ปัญหาเกษตร ที่นี่มีคำตอบ : กล้วยทนแล้ง รายได้งาม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/228417

วันอังคาร ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

คำถาม ผมสนใจอยากจะปลูกกล้วยครับถ้าอากาศร้อนแบบนี้จะปลูกกล้วยอะไรดีครับ ขอทราบวิธีปลูกด้วยครับ

ประดิษฐ์ บูรณวิชช์

อ.บ้านลาด จ.เพชรบุรี

คำตอบ กล้วยชนิดต่างๆ สามารถเติบโตได้ดีในสภาวะร้อนและแห้งแล้งและมีวิธีง่ายๆ ในการปลูกกล้วยให้ทนแล้ง และได้ผลผลิตคุ้มค่า ซึ่งพันธุ์กล้วยที่ทนแล้งได้ดี  คือ กล้วยน้ำว้านักวิชาการเกษตรได้แนะนำวิธีปลูกดังนี้

1.ทำการเลือกต้นพันธุ์ ถ้าได้พันธุ์จากการเพาะเนื้อเยื่อ จะทำให้กล้วยปลอดโรค และออกลูกพร้อมกัน

2.วิธีเตรียมดิน โดยการไถดะ ด้วยผานสามตากดินหนึ่งเดือน และไถแปรด้วยผานห้าอีกทีตากดินทิ้งไว้หนึ่งเดือน ทำการผสมดินกับปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกที่สลายแล้ว อัตรา 5 ต่อ 1 ใส่ในหลุมปลูกครึ่งหลุม จากนั้นปลูกหน่อกล้วยลงในหลุม กดดินให้แน่นแล้วรดน้ำ ส่วนครึ่งหลุมที่เหลือใส่ใบไม้แห้ง หญ้าแห้ง ฟางข้าว หรือเศษอาหาร ใส่ให้เต็มครั้งเดียวหรือทยอยใส่จนเต็มหลุม เสริมด้วยปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก หรือน้ำหมักชีวภาพ

3.การเตรียมหลุมปลูก กำหนดระยะและขนาดหลุมปลูก โดยระยะที่เหมาะคือ 4×4 เมตร และควรขุดหลุม 50x50x50 ซม. เพราะรัศมีของรากกล้วยจะหากินไม่เกิน 50 ซม. การขุดหลุมขนาดนี้จะทำให้รากกล้วยหากินได้ไกลขึ้น และความลึกของหลุมจะแก้ปัญหาการขึ้นโคนหรือโคนลอย การปลูกครั้งหนึ่งสามารถเก็บผลผลิตได้ 4-5 ปี ถ้าขุดหลุมขนาดเล็ก และตื้นกว่านี้ จะให้ผลผลิตแค่ปีสองปีก็ต้องรื้อปลูกใหม่แล้ว

4.ใส่ปุ๋ยรองก้นหลุม ด้วยปุ๋ยคอกผสมดิน หลุมละ 2 กก. รองหนาประมาณ 30 ซม. แล้วจึงปลูกต้นกล้วยและกลบโคนต้นให้แน่น ทำแอ่งดินรอบต้นเพื่อเก็บน้ำรักษาความชื้นของดิน ควรรองก้นหลุมด้วยฟูราดานป้องกันหนอนกอกล้วย 1 ช้อนโต๊ะต่อหลุม

5.ทำการห่มดิน หลังจากกล้วยเติบโตได้ระยะหนึ่ง เศษวัสดุที่ใส่ในหลุมจะเริ่มตัวยุบ ให้ทำการห่มดิน คลุมหลุมด้วยใบไม้แห้ง หญ้าแห้ง หรือฟางข้าว ช่วยรักษาความชื้นในดิน ให้จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์มีชีวิตอยู่ได้และย่อยสลายเป็นธาตุอาหารนำไปใช้ในการเจริญเติบโต และให้ผลผลิตดี

6.ทำการให้น้ำ ปลูกเสร็จให้น้ำชุ่มชื้นพอเพียงไม่เช่นนั้นต้นจะเหี่ยวเฉา ใบแห้งและยุบตัว บางต้นตาย บางต้นแตกต้นใหม่ขึ้นแทน ทำให้อายุต้นไม่สม่ำเสมอกัน ให้น้ำด้วยระบบน้ำหยดช่วยประหยัดน้ำ โดยใช้เทปน้ำหยดเพราะมีต้นทุนต่ำและมีประสิทธิภาพสูง ระยะเดือนแรกต้องให้น้ำอย่างสม่ำเสมอและดินต้องชุ่มชื้น เป็นเดือนที่ต้องเอาใจใส่อย่างมาก จะทำให้ต้นตั้งตัวได้เร็ว สามารถสร้างใบและลำต้นใหม่ได้ดี โอกาสรอดสูง

