ซอกแซกอาเซียน : 3 มิถุนายน 2564 #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/577524

ซอกแซกอาเซียน : 3 มิถุนายน 2564

ซอกแซกอาเซียน : 3 มิถุนายน 2564

วันพฤหัสบดี ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2564, 06.00 น.

สำนักเลขานุแอปเตอร์ ได้มีโอกาสต้อนรับคณะเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากสถานทูตจีน ประจำประเทศไทย นำโดยท่านหวัง ลี่ผิง อัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจและพาณิชย์ รวมทั้งนางสาวยู่วหยาง เลขานุการเอก และนาย หวู๋เฟย ผู้ช่วยเลขานุการ การนัดหมายที่จะมาเยี่ยมสำนักเลขานุการแอปเตอร์ถูกเลื่อนมาแล้วครั้งหนึ่ง ด้วยเหตุผลของโควิด-19 แต่พอเขากำหนดมาครั้งที่สอง เราก็เลยตอบตกลง เพราะหากจะรอความปลอดภัยจากโควิดเสียก่อน ก็คงจะไม่มีโอกาสจะได้พบกัน เอาเป็นว่า เราใช้วิธีป้องกันสวมหน้ากาก และรักษาระยะห่างไว้ ก็น่าจะปลอดภัยพอ เอาเรื่องงานไว้ก่อน ดีกว่าจะงดหรือเลื่อนออกไปอีก

ท่านอัครราชทูตจีนท่านนี้ เพิ่งย้ายมาประจำที่กรุงเทพฯ เดิมประจำอยู่ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย และโดยเหตุที่ประเทศจีนเป็นสมาชิกแอปเตอร์ที่สำคัญในกลุ่มบวกสาม มีปริมาณข้าวที่สำรองเพื่อความมั่นคงฉุกเฉินมากที่สุดในบรรดาสมาชิกแอปเตอร์ 13 ประเทศ คือ 300,000 ตัน อีกทั้ง ถือเป็นครั้งแรกที่ทางการจีนมาเยี่ยมชมแอปเตอร์ โดยเท่าที่ทราบคณะผู้แทนสถานทูตจีนที่มาเยี่ยมแอปเตอร์วันนี้เมื่อประมาณเดือนก่อน ก็ได้เข้าพบท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มาแล้ว นัยว่าท่านอัครราชทูตท่านนี้คงต้องการกระชับความสัมพันธ์ รวมทั้งพยายามแสวงหาความร่วมมือต่างๆ ในประเด็นที่เกี่ยวข้องระหว่างประเทศจีนและประเทศไทย ซึ่งก็ต้องขอบคุณทางการจีนเป็นอย่างมากที่ได้เห็นความสำคัญของแอปเตอร์ จนถึงขนาดเดินทางมาเยี่ยมชมด้วยตนเองเป็นครั้งแรก

ท่านหวัง ลี่ผิง เป็นคนคุยเก่งสมเป็นนักการทูต เริ่มต้นก็เล่าถึงวัตถุประสงค์ที่มาพบแอปเตอร์ พร้อมกับต้องการรับฟังกิจกรรมของแอปเตอร์ที่ดำเนินการอยู่ รวมทั้งความต้องการของแอปเตอร์ที่อยากจะได้จากจีน ซึ่งฝ่ายเราก็ได้เล่าถึงการช่วยเหลือสนับสนุนของจีนในอดีตที่ผ่านมา ดูเหมือนว่า เมื่อเทียบกับญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้แล้ว จีนยังไม่มีกิจกรรมมากเท่าที่ควร กล่าวคือ มีเพียงครั้งเดียวที่ประเทศจีนบริจาคข้าวให้กับประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อปี 2013- 2014 คราวที่ประเทศฟิลิปปินส์โดนพายุไต้ฝุ่นไห่เอี้ยน ตอนนั้นทางการจีนช่วยข้าวสารไป 800 ตัน แต่หลังจากนั้นกิจกรรมของจีนก็ดูจะเงียบๆ ไป แต่กระนั้น ในด้านการบริจาคเงินเข้ากองทุนแอปเตอร์ จีนก็ได้ดำเนินการเป็นประจำอยู่ทุกปี มิได้ขาด ตอนผมเข้ามาเป็นผู้จัดการทั่วไปก็ได้รู้จักกับมนตรีแอปเตอร์ผู้แทนประเทศจีนคุณหม่าหงเทา ที่เป็นรองอธิบดีกรมความร่วมมือทางการเกษตร ได้คุยกันก็เห็นว่าจีนสนใจที่จะเข้ามาดำเนินกิจกรรมร่วมกับแอปเตอร์ เราก็อยากหวังให้จีน ซึ่งเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาประเทศ เข้ามามีบทบาทช่วยเหลือประเทศอาเซียนมากขึ้น ผมก็หวังว่าทางสถานทูตจีนคงจะเก็บเอาข้อเสนอของเราที่ต้องการจะให้ประเทศจีนเพิ่มบทบาทในแอปเตอร์ให้มากขึ้น ไปแจ้งต้นสังกัดเขานะครับ

สุดท้ายผมได้เชิญคณะจีน เดินดูห้องทำงาน มีห้องผู้เชี่ยวชาญว่างอีก 2 ห้อง เลยบอกว่า ทางการไทยที่สนับสนุนด้านอาคารสถานที่ได้ทำห้องเผื่อไว้สำหรับผู้แทนประเทศบวกสามที่อยากจะส่งผู้เชี่ยวชาญมาประจำแอปเตอร์ ซึ่งท่านอัครราชทูตยังแซวว่าให้คุณยู่วหยาง ซึ่งมาจากกระทรวงเกษตรจีน ว่าในอนาคตน่าจะสมัครมานั่งทำงานที่นี่ดีกว่า จนเสร็จการเยี่ยมเยียนคณะจีนก็ได้ร่ำลาเดินทางกลับสถานทูต

ชาญพิทยา ฉิมพาลี

chanpithya@apterr.org

ซอกแซกอาเซียน : 27 พฤษภาคม 2564 #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/575822

ซอกแซกอาเซียน : 27 พฤษภาคม 2564

วันพฤหัสบดี ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2564, 06.00 น.

การช่วยเหลือของแอปเตอร์ในประเทศเมียนมาอีกแบบหนึ่ง ที่คาดว่าจะมีปัญหา ได้รับผลกระทบจากปัญหาทางการเมืองภายในประเทศ คือ การที่ประเทศญี่ปุ่นส่งข้าวแบบกึ่งสำเร็จรูปพร้อมรับประทาน ซึ่งเป็นโครงการนำร่อง ยังไม่เคยมีมาก่อนไปให้ ในลักษณะเก็บสำรองไว้ล่วงหน้าและนำออกช่วยเหลือเมื่อเกิดภัยที่เรียกว่าระบบ Preposition ซึ่งผมเคยเล่าไปแล้วว่า ปีนี้ทางญี่ปุ่นและแอปเตอร์กำหนดเป้าหมายที่ 2 ประเทศ คือ เมียนมา และฟิลิปปินส์ ประเทศละ 2 ตัน และจากความวุ่นวายทางการเมืองในเมียนมา ทราบว่า ณ ปัจจุบัน (8 เมษายน) ข้าวกึ่งสำเร็จรูปที่ส่งทางเรือไปถึงท่าเรือย่างกุ้งแล้วนั้น ยังไม่มีการขนถ่ายขึ้นจากเรือเลย เรื่องของเรื่อง สาเหตุเท่าที่ทราบ คือ เกิดการหยุดงานของพนักงานท่าเรือ เลยไม่มีคนทำงานที่จะขนถ่ายสินค้าขึ้นจากเรือได้ ทั้งๆ ที่สินค้าที่ขนขึ้นเรือมานั้นก็เป็นไปเพื่อช่วยเหลือทางมนุษยธรรมแก่ชาวเมียนมา มิวายต้องโดนหางเลขไปด้วย แต่ผมก็เชื่อว่า ด้วยการประสานงานอย่างแข็งขันของกระทรวงเกษตรฯ ของเขา คงอีกไม่กี่วันเรื่องก็คงจะเรียบร้อยครับ เพราะจริงๆแล้ว ตามข้อตกลง เอ็มโอยู ที่เซ็นไว้ระหว่างแอปเตอร์กับทางการเมียนมาระบุชัดว่า หากการขนถ่ายสินค้ามีปัญหาไม่สามารถทำได้ภายในเวลาที่กำหนดแล้ว และเกิดความเสียหายขึ้น ผู้รับผิดชอบก็คือ กระทรวงเกษตรฯ ของเมียนมา เลยทำให้เจ้าหน้าที่ของเขาต่างคงไม่สามารถจะนิ่งนอนใจอยู่ได้

