ซอกแซกอาเซียน : 24 ธันวาคม 2563 #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/540757

ซอกแซกอาเซียน : 24 ธันวาคม 2563

ซอกแซกอาเซียน : 24 ธันวาคม 2563

วันพฤหัสบดี ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2563, 06.00 น.

คณะแอปเตอร์ของเราได้รับความอนุเคราะห์อย่างดียิ่งจากท่านผู้อำนวยการศูนย์วิจัยข้าวปทุมธานี ที่ท่านได้กรุณาจัดนักวิชาการมาบรรยายด้านงานวิจัยและผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ทำอยู่ในปัจจุบัน และแถมยังนำพวกเรานั่งรถยนต์ไปชมทัศนียภาพแปลงวิจัยข้าวของศูนย์ในอาณาบริเวณติดกัน รวมทั้งพาไปเยี่ยมชมธนาคารเชื้อพันธุ์ข้าวไทย ที่เก็บรวบรวมสายพันธุ์ข้าวที่มีถิ่นกำเนิดและเจริญเติบโตอยู่ในทุกภูมิภาคของไทย เพื่อประโยชน์ในการอนุรักษ์และเป็นเชื้อพันธุ์ในการพัฒนาพันธุ์ข้าวไทยทั้งในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นความสำคัญและมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการสร้างเสริมศักยภาพในการแข่งขันส่งออกข้าวไทย ไหนๆ มีโอกาสได้พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ในฐานะที่มีประสบการณ์เพราะเคยอยู่ในวงการนี้มายาวนาน และก็ได้ทราบได้เห็นว่าหลายสิ่งหลายอย่าง พวกเราบางคนยังมีความไขว้เขวเข้าใจผิดกันอยู่มาก จึงขออนุญาตถ่ายทอดทำความเข้าใจในบางเรื่องที่สำคัญไว้พอสังเขป ดังนี้ครับ

ประการแรกที่อยากจะกล่าวถึงมากที่สุด คือ เรื่องการวิจัยพัฒนาพันธุ์ข้าวของไทยความจริงประเทศไทยเรานั้นโชคดีมากที่มีต้นทุนด้านพันธุ์ข้าวคุณภาพดีอยู่ในระดับแนวหน้าของโลก โดยในอดีตประมาณปี พ.ศ.2476 ประเทศไทยได้รับรางวัลข้าวคุณภาพดีอันดับหนึ่งของโลก จากการส่งเข้าประกวดข้าวโลกที่ประเทศแคนาดา ทำให้ชื่อเสียงข้าวไทยโด่งดัง และเป็นที่มาของการส่งออกข้าวเป็นอันดับหนึ่งของโลกในยุคหลังจากนั้น และการที่เราสามารถมีข้าวส่งออกได้มากๆ นอกจากเป็นเพราะเรามีพันธุ์ข้าวที่ดีแล้ว ก็สืบเนื่องจากประเทศไทยมีพื้นที่ราบลุ่มเหมาะแก่การทำนาอยู่มากเกินกว่าที่พลเมืองชาวไทยจะบริโภคได้หมด อันนี้ต่างจากบางประเทศที่พื้นที่ปลูกข้าวมีน้อย หรือไม่ก็เกิดภัยธรรมชาติเยอะทำลายผลผลิตข้าว เลยทำให้ข้าวไม่พอกินหรือไม่เหลือส่งออก แต่กระนั้น ต่อมาระยะหลังๆ หลายประเทศก็ได้มีการพัฒนาข้าวในด้านต่างๆ และสามารถยกระดับกลายมาเป็นผู้ผลิตและส่งออกข้าวแข่งกับประเทศไทยได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาด้านพันธุ์ข้าว ซึ่งนอกจากจะมีคุณภาพหุงต้มที่ดี ถูกใจของผู้ซื้อ ถูกปากผู้บริโภค ราคายังต้องถูกกว่าด้วย ซึ่งก็เหมือนกับสินค้าทั่วไป เรื่องนี้จึงทำให้เกิดผลกระทบกับการส่งออกข้าวของไทยในปัจจุบัน

หลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องจึงเกิดคำถามว่าทำไมนักวิจัยบ้านเราจึงไม่พยายามพัฒนาคุณภาพข้าวไทยให้ดำรงความเป็นหนึ่งดังที่เคยเป็น เรื่องนี้จากการพูดคุยกับนักวิชาการด้านข้าว ผมขอเรียนข้อเท็จจริงว่า แม้จำนวนนักวิจัยและงบประมาณจากรัฐที่จัดสรรให้จะไม่ค่อยพอเพียง แต่ทางกรมการข้าวก็ได้จัดทำแผนงานวิจัยพันธุ์ข้าวสืบต่อเนื่องมาโดยตลอดทุกปี ทั้งๆ ที่การวิจัยให้ได้พันธุ์ข้าวพันธุ์ใหม่แต่ละพันธุ์ต้องใช้เวลาประมาณ 10 ปี ก็ตาม (ทั้งนี้เพราะเครื่องไม้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่จะเร่งงานวิจัยให้เร็วขึ้นเรายังมีน้อยมาก) เรามีสายพันธุ์ข้าวที่วิจัยเสร็จแล้วแต่เก็บสต๊อกไว้มากมายหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นประเภทข้าวหอม ข้าวพื้นแข็ง ข้าวนุ่ม ข้าวเหนียว ข้าวเมล็ดสั้น ข้าวอุตสาหกรรม ข้าวลูกผสมที่ให้ผลผลิตสูงมาก รวมทั้งข้าวอื่นๆ อีกเยอะแยะ ขาดแต่เพียงยังไม่นำมาผ่านกระบวนการขั้นสุดท้ายที่จะสามารถนำเอาพันธุ์ข้าวนั้นมาใช้ปลูกได้อย่างถูกต้อง คือการประกาศรับรองพันธุ์ตามระเบียบของทางราชการ โดยคณะกรรมการรับรองพันธุ์ข้าว ซึ่งประกอบด้วยนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญ นักการตลาด รวมทั้งผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน ได้แก่ พ่อค้า โรงสี ตลอดจนตัวชาวนา

ถามว่าถ้าเป็นดังนี้แล้วทำไมเราไม่รีบเอาพันธุ์ข้าวดีๆ ที่วิจัยได้มารับรองและส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกล่ะ อันนี้แหละคือปัญหาที่กรมการข้าวต้องใคร่ครวญอย่างละเอียดถี่ถ้วน เนื่องจากในอดีตที่ผ่านมากรมการข้าวถูกตำหนิติเตียนมากมาย โดยถูกกล่าวหาว่าออกพันธุ์ข้าวมามากเกินไปจนทำให้ตลาดสับสน ทำตลาดยาก เคยขายข้าวอย่างหนึ่งแต่มาออกอีกพันธุ์หนึ่ง ตลาดไม่รู้จักต้องไปเริ่มตั้งต้นนับหนึ่งกันใหม่ ทั้งที่ความจริงในคณะกรรมการรับรองพันธุ์ท่านผู้ตำหนิก็เคยนั่งอยู่ตรงนั้น ก็เลยงงกันไปเรื่องของเรื่องก็คือ การวิจัยพันธุ์ข้าวมันไม่ได้แค่เพียงสนองตอบเฉพาะความต้องการของตลาดแต่เพียงอย่างเดียว หากแต่ยังต้องสนองตอบต่อปัญหาใหม่ๆ รอบด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างรายได้แก่ชาวนา เนื่องจากโลกมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เช่น มีโรค เกิดแมลงมีน้ำแล้ง เจออากาศร้อน อากาศหนาว พันธุ์เก่าที่เคยปลูกกลับไม่ได้ผลผลิต หรืออ่อนแอต่อโรคแมลง ก็จำเป็นต้องหาพันธุ์ใหม่ปลูกแทน และนี่ก็คือความเป็นจริงพื้นฐานประการแรกของงานวิจัยข้าวของไทยเราครับ

ชาญพิทยา ฉิมพาลี

chanpithya@apterr.org

ซอกแซกอาเซียน : 17 ธันวาคม 2563 #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

ในประเทศ – ซอกแซกอาเซียน : 17 ธันวาคม 2563 (naewna.com)

ซอกแซกอาเซียน : 17 ธันวาคม 2563

ซอกแซกอาเซียน : 17 ธันวาคม 2563

วันพฤหัสบดี ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2563, 06.00 น.

