ซอกแซกอาเซียน : 6 สิงหาคม 2563 #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/509888

ซอกแซกอาเซียน : 6 สิงหาคม 2563

ซอกแซกอาเซียน : 6 สิงหาคม 2563

วันพฤหัสบดี ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2563, 06.00 น.

ฉบับที่แล้วเกือบจะพูดถึงกิจกรรมแอปเตอร์ในปีงบประมาณ 2020 แต่ไพล่ไปพูดถึงความคิดความเห็นในแนวทางแก้ไขปัญหาด้านความมั่นคงทางอาหาร เพราะกำลังเป็นประเด็นร้อนของโลก เนื่องมาจากความกังวล
เกี่ยวกับการระบาดของเชื้อโควิค-19 ก็ว่ากันไปครับ เพราะถ้าไม่พูดถึงเลย ก็จะกลายเป็นตกเทรนด์สำคัญไปแต่กระนั้น ผมในฐานะที่พอมีประสบการณ์ในเรื่องความมั่นคงทางอาหารอยู่บ้าง ทราบดีว่า เรื่องนี้แม้จะมีความสำคัญมากต่อการดำรงชีวิตของพลโลก และหลายๆ ประเทศ รวมทั้งองค์กรระหว่างประเทศก็ให้ความสำคัญ หากแต่ในทางปฏิบัติเพื่อการจัดการให้เป็นไปในทิศทางที่ต้องการนั้น ไม่ง่ายเลยครับ จะเห็นได้จาก ประเทศที่ขาดแคลน ก็ยังคงขาดแคลนอยู่เหมือนเดิม มันจึงยังเป็นเรื่องที่สำคัญที่ต้องพูดถึงกันอย่างไม่จบสิ้นครับ

สำหรับปี 2020 นี้ นอกเหนือจากข้าวสำรองแบบ earmarked ที่นอนรอในโกดังประเทศใครประเทศมัน จำนวน 787,000 ตันแล้ว แอปเตอร์มีข้าวเตรียมบริจาคในเทียร์ 3 หรือแบบให้เปล่า จำนวน 1,600 ตัน โดยเป็นของประเทศญี่ปุ่น จำนวน 600 ตัน และของประเทศเกาหลีใต้ จำนวน 1,000 ตัน แต่ทั้งนี้ไม่รวมปริมาณข้าวที่ได้ส่งช่วยเหลือภัยฉุกเฉินของเกาหลีใต้ที่ให้แก่ฟิลิปปินส์ กรณีเกิดแผ่นดินไหวบนเกาะมินดาเนา และภูเขาไฟชื่อ ตาอัน ระเบิด อีกพันกว่าตัน นอกจากปริมาณข้าวสารข้างต้น ปีนี้แอปเตอร์เรามีรูปแบบการบริจาคใหม่ที่ทางประเทศญี่ปุ่นภูมิใจนำเสนอ คือ เป็นข้าวหุงสุกสำเร็จรูปบรรจุในถุงพลาสติกพร้อมบริโภค จำนวน 40,000 ถุง ซึ่งหลายฝ่ายช่วยกันพิจารณาแล้วเห็นว่าน่าจะดีและเหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ภัยพิบัติมาก เนื่องจากข้าวสำเร็จรูปชนิดนี้สามารถเอาไปบริโภคได้ทันทีเพียงแต่ต้มน้ำร้อนเติมเข้าไป รอเพียงแป๊บเดียวก็ใช้ช้อนตักกินจากถุงได้เลย อันนี้ต่างจากการบริจาคเป็นข้าวสารซึ่งต้องนำไปหุงต้มอีกครั้งหนึ่ง ยุ่งยากกว่าแบบสำเร็จรูป และที่พิเศษสุดกว่านั้น คือ ข้าวสำเร็จรูปของญี่ปุ่นแบบใหม่นี้เขามีการผสมกับเครื่องปรุงมาแล้ว รสชาติอร่อยมาก มีหลายรสให้เลือกกินได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องไปหากับข้าวมาเสริม (แต่ถ้าจะเสริมก็ได้ ไม่ห้าม)

โดยก่อนที่จะนำเอาข้าวสำเร็จแบบใหม่มาใช้เพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยพิบัตินี้ ทางผู้แทนญี่ปุ่นได้นำเอาตัวอย่างไปทดลองให้คณะมนตรีแอปเตอร์กินดูแล้ว ในคราวประชุมที่ประเทศมาเลเซียเมื่อต้นปีก่อน ปรากฎว่ารสชาติเป็นที่ถูกใจผู้ชิมเป็นอย่างยิ่ง มีให้เลือก เช่น รสแกงกะหรี่ที่คนญี่ปุ่นนิยมกินทั้งเมือง รสมิโสะ และรสอื่นๆ อีก อันนี้ขอบอกว่าแตกต่างจากสมัยที่ผมเคยชิมในอดีตตอนที่ไปอบรมทุนไจก้าที่โตเกียวเมื่อยี่สิบกว่าปีมาแล้ว ตอนนั้นจำได้ว่าเคยไปร้านเกี่ยวกับแคมปิ้งหรือพวกเดินป่าค้างแรม และได้ซื้อข้าวสำเร็จแบบเดียวกันมาทดลองกิน เทคนิกคล้ายๆ กัน คือ ต้องต้มน้ำร้อนเทใส่ถุงข้าวรอสักพักแล้วกิน ส่วนที่ต่างกันคือข้าวสำเร็จสมัยนั้น มันเป็นแต่ข้าวขาวเฉยๆ ไม่มีการปรุงรสเลย เวลากินต้องหากับข้าวมากินด้วย แต่กระนั้น ผมก็ไม่ยืนยันนะครับ อาจเป็นเพราะผมมีเงินน้อยเลยเลือกซื้อของราคาถูกที่มีแต่ข้าวเฉยๆ ความจริงเขาอาจจะมีแบบปรุงรสอยู่แล้วก็เป็นได้

การแบ่งสันปันส่วนข้าวช่วยเหลือตามโปรแกรมแอปเตอร์ปีนี้ ก็เป็นไปตามที่สมาชิกร้องขอแสดงความจำนง อย่างที่บอกไปแล้วว่า เรามีผู้เสนอตัวขอรับข้าวบริจาคอยู่ 3 ประเทศ คือ กัมพูชา เมียนมา และฟิลิปปินส์ เฉพาะสองประเทศหลังที่ต้องการข้าวสำเร็จรูป เราเลยหารือกับทางเจ้าของข้าว คือ ประเทศญี่ปุ่น ตกลงจัดสรรให้ทั้งคู่เท่าๆ กัน คือประเทศละ 20,000 ถุง แหมน่าอิจฉาเชียว สำหรับประชาชนผู้ที่จะได้รับบริจาคข้าวแบบนี้เพราะคงอร่อยเพลินไปเลยปีนี้ ส่วนข้าวสารธรรมดา แอปเตอร์ก็ได้จัดสรรให้ทั้งสามประเทศ โดยกัมพูชาได้ไป 300 ตัน เมียนมาได้ 900 ตัน ที่เหลือเป็นของฟิลิปปินส์ จำนวน 400 ตัน

ข้าวสำเร็จรูปและข้าวสารที่จัดสรรข้างต้น เมื่อขนส่ง (ทางเรือ) ไปถึงแต่ละประเทศแล้วไม่ได้หมายความว่าจะเอาไปแจกชาวบ้านทันทีเลยนะครับ เพราะระบบนี้เป็นระบบที่เรียกว่า prepositioned กล่าวคือต้องเอาไปเก็บรักษาไว้ในโกดังก่อนประมาณ 1 ปี รอการเกิดภัยธรรมชาติ เมื่อเกิดภัยแล้วจึงจะขออนุมัตินำออกไปแจกจ่ายอีกชั้นหนึ่งครับ

ชาญพิทยา ฉิมพาลี

chanpithya@apterr.org

ซอกแซกอาเซียน : 23 กรกฎาคม 2563 #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/506987

ซอกแซกอาเซียน : 23 กรกฎาคม 2563

ซอกแซกอาเซียน : 23 กรกฎาคม 2563

วันพฤหัสบดี ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2563, 06.00 น.

ปัจจุบัน มหันตภัยโควิด-19 ยังไม่สร่างซาลงไปเลย เพียงแต่เคลื่อนย้ายไประบาดมากขึ้นในถิ่นฐานใหม่ๆ ก็ถือเป็นเรื่องน่าฉงนอยู่ ที่การระบาดทำลายชีวิตผู้คนเกิดที่เอเชียก่อน และหลังจากนั้นก็เคลื่อนย้ายต่อไปเล่นงานคนในยุโรป ต่อด้วยอเมริกา จนทุกวันนี้ไปโผล่เอาแถวทวีปอเมริกาใต้ มีนิดหน่อยที่ย้อนมาระบาดรอบสองในแหล่งเดิม อย่างเช่น ในจีน ญี่ปุ่น แต่ก็ไม่รุนแรงใหญ่โตเหมือนคราวแรก ตอนนี้ยังขาดอยู่ทวีปเดียวที่เจ้าโควิดยังไม่ย่างกรายเข้าไป คือ แอฟริกา ผมว่าถ้าเข้าไปได้คงเดือดร้อนแสนสาหัสกว่าที่อื่นๆที่ผ่านมา เพราะสิ่งอำนวยความสะดวกและระบบสาธารณสุขในทวีปนี้ค่อนข้างจะขาดแคลนและไม่อำนวยเลย และที่แปลกมากขึ้นเท่าที่ผมสังเกต แม้ว่าจะมีการระบาดทำลายชีวิตผู้คนกันเป็นข่าวครึกโครมทราบกันล่วงหน้าเป็นเดือนๆ แต่ประเทศที่ระบาดในภายหลังก็หาได้มีมาตรการที่จะป้องกันยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อโรคได้ ทั้งๆ ที่น่าจะทำได้ไม่ยากนักด้วยมาตรการ Social Distancing ซึ่งประเทศโดนเล่นงานแรกๆนำมาใช้ควบคุมจนเบาบางลง ก็ได้แต่ขอภาวนานะครับว่า ประเทศที่เคยระบาดแล้วจะไม่ย้อนกลับมาโดนอีก และประเทศที่ยังไม่ระบาด ก็อย่าได้โชคร้ายรับเอาเชื้อเข้าไปนะครับ

ผลกระทบของการระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่เห็นได้ชัดประการหนึ่งเกี่ยวกับงานต่างประเทศ คือ กิจกรรมการประชุมต่างๆ ของประชาคมอาเซียน หรืออาเซียนบวกสาม หรือความร่วมมืออื่นๆ ต้องถูกยกเลิกไปโดยปริยาย นับเฉพาะที่สำนักเลขานุการแอปเตอร์ ปกติปีหนึ่งก็จะต้องมีการเข้าร่วมประชุมแน่ๆ อย่างน้อย 4 รายการด้วยกันซึ่งหมุนเวียนไปจัดประชุมในประเทศสมาชิกตามลำดับตัวอักษรการยกเลิกการประชุมนี้ก็ไม่ทราบว่าจะเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีสำหรับประเทศสมาชิกแล้วแต่จะมองกัน ที่รู้สึกว่าดีก็มี เช่น ประหยัดรายจ่ายไม่ต้องเดินทางไปมาและประหยัดต้นทุนการจัดของเจ้าภาพ แต่ข้อเสียก็แน่ละ เพียงพูดนำเสนอผ่านวีดีโอคอนเฟอเรนซ์เห็นหน้าเฉพาะในจอภาพ ดูเหมือนจะขาดความรู้สึกผูกพันใกล้ชิด ซักถามอะไรก็ไม่ค่อยละเอียด รวบรัดใช้เวลาน้อยมาก ซึ่งก็หวังว่าระบบการประชุมแบบใหม่นี้คงจะไม่กลายเป็น New Normal นะครับ เพราะบรรยากาศแห่งความใกล้ชิดสมานฉันท์แทบจะไม่มีเลย

การประชุมที่เพิ่งผ่านไปหยกๆ คือการประชุมของแอฟซิส หรือ ASEAN Food Security Information System ที่แต่เดิมประเทศบรูไน ดารุสซาลาม จะเป็นเจ้าภาพจัด เห็นว่าจัดกระเป๋าเตรียมจะเดินทางกันอยู่แล้ว แต่ทว่าเกิดวิกฤตโควิดและมาตรการล็อกดาวน์ เลยจำเป็นต้องงดกะทันหัน รายการประชุมของแอฟซิสที่ว่านี้ความเป็นจริงถือว่าเป็นครั้งปฐมฤกษ์ที่ใช้ลักษณะเวียนกันเป็นเจ้าภาพจัดประชุม หลังจากที่ตลอดมาฝ่ายเลขานุการซึ่งตั้งอยู่ที่สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นในประเทศไทย และการประชุมครั้งแรกในระบบใหม่นี้ก็จบลงด้วยการใช้วีดีโอคอนเฟอเรนซ์ ส่วนอีกรายการเป็นรายการใหญ่ที่ต้องงดเดินทางไปประชุมเช่นกัน คือ การประชุม ASEAN Summit ซึ่งปีนี้เวียดนามหมุนมาเป็นเจ้าภาพต่อจากประเทศไทย การประชุมสุดยอดนี้ ผู้เข้าประชุมคือระดับผู้นำสูงสุดของประเทศศสมาชิกเลยทีเดียว ก็ต้องใช้วิธีวีดีโอคอนเฟอเรนซ์เช่นเดียวกัน ฉะนั้น การที่จะต้องขึ้นไปจับมือแบบไขว้แขนกันที่เรียกว่าอาเซียนเวย์นั้นเลยไม่มีให้เห็นครับ

และใกล้เข้ามาอีกรายการ ซึ่งพอดีเวียดนามถึงคิวเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเช่นเดียวกัน คือ การประชุมของ ASEAN Food Security Reserve Board หรือ AFSRB ปีที่แล้วประเทศไทยเราเป็นเจ้าภาพ ผมก็ได้เขียนถึง เนื่องจากได้มีการจัดเลี้ยงในเรือล่องแม่น้ำเจ้าพระยา และช่วงนั้นทางตัวแทนคนเวียดนามก็เตรียมการแล้ว โดยแจ้งล่วงหน้าเลือกเอากรุงฮานอยเป็นสถานที่จัด แต่ในที่สุดก็ต้องประกาศงดไป ผมถึงแม้จะเคยไปประชุมที่ฮานอยมาหลายครั้งแล้ว ยังรู้สึกผิดหวัง เพราะหมายมั่นปั้นมือจะไปเดินที่สุสานโฮจิมินห์อีกสักครั้ง เลยต้องเปลี่ยนมาเป็นเตรียมไปอยู่หน้าจอวีดีโอแทน ซึ่งฝ่ายเลขานุการ คือ กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์เป็นผู้เตรียมการในฝ่ายของประเทศไทย โดยใช้สถานที่ของกระทรวงพาณิชย์ที่สนามบินน้ำเรานี่เองครับ นอกจากนี้ยังมีการประชุมใหญ่อีกสองรายการที่สำคัญ คือ ประชุมระดับปลัดกระทรวงเกษตรครั้งหนึ่ง กับการประชุมระดับรัฐมนตรีเกษตรอีกครั้งหนึ่ง ที่ประเทศบรูไน และกัมพูชา ตามลำดับ ซึ่งก็คงไม่พ้นที่จะต้องไปอยู่หน้าจอแทนเช่นเดียวกัน

ชาญพิทยา ฉิมพาลี

chanpithya@apterr.org

ซอกแซกอาเซียน : 9 กรกฎาคม 2563 #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/504090

ซอกแซกอาเซียน : 9 กรกฎาคม 2563

ซอกแซกอาเซียน : 9 กรกฎาคม 2563

วันพฤหัสบดี ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2563, 06.00 น.

สามสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมพยายามนำเสนอข้อดีของการทำงานในแบบญี่ปุ่น เท่าที่ได้เห็นจากประสบการณ์ที่ทำงานอยู่ด้วยกัน ความจริงยังมีอีกมาก ที่สามารถนำมาพูดคุยได้แต่กระนั้น คงต้องไม่พูดเยอะ เพราะเดี๋ยวจะไม่มีโอกาสได้พูดถึงประเทศอื่นๆ ไป เนื่องจากยังมีลักษณะเฉพาะต่างๆ สำหรับวิถีการทำงานของชาติต่างๆ อีก แต่ทว่าผมคงจะเลือกสรรคัดเอาในส่วนที่ดีๆ ส่วนไหนที่ไม่ดีก็ไม่ควรนำมาเสนอ เพราะจะกลายเป็นการประจานเขาไป ซึ่งคงไม่ดีในแบบฉบับของนักการทูตมืออาชีพครับ

ในบรรดาสมาชิกแอปเตอร์ นอกจากจีนและเกาหลีใต้ที่ผมไม่ได้ยกมาเล่าแบบญี่ปุ่นนั้น สำหรับในส่วนของสมาชิกอาเซียนแท้ๆ 10 ประเทศแล้ว ผมว่าสิงคโปร์น่าพูดถึงมากที่สุด เพราะน่าจะเป็นด้วยระบบการทำงานของเขา และอาจรวมถึงบรรทัดฐานการดำเนินชีวิตของประชาชนเขาประกอบกันจึงทำให้สิงคโปร์เจริญก้าวหน้าก้าวไกล อย่างที่เราคนไทยน่าจะตามทันได้ยาก ลักษณะเฉพาะและเด่นของสิงคโปร์คงจะมีที่มาและรวมเอาสิ่งดีจาก 2 ส่วนด้วยกัน คือความเก่งกาจในด้านการค้าพาณิชย์จากความเป็นคนเชื้อชาติจีน กับระบบการบริหารงานที่น่าจะลอกเลียนแบบมาจากอังกฤษ เมื่อสุดยอดของทั้ง 2 สุดยอดมารวมกัน เลยทำให้สิงคโปร์ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ทั้งที่ทรัพยากรพื้นฐานที่จำเป็นต่อการสร้างชาติของสิงคโปร์แทบจะหาไม่ได้เลยจากภายในประเทศ การกำหนด position ตนเองเป็นคนกลางในการซื้อขายสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตผู้คน จึงเป็น norm ของสิงคโปร์มาตั้งแต่เริ่มตั้งประเทศ และแน่นอนที่สุดครับ มันเป็นความจริงอย่างหนึ่งที่ท่านผู้อ่านหลายท่านทราบแล้ว บรรพบุรุษผมเคยสอนไว้ตั้งแต่ผมยังเยาว์ว่า ในโลกนี้ ถ้าอยากจะเป็นผู้มีเงินทองทรัพย์สินมั่งคั่ง ให้เลือกประกอบอาชีพพ่อค้าวาณิช หรือ ค้าขายเถิด ซึ่งก็เป็นจริงตามที่ท่านว่า เพราะในโลกนี้ ไม่มีอาชีพใดที่จะสร้างความร่ำรวยให้กับเราได้เท่ากับอาชีพค้าขาย ส่วนอาชีพรับราชการหรือเป็นลูกจ้างเอกชนนั้น สงวนไว้สำหรับคนที่ไม่หวังจะเป็นคนมีสตางค์หรือคนที่พอเพียงเท่านั้น เพราะคนกลุ่มหลังนี้กินแต่เงินเดือนค่าจ้างซึ่งไม่มีทางที่จะเก็บสะสมจนมั่งคั่งได้แน่นอน ยกเว้นสองสามอย่างคือ ทุจริตคดโกง หรือได้ทรัพย์สินมาจากมรดกตกทอด หรือเผอิญถูกหวยรางวัลใหญ่ พอดีผมเองก็เป็นคนแบบพอเพียง หรืออาจอยากจะรวยเหมือนกันแต่ขี้เกียจค้าขาย เลยเลือกที่จะเป็นข้าราชการ ก็เลยได้จนมาสมใจอยาก (เอ้ะ!! เพลินไปซะไกล..) สิงคโปร์เลยประสบความสำเร็จในการยกระดับฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศด้วยความถนัดเดิม คือ ค้าขาย ส่วนระบบภาครัฐ ที่เรียนรู้มาจากอังกฤษ อาจบวกด้วยวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของท่านผู้นำยุคบุกเบิก ท่านลีกวนยู อดีตนายกรัฐมนตรีผู้ล่วงลับ สิ่งที่ผมพบเห็นจากสิงคโปร์ คือ ความตรงไปตรงมาและความมีประสิทธิภาพโดยยึดถือกฎเกณฑ์ของสังคมอย่างเข้มงวด