พูดถึงประเทศเมียนมา เมื่อคิดถึงความวุ่นวายทางการเมืองในปัจจุบัน ทำให้ผมรู้สึกเสียดายแทนมากเมื่อคิดเปรียบเทียบย้อนไปช่วง 3-4 ปีก่อนหน้านี้ ที่ผมได้เคยเดินทางไปปฏิบัติงานในประเทศเขา จากเดิมแม้จะอยู่ใกล้เคียงกับประเทศไทยเรามาก แต่ผมก็ไม่มีโอกาสได้เดินทางไปเลยแม้แต่ครั้งเดียว และเพิ่งเริ่มต้นไปเยี่ยมครั้งแรกสมัยยังรับราชการอยู่ในกรมการข้าว จนเมื่อมาเป็นผู้บริหารของสำนักงานแอปเตอร์ กลับมีโอกาสได้เดินทางไปเมียนมาเป็นว่าเล่น ปีละหลายๆ ครั้ง และก็ได้ไปแบบเจาะลึกถึงลูกถึงคนเกือบจะทุกพื้นที่ ผมเคยบอกแล้วว่ามีเพียง 3 รัฐใน 14 เขต/รัฐเท่านั้น ที่ผมยังไม่เคยไป คือ รัฐชิน รัฐคะยา และรัฐฉาน นอกนั้นไปมาหมดแล้ว (ความจริงรัฐฉาน หรือ ไทยใหญ่ ก็น่าจะเรียกได้ว่าเคยไปมาแล้ว คือข้ามชายแดนอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงรายไปเมืองท่าขี้เหล็ก ก็เป็นรัฐฉานแล้ว) ผมยอมรับว่ามีความประทับใจประเทศนี้มาก ทั้งสภาพภูมิประเทศ รวมทั้งอัธยาศัยของประชาชน และแม้ว่าจะมีทำเลที่ตั้งติดกับประเทศไทยเราแต่พบว่าเมียนมากลับมีความแตกต่างจากไทยเป็นอย่างมาก ผมพิเคราะห์เอาเองว่า สำหรับประเทศไทยนั้น เรามีความคล้ายคลึงมากกว่ากับเพื่อนบ้านเช่น สปป. ลาว และกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นด้านภาษา วัฒนธรรม วิถีดำรงชีวิตและความเป็นอยู่ ตลอดจนแนวคิด ทัศนคติของคนในชาติ แต่สำหรับเมียนมา นอกจากความเหมือนกับไทย สปป.ลาว กัมพูชาตรงที่นับถือศาสนาพุทธอย่างเดียวกัน และอดีตมีการเคี้ยวหมาก นุ่งโสร่งเหมือนกันแล้ว ผมว่าที่เหลืออื่นๆ ค่อนข้างจะแตกต่างกันอยู่มากทีเดียว

ถามว่าแล้วเมียนมาไปเหมือนใคร ผมว่าเหมือนกับอินเดียมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกินที่ชอบมีมันมาก การรักษาขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมดั้งเดิมไม่เคยสลัดทิ้ง รวมทั้งรักหวงแหนสิทธิเสรีภาพตามอุดมการณ์ประชาธิปไตย และอื่นๆ ที่ฟันธงอย่างนี้ เพราะเมียนมากับอินเดียมีเขตชายแดนใกล้ชิดติดกัน อีกทั้งสมัยเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ เมียนมาถูกจัดให้เป็นเพียงรัฐหนึ่งที่ขึ้นกับอินเดีย ขณะที่ชายแดนเมียนมาที่ติดประเทศไทยทางทิศตะวันออกนั้นมีเทือกเขาตะนาวศรีกั้นขวางไปมาหากันลำบากมาก แถมกลุ่มคนที่อยู่อาศัยก็มิใช่คนเมียนมาแท้ๆ หากแต่เป็นพวกชาติพันธุ์กะเหรี่ยง คะยาไทยใหญ่ และมอญครับ

ชาญพิทยา ฉิมพาลี

chanpithya@apterr.org

ซอกแซกอาเซียน : 20 พฤษภาคม 2564 #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/574231

ซอกแซกอาเซียน : 20 พฤษภาคม 2564

วันพฤหัสบดี ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2564, 06.00 น.

ช่วงนี้เป็นที่ทราบกันนะครับว่า ประเทศสมาชิกแอปเตอร์ประเทศหนึ่งมีปัญหาทางการเมืองภายในประเทศ นั่นคือ ประเทศเมียนมา ผมคิดว่าถ้าไม่พูดถึงเลย ก็คงขาดมุมมองอันเกี่ยวเนื่องกับภารกิจของเรา แต่หากจะพูดก้าวล่วงลึกมากเกินไปจนกระทบกับความเป็นกลางและไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองขององค์กรแอปเตอร์ก็คงจะไม่ดี ดังนั้น ผมคงขออนุญาตกล่าวถึงประเทศเมียนมาสักเล็กน้อย แต่ด้วยความระมัดระวัง ถึงแม้ว่า ผมจะทราบอะไรลึกๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์ในประเทศนี้ รวมทั้งได้ทราบเกี่ยวกับสังคมวัฒนธรรม ตลอดจนแนวคิดพื้นฐานของคนเมียนมา เพราะเดินทางไปหลายครั้ง ดังนั้น ในส่วนที่จะกล่าวถึงคงจะเป็นเรื่องผลกระทบต่างๆ ที่สืบเนื่องจากการปฏิบัติภารกิจการช่วยเหลือด้านการสำรองข้าวสำหรับบริโภคในเชิงมนุษยธรรมตามภารกิจขององค์กรแอปเตอร์ครับ

ปีที่ผ่านมาในปี 2020 แอปเตอร์มีโปรแกรมที่เกี่ยวข้องกับประเทศเมียนมาอยู่ 2-3 รายการด้วยกัน ที่ยังค้างคาดำเนินการไม่แล้วเสร็จ เพราะเป็นเรื่องของการ
ส่งข้าวสารตามที่เมียนมาร้องขอในระบบที่เรียกว่า Preposition ดังที่ผมได้เขียนอธิบายมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่หากท่านยังไม่ทราบ ก็เล่าคร่าวๆว่า เป็นรูปแบบส่งข้าวไปเก็บไว้ก่อนการเกิดภัยธรรมชาติ และเมื่อเกิดภัยพิบัติตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ จึงจะนำออกไปช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อน มีข้าวที่บริจาคโดยประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ได้มีการแจกจ่ายช่วยเหลือผู้ประสบภัยไปแล้ว แต่ตอนนี้ยังคงมีอยู่ 2 รายการ ที่ยังไม่แล้วเสร็จ ซึ่งทั้ง 2 รายการนี้เป็นการช่วยเหลือจากประเทศญี่ปุ่นทั้งคู่ และเป็นรูปแบบที่ค่อนข้างพิเศษ ทำให้ต้องกังวลอยู่นิดหน่อยว่า สุดท้ายแล้ว ด้วยความยุ่งเหยิงทางการเมืองในเมียนมา เจ้า 2 รายการนี้จะสำเร็จลงได้อย่างไร

รายการแรก เป็นการร้องขอจากกระทรวงเกษตรฯ เมียนมาเพื่อต้องการข้าวไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากโควิด-19แต่โดยเหตุที่ทางญี่ปุ่นอาจจะหมดโควตาข้าว แต่ก็ยังแสดงถึงความใจกว้างก็เลยใช้วิธีที่ไม่ค่อยได้ใช้มาแต่เดิม คือ การส่งเงินไปให้ประเทศผู้ร้องขอ ซื้อข้าวภายในประเทศเพื่อช่วยเหลือ ความจริงวิธีนี้ ประเทศผู้รับหลายๆ ประเทศ ก็พยายามเสนอหรือร้องขอให้นำมาใช้ เนื่องจากจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศผู้ร้องขอมากขึ้น กล่าวคือ เหมือนได้ประโยชน์สองต่อ เพราะได้ใช้เงินที่ผู้บริจาคมาซื้อข้าวภายในประเทศ ซึ่งเป็นการช่วยเหลือชาวนาผู้ปลูกภายในประเทศอีกต่อหนึ่ง แต่ทว่าที่ผ่านมา วิธีการนี้มักไม่ค่อยได้ใช้เนื่องจากประเทศผู้ให้ ก็ประสงค์ที่จะระบายข้าวในประเทศตนเอง ซึ่งมีอยู่อย่างเหลือเฟือออกไปที่อื่นเช่นกัน เว้นแต่ในกรณีจำเป็น เช่นที่เกิดขึ้นกับเมียนมาในคราวนี้ ที่ฝ่ายญี่ปุ่นตกลงมอบเงิน โดยผ่านสำนักเลขานุการแอปเตอร์ให้ไปซื้อข้าวเอาเอง ซึ่งดูเหมือนจะเป็นที่ถูกใจของประเทศผู้รับมากกว่า