7.การให้ปุ๋ย ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักทุก 1 เดือน งดใส่ปุ๋ยจนกว่าจะแทงปลี ถึงจะใส่ปุ๋ยเคมีอีกครั้ง กระทั่งหลังเก็บเกี่ยวถึงจะเริ่มให้ปุ๋ยในรอบใหม่

8.การดูแลรักษา ต้องตัดใบแก่ ใบแห้ง และถากหญ้าบริเวณโคนต้นออกให้หมด นำไปคลุมรอบโคนต้น

9.การตัดปลีกล้วย กล้วยออกปลี หรือดอกหลังปลูกประมาณ 8 เดือน หลังจากแทงปลีจนสุดแล้วจะเหลือส่วนปลายของดอกที่เรียกว่าปลีกล้วย และมีระยะหลังการแทงดอก/ปลีกล้วยจนถึงดอกกล้วยบานหมด ใช้เวลา 14 วันให้ตัดออกในช่วงที่ปลีออกเป็นลูกจนสุด

10.ช่วง 1-6 เดือนหลังปลูก รอบวงต้นใกล้เคียงจะเกิดหน่อพันธุ์ ให้ปาดหน่อที่โผล่ออกมาทิ้ง เหลือไว้หน่อที่ 1 พอหน่อที่ 1 อายุ 3 เดือน ให้ไว้หน่อที่ 2 หลังจากนั้นทุก 3 เดือน ให้ไว้หน่อที่ 3 และ 4, 5 เมื่อไว้ได้หน่อที่ 5 แล้ว ต้นแม่ก็สามารถเก็บเกี่ยวเครือกล้วยได้ จะเหลือต้นกล้วย 4 ต้นที่อายุห่างกัน 3 เดือน โดยมีหน่อที่ 1 ที่อายุห่าง 6 เดือน จะทำให้กล้วยน้ำว้าในแปลงมีอายุห่าง 3 เดือน ให้ใช้ระบบนี้ต่อไปหลายๆ ปี

11.สับต้นเก่าที่ตัดเครือทำปุ๋ยพืชสด เมื่อเก็บผลผลิตไปแล้ว ให้สับต้นเก่าที่ตัดเครือทำปุ๋ยพืชสด โดยสับให้เป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ไว้โคนต้น จะช่วยป้องกันความชื้น และยังเป็นปุ๋ยให้กับต้นใหม่อีกด้วย

12.การแยกหน่อ หรือเหง้าปลูก อาจใช้วิธีการดั้งเดิมที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยขุดเหง้าพันธุ์ออกขยายปลูกเป็นกอใหม่

กล้วยน้ำว้า เป็นพืชที่ปลูกง่าย เจริญเติบโตได้ในทุกสภาพดิน แต่ชอบดินร่วน มีอินทรียวัตถุ และความชื้นสูง ระบายน้ำดี ไม่ชอบน้ำขัง ให้ผลผลิตครั้งแรกเมื่อปลูกได้ 8-10 เดือน สามารถแตกหน่อเติบโตให้ผลผลิตทั้งปี

นาย รัตวิ

ปัญหาเกษตร ที่นีมีคำตอบ : ปุ๋ยชีวภาพ วิธีผลิตและวิธีใช้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/227323

วันอังคาร ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

คำตอบ ปุ๋ยชีวภาพ เป็นปุ๋ยที่ได้จากการนำจุลินทรีย์ที่มีชีวิตที่สามารถสร้างธาตุอาหาร หรือช่วยให้ธาตุอาหารเป็นประโยชน์กับพืช มาใช้ในการปรับปรุงบำรุงดินทางชีวภาพ ทางกายภาพ หรือทางชีวเคมี ทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์เพิ่มมากขึ้น

คุณสมบัติของจุลินทรีย์ในปุ๋ยชีวภาพพด.12 นักวิชาการเกษตร กรมพัฒนาที่ดิน ได้แนะนำ ปุ๋ยชีวภาพ พด.12 ซึ่งเป็นกลุ่มจุลินทรีย์ที่สามารถสร้างธาตุอาหาร หรือช่วยให้ธาตุอาหารเป็นประโยชน์กับพืช เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้กับดิน และสร้างฮอร์โมนส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืช ประกอบด้วยจุลินทรีย์ 4 ประเภท คือ