ตัวอย่างอันหนึ่งที่ผมเห็นจากการทำงานในแอปเตอร์คือ เวลาที่ฝ่ายสำนักเลขานุการแอปเตอร์ขออนุมัติในเรื่องใดๆ สิงคโปร์จะต้องสอบถามกลับเพื่อความชัดเจนเกือบทุกครั้ง คือสอบถามเพื่อความเข้าใจตรงกันก่อน หากมีความคลุมเครือ ก็จะต้องอธิบายกันจนพอใจ รวมทั้งในที่ประชุมต่างๆ ทางสิงคโปร์น่าจะเป็นประเทศต้นๆ ที่มักมีคำถามบ่อยมาก แต่กระนั้น ทางออกดีๆ หรือมติที่หลายคนยอมรับ ก็มักจะมาจากสิงคโปร์นี่แหละ จริงๆ แล้วจะว่าไปสิงคโปร์เขามีวิสัยทัศน์ระดับโลกและสามารถมองข้ามอาเซียนเราไปเลยก็ได้ เพราะถึงแม้จะไม่มีพื้นที่นาสำหรับผลิตข้าวเลย แต่เขาก็มีเงินมากพอที่จะหาซื้อข้าวบริโภคจากที่ใดก็ได้ แต่ด้วยความที่เขามีภูมิรัฐศาสตร์ติดอยู่กับสมาชิกอาเซียนอื่น เขาก็ไม่เคยมองข้ามความสำคัญอันน้อยนิด อีกทั้งเงินที่เขาบริจาคให้แอปเตอร์ เมื่อเทียบกับความมั่งคั่งร่ำรวยของเขาแล้ว เหมือนขนหน้าแข้งครึ่งเส้น แต่เขาก็ยังให้ความสำคัญ โดยเฉพาะเงิน Endowment Fund ที่เป็นหนึ่งในสองก้อนที่สมาชิกบริจาคให้แอปเตอร์ทุกปี (อีกก้อน คือ Operational Cost) นั้น สิงคโปร์นี่แหละที่ยืนยันว่า ฝ่ายสำนักเลขานุการจะต้องนำไปฝากธนาคารที่น่าเชื่อถือไว้เท่านั้น ห้ามที่จะนำไปลงทุนอื่นใด แม้จะสามารถออกดอกออกผลได้มากกว่าการฝากประจำที่ธนาคารที่ว่า ทั้งนี้ เพราะเกรงว่าเงินดังกล่าวจะสูญหายหมดไปจากภาวะเสี่ยงนั่นเอง

ตัวอย่างที่ยกมาข้างต้นถือเป็นส่วนน้อยนิดกับบรรทัดฐานของสิงคโปร์ ความจริงยังมีรายละเอียดอื่นๆ อีกมากตามที่ได้เล่าไปบ้างแล้วในสอดแทรกฉบับก่อนนับเป็นความละเอียดรอบคอบของสิงคโปร์ที่สมาชิกแอปเตอร์อื่นๆ ต้องคล้อยตาม และก็ถือว่าเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของแอปเตอร์จริงๆ ครับ

ชาญพิทยา ฉิมพาลี

chanpithya@apterr.org

ซอกแซกอาเซียน : 2 กรกฎาคม 2563 #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/502743

ซอกแซกอาเซียน : 2 กรกฎาคม 2563

ซอกแซกอาเซียน : 2 กรกฎาคม 2563

วันพฤหัสบดี ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2563, 06.00 น.

อีกบรรทัดฐานหนึ่งของการทำงานของคนญี่ปุ่นที่ผมจะกล่าวต่อไป ความจริงก็แทบจะไม่ต่างจากบรรทัดฐานเดิมที่ผมได้เสนอท่านผู้อ่านไปเมื่อครั้งที่แล้ว คือเป็นเรื่องเกี่ยวกับ “ท่าที” เหมือนกัน แต่วันนี้จะเน้นความต่างจากของเดิมซึ่งได้แก่การกำหนดท่าทีที่ชัดเจน ตรงที่เขามีการกำหนดท่าทีไว้ “ล่วงหน้าอย่างแท้จริง” แต่ก่อนที่จะเขียนต่อไป มีหลายท่านสงสัยคำว่า “ท่าที” ที่ผมยกมาว่ามันคืออะไรกันแน่ ดังนั้น ขออธิบายสั้นๆ ก่อนครับว่า “ท่าที”น่าจะตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า attitude หรือ position หรือ stance อันหมายถึงปฏิกิริยาหรือแนวทางการสนองตอบของฝ่ายหนึ่ง ที่มีต่อนโยบาย ข้อเสนอ หรือมติการดำเนินงานของอีกฝ่ายหนึ่ง ตัวอย่างเช่น เมื่อเกิดเหตุการณ์โควิด-19 และน่าจะทำให้เกิดวิกฤติด้านความมั่นคงทางอาหารมากขึ้น จึงได้มีการเสนอว่าสมาชิกแอปเตอร์ควรที่จะมีการบริจาคข้าวเพิ่มขึ้น กรณีเช่นนี้ ประเทศไทยเรา หรือแต่ละประเทศสมาชิก จะกำหนด attitude หรือ position หรือ stance หรือ “ท่าที” ต่อกรณีดังกล่าวอย่างไรบ้าง อย่างนี้เป็นต้น

ผมชมเชยทางการญี่ปุ่นในเรื่องนี้มาก เพราะจากประสบการณ์ที่เห็น ไม่ว่าแอปเตอร์จะเคลื่อนไหวไปอย่างไร จะเล็กน้อยจนแทบจะไม่เห็นความสำคัญเลย หรือยิ่งใหญ่ปานว่าขุนเขา กระทรวงเกษตร ป่าไม้และประมงของญี่ปุ่นไม่เคยละเว้นที่จะเก็บเอาไปพิจารณากำหนด “ท่าที” ทุกประเด็น และที่น่าทึ่งอย่างยิ่ง ก็คือ เขาทำก่อนเหตุการณ์จะเกิดหรือทำล่วงหน้าทุกครั้งนั่นเอง โดยเขาพยายามเกาะติดสถานการณ์และมองไปข้างหน้า สแกนทุกอย่างและก็เตรียมกำหนดท่าทีในเรื่องนั้นๆ ไว้ก่อนที่บางสิ่งบางอย่างจะเกิดขึ้น นั่นหมายถึงไม่ต้องรีรอให้เกิดเรื่องเสียก่อนแล้วจึงมาหาวิธีแก้ไขสนองตอบภายหลัง หลายท่านอาจเถียงผมว่า ก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องวิเศษลึกซึ้งแต่ประการใดอีกเช่นกัน เพราะยุทธวิธีแบบนี้ใครๆ ก็ทราบ แต่ผมก็ขอเถียงกลับว่า จริงครับ มันเป็นเรื่องตื้นๆ ที่ใครๆ ก็น่าจะรู้ ทว่า เท่าที่เห็น มันมีการกระทำจริงแบบนั้นน้อยมากในที่อื่นๆ และเท่าที่เห็นในบางแห่งบางประเทศ มักปล่อยปะละเลยไม่สนอกสนใจที่จะคิดทำกัน ส่วนมากถือว่าธุระไม่ใช่ จนในที่สุดก็เกิดปัญหาขึ้น แล้วหลังจากนั้นก็จะโทษกันไปมามากกว่าจะร่วมกันหาวิธีการแก้ไข สุดท้ายสังคมก็เดือดร้อนยุ่งเหยิง ไร้ประสิทธิภาพในการจัดการ

ตัวอย่างปัญหาที่ใกล้ตัวและเห็นมาตลอดในบางประเทศ (น่าจะไม่ใช่ประเทศไทยนะครับ) คือ กรณีมีคนบุกรุกที่สาธารณะเป็นที่อยู่อาศัย เริ่มแรกก็มาคนเดียวหรือสองสามคน แทนที่ผู้รักษากฎหมายจะเร่งจัดการเพื่อเป็นการตัดไฟเสียแต่ต้นลม แต่กลับเฉยเสีย ไม่มีใครเลยที่สนใจจะแก้ไขเชิญเขาออกไป จึงทำให้คนอื่นๆ ได้ใจและทยอยเข้ามาอยู่เพิ่มขึ้น เนื่องจากเห็นกันว่าอยู่ได้ ไม่มีใครมาห้าม ทีนี้ก็กลายเป็นชุมชนผู้บุกรุกกลุ่มใหญ่ ถึงตอนนี้ก็ยากละครับที่จะแก้ไขเชิญพวกเขาออกไป กลับกลายเป็นปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ ลักษณะบรรทัดฐานแบบนี้ถ้าเป็นในประเทศญี่ปุ่นแล้ว เขาไม่มีทางยอมตั้งแต่เริ่มต้น เพราะอะไรๆ ที่ส่อว่าจะเกิดปัญหาในอนาคตไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก ไม่มีวันลอดหูลอดตาทางการญี่ปุ่นไปได้ จริงๆ แล้วระบบของฝรั่งก็มีลักษณะคล้ายๆ กัน เพราะเขาถือว่าความเป็นไปของสังคมนั้นทุกคนต้องช่วยกันรับผิดชอบ ดังนั้นใครที่ทำอะไรไม่ชอบมาพากล ย่อมไม่หลงหูหลงตาประชาชนคนใดคนหนึ่งไปได้ แล้วเขาก็จะเป็นตาสับปะรดช่วยแจ้งเจ้าหน้าที่อีกชั้นหนึ่ง ผมเคยพักอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์ในเมืองหนึ่งในประเทศอิตาลี วันหนึ่งมีเพื่อนมานั่งดื่มสุรากัน 1-3 คน พอดึกหน่อยก็เริ่มมีเสียงดังขึ้นๆ สักพักเดียว มีตำรวจมาเคาะประตู และบอกว่าถ้ายังเสียงดังรบกวนชาวบ้านอย่างนี้อีก คงต้องย้ายที่นอนไปนอนที่สถานีตำรวจแทน เท่านั้นแหละ เงียบสนิทกันได้ทันที

