บทความ : เงินกู้ 4 แสนล้าน… กับโครงการที่เสี่ยงต่อการทุจริตสูง (ตอนที่ 2) #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/580204

บทความ : เงินกู้4แสนล้าน… กับโครงการที่เสี่ยงต่อการทุจริตสูง (ตอนที่2)

วันอังคาร ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2564, 06.00 น.

โครงการนี้กรมส่งเสริมการเกษตรยืนยันว่าจะช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ผ่านศูนย์จัดการดินปุ๋ยชุมชน (ศดปช.) ของกรมส่งเสริมการเกษตรโดยจะทำให้เกษตรกรสามารถเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิตด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการวิเคราะห์ดินและการใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดินทำให้เกษตรกรใช้ปุ๋ยเคมีน้อยลงในสภาวะที่ปุ๋ยเคมีมีราคาสูงขึ้นในปัจจุบัน

การดำเนินโครงการนี้ งบประมาณส่วนใหญ่ใช้ไปในการจัดซื้อชุดตรวจวิเคราะห์ดินให้ ศดปช. ศูนย์ละ 10 ชุด จัดซื้อแม่ปุ๋ยให้กับศูนย์ 3 สูตร คือ 46-0-0 จำนวน 60 กระสอบ/ศูนย์ 18-46-0 จำนวน 30 กระสอบ/ศูนย์ และสูตร 0-0-60 จำนวน 30 กระสอบ/ศูนย์ และจัดซื้อเครื่องผสมปุ๋ยให้แก่ ศดปช. ที่นำร่อง 394 ศูนย์ ใน 63 จังหวัด ศูนย์ละ 1 เครื่อง ศดปช. จะดำเนินการให้บริการตรวจวิเคราะห์ดิน แนะนำการจัดการดินและการใช้ปุ๋ยเบื้องต้น รวบรวมความต้องการและจัดหาแม่ปุ๋ยมาจำหน่ายให้แก่สมาชิกศูนย์จัดการดินปุ๋ยชุมชน กลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่ และเกษตรกรทั่วไป รวมทั้งให้บริการผสมปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน

การจัดหาครุภัณฑ์ ทั้งชุดตรวจวิเคราะห์ดิน และเครื่องผสมปุ๋ย ก็ว่าไปตามกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง แต่เชื่อได้ว่าคงมีการร้องเรียนกันเกิดขึ้นตามมา ส่วนการจัดหาวัสดุ คือ แม่ปุ๋ยนั้น มีความเสี่ยงสูงกว่าอย่างอื่น ในอดีตโครงการที่เกี่ยวกับปุ๋ย มีการทุจริตเกิดขึ้นถึงขั้นทำให้ผู้บริหารระดับสูงทั้งฝ่ายข้าราชการประจำ และฝ่ายการเมืองเสียอนาคตก็มีให้เห็นกันแล้ว เช่น กรณีการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อปี 2546 ซึ่งเสนอโครงการโดยกรมส่งเสริมการเกษตร มีการดำเนินการแบบรวบรัด มีการผลักดันโดยคนใกล้ชิดของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯในสมัยนั้น มีข้อมูลส่อไปในทางทุจริต กระทำการโดยละเลยกฎระเบียบ และอ้างความเดือดร้อนของเกษตรกรเป็นเหตุผลในการดำเนินการ คดีนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้มีคำพิพากษาตัดสินจำคุก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในสมัยนั้น คนละ 6 ปี (ศาลตัดสินเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2559 ใช้เวลาในการพิจารณาคดีถึง 15 ปี) นอกจากนี้ในเวลาต่อมายังมีอดีตอธิบดี และรองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร รวมทั้งเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง กับโครงการนี้ถูกดำเนินคดีและจำคุกไปแล้วส่วนหนึ่ง และอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาอีกหลายส่วนหนึ่ง

กลับมาที่โครงการพัฒนาธุรกิจบริการดินและปุ๋ยเพื่อชุมชน ที่กำลังกล่าวถึง เกี่ยวกับการจัดหาปุ๋ยมาจำหน่ายยิ่งเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะดำเนินการ เพราะไม่ใช่ภารกิจของกรมส่งเสริมการเกษตร ศดชป. ควรเน้นภารกิจด้านวิชาการและส่งเสริมให้เกษตรกรปฏิบัติให้ถูกต้อง ไม่ควรดำเนินธุรกิจให้เรื่องเงินๆ ทองๆ มาพัวพันกับหน่วยงาน