แต่กระนั้น ด้วยความที่ประเทศเมียนมา เกิดปัญหาทางการเมืองภายในประเทศอย่างที่ทราบกัน กระบวนการจัดซื้อข้าวภายในประเทศของกระทรวงเกษตรฯ เมียนมา จึงชะงักงันไปด้วย โดยแผนการจัดหาแรกที่กระทรวงเกษตรฯ เมียนมารายงานให้สำนักเลขานุการแอปเตอร์ทราบ คือ จะโอนเงินต่อไปยังเขต/รัฐปลายทางต่างๆ เพื่อจัดซื้อกันเอง นั่นเท่ากับว่าปัจจุบันน่าจะหาความแน่นอนอะไรไม่ได้เลย เพราะแต่ละเขต/รัฐก็ยังไม่ทราบว่าทิศทางส่วนกลางจะเป็นไปอย่างไรบ้าง เนื่องจากตอนนี้ มีการประท้วงและการปราบปรามอยู่ ก็คงเป็นเรื่องที่เราคงจะต้องจับตาอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ ทางสำนักเลขานุการแอปเตอร์ก็ได้ส่งหนังสือไปแล้วถึงประทรวงเกษตรฯ เมียนมาว่าขอทราบแผนการดำเนินการ แต่ปัจจุบันก็ยังไม่ได้ตอบมา ทราบภายในทางอินเตอร์เนตติดต่อกันกับเจ้าหน้าที่ประสานงานของเขาว่า คนทำงานหรือบรรดาข้าราชการกระทรวงเกษตรฯ ของเขาบางคนก็หยุดงาน เป็นผลให้งานการภารกิจก็ชะงักงันไปหมด แถมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงก็เปลี่ยนเป็นคนใหม่ คงต้องมีการเข้าไปชี้แจงทำความเข้าใจกันอีกสักระยะหนึ่ง กว่าจะเข้าใจกันผมว่าน่าหนักใจครับสำหรับกิจกรรมแอปเตอร์ในประเทศเมียนมา ซึ่งก็ยังมีแบบพิเศษอีกรายการหนึ่งที่จะมาพูดต่อในฉบับหน้าครับ

ชาญพิทยา ฉิมพาลี

chanpithya@apterr.org

ซอกแซกอาเซียน : 6 พฤษภาคม 2564 #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/570833

ซอกแซกอาเซียน : 6 พฤษภาคม 2564

วันพฤหัสบดี ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2564, 06.00 น.

ผมเคยเกริ่นให้ฟังไปครั้งหนึ่งแล้วว่า ช่วงนี้เราชาวแอปเตอร์กำลังง่วนอยู่กับการเตรียมการจัดประชุมคณะมนตรีแอปเตอร์ หรือ APTERR Council ครั้งที่ 9 ที่ประเทศฟิลิปปินส์ เป็นเจ้าภาพจัด แต่ทว่าเราจำเป็นต้องจัดประชุมผ่านทางวีดีโอคอนเฟอเรนซ์ เนื่องจากเจ้าโควิดตัวแสบแท้ๆ เลย (นี่บ่นแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว) ซึ่งก่อนการประชุมจริงที่กำหนดไว้ในวันที่ 30 มีนาคม เลยต้องมีการนัดหมายเพื่อซักซ้อมก่อนวันจริง โดยกำหนดซ้อมกันทุกประเทศที่เป็นสมาชิก ในวันที่ 29 มีนาคม คือก่อนวันจริงหนึ่งวัน ปรากฏว่า คงเพื่อให้งานซ้อมเป็นไปอย่างเรียบร้อยไม่ขาดตกบกพร่อง ทางประเทศเจ้าภาพ คือ ฟิลิปปินส์ ก็ขอทางพวกเรานัดซ้อมเพื่อซ้อม (ซ้อมกันสองชั้นเลย) กันก่อนเถอะก็เลยต้องมากำหนดซ้อมเพื่อซ้อมล่วงหน้าอีก 2 วัน ก่อนวันซ้อมจริง

ก็ถือเป็นการใส่ใจของผู้บริหาร NFA ของฟิลิปปินส์โดยแท้ ที่วันซ้อมก่อนการทดสอบ ท่านผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงาน คือ Mrs. Judy Carol L. Dansal หรือเรียกกันสั้นๆคุณจูดี้ คนเดิมเป็นคนที่พวกเราคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว เพราะในระยะ 4-5 ปีที่ผ่านมา เราพบกันหลายครั้ง ตั้งแต่สมัยที่แกยังไม่เกษียณ กล่าวคือ ช่วงที่แกเป็น Deputy Administrator ของ NFA แล้วพออายุครบ 65 ปี ต้องเกษียณจากตำแหน่งประจำ หลังจากนั้นไม่นานแกก็ได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้าใหญ่ของ NFA ที่เรียกชื่อตำแหน่งว่า Administrator ซึ่งถือเป็นตำแหน่งทางการเมือง เทียบเท่าระดับรัฐมนตรีช่วยว่าการ เราจึงคุ้นเคยกันดีมาก คราวแกมาประชุมที่กรุงเทพฯ ทีมงานแอปเตอร์ก็ยังเคยพาแกไปเลี้ยงอาหารค่ำ รวมทั้งพาแกช้อปปิ้งตามศูนย์การค้าต่างๆ

คุณจูดี้พร้อมทีมงานอีกสองสามคน โผล่ออกมาทางจอมอนิเตอร์ ทักทาย Say Hi กันก่อนที่จะทำการซักซ้อมการประชุม ซึ่งก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากจะย้ำเกี่ยวกับพิธีการ ขั้นตอนรวมทั้งวาระการประชุม ซึ่งในวันประชุมจริง คุณจูดี้ก็จะต้องเป็นประธานในที่ประชุม สลับกับประธานร่วมหรือ Co-chair ซึ่งในคราวประชุมนี้ คือ ประเทศจีนถึงตรงนี้ ขออนุญาตท่านผู้อ่านเล่าคั่นสลับนิดในเรื่องของประธานร่วม เพราะปกติที่ผ่านมาในการประชุมทั่วไป เรามักพบกับประธานคนเดียว และเมื่อประธานไม่ว่างก็จะมอบหมายรองประธานดำเนินการประชุมแทน แต่ในระบบประธานร่วม หรือ Co-chair นั้น เกิดขึ้นได้ในกรณีที่ประเทศสมาชิกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มอย่างชัดเจน

อย่างในกรณีของแอปเตอร์ ปรากฏว่าสมาชิกมี 2 กลุ่มชัดเจน คือ กลุ่มที่ 1 ประเทศอาเซียน 10 ประเทศ กับกลุ่มที่ 2 คือประเทศบวกสาม ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ดังนั้น (ก็ไม่ทราบว่าใครกำหนดมาก่อน) เวลาประชุมAPTERR Council ก็จะต้องมีประธาน 2 คน ที่เรียกว่า ประธานร่วม คือผู้แทนจากกลุ่มที่ 1 และกลุ่มที่ 2 มาทำหน้าที่แล้วแต่จะตกลงกันว่าใครจะนั่งเป็นประธานในวาระไหน ทีนี้ในการทำหน้าที่ประธาน ระเบียบกำหนดให้หมุนเวียนประเทศตามตัวอักษรในแต่ละกลุ่ม ดังนั้น กลุ่มอาเซียนกว่าจะเวียนกลับมาเป็นประธานใช้เวลา 10 ปี ในขณะที่กลุ่มบวกสาม ใช้เวลาเพียง 3 ปี สรุปแล้วประเทศบวกสามก็จะมีโอกาสได้เป็นประธานถี่หน่อย เรื่องประธานร่วมก็เป็นดังนี้แหละครับ

คุณจูดี้ ซักซ้อมกับพวกเราชาวแอปเตอร์อยู่ประมาณ 1 ชั่วโมง ก็เรียบร้อย ตอนท้ายจุดที่เราฝ่ายสำนักเลขานุการเห็นว่าเป็นวาระสำคัญก็บอกย้ำแกไป เพื่อให้ท่านนำการประชุมไปด้วยความราบรื่น เรื่องที่สำคัญในการประชุมนี้ที่ได้เรียนย้ำแก่คุณจูดี้ ก็คือ การต่อเฟส 3 ของการดำเนินงานแอปเตอร์ระหว่างปี 2023-2027 ซึ่งสิ่งจำเป็นที่สุด คือ การบริจาคเงินของประเทศสมาชิกเพื่อเป็นค่าดำเนินงาน เรื่องนี้มันมีความซับซ้อนนิดหน่อย ต้องอาศัยความเข้าใจพอสมควรเนื่องจากเป็นช่วงแก้ไขกฏระเบียบของแอปเตอร์ เผอิญกฏระเบียบที่เรียกว่าความตกลง หรือ Agreement นั้น ยังไม่ได้รับการให้สัตยาบันจากประเทศสมาชิกทั้งหมด ซึ่งก็ถือว่าความตกลงนี้ยังไม่มีผลใช้บังคับ การจะต่อขยายเฟสการบริจาคเงินจึงต้องรอความสมบูรณ์ในการประกาศใช้ความตกลงเสียก่อน จึงต้องมีการถกเถียงในเรื่องนี้ให้ชัดเจน ซึ่งคนที่ร่างความตกลง คือสำนักเลขาธิการอาเซียน ที่ตั้งอยู่ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ตอนนี้ก็ได้รับข่าวความยุ่งเหยิงอันนี้ด้วย คงสร้างความปวดหัวให้กับเขาอีกไม่ใช่น้อยเลย เนื่องจากต้องเข้าร่วมประชุมในคราวนี้ด้วยเช่นกัน

ชาญพิทยา ฉิมพาลี

chanpithya@apterr.org

ซอกแซกอาเซียน : 29 เมษายน 2564 #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/569326

ซอกแซกอาเซียน : 29 เมษายน 2564

ซอกแซกอาเซียน : 29 เมษายน 2564

วันพฤหัสบดี ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2564, 06.00 น.