เมื่อราวต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา สำนักเลขานุการแอปเตอร์ ได้มีโอกาสพาคณะเจ้าหน้าที่ไปศึกษาดูงานในประเทศไทย โดยได้ไปเยี่ยมชม 3-4 จุดด้วยกัน ทั้งนี้ก็อย่างที่ได้เคยเล่าไปแล้วว่า เราต้องการที่จะเพิ่มความรู้และประสบการณ์ให้แก่เจ้าหน้าที่ให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าทันโลกทันเหตุการณ์ เพราะในเวทีระหว่างประเทศนั้น เราจะต้องพบปะกับคนทุกชั้นทุกตำแหน่ง ตั้งแต่ระดับเสมียนไปจนถึงระดับรัฐมนตรี ยิ่งหน่วยงานของเราเป็นลักษณะหน่วยบริการกลางเพื่อประเทศสมาชิก ดังนั้นเจ้าหน้าที่เราทุกคนต้องมีความ smartand up to date กันพอสมควร เพราะต้องตอบคำถามต่างๆ ได้เกือบทุกเรื่อง เท่าที่เขาจะต้องการคำตอบ

คณะเราได้ไปเยี่ยมชมศูนย์วิจัยข้าวปทุมธานี ที่ตั้งอยู่อำเภอธัญบุรี ริมคลองรังสิต เพื่อศึกษาดูงานเกี่ยวกับงานวิจัยข้าวของประเทศไทยในด้านต่างๆ ความจริงการที่น้องๆ ในที่ทำงานแอปเตอร์เสนอว่าอยากไปชมศูนย์วิจัยข้าวแห่งนี้ในฐานะที่อดีตที่ผมก็เคยรับราชการทำงานอยู่ในกรมการข้าวมาก่อน ก็รู้สึกเฉยๆ เพราะสถานที่แห่งนี้ เคยไปมานับครั้งไม่ถ้วน แทบจะทราบเกือบทุกรายละเอียด แต่กระนั้นเพื่อประโยชน์ของเจ้าหน้าที่แอปเตอร์ดังที่กล่าวแล้ว ก็เห็นว่าพวกเขาจะได้ประโยชน์ ก็เลยสนับสนุนให้ไปกัน

ศูนย์วิจัยข้าวปทุมธานี ตั้งมาจนครบร้อยปีไปแล้วเมื่อไม่นานมานี้เอง เป็นศูนย์วิจัยข้าวแห่งแรกของประเทศไทย เท่าที่ทราบ การจัดตั้งเกิดจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ซึ่งในสมัยนั้นทุ่งรังสิต ถือเป็นแหล่งปลูกข้าวที่สำคัญยิ่งของประเทศ เป็นแหล่งผลิตข้าวเพื่อบริโภคภายในและยังสามารถส่งไปจำหน่ายในต่างประเทศได้ จนกระทั่งเป็นที่มาของการขุดคลองรังสิตในระยะต่อมา เพื่อประโยชน์ในการชลประทานนาข้าว และเพื่อให้มีการค้นคว้าวิจัยด้านวิทยาการข้าวควบคู่กันไป ศูนย์ฯ แห่งนี้จึงถือกำเนิดขึ้น ถือเป็นพระวิสัยทัศน์ของในหลวงรัชกาลที่ 5 ที่ทรงวางรากฐานงานวิทยาศาสตร์ด้านข้าวที่ทรงคุณค่ามาจนตราบกระทั่งปัจจุบัน และทุกวันนี้กรมการข้าวได้พยายามอนุรักษ์รวบรวมข้อมูลและประวัติการจัดตั้งรวมทั้งสิ่งก่อสร้างต่างๆ ไว้อย่างพร้อมมูล และศูนย์แห่งนี้ก็ถือว่าเป็นศูนย์อันดับต้นๆ ของกรมการข้าว ที่มีอยู่ทั่วประเทศรวมทั้งสิ้น 28 ศูนย์ รวมทั้งเป็นศูนย์หลักสำหรับต้อนรับขับสู้แขกเหรื่อจากต่างประเทศที่มาดูงาน หรือมาฝึกอบรมทั้งนี้เนื่องจากมีระยะทางไม่ห่างจากกรุงเทพฯ อีกทั้งก็มีวัสดุอุปกรณ์ รวมทั้งกิจกรรมงานวิจัยข้าวที่ค่อนข้างครบถ้วน เมื่อเทียบกับศูนย์อื่นๆ ที่เหลือ ผมเน้นว่าวัสดุอุปกรณ์ค่อนข้างครบถ้วน เมื่อเปรียบเทียบกับศูนย์อื่นในประเทศไทยนะครับ

แต่หากจะไปเปรียบเทียบกับของประเทศญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ ที่ผมเคยไปเห็น หรือแม้กระทั่งสถาบันวิจัยข้าวนานาชาติ (International Rice Research Institute:IRRI) หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า “อีรี่” ที่ตั้งอยู่ประเทศฟิลิปปินส์แล้ว ของเรายังเป็นรองเขาแบบไม่เห็นฝุ่น ทั้งๆ ที่ประเทศเรานับยี่สิบกว่าปีติดต่อกันที่เราสามารถส่งข้าวออกจำหน่ายเป็นอันดับหนึ่งของโลก คิดเป็นมูลค่าเงินตราปีละมากกว่าแสนล้านบาท แต่การลงทุนเพื่อสร้างศักยภาพในการผลิตข้าวบ้านเรายังไม่รับการเหลียวแลเท่าที่ควรเลยครับ เรื่องนี้คงมิใช่ทางเจ้าหน้าที่ของกรมการข้าวเท่านั้นที่บ่นรำพึงรำพัน แต่ผมก็เคยได้ยินผู้มีส่วนได้เสียอื่นๆ ก็พูดออกทางสื่ออยู่เสมอ เช่น ผู้ส่งออกข้าว ผู้ประกอบการโรงสี รวมทั้งฝ่ายชาวนาโดยตรง

ไหนๆ จะพูดแล้ว ก็ขอระบายเสียเลยนะครับ และก็มิใช่เพื่อประโยชน์ของใครตัวใดๆ ทั้งสิ้น เพราะผมออกจากวงการมานานแล้ว แม้แต่จำนวนคนที่ทำงานเรื่องการพัฒนาการผลิตข้าวก็แสนจะจำกัดจำเขี่ย เสียเหลือเกิน เมื่อแรกเริ่มตั้งกรมการข้าวเมื่อสิบปีที่แล้ว มีการเขียนบทบาทภารกิจขององค์กรไว้เสียใหญ่โต ปานว่าจะทำทุกอย่างให้สำเร็จแบบเนรมิต แต่ให้คนมาเพียงกระหยิบมือเดียว บางภารกิจที่เขียนไว้ กลับต้องไปไหว้วานหน่วยงานอื่นทำให้ ทั้งที่ตัวชี้วัดด้านข้าวเขาก็ไม่มี ทำไปก็ไม่เกิดผลดีแก่เขา ลำพังแค่งานเดิมของเขาแท้ๆก็เต็มกลืนอยู่แล้ว สุดท้ายงานก็ออกมาไม่เต็มร้อย และไม่เป็นไปตามทฤษฎีสวยหรูที่ฝ่ายออกแบบผู้ไม่เคยรู้เคยเห็นความจริงคาดฝันเอาไว้ ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งในหลายๆ ความล้มเหลวของระบบราชการบ้านเรา เขียนไปเขียนมาเลยจบตรงที่ปัญหาที่คนระดับนโยบายน่าจะรู้แต่กลับไม่รู้นี่แหละครับ

ชาญพิทยา ฉิมพาลี

chanpithya@apterr.org

ซอกแซกอาเซียน : 10 ธันวาคม 2563 #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

ในประเทศ – ซอกแซกอาเซียน : 10 ธันวาคม 2563 (naewna.com)

ซอกแซกอาเซียน : 10 ธันวาคม 2563

ซอกแซกอาเซียน : 10 ธันวาคม 2563

วันพฤหัสบดี ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2563, 06.00 น.

เดือนก่อนคณะเจ้าหน้าที่แอปเตอร์รวมทั้งผม พากันไปนั่งห้องประชุมเพื่อพูดคุยกับคณะเจ้าหน้าที่กระทรวงเกษตรของเมียนมาทางวีดีโอคอนเฟอเรนซ์ ซึ่งวิธีการนี้ทุกวันนี้ได้กลายเป็นช่องทางที่สำคัญในการติดต่อพบปะสื่อสารไปเสียแล้วในยุคนิว นอร์มอล ความจริงการใช้วิธีนี้ยังมีอีกหลายรายการสำหรับพวกเรา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับงานอินเตอร์ทั้งหลาย แต่วันนี้ขอเล่าเฉพาะเกี่ยวกับที่ได้พูดคุยกับทางเมียนมาก่อน

ผมรวมทั้งทีมงานแอปเตอร์ เรามีความคุ้นเคยกับหัวหน้าทีมพูดคุย คือ รองอธิบดีกรมเกษตรเมียนมาท่านนี้ดีมากเนื่องจากแกเป็นคณะมนตรีแอปเตอร์มาตั้งแต่ตอนที่ผมเริ่มเข้ามาเป็นผู้บริหารแอปเตอร์ อีกทั้งผมก็ได้เคยเขียนเล่าเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับประเทศเมียนมา รวมทั้งตัวแกมาหลายครั้ง ทั้งนี้เนื่องจากตั้งแต่ที่แกมาเป็นสมาชิกคณะมนตรีแอปเตอร์ แกมีกิจกรรมมากมายที่ทำให้พวกเราต้องเดินทางไปเมียนมาเกือบจะทุกไตรมาสในระยะ 2-3 ปีมานี้ ยกเว้นช่วงปี 2020 เท่านั้นแหละที่เจ้าโควิค-19 ได้มาเป็นอุปสรรคขวากหนามที่กั้นมิให้คนของแอปเตอร์เดินทางไปไหนมาไหนได้ และเหตุที่ต้องมานั่งคุยกันทางวีดีโอคอนเฟอเรนซ์ครานี้ ก็สืบเนื่องจากว่า ท่านรองอธิบดีแกต้องการกล่าวคำอำลากับพวกเรา เพราะว่าถึงอายุขัยต้องเกษียณลาจากการรับใช้ชาติ ซึ่งจะว่าไปก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอันใด แต่โดยเหตุที่แกมีความผูกพันกับพวกเรามาก จึงขออนุญาตจัดรายการพูดคุยกล่าวคำอำลากับพวกเราเป็นกรณีพิเศษ