สมัยทำงานอยู่ในกระทรวงเกษตรฯ ผมเคยได้รับมอบหมายให้ไปประชุมและสัมมนาระยะสั้นที่ประเทศแซมเบีย แถบทวีปแอฟริกา พอไปถึงก็เกิดความพิศวงงงงวยมาก เพราะในดินแดนแอฟริกาอันลึกลับกลับได้พบคนจีนกับคนญี่ปุ่นเยอะแยะไปหมด ส่วนมากคนจีนจะทำธุรกิจด้านการก่อสร้างทั้งโดยการช่วยเหลือจากภาครัฐและเอกชน ส่วนคนญี่ปุ่นมักจะทำงานในองค์กรช่วยเหลือระหว่างชาติและเอกชน และหลังจากที่ผมได้ศึกษารวมทั้งถามไถ่ผู้รู้ต่างๆ จึงทราบว่า นั่นคือท่าทีวิสัยทัศน์ของคนญี่ปุ่นและคนจีนครับ จากข้อเท็จจริงที่ผมไม่อาจเล่าได้ จะเห็นได้ว่า เขาไม่ได้กำหนดนโยบายหรือท่าทีต่างๆ โดยมองไปข้างหน้าเพียง 5 ปี 10 ปีเท่านั้น แต่เขามองไปข้างหน้าอย่างน้อย 50 ปีเลยทีเดียว

ชาญพิทยา ฉิมพาลี

chanpithya@apterr.org

ซอกแซกอาเซียน : 25 มิถุนายน 2563 #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/501283

ซอกแซกอาเซียน : 25 มิถุนายน 2563

ซอกแซกอาเซียน : 25 มิถุนายน 2563

วันพฤหัสบดี ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2563, 06.00 น.

บรรทัดฐาน หรือ Norm ของการทำงานของคนญี่ปุ่นประการต่อมา คือ “การกำหนดท่าทีที่ชัดเจนและร่วมผลักดันทุกฝ่ายเป็นทีม”อันนี้น่าทึ่งมาก ที่ว่าน่าทึ่งคงมิใช่เป็นเพราะรูปแบบและวิธีทำงานดังกล่าวเป็นสิ่งพิเศษแปลกใหม่ วิลิศมาหราแต่ประการใดหรอกครับ เพราะในการศึกษาฝึกอบรมเกี่ยวกับการเทคนิคการบริหารงาน หรือแม้แต่พ็อกเกตบุ๊คเกี่ยวกับ how to ด้านการบริหารองค์กรทั้งหลายก็มีกล่าวไว้เยอะแยะมากมาย ท่านผู้อ่านคงประสบพบเจอมาจนเบื่อ แต่ที่ผมยกมาพูดมันเกี่ยวกับ “การเอาจริงเอาจัง” ของการปฏิบัติภารกิจดังกล่าวของคนญี่ปุ่นมากกว่าครับ

อันดับแรกที่ผมขอพูดถึง คือ ที่มาของการกำหนด “ท่าที” ของญี่ปุ่นนั้นเขายึดถือระบบชั้นการบังคับบัญชา หรือHierarchical system อย่างเคร่งครัด กล่าวคือระดับนโยบาย คือ ตัวกระทรวงส่วนกลาง จะเป็นผู้รับผิดชอบในการกำหนดท่าทีต่อกรณีใดๆ ที่จะมีขึ้น ซึ่งแน่ละว่ากรณีดังกล่าวหากมีส่วนเกี่ยวพันกับกระทรวงใดก็ตาม ก็จะต้องได้รับความเห็นชอบและร่วมมือเป็นทีมจากกระทรวงนั้นๆ ด้วย ตัวอย่างเรื่องหนึ่งที่ผมขออนุญาตยกมาประกอบการอธิบายเพื่อให้เห็นเป็นรูปธรรมเสริมในประเด็นนี้ ก็คือ การทำงานที่เกี่ยวกับแอ็ปเตอร์ ได้แก่การแก้ไข APTERR Agreement ครั้งที่ผ่านมา จากการที่ผมเป็นผู้บริหารของฝ่ายสำนักเลขานุการแอปเตอร์ ได้ทราบจากการประสานภายในว่าทางการญี่ปุ่นได้มีท่าทีชัดเจนสำหรับเรื่องนี้อย่างไรบ้าง อาศัยผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นประจำแอปเตอร์เป็นผู้ประสานงาน ซึ่งท่าทีดังกล่าวกระทรวงเกษตร ป่าไม้และประมงของญี่ปุ่นได้หารือกำหนดขึ้นโดยการประสานงานและเห็นร่วมกันกับกระทรวงการต่างประเทศของเขาแล้ว ทุกฝ่ายที่ทำงานในลำดับชั้นต่ำลงมาต้องปฏิบัติตาม ไม่มีแม้กระทั่งความเห็นใดๆ ที่ส่อถึงความไม่เห็นด้วยหรือโต้แย้งจากปากของเจ้าหน้าที่ชาวญี่ปุ่นผู้ปฏิบัติเลยสักแอะเดียว

แล้วทีมงานที่ว่าล่ะ เป็นอย่างไรท่านผู้อ่านครับ รัฐบาลญี่ปุ่นโดยปกติจะส่งผู้แทนกระทรวงเกษตรฯ ไปประจำอยู่ในทุกองค์กรหรือทุกประเทศที่เกี่ยวข้องตเช่น ที่แอปเตอร์ก็ส่งมา 1 คน ที่แอปซิสหรือ ASEAN Food Security InformationSystem (AFSIS) ก็ส่งมาประจำ 1 คน ทราบว่าที่กรมประมงเรามี SEAFDEC ก็ส่งมาอยู่หลายคน ที่สำนักเลขาธิการอาเซียน จาการ์ตาก็ส่งไปหลายคน แล้วก็ตามสถานทูตญี่ปุ่นก็มีประจำอยู่แห่งละ 1 คน ในอดีตที่กระทรวงเกษตรฯ เราก็มีส่งมาประจำอยู่ 1 คน ทุกคนที่ประจำอยู่ในที่ต่างๆ นี้ ต้องทราบชัดเจนถึง “ท่าที”ที่กำหนดโดยรัฐบาลหรือกระทรวงเกษตรฯ ของเขาว่าคืออะไร และที่สำคัญคือ ต้องมีหน้าที่ติดต่อประสาน อธิบาย ผลักดัน ล็อบบี้ หรือใช้วิถีทางอื่นๆ เพื่อให้ท่าทีนั้นบรรลุผล คนที่อยู่แอปเตอร์ก็มาหาผมเพื่ออธิบายทุกอย่างให้ผมเข้าใจและคล้อยตาม คนที่อยู่จาการ์ตาก็เข้าพบผู้อำนวยการสำนักงานเพื่อว่าอย่างเดียวกัน ผู้ที่ประจำสถานทูตประเทศสมาชิกก็เข้าพบบุคคลสำคัญของประเทศนั้นๆ เพื่อวัตถุประสงค์เดียวกัน จนในที่สุด New APTERR Agreement ก็สำเร็จออกมาและค่อนข้างจะเป็นไปตาม “ท่าที” ของญี่ปุ่นเกือบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ สุดยอดครับ!!!!!! แถมให้อีกนิดในเรื่องคล้ายๆ กัน เมื่อปีที่แล้วมีการประชุม AMAF Plus Three (ผมเคยเขียนอธิบายไปแล้วว่าคือการประชุมอะไร) ที่ประเทศบรูไน ดารุสซาลามทางฝ่ายเจ้าภาพ คือสำนักเลขาธิการอาเซียนที่จาการ์ตา ตอนแรกเห็นว่าสำนักเลขานุการแอปเตอร์ไม่มีระเบียบวาระในที่ประชุมโดยตรง เลยไม่ทำหนังสือเชิญมา แต่ทางประเทศญี่ปุ่นกลับเห็นต่าง คือ เห็นว่าสำนักเลขานุการแอปเตอร์ควรเข้าร่วมประชุมด้วย เพราะยังคงมีเรื่องเกี่ยวกับการให้สัตยาบันความตกลงแอปเตอร์ที่แก้ไขใหม่ เขาเลยแจ้งให้ผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นที่อยู่กับผม ร่วมกับผู้แทนญี่ปุ่นที่ประจำอยู่สำนักเลขาธิการอาเซียนที่จาการ์ตาเข้าพบอธิบายและโน้มน้าวจนในที่สุดสำนักเลขาธิการอาเซียน ต้องส่งหนังสือเชิญเป็นทางการให้แอปเตอร์เข้าร่วมประชุมจนได้โดยที่ทางผมเองไม่ได้ออกแรงอะไรเลยสักนิดยังกังวลนิดหน่อยด้วยซ้ำเดี๋ยวทางสำนักเลขาธิการอาเซียนจะกล่าวหาว่า ผมอยากไปมากและขอให้ญี่ปุ่นช่วย

วิถีทางการทำงานของญี่ปุ่นที่เล่ามานี้ขอกระซิบข้างหูท่านผู้อ่านและขอย้ำว่าท่านกรุณาอย่าไปบอกใครนะครับว่า ผมไม่เห็นประเทศสมาชิกอื่นๆ ทำแบบเดียวกันเลย แต่สำหรับทางการไทยเราระยะสิบกว่าปีมานี้ก็กระตือรือร้นที่จะทำแบบเดียวกัน โดยมีการกำหนดคำว่า Team Thailand ในการทำงานระดับระหว่างชาติ ซึ่งผมก็แอบดีใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะน่าจะเป็น norm ที่สุดยอด แต่ผมเองก็ไม่ได้มีโอกาสติดตามว่าเราได้ทำไปสำเร็จไปแค่ไหนแล้ว แต่เท่าที่เห็นจากการทำงานระดับภายในประเทศ พบตัวอย่างว่า กระทรวงเกษตรฯร่วมกันทำงานอย่างแข็งขันแนบแน่นกับกระทรวงพาณิชย์ในเรื่องสินค้าเกษตรส่งออก ก็ทำให้รู้สึกชื่นอกชื่นใจ จนบังเกิดฝันว่า เราคงจะตามระบบของญี่ปุ่นไปติดๆ ละครับ

ชาญพิทยา ฉิมพาลี

chanpithya@apterr.org

ซอกแซกอาเซียน : 18 มิถุนายน 2563 #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/499853

ซอกแซกอาเซียน : 18 มิถุนายน 2563

วันพฤหัสบดี ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2563, 06.00 น.