เมื่อวันที่ 23 มีนาคม ที่ผ่านมา แอปเตอร์เรามีกิจกรรมพิธีการส่งมอบข้าวช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งและน้ำท่วม ที่ประเทศกัมพูชา จำนวน 200 กว่าตัน ซึ่งบริจาคโดยรัฐบาลญี่ปุ่น ความจริงหากเป็นสถานการณ์ปกติ พิธีการที่ว่านี้ก็จะต้องไปจัดกันที่ประเทศกัมพูชาอย่างที่เราเคยปฏิบัติสืบต่อกันมา และผมได้เคยเขียนเล่าทุกท่านฟังมาแล้ว แต่เนื่องจากปัญหาโควิด-19 อย่างที่ทราบ เลยทำให้เราไม่สามารถที่จะจัดพิธีการในประเทศผู้รับและเดินทางไปส่งมอบข้าวกันจริงๆ ได้ ก็เลยต้องใช้วิธีการทันสมัย คือ จัดส่งมอบกันโดยทางวีดีโอคอนเฟอเรนซ์แทน ตอนนี้อาจกล่าวได้ว่าอะไรๆเป็นต้องพึ่งวิธีการประชุมแบบทางไกลไว้ก่อน

วิธีการจัดงานแบบนี้ คือ เราต้องตกลงกันก่อนทั้งสามฝ่าย คือ ผู้ให้ ได้แก่ประเทศญี่ปุ่น ผู้รับ คือ ประเทศกัมพูชา และสำนักเลขานุการแอปเตอร์ในฐานะหน่วยประสานกลาง ว่าจะทำพิธีในรูปแบบนี้กันนะ จากนั้น ก็กำหนดโปรแกรมรายละเอียดของงาน ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า การกล่าวปราศรัยของผู้แทนแต่ละฝ่าย โดยอาจเชิญประธานแขกผู้ใหญ่มา 1 คน ซึ่งที่ผ่านมา คือ ผู้บริหารระดับสูงของประเทศเจ้าภาพหรือประเทศผู้รับนั่นเอง ในคราวส่งมอบนี้ผู้ที่ทางกระทรวงเกษตร ป่าไม้และประมง ประเทศกัมพูชาเชิญมาเป็นประธานใหญ่สุด คือ ท่านเลขาธิการแห่งรัฐ ประจำกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมง ชื่อตำแหน่งนี้ผมแปลตรงๆ จากภาษาอังกฤษว่า Secretary of State แต่เมื่อผมไปค้นคว้าอ่านในหนังสือทางการไทยเล่มหนึ่ง ให้คำจำกัดความว่าเป็น รัฐมนตรีแห่งรัฐ เลยฟังแล้วอาจจะงงๆ กับตำแหน่งนี้ ทว่าเมื่อช่วงผมไปปฏิบัติงานที่กัมพูชาจริงๆ เมื่อ 2-3 ปีก่อน ผมได้ยินกับหูตนเอง ถึงแม้จะเป็นภาษาเขมร โฆษกในงานเขาเรียกว่า เลขาธิการรัฐ เหมือนภาษาไทยเลย แต่จะเรียกอย่างไรก็ไม่สำคัญเท่ากับบทบาทหน้าที่ ผมศึกษาโดยการสังเกตเอาเองว่า ตำแหน่ง Secretary of State นี้คงเหมือนกับตำแหน่งที่ปรึกษา หรือไม่ก็คือ ผู้ช่วยรัฐมนตรี ของเรานั่นแหละครับ (แต่ผู้ช่วยรัฐมนตรีของเราใช้คำว่า Vice Minister) เพราะทราบว่าแต่งตั้งจากข้าราชการอาวุโสที่เกษียณแล้ว นักวิชาการ หรือสมาชิกพรรคการเมือง แล้วทำงานเป็นฝ่ายการเมืองประจำอยู่ตามกระทรวงต่างๆ ภายใต้การมอบหมายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวง ก็คงอธิบายแบบวิเคราะห์เองได้ประมาณนี้ครับ เผื่ออนาคตท่านผู้อ่านที่ไปกัมพูชาจะได้ทราบเป็นเบื้องต้น

นอกจากท่านประธานในพิธีที่กล่าวไปแล้ว ฝ่ายกัมพูชาก็มีท่านอธิบดี รองอธิบดีกรมเกษตรที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า General Directorate of Agriculture หรือ GDA และอีกฝ่ายที่สำคัญคือประเทศญี่ปุ่น ซึ่งปรากฏเพียงภาพบนจอจากกระทรวงเกษตรฯ กรุงโตเกียว คืออธิบดี รองอธิบดี และผู้เกี่ยวข้อง ส่วนฝ่ายกลาง คือ ทีมแอปเตอร์ ก็นำโดยตัวผมเอง ซึ่งเป็นผู้จัดการทั่วไป หรือ General Manager และทีมงานอีก 3-4 คน นอกจากนี้ ที่เป็นการเฉพาะของพิธีการคราวนี้ คือได้มีการเชิญท่านเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ที่ประจำสถานทูตในกรุงพนมเปญมาร่วมด้วย โดยในพิธี หลังจากที่พิธีกรได้กล่าววัตถุประสงค์ของงานและเชื้อเชิญถ่ายภาพร่วมกันแล้ว ได้มีการอ่านสารที่ร่างไว้ เริ่มจากท่านอธิบดีกรมเกษตร ของประเทศกัมพูชา ต่อด้วยอธิบดีของประเทศญี่ปุ่น และต่อด้วยผู้จัดการทั่วไปของแอปเตอร์ หลังจากนั้นก็เป็นของท่านเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น และสุดท้ายซึ่งถือเป็นสารหลัก คือจากท่านเลขาธิการรัฐ ที่ได้อธิบายไปแล้ว

ในพิธีการส่งมอบข้าวเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นพิธีจริงที่ต้องมีการเดินทางไปเข้าร่วมในประเทศผู้จัดงาน หรือจัดโดยวิถีนิว นอร์มอล แบบใช้ทางไกลเหมือนครั้งนี้ เนื้อหาในการกล่าวปราศรัยทั้งสามสี่คนที่กล่าวออกมา เป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกันทั้งสิ้น คำหลัก หรือ Key Words จะไม่มีทางพ้นไปจากคำว่า การช่วยเหลือด้านข้าวเพื่อมนุษยธรรม การกระชับความร่วมมือของประเทศอาเซียนบวกสาม การแก้ไขปัญหาความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืน การแสดงความประทับใจ
และขอบคุณต่อประเทศผู้มอบความช่วยเหลือ และการกระชับความสัมพันธ์อันดีในอนาคต สุดท้ายของพิธีการครั้งนี้ก็จบลงด้วยการยกมือไหว้ซึ่งกันและกัน

ชาญพิทยา ฉิมพาลี

chanpithya@apterr.org

ซอกแซกอาเซียน : 22 เมษายน 2564 #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/567564

ซอกแซกอาเซียน : 22 เมษายน 2564

วันพฤหัสบดี ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2564, 06.00 น.

