ดีเด่นแห่งชาติ ที่ได้รับการคัดเลือกจะได้เข้าเฝ้ารับพระราชทานโล่รางวัลในงานพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ณ พลับพลาที่ประทับ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง

นายวิศิษฐ์ ให้ข้อมูลอีกว่า กรมส่งเสริมสหกรณ์มีแนวทางในการพัฒนาและยกระดับให้สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติเหล่านี้เป็นตัวอย่างให้กับสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรอื่นๆ ได้เข้ามาศึกษาเรียนรู้ และนำไปปรับใช้กับการพัฒนาการดำเนินงาน โดยจัดทำผลงานและทำเนียบเพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ จัดเวทีให้สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้การบริหารจัดการ รวมทั้งเทคนิควิธีในการให้สมาชิกสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรมีส่วนร่วมในการทำธุรกิจและร่วมกิจกรรมของกลุ่ม มีการจัดประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เชิญไปเป็นวิทยากร เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ให้ความรู้แก่สหกรณ์ต่างๆและเปิดโอกาสให้สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรอื่นไปศึกษาดูงานกับสหกรณ์ที่ได้รางวัลดีเด่นแห่งชาติ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และสร้างเครือข่ายในขบวนการสหกรณ์

ในตอนท้าย ท่านอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ยังได้ฝากถึงสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรว่า การพัฒนาสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร ควรจะมีการประเมินองค์กรของตนเองอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำทุกปี โดยใช้เกณฑ์การประเมินในการคัดเลือกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ เพื่อประเมินองค์กรของตนเองว่าควรจะมีการพัฒนาหรือควรปรับปรุงในด้านใด แล้วนำผลที่ได้มาพัฒนาปรับปรุงปรับใช้กับการบริหารงานของตนเอง คิดค้นกิจกรรมและสวัสดิการอื่นๆ ที่สามารถตอบสนองความต้องการของสมาชิก และส่งเสริมให้สมาชิกมีส่วนร่วมในการทำธุรกิจกับกลุ่มมากขึ้น พร้อมทั้งขอเชิญชวนให้ส่งผลการประเมินตนเองตามเกณฑ์การคัดเลือกฯ ไปยังจังหวัด เพื่อคัดเลือกเป็นสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรดีเด่นในแต่ละระดับต่อไป

ขุนเกษตรา

ชายคาพระพิรุณ : 26 เมษายน 2564 #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/568523

ชายคาพระพิรุณ : 26 เมษายน 2564

ชายคาพระพิรุณ : 26 เมษายน 2564

วันจันทร์ ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2564, 06.00 น.

ในปัจจุบันการผลิตเส้นใยไหมจากธรรมชาติที่ทุกคนรู้จักกันดีคือมาจากไหมที่กินใบหม่อนเป็นอาหาร แต่ความจริงแล้ว ยังมีไหมอีกชนิดหนึ่งที่เกษตรกรสามารถเลี้ยงและบริหารจัดการได้ในโรงเรือนจนครบวงจรก็คือไหมอีรี่ ซึ่งเป็นไหมที่กินใบมันสำปะหลังหรือใบละหุ่งเป็นอาหาร เส้นใยจากรังไหมอีรี่นั้น ผู้เลี้ยงสามารถดึงเส้นใยออกจากรังด้วยวิธีปั่น (Spun) แบบเดียวกับการปั่นฝ้าย และนำมาผลิตสิ่งทอที่ให้ความสวยงามเป็นเอกลักษณ์ และยังนำดักแด้มาผลิตเป็นอาหารของคนและสัตว์ได้อีกด้วย ซึ่งนายปราโมทย์ ยาใจ อธิบดีกรมหม่อนไหม บอกว่า กรมหม่อนไหมได้ส่งเสริมการเลี้ยงไหมอีรี่ด้วยใบมันสำปะหลังมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี โดยอบรมให้ความรู้และผลิตไข่ไหมอีรี่แจกจ่ายให้กับเกษตรกรในหลายจังหวัด อาทิ ขอนแก่น อุดรธานี ร้อยเอ็ด อำนาจเจริญ กาฬสินธุ์ สระแก้ว เป็นต้น ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการปลูกมันสำปะหลังที่เป็นอาหารของไหมอีรี่ ผลผลิตจากการเลี้ยงไหมอีรี่นั้น เกษตรกรจะนำไปจำหน่ายและแปรรูปในตลาดชุมชนเป็นหลัก โดยไหม 1 ซอง ใช้ใบมันสำปะหลังในการเลี้ยงประมาณ 1 ไร่ ได้ผลผลิตรังไหมสด 30 กิโลกรัม เกษตรกรจะปาดรังไหมเพื่อนำดักแด้ออกจากรัง ได้น้ำหนักรังไหม 3 กิโลกรัม จำหน่าย ราคากิโลกรัมละ 350 – 400 บาท ได้น้ำหนักดักแด้ 27 กิโลกรัม จำหน่ายเป็นอาหาร กิโลกรัมละ 100 – 180 บาท หรือนำรังไหมไปสาวเป็นเส้นไหมฟอก ย้อมและทอ จำหน่ายเป็นผืน เมตรละ 600 – 2,000 บาท (ขึ้นอยู่กับประเภทของผ้าไหม) และปัจจุบัน มีผู้ประกอบการที่ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารที่ผลิตจากไหมอีรี่และโปรตีนจากแมลง เพื่อทดแทนการบริโภคเนื้อสัตว์ โดยบริษัทจะรับซื้อรังไหมอีรี่สดที่ไม่ได้ปาดรัง ราคากิโลกรัมละ 100 – 115 บาท ซึ่งกำลังได้รับความนิยมจากเกษตรกรอย่างมาก เนื่องจากไม่ต้องใช้แรงงานในการปาดรังไหม และได้รับเงินเร็วขึ้น เพราะใช้เวลาเลี้ยงไหมเพียง 19 – 22 วัน ก็สามารถจำหน่ายรังไหมสดได้ หากเกษตรกรเลี้ยงไหมรอบละ 2 ซอง ก็จะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 6,000 บาทต่อเดือน โดยในปัจจุบันผู้ประกอบการมีความต้องการผลผลิต จำนวน 25 – 30 ตัน/เดือน แต่เกษตรกรผู้เลี้ยงไหมอีรี่สามารถจำหน่ายผลผลิตให้กับบริษัทได้ จำนวน 8 – 12 ตัน/เดือนเท่านั้น