ก่อนถึงเรื่องพูดคุย ขออนุญาตบอกเล่าก่อนครับว่า อายุการเกษียณราชการเมียนมาคือ 60 ปี เหมือนข้าราชการไทย แต่ที่ต่างกันคือ เขาเกษียณตามอายุครับ หมายถึง เมื่ออายุครบ 60 ปีวันไหนก็เกษียณวันนั้นเลย ไม่ต้องรอให้ถึงวันที่ 30 กันยายน หรือสิ้นปีงบประมาณ เหมือนกับข้าราชการไทย อันนี้ก็เหมือนกันกับหลายๆประเทศ เช่น ฟิลิปปินส์ เป็นต้น ดังนั้นในประเทศเหล่านี้จึงไม่มีฤดูกาลเกษียณอายุ แต่ค่อยๆ ทยอยเกษียณกันตามวันครบอายุ ซึ่งจะว่าไปก็ดีนะ เพราะไม่ต้องเกิดโกลาหลในการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งพร้อมๆ กันในคราวเดียว หรือไม่ต้องเกิดฤดูกาลชะงักงันในการสานต่องาน หรือ การเดินทางร่ำลาเพื่อนร่วมงานในต่างจังหวัดกันครึกโครม สวนกันไปมา เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศไทย

ท่านรองอธิบดีท่านไม่ได้มานั่งหน้าจอมอนิเตอร์เพื่อพูดคุยกับพวกเราเพียงคนเดียว หากแต่ยังได้เชิญเจ้าหน้ากรมเกษตรระดับสูงมานั่งร่วมด้วยหลายคน ได้แก่ ผอ.กองต่างๆ ที่หลายคนผมก็รู้จักดี อีกทั้งบางคนที่อยู่ต่างสถานที่ในเมียนมา ก็จะมีจอมอนิเตอร์เพิ่มอีกต่างหาก ดูเหมือนการประชุมที่มีจอหลายๆ จอแสดงภาพของ
ผู้เข้าร่วมทุกคน เสมือนกับการจัดประชุมวีดีโอคอนเฟอเรนซ์อย่างไรอย่างนั้น ทันสมัยไม่เบาเลย การพูดคุยเริ่มจากท่านรองอธิบดีขอให้ผมกล่าวเป็นคนแรก ซึ่งจะว่าไป ผมเองก็ไม่ได้มีการเตรียมเอกสารหรือหัวข้อที่จะพูดมาล่วงหน้าเหมือนกับทุกครั้ง ก็เลยต้องว่ากลอนสด ในเชิงอวยพรแกไปให้มีความสุขหลังการทำงานภาครัฐบาล ทั้งนี้ โดยไม่ลืมที่จะยกย่องสรรเสริญแก ในฐานะผู้นำร่องบุกเบิก ให้มีการขอข้าวไปช่วยเหลือด้านความมั่นคงทางอาหารในเมียนมา เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง เพราะก่อนหน้านั้น เมียนมาไม่มีกิจกรรมใดๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับแอปเตอร์มาก่อนเลย ได้แต่บริจาคเงินตามข้อตกลงให้แอปเตอร์ ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะทางเมียนมายังไม่เข้าใจในกลไกการทำงานของแอปเตอร์อย่างแท้จริง พอท่านรองอธิบดีท่านนี้เข้ามาเป็นสมาชิกคณะมนตรีแอปเตอร์ แกก็เลยเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ เลยมีกิจกรรมการบริจาคและแจกจ่ายข้าว ซึ่งทำให้ผมต้องเดินทางเข้าออกเมียนมาเป็นว่าเล่น ในระยะ 2-3 ปีมานี้ พูดแล้วแทบไม่น่าเชื่อว่า ในประเทศเมียนมา มีอยู่ด้วยกัน 14 รัฐ/เขต ผมได้ไปมาแล้วถึง 12 รัฐ/เขต ขาดอยู่เพียง 2 รัฐเท่านั้นที่ยังไม่เคยไป คือ Shin state และ Kaya state

นอกจากผมจะได้กล่าวอวยพรแก่ท่านรองอธิบดีแล้ว พวกเราอีกหลายคนก็ได้กล่าวอวยพรให้กับแกด้วย รวมทั้งฝ่ายแกที่นั่งหน้าจอในเมียนมาก็ได้มีการกล่าวสลับกันไปเช่นกัน บรรยากาศก็คล้ายๆ กับวันที่ผมเกษียณซึ่งผ่านมาแล้วถึง 5 ปี คงใจหายไม่น้อยที่ต้องเลิกจากการทำงานที่อยู่มาจนตลอดชีวิตครับ

ชาญพิทยา ฉิมพาลี

chanpithya@apterr.org

ซอกแซกอาเซียน : 26 พฤศจิกายน 2563 #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

ในประเทศ – ซอกแซกอาเซียน : 26 พฤศจิกายน 2563 (naewna.com)

ซอกแซกอาเซียน : 26 พฤศจิกายน 2563

วันพฤหัสบดี ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563, 06.00 น.

ผมคิดว่า เมื่อเอ่ยถึงตำบลชื่อ “ป่าสะแก”ของอำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี เบื้องต้นคงมีน้อยคนนักที่จะรู้จักหรือคุ้นหู ทั้งนี้เพราะกิตติศัพท์ไม่ได้เกิดจากชื่อของตำบล หากแต่เป็นของคนมีชื่อเสียงบางคนที่เกิดที่นั่น แต่เด่นดังขจรขจายไปในที่อื่น โดยอาจไม่มีใครทราบว่าจริงๆ แล้ว เขาคือสมาชิกของชุมชนป่าสะแกซึ่งผมจะได้กล่าวเล่าให้ท่านผู้อ่านต่อไปครับ

ชุมชนตำบลป่าสะแก ตั้งอยู่ริมคลองกระเสียว ห่างจากตัวอำเภอเดิมบางนางบวช ประมาณ 16 กิโลเมตร ในสมัยอดีต ก่อนที่จะมีการแยกจัดตั้งอำเภอด่านช้าง เมื่อเดินทางออกจากตัวตลาดอำเภอเดิมบางนางบวช ไปทางทิศตะวันตกเพียง 8 กิโลเมตร ก็จะถึงขอบชายป่า ปัจจุบันเป็นชุมชนเล็กๆ เรียกว่าบ้านปากดง นั่นหมายถึงดินแดนหลังจากนั้นเป็นต้นไปจนสุดเขตจังหวัดและต่อด้วยป่าเขาเขตกาญจนบุรีนั้น เป็นพื้นที่ที่มีชุมชนอาศัยอยู่ท่ามกลางป่าดงและขุนเขา จะมีเพียงตำบลป่าสะแกเท่านั้นที่เป็นตลาดค้าขายสินค้าอุปโภคบริโภคและมีความเจริญรุ่งเรือง เป็นแหล่งที่ผู้คนที่อาศัยในป่าดงหลังจากนั้นไปต้องการเดินทาง
มาซื้อข้าวซื้อของเครื่องใช้ หรือไม่ก็ส่งบุตรหลานเข้ามาเรียนหนังสือหนังหากัน เด็กบางคนไม่มีบ้านญาติอยู่ ก็ได้อาศัยเป็นลูกศิษย์วัด เช่น วัดป่าสะแก วัดดอนมะเกลือ วัดขวางเวฬุวัน รวมทั้งวัดสระเมืองท้าว ตลอดจนวัดใกล้เคียง

ชาวตำบลป่าสะแกประกอบไปด้วยชน3 เผ่า คือ ไทย ลาว และจีน คนเก่าคนแก่เล่าให้ฟังว่า เดิมมีคนชาวลาวซี ลาวครั่งถูกกวาดต้อนจากประเทศลาวในต้นยุครัตนโกสินทร์มาตั้งถิ่นฐานร่วมกับคนไทยดั้งเดิมที่ป่าสะแก อาศัยกันเป็นกลุ่มก้อน ทำอาชีพหลักคือ ทอผ้า (ปัจจุบันเป็นสินค้าโอท็อประดับชาติ) แต่ที่น่าฉงนคือเหล่าคนจีน ซึ่งปกติแล้วเวลาอพยพมาตั้งถิ่นฐาน มักจะสร้างที่อยู่อาศัยเป็นชุมชนใหญ่ริมเส้นทางแม่น้ำไหลผ่าน และในย่านนี้กลุ่มคนจีนได้ขึ้นฝั่งตั้งชุมชนใหญ่ติดแม่น้ำท่าจีน และพัฒนาเป็นตลาดท่าช้างหรือชื่อเป็นทางการ คือ อำเภอเดิมบางนางบวช แต่กระนั้น ได้มีคนจีนบางกลุ่มที่ไม่ได้หยุดอาศัยอยู่เพียงแค่ตลาดท่าช้าง ทว่าเดินทางเลยลึกเข้าป่าไปจนถึงชุมชนดั้งเดิมป่าสะแก ที่ฟังชื่อแล้วย่อมคาดเดาได้ว่า น่าจะเป็นป่าที่เต็มไปด้วยต้นสะแก แต่ก็มีทำเลเส้นทางน้ำไหลผ่านเช่นกัน คือคลองกระเสียว ที่ต้นน้ำมาจากเทือกเขาทางทิศตะวันตกแล้วไหลไปลงสู่แม่น้ำท่าจีน ปัจจุบันต้นคลองห่างออกไปประมาณ 30 กิโลเมตร ได้มีการสร้างเป็นเขื่อนกักเก็บน้ำขนาดใหญ่ ชื่อว่าเขื่อนกระเสียว ซึ่งเป็นที่ตั้งของอำเภอใหม่ที่ตั้งในภายหลัง คือ อำเภอด่านช้าง นั่นเอง