ช่วงนี้เป็นช่วงที่สำนักเลขานุการแอปเตอร์ได้ต้อนรับผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นประจำแอปเตอร์คนใหม่ หลังจากที่คนเก่าได้หมดวาระ และกลับบ้านไปทำงานในสถานที่ดั้งเดิม คือ กระทรวงเกษตรฯ ในกรุงโตเกียว ผมเคยเล่าให้ฟังมาแล้วว่า ผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นที่ส่งมาประจำแอปเตอร์มีวาระดำรงตำแหน่งคราวละ 2 ปี เท่าที่ผมสังเกตเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นที่ส่งไปประจำต่างประเทศที่ไม่ใช่โดยตรงจากกระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่น จะมีวาระการทำงาน 2 ปี เท่าๆ กันเกือบทุกคน ที่แอฟซิส ที่อยู่ใกล้ๆ กัน ก็มีผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นมาประจำอยู่ 1 คนเช่นกันมีวาระ 2 ปีเท่ากัน ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ การเดินทางไปกลับของพวกเขาดูค่อนข้างอลหม่านพอควรทีเดียว เพราะต้องมีการเตรียมการมากมาย ขากลับคงไม่ยุ่งยากเท่ากับขามาเมืองไทย เพราะต้องเตรียมการหาที่พักไว้ด้วยก่อน ยิ่งถ้าบางคนมาพร้อมกับครอบครัว และมีลูกๆ ที่กำลังเรียนหนังสืออยู่ด้วย ก็ต้องเตรียมโรงเรียนให้อีก ซึ่งแน่ละ ต้องเป็นโรงเรียนแบบนานาชาติ แต่จะว่าไปก็คงไม่น่าจะแตกต่างจากการที่เจ้าหน้าที่คนไทยที่ถูกส่งไปทำงานประจำในต่างประเทศเช่นเดียวกัน ช่วงนี้มีความยุ่งยากเพิ่มมากขึ้นอีกนิด คือ ต้องมีการกักตัวก่อน 2 สัปดาห์ ตามมาตรการโควิดอีก สำหรับคนที่จะมาใหม่ ต้องเข้าพักพร้อมกับครอบครัวในโรงแรม ห้ามออกไปไหน แล้วหลังจากนั้นจึงจะต้องหาอพาร์ทเมนท์ ที่พักถาวรก่อนจะย้ายเขาไปอยู่อีก

การจัดการเรื่อง Relocation ของผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นนี้ โชคดีที่ทางแอปเตอร์เรามีเจ้าหน้าที่เลขานุการประจำตัวผู้เชี่ยวชาญเขาอยู่ 1 คน ได้น้องเขาช่วยนับว่าได้ประโยชน์มาก ถ้าไม่งั้นคงยุ่งยากมากขึ้น เพราะมีประเด็นที่ทำเยอะมาก ข้อเท็จจริงจากตัวอย่างของผู้เชี่ยวชาญคนใหม่ที่มา ผมก็สงสัยว่า ทำไมหลังจาก 2 สัปดาห์ที่พักในโรงแรมกักตัว เขาพร้อมครอบครัวต้องไปหาโรงแรมใหม่อยู่อีก ก่อนเข้าอพาร์ทเมนท์ถาวรคือ ความจริงควรจะเป็นว่าจากโรงแรมกักตัวก็เข้าอพาร์ทเมนท์ได้เลย แต่ได้รับการชี้แจงว่า ผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นต้องการไปเห็นไปพิจารณาสภาพของอพาร์ทเมนท์ก่อน

ส่วนคนที่กลับไปญี่ปุ่น ก็มาเล่ากับผมว่าคงจะมีปัญหาอีก เพราะต้องไปกักตัวอยู่แต่ในบ้านตนเองเป็นเวลา 2 สัปดาห์เช่นเดียวกัน ก่อนที่จะออกไปเริ่มต้นทำงานที่กระทรวงเกษตรฯ บอกว่าแกจะกินอาหารอย่างไร เพราะจะให้คนซื้อมาให้ทุกวันคงไม่ได้ ซื้อมาตุนไว้ก็คงไม่ครบ 2 สัปดาห์ ผมเสนอว่าลองสั่งแกร็บ หรือไลน์แมนดูสิ เขาก็บอกว่า คงไม่มีใครกล้ามาส่ง ขนาดนั้นเชียว ที่สำคัญที่ผมคิดไม่ถึง คือ แล้วพวกขยะแกจะเอาไปทิ้งที่ไหน เพราะที่ญี่ปุ่นต้องทิ้งเป็นที่เป็นทางและเป็นเวลา ครั้นจะแอบออกไปทิ้งเกรงว่าจะถูกจับปรับ อีกทั้งเพื่อนบ้านใกล้เคียงกันคงเห็นและจะพากันแตกตื่น

คนญี่ปุ่นที่ได้รับมอบหมายให้มาทำงานหรือภารกิจในประเทศไทยเกือบทุกคนเปรียบเสมือนได้มาเมืองสวรรค์อย่างไงอย่างนั้น แม้ประเทศไทยจะมีอะไรๆ หลายอย่างที่สู้ญี่ปุ่นไม่ได้ ปัจจุบันมีคนญี่ปุ่นอาศัย หรือทำงานในประเทศไทยหลายหมื่นคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเอกชน บริษัท ห้างร้านต่างๆ จนถึงกับมีหนังสือพิมพ์ภาษาญี่ปุ่นขายในกรุงเทพฯ มีร้านซูเปอร์มาร์เก็ตอาหารญี่ปุ่นโดยเฉพาะเมื่อยี่สิบปีก่อนกลับจากญี่ปุ่นผมเคยซื้อก้อนมิโซะมาทำซุป เพราะหาไม่ได้ในประเทศไทย แต่เดี๋ยวนี้มีหมดทุกอย่างขอให้ไปหาแถวพร้อมพงษ์ นานา เอกมัย สุขุมวิทเถอะ และสิ่งหนึ่งเมื่อมาอยู่เมืองไทยที่คนญี่ปุ่นขาดไม่ได้ คือ การเล่นกอล์ฟ คนที่เล่นเป็นมาก่อน จะใช้ชีวิตวันหยุดอยู่แต่ในสนามกอล์ฟ คนที่ไม่เคยเล่น เมื่อมาถึงก็จะมีคนแนะนำให้เล่น โดยเริ่มจากไปเข้าคอร์สสอนเล่นกอล์ฟก่อน มีโปรคนญี่ปุ่นพูดสอนเป็นภาษาญี่ปุ่นให้ด้วย (แต่คงแพงไม่ใช่เล่น) จากนั้นก็จะเข้าร่วมเล่นกอล์ฟอย่างเป็นงานเป็นการในวันหยุดต่างๆ ฉะนั้นการหมดเทอมที่จะอยู่ทำงานต่อในประเทศไทย จึงถือว่าเป็นเรื่องของ “สวรรค์ปิด” อย่างแท้จริง

ชาญพิทยา ฉิมพาลี

chanpithya@apterr.org

ซอกแซกอาเซียน : 15 เมษายน 2564 #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/566101

ซอกแซกอาเซียน : 15 เมษายน 2564

ซอกแซกอาเซียน : 15 เมษายน 2564

วันพฤหัสบดี ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2564, 06.00 น.

สำนักเลขานุการแอปเตอร์ เราได้มีโอกาสทำงานร่วมกับสำนักงานระดับอินเตอร์ เพื่อนบ้าน คือ แอฟซิส หรือ ASEAN Food Security Information System : AFSISซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับรวบรวมและวิเคราะห์ รวมทั้งนำเสนอข้อมูลสินค้าเกษตรสำคัญของอาเซียน เนื่องจากทางแอปเตอร์เองต้องพึ่งพาข้อมูลด้านข้าวจากเขา เพื่อเอามาวิเคราะห์ในด้านความมั่นคงทางอาหาร รวมทั้งเพื่อประโยชน์ในการวินิจฉัยว่าการร้องขอความช่วยเหลือด้านข้าวของประเทศผู้ประสบภัยนั้น เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้หรือยัง หลังจากที่ได้ทำงานร่วมกันแล้ว ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากทีเดียวกับการหาข้อมูลของแอฟซิส เนื่องจากจะต้องเป็นข้อมูลที่ได้จากการรายงานของประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ และเอามาทำการวิเคราะห์ตามหลักวิชาการ

ความจริงหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลด้านการเกษตรสำหรับประเทศไทย ใครๆ ที่อยู่ในแวดวงของเกษตรก็ย่อมทราบว่า สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร หรือ สศก. จัดเป็นองค์กรหรือหน่วยราชการหลักที่เชี่ยวชาญมากที่สุด การที่มีแอฟซิสมาตั้งอยู่ด้วยกันจึงถือว่าเหมาะสมที่สุดเช่นเดียวกัน ทั้งนี้เพราะแอฟซิสนอกจากจะได้งบประมาณด้านการทำงานจากประเทศญี่ปุ่นแล้ว ยังต้องใช้บุคลากรส่วนใหญ่จากทาง สศก. ซึ่งเชี่ยวชาญอยู่แล้ว แต่ทว่าข้าราชการเหล่านี้ อาจต้องเหนื่อยหน่อย เพราะต้องทำงาน 2 หน้าที่ วิ่งไปวิ่งมา น่าเห็นใจมาก ยิ่งท่านผู้จัดการแอฟซิสคนปัจจุบัน ต้องทำงานช่วยท่านเลขาธิการ สศก.อีก เท่ากับว่าต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้นถึง 3 หน้าที่เลยทีเดียว