1.จุลินทรีย์ที่ให้ธาตุอาหารไนโตรเจน เป็นจุลินทรีย์ที่อยู่อย่างอิสระในดิน สามารถตรึงก๊าซไนโตรเจนในอากาศ และเปลี่ยนให้อยู่ในรูปแอมโมเนียมที่เป็นประโยชน์ต่อพืช โดยกิจกรรมเอนไซม์ ไนโตรจีเนส

2.จุลินทรีย์ที่ให้ธาตุฟอสฟอรัส เป็นจุลินทรีย์ที่สามารถผลิตกรดอินทรีย์ ปลดปล่อยออกมาละลายสารประกอบอนินทรีย์ฟอสเฟตที่อยู่ในรูปไม่ละลาย เช่น หินฟอสเฟต ให้อยู่ในรูปที่พืชสามารถดูดใช้ได้

3.จุลินทรีย์ที่ให้ธาตุโพแทสเซียม เป็นจุลินทรีย์ที่ปลดปล่อยกรดอินทรีย์ ช่วยละลายแร่ธาตุโพแทสเซียม เป็นองค์ประกอบในกลุ่มไมกา เช่น ไบโอไทต์ มัสโคไวต์ และกลุ่มของเฟลด์สปาร์ เช่น ไมโครไคลน์ออโทเคลส ให้อยู่ในรูปที่พืชสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้

4.จุลินทรีย์ที่สร้างสารกระตุ้นการเจริญเติบโตหรือฮอร์โมนพืช เป็นฮอร์โมนที่แบคทีเรียสร้าง ได้แก่ ออกซินจิบเบอเรลลิน และไซโตไคนิน ช่วยกระตุ้นการเจริญของรากขนอ่อน และช่วยเพิ่มพื้นที่ผิวราก ทำให้ความสามารถในการดูดน้ำและธาตุอาหารเพิ่มมากขึ้น

5.เป็นกลุ่มจุลินทรีย์ที่แยก และคัดเลือกได้จากบริเวณรากพืช

6.จุลินทรีย์สามารถเจริญที่อุณหภูมิระหว่าง 30-35 องศาเซลเซียส

7.จุลินทรีย์สามารถเจริญในสภาพที่มีความเป็นกรดเป็นด่างระหว่าง 6-8

จุดเด่นของปุ๋ยชีวภาพ พด.12 ช่วยเพิ่มไนโตรเจน เพิ่มการละลายได้ของหินฟอสเฟต15-45 เปอร์เซ็นต์ เพิ่มการละลายได้ของโพแทสเซียมเฟลด์สปาร์ 10 เปอร์เซ็นต์ สร้างฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโตของรากและต้นพืช และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดูดใช้ธาตุอาหารของพืช

วิธีการขยายเชื้อปุ๋ยชีวภาพ พด.12 วัสดุสำหรับขยายเชื้อ ได้แก่ ปุ๋ยหมัก 300 กิโลกรัมรำข้าว 3 กิโลกรัม ปุ๋ยชีวภาพ พด.12 จำนวน 1 ซอง 100 กรัม มีขั้นตอนวิธีการขยายเชื้อ ดังนี้

1.ผสมปุ๋ยชีวภาพ พด.12 และรำข้าวในน้ำ 1 ปี๊บ หรือ 20 ลิตร คนให้เข้ากันนาน 5 นาที

2.รดสารละลายปุ๋ยชีวภาพ พด.12 ลงบนกองปุ๋ยหมัก และคลุกเคล้าให้เข้ากัน ปรับความชื้นให้ได้ 70 เปอร์เซ็นต์ โดยตรวจสอบความชื้นด้วยวิธีการกำปุ๋ยหมักเป็นก้อน และไม่มีน้ำไหลออกมาเมื่อคลายมือออกปุ๋ยหมักยังคงสภาพเป็นก้อนอยู่ได้

3.ตั้งกองปุ๋ยหมักเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ให้มีความสูง 50 เซนติเมตร และใช้วัสดุคลุมกองปุ๋ยเพื่อรักษาความชื้น