จากการที่ได้มีคนเชื้อสายจีนมาอาศัยอยู่ป่าสะแกเป็นจำนวนมาก ทำให้ต่อมาได้แต่งงานอยู่กินกับลูกสาวคนลาว และคนไทยปะปนกันไป (คุณยายชวดของผม มีลูก 7 คน เป็นลูกสาว 4 คน แต่งงานกับคนจีนเรียบ) ที่สำคัญคือช่วยให้ชุมชนป่าสะแกได้มีการพัฒนาให้เป็นแหล่งการค้าพาณิชย์แห่งที่ 2 ของอำเภอ รองจากตลาดท่าช้าง มีการตั้งบ้านเรือนรูปทรงเฉพาะที่สวยงามแปลกแตกต่างจากคนไทยลาวที่อยู่อาศัยแต่เดิม เช่น บ้านไม้สองชั้นทรงปั้นหยา ชั้นบนมีลูกกรงล้อมเดินได้รอบบ้าน บ้านไม้สามชั้นที่พบเห็นได้ยากมาก รวมทั้งบ้านเพิงชั้นเดียวที่สร้างติดต่อกันเป็นห้องแถวขายของทุกชนิด เช่น ร้านตัดเสื้อผ้า ร้านชำ รวมไปจนถึงร้านทำทอง ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะตั้งอยู่ได้ในป่าดงได้ มีร้านกาแฟที่คนสูงอายุมานั่งกินตอนเช้า ส่วนตอนสายถึงเย็นขายกาแฟ หรือโอเลี้ยงเย็นใส่น้ำแข็งทุบลงในกระป๋องนมเก่าที่เจาะร้อยหิ้วด้วยเชือกกล้วย ส่วนน้ำแข็งหมกเก็บรักษาสภาพด้วยแกลบ มีแม้กระทั่งโรงฆ่าหมูที่ชำแหละตอนเช้ามืดแล้วตระเวนส่งลูกค้าที่สั่งไว้ล่วงหน้าโดยห่อด้วยใบตองผูกเชือกกล้วยแขวนไว้หน้าบ้าน

ลักษณะพิเศษอีกอย่างของป่าสะแก คือสภาพพื้นที่ราบลุ่มเป็นแหล่งทำนาที่สำคัญ ซึ่งในสมัยก่อนที่จะสร้างเขื่อนกระเสียว ทุกปีในฤดูฝนจะมีน้ำหลากไหลบ่าท่วมที่นา พาปุ๋ยอินทรีย์มาบำรุงต้นข้าวให้งอกงาม สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ จนกระทั่งมีโรงสีข้าวเครื่องจักรไอน้ำแห่งแรกในละแวกนี้ สีข้าวส่งไปยังอำเภอและจังหวัด โดยรถจิ๊ปรุ่นเก่าวิ่งเข้าออกอยู่ตลอดเวลา ปัจจุบันยังเห็นอนุสรณ์ปล่องโรงสีตั้งสูงตระหง่าน ท้าทายจินตนาการย้อนอดีตของคนรุ่นเก่าที่เกิดในยุคนั้น

ชาญพิทยา ฉิมพาลี

chanpithya@apterr.org

ซอกแซกอาเซียน : 19 พฤศจิกายน 2563 #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/532738

ซอกแซกอาเซียน : 19 พฤศจิกายน 2563

ซอกแซกอาเซียน : 19 พฤศจิกายน 2563

วันพฤหัสบดี ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563, 06.00 น.

คณะเจ้าหน้าที่ของแอปเตอร์ ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นคนไทย ถือเป็นเจ้าหน้าที่ทำงานประจำคล้ายกับเจ้าหน้าที่องค์กรระหว่างประเทศทั่วๆ ไป ทำงานภายใต้กฎระเบียบที่ร่างกำหนดไว้อย่างชัดเจนและได้มาตรฐานสากล ทั้งนี้เพราะกว่าจะได้มาเป็นองค์กรถาวร คณะทำงานได้ใช้ความพยายามศึกษาและยกร่างกันอยู่หลายปี อาศัยการเทียบเคียงกับองค์กรระหว่างประเทศอื่นๆ เป็นต้นแบบ เช่น องค์การสหประชาชาติ สำนักเลขาธิการอาเซียน เป็นต้น ปัจจุบัน นอกจากความตกลงแอปเตอร์ หรือ APTERR Agreement แล้ว เรายังมีระเบียบที่ว่าด้วยคณะมนตรีแอปเตอร์ ว่าด้วยสำนักเลขานุการแอปเตอร์ว่าด้วยการคัดเลือกผู้บริหาร และที่สำคัญอีก 3 ฉบับ ซึ่งเป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน คือ ระเบียบว่าด้วยการบริหารว่าด้วยการเงิน และสุดท้ายว่าด้วยการช่วยเหลือด้านข้าว

ในส่วนของระเบียบว่าด้วยการบริหารเป็นเรื่องเกี่ยวกับจัดการและพัฒนาบุคลากรซึ่งประเด็นหนึ่งที่ทำให้เจ้าหน้าที่ของเราสามารถสร้างเสริมความรู้และประสบการณ์ทัดเทียมกับบุคลากรในหน่วยงานภาครัฐและเอกชนอื่น คือการฝึกอบรมและออกไปศึกษาดูงาน นับว่าเป็นความฉลาดและเห็นการณ์ไกลของผู้ร่างระเบียบอย่างน่าชมเชยทีเดียว เพราะมิฉะนั้นแล้ว เจ้าหน้าที่แอปเตอร์ของเราคงจะไม่สามารถพัฒนาความรู้และประสบประการณ์ได้เหมือนอย่างในปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะเจ้าหน้าที่แอปเตอร์ ส่วนมากเป็นผู้ที่จบการศึกษามาแบบสดๆ ซิงๆ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นคนที่เก่ง เนื่องจากเราตั้งมาตรฐานไว้สูงมากสำหรับคนที่จะรับเข้ามาทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องมีความรู้ด้านภาษาอังกฤษประเภทใช้งานได้ แต่ทว่าในเรื่องประสบการณ์นั้น พวกเขายังคงต้องได้รับการเติมเต็มอยู่อีกพอสมควร ฉะนั้นในทุกปี เราจึงได้มีการจัดให้มีการศึกษาดูงานในกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับภารกิจหน้าที่ของเรา ดังเช่นที่เคยเขียนเล่าไปแล้วในบางช่วงบางตอนครับ

มาในตอนนี้ ผมขอเล่าเรื่องช่วงหนึ่งที่ได้มีโอกาสสำคัญพาคณะเจ้าหน้าที่แอปเตอร์ ไปศึกษาดูงานที่จังหวัดบ้านของผมเอง ในด้านการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวและการเก็บรักษาข้าว พร้อมทั้งได้เยี่ยมชมสภาพหมู่บ้านตำบลป่าสะแก ที่ตั้งอยู่อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นหมู่บ้านภายใต้การสนับสนุนของโครงการนวัตวิถีของกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย โดยในจุดแรกที่คณะเราไปเยี่ยมชมเป็นการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง มีที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองสุพรรณบุรีเท่าใดนักความจริงโรงงานผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวแห่งนี้ ผมเองรู้จักมักคุ้นดี เพราะสมัยที่รับราชการอยู่ที่กรมการข้าว เคยไปร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องอยู่หลายครั้ง ถือว่าโรงงานแห่งนี้เป็นพันธมิตรกับทางราชการในการช่วยผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวให้ชาวนาใช้เพาะปลูก เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า ลำพังภาครัฐของไทย ไม่สามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ได้อย่างพอเพียงเลย กล่าวคือ มีเพียงประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ของความต้องการใช้ทั้งประเทศเท่านั้น ดังนั้น การขอให้ทุกฝ่ายรวมทั้งตัวชาวนาเองเข้ามาร่วมกันผลิตเพื่อเพิ่มปริมาณเมล็ดพันธุ์ข้าวดีย่อมเป็นสิ่งที่แผนการผลิตเมล็ดพันธุ์ของกรมการข้าวจำเป็นต้องเขียนไว้ เพราะถึงอย่างไรเสียภาครัฐก็ไม่มีทางที่จะสามารถพัฒนากำลังการผลิตได้พอเพียงแน่นอน

โรงงานที่ได้ไปเยี่ยมชมนี้ ถือว่าเป็นโรงงานที่ใหญ่และทันสมัยมาก เผลอๆ อาจจะทันสมัยกว่าโรงงานของรัฐบาลเสียอีก ขอเรียนให้ท่านผู้อ่านได้ทราบว่า ระบบการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวแบบบ้านเรานี้ ผมได้ตระเวนไปดูมาเกือบทุกประเทศทั้งหมดในอาเซียนแล้ว ไม่มีของประเทศใดเลยที่แซงหน้าประเทศไทย ในเมียนมา มีแปลงขยายพันธุ์ดำเนินการโดยภาครัฐ คือเอาเมล็ดพันธุ์ดีหัวเชื้อที่ผลิตโดยรัฐ ไปให้เกษตรจังหวัด/อำเภอทำแปลงในศูนย์หรือไร่นาเกษตรกร เก็บเกี่ยวแล้วกระจายออกไปตามธรรมชาติ ของ สปป.ลาว ก็เช่นเดียวกัน ขณะที่ของกัมพูชามีแปลงผลิตโดยภาครัฐ แต่เครื่องมือคัดเมล็ดพันธุ์ยังไม่ทันสมัย ที่ฟิลิปปินส์ส่วนมากได้พันธุ์มาจากสถาบันวิจัยข้าวนานาชาติที่ตั้งอยู่ที่นั่นเป็นหลัก ส่วนของเวียดนามดีขึ้นมาหน่อย เนื่องจากภาครัฐให้ความสำคัญมากที่จะพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตข้าวส่งออกแข่งกับไทยเรา ครับ ฉบับต่อไป ขออนุญาตพูดถึงหมู่บ้านนวัตวิถีป่าสะแก จังหวัดสุพรรณบุรี นะครับ

ชาญพิทยา ฉิมพาลี

chanpithya@apterr.org

ซอกแซกอาเซียน : 29 ตุลาคม 2563 #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/528197

ซอกแซกอาเซียน : 29 ตุลาคม 2563

ซอกแซกอาเซียน : 29 ตุลาคม 2563

วันพฤหัสบดี ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2563, 06.00 น.