ทั้งนี้ จากข้อมูลของกรมหม่อนไหม ระบุว่า ไหมอีรี่เป็นแมลงที่มีโปรตีนสูงถึง 50 – 55% ซึ่งมีกรดอะมิโนที่สำคัญต่อร่างกายทั้ง 18 ชนิด และมีกรดไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยป้องกันหลอดเลือดอุดตัน ซึ่งจากการวิจัยของกรมหม่อนไหมร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้ศึกษาพิษเฉียบพลัน และพิษกึ่งเรื้อรังของสารสกัดโปรตีนจากไหมอีรี่ในหนูแรท พบว่าหนูที่ได้รับสารสกัดโปรตีนจากไหมอีรี่ขนาด 1,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว ไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่บ่งชี้ถึงความเป็นพิษ แสดงให้เห็นว่าโปรตีนสกัดจากไหมอีรี่เป็นแหล่งโปรตีนที่ปลอดภัย มีประโยชน์และไม่แพง เหมาะแก่การเป็นโปรตีนทางเลือกในอนาคต นอกจากนี้ งานวิจัยของกรมหม่อนไหมยังพบว่าสามารถนำดักแด้ไหมอีรี่มาทดแทนถั่วเหลืองเลี้ยงไก่เนื้อ ทำให้ได้ไก่เนื้อที่มีคุณภาพ และยังนำไหมอีรี่ไปเป็นส่วนประกอบของอาหารปลาสวยงาม พบว่าช่วยเสริมรงควัตถุแคโรทีนอยด์ เพื่อเพิ่มสีผิว และกระตุ้นภูมิคุ้มกันของปลาสวยงามได้อีกด้วย

จึงนับว่าเป็นโอกาสดีของเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังที่สามารถเลี้ยงไหมอีรี่เป็นอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ นอกเหนือจากการจำหน่ายหัวมันสำปะหลังอย่างเดียว สำหรับผู้สนใจเลี้ยงไหมอีรี่เป็นอาชีพหลักหรือเป็นอาชีพเสริม สามารถติดต่อขอคำแนะนำได้ที่ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ ทั่วประเทศ ได้นะครับ

ขุนเกษตรา

ชายคาพระพิรุณ : 19 เมษายน 2564 #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/566849

ชายคาพระพิรุณ : 19 เมษายน 2564

ชายคาพระพิรุณ : 19 เมษายน 2564

วันจันทร์ ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2564, 06.00 น.

ขณะนี้ ทุเรียนภาคตะวันออกเริ่มทยอยออกสู่ตลาด แต่ปัญหาที่น่าเป็นห่วง คือ การตัดทุเรียนอ่อนขาย ซึ่งถือว่าเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขกันทุกปี โดยเฉพาะในช่วงต้นฤดูกาลที่มีผลผลิตออกน้อย ราคาทุเรียนค่อนข้างสูง ประกอบกับหากมีภัยธรรมชาติ เช่น พายุฝน จนทำให้ทุเรียนเกือบแก่ได้รับความเสียหาย บางคนจึงต้องรีบตัดขาย ซึ่งเกษตรกรที่มีความรับผิดชอบส่วนใหญ่ก็จะขายให้กับโรงงานแปรรูปเพื่อทำทุเรียนทอด แต่ก็จะมีเกษตรกรและพ่อค้าบางกลุ่มที่เอาเปรียบผู้บริโภคนำผลออกมาขาย ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับวงการทุเรียนเป็นอย่างมาก แม้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะออกมาตรการเข้มงวด เอาจริงเอาจังด้านกฎหมายแค่ไหน ก็ยังพบปัญหาทุเรียนอ่อนทุกปี…ล่าสุด สำนักงานเกษตรจังหวัดจันทบุรีได้ดำเนินการขับเคลื่อนการป้องกันแก้ไขปัญหาทุเรียนด้อยคุณภาพ (ทุเรียนอ่อน) ตามนโยบายของ นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ในการป้องปรามทุเรียนด้อยคุณภาพ (ทุเรียนอ่อน) ปี 2564 อย่างต่อเนื่อง บูรณาการร่วมกับหลายหน่วยงาน เช่น ร่วมกับสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 6 ดำเนินการบังคับและพักการใช้ใบอนุญาตเลขทะเบียน GMP ของล้ง และเลขทะเบียน GAP ของเกษตรกรในกรณีตรวจพบการตัดและการจำหน่ายทุเรียนอ่อน รวมถึงแจ้งให้เกษตรกรผู้ประกอบการทราบถึงมาตรการต่างๆ เช่น การกำหนดเปอร์เซ็นต์น้ำหนักแห้งในเนื้อทุเรียนหมอนทองก่อนตัด ต้องไม่น้อยกว่า 32% ขึ้นไป และมาตรการดำเนินคดีแก่ผู้จำหน่ายทุเรียนด้อยคุณภาพ มีการตั้งชุดตรวจเฉพาะกิจเคลื่อนที่เร็ว ชุดตรวจที่ล้งและที่สวนเกษตรกร เฉพาะกรณีที่มีการเก็บเกี่ยวทุเรียนก่อนวันประกาศวันเก็บเกี่ยว (10 เมษายน 2564) และออกใบรับรองผลการตรวจความแก่ของทุเรียน และถ้าพบทุเรียนอ่อนให้คัดออกและทำสัญลักษณ์พ่นสีแดงที่ผล และพิจารณาใช้บทลงโทษขั้นสูงสุด