ช่วงนี้เกิดภัยพิบัติจากเจ้าเชื้อโควิด เลยทำให้เราชาวแอปเตอร์ไม่สามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างที่เคยเป็น ทริปสุดท้ายสำหรับการเดินทางครั้งล่าสุด คือไปที่รัฐยะไข่ ของเมียนมา หลังจากนั้นเกือบทุกประเทศปิดหมด เราจึงต้องทำงานกันเฉพาะในออฟฟิศที่สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร เกษตรกลางบางเขนเท่านั้น แม้กระทั่งมีการช่วยเหลือข้าวที่ประเทศฟิลิปปินส์เมื่อเร็วๆ นี้ เราก็ไม่สามารถไปเข้าร่วมได้ เลยต้องปล่อยให้เขาทำกันเอง ดังนั้น ผมจะขอถือโอกาสนี้เล่าเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง คือ รูปแบบและวิธีการทำงานของบางประเทศ เท่าที่ได้ประสบพบเห็นมา เพราะได้มีโอกาสสัมผัสได้ด้วยตัวเอง ซึ่งแต่เดิมตลอดชีวิตการทำงานราชการไทย ก็ได้เห็นรูปแบบวิถีการทำงานแบบไทยๆ มามาก มีทั้งดีและไม่ดีปะปนกันไป การนำเอาแนวของคนอื่นมาลองฉายภาพให้ดู บางทีอาจจะทำให้เราได้อะไรๆมากขึ้นนะครับ ลองเปิดกว้างรับฟังและใช้วิจารณญาณตรึกตรอง เลือกสรรแต่สิ่งดีงามมาปรับใช้ ก็น่าจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการปรับปรุงพัฒนาบ้านเมืองอันเป็นที่รักยิ่งของเราไม่มากก็น้อยครับ

ผมขอเริ่มต้นด้วยญี่ปุ่นครับ อาจแทรกๆ เล่าไปแล้วในฉบับที่ผ่านมา แต่คราวนี้ขอขยายให้ชัดความและเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ที่เลือกญี่ปุ่นขึ้นก่อนคงไม่ต้องกังขานะครับ ทั่วโลกต่างยอมรับนับถือในระบบการทำงานของญี่ปุ่น และพอดีในออฟฟิศแอปเตอร์มีผู้เชี่ยวชาญคนญี่ปุ่นอยู่ 1 คน ที่กระทรวงเกษตรฯ เขาส่งมาประจำ ได้เห็นการทำงานของเขาทุกวัน ซึ่งพบว่ามีแง่มุมของบรรทัดฐาน หรือ Norm น่าสนใจมาก อันดับแรกที่ผมขอยกมาพูดถึง คือ “การบันทึก” ผมไม่แน่ใจว่าจะเป็นการสั่งการจากหน่วยเหนือหรือไม่ที่ทำให้คนญี่ปุ่น ต้องบันทึกเรื่องราวเหตุการณ์ความเป็นไปไว้ตลอดเวลา แต่ทราบชัดว่ามันคือข้อดีและควรทำเป็นอย่างยิ่ง ที่พูดอย่างนี้ เพราะเท่าที่ผ่านมา มีน้อยมากที่จะพบเห็นข้าราชการไทยจัดทำบันทึกหรือจดหมายเหตุไว้ รวมทั้งตัวผมเอง

การบันทึกโดยทั่วไปนั้น เท่าที่ทราบ เป็นธรรมเนียมปฏิบัติของชาวตะวันตก หรือพวกฝรั่งที่ได้กระทำอยู่เป็นนิจมาเนิ่นนานแล้ว ประวัติศาสตร์ย้อนไปนับพันสองพันปีที่ทราบแม้กระทั่งชื่อคนที่เกี่ยวข้องก็เป็นผลมาจากการบันทึกจารึกที่เป็นลายลักษณ์อักษรไว้นี้เอง ประวัติศาสตร์ไทยเราเอง ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาที่ชัดเจนถูกต้อง ก็มักไปอ้างอิงค้นคว้ามาจากหนังสือบันทึก
หรือจดหมายเหตุของพวกฝรั่งที่มาทำงานในบ้านเราเสียมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นชาวฝรั่งเศส ฮอลันดา หรือแม้กระทั่งชาวจีนอันนี้ตรงกันข้ามกับชาวไทยเรา เพราะเราไม่นิยมบันทึกแต่ชอบใช้วิธีเล่าขานด้วยปากสืบต่อๆ กัน ซึ่งแน่ละจึงอาจมีการผิดเพี้ยนไปได้ง่ายๆ หากจำผิดพลาดหรือแม้แต่ตั้งใจจะเสริมแต่งให้ต่างออกไป

กรณีการบันทึกของผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นนี้ เขาจะทำการบันทึกสิ่งแวดล้อมและวิธีการทำงานของเขาและองค์กร และน่าจะรวมถึงบันทึกการทำงานรวมทั้งอุปนิสัยใจคอของผู้ร่วมงาน
แต่ละคน หรือคนอื่นๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้เสียไว้อย่างละเอียด สมุดบันทึกเล่มนี้ถือว่ามีความสำคัญยิ่งและจะต้องเก็บไว้อย่างดี เพราะเมื่อหมดวาระการดำรงตำแหน่งของเขา คนต่อไปที่มารับช่วง สามารถที่จะนำมาอ่านศึกษาล่วงหน้าและใช้ประโยชน์เพื่อการสืบต่อทำงานได้ทันที ทำให้รู้จักอุปนิสัยใจคอทุกคนที่ทำงานด้วยตั้งแต่ยังไม่ได้มาอยู่เสียด้วยซ้ำ

ผมเห็นปัญหาการทำงานราชการไทย เมื่อเวลาผ่านไป มีการเปลี่ยนตำแหน่ง ส่วนมากผู้มาใหม่ต้องคลำเป้าเอาเองทั้งสิ้น กว่าจะเริ่มงานได้ต้องเสียเวลาเรียนรู้งานเป็นเดือนถึงหลายเดือน บางเรื่องบางราวที่สำคัญบางทีหายไร้ร่องรอยไปอย่างต่อไม่ติด จึงเห็นได้ชัดครับว่าการบันทึกของคนญี่ปุ่นในลักษณะนี้ เป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่ควรนำมายึดถือปฏิบัติอย่างยิ่ง แต่สิ่งสำคัญในการบันทึกนั้น ผู้บันทึกจะต้องใช้คุณธรรมอย่างสูง กล่าวคือ เอาเฉพาะความจริงเท่านั้น อย่าเที่ยวไปเอาความเท็จมากลั่นแกล้งใคร แต่กระนั้น บทพิสูจน์ว่าคนบันทึกจะมีความเป็นธรรม หรือคุณธรรมแค่ไหนเพียงไรก็ไม่ยากนักที่จะทราบ เพราะผู้บริหารคนต่อมาย่อมสามารถที่จะแสวงหาความจริงได้ในที่สุด และการบันทึกที่ไร้คุณธรรมก็จะกลับมาย้อนสนองในทางลบต่อคนบันทึกเอง และนี่คือ Norm หรือ Normal ที่หวังจะให้เกิดเป็น New ซึ่งผมขออนุญาตนำมาเล่าเป็นอันดับแรกครับ

ชาญพิทยา ฉิมพาลี

chanpithya@apterr.org

ซอกแซกอาเซียน : 11 มิถุนายน 2563 #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/498341

566101

ซอกแซกอาเซียน : 11 มิถุนายน 2563

วันพฤหัสบดี ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2563, 06.00 น.