จากการที่เราชาวแอปเตอร์ได้ย้ายที่ทำงานมาอยู่ที่อาคารใหม่ ชื่อว่า อาคารนวัตกรรม ความจริงผมเคยได้คุยกับท่านเลขาธิการ สศก. มาแล้วครั้งหนึ่งในช่วงที่มีการประชุมคณะมนตรีแอปเตอร์ที่เมืองพุกาม ประเทศเมียนมา ในเดือนกุมภาพันธ์ ปีนี้ว่าเราน่าจะมีพิธีการเปิดออฟฟิศทำงานของแอปเตอร์ดีไหม ซึ่งแล้วแต่ท่านเลขาฯ เพราะถือเป็นการประชาสัมพันธ์ให้ผู้ใหญ่ระดับกระทรวงเกษตรฯ ได้รับรู้รับทราบ รวมทั้งเป็นการสร้างการรับรู้แก่ประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับการทำงานของแอปเตอร์ ซึ่งในการนี้ ในที่ประชุมคณะมนตรีแอปเตอร์ผมเองก็ได้มีการเรียนให้ที่ประชุมทราบถึงการอนุเคราะห์ช่วยเหลือของรัฐบาลไทยต่อองค์กรแอปเตอร์ และได้มีการประกาศว่ามีแผนจะจัดประชุมย่อยที่เรียกว่า Working meeting ในช่วงปลายปี ซึ่งถ้าจะมีการเปิดออฟฟิศ ก็จะได้ถือโอกาสจัดเป็นอีเวนท์เดียวกันไปเลย จะได้มีแขกเหรื่อสักขีพยานจากประเทศสมาชิกแอปเตอร์มาพร้อมหน้าพร้อมตา

ผมจำได้ว่าแอปเตอร์เคยมีการประชุมคณะมนตรีครั้งที่ 1 ในประเทศไทย ในราวปี 2556 ที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ ลาดพร้าว แล้วก็เคยมีการเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทย (ถ้าจำไม่ผิด) มาทำพิธีเปิดสำนักงานเดิมที่ชั้นสองของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรมาแล้ว ดังนั้น ถ้าเป็นไปได้ครั้งนี้ก็ควรทำอีก เพราะถือเป็นเกียรติและศักดิ์ศรีของประเทศไทย แต่ทว่าจนป่านนี้เดือนต.ค.เข้าไปแล้ว ยังไม่มีทีท่าว่าเจ้าเชื้อไวรัสโควิด-19 จะหยุดระบาดหมดสิ้นไปง่ายๆ การเดินทางไปมาระหว่างประเทศยังทำไม่ได้เลย แม้แต่งานการแจกจ่ายข้าวช่วยเหลือที่ผมเดินทางไปเข้าร่วมประจำยังต้องงดเว้น พิจารณาดูแล้วคงจะจัดประชุม Working meeting ในประเทศไทยค่อนข้างยากมาก จะมีก็อาจต้องใช้วิธี Teleconference อย่างที่เคยจัดกัน แผนการเปิดออฟฟิศแอปเตอร์ก็คงต้องแล้วแต่ท่านเลขาธิการ สศก แหละครับ ส่วนผมเองจะมีหรือไม่มีก็ได้

ความจริงการได้สถานที่ทำงานใหม่ของแอปเตอร์ ถือเป็นเครดิตของฝ่ายไทยแบบเต็มๆ เริ่มตั้งแต่สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ซึ่งถือเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับแอปเตอร์มากที่สุด เพราะท่านเลขาธิการท่านเป็นผู้แทนประเทศไทยที่ประกอบเป็นมนตรีแอปเตอร์ หรือ APTERR Council กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะหน่วยงานที่เสาเศรษฐกิจของอาเซียน รวมทั้งประเทศไทยในฐานะเจ้าภาพ (Host) อันเป็นที่ตั้งของแอปเตอร์ เพราะจากที่เคยได้กล่าวไปแล้ว องค์กรแอปเตอร์ตอนที่จะตั้งขึ้น มีหลายประเทศแย่งกันเป็นเจ้าภาพ เช่น อินโดนีเซีย สิงค์โปร์ แต่ในที่สุดเหล่าประเทศสมาชิกในคราวประชุมมนตรีแอปเตอร์ที่ประเทศ สปป.ลาว ต่างยกมือเห็นชอบให้ตั้งในประเทศไทย ด้วยเพราะเห็นว่าประเทศไทยเป็นเจ้ายุทธจักรในการผลิตและส่งออกข้าวของโลก ซึ่งลึกๆ ก็คงหวังว่าประเทศไทยจะแสดงความเป็นพี่เบิ้มในเรื่องข้าวเพื่อช่วยเหลือเจือจานเหล่าประเทศผู้ขาดแคลนและนำเข้าข้าว ซึ่งบังเอิญก็เป็นประเทศในกลุ่มสมาชิกอาเซียนด้วยกันเสียด้วย ที่บอกว่าเป็นเครดิต ถ้าพูดตามภาษาชาวบ้านก็คือ “ได้หน้า” นั่นแหละครับ เพราะเวลาไปนำเสนอเรื่องนี้ในที่ใดๆผมก็จะไม่ลืมที่จะโม้ตลอดว่าแอปเตอร์เราจะได้ที่อยู่อาศัยใหม่ แถมยังฉายภาพอาคารอันสวยหรูของ สศก.ให้ดู ทำให้ทุกครั้งบรรดาผู้แทนประเทศสมาชิกพากันปรบมือกับประเทศไทยกันขรมเลย จนท่านผู้แทนไทยที่อยู่ในที่นั้นต้องกล่าวขอบคุณอยู่เสมอๆ มิได้ขาด ใช่สิครับในฐานะที่จีเอ็ม ก็เป็นคนไทย ผมก็เลยพลอยภูมิอกภูมิใจไปด้วยทุกครั้งเช่นกัน

เสียดายนะครับ ผมวางแผนไว้แล้ว ถ้ามีการประชุม Working meeting และมีพิธีเปิดสำนักงานโดยท่านรัฐมนตรีใครก็ได้สักคน ผมกะจะทำให้แขกเหรื่อที่มาประชุมประทับใจและไม่รู้ลืมแอปเตอร์เลย เพราะจริงแล้วที่ผ่านมา ผมว่าสมาชิกผู้ขาดแคลนข้าวต่างพอใจและซึ้งใจมากที่ได้รับการช่วยเหลือจากแอปเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นประเทศเมียนมา กัมพูชา สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ และแม้แต่ประเทศเวียดนาม จนเวลาผมหรือเจ้าหน้าที่แอปเตอร์ไปเยี่ยมทีไรได้รับการต้อนรับอย่างดี แม้ครั้งหนึ่งเจ้าหน้าที่ตัวแทนแอปเตอร์คนไทยเป็นน้องซึ่งเพิ่งจบปริญญาตรีใหม่ๆ หน้าตายังดูละอ่อนมาก แต่รองผู้บริหารของประเทศหนึ่ง ซึ่งเทียบแล้วเท่ากับระดับรองปลัดกระทรวงทีเดียวยังต้องมารอรับที่สนามบินเลยนะครับ

ชาญพิทยา ฉิมพาลี

chanpithya@apterr.org

ซอกแซกอาเซียน : 22 ตุลาคม 2563 #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/526697

ซอกแซกอาเซียน : 22 ตุลาคม 2563

ซอกแซกอาเซียน : 22 ตุลาคม 2563

วันพฤหัสบดี ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2563, 06.00 น.