นอกจากนี้ ยังได้แต่งตั้งชุดเฉพาะกิจในการสุ่มตรวจและแก้ไขปัญหาการตัดทุเรียนอ่อนหรือทุเรียนด้อยคุณภาพ ในระดับตำบล หมู่บ้าน จัดทำ QR Code ติดที่ทุเรียน เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบย้อนกลับไปถึงเกษตรกรผู้ปลูกได้ อีกทั้ง สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 6 ยังได้จัดประชุมผู้ประกอบการโรงคัดบรรจุ (ล้ง) เพื่อชี้แจงแนวทางการดำเนินงาน และมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาทุเรียนอ่อนหรือทุเรียนด้อยคุณภาพ รวมทั้งการฝึกอบรมหลักสูตรนักคัด นักตัด ทุเรียนมืออาชีพรวมถึงยังตั้งจุดให้บริการตรวจความอ่อน-แก่ ของทุเรียน ณ ที่สำนักงานเกษตรอำเภอทุกอำเภอ เบื้องต้น พบว่ามี 8 บริษัทที่มีความผิดต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งฝ่ายปกครองของจังหวัด ได้รวบรวมข้อมูลเพื่อใช้ดำเนินการทางกฎหมายไว้แล้ว ในขณะที่ผลการตรวจพบทุเรียนด้อยคุณภาพ (ทุเรียนอ่อน) ประมาณ 30% ส่วนใหญ่พบที่ล้งส่งออก จึงนับว่ามาตรการที่ดำเนินการมาในขณะนี้สามารถควบคุมปัญหาได้เป็นที่น่าพอใจ และถึงแม้ขณะนี้เกษตรกรจะสามารถตัดทุเรียนขายได้ตามระบบปกติแล้ว แต่การป้องปรามก็จะยังคงดำเนินการต่อเนื่องต่อไป ตามที่ได้รับแจ้งเบาะแส เพื่อควบคุมป้องปรามทุเรียนด้อยคุณภาพออกนอก

เช่นเดียวกับ สำนักงานเกษตรจังหวัดตราด ก็ได้บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งฝ่ายปกครอง เกษตร ทหาร ตำรวจ กำนัน ผู้ใหญ่ อาสาสมัคร เกษตรประจำหมู่บ้าน (อกม.) และอื่นๆ กว่า 20 หน่วยงาน เป็นหน่วยเฉพาะกิจระดับอำเภอ ทั้ง 7 อำเภอ ปฏิบัติการลงตรวจคุณภาพผลผลิตถึงสวนของเกษตรกร เพื่อสกัดกั้นทุเรียนด้อยคุณภาพ (ทุเรียนอ่อน) อย่างเข้มข้นทุกวิถีทางอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปี 2564 นี้ สำนักงานเกษตรจังหวัดตราดมั่นใจว่าจะไม่มีทุเรียนด้อยคุณภาพจากพื้นที่จังหวัดตราดออกสู่ตลาดอย่างแน่นอน…


ขุนเกษตรา

ชายคาพระพิรุณ : 12 เมษายน 2564 #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/565514

ชายคาพระพิรุณ : 12 เมษายน 2564

ชายคาพระพิรุณ : 12 เมษายน 2564

วันจันทร์ ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2564, 06.00 น.

ช่วงนี้กระแสกัญชง-กัญชามาแรง เริ่มมีกระแสความต้องการเพื่อป้อนระบบอุตสาหกรรมทั้งอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องสำอาง และน้ำมันเมล็ดกัญชง อาหารสัตว์ ฯลฯ แต่เนื่องจากในประเทศไทยยังไม่เคยมีการส่งเสริมการปลูกพืชชนิดมาก่อน เพราะติดเงื่อนไขทางกฎหมาย จนเมื่อรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขปลดล็อก ทำให้หลายอุตสาหกรรมเริ่มวางแผนที่จะนำชิ้นส่วนพืชกัญชงมาใช้ในระบบอุตสาหกรรม ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมวิชาการเกษตร ก็เริ่มขยับตัวปลุกงานวิจัยเต็มสูบ ทั้งเรื่อง ของพันธุ์กัญชา-กัญชง โดย นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ให้ข้อมูลว่า หลังมีนโยบายการส่งเสริมการปลูกกัญชา- กัญชง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์) ได้มอบหมายให้กรมวิชาการเกษตรเร่งดำเนินการโดยเร่งด่วนในการเข้ามาดูกระบวนการปลูก ให้กับประชาชนและเกษตรกรที่สนใจจะปลูกกัญชาและกัญชง โดยกรมได้จับมือทำงานกับกระทรวงสาธารณสุขอย่างใกล้ชิดภายใต้กฎหมายที่รองรับ ซึ่งกรมมีภารกิจ ในการศึกษาวิจัยพัฒนาพันธุ์ การหาพื้นที่ที่เหมาะสมในการปลูก พันธุ์ที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ นอกจากนั้นยังต้องมีมาตรการควบคุมพันธุ์พืชตามกฎหมายของกรมอีกด้วย โดยงานวิจัยกัญชาของกรมวิชาการเกษตรจะดำเนินการ 2 รูปแบบคือ กรมวิจัยเอง กับจับมือสถาบันการศึกษาร่วม ทั้งนี้เพื่อให้ต้นน้ำคือเกษตรกร ได้มีการเตรียมวัสดุปลูก เมล็ดพันธุ์ ต้นพันธุ์ที่เหมาะสม เพื่อให้สารยาและน้ำมันดีที่สุด โดยขณะนี้กรมอยู่ระหว่างการจัดทำแผนที่แสดงให้เห็นว่าพื้นที่ใดมีศักยภาพในการปลูกออกมา ซึ่งจะมาจากลักษณะดิน อากาศ ปริมาณน้ำฝน เป็นเกณฑ์พิจารณาส่วนมากเป็นพื้นที่ใกล้เคียงกับพื้นที่ปลูกข้าวโพด และคาดว่าประมาณปลายปี 2564 เมื่อมีผลผลิตชุดนี้ออกมาจะนำมาสู่การขยายการส่งเสริมการปลูกเพื่อป้อนระบบอุตสาหกรรมต่อไป ซึ่งเบื้องต้นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่หลายแห่งได้แจ้งความประสงค์ว่าต้องการผลิตภัณฑ์เหล่านี้เข้าสู่ระบบอุตสาหกรรมและพร้อมที่จะรองรับผลผลิตที่ออกมา ปัจจุบันเมล็ดกัญชงราคาจำหน่ายประมาณกิโลกรัมละ 5,000 บาท มีประมาณ 40,000– 50,000 เมล็ดต่อกก.