ผมพูดถึงแอฟซิสวันนี้ ก็เพียงอยากจะแนะนำองค์กรระหว่างประเทศระดับอาเซียนหน่วยนี้ให้ท่านผู้อ่านได้รู้จัก ซึ่งความจริงแอฟซิสน่าจะถือว่าเป็นองค์กรคู่แฝดของแอปเตอร์ก็ว่าได้ เพราะเราตั้งขึ้นมาเป็นตัวเป็นตนเกือบพร้อมๆ กัน อีกทั้งก็มาอาศัยชายคาของ สศก.ทั้ง 2 หน่วย เหมือนกัน ตั้งแต่แรกเริ่มเดิมที ทั้งนี้ เนื่องจากผู้บริหารของ สศก.ในยุคก่อนอีกนั่นแหละที่เป็นตัวตั้งตัวตี ร่วมกันสร้างและผลักดันองค์กรระหว่างประเทศทั้งสองแห่งนี้ ยิ่งปัจจุบันทาง สศก.ยกชั้น 2 ของอาคารนวัตกรรมหลังใหม่ให้เราทั้งคู่อยู่ด้วยกัน ก็ถือว่าชั้นนี้ทั้งชั้นเป็นองค์กรอินเตอร์ไปโดยอัตโนมัติ ปัจจุบัน ทาง สศก.ได้อนุเคราะห์ปรับปรุงห้องประชุมชั้น 2 ให้ใช้ร่วมกัน เป็นห้องประชุมที่ถ้าสำเร็จตามแปลนจะหรูหรามาก มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน ด้วยว่าจากนี้ไป เราคงต้องมีการใช้การประชุมระหว่างประเทศมากขึ้น รวมทั้งทางใกล้และทางไกล ก็ต้องขอบคุณทางรัฐบาลไทยที่ลงทุนสนับสนุนสองหน่วยงานนี้แบบไม่อั้น สมกับที่เหล่าบรรดาประเทศสมาชิกไว้วางใจยอมให้มาตั้งในประเทศไทย ทั้งที่มีหลายประเทศอาสาที่จะให้เป็นแหล่งที่ตั้ง

หน่วยงานแอฟซิสนี้ ก็มีผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่น 1 คน ถูกส่งมาทำงานประจำเหมือนแอปเตอร์เช่นเดียวกัน เวลาทำงานเข้าห้องน้ำก็เดินผ่านกันประจำ ทักทายกันอยู่เกือบทุกวัน นอกจากนี้ ก็ยังมีเจ้าหน้าที่จ้างมาแบบชั่วคราวอีกหลายคน ทำหน้าที่ติดตามข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล แล้วรายงานออกมาเป็นเอกสารรายครึ่งปี รายเดือน รวมทั้งการพยากรณ์เกี่ยวกับความมั่นคงทางอาหาร เช่น ผลผลิตข้าว การใช้ สต๊อกคงเหลือ ความจริงองค์กรแอฟซิสเองสมาชิกหลายฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายไทยเรา พยายามอย่างยิ่งที่จะผลักดันให้เป็นองค์กรประเภทถาวรแบบเดียวกับแอปเตอร์แต่หลายประเทศก็ยังไม่ค่อยจะเห็นด้วย ประการหนึ่งพูดตรงๆ คือคงไม่อยากจะเสียเงินบริจาคแบบประจำ เมื่อเปรียบเทียบกับประโยชน์ที่จะได้รับ กล่าวคือ มีแต่เรื่องข้อมูลที่ทุกประเทศก็สามารถทำเองจัดการเองได้ บางคนก็ไม่ทราบหรือไม่สนใจว่าจะมีข้อมูลของประเทศอื่นๆ ไปทำไมกัน

แต่ทว่าในความเป็นจริงแล้ว การมีแอฟซิสถือว่ามีความจำเป็นมาก เพราะเกี่ยวเนื่องกับข้อมูล ซึ่งหากไม่มีใครดูแลดำเนินการในภาพรวม ความเข้มแข็งของอาเซียนก็คงจะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากมาก ดูอย่างสหรัฐอเมริกา ที่มีหน่วยงานทำหน้าที่เก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลด้านการเกษตรของทุกประเทศทั่วโลก ที่เรียกว่าข้อมูล USDA ที่ทุกคนเรียกติดปาก ใครหาข้อมูลอะไรไม่ได้ ก็ต้องไปค้นหาของ USDA ทำไมเขายังทำได้ แต่ของเราเพียง 10 ประเทศเท่านั้น กลับมีปัญหา ก็คงต้องช่วยกันผลักดัน ทำความเข้าใจกันไปเรื่อยๆ จนกว่าทุกฝ่ายจะเข้าใจครับ

ชาญพิทยา ฉิมพาลี

chanpithya@apterr.org

ซอกแซกอาเซียน : 8 เมษายน 2564 #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/564617

ซอกแซกอาเซียน : 8 เมษายน 2564

วันพฤหัสบดี ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2564, 06.00 น.

การช่วยเหลือด้านข้าวของแอปเตอร์ยังคงดำเนินต่อไป ถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถเดินทางไปมาหาสู่กันได้ เพราะโปรแกรมการดำเนินงานที่ค้างอยู่จากปีที่แล้ว คือปี 2020 ยังคงต่อเนื่องมาถึงวันนี้ ตอนนี้เรายังมีข้าวส่งไปเก็บรักษาอยู่ใน 3 ประเทศด้วยกัน คือ กัมพูชา เมียนมา และฟิลิปปินส์ แถมยังมีข้าวแบบใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวเป็นครั้งแรก คือ ข้าวกึ่งสำเร็จรูป ที่ผมเคยเล่าไปบ้างแล้วจากการที่ผู้แทนประเทศญี่ปุ่นได้ริเริ่มและนำตัวอย่างมาให้ทุกคนทดลองชิมในคราวประชุมคณะมนตรีแอปเตอร์ที่ประเทศมาเลเซีย เมื่อ 2 ปีก่อน จนกระทั่งในปีนี้ได้นำออกมาดำเนินการจริง โดยประเทศญี่ปุ่นเป็นผู้ผลิตและบริจาค ชุดแรกที่นำออกมาทดลองใช้ได้ส่งไปที่ประเทศฟิลิปปินส์ จำนวน 20,000 ชุด และที่ประเทศเมียนมา จำนวน 20,000 ชุด เท่ากัน คิดว่า เมื่อนำไปแจกจ่ายประชาชนที่ประสบภัยน่าจะได้รับความสะดวกในการบริโภคมากกว่าการแจกเป็นข้าวสาร เนื่องจากข้าวกึ่งสำเร็จรูปนี้สามารถเอาน้ำร้อนเทใส่ ทิ้งไว้สักพักก็บริโภคได้เลย แถมยังมีกลิ่นรสชาติปรุงเสร็จแล้ว กินได้แม้ไม่มีกับข้าว แต่นี่เป็นตัวอย่างที่ผู้แทนญี่ปุ่นมาลองให้ชิมในที่ประชุมนะครับ ส่วนที่ส่งไปจริงๆ ทั้งสองประเทศ ไม่แน่ใจว่าจะเหมือนกันหรือเปล่า เพราะผมยังไม่เคยเห็นเช่นกัน ทั้งนี้ เนื่องจากเขาส่งตรงจากต้นทางประเทศญี่ปุ่น ทางเรือเดินสมุทรยังประเทศปลายทางเลย ออฟฟิศที่ผมทำงานอยู่กรุงเทพฯ เพียงแต่เห็นเอกสารเท่านั้น ของจริงไม่มีวันได้เห็นนอกจากจะมีโอกาสเดินทางไปร่วมมอบข้าว ในช่วงที่ประเทศผู้รับจัดงาน แต่ทว่าในตอนนี้ ไม่มีโอกาสนั้นเพราะโควิด-19 นั่นแหละครับ

เมื่อพูดถึงเรื่องการขนส่งข้าว หรือที่เรียกกันว่า ชิปปิ้ง เดิมทีเดียวผมต้องยอมรับว่า ไม่เคยมีความรู้ทางด้านนี้เลย ที่เคยมีเรียนมาหรือฟังจากการพูดคุยมาบ้างน่าจะรู้พอๆ กับท่านผู้อ่านที่รู้จักอยู่คำสองคำ คือ เอฟโอบี กับ ซีไอเอฟ เท่านั้นแหละครับ แต่เมื่อมาทำงานที่แอปเตอร์ ได้ฟังคำอธิบายจากน้องๆ รวมทั้งคุยกับผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่น ก็ทำให้ทราบอะไรมากขึ้นอีก แต่ก็คงไม่ชำนาญ เพราะเราทราบแต่ทางทฤษฎี เนื่องจากไม่เคยได้ไปปฏิบัติตรงเลยสักครั้ง กระนั้นก็ฟังว่ายุ่งยากพอสมควร เพราะมันไปเกี่ยวข้องกับเรื่องกฎหมายภาษีและระเบียบพิธีทางศุลกากร เอาแค่เพียงได้ฟังรายงานจากการขนข้าวผ่านศุลกากรตอนส่งถึงประเทศปลายทางก็มึนหัวแล้ว เป็นเรื่องไม่ง่ายเลย เดี๋ยวติดโน่นติดนี่ ทั้งๆ ที่ข้าวสารที่ส่งไปนี้ก็เป็นของฟรีส่งไปช่วยเหลือเชิงมนุษยธรรมแก่ประชาชนประเทศเขาแท้ๆ ยังเรื่องมากอีก ใบเอกสารต่างๆ ต้องมีเตรียมเป็นกระตั๊ก มากบ้างน้อยบ้าง แล้วแต่ประเทศ เดี๋ยวเสียค่าโน่นค่านี่ จนผู้ประกอบการขนส่ง งงงวยแต่ก็ต้องควักจ่ายไป เพราะต้องการขนถ่ายลงจากเรือให้เร็วที่สุด