วันที่ผมนั่งเขียนบทความนี้เป็นช่วงต้นเดือนกันยายนทางสำนักเลขานุการแอปเตอร์เรามีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่อยากจะเล่าให้ท่านผู้ติดตามได้รับทราบว่า หลังจากที่แอปเตอร์เราจัดตั้งอย่างเป็นทางการ โดยการลงนามของรัฐมนตรีด้านการเกษตรของประเทศสมาชิกอาเซียนบวกสาม (จีน ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้) เมื่อปี 2554 แล้ว และจากนั้นก็ได้มีการเริ่มต้นดำเนินงานจริงในอีกปีต่อมา โดยในด้านของสถานที่งาน หลังจากที่คณะมนตรีแอปเตอร์เห็นชอบให้ประเทศไทยเป็นที่ตั้งของสำนักเลขานุการแอปเตอร์ ก็ได้อาศัยการอนุเคราะห์สนับสนุนของรัฐบาลไทย ซึ่งได้ยกชั้นสองของอาคารสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (ตึก 8 ชั้น) ภายในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กลางบางเขน ให้เป็นที่ทำงานมากระทั่งจวบจนปัจจุบันเกือบจะ 10 ปีเข้าไปแล้ว แต่ด้วยความกรุณาเอื้อเฟื้อเพิ่มเติมของผู้บริหารของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ท่านจึงได้เสนอของบประมาณจัดสร้างอาคารที่ทำงานหลังใหม่ในบริเวณใกล้ๆ กัน เป็นอาคารทรงทันสมัยสวยงามสูงน่าจะใกล้เคียงอาคาร 8 ชั้นเดิม มีการตั้งชื่ออาคารหลังใหม่นี้ว่า อาคารนวัตกรรม หรือมีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า Innovation Building และก็เชื้อเชิญให้สำนักเลขานุการแอปเตอร์ย้ายจากที่เดิมเข้ามาอยู่ด้วย ทั้งนี้ ท่านเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ในขณะนั้นคือ ท่านระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ ท่านได้ยกชั้นที่สองของอาคารนวัตกรรมทั้งชั้นให้แอปเตอร์อยู่ร่วมกับสำนักเลขานุการ AFSIS ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศอีกแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย นัยว่าชั้นนี้ทั้งชั้นจะว่าด้วยเรื่องกิจการอาเซียนไปทั้งหมดเลย พวกเราก็เลยโชคดีได้ที่อยู่ใหม่ที่โอ่อ่าสง่างามสมฐานะกว่าเดิม ซึ่งก็ต้องขอขอบคุณผู้บริหารสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรตั้งแต่ในอดีตมากระทั่งปัจจุบันที่ผลักดันการของบประมาณจากรัฐบาลไทยมาสนับสนุนให้แอปเตอร์ส่วนหนึ่งครับ

สำนักงานแอปเตอร์ใหม่ของพวกเรา ตอนนี้ยังปรับปรุงไม่สำเร็จสมบูรณ์ ส่วนที่ยังต้องรองบประมาณเพิ่มเติม คือ การตกแต่งภายในห้องประชุมขนาดใหญ่และการจัดตั้งป้ายชื่อ โลโก้ สัญลักษณ์ต่างๆ แต่ส่วนที่สมบูรณ์แล้วนั้น ได้แก่ ห้องทำงานซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ฝ่ายด้วยกัน และก็มีห้องผู้บริหาร ประกอบด้วยห้องผู้จัดการทั่วไป และอีก 3 ห้องสำหรับ รองผู้จัดการทั่วไปและผู้เชี่ยวชาญที่อาจมีในอนาคต แต่ตอนนี้มีผู้เชี่ยวชาญคนเดียวจากประเทศญี่ปุ่น เลยยังว่างอยู่ 2 ห้องด้วยกัน รวมทั้งโต๊ะตู้เอกสาร ตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกค่อนข้างครบครันและสวยหรูทันสมัย นอกจากนี้ยังมีห้องแม่บ้านขนาดใหญ่มาก เป็นทั้งห้องเก็บของ ห้องครัว ซักล้าง และสามารถนั่งรับประทานอาหารได้จนกังวลไปว่า แม่บ้านเรามีเพียง 1 คน จะดูแลไหวไหม

ที่พิเศษที่เราขอให้กั้นเป็นห้องเพิ่มเติม คือ ห้องรับแขก เพราะทำไว้ใหญ่มาก มีโซฟาหรูตั้งอยู่ถึง 3 ชุด เผื่อแขกผู้มาเยือนมีมากถึง 3 ประเทศในคราวเดียวกัน ก็นั่งแยกกันคุยได้ ซึ่งวัสดุอุปกรณ์และสถานที่ใหม่นี้ใหญ่โตโอ่อ่ากว่าที่เดิมซึ่งค่อนข้างคับแคบมาก ห้องประชุมเดิมนั้นถ้าผู้แทนสมาชิกมาพร้อมกัน 13 ประเทศก็นั่งไม่หมดแล้ว แต่ห้องประชุมใหม่นี้พอเพียงเหลือเฟือ แถมตามแผนก็จะมีจอภาพอิเล็กทรอนิกส์ทันสมัย พร้อมห้องควบคุมครบครัน ก็ถือว่าสามารถโชว์เป็นหน้าเป็นตาแก่ประเทศเจ้าภาพ คือ ประเทศไทยได้มากทีเดียว และในโอกาสที่อาคารนวัตกรรมนี้ที่ชั้น 4 ก็เป็นห้องทำงานของท่านเลขาธิการ สศก. ผมเลยชวนผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นพร้อมเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องบางท่านเดินขึ้นไปคารวะท่าน พร้อมรายงานตัวเองว่า คณะเจ้าหน้าที่แอปเตอร์ได้ย้ายเข้ามาทำงานในอาคารนี้แล้ว ท่านเลขาธิการท่านก็ดีใจมากที่ได้มาอยู่ใกล้กัน อีกทั้งยังได้เดินลงมาเยี่ยมชมพบปะพร้อมกับถ่ายรูปกับพวกเราชาวแอปเตอร์ทุกคน ก็ต้องขอกราบขอบพระคุณท่านไว้ ณ ที่นี้อีกครั้งหนึ่ง แถมท่านยังรับปากว่า ถ้ามีอะไรขาดหกตกหล่นก็ขอให้บอกท่านได้เลย ท่านยินดีจะสั่งการให้เจ้าหน้าที่มาช่วย

ก็ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีและเป็นอีกบทหนึ่งของแอปเตอร์ ที่เรากำลังก้าวเดินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งในการปฏิบัติหน้าที่ตามความตกลงของอาเซียนบวกสาม คือ การช่วยเหลือประชาชนในภูมิภาคนี้เพื่อขจัดซึ่งปัญหาอันมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหาร ภายใต้การสนับสนุนอย่างเต็มที่จากรัฐบาลไทยโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรครับ

ชาญพิทยา ฉิมพาลี
chanpithya@apterr.org

ซอกแซกอาเซียน : 17 กันยายน 2563 #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/518805

ซอกแซกอาเซียน : 17 กันยายน 2563

ซอกแซกอาเซียน : 17 กันยายน 2563

วันพฤหัสบดี ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2563, 06.00 น.

ตัวสุดท้าย ที่เป็นองค์ประกอบของคำว่า ความมั่นคงทางอาหาร คือด้านการใช้ประโยชน์ของอาหาร หรือ Food Utilization ซึ่งดูกันที่เรื่องของคุณค่าของอาหารที่ได้รับต่อสุขภาพร่างกายมนุษย์ผู้ที่บริโภคเข้าไป ประเด็นนี้ค่อนข้างจะมองไปไกลทีเดียว เปรียบคำพังเพยไทยโบราณ ก็เหมือนกับว่า ได้คืบจะเอาศอก ได้ศอกจะเอาวา คือหมายถึง จัดหาอาหารมีให้กินอย่างเพียงพอแล้วก็ยังไม่พอเพียง ถึงขั้นจะเอาประเภทกินดีอยู่ดีเป็นอาหารระดับเหลาระดับหรูด้วยจึงจะพอ (พูดเล่นนะครับ)

เรื่องของเรื่องก็คือน่าจะมีนักโภชนาการเสนอเพิ่มเข้ามาในตอนหลังๆ เพื่อให้ครบถ้วนสมบูรณ์เลยเสียทีเดียว ไหนๆ ก็จะวางเป้าเพื่อแก้ไขปัญหาด้านความมั่นคงทางอาหารแล้ว บางเวทีใช้คำว่า สารอาหารหรือโภชนาการ หรือ Nutrition ทั้งนี้เพราะต้องการรับประกันให้ได้ว่าถ้าจะช่วยเหลือผลักดันกันทั้งทีไม่ใช่สักแต่ว่าเอาอาหารอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ข้าวไปให้คนบริโภค หากแต่มันต้องเป็นข้าวที่ดีหรือมีคุณค่าสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างครบถ้วนตามหลักโภชนาการเพิ่มเติมเข้าไปด้วย ลองย้อนกลับไปดูนิยามของคำว่า ความมั่นคงทางอาหารที่ผมเขียนไว้แต่ต้นสิครับ ว่าท้ายที่สุดแล้ว ชีวิตหรือร่างกายมนุษย์ต้องแข็งแรงกระฉับกระเฉงและมีสุขภาพที่ดี (active and healthy life) ด้วย แถมยิ่งไปกว่านั้น มีอีกคำหนึ่ง คือยังต้องสนองความชอบ หรือ Food Preferences อีก เอาเข้าไป!! ซึ่งนั่นก็เลยเถิดไปอีกขั้นหนึ่งอันเป็นที่มาของการยกคำพังเพยไทยที่ว่า ได้คืบจะเอาศอก ของผมข้างบน