4.กองปุ๋ยหมักไว้ในที่ร่มเป็นระยะเวลา 4 วัน แล้วจึงนำไปใช้

อัตราละวิธีการใช้ปุ๋ยหมัก

-ข้าว ให้ใช้อัตรา 300 กิโลกรัมต่อไร่หว่านให้ทั่วพื้นที่ ในช่วงเตรียมดินปลูก

-พืชไร่ พืชผัก หญ้าอาหารสัตว์ ให้ใช้อัตรา 300 กิโลกรัมต่อไร่ ใส่ระหว่างแถวตามแนวปลูกพืช แล้วคลุกเคล้ากับดิน

-ไม้ผลหรือไม้ยืนต้น ให้เตรียมหลุมปลูก ให้ใช้อัตรา 3-5 กิโลกรัมต่อต้น ใส่โดยคลุกเคล้ากับดินรองไว้ก้นหลุม เมื่อพืชที่เจริญเติบโตแล้ว ให้ใส่รอบทรงพุ่ม หรือหว่านให้ทั่วภายใต้ทรงพุ่ม

ประโยชน์ของปุ๋ยชีวภาพ ช่วยสร้างความสมดุลของธาตุอาหารพืช และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ปุ๋ย โดยช่วยเพิ่มความเป็นประโยชน์ของฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมในดิน ทั้งยังช่วยลดปริมาณการใช้ปุ๋ยเคมีลงได้ 25-30 เปอร์เซ็นต์ โดยใช้ได้ในปริมาณน้อย ราคาถูก ลดต้นทุน และช่วยเพิ่มผลผลิตพืชให้มากขึ้น

นาย รัตวิ

ปัญหาเกษตร ที่นีมีคำตอบ : การผลิตข้าวอินทรีย์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/226253

วันอังคาร ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

คำถาม ขอทราบความรู้เรื่อง การผลิตข้าวอินทรีย์ ด้วยครับ ขอบคุณครับ

แสงอนันต์ ยุวโรภาค

อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด

 

คำตอบ เกษตรอินทรีย์ เป็นระบบการจัดการผลิตด้านการเกษตรแบบองค์รวม เป็นระบบที่เกื้อหนุนต่อระบบนิเวศน์ รวมถึงความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเน้นการใช้วัสดุธรรมชาติ หลีกเลี่ยงการใช้สารสังเคราะห์ และไม่ใช้พืช สัตว์ หรือจุลินทรีย์ที่ได้มาจากเทคนิคการดัดแปรพันธุกรรม หรือพันธุวิศวกรรม มีการจัดการ
กับผลิตภัณฑ์ โดยเน้นการแปรรูปด้วยความระมัดระวัง เพื่อรักษาสภาพการเป็นเกษตรอินทรีย์ ที่มีคุณภาพในการผลิตทุกขั้นตอน

การผลิตข้าวอินทรีย์ หลักการที่สำคัญในการผลิตข้าวอินทรีย์คือ จะต้องหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี และสารที่ผ่านกระบวนการสังเคราะห์ทางเคมี ทุกชนิด ในทุกขั้นตอนการผลิต และเก็บรักษาผลผลิต แต่ให้ใช้ความอุดมสมบูรณ์ของดินจากอินทรียวัตถุในสภาพธรรมชาติ และเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน ด้วยวัสดุอินทรีย์ มีการป้องกันและกำจัดศัตรูพืช โดยใช้แมลงศัตรูธรรมชาติ ด้วยระบบควบคุมการระบาด โดยใช้ข้าวพันธุ์ต้านทาน มีวิธีการปลูก และการจัดการพืชที่เหมาะสม เพื่อสร้างสมดุลธาตุอาหารในต้นข้าว ทำให้ต้นข้าวมีความแข็งแรง ต้านทานโรคได้ดี หรือใช้สารสกัดจากพืชในกรณีที่มีศัตรูข้าวระบาดรุนแรง โดยใช้กลไกศัตรูธรรมชาติ และเลือกพื้นที่ให้มีความเหมาะสมด้วย

การผลิตข้าวอินทรีย์ มีข้อควรปฏิบัติที่ควรพิจารณาดังนี้

1. พื้นที่ปลูก จะต้องห่างไกลจากพื้นที่ที่ใช้สารเคมี ที่นาใกล้เคียงโดยรอบ ควรทำเกษตรอินทรีย์เหมือนกัน

2.เมล็ดพันธุ์ข้าว ใช้พันธุ์ข้าวที่มีคุณภาพเมล็ดดี ต้านทานต่อโรคและแมลง ควรใช้เมล็ดพันธุ์ที่ผลิต โดยวิธีเกษตรอินทรีย์ เมล็ดพันธุ์คุณภาพดี ปราศจากโรคและเมล็ดวัชพืช