ฝ่ายเราแอปเตอร์ก็ต้องไปทบทวนย้ำเตือนตลอดว่า ตามสัญญาที่ทำไว้ใครจะรับผิดชอบส่วนใด บางครั้งก็ต้องมีการไปเคลมคืนกันภายหลังอยู่บ่อยๆ เรื่องนี้จึงเป็นที่มาของการขายสินค้าเกษตรของประเทศไทยไปต่างประเทศที่มักนิยมขายแบบ เอฟโอบี คือ หมายถึงคิดราคาขาย ณ เวลานำสินค้าลงเรือที่ท่าเรือ กล่าวคือ เมื่อขนสินค้าลงเรือแล้วก็ส่งมอบกรรมสิทธิ์สินค้าทั้งหมดให้กับผู้ซื้อเลย ฉะนั้น ภายหลังจากนั้นหากเกิดมีค่าใช้จ่ายอะไรขึ้น หรือเกิดความเสียหายอย่างใดๆ กับสินค้า ผู้ขายไม่เกี่ยวข้องด้วย ความรับผิดชอบทั้งหมดตกไปเป็นของผู้รับซื้อไป ราคา เอฟโอบีนี้จึงอาจถูกกว่าราคาแบบ ซีไอเอฟ ที่ต้องบวกเพิ่ม เช่น ค่าระวาง ค่าประกันภัยซึ่งกลายเป็นความรับผิดชอบที่มากขึ้น นอกจากนี้ ในปัจจุบันยังมีระบบการซื้อขายและส่งสินค้าที่มากกว่านี้อีก มีชื่อเรียกใหม่ๆ มากขึ้น จนจำไม่หวาดไหว ถึงว่าสิ ในการทำเรื่องนี้ จึงได้มีบริษัททำหน้าที่ชิปปิ้งโดยเฉพาะ เหมือนกับการต้องมีทนายความรับทำการว่าความอย่างไงอย่างนั้น

ความสะดวกสบายในการส่งสินค้าผ่านแดน ก็แล้วแต่ประเทศอีก ถ้ากระทรวงเกษตรฯ ผู้ขอรับข้าวบริจาคแอปเตอร์รู้จักมักจี่กับทางศุลกากรดี สังเกตว่าประเทศนั้นก็สามารถนำเข้าข้าวไปได้ง่าย แต่หากบางประเทศไม่คุ้นเคยรู้จักกัน การผ่านก็ค่อนข้างล่าช้ายุ่งยากมากขึ้น และก็เดือดร้อนมาทางฝ่ายสำนักเลขานุการแอปเตอร์ทุกครั้งไป ที่ต้องคอยเคลียร์ส่วนใหญ่เป็นการขอร้องบริษัทเรือขนส่ง เพราะค่อนข้างพูดง่าย เนื่องจากเราต้องจ่ายเงินค่าจ้าง ไม่งั้นก็คงจะยุ่งยากลำบากมากทีเดียว

ชาญพิทยา ฉิมพาลี

chanpithya@apterr.org

ซอกแซกอาเซียน : 1 เมษายน 2564 #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/563098

ซอกแซกอาเซียน : 1 เมษายน 2564

วันพฤหัสบดี ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2564, 06.00 น.

ช่วงนี้ก็เป็นช่วงที่พวกเราต้องวุ่นวายเกี่ยวกับการเตรียมการจัดประชุมคณะมนตรีแอปเตอร์ประจำปี 2021 เนื่องจากเป็นเวลาที่กำหนดไว้ว่าต้องจัดในช่วงไตรมาสแรกของปี ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้เร่งอนุมัติแผนงานและแผนเงินเพื่อให้ฝ่ายสำนักเลขานุการแอปเตอร์ คือ สำนักงานของพวกเราไปทำงานกัน เดิมช่วงที่ก่อนผมเข้ามาเป็นผู้จัดการใหม่ๆ การประชุมคณะมนตรีของแอปเตอร์ค่อนข้างล่าช้า คือ ครั้งที่ 4 คราวที่ประเทศกัมพูชาเป็นเจ้าภาพนั้น ไปจัดเอาเดือนพฤษภาคมโน่น เลยทำให้แผนงาน/เงินของฝ่ายสำนักเลขานุการค่อนข้างมีปัญหา ดังนั้น ในคราวที่ประชุมกันที่ประเทศอินโดนีเซียครั้งต่อมา หรือครั้งที่ 5 คณะมนตรีเลยมีมติกำชับขอให้ประเทศเจ้าภาพเร่งรัดจัดประชุมให้ไม่ควรเกินไตรมาสแรกของปี หรือไม่เกินเดือนมีนาคม ซึ่งทุกประเทศที่เป็นเจ้าภาพก็ให้ความร่วมมือปรับเปลี่ยนจากนั้นเป็นต้นมา

จำได้ว่าช่วงนี้เมื่อปีที่แล้ว พวกเราก็กำลังง่วนอยู่กับการเตรียมการประชุมแบบเดียวกันซึ่งประเทศเมียนมาเป็นเจ้าภาพ นี่แป๊บเดียวเวลาผ่านมาเกือบ 1 ปีแล้ว ช่างเร็วเสียเหลือเกิน ยังนึกถึงเมืองพุกามเหมือนเพิ่งผ่านมาไม่กี่วัน การประชุมคณะมนตรีแอปเตอร์แต่ละครั้ง ช่วยสร้างบรรยากาศในการร่วมแรงร่วมใจสมานฉันท์ระหว่างสมาชิกอาเซียนด้วยกัน รวมไปถึงประเทศกลุ่มบวกสาม คือ จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ด้วย ผมสังเกตมาตั้งแต่แรกแล้วว่า ผู้แทนแต่ละประเทศที่มีตำแหน่งฐานะบังคับไว้ในระเบียบแอปเตอร์ คือ ต้องไม่ต่ำกว่ารองอธิบดี ทุกคนมีท่าทีโอภาปราศรัย มีอัธยาศัยไมตรีเป็นมิตรดีมาก ทั้งๆ ที่ไม่เคยพบปะกันมาก่อน อยู่กันคนละประเทศ พูดกันคนละภาษา แต่ครั้นเมื่อมาพบกันได้จับไม้จับมือกันสักพัก กลับพูดคุยกันสนิทสนมกันราวกับว่าเป็นเพื่อนกันมาเป็นปีๆ ที่น่าประทับใจยิ่งหมายถึง ไม่ว่าจะมาจากประเทศร่ำรวย หรือยากจน มีแผ่นดินกว้างใหญ่ หรือเพียงนิดเดียว ไม่มีใครแสดงออกให้เห็นถึงการดูถูกดูแคลน แบ่งชนชั้น แบ่งผิวแบ่งเพศ

ตรงข้ามกลับให้เกียรติซึ่งกันและกัน พูดจาภาษาดอกไม้ ไม่มีใครสร้างปัญหาอุปสรรค หรือแม้แต่จะพูดหรือกระทำในสิ่งที่ก่อนเกิดความระคายเคืองซึ่งกันและกันแม้แต่น้อย ผมสังเกตและนึกในใจว่า หากทุกอย่างที่แสดงออกมานั้น เป็นความบริสุทธิ์ใจอย่างแน่แท้ นี่ก็คือความสวยงามและความเป็นอารยะของมนุษยชาติในมิติหนึ่งทีเดียว เป็นความพิเศษยิ่งที่ควรอนุรักษ์ธำรงไว้ และจนถึงเวลานี้ ผมเองยังไม่แน่ใจเลยว่าทฤษฎีรัฐศาสตร์เชิงสังคมวิทยาระหว่างนักปราชญ์ชาวตะวันตกผู้โด่งดัง 2 คนที่มีความคิดเห็นตรงข้ามกัน คือ โทมัส ฮอบส์ กับจอห์น ล็อก ที่คนหนึ่งว่า โดยพื้นฐานแล้วมนุษย์เกิดมาชั่ว แล้วสังคมทำให้ดี กับอีกคนหนึ่งว่า มนุษย์เกิดมาดี แต่สังคมทำให้ชั่ว นั้น ใครผิดใครถูกกันแน่