ตัวอย่างในที่นี้ เช่น ถ้าอยากจะกินเป๋าฮื้อก็ต้องได้กิน หรืออีกวันอยากจะตับห่านฝรั่งเศสก็ต้องได้กิน อย่างนี้เชื่อว่าคงยากขึ้นแน่นอนถ้าจะทำให้สำเร็จ แต่กระนั้นก็เป็นที่เข้าใจได้ว่า นั่นคือเป้าประสงค์สุดท้ายที่ต้องตั้งไว้ มนุษย์ต้องใช้กำลังกายและพลังสมองในทุกวิถีทางที่จะบรรลุเป้าหมาย เพื่อจะเป็นไปหรือได้รับอย่างนั้นในที่สุด จะใช้เวลานานแสนนานเท่าใดก็ตาม สัก 10 ปี 50 ปี 1,000 ปี 1,000,000 ปี หรือชาติหน้า ก็ต้องยึดถือเป็นธงนำกันต่อไป ก็คงเป็นสเต็ปหลังๆ ละครับ ถึงตอนนั้นมนุษย์ยุคปัจจุบันอาจสูญพันธุ์ไปหมดแล้วก็ได้ ทุกวันนี้เอาแค่ว่าทำให้มีอาหารพอกินประทังชีวิตให้อยู่ได้ ไม่ตายเพราะอดอยาก ซึ่งเป็นสเต็ปขั้นแรกให้สำเร็จหรือใกล้เคียง
ก็ยังดี จะว่าไปแล้วข้อมูลจาก FAO เปิดเผยว่าในโลกของเรายังมีจำนวนประชากรที่อดอยาก ไม่มีอาหารกินอย่างเพียงพออยู่อีกเป็นจำนวนมากเกือบ 1,000 ล้านคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่คนยากจนที่กระจายอยู่ทั่วไปในประเทศด้อยและกำลังพัฒนาทั่วโลก แต่ที่หนักสุด คือในประเทศ แถบทวีปแอฟริกา ที่นอกจากจะยากจนค่นแค้นแล้วยังขาดแคลนทรัพยากรที่จำเป็นต่อการผลิตพืชอาหารอย่างยิ่ง มิหนำซ้ำ โชคร้ายเสียเหลือเกินที่ยังมีการสู้รบขัดแย้งกันทางอุดมการณ์และศาสนากันหลายจุดหลายประเทศอย่างไม่เห็นที่ท่าว่าจะจบสิ้น ผู้คนประชาชนผู้น่าสงสาร นอกจากจะไม่สามารถทำมาหากินกันอย่างเป็นปกติสุขแล้ว ยังต้องอพยพละทิ้งถิ่นฐานบ้านเรือน ที่ทำกินที่มีอยู่อย่างน้อยนิดไปอาศัยอยู่ในที่ปลอดภัยกว่า และต้องรอความช่วยเหลือจากหน่วยงานระหว่างชาติ เช่น องค์การสหประชาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง WFP หรือ World Food Programme และ FAO ตลอดจนองค์กรเอกชนอื่นๆ แล้วอย่างนี้ ผมเองยังมองไม่เห็นหนทางเลยว่า เจ้าความมั่นคงทางอาหารแม้แต่ประเด็น หรือ เสาแรก คือ Food Availability จะประสบผลสำเร็จในเร็ววันได้อย่างไร น่าเศร้าครับ สำหรับการเกิดมาเป็นมนุษยโลกและอยู่อาศัยในดินแดนแถบนั้น

ก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนพลโลก คือ ความมั่นคงทางอาหาร และในวันที่ 23 กรกฎาคมนี้ ก็จะมีการประชุมประจำปี 2020 โดยทางวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ของคณะกรรมการสำรองอาหารเพื่อความมั่นคงแห่งภูมิภาคอาเซียน หรือ ASEAN Food SecurityReserve Board (AFSRB) ครั้งที่ 40 ที่แต่เดิมถึงคราที่ประเทศเวียดนามรับจะเป็นเจ้าภาพจัดประชุม ซึ่งความจริงเขาก็ได้วางแผนไว้แล้วว่าจะจัดขึ้นที่กรุงฮานอย เมืองหลวงของเวียดนาม แต่ทว่า เกิดภัยเจ้าโควิด-19 เสียก่อน ทำให้ทุกการประชุม จึงต้องยกเลิก และแทนด้วยการประชุมทางไกล ดังที่ผมได้เคยพูดมาแล้วครั้งหนึ่ง และถ้ามีประเด็นสำคัญอะไรที่ได้จากการประชุมคณะกรรมการดังกล่าว ผมก็จะได้สรุปนำมาเล่าให้ฟังในฉบับต่อไปนะครับ

ชาญพิทยา ฉิมพาลี

chanpithya@apterr.org

ซอกแซกอาเซียน : 20 สิงหาคม 2563 #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/512840

ซอกแซกอาเซียน : 20 สิงหาคม 2563

ซอกแซกอาเซียน : 20 สิงหาคม 2563

วันพฤหัสบดี ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2563, 06.00 น.

เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน ที่ผ่านมามีการประชุมอาเซียนซัมมิต ครั้งที่ 36ซึ่งเป็นการประชุมระดับสูงสุด คือ ผู้เข้าประชุมคือผู้บริหารสูงสุดของแต่ละประเทศ ดังเช่นประเทศไทยก็ได้แก่ ท่านนายกรัฐมนตรี หรือหากเป็นฟิลิปปินส์ ก็คือ ท่านประธานาธิบดี เป็นต้น ปีนี้ก็เป็นที่ทราบว่าเวียดนามถึงคิวนั่งเป็นประธานอาเซียนได้กำหนดธีมของปีนี้ว่า “Cohesive and Responsive ASEAN” ซึ่งหมายถึงอาเซียนที่เป็นหนึ่งเดียวและสนองตอบ(จะตรงกับที่กระทรวงต่างประเทศกำหนดหรือเปล่าไม่ทราบนะครับ) โดยปกติ การประชุมในลักษณะนี้ เมื่อเสร็จสิ้นการประชุมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการประชุมที่มีผู้นำมานั่งประชุมเห็นหน้าค่าตากันจริงๆ หรือจะประชุมผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ก็ตาม ผลลัพธ์ของการประชุมก็จะออกมาเป็นเอกสารที่เรียกว่า Chairman’s Statement เขียนกันเป็นข้อๆ ยาวนับสิบหน้ากระดาษ เอ 4 อ่านกันไม่หวาดไม่ไหว ที่สำคัญคือ การเขียนเอกสารผลลัพธ์การประชุมแบบนี้ มันเป็นรูปแบบเอกลักษณ์เฉพาะซึ่งผมต้องขอชื่นชมยกย่องผู้เขียนและเรียบเรียงซึ่งน่าจะได้แก่เจ้าหน้าที่สำนักเลขาธิการอาเซียน ที่จาการ์ตา อย่างมากครับที่เขียนออกมาได้อย่างสละสลวยสวยงาม สั้น กระชับและใช้คำศัพท์ที่สุดยอดวิลิศมาหรา ยากที่จะหาคนที่เป็นมือสมัครเล่นเขียนได้เสมอเหมือน

พูดถึงตรงนี้ ผมขอเล่าเกี่ยวกับเรื่องนี้สักหน่อย คือ ผมถือว่าเป็นทักษะพิเศษที่ฝึกกันไม่ได้ง่ายๆ ต้องอาศัยประสบการณ์อันยาวนานจึงจะเขียนภาษาอังกฤษแบบนี้ได้ดี สมัยผมรับราชการเป็นเด็กๆ ระดับ ซี 3 ซี 4 เคยเขียนเปเปอร์หรือจดหมายภาษาอังกฤษในการทำงานแบบคนเพิ่งมีประสบการณ์ ท่านผู้อำนวยการกองซึ่งเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เคยอธิบายหรือพูดให้ได้ยินว่า การเขียนภาษาอังกฤษนั้น มันมีหลายระดับชั้นมาตรฐาน บางคนอาจเขียนได้ดีถึงระดับชั้นบรมครู แต่บางคนเขียนเหมือนระดับ ป.4 ผมฟังแล้วตอนแรกก็งงๆ ว่าเขียนระดับ ป.4 มันเป็นอย่างไรกันนะ ความจริงพวกรุ่นเราก็เรียนจบมาไม่นาน ถึงจะไม่ได้จบด้านภาษาศาสตร์มาโดยตรง แต่เคยใส่ใจเรียนแกรมม่ามาก็เป๊ะอยู่ อีกทั้งเคยบ้าฝึกฝนด้านภาษาด้วยตนเองโดยการซื้อหนังสือมาอ่านเป็นภูเขาเหล่ากา และก็เคยไปเรียนภาคค่ำภาษาอังกฤษที่สถาบัน เอยูเอ (สมัยนั้นหาแหล่งเรียนจำกัดมาก เนต กูเกิ้ลอะไรก็ไม่มี) รวมทั้งเคยแอบไปนั่งเรียนติวพิเศษกับ อ.สงวน แถวหน้าวัดสุทัศน์ เพื่อสอบโทเฟลก็หลายครั้งอยู่จึงเชื่อมั่นว่าเราก็พอจะเขียนได้ในตอนนั้น จนกระทั่งวันเวลาผ่านไป ผมเพิ่งจะมาทราบเมื่อเติบใหญ่ มีประสบการณ์มากขึ้นแล้ว กลับไปอ่านเปเปอร์ตัวเองที่เขียนไว้ในอดีตอีกครั้งจึงถึงบางอ้อว่า ที่ท่านผู้อำนวยการกองพูดว่า สำนวนระดับ ป.4 นั้นคืออย่างไร กระจ่างเลย