ทั้ง 2 โครงการที่กล่าวมาข้างต้น ทั้ง ป.ป.ท. และ สตง. รวมทั้งองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เตือนมาแล้ว ก็ขอให้นำไปทบทวน ซึ่งอาจจะช้าไปเพราะโครงการจะสิ้นสุดลงในเดือนกันยายน 2564 นี้แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม กระบวนการต่าง ๆ ขอให้รอบคอบ รัดกุม ตรวจสอบ และอธิบายได้ โดยเฉพาะข้าราชการ เพราะเวลาเกิดเป็นคดีความครั้งไร นักการเมืองลอยตัวทุกที คนรับกรรมคือข้าราชการแทบทั้งสิ้น….

อดไม่ได้ที่จะห่วงกังวลไปถึงโครงการโคกหนองนาโมเดล ของกรมการพัฒนาชุมชน ซึ่งเป็นโครงการที่เสี่ยงต่อการทุจริตสูงลำดับที่ 2 ตามที่ ป.ป.ท. ประเมินไว้ เพราะโครงการนี้มีรูปแบบและการดำเนินงานใกล้เคียงกับ โครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ แต่แยกกันทำคนละพื้นที่ ที่สำคัญของโครงการนี้คือการจ้างขุดสระน้ำที่มีความเสี่ยงต่อการทุจริตสูง ตั้งแต่การประกวดราคาที่หน่วยงานในส่วนกลางเป็นผู้ดำเนินการ โดยให้ผู้รับเหมาไปดำเนินการขุดสระในตำบลที่มีเกษตรกรร่วมโครงการ การขุดสระน้ำในแต่ละตำบล ซึ่งมีพื้นที่ และภูมิประเทศที่แตกต่างกัน หากไม่สามารถกักเก็บน้ำได้ เกษตรกรไม่ยอมรับ ก็จะเกิดผลกระทบต่อเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจรับงาน ผมเกรงว่าเจ้าหน้าที่ตรวจรับจะกลายเป็นแพะรับบาปของโครงการนี้

เป็นที่น่าสังเกตว่า โครงการที่กล่าวมาทั้ง 3 โครงการนี้ เป็นโครงการที่เป็นลักษณะ ท็อปดาวน์ คือสั่งการมาจากข้างบน ขาดกระบวนการมีส่วนร่วมของเกษตรกรโดยสิ้นเชิง มีความเสี่ยงสูงทั้งในแง่ของการทุจริต และความสำเร็จที่จะส่งผลประโยชน์ให้กับเกษตรกรอย่างแท้จริง เป็นโครงการที่สูญเปล่า เพราะเป็นโครงการที่ใช้งบประมาณจากเงินกู้4 แสนล้านบาท ที่รัฐบาลบอกว่าจะนำมาใช้กอบกู้สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ซึ่งอาจจะสูญเปล่าเหมือนโครงการของกระทรวงเกษตรฯ ที่ผ่านมาเมื่อปี 2560 และ 2561 ในยุค คสช. ที่ใช้เงินโครงการละหลายหมื่นล้านบาท

ในฐานะที่ผมเป็นอดีตข้าราชการของกรมส่งเสริมการเกษตร ไม่อยากเห็นชะตากรรมของข้าราชการรุ่นน้อง รุ่นลูก รุ่นหลาน ที่อาจจะได้รับผลกรรมจากการทำงานตามความต้องการของนักการเมือง และผู้บริหารระดับสูงเหมือนเช่น โครงการ ปุ๋ยอินทรีย์ ผักสวนครัวรั้วกินได้ และอีกหลายโครงการในอดีตไม่อยากเห็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอย….

อนันต์ ดาโลดม

นายกสมาคมพืชสวนแห่งประเทศไทย

บทความ : เงินกู้ 4 แสนล้าน… กับโครงการที่เสี่ยงต่อการทุจริตสูง (ตอนที่ 1) #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/579990

บทความ : เงินกู้ 4 แสนล้าน… กับโครงการที่เสี่ยงต่อการทุจริตสูง (ตอนที่ 1 )

วันจันทร์ ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2564, 06.00 น.