งานจัดเลี้ยงคืนนี้ ต่างจากเมื่อคืนก่อนมากครับ เพราะเป็นทางการ หรูหรา จัดเป็นโต๊ะกลมใหญ่มาก มีอาหารเป็นคอร์ส แต่ก็มีการเดิน “กันเป่ย” ตามประเพณีจีนเช่นเคย ทว่าไม่ดุเดือดเท่า เพราะท่านประธานจะต้องรีบบินกลับไปกรุงปักกิ่งก่อนงานเลี้ยงเลิก เดี๋ยวจะไม่ทันเครื่องบินที่จองไว้ ท่านผู้ช่วยรัฐมนตรี หรือ Vice minister ท่านนี้คงไม่มีท่านผู้อ่านคนใดรู้จัก ถ้าหากผมจะไม่บอกต่อไปว่า เมื่อปีที่แล้วท่านได้รับการสรรหาและแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการใหญ่ หรือ Director generalขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือ FAO ปัจจุบันนั่งทำงานอยู่ที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี นั่นเองครับ

การประชุมโต๊ะกลมของเราดำเนินต่อไป และเสริมด้วยการดูงาน ซึ่งเป็นงานมหกรรมสินค้าเกษตรที่จัดขึ้นน่าจะเป็นประจำทุกปีในนครหนานหนิง นัยว่าการจัดประชุมโต๊ะกลมของจีน มีส่วนสัมพันธ์หรืออาจเป็นส่วนหนึ่งของการจัดงานมหกรรมสินค้าเกษตรด้วยเจ้าภาพจีนได้จัดรถบัสขนาดกลางจำนวนหลายคันพาคณะเราออกจากโรงแรมไปยังสถานจัดงานมหกรรมสินค้าเกษตร ใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมง ก็ถึงอาคารแสดงนิทรรศการขนาดใหญ่ เปรียบขนาดน้องๆ เมืองทองธานี นั่นแหละ พวกเราถูกเชิญให้ไปร่วมพิธีเปิดงานด้วย ซึ่งเป็นพิธีง่ายๆ จากนั้นก็เดินขึ้นชั้นสองของอาคารเพื่อเข้าชมการแสดงสินค้าซึ่งถูกแบ่งออกเป็นห้องๆ ขนาดใหญ่ เพื่อจัดแสดงสินค้าพร้อมจำหน่ายซึ่งทั้งหมดมาจากประเทศอาเซียน รวมทั้งจากประเทศไทย แต่หลังจากเดินดูแล้ว สินค้าที่จัดแสดงและจำหน่ายอยู่นั้น มิใช่เฉพาะสินค้าเกษตร หากเป็นสินค้าดังๆ ทั่วไปที่แต่ละประเทศมีอยู่ เช่น เมียนมา ก็ไม่พ้นที่จะต้องมีอัญมณีประเภทต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หยก ส่วนของไทยเรา ส่วนมากจะเป็นสินค้าบำรุงสุขภาพประเภทยาลม ยาหอม และพวกสปาต่างๆ เข้าไปในบูธไทย กลิ่นยาหอม ยานวดฟุ้งกระจาย สร้างความสดชื่นให้แก่คนสูงอายุดีเหลือเกินผมเดินอยู่ไม่กี่บูธ เพราะเวลาค่อนข้างจำกัด มีคนจีนเข้าชมงานเยอะแน่นไปหมด อีกทั้งไม่พบสินค้าที่ตัวเองสนใจจะซื้อเลย ก็ต้องเดินลงมาขึ้นรถบัสเพื่อเดินทางกลับโรงแรมที่พัก

ตกตอนเย็น เนื่องจากโรงแรมที่พักล้อมรอบด้วยศูนย์การค้าใหญ่ใจกลางเมืองอย่างที่บอกไปแต่ต้น ผมจึงอาศัยเวลาว่างเดินตามห้างในบริเวณโดยรอบนั้น ซึ่งจะว่าไปแล้วน่าเดินชม อาจจะเรียกได้ว่ามากกว่าสินค้าที่มหกรรมเกษตรเสียอีก เพราะผู้เข้าประชุมเกือบทั้งหมดหลังจากลงรถบัส ก็เห็นเดินไปกันเกือบทุกผู้ทุกคน ผมว่าสินค้าจีนน่าสนใจมาก ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม เครื่องหนัง เครื่องประดับ อุปกรณ์ไฟฟ้า เครื่องครัว อาหารการกิน ของเด็กเล่น ไปจนถึงสินค้าอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ แม้ว่าหลายคนจะมองว่าคนที่ใช้สินค้าจีนเป็นคนรสนิยมต่ำ เนื่องจากราคาถูก แต่นั่นก็เป็นเพียงทรรศนะของบางกลุ่มและน่าจะเป็นคนกลุ่มเล็กๆ ที่มองเช่นนั้น คนมีเงินมากเป็นคนรวยอยากใช้ของแพงๆ จีนก็ไม่ง้อ เพราะพลเมืองโลกเกือบร้อยละ 80-90 ยังเป็นคนยากจนเบี้ยน้อยหอยน้อยอยู่ ดังนั้นจึงยังคงต้องพึ่งพาสินค้าราคาย่อมเยาเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน นอกจากจะราคาถูกแล้ว ยังสวยงาม ดีไซน์เยี่ยมหรูเพราะก็อปมาเป๊ะๆ แบบที่ประเทศอื่นทำไม่ได้ คนจีนทราบถึงความต้องการอันนี้ดีครับ ผมเคยไปประเทศแถบแอฟริกา ไม่ว่าจะเป็น เคนยา แซมเบีย และประเทศอื่นๆ สินค้าเกือบทั้งหมดผลิตส่งไปจากจีนทั้งสิ้น จีนประสบความสำเร็จในการพัฒนาประเทศที่ผ่านมา ก็ด้วยเงินที่ได้จากการผลิตสินค้าขายทั่วโลก ความจริงคนจีนโดยพื้นฐานเป็นคนค้าขายเก่งอยู่แล้ว แม้ในสมัยก่อนและหลังเป็นคอมมิวนิสต์ใหม่ๆ ประเทศจีนจะเป็นประเทศเกษตรกรกรรมและยากจน แต่ต่อมาเมื่อเปลี่ยนมาสู่ยุคผู้นำรุ่นสอง จีนได้ปรับเปลี่ยนทิศทางพัฒนาประเทศแบบก้าวกระโดดอาศัยนโยบายสี่ทันสมัย และเริ่มต้นทำการผลิตสินค้าเพื่อจำหน่ายเป็นรายได้หลัก ผลิตสินค้าทุกอย่างดังที่มีคนพูดว่าตั้งแต่ “สากกะเบือยันเรือรบ” เงินทองจึงไหลมาเทมาเข้าสู่ประเทศจีน จนสามารถนำไป “เนรมิต” ประเทศให้กลายเป็นสวรรค์บนดินได้ภายในระยะเวลาเพียง 30 ปี น่าสนใจนะครับ เขาประสบความสำเร็จ เราก็ชื่นชมเขา และก็อยากให้ประเทศไทยเจริญก้าวหน้าเหมือนกับเขาบ้าง ก็ขอนำเสนอไว้ก่อนจะจบเรื่องการซอกแซกในประเทศจีนซึ่งนานๆ จะไปได้ไปสักครั้งครับ

เครดิตภาพ: CAEXPO

ชาญพิทยา ฉิมพาลี

chanpithya@apterr.org

ซอกแซกอาเซียน : 4 มิถุนายน 2563 #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/496944

566101

ซอกแซกอาเซียน : 4 มิถุนายน 2563

วันพฤหัสบดี ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2563, 06.00 น.

ฉบับที่แล้วไปร่วมงานเลี้ยงรับรองที่ภัตตาคารในนครหนานหนิง เขียนเพลินไปเยอะเกี่ยวกับธรรมเนียม “กันเป่ย” ของจีนซึ่งเน้นว่ามีดำรงคงอยู่มานานและไม่เคยเปลี่ยนแปลง ตกลงคืนนั้นหลังจากรู้จักมักจี่กันดีแล้วพวกเราทุกคนก็กลับมาพักผ่อนที่โรงแรม

เช้าวันต่อมาก็เป็นรายการสำคัญ เพราะเป็นการประชุมโต๊ะกลมเป็นวันแรก ตอนลงทะเบียนก่อนเข้าประชุมกลายเป็นว่า เราได้พบปะกับผู้คนรู้จักคุ้นหน้าหลายคน ผมว่าพวกเราชาวอาเซียนทั้งหลายก็มักจะวนเวียนเจอหน้าซ้ำซากกันอยู่เสมอๆ นั่นแหละครับ เรื่องคือ มันเป็น Line หรือ Field เดียวกัน ดังนั้นผู้แทนแต่ละประเทศในอาเซียน ก็ไม่พ้นที่จะเป็นคนหน้าเดิม ที่เราไปเจอในเวทีต่างๆ มาแล้ว บางคนก็สนิทชิดเชื้อกันดี เพราะเคมีอาจตรงกัน แต่บางคนก็เพียงจำหน้ากันได้แต่ไม่สนิทชิดเชื้อเท่าใดนัก แต่ก็มีบางคนที่เป็นถึงคณะมนตรีแอปเตอร์เลยทีเดียวที่มาเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ สรุปแล้ว ถึงผมจะมาประชุมเป็นครั้งแรก ทว่าก็ไม่ใช่เวทีการประชุมที่แปลกประหลาดอันใดเลย เมื่อเดินเข้าห้องประชุมทุกคนในพิธีเปิดต้องใส่สูทกันเต็มยศ แต่ก็ต้องผ่านจุดรักษาความปลอดภัย น่าพูดถึงอย่างยิ่งและขออนุญาตเขียนอาจยาวหน่อย คือ เรื่องการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย หรือ รปภ. ของจีน เพราะก็เหมือนกับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองที่กล่าวมาแล้วไม่มีผิด ถึงแม้ว่าคนเข้าประชุมจะแต่งตัวโก้หรูด้วยสูทแสนเท่ ผูกเนคไทอย่างดีมีตำแหน่งใหญ่โตแค่ไหน ก็ต้องได้รับการตรวจตราแบบเดียวกัน การเดินลอดเครื่องสแกน ถ้ามีเสียงเตือน รปภ. ก็จะสั่งให้ถอดเสื้อสูท เปิดกระเป๋า หรือสั่งให้ไปเดินมาอีกรอบ แม้กระทั่งตัวผู้เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมวันนั้น ซึ่งได้แก่ ท่านผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรจีน ผมชื่นชมการทำหน้าที่ของ รปภ. แบบนี้ครับ เพราะเห็นมามากที่ไม่ควรเอาอย่าง คือ เรื่องของสิทธิพิเศษบ้าง อภิสิทธิ์ชนบ้าง วีไอพี บ้าง บัตรเบ่งบ้าง ทำให้ทุกอย่างเสียระบบ และนำไปสู่การรักษาความปลอดภัยที่ไม่ปลอดภัยหรือไม่ได้มาตรฐาน