เล่าขำๆ อีกเรื่องสมัยไปเรียนปริญญาโทที่สถาบัน เอไอที มีเพื่อนนักศึกษาหญิงคนไทยคนหนึ่งถูกอาจารย์ชาวอังกฤษเรียกให้ไปอธิบายคำตอบข้อสอบวิชาประมงที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษว่าไอไม่รู้จริงๆ ว่ายูเขียนมานั้นหมายความว่าอะไร ช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้อาจารย์ฟังด้วย ก็ถือเป็นความกรุณาของท่านอาจารย์เป็นอย่างยิ่งที่ยังให้โอกาส และหลังจากนั้นอาจารย์ท่านนี้ก็ไม่เคยออกข้อสอบแบบอัตนัยอีกเลย แต่ออกเป็นแบบปรนัยแทน คือให้ วงกลม A B C D เอา วิธีและรูปแบบการเขียนที่แสดงความเป็นมืออาชีพ นอกจากไวยากรณ์จะต้องเป๊ะแล้ว สำนวนและการเลือกใช้คำศัพท์จะต้อง “โดน” และทันยุคทันสมัยอยู่เสมอ นั่นเท่ากับว่า แม้จะเก่งภาษาระดับปรมาจารย์แต่เก็บตัวอยู่แต่ในถ้ำ ไม่เคยทราบข่าวคราวความเคลื่อนไหวของโลกของสังคมภายนอกเลย ก็ไม่สามารถนำเอาคำศัพท์ที่ทันยุคทันสมัยมาเขียนได้ ที่แอปเตอร์เราก็มีเจ้าหน้าที่ที่สามารถทำการเขียนระดับนี้ได้อยู่สองสามคน คนอื่นก็เก่งนะครับ เพราะเราคัดสรรพวกที่เป็นเลิศด้านภาษาอังกฤษเป็นอันดับแรกอยู่แล้ว หากแต่เขายังคงขาดประสบการณ์ด้านการเขียนอย่างที่ว่า จึงต้องให้พี่ๆ ผู้อาวุโสเขานำไปก่อน ผมเองโชคดีที่มีน้องๆ เก่งๆ คอยช่วยเหลือเขียนมาก่อนแล้วผมจะช่วยปรับแก้ให้อีกที (ซึ่งบางครั้งก็ไปแก้ให้ถูกเป็นผิดก็มี) ความจริงคนที่จะมาเป็นจีเอ็มแอปเตอร์นั้น คุณสมบัติประการสำคัญ คือความสามารถด้านภาษาอังกฤษต้องมาก่อนสิ่งอื่นใด ทั้งการอ่าน ฟัง พูด เขียน ต้องถึงขั้น fluent เลยทีเดียวครับ เพราะต้องมีการสื่อสารทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการกับผู้แทนประเทศสมาชิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเสนอในที่ประชุมต่างๆ อยู่ตลอดเวลาครับ

ชาญพิทยา ฉิมพาลี

chanpithya@apterr.org

ซอกแซกอาเซียน : 13 สิงหาคม 2563 #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/511342

ซอกแซกอาเซียน : 13 สิงหาคม 2563

ซอกแซกอาเซียน : 13 สิงหาคม 2563

วันพฤหัสบดี ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2563, 06.00 น.

จากฉบับก่อนหน้านี้ จะเห็นว่าปริมาณการช่วยเหลือนั้นแสนจะน้อยนิด เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณผลกระทบจากภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละปี แต่กระนั้นก็อย่าเพิ่งรีบตัดสินนะครับว่า กลไกของแอปเตอร์ดูจะไม่ค่อยสนองตอบอย่างพอเพียงต่อสภาพปัญหาขาดแคลนอาหารของประชาชนอาเซียน เพราะที่จริงแล้ว การที่ประเทศสมาชิกจะร้องขอรับบริจาคข้าวนั้น คงไม่ไช่เรื่องที่กระทำกันง่ายๆ โดยปราศจากการพินิจพิจารณาให้ดูเหมาะดูควร เพราะมันเกี่ยวข้องกับนโยบายรัฐบาลของแต่ละประเทศที่ต้องใคร่ครวญอย่างละเอียด โดยต้องไม่ลืมที่จะคำนึงถึงเกียรติยศและศักดิ์ศรีของเขาด้วย แม้บางทีประเทศอาจขาดแคลนอาหาร เพราะไม่สามารถเพาะปลูกเองได้อย่างพอเพียง หรือประชากรยากจนไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้ แต่รัฐบาลก็อาจจะพยายามกำหนดและสร้างยุทธวิธีเพื่อจัดการกับอุปสรรคดังกล่าวโดยไม่จำเป็นต้องร้องขอจากความช่วยเหลือจากต่างประเทศอยู่ร่ำไป

ตัวอย่างเช่น ประเทศอินโดนีเซีย ตั้งแต่ผมมาเป็นจีเอ็มของแอปเตอร์ ทั้งๆ ที่ทราบว่าประเทศนี้อัตราการผลิตข้าวภายในยังไม่เป็นที่พอเพียงต่อการบริโภคของประชากร อีกทั้งมักประสบปัญหาภัยธรรมชาติพอๆ กับประเทศฟิลิปปินส์ แต่ทว่าผมไม่เคยได้รับการร้องขอด้านข้าวช่วยเหลือจากประเทศอินโดนีเซียเลยสักครั้งเดียว เท่าที่ทราบ เป็นเพราะนโยบายของท่านประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ที่ไม่ต้องการรับความช่วยเหลือจากนอกประเทศถ้าไม่จำเป็นจริงๆ รวมทั้งไม่ต้องการนำเข้าข้าวด้วย ท่านประธานาธิบดีต้องการที่จะผลักดันการผลิตข้าวให้พอเพียงภายในประเทศ อันที่จริงนโยบาย self-sufficiency นี้มีมานานมาก สำหรับประเทศที่ขาดแคลนข้าว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศอินโดนีเซียและประเทศฟิลิปปินส์ ที่มีพื้นที่ปลูกข้าวจำกัด เนื่องจากส่วนมากเป็นพื้นที่ภูเขา มีที่ราบลุ่มเหมาะแก่การเพาะปลูกข้าวน้อย แต่เขาก็กำหนดเป็นนโยบายมาโดยตลอดที่จะผลิตให้พอเพียงให้จงได้ ข่าวล่าสุดทางประเทศอินโดนีเซียกำลังเปิดพื้นทเพาะปลูกข้าวใหม่ในเกาะกาลิมันตัน หรือที่มาเลเซียเรียกว่าเกาะบอร์เนียว เพื่อขยายพื้นที่ข้าวของประเทศ เกือบล้านไร่ คงจะได้ใกล้บรรลุวัตถุประสงค์ในอีกไม่นานนะครับ

ส่วนประเทศฟิลิปปินส์ก็เช่นกัน แต่ด้วยพื้นที่ปลูกจำกัดมาก ขยายไม่ได้เหมือนอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์จึงเน้นไปที่การเพิ่มปริมาณผลผลิตต่อหน่วยพื้นที่ ก็ลองทำทุกวิถีทางตั้งแต่ใช้พันธุ์ข้าวผลิตสูงที่ออกโดยสถาบันวิจัยข้าวระหว่างชาติ ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศตัวเอง จนมากระทั่งปัจจุบันใช้วิธีเอาพันธุ์ข้าว hybrid หรือข้าวลูกผสมที่ให้ผลผลิตสูงมากไปให้ชาวนาปลูก แต่กระนั้นก็ยังคงต้องนำเข้าข้าวจากภายนอกอีก คงถึงที่สุดก็ไม่เพียงพอ เนื่องจากพลเมืองฟิลิปปินส์มีเยอะมาก เพราะเกือบทั้งหมดเป็นคาทอลิกซึ่งไม่มีการคุมกำเนิดเลย แถมยังเกิดภัยธรรมชาติข้าวปลาเสียหายแต่ละปีจำนวนมหาศาล จึงยากจะสู้ไหว จนท่านประธานาธิบดีคนปัจจุบัน พูดตรงๆ ออกมา ให้ฟิลิปปินส์ยอมรับเสียเถอะว่าคงไม่มีวันเป็นประเทศที่ผลิตข้าวได้พอเพียงอย่างแน่นอน ก็ดีครับจะได้จัดระบบภายในเพื่อรองรับนโยบายนำเข้าข้าวอย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม

ประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ ที่อยู่เป็นเกาะหรือชายขอบทะเล เช่น มาเลเซียก็ผลิตข้าวไม่พอกินภายในประเทศเช่นเดียวกัน แต่มาเลเซียไม่กังวล เพราะมีสตางค์ ปลูกพืชอย่างอื่นได้เงินเยอะกว่าแล้วเอาเงินไปซื้อข้าวสารจากเพื่อนบ้านกิน เช่นเดียวกับเศรษฐีบรูไนและสิงคโปร์ที่แทบจะไม่มีพื้นที่ปลูกข้าวเลย แต่พวกเขากลับมีเงินร่ำรวยมากเหลือล้นจนสามารถซื้อข้าวดีๆ จากประเทศส่งออกไปกินได้ ทำอย่างอื่นได้เงินมากกว่า แล้วซื้อข้าวกิน

แนวคิดข้างต้นที่ว่าทำอย่างอื่นดีกว่าแล้วเอาเงินไปซื้อข้าวกินนี้ ยุคหนึ่งบ้านเราก็มีเทคโนแครตบางคนมีความคิดเห็นเช่นเดียวกัน คือ คงเห็นชาวนาไทยทำนามาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายายนับร้อยนับพันปี แต่ฐานะก็ยังคงยากจนอยู่ เลยเกิดความเห็นใจว่า ทำไมทนปลูกข้าวกันแบบจนๆ กันอยู่ได้ ควรเลิกและไปทำอย่างอื่นเถอะ มีเงินแล้วซื้อข้าวกินดีกว่า แนวคิดนี้ฟังเผินๆ ก็ดูเข้าท่าดี เป็นความคิดทันสมัยที่ประเทศเจริญแล้วเขาพยายามที่จะเป็นกัน แต่ถ้าถามว่า แล้วชาวนาบ้านเรา หากเลิกปลูกข้าวจะไปทำอะไรดีล่ะที่ทำแล้วได้เงินมากกว่า หรือที่ทำแล้วรวย อันนี้คือคำถามที่คนวางแนวคิดน่าจะบอกให้จบนะครับ

ชาญพิทยา ฉิมพาลี

chanpithya@apterr.org