ได้อ่านข้อเขียนของ รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค และ ผศ.ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค เรื่อง “ต่อต้านคอร์รัปชั่น” ในคอลัมน์การเมือง แนวหน้าออนไลน์ เมื่อวันพุธที่ 5 พฤษภาคม 2564 มีสาระสำคัญที่น่าเป็นห่วงหน่วยงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพราะข้อเขียนดังกล่าวได้ระบุว่ามีโครงการของกระทรวงเกษตรฯ 2 โครงการภายใต้ “งบเงินกู้สู้โควิด 4 แสนล้านบาท” ซึ่งเป็นโครงการที่ “มีความเสี่ยงการทุจริตอยู่ในระดับสูง” (ลำดับที่ 1 และ 3) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ประเมินไว้

โครงการที่มีความเสี่ยงการทุจริตสูงลำดับที่ 1 คือ “โครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่” งบประมาณ 3,550 ล้านบาท มีสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้รับผิดชอบหลัก ป.ป.ท. ตั้งข้อสังเกตว่า การทุจริตอาจเกิดจาก การจ้างแรงงานที่อาจมีการช่วยเหลือพวกพ้อง และอาจไม่ได้ทำงานจริง การจัดซื้อจัดจ้างที่อาจเอื้อประโยชน์คนบางกลุ่ม มีการล็อกสเปก หรือซื้อวัสดุต่างๆ ที่ไม่เหมาะสมในการใช้งานจริง การเบิกงบประมาณในการจัดอบรมสัมมนาไม่ตรงกับที่จ่ายจริง งบประมาณอื่นๆ สามารถจัดทำเอกสารเท็จได้ที่สำคัญคือ สตง. พบว่า โครงการนี้ไม่มีความพร้อมในการดำเนินงานเกษตรกรเข้าร่วมโครงการต่ำกว่าเป้าหมายเพราะเงื่อนไขต่างๆ ที่กำหนดขึ้น รวมทั้งการจัดสรรเงินกู้ล่าช้าด้วย

โครงการนี้ แม้สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรฯ จะเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลัก แต่หน่วยงานที่ร่วมดำเนินการในพื้นที่ไม่พ้น กรมส่งเสริมการเกษตร กรมปศุสัตว์ กรมประมง กรมพัฒนาที่ดิน และ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร โดย กรมส่งเสริมการเกษตรพัฒนาอาชีพด้านพืช กรมปศุสัตว์ พัฒนาอาชีพด้านปศุสัตว์ กรมประมงพัฒนาอาชีพด้านประมง กรมพัฒนาที่ดิน ขุดบ่อเก็บน้ำ สนับสนุนวัสดุปรับปรุงดิน และ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ประเมินผลโครงการ หน่วยงานอื่น ๆ ในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ เป็นหน่วยงานสนับสนุน สรุปคือ ทุกหน่วยงานในกระทรวงเกษตรฯ มีชื่อปรากฏอยู่ในโครงการนี้ทั้งหมด ส่วนหน่วยงานไหนจะรับผิดชอบด้านใดขึ้นอยู่กับภารกิจของหน่วยงานนั้นๆ

เป้าหมายของโครงการ จะดำเนินการในพื้นที่ 4,009 ตำบล ใน 75 จังหวัด เกษตรกรตำบลละ 16 ราย รวม 64,144 ราย พื้นที่ดำเนินการรายละ 3 ไร่ รวม 192,432 ไร่ มีการจ้างงานในระดับตำบล ตำบลละ 8 ราย รวม 32,072 ราย มีการรับสมัครเกษตรกรเข้าร่วมโครงการผ่านระบบออนไลน์ หรือยื่นใบสมัครที่เกษตรตำบล โดยมีคณะทำงานขับเคลื่อนระดับอำเภอเป็นผู้คัดเลือก ซึ่งจากข้อมูลที่ได้รับจากผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ทราบมาว่า มีเกษตรกรสมัครเข้าร่วมโครงการน้อยมาก แม้เจ้าหน้าที่จะเข้าไปขอให้สมัครก็ยังยากเย็น