ประเด็นปัญหา ก็คือพวกบุคคลสำคัญทั้งหลายนั่นแหละตัวต้นเหตุ ไม่รู้จักแยกแยะว่านี่คือการทำหน้าที่ของผู้ที่รับผิดชอบเพื่อประโยชน์ในด้านความปลอดภัยของส่วนรวม คือ ทำตัวใหญ่ไปหมด ผิดที่ผิดทาง เห็น รปภ.ระดับเล็กๆ ก็มองว่าตนเองเหนือกว่า โดยลืมไปว่ามันคนละหน้าที่กัน การที่เขาจะตรวจเข้มตามหน้าที่ บางทีก็ไปตำหนิเขาว่าไม่ให้เกียรติบ้างละไม่เห็นหรือว่าผมคือใคร อันนี้ถือว่าเป็นการเข้าใจผิดอย่างมหันต์ ถึงท่านจะเป็นรัฐมนตรี แต่เมื่อต้องผ่านการตรวจตราโดยเจ้าหน้าที่เล็กๆ ท่านก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธการทำหน้าที่ของเขาได้ หน้าที่ใครหน้าที่มัน คนเป็นอธิบดี ถ้าขับรถยนต์ผิดกฎหมาย จ่าตำรวจซึ่งระดับต่ำกว่ามาก โดยหน้าที่ก็ต้องสามารถจับอธิบดีได้ โดยอธิบดีคนนั้นไม่มีสิทธิ์จะเอาตำแหน่งไปอวดเบ่งสำทับจ่าตำรวจที่ทำหน้าที่อยู่ ท่านผู้อ่านคงเห็นด้วยกับผมนะครับว่า นี่คือหลักคิดและหลักการที่ถูกต้องที่สุด เพราะในทางตรงข้าม หากผู้น้อยถูกผู้ใหญ่รังแกเอาเรื่องโดยไม่เป็นธรรมขณะทำหน้าที่ที่ถูกต้อง วันหนึ่งเขาก็ต้องหยุดทำหน้าที่หรือทำไปแบบแกนๆ เพราะทำแล้วเจอตอ อยู่เฉยๆ ดีกว่า แล้วอะไรจะเกิดขึ้น ผมเคยไปดูงานต่างประเทศกับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ระดับปลัดกระทรวง ท่านปลัดกระทรวงยังต้องเข้าคิวปกติรับการตรวจทาง ตม.โดยเท่าเทียมกับคนธรรมดาอื่นๆ ทั้งสิ้น ผมขออนุญาตเอาเรื่องการทำหน้าที่มาเล่า เผื่อว่าจะช่วยให้บางท่านที่หลงผิด กลับมาปรับเปลี่ยนวิธีคิดวิธีปฏิบัติ เพื่อสังคมบ้านเราจะได้ดีขึ้นบ้างครับ

ท่านประธานในที่ประชุม หรือท่านผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรจีน ท่านคงเป็นคนอินเตอร์ เพราะใช้ภาษาอังกฤษได้ดีมาก และนั่งเป็นประธานการประชุมตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งเนื้อหาเป็นเรื่องของสถานการณ์การผลิตพืชอาหารในแต่ละประเทศที่เกี่ยวข้องกับปริมาณการบริโภคว่าพอเพียงหรือไม่และจะมีแนวทางพัฒนาแก้ไขและแสวงหาความร่วมมือกันอย่างไร ก็เป็นบรรยากาศที่ดีครับ คนพูดเก่ง ก็จะมีความเห็นตลอด ส่วนคนพูดไม่เก่ง หรือคนพูดน้อยก็จะไม่ค่อยแสดงความคิดเห็นอะไรมากนัก ว่ากันตั้งแต่เช้าจนถึงเย็นยังไม่จบ เพราะมีกันตั้งสิบประเทศ เลยต้องมาต่อกันในวันรุ่งขึ้น หลังจากนั้นเฉพาะผู้แทนประเทศประเทศละ 1 คน และผู้แทนองค์กร ซึ่งรวมถึงผมด้วยก็ได้รับเชิญจากท่านประธานเพื่อไปร่วมงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการในค่ำวันนี้ ณ ห้องอาหารวีไอพี ของโรงแรมที่จัดประชุมนั้นเองครับ

ที่มารูป : CAEXPO

ชาญพิทยา ฉิมพาลี

chanpithya@apterr.org

ซอกแซกอาเซียน : 19 มีนาคม 2563 #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/480162

566101

ซอกแซกอาเซียน : 19 มีนาคม 2563

วันพฤหัสบดี ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2563, 06.00 น.

การประชุมคณะมนตรีแอปเตอร์ครั้งที่จัดขึ้นที่เมืองพุกาม ประเทศเมียนมานี้ นับเป็นการประชุมครั้งที่ 8 มีรองอธิบดีกรมการเกษตรและเป็นคณะมนตรีแอปเตอร์ด้วย คุณ เอ โก โก เป็นแม่งานหลักระดมเจ้าหน้าที่มาช่วยกันเต็มพิกัด โดยแกเดินทางโดยทางรถยนต์จากกรุงเนปิดอว์ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 15 เห็นบอกว่าใช้เวลาเดินทาง 4 ชั่วโมงครึ่ง ตกเย็นวันเดียวกันพวกเราก็บินมาถึง สนามบินเมืองพุกาม ใหญ่กว่าที่อื่นๆ จากที่เคยไปมา ทั้งนี้คงเนื่องจากพุกามเป็นแหล่งท่องเที่ยวหลักของประเทศเมียนมา จนแทบจะเรียกได้ว่าระดับโลกเลยทีเดียว แต่ที่พิเศษ คือ นักท่องเที่ยวต่างชาติทุกคนที่เดินทางมาเที่ยวเมืองพุกาม จะต้องเสียค่าธรรมเนียมเมืองคนละ 20 เหรียญสหรัฐ ก่อนออกจากสนามบิน และเขาจะให้ตั๋วไว้เป็นหลักฐาน 1 ใบ ซึ่งทุกคนต้องเก็บตั๋วนี้ไว้ให้เผื่อเรียกตรวจได้ตลอดเวลา

ตัวเมืองพุกามเป็นแบบชนบทๆ ไม่มีตึกอาคารใหญ่โตหนาแน่น อยู่กันแบบหลวมๆ ถนนมีเพียง 3-4 เส้น ฝุ่นที่เกิดจากรถวิ่งค่อนข้างมาก อาจเป็นเพราะเป็นช่วงฤดูแล้งพอดี พื้นที่ส่วนมากเป็นพื้นที่กสิกรรม ซึ่งก็ดูแห้งแล้ง ปลูกพืชไม่ได้ เพราะขาดน้ำ ปลูกได้เฉพาะหน้าฝนอย่างเดียว เห็นเจ้าหน้าที่เมียนมาบอกว่าเขตนี้พืชที่ปลูกได้แก่ ถั่ว งา ข้าวโพด แม้ว่าเมืองนี้จะตั้งอยู่ติดกับแม่น้ำหลักของประเทศ คือ แม่น้ำอิรวดี ทว่าการชลประทานยังคงมีน้อยมาก ไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์เพื่อการเพาะปลูกนอกฤดูได้ เขตตัวเมืองมีทั้งพุกามเก่า ซึ่งได้แก่ กลุ่มเจดีย์โบราณ ที่มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่และมีจำนวนเจดีย์มากมายนับไม่ถ้วน และพุกามใหม่ อันได้แก่ ชุมชนตลาดที่อยู่อาศัยของชาวพุกาม ซึ่งผมจะใช้โอกาสหลังเล่าให้ฟังอีกครั้งครับ

วันอาทิตย์ พวกเรายังคงมีเวลาเตรียมงานกับทางเจ้าภาพอยู่อีก 1 วัน โรงแรมที่จัดเคยเล่าไปแล้วว่า ชื่อ Heritage Bagan Hotel
ตั้งอยู่เกือบติดกับสนามบิน เป็นโรงแรมที่สร้างขึ้นโดยใช้อิฐแดงเป็นวัสดุหลักและเป็นแบบรูปทรงโบราณ แต่ดูสวยหรูทีเดียว สูงเพียง 2 ชั้น ผู้เข้าประชุมเกือบทั้งหมดพักกันที่นี่เจ้าหน้าที่เมียนมาบริการรอรับที่สนามบินและพามาโรงแรมอย่างดีเยี่ยม ห้องประชุมมีขนาดพอดีๆ ไม่กว้างใหญ่เกินไป พวกเราช่วยกันตรวจสอบและซักซ้อมขั้นตอนพิธีการกับทางเจ้าภาพจนเรียบร้อย และก็ได้มีโอกาสพบกับท่านประธานในพิธีเปิดการประชุม คือ ท่านปลัดกระทรวงเกษตรฯ พร้อมทั้งท่านอธิบดีกรมการเกษตร เจ้านายคุณเอ โก โก ก็มาด้วย ผมเคยเห็นและคุยกับท่านทั้งสองแล้วในเวทีการประชุมครั้งก่อนๆ ดูคุ้นเคยกันดี จากนั้นก็เจอะเจอกับผู้มาเข้าประชุมจากประเทศต่างๆ ที่เดินทางมาถึง ทักทายกันเพราะเห็นกันบ่อยๆ เช่นกัน ก็ดูดีไปอีกแบบในลักษณะของงานอินเตอร์ที่ผมเองแต่เดิมก็ไม่คาดฝันว่าจะได้มาทำ เสียอย่างเดียวที่เรามันคนวัยเกษียณแล้ว ขณะที่พวกเขาน่าจะทั้งหมดยังรับราชการอยู่ วัยมันจึงต่างกันอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มากนักเพราะพวกเขาก็คือข้าราชการอาวุโสระดับบริหารวัยไม่ห่างจากเกษียณเท่าใดนัก ไม่เป็นไรหรอก ผมปลอบใจตัวเองโดยนำไปเปรียบเทียบกับท่านเลขาธิการองค์การสหประชาชาติที่เคยเป็นนายกรัฐมนตรีประเทศโปรตุเกส อายุปาเข้าไป 70 ก็ยังทำงานระดับโลกอย่างกระฉับกระเฉงได้อยู่เลย

เย็นวันอาทิตย์ กลุ่มพวกเราไม่อยากจะไปรบกวนทางเจ้าภาพเลยขอตัวว่าพวกเราจะไปหาข้าวเย็นกินกันเอง พอดีเมืองมันไม่ได้เป็นแบบตัวตลาดที่จะสามารถเดินไปหากินได้ง่ายๆ แต่ก็เกรงใจที่จะไปขอยืมรถเขา ก็เลยค่อยๆ เดินริมถนนลัดเลาะไป เกือบ 1 กิโลเมตร ก็เป็นร้านแบบเพิงๆ ไม่ใหญ่ตั้งอยู่โล่งๆ ริมถนน เลยเข้าไปสั่งกิน ภาพรวมก็โอเคนะ เขาทำอาหารได้ทุกอย่างเหมือนภัตตาคาร รสชาติก็ไม่พื้นบ้านจ๋า หรืออินเตอร์เกินไป กินได้อยู่ เพราะเบียร์เมียนมาที่สั่งมาเป็นหลายๆ ขวด ช่วยเสริมให้รสชาติลงตัวมากขึ้น จนกระทั่งอิ่มหนำสำราญ ครานี้คิดได้ว่าหากเดินกลับอาจลำบาก เพราะถนนแคบและไม่มีฟุตบาทให้เดิน สุ่มเสี่ยงจะโดนรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์เฉี่ยวชนด้านหลังเอา สุดท้ายมีคนเสนอว่าควรเรียกบริการรถโรงแรมให้มารับเถิด ซึ่งนับเป็นไอเดียที่น่ายกย่องมาก เพราะใช้เวลาแป๊บเดียวพวกเราก็ได้กลับมาที่โรงแรม ขึ้นไปตรวจสอบห้องประชุมอีกรอบเพิ่อความพร้อมร้อยเปอร์เซ็นต์ในพิธีการเปิดพรุ่งนี้เช้า

ชาญพิทยา ฉิมพาลี

chanpithya@apterr.org

ซอกแซกอาเซียน : 12 มีนาคม 2563 #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/478622

566101

ซอกแซกอาเซียน : 12 มีนาคม 2563

วันพฤหัสบดี ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2563, 06.00 น.

ในฉบับก่อนผมเล่าข้ามไปนิด คือร่ายยาวเรื่องการเดินทางจากกรุงเทพฯ ถึงย่างกุ้งและต่อไปเมืองพุกามเลย แต่จริงๆ แล้ว ระหว่างที่รอเครื่องบินต่อที่ย่างกุ้งนั้น เรามีเวลาที่สนามบินเกือบครึ่งวันเพราะเที่ยวบินไปพุกามที่เร็วกว่านั้นที่นั่งเต็มเราจองไม่ทัน เลยต้องรอเที่ยวบ่าย ด้วยความที่พวกเรากับทีมเจ้าหน้าที่กรมการเกษตรเมียนมามีความคุ้นเคยกันดีมาก น้องๆ หลายคนในแอปเตอร์เพิ่งมีโอกาสไปเยือนเมียนมาครั้งแรก ก็เลยร้องขอให้ผู้มารับพาออกไปชมเมืองไหว้พระในเมืองย่างกุ้ง เพราะมิฉะนั้นก็คงต้องนั่งๆ นอนๆ จับเจ่าอยู่ในสนามบิน ซึ่งทางเมียนมาก็ใจดีอย่างยิ่ง รับจัดให้ตามที่ขออย่างเต็มใจ

ทางการเมียนมาต้องใช้รถยนต์ถึง 2 คัน พาพวกเราออกไปชมเมือง เพราะมีกระเป๋าใบใหญ่ติดตัวกันทุกคน จุดที่จะไปชมก็คือเจดีย์ชเวดากอง อันโด่งดังนั่นเอง พูดถึงรถยนต์เมียนมา นึกขึ้นได้ว่าจะเล่ามาหลายครา แต่ลืมไป คือ จะเรียนท่านผู้อ่านว่า ปกติการวิ่งรถของเขาตรงข้ามกับของเรา คือเขาวิ่งชิดขวาเหมือน สปป.ลาว แต่ด้วยเหตุที่รถยนต์เมียนมามีทั้งที่มีพวงมาลัยอยู่ด้านขวาและอยู่ด้านซ้ายปะปนกันจนไม่ทราบว่าแบบไหนจะมากกว่ากัน พนักงานขับรถยนต์เมียนมาจึงน่าจะมีทักษะการขับรถที่เยี่ยมยอดมาก เพราะถ้าต้องวิ่งรถฝั่งขวาของถนนขณะที่พวงมาลัยรถก็อยู่ทางด้านขวา เวลาจะแซง คนขับลำบากมากเนื่องจากมองไม่เห็นรถสวนมา ต้องมีอีกคนหนึ่งนั่งคู่ด้านซ้ายมือคนขับคอยมองให้และบอกสัญญาณ ผมคุยกับเจ้าหน้าที่เมียนมาที่รู้ เขาบอกว่าทางการเมียนมากำลังอยู่ระหว่างตัดสินใจว่า ตกลงจะเดินรถด้านไหนดีกว่ากันคาราคาซังมาจนบัดนี้เพราะยังตกลงกันไม่ได้ แต่เท่าที่ผมนั่งรถหลวงเมียนมา ส่วนมากได้รับการช่วยเหลือจากญี่ปุ่น จึงมักจะเป็นรถพวงมาลัยเหมือนบ้านเราทั้งนั้น น่าปวดหัวชะมัด

ผมค่อนข้างจะคุ้นเคยกับเส้นทางในย่างกุ้ง เห็นแล้วจำได้อยู่บ้าง (แต่ถ้าให้นำทางก็คงไปไม่ถูก) เพราะไปบ่อย ที่เจดีย์ชเวดากองเวลาไปถึงยังเป็นช่วงเช้าอยู่ แนะนำว่าหากใครต้องการไปชม ควรไปช่วงนี้ครับ เพราะถ้าท่านไปในช่วงบ่าย จะมีแสงแดดจัดและพื้นรับแดดมานานตั้งแต่เช้า ท่านเข้าวัดในเมียนมาทุกแห่งต้องปราศจากรองเท้าทุกชนิด ดังนั้นช่วงเวลาบ่าย จึงไม่เหมาะสมแก่การเดินด้วยประการทั้งปวงครับ แต่กระนั้น พุทธศาสนิกชนชาวเมียนมาทุกคนค่อนข้างจะศรัทธาในพระศาสนามาก ช่วงไหนของวันเราก็จะพบกับผู้คนมาเคารพสักการะเจดีย์หุ้มทององค์นี้อย่างไม่ขาดสาย และอีกอย่างที่ผมสังเกต คือ การทำบุญบริจาคเงิน ทุกศาสนสถานทั้งที่มีพระสงฆ์และไม่มีพระสงฆ์อยู่ประจำ จะมีตู้รับบริจาคตั้งอยู่เต็มไปหมด และทุกตู้ก็มักจะมีแบงก์ธนบัตรบริจาคอยู่ค่อนข้างมากทีเดียว แถวๆ พุกามก็มีตู้และเงินบริจาคอยู่มากมายเช่นกัน มีวัดหนึ่งมีป้ายเขียนแสดงยอดเงินที่ได้จากการบริจาคทั้งปีของ ปี 2019 ที่ผ่านมา ปรากฎว่าเมื่อคำนวนเป็นเงินไทยแล้ว เท่ากับ 30 ล้านบาท เลยทีเดียว

พวกเราใช้เวลาที่เจดีย์ชเวดากองนานพอสมควร เพราะกว้างใหญ่มากกว่าจะเดินได้รอบองค์ ผมเล่าให้คณะคนไทยให้ทราบว่าภาษาเมียนมา “ชเว” (Swe) แปลว่า ทอง ในเมียนมาคนเขาชอบทองมากๆ เลย เพราะไปที่ไหนๆ ก็พบคำนี้ สมัยปลายก่อนที่จะสิ้นสุดรัฐบาลทหารเมียนมา มีนายพลผู้นำคนหนึ่งที่เป็นคนตัดสินใจย้ายเมืองหลวงไปตั้งใหม่ที่เนปิดอว์ ชื่อนายพล ตาน ฉ่วย หนังสือพิมพ์บ้านเราเรียก ฉ่วย แต่ความเป็นจริงแล้วคือ ชเว ที่แปลว่าทองนั่นแหละครับ

หลังจากเดินรอบเจดีย์ขอพรขอบุญรวมทั้งบนบานกันถ้วนหน้าแล้ว เจ้าหน้าที่เมียนมาก็พาพวกเรามารับประทานอาหารกลางวันที่ร้านหนึ่งที่มีลูกค้าเยอะมาก ผมเคยไปกินมาหลายครั้งจากการนำของเจ้าหน้าที่กรมการเกษตร เป็นอาหารพื้นบ้านรสชาติเมียนมาแท้ ผมจำได้ว่าเคยเขียนเรื่องอาหารเมียนมาไปตอนสองตอนนานมาแล้ว ตอนนั้นอ้างคำพูดของเพื่อผู้มาประชุมว่ารวมทั้งความรู้สึกของผมเองที่ยังใหม่ๆ อยู่กับอาหารเมียนมาว่ามันเลี่ยนๆ รสชาติกลางๆ ไม่ไปทางใดทางหนึ่งสักอย่างแต่ตอนนี้ผมเริ่มเปลี่ยนความรู้สึกใหม่แล้ว ขอกลับคำว่าอาหารเมียนมาหลายอย่างที่กินแล้วน่าจะโอเคเลยนะ

ชาญพิทยา ฉิมพาลี

chanpithya@apterr.org