#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
https://www.naewna.com/local/523531

ซอกซอนอาเซียน : 8 ตุลาคม 2563
วันพฤหัสบดี ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2563, 06.00 น.
ช่วงนี้ไม่ว่าจะทำอะไร ก็ไม่พ้นเรื่องของมหันตภัยจากโควิด-19 และก็อย่างที่ผมเคยคุยไปแล้วว่า การระบาดของโควิค-19 มันมีผลกระทบต่อเนื่องโยงไปถึงประเด็นของความมั่นคงทางอาหาร หรือ Food Security ด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย ทางสำนักเลขาธิการอาเซียนที่กรุงจาการ์ตา ซึ่งต้องรับผิดชอบดำเนินงานในมติและความคิดเห็นตลอดจนคำประกาศทั้งปวงของบรรดาสมาชิก ก็มักจะสอบถามทางเมลมายังสำนักเลขานุการแอปเตอร์อยู่ไม่ขาด ว่าเรามีการดำเนินงานช่วยเหลือประเทศที่ขาดแคลนอาหารบริโภคอันมีสาเหตุมาจากเจ้าโควิด-19แล้วหรือไม่ เราก็ตอบไปว่ายังทุกครั้ง เพราะก็เป็นข้อเท็จจริงว่า ถึงแม้จะมีข่าวการระบาดของโควิด-19 ในประเทศต่างๆ เช่น ในเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และปัจจุบัน (ต้นกันยายน) กำลังระบาดหนักในเมียนมา รัฐยะใข่ แต่ก็ไม่ปรากฏว่าประเทศที่ได้รับผลกระทบเหล่านั้นมีการร้องขอข้าวไปช่วยเหลือจากทางแอปเตอร์เลย ซึ่งค่อนข้างจะผิดความคาดหมายมากผมเองวิเคราะห์เอาเองว่า แม้จะมีการระบาด แต่สถานการณ์ก็ไม่รุนแรงเป็นวงกว้างจนก่อให้เกิดความเสียหายต่อพืชผลการเกษตรอันเป็นแหล่งที่มาของข้าวปลาอาหาร ซึ่งแตกต่างจากการเกิดภัยธรรมชาติ เช่น พายุไต้ฝุ่น หรือแผ่นดินไหว สึนามิ เพราะภัยกลุ่มหลังนี้ส่งผลให้ทั้งพื้นที่เพาะปลูก ที่อยู่อาศัยพังพินาศ เกิดการอพยพโยกย้ายประชาชน จนกระทั่ง แน่ละ อาหารการกินต่างๆ พลอยสูญเสียถูกทำลายไปเกือบหมดสิ้น
.jpg)
แต่กระนั้น เพื่อให้เป็นไปตามคำประกาศก่อนหน้านี้ ทางสำนักเลขานุการแอปเตอร์ เราก็พยายามที่จะสอบถามไปเป็นระยะๆ ว่าสมาชิกท่านใดประสงค์จะขอรับความช่วยเหลือบ้าง ซึ่งก็ต้องรอจนกว่าจะมีนั่นแหละครับ แต่ถึงไม่มีก็ไม่เป็นไร เพราะเท่ากับว่าการพัฒนาของอาเซียนก้าวขึ้นมาอีกระดับแล้ว คือไม่มีปัญหาด้านความมั่นคงทางอาหาร แต่ผมก็อดห่วงไม่ได้อีกนั่นแหละ เพราะขณะที่ประเทศสมาชิกต่างก็ไม่มีการร้องขอ แต่ขณะเดียวกัน ก็มีองค์กรหรือเวทีการประชุมระดับอาเซียนและรวมทั้งระดับบวกสามด้วย กลับมีข้อเสนอที่จะให้เพิ่มปริมาณข้าวสำรองให้มากขึ้นอีก และแม้กระทั่งได้มีการเสนอให้เพิ่มชนิดอาหารให้ครอบคลุมไปถึงแป้ง น้ำตาล เกลือ น้ำมันปรุงอาหาร ตลอดจนพืชบางชนิด เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง มันสำปะหลังด้วย ก็คงย้อนแย้งกันอยู่พอสมควร เพราะผมเองก็เคยคิดเรื่องเพิ่มปริมาณข้าวสำรองที่ปัจจุบันมีอยู่เพียง 787,000 ตัน ซึ่งน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนประชากรอาเซียน และน้อยนิดจนเกือบเท่ากับไม่มีเลยเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนประชากรอาเซียนที่รวมจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้เพิ่มเข้ามา เพราะมีงานวิจัยของผู้เชี่ยวชาญ เอดีบี หรือธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย พบว่าจำนวนข้าวสำรอง 787,000 ตันนั้น คนอาเซียนบวกสามใช้กินวันครึ่งก็หมดแล้ว
นอกจากนี้ จากการศึกษาของท่าน ดร.อภิชาติ พงษ์ศรีหดุลชัย เมื่อปี 2562 ซึ่งได้นำไปเสนอที่ประเทศเมียนมาด้วย ยังเผยให้เห็นว่าปริมาณข้าวสำรองจำนวนที่ว่า เป็นเพียงร้อยละ 0.28 หรือไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ของที่ประเทศอาเซียนบวกสามผลิตได้เท่านั้น หมายถึงว่าเรายังมีศักยภาพที่จะสำรองข้าวที่ผลิตได้ในแต่ละปีได้มากกว่านี้แยะเลย ฉะนั้น จึงเป็นการสมเหตุสมผลอยู่มากทีเดียวที่ควรจะเพิ่มปริมาณข้าวสำรองของแอปเตอร์ให้มากขึ้นอีกได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศไทยเราเอง ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักเลขานุการแอปเตอร์ ความเห็นนี้ ผมได้คุยกับท่านเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ท่านก็เห็นด้วย และเมื่อคราวประชุม AFSRB หรือ ASEAN Food Security Reserve Board ครั้งล่าสุดท่านรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศก็ได้ให้ข่าวสื่อมวลชนว่า ผู้เกี่ยวข้องต่างๆ กำลังมีการพิจารณาเพิ่มปริมาณข้าวสำรองที่ว่านั้นด้วย แต่กระนั้น เรื่องนี้แม้จะมีการพูดกันมากขึ้น ทว่าการที่จะทำให้แนวคิดกลายเป็นความจริงได้ ไม่ใช่เรื่องที่สามารถใช้ระยะเวลาสั้นๆ ได้ ต้องมีการประชุมพบปะพูดคุยกันในระหว่างประเทศสมาชิก จนทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกัน และก็จะต้องนำเข้าขั้นตอนพิธีการต่างๆ เพื่อให้ความเห็นชอบ จากนั้นก็ต้องยกร่างแก้ไขข้อตกลง (Agreement) เดิม รวมทั้งมีการลงนามโดยผู้มีอำนาจ ตลอดจนอาจต้องมีการให้สัตยาบัน หรือ Ratification ในสภาผู้แทนประชาชนในท้ายที่สุดอีก เป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยเวลาและความพยายามที่ไม่น้อยเลยนะครับ
ชาญพิทยา ฉิมพาลี