นอกจากนี้ ในส่วนของกรมส่งเสริมสหกรณ์ ก็เตรียมทำตลาดกลางกัญชา/กัญชงผ่านระบบสหกรณ์ด้วย เพื่อเป็นผู้กำหนดระบบการซื้อขาย ตามกลไกของตลาด โดยมีอย. และกรมวิชาการเกษตรร่วมด้วย ซึ่งเรื่องนี้นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ให้ข่าวว่า กรมส่งเสริมสหกรณ์เห็นว่าควรจะนำร่องในสหกรณ์ที่มีความเหมาะสมทั้งเชิงพื้นที่ และบางสหกรณ์เคยอยู่ในโครงการปลูกกัญชาทางการแพทย์ โดยขณะนี้ มีสหกรณ์เข้ามาหารือ อาทิ สหกรณ์การเกษตรคูเมือง จำกัด จังหวัดบุรีรัมย์ สหกรณ์การเกษตรปักธงชัย จำกัด สหกรณ์การเกษตรด่านขุนทด จำกัด จังหวัดนครราชสีมา และสหกรณ์การเกษตรลานสัก จำกัด จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งหลังการหารือผู้จัดการสหกรณ์จะไปประชุมกับสมาชิกที่ประสงค์จะเข้าโครงการเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่กระบวนการขออนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อให้จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาตามที่กฎกระทรวง การขออนุญาตและการอนุญาตการผลิต นำเข้าส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะกัญชง(Hemp) พ.ศ.2563 กำหนดไว้ต่อไป ซึ่งอนาคต หากสหกรณ์นำร่องประสบผลสำเร็จก็จะเป็นตัวอย่างให้ขยายไปสถาบันการเกษตรอื่นๆเพราะมีตลาดรองรับเนื่องจากเงื่อนไขของการอนุญาตกำหนดไว้ชัดเจนว่าต้องมีตลาดรองรับ มีการแสดงการนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์…เอ้า!!! สายเขียวเตรียมตัวเฮ…กันอีกสักครั้ง

ขุนเกษตรา

ชายคาพระพิรุณ : 29 มีนาคม 2564 #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/562407

ชายคาพระพิรุณ : 29 มีนาคม 2564

ชายคาพระพิรุณ : 29 มีนาคม 2564

วันจันทร์ ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2564, 06.00 น.

จากนโยบายของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ต้องการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นฮับแมลงโลก โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาตั้งแต่การผลิต การแปรรูปและการตลาดด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยเฉพาะจิ้งหรีดและแมลงอีกหลายชนิด ซึ่งกำลังเป็นสัตว์เศรษฐกิจตัวใหม่ที่น่าสนใจและเป็นโปรตีนทางเลือกที่องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO)ให้การสนับสนุนเพื่อสร้างรายได้แก่ประเทศและเกษตรกรของไทย ล่าสุดกระทรวงเกษตรฯ ประสบความสำเร็จในการเปิดตลาดเม็กซิโกและกลุ่มบริษัทใหญ่ของญี่ปุ่นก็สนใจและประสานงานมาเพื่อขอหารือเรื่องการนำเข้าผลิตภัณฑ์จิ้งหรีดผงของไทยไปยังประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย

ทั้งนี้ นายพิศาล พงศาพิชณ์ เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ให้ข้อมูลว่า ขณะนี้มกอช.ได้ร่วมกับกรมปศุสัตว์ ผลักดันการเปิดตลาดจิ้งหรีดเม็กซิโก โดยจัดทำข้อมูลทางเทคนิคและเจรจากับสำนักงานแห่งชาติด้านสุขอนามัยความปลอดภัยและคุณภาพของการเกษตรและอาหาร (Servicio Nacional de Sanidad,Inocuidad y Calidad Agroalimentaria หรือ SENASICA) ของเม็กซิโก จนทำให้เม็กซิโกมีความเชื่อมั่นและให้การยอมรับระบบการควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยของการผลิตจิ้งหรีดตั้งแต่ระดับฟาร์มจนถึงโรงงาน รวมทั้งมาตรการด้านสุขอนามัยและกระบวนการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ก่อนการส่งออกของประเทศไทย และเปิดตลาดอนุญาตการนำเข้าผลิตภัณฑ์จิ้งหรีดจากประเทศไทยในที่สุด โดยผลิตภัณฑ์ที่เม็กซิโกอนุญาตนำเข้า ได้แก่ จิ้งหรีดผง จิ้งหรีดปรุงสุก และ จิ้งหรีดแช่แข็ง ซึ่งต้องผลิตจากจิ้งหรีดสายพันธุ์ Acheta domesticus หรือที่เรียกในประเทศไทย คือ จิ้งหรีดบ้าน หรือ สะดิ้ง หรือ ทองแดงลาย เท่านั้น