ที่ ป.ป.ท.ตั้งข้อสังเกต เกี่ยวกับการจ้างแรงงานเกษตรทฤษฎีใหม่ระดับตำบล ตำบลละ 8 ราย ว่าอาจจะมีการจ้างพวกพ้องนี่ก็น่าคิด เพราะคณะกรรมการขับเคลื่อนระดับอำเภอเป็นคนคัดเลือกด้วยการสัมภาษณ์ แรงงานนี้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัด จ้างมาเพื่อทำหน้าที่ประสานเชื่อมโยงการทำงานโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ ให้เข้าถึงแปลงเกษตรทฤษฎีใหม่ ประสานงานในการถ่ายทอดความรู้ และแก้ไขปัญหาด้านการเกษตรให้กับเกษตรกร สำรวจ จัดเก็บและรายงานข้อมูลพื้นฐานทางการเกษตรให้เป็นปัจจุบัน รวมถึงติดตามการดำเนินงานรายแปลงด้วย อีกทั้งยังคาดหมายให้แรงงานเหล่านี้เป็นตัวแทนกระทรวงเกษตรฯ ในการจัดทำแผน และขับเคลื่อนแผนเกษตรกรรมยั่งยืนในระดับตำบล เป็นการคาดหวังที่สูงมาก แต่เท่าที่เคยสัมผัสแรงงานเหล่านี้บางคนยังไม่รู้จักว่าทฤษฎีใหม่ คืออะไร…และยังไม่ทราบบทบาทหน้าที่ของตนเองว่าต้องทำอะไรบ้าง

การดำเนินการฝึกอบรมเกษตรกรตามโครงการนี้ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด ทำให้ต้องอบรมออนไลน์ กิจกรรมนี้น่าห่วงที่สุด เพราะลำพังนำเกษตรกรมานั่งอบรมแบบเห็นหน้าเห็นตากันตัวเป็นๆ เกษตรกรที่สนใจฟัง หรือเรียนรู้อย่างจริงจังมีน้อย แต่นี่ใช้การอบรมระบบออนไลน์ จึงไม่น่าจะสัมฤทธิผล

อีกโครงการหนึ่งของกระทรวงเกษตรฯ ที่มีความเสี่ยงทุจริตอยู่ในระดับกลาง (ลำดับที่ 3 รองจาก โครงการโคกหนอง นา โมเดล ของกรมการพัฒนาชุมชน) คือ “โครงการพัฒนาธุรกิจบริการดินและปุ๋ยเพื่อชุมชน (One Stop Service)” งบประมาณ 170 ล้านบาท มีกรมส่งเสริมการเกษตร เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลัก ป.ป.ท. ตั้งข้อสังเกตว่า การทุจริตในโครงการนี้ มีช่องทางจากการจัดซื้อจัดจ้าง โดยเฉพาะ วัสดุทางการเกษตรมีการกำหนดเงื่อนไขที่กีดกันผู้เสนอราคารายย่อย การส่งมอบปุ๋ยให้กลุ่มเป้าหมายอาจไม่ครบถ้วนตามที่จัดซื้อจริง การจัดซื้อครุภัณฑ์ การจ้างผลิตสื่อ การจ้างที่ปรึกษา อาจใช้ประโยชน์ไม่คุ้มค่าและมีการเอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ้อง การจัดอบรมสัมมนาอาจมีการเบิกจ่ายที่ไม่ตรงกับการอบรมจริง

นอกจากนี้ สตง. ยังพบว่ามีความล่าช้าในการจ้างทำแพลตฟอร์ม และแอปพลิเคชั่น ในการให้คำแนะนำการใช้ปุ๋ย และเก็บข้อมูล Data Base การกำหนดเงื่อนไขของโครงการไม่สอดคล้องกับความต้องการ โครงการไม่มีความเหมาะสมในแง่ของการปฏิบัติจริง

โครงการนี้กรมส่งเสริมการเกษตร ยืนยันว่าจะช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ผ่านศูนย์จัดการดินปุ๋ยชุมชน (ศดปช.) ของกรมส่งเสริมการเกษตร โดยจะทำให้เกษตรกรสามารถเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิตด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการวิเคราะห์ดิน และการใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน ทำให้เกษตรกรใช้ปุ๋ยเคมีน้อยลงในสภาวะที่ปุ๋ยเคมีมีราคาสูงขึ้นในปัจจุบัน

อนันต์ ดาโลดม

นายกสมาคมพืชสวนแห่งประเทศไทย