พวกเรารวมทั้งผู้แทนประเทศสมาชิก ต่างตั้งหน้าตั้งตารอที่จะไปเข้าร่วมประชุมคณะมนตรี ครั้งหน้าที่คุณจูดี้ นายใหญ่ เอ็นเอ็ฟเอ ของฟิลิปปินส์ประกาศไว้ที่พุกาม ว่าจะจัดขึ้นที่เมืองโฮล เกาะโบโฮล ตอนกลางของประเทศ ทั้งนี้เพราะเมืองนี้นอกจากจะตั้งอยู่ใกล้เมืองตากอากาศเซบู ที่โด่งดังของฟิลิปปินส์ แล้ว ยังเป็นที่ตั้งของแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศนี้อีก คือ ช็อกโกแลต ฮิลล์ ที่ก็คือ ภูเขายอดเตี้ยๆ สีน้ำตาลจากต้นไม้ชนิดหนึ่ง มีจำนวนมากมายอยู่เรียงรายเหมือนฝาขนมครก ผมเองไม่เคยไปเลย แม้แต่เมืองเซบู เคยไปแต่เกาะที่อยู่ตอนกลางประเทศเหมือนกันช่วงที่ทำงานแอปเตอร์ใหม่ๆ คือ เกาะซามาร์ เมืองคาตามาน และเกาะปาไนย์ อันเป็นที่ตั้งของเมืองอิโลอีโล่ ซึ่งเคยเล่าให้ฟังไปแล้วครั้งหนึ่ง จึงมีความตื่นเต้นเช่นเดียวกันที่จะได้ไปเยี่ยมชมเจ้าช็อกโกแลต ฮิลล์

แต่ก็เพราะเป็นอย่างที่ทราบกัน คือ พิษร้ายจากเจ้าไวรัสโควิด-19 ที่เป็นอุปสรรคขวากหนามสำคัญ ทำให้พวกเราทั้งหมดไม่สามารถเดินทางไปประชุมตามที่ตั้งใจไว้ได้ ต้องผิดหวังไปตามๆ กัน ทั้งทีมงานประเทศเจ้าภาพที่เตรียมตั้งท่าต้อนรับขับสู้อย่างมุ่งมั่น และผู้แทนประเทศต่างๆ รวมทั้งคณะพวกเรา แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเราชินเสียแล้วกับวิถีชีวิตใหม่ สรุปแล้วที่ผ่านมาทั้งปี เราไม่ได้ไปร่วมงานใดๆ ในต่างประเทศเลย ตอนนี้ก็รอเพียงว่าเมื่อไหร่ จึงจะมีวัคซีนโควิด เพื่อจะได้ฉีดป้องกันและจะได้เดินทางไปทำหน้าที่กันอย่างเต็มพิกัดต่อไป

ชาญพิทยา ฉิมพาลี

chanpithya@apterr.org

ซอกแซกอาเซียน : 25 มีนาคม 2564 #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/561521

ซอกแซกอาเซียน : 25 มีนาคม 2564

วันพฤหัสบดี ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2564, 06.00 น.

เมื่อช่วงกลางเดือนมกราคม ปีนี้ สำนักเลขานุการแอปเตอร์ ได้มีโอกาสจัดประชุมสองฝ่ายระหว่างคณะเราและผู้แทนฝ่ายญี่ปุ่น ผลของโควิด-19 ทำให้เราต้องจัดประชุมพูดคุยกันแบบเทเลคอนเฟอเรนซ์ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในหลายๆ นิว นอร์มอล ที่เปลี่ยนแปลงมาเหตุจากเจ้าเชื้อไวรัสร้ายที่เกิดระบาดมากว่าปีแล้วยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบบางเบาลงไปที่ผ่านมาเกือบสองสามเดือนผมไม่ได้นำเสนอผู้อ่านเกี่ยวกับเรื่องของกิจกรรมแอปเตอร์เลย หากแต่ไปเอาเรื่องข้าวๆ ที่ผมมีความรู้และประสบการณ์อยู่บ้างมาเล่าสลับฉาก

การประชุมแบบทางไกล หรือเทเลคอนเฟอเรนซ์ เดี๋ยวนี้ฮิตมากแม้แต่การประชุมของหน่วยงานภาครัฐของประเทศไทย ทุกวันนี้ก็พบเห็นเป็นประจำ แต่ของแอปเตอร์เรานั้นพูดกันข้ามประเทศ ทำให้การเตรียมระบบต่างๆ ต้องมีความสมบูรณ์พอควร ไม่งั้นอาจไม่ชัดทั้งภาพและเสียงพูด การประชุมกับทางญี่ปุ่นครั้งนี้ ถือเป็นความใส่ใจของฝ่ายญี่ปุ่นอันเป็นธรรมชาติของเขาโดยแท้ เพราะที่ผ่านมานอกจากที่ได้จัดประชุมกับฝ่ายเกาหลีใต้แล้ว ก็ไม่มีรายการประชุมสองฝ่ายในลักษณะนี้สำหรับประเทศสมาชิกอื่นเลย และด้วยความที่สำนักเลขานุการแอปเตอร์เรามีผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นมาประจำอยู่ด้วย จึงทำให้การประชุมครั้งนี้มีความเป็นทางการมากขึ้น เพราะมีการจัดทำระเบียบวาระการประชุมและมีการยกร่างคำกล่าวต่างๆ ซึ่งในเบื้องต้นที่ผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นมาหารือกับผมว่าอยากจะมีการพบปะพูดคุยกัน ตอนแรกก็ย้ำว่า ต้องการพูดคุยแบบง่ายๆ กันเองๆ ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมากนัก แต่เมื่อเตรียมไปเตรียมมา ทางฝ่ายกระทรวงเกษตรญี่ปุ่นนำไปรายงานท่านอธิบดีนายใหญ่ของเขา กลายเป็นว่าท่านอธิบดีเขาอยากจะมาร่วมประชุมพูดคุยด้วยตนเอง เพราะท่านอธิบดีท่านนี้ก็ได้เคยพบกับผมอยู่หลายครั้ง ทั้งในประเทศญี่ปุ่น ประเทศไทย รวมทั้งตอนไปลงนามความตกลงฉบับแก้ไขที่ประเทศเวียดนามเมื่อปี 2018 ด้วย

ดังนั้น จากที่บอกว่าประชุมแบบไม่ทางการก็เลยกลายเป็นกึ่งทางการขึ้นมาทันที จากที่เพียงตกลงกันว่าใส่เสื้อเชิ้ตธรรมดา ก็ต้องมีแจ๊กเกตสูทสวมทับ และบางคนก็ยังจัดเต็มผูกเนคไทอีก มีวาระการประชุม มีการร่างคำกล่าว มีโฆษก หรือ เอ็มซี กันเต็มพิกัด ซึ่งก็ได้มอบหมายให้ผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นประจำแอปเตอร์นั่นแหละทำหน้าที่โฆษก วาระที่สำคัญ คือ การแนะนำผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นคนใหม่ที่จะส่งมาประจำแอปเตอร์แทนคนเก่าที่นั่งอยู่ปัจจุบัน เพราะมาอยู่เมืองไทยครบ 2 ปี แล้วต้องเดินทางกลับสิ้นเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ และคนใหม่จะมาแทนในเดือนเมษายน ท่านอธิบดีมาอ่านกล่าวทักทายแล้วก็กลับออกไปส่วนการพูดคุยได้มอบหมายให้ ผู้อำนวยการกองของเขาทำหน้าที่ พอดีท่าน ผอ. ท่านก็เป็นคนใหม่ จึงเหมาะสมที่จะทำความรู้จักกันไปด้วยเลย ท่านเล่าว่า ในอดีตประมาณ 10 ปี ท่านก็เคยมาประจำอยู่สถานทูตญี่ปุ่นในกรุงเทพฯ ท่านคุ้นเคยเมืองไทยเป็นอย่างดี แถมยังมีการพูดภาษาไทยอยู่อีกด้วยในบางคำ สรุปแล้วก็ชื่นมื่นกันดี ภารกิจอีกอย่างที่ได้พูดคุยก็คือการสนับสนุนของญี่ปุ่นต่อแอปเตอร์ นับเป็นประเทศแรกที่พูดถึงการต่อระยะเวลาการบริจาคเงินทุนให้แอปเตอร์ ซึ่งรายละเอียดผมจะนำมาคุยภายหลัง แต่ ณ โอกาสนี้ผมเพียงอยากจะเล่าว่า นับเป็นความพิเศษของญี่ปุ่นจริงๆ ที่เขาใส่ใจและติดตามความเป็นไปขององค์กรตลอด เขารู้ว่าถึงเวลาไหน องค์กรแอปเตอร์ควรจะทำอะไร และไม่เคยปล่อยให้สิ่งสำคัญนั้นผ่านเลยไป จะต้องยกมากล่าวเตือนล่วงหน้าทุกครั้ง ลักษณะแบบนี้ที่ผมกล่าวชื่นชมญี่ปุ่น ก็เพราะว่า จนถึงปัจจุบันผมยังไม่เห็นสมาชิกแอปเตอร์ประเทศอื่นๆ พูดถึงเรื่องการบริจาคเงินนี้ให้ได้ยินเลยครับ

ชาญพิทยา ฉิมพาลี

chanpithya@apterr.org