โดยผู้ที่จะส่งออกผลิตภัณฑ์จิ้งหรีดไปยังเม็กซิโกต้องดำเนินการตามข้อกำหนด ดังนี้ (1) ผลิตภัณฑ์จิ้งหรีดจะต้องผลิตจากจิ้งหรีดที่เลี้ยงในฟาร์มที่ได้การรับรองมาตรฐาน “การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับฟาร์มจิ้งหรีด หรือ มกษ. 8202-2560” โดยเกษตรกรขอการรับรองได้ที่กรมปศุสัตว์ หรือสำนักงานปศุสัตว์จังหวัด (2) ผลิตภัณฑ์จะต้องมีแหล่งกำเนิดในประเทศไทย (3) โรงงานแปรรูปจะต้องผ่านการตรวจรับรองจากกรมปศุสัตว์ว่ามีกระบวนการแปรรูปให้มีความปลอดภัยต่อการบริโภคของมนุษย์ และมีความสอดคล้องกับกฎระเบียบของเม็กซิโก ได้แก่ มีการนำหลักสุขลักษณะที่ดีในการผลิตอาหาร (Good Hygienic practice : GHP) ไปปฏิบัติใช้ตลอดกระบวนการผลิต และมีมาตรการป้องกันผลิตภัณฑ์จากการปนเปื้อนของโปรตีนของสัตว์เคี้ยวเอื้องหรือจากแมลงชนิดอื่น ที่ไม่ใช่จิ้งหรีด (4) ก่อนการส่งออกจะต้องยื่นขอใบรับรองสุขอนามัย (Health certificate) กับกรมปศุสัตว์ เพื่อใช้แสดงประกอบการนำเข้า ณ ด่านนำเข้าของเม็กซิโก และ (5) สินค้าต้องนำเข้าผ่านด่านที่กำหนดเท่านั้น (ด่านนำเข้าสำหรับสินค้าที่เก็บรักษาที่อุณหภูมิปกติ จำนวน 16 ด่าน และสินค้าแช่เย็นจำนวน 9 ด่าน)…สำหรับเกษตรกรและผู้ประกอบการท่านใดที่สนใจจะส่งออกจิ้งหรีดไปเม็กซิโก สามารถขอการรับรองมาตรฐานฟาร์มและขอใบรับรองสุขอนามัยได้ที่ สำนักพัฒนาระบบและรับรองมาตรฐานสินค้าปศุสัตว์ และสำนักงานปศุสัตว์จังหวัด กรมปศุสัตว์ หรือสอบถามข้อมูลกฎระเบียบการนำเข้าจิ้งหรีดของเม็กซิโกได้ที่ กองนโยบายมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหาร สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ โทร. 0-2561-2277 ต่อ 1307 และ 1326

ขุนเกษตรา

ชายคาพระพิรุณ : 22 มีนาคม 2564 #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/560720

ชายคาพระพิรุณ :  22 มีนาคม 2564

ชายคาพระพิรุณ : 22 มีนาคม 2564

วันจันทร์ ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2564, 06.00 น.

ทราบมาว่าขณะนี้ ได้มีขบวนการของคนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ ลักลอบนำเข้าส้มโอจากเพื่อนบ้านหวังใช้เป็นทางผ่านขอใบ PC เบิกทางส่งออกไปประเทศที่ 3 โดยแอบลักลอบนำเข้ามาคัดบรรจุที่พิจิตรแล้วส่งออกไปต่างประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นการทำลายเศรษฐกิจและส่งผลกระทบกับเกษตรกรผู้ปลูกส้มโอของจังหวัดพิจิตรกว่าพันราย แต่ทันทีที่เรื่องปรากฏนายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ก็รีบเดินทางไปพบ นายรังสรรค์ ตันเจริญผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร ถึงศาลากลางจังหวัดพิจิตรทันที เพื่อหารือวางแนวทางแก้ปัญหา โดยนายพิเชษฐ์ ให้ข้อมูลว่า จากการตรวจสอบแน่ใจแล้วว่าส้มโอจำนวนดังกล่าวไม่ใช่ส้มโอของไทยที่จะส่งออกต่างประเทศ แต่น่าจะเป็นส้มโอมาจากประเทศเพื่อนบ้านที่ส่งเข้ามาประเทศไทย ซึ่งนำเข้ามาอย่างถูกต้อง เพียงแต่ว่าไม่ได้เอามาใช้จำหน่ายในประเทศไทย แต่นำเข้ามาเพื่อใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านเพื่อส่งออกไปต่างประเทศอีกทอดหนึ่ง โดยพบว่ามีผู้ประกอบการจากจังหวัดพิจิตร ใช้โรงคัดบรรจุหรือล้งรับซื้อส้มโอร่วมกับผู้ส่งออกไปขอใบ PC (Phytosanitary Certificate) หรือใบรับรองสุขอนามัยพืชเพื่อประกอบการส่งออกไปต่างประเทศ จึงมอบหมายให้เจ้าหน้าที่จากศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรพิจิตรซึ่งเป็นหน่วยงานในพื้นที่ของกรมฯ เข้าตรวจสอบในโรงคัดบรรจุดังกล่าว ปรากฏว่าไม่น่าใช่ส้มโอจากประเทศไทย จึงสั่งระงับห้ามส่งออกและไม่ออกใบ PC ให้ จึงได้หารือกับผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร เพื่อวางมาตรการร่วมกันในการดำเนินการตามกฎหมายทั้งทางปกครองและทางอาญาต่อไปโดยนายพิเชษฐ์ ยังบอกอีกว่า ขณะนี้ได้รับรายงานเพิ่มเติมด้วยว่า มีโรงคัดบรรจุหรือล้งไม่น้อยกว่า 5 แห่งที่ร่วมมือกับพ่อค้าส่งออกนำส้มโอจากประเทศเพื่อนบ้านมาสวมรอยเป็นส้มโอพิจิตร โดยสวมสิทธิ์ใบรับรอง GAP แล้วส่งออกไปประเทศที่ 3 หวังแค่ผลประโยชน์แต่ทำลายเศรษฐกิจของเกษตรกรผู้ปลูกส้มโอของจ.พิจิตรที่มีมากถึง 1,037 ราย พลอยได้รับผลกระทบจากพฤติกรรมดังกล่าว…เป็นเรื่องของความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ของคน บางคนโดยแท้ ไม่คิดถึงผลกระทบระยะยาวหรือเห็นอกเห็นใจพี่น้องเกษตรกรชาวไทยด้วยกันเอาเสียเลย…

ด้าน นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ ฝากชี้แจงกรณีที่มีสื่อมวลชนบางสำนักได้นำเสนอข่าวว่า ขณะนี้มีการเกิดโรคระบาดในสุกรในหลายพื้นที่ของประเทศไทย จนส่งผลให้ฟาร์มสุกรขนาดเล็กและกลางเร่งเทขายสุกร และทำให้ราคาสุกรตกต่ำ ซึ่งกรมปศุสัตว์ยืนยันว่า ปัจจุบันยังไม่พบการระบาดของโรค ASF ในประเทศไทยแต่อย่างใด และกรมปศุสัตว์ก็ได้มีการกำหนดมาตรการ อย่างเข้มงวด โดยการประเมินความเสี่ยงต่อโรคตามหลักการทางระบาดวิทยา ด้วยแอปพลิเคชั่น e-smart plus โดยใช้วิธี Spatial Multi – criteria decision Analysis ทุกจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อดำเนินการเฝ้าระวังโรคทั้งในเชิงรุกและเชิงรับในทุกพื้นที่ของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นในฟาร์มสุกร โรงฆ่าสุกร สถานที่จำหน่ายเนื้อสุกร และสถานที่จำหน่ายอาหารสัตว์ รวมไปถึงการเคลื่อนย้ายสุกร/หมูป่าที่มีชีวิตและซากทั้งการเคลื่อนย้ายภายในประเทศ ระหว่างประเทศหรือการลักลอบเคลื่อนย้ายทุกกรณีอย่างเข้มงวดหากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่สำนักควบคุม ป้องกันและบำบัดโรคสัตว์ (สคบ.) กรมปศุสัตว์ หรือ call center 063-225-6888 หรือแจ้งผ่านแอปพลิเคชั่น DLD 4.0 ได้ตลอดเวลา


ขุนเกษตรา

ชายคาพระพิรุณ : 8 มีนาคม 2564 #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/557528

ชายคาพระพิรุณ :  8 มีนาคม 2564

ชายคาพระพิรุณ : 8 มีนาคม 2564

วันจันทร์ ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2564, 06.00 น.

จากสถานการณ์แม่น้ำโขงที่เกิดการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศวิทยาอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบทำให้ทรัพยากรสัตว์น้ำในธรรมชาติมีปริมาณลดลง จนหลายชนิดเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์และยังกระทบต่อวิถีการประกอบอาชีพของชาวประมงริมฝั่งแม่น้ำโขงรวมถึงลำน้ำสาขาในหลายพื้นที่ที่ผ่านมากรมประมง ในฐานะหน่วยงานภาครัฐที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการสร้างความมั่นคงให้ทรัพยากรประมงในแหล่งน้ำธรรมชาตินั้น ได้มีการวางแนวทางเพื่อเร่งฟื้นฟูผลผลิตสัตว์น้ำ คืนความสมบูรณ์สู่ระบบนิเวศแม่น้ำโขงอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การมีส่วนร่วมของชุมชนและการบูรณาการของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ เพื่อแก้ไขปัญหาความเสื่อมโทรมของทรัพยากร พร้อมฟื้นฟูและเพิ่มปริมาณสัตว์น้ำ ซึ่งจะเป็นการช่วยลดอุปสรรคในการประกอบอาชีพให้กับชาวประมง เช่น การเพาะขยายพันธุ์สัตว์น้ำประจำถิ่นสำหรับปล่อยคืนสู่แม่น้ำโขงและลำน้ำสาขา โดยเฉพาะ “ปลายี่สกไทย”หรือ “ปลาเอิน” ในภาษาถิ่นอีสาน

ปัจจุบันกรมประมงได้ดึงชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อตั้งแคมป์ริมฝั่งแม่น้ำโขงใน 2 พื้นที่ คือ 1. บ้านน้ำไพร อ.สังคม จ.หนองคาย และ 2. บ้านสองคอน อ.หว้านใหญ่ จ.มุกดาหาร เพื่อเฝ้าสังเกตการณ์และรวบรวมพ่อแม่พันธุ์ปลาเอินที่ว่ายขึ้นมาวางไข่ในพื้นที่ดังกล่าว ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2563 – กุมภาพันธ์ 2564 สำหรับนำไปใช้เพาะขยายพันธุ์ด้วยการกระตุ้นฮอร์โมน แล้วพักพ่อแม่พันธุ์ปลาไว้ในถังไฟเบอร์บริเวณริมแม่น้ำโขงเพื่อรอรีดไข่ผสมน้ำเชื้อและลำเลียงไข่ที่ได้รับการผสมแล้วไปเพาะฟัก ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดจังหวัดหนองคาย ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดจังหวัดมุกดาหาร จนอนุบาลลูกปลาให้ได้ขนาด 5-7 เซนติเมตร จึงปล่อยลงสู่ลำน้ำโขงและลำน้ำสาขาที่ใกล้เคียง นอกจากนี้ กรมประมง โดยศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดเลย ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดมุกดาหาร ยังมีการดำเนินกิจกรรมเพิ่มผลผลิตปลาเอินในเเหล่งน้ำธรรมชาติ โดยการเพาะเเละปล่อยลงในเเหล่งน้ำธรรมชาติอีกด้วย

ซึ่งนายมีศักดิ์ ภักดีคง อธิบดีกรมประมง บอกว่า ในปี 2564 กรมประมงวางเป้าหมายที่จะปล่อยปลายี่สกไทยคืนสู่ลำน้ำโขง
และลำน้ำสาขาที่ใกล้เคียง จำนวน 5 แสนตัว โดยในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2564 จะทำการปล่อยลูกปลาลอตแรกที่มีขนาด 5-7 เซนติเมตร ซึ่งเป็นขนาดที่มีอัตรารอดตายสูง จำนวน 1 แสนตัว ที่บ้านสองคอน อำเภอห้วยใหญ่ จังหวัดมุกดาหาร โดยเชื่อมั่นว่าจะทำให้พี่น้องชาวประมง ตลอดจนประชาชนทั่วไปที่อาศัยอยู่บริเวณลุ่มน้ำโขงได้รับประโยชน์จากทรัพยากรสัตว์น้ำเริ่มฟื้นตัวในไม่ช้านี้ ซึ่งจะเป็นการสร้างอาชีพและรายได้จากการทำประมงให้แก่ชุมชนได้จำนวนมาก

แต่อย่างไรก็ตาม แม้ภาครัฐจะร่วมมือกันฟื้นฟูเพื่อคืนความสมบูรณ์ให้กับทรัพยากรสัตว์น้ำ แต่สิ่งสำคัญที่จะทำให้ทรัพยากรสัตว์น้ำในลุ่มน้ำโขงกลับมาคงความอุดมสมบูรณ์อีกครั้งได้ก็คือความร่วมมือ ร่วมใจจากผู้ใช้ทรัพยากรทุกภาคส่วนที่จะต้องมีสำนึกรับผิดชอบในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรโดยยึดหลักความยั่งยืนนั่นเอง

ขุนเกษตรา

ชายคาพระพิรุณ : 1 มีนาคม 2564 #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/555909

ชายคาพระพิรุณ :  1 มีนาคม 2564

ชายคาพระพิรุณ : 1 มีนาคม 2564

วันจันทร์ ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2564, 06.00 น.

ตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นไป เป็นช่วงที่เข้าสู่ฤดูกาลผลไม้ในภาคตะวันออกให้ผลผลิต โดยเฉพาะทุเรียน ซึ่งเป็น champion product สำคัญของภาคตะวันออก ซึ่งจากข้อมูลของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรระบุว่า ในปีนี้ ทุเรียนมีการออกดอกมากขึ้น และขณะนี้ออกดอกครบ 100% แล้ว มีแนวโน้มการให้ผลผลิตสูงขึ้น เนื่องจากพื้นที่ให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.5 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาและได้มีการคาดการณ์ว่าจะมีทุเรียนให้ผลผลิตรวมทั้งสิ้น 633,476 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.17 จากปีที่แล้วซึ่งมีผลผลิต 550,035 ตัน ทั้งนี้ ทุเรียนถือว่าเป็นผลไม้ส่งออกที่สำคัญ มีประเทศจีนเป็นตลาดนำเข้าทุเรียนผลสดที่ใหญ่สุดของไทย ซึ่งจากรายงานของฝ่ายเกษตร ประจำสถานกงสุลใหญ่ ณ นครกว่างโจว พบว่าในปี 2563 จีนนำเข้าทุเรียนผลสดจากไทยปริมาณทั้งสิ้น 575,000 ตัน คิดเป็นมูลค่าถึง 69,000 ล้านบาท ส่งผลให้ทุเรียนครองแชมป์ผลไม้นำเข้าอันดับ 1 ของจีนแซงหน้าการนำเข้าเชอรี่ผลสดทั้งปริมาณและมูลค่า ถึงแม้ว่าปริมาณการนำเข้าจะลดลงไป 5 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปี 2562 แต่มูลค่ากลับเพิ่มมากขึ้นถึง 44 เปอร์เซ็นต์ โดยทุเรียนมีสัดส่วนมูลค่าการนำเข้าสูงถึง 23% เมื่อเทียบกับมูลค่าการนำเข้าผลไม้หลักทั้งหมดจากต่างประเทศของจีน

อย่างไรก็ตาม แม้ทุเรียนไทยจะเป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคชาวจีนก็ตาม แต่จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้กำชับให้กรมวิชาการเกษตรติดตามผลการดำเนินงานการส่งออกในฤดูกาลผลิต 2564 อย่างใกล้ชิด เนื่องจากที่ผ่านมาเคยมีการนำเสนอข่าวว่าประเทศจีนระงับการนำเข้าทุเรียนจากประเทศไทยสาเหตุจากตรวจพบเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในตู้คอนเทนเนอร์ขนส่งทุเรียน ซึ่งกรมวิชาการเกษตรได้ประสานงานกับอัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายเกษตร) ประจำกรุงปักกิ่งและได้รับหนังสือตอบยืนยันกลับมาว่ารัฐบาลจีนไม่เคยระงับการนำเข้าทุเรียนจากไทยเนื่องจากตรวจพบเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แต่อย่างใด

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ย้ำว่า ที่ผ่านมา แม้จีนจะยังไม่เคยตรวจพบปัญหาการปนเปื้อนของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในสินค้าเกษตรจากไทย แต่กรมวิชาการเกษตรก็ได้จัดทำแนวทางปฏิบัติเพื่อป้องกันการปนเปื้อนเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สำหรับโรงคัดบรรจุผลไม้ เพื่อให้ผู้ประกอบการโรงคัดบรรจุผลไม้ใช้เป็นแนวทางปฏิบัติ โดยยึดตามแนวทางขององค์การอนามัยโลก (WHO) ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติที่จีนยอมรับและแนะนำให้ประเทศคู่ค้าปฏิบัติด้วยเช่นกัน เพื่อควบคุมสุขอนามัยของพนักงานและสิ่งแวดล้อมในสถานที่ผลิต โดยกรมวิชาการเกษตรได้จัดทำเอกสารการดำเนินการดังกล่าวทั้งฉบับภาษาไทยและภาษาจีนส่งให้สำนักงานศุลกากรของจีนทราบแล้ว พร้อมกับยืนยันว่าไทยได้ให้ความสำคัญกับการควบคุมเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในผลไม้ส่งออกตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง โดยดำเนินการตามแนวทางของ WHO และ FAO เพื่อตอกย้ำให้เกิดความมั่นใจในความปลอดภัยของผลไม้ไทยในปี 2564 อีกทั้ง กรมวิชาการเกษตร ไม่เพียงแต่จะเข้มงวดการตรวจศัตรูพืชในผลผลิตเท่านั้น แต่ยังเน้นการตรวจทุเรียนด้อยคุณภาพหรือทุเรียนอ่อน โดย สวพ.6 จะรับภารกิจหลักตรวจทุเรียนอ่อนและกำกับดูแลการใช้ใบรับรอง GAP ของผู้ส่งออก เพื่อผลักดันการส่งออกผลไม้ของภาคตะวันออกที่มีคุณภาพได้ตามมาตรฐาน GAP และ GMP อีกด้วย

ข่าวนี้เป็นสิ่งสร้างความเชื่อมั่นให้เกษตรกรได้ว่ายังสามารถส่งออกทุเรียนไปยังจีนได้ตามปกติ และอย่าไปตื่นตระหนกจากข่าวลือเพื่อหวังทุบราคาทุเรียนจากบรรดาล้งต่างๆ ขอเพียงเกษตรกรปฏิบัติตามคำแนะนำในการสร้างมาตรฐานการผลิต และมีความซื่อสัตย์ไม่ตัดทุเรียนอ่อนขายก็พอ รับรองว่า ปีนี้ยังเป็นปีทองของชาวสวนทุเรียน และยังสามารถรักษาตลาดทุเรียนไทยในประเทศจีนซึ่งเป็นตลาดนำเข้าทุเรียนที่ใหญ่เป็นอันดับ 1 ของไทยได้อย่างแน่นอน

ขุนเกษตรา

ชายคาพระพิรุณ : 22 กุมภาพันธ์ 2564 #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/554351

ชายคาพระพิรุณ : 22 กุมภาพันธ์ 2564

ชายคาพระพิรุณ : 22 กุมภาพันธ์ 2564

วันจันทร์ ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564, 06.00 น.

กรมฝนหลวงและการบินเกษตร นับว่าเป็นอีกหน่วยงานหนึ่งในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ทำงานปิดทองหลังพระมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรและประชาชนที่ประสบปัญหาภัยแล้ง ปัญหาหมอกควันไฟป่า ฝุ่นละอองในอากาศ และการเติมน้ำในอ่างเก็บน้ำ ล่าสุดได้ร่วมกับสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) ดำเนินการทดลองสารทางเลือกฝนหลวง ในการทำฝนเพื่อคนไทยให้ได้ในทุกสภาพอากาศ ในการบรรเทาปัญหาภัยแล้ง ซึ่ง นายสุรสีห์ กิตติมณฑล อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร บอกว่า ความร่วมมือวิจัยสารทางเลือกฝนหลวงได้ดำเนินการทดลองการปฏิบัติการฝนหลวงครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของสารฝนหลวงทางเลือกทั้ง 5 สูตรที่ได้รับการคัดเลือกจากโครงการต้นแบบการพัฒนาสารฝนหลวงทางเลือกเพิ่มเติมในสภาวะความชื้นสัมพัทธ์ต่ำ รวมถึงศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้สารฝนหลวงทางเลือกสำหรับการปฏิบัติการฝนหลวงในขั้นตอนของการก่อกวนในสภาวะความชื้นสัมพัทธ์ต่ำกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสารทางเลือกฝนหลวงนั้นมีคุณสมบัติสามารถดูดความชื้นที่ RH ต่ำกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ เมื่อละลายน้ำอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงไม่เกิน 5 องศาเซลเซียส และมีค่าความตึงผิวของสารละลายใกล้เคียงหรือสูงกว่าสารฝนหลวงสูตรปัจจุบัน

โดยในเบื้องต้น ทางหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงจังหวัดพิษณุโลก ได้ร่วมกับหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงจังหวัดตาก ขึ้นบินปฏิบัติการเพื่อทดลองสารทางเลือกฝนหลวงในขั้นตอนที่ 1 (ก่อกวนเมฆ) เป็นขั้นตอนการทำให้เมฆมีปริมาณมากขึ้น โดยใช้สารฝนหลวงทางเลือกสูตร AR 38 จำนวน 700 กิโลกรัม ในพื้นที่ลุ่มรับน้ำเขื่อนแม่มอก, อำเภอเถิน จังหวัดลำปาง เป็นพื้นที่เป้าหมายในการทดลองปฏิบัติการ เพื่อบรรเทาปัญหาไฟป่า หมอกควันและเพิ่มปริมาณน้ำในเขื่อน และหลังจากการทดลองครั้งนี้พบว่า ปริมาณเมฆในพื้นที่ที่ทำการทดลองเพิ่มมากขึ้น และนับว่าผลการทดลองในครั้งนี้อยู่ในระดับที่น่าพอใจ ทั้งนี้หน่วยปฏิบัติการฝนหลวงจังหวัดตาก มีแผนการปฏิบัติการ ส่วนในขั้นตอนที่ 2 (เลี้ยงให้อ้วน)และขั้นตอนที่ 3 (โจมตี) ในลำดับต่อไป อย่างไรก็ตาม ท่านอธิบดีสุรสีห์ ย้ำว่า การทดลองครั้งนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ที่เหล่านักวิจัยได้มีโอกาสเก็บข้อมูล เก็บสถิติต่างๆ เพื่อประกอบการวิจัย พัฒนาสารทางเลือกฝนหลวงในโอกาสต่อไป และย้ำว่าสารฝนหลวงทางเลือกนี้มีโอกาสสำเร็จในเร็วๆ นี้ มาก เพื่อเป็นการสนองพระราชปณิธานของพระบิดาแห่งฝนหลวง ที่ต้องการช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ให้กับพี่น้องประชาชน

สำหรับกรมฝนหลวงและการบินเกษตร แล้ว ขุนเกษตรา ได้เฝ้ามองและชื่นชมในความเสียสละของบุคลากรของกรมฝนหลวงฯ โดยเฉพาะท่านอธิบดีและท่านรองอธิบดี ที่มีความตั้งใจปฏิบัติภารกิจปฏิบัติการฝนหลวงเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งให้แก่เกษตรกรและผู้ใช้น้ำทั่วทั้งประเทศ รวมถึงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้กับระบบบริหารจัดการน้ำของประเทศ และยังปฏิบัติการฝนหลวงเพื่อบรรเทาปัญหาฝุ่นละอองในอากาศ โดยน้อมนำศาสตร์พระราชา ตำราฝนหลวงพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พระบิดาแห่งฝนหลวง เป็นแนวทางในการดำเนินงานแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน และยังคิดค้นวิธีการใหม่ๆ เพื่อให้การทำฝนเทียมได้ผลสัมฤทธิ์สูงสุดตามสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

ขุนเกษตรา