3.การเตรียมดิน และวิธีปลูก ต้องไม่เผาฟางหรือตอซังข้าว ควรเตรียมดินอย่างดี เพื่อให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของต้นข้าว และลดปัญหาวัชพืช วิธีการปลูก ใช้วิธีปลูกแบบปักดำ เพื่อลดปัญหาวัชพืช ไม่ปลูกข้าวแน่นจนเกินไป เพื่อลดปัญหาโรคและแมลง

4.ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ใช้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก น้ำหมักชีวภาพ ปุ๋ยพืชสด หรือใช้อินทรียวัตถุทดแทนปุ๋ยเคมี เช่น ปุ๋ยไนโตรเจน ให้ใช้แหนแดง สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน ทดแทน ปุ๋ยฟอสฟอรัส ให้ใช้หินฟอสเฟต กระดูกป่น มูลไก่ หรือมูลค้างคาว ทดแทน ปุ๋ยแคลเซียม ให้ใช้ขี้เถ้า ปูนขาว โดโลไมท์ เปลือกหอยป่น หรือกระดูกป่น ทดแทน

5.การจัดการน้ำและดิน ต้องระวังรักษาระดับน้ำให้เหมาะสมกับระยะการเจริญเติบโตของต้นข้าวด้วย และจัดการความอุดมสมบูรณ์ของดิน โดยปลูกข้าวปีละครั้ง หรือไม่เกิน 2 ครั้งต่อปี ปลูกพืชหมุนเวียนโดยเฉพาะพืชตระกูลถั่ว ก่อนและหลังปลูกข้าว

6.การควบคุมวัชพืช และการป้องกันกำจัดโรคและแมลง ต้องไม่ใช้สารเคมี ให้ถอนด้วยมือ หรือใช้เครื่องมือทางการเกษตร ปลูกพืชคลุมดิน ไม่ใช้สารเคมีในการปราบแมลง ให้ใช้กับดักหรือแสงไฟล่อ เน้นความหลากหลายทางชีวภาพ อนุรักษ์แมลงศัตรูธรรมชาติ เพื่อควบคุมแมลงศัตรูข้าว

7.การเก็บเกี่ยว และการจัดการหลังการเก็บเกี่ยว ให้เก็บเกี่ยวในระยะพลับพลึง คือนับจากวันที่ข้าวออกดอกแล้ว ประมาณ 30-35 วัน ซึ่งเป็นระยะที่เมล็ดสุกแก่พอเหมาะ ทำให้ได้น้ำหนักเมล็ดสูง ข้าวเต็มเมล็ด และมีคุณภาพการสีดี โดยลดความชื้นให้ได้ต่ำกว่า 14% เก็บรักษาในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม แปรสภาพเป็นข้าวสารเท่าที่ต้องการในแต่ละครั้ง และแยกข้าวอินทรีย์ออกจากข้าวปกติอย่างชัดเจน

ศักยภาพการผลิตข้าวอินทรีย์ของไทยเราสูงมาก เพราะมีพร้อมทุกด้าน ทั้งพื้นที่นา ทรัพยากรน้ำ ปัจจัยแวดล้อมเหมาะแก่การทำนาข้าวอินทรีย์ มีความหลากหลายของพันธุ์ข้าวที่ปลูก และเกษตรกรก็มีความสามารถในการผลิตข้าว ภาครัฐจึงควรเน้นนโยบายเร่งด่วนในการผลิตข้าวอินทรีย์ในประเทศ เพื่อเป็นทางเลือกของเกษตรกร เพื่อส่งออกนำเงินตราเข้าประเทศ และเพื่อใช้บริโภคภายในประเทศ เพื่อสุขอนามัยและคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทย

 

ปัญหาเกษตร ที่นีมีคำตอบ : ผักหมุนเวียน ทางรอดของเกษตรกรไทย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/225129

วันอังคาร ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

คำตอบ หนทางอยู่รอดของเกษตรกรทำสวนผัก เป็นทางเลือกหนึ่งที่ให้เกษตรกรอยู่รอดได้อย่างสบาย โดยปลูกผักหมุนเวียนกันไป การปลูกพืชผักหมุนเวียน สามารถทำได้ตลอดทั้งปี ประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อของบริโภคในครัวเรือนไปได้มาก ปลูกเอง กินเอง และมีรายได้ดีด้วย เกษตรกรควรให้ความสนใจ และหันมาปลูกพืชผักสวนครัว และทำการออกจำหน่ายสู่ตลาด โดยการรวมกลุ่มกัน นำไปขาย และช่วยกันหาตัวแทนมารับวัตถุดิบของคนในหมู่บ้านที่ปลูกพืชผักสวนครัว ไปขายที่ตลาดเกษตร ถือเป็นการสร้างรายได้ที่เลี้ยงครอบครัวได้เป็นอย่างดีอีกหนึ่งช่องทาง ไม่ต้องออกหารับจ้างไกลบ้านในช่วงหน้าแล้ง

การปลูกผักหมุนเวียน เป็นการใช้พื้นที่แต่ละส่วนปลูกผักแต่ละชนิดแล้วหมุนเวียนเปลี่ยนพืชไปในพื้นที่ทีละส่วน เพื่อปรับปรุงบำรุงดิน ช่วยรักษาและการสร้างธาตุอาหารในดินให้สมดุล พืชแต่ละชนิด กินอาหารต่างกัน การหมุนเวียนนี้ จะทำในลักษณะค่อยเป็นค่อยไปก็ได้ วิธีการที่จะทำ แบบค่อยเป็นค่อยไปจะง่ายที่สุด และเข้าใจได้ง่ายๆ ในระยะเริ่มต้น มีหลักอยู่ว่า ทำการแบ่งพื้นที่เป็นส่วนๆจะมีพื้นที่เท่าไหร่ก็ตาม เช่น ถ้าจะปลูกพืช 4 ชนิด ก็แบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 ส่วน แล้วทำการปลูกพืชหมุนเวียนกันไปทั้ง 4 ชุด

วิธีปลูกผัก ให้ปล่อยไก่ เป็ด หรือหมู ที่เลี้ยงไว้ลงไป เพื่อให้ช่วยทำความสะอาดพื้นที่ สัตว์เลี้ยงเหล่านี้ จะกินเศษซากพืช ตัวแมลงศัตรูพืช และรากต้นไม้ต่างๆ จนดินสะอาด เมื่อได้ทำความสะอาดพื้นที่ ให้เลือกปลูกพืชต่างชนิดกัน ซึ่งควรเป็นพืชใบเขียว เช่น ข้าวโพด พริก กล้วย มะละกอ พืชใบห่อ เช่น กะหล่ำปลี พืชหัว เช่น มันเทศ เผือก หรือพืชตระกูลถั่วต่างๆ ปลูกหมุนเวียนกันไป และทำความสะอาดแปลงปลูกทุกครั้งเมื่อปลูกพืชใหม่ จังหวะของการทำกิจกรรมปลูกพืชในแต่ละแปลง จะไล่กันไปเรื่อยๆ จะเห็นได้ว่ามีมากแปลง ก็จะปลูกพืชได้มากชนิดขึ้น

เกษตรกรควรทดลองปลูกผักหมุนเวียน ผักแต่ละชนิดที่ปลูกหมุนเวียนกันนี้ จะให้ธาตุอาหาร และผลิตธาตุอาหารต่างกัน ทำให้ดินสมบูรณ์ มีธาตุอาหารหลัก และธาตุอาหารย่อย การเลือกพืชผักลงดิน ก็จะต้องคำนึงด้วยว่า พืชจะช่วยสร้างธาตุอาหารไนโตรเจน โพแทสเซียม ฟอสเฟต จะต้องมีเหล็ก มีสังกะสี หรือธาตุอาหารอื่นๆ อยู่ในดิน ธาตุอาหารเหล่านี้มาจากพืชที่เราปลูกลงไป พืชเหล่านี้จะสร้างธาตุอาหารเหล่านี้ ทิ้งไว้ในดิน การปลูกพืชชนิดเดียว จึงเป็นการทำลายดิน และทำลายสมดุลของสิ่งแวดล้อม

ภาครัฐควรเข้ามาช่วยดูแล และสนับสนุนในการหาตลาดจำหน่ายสินค้า และตลาดรองรับพืชผลทางการเกษตรที่เป็นหลักชัดเจน ราคาเป็นธรรม เพื่อให้เกษตรกรมั่นใจในการผลิตสินค้า ว่ามีตลาดรองรับที่มั่นคง แน่นอน อันจะส่งผลให้การดำเนินการตามนโยบายในการช่วยเหลือเกษตรกร การแก้ไขปัญหาภัยแล้งที่ภาครัฐเข้ามาดูแลอย่างใกล้ชิด และยังสามารถใช้เป็นแนวทางในการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนได้ในอนาคตอีกด้วย

นาย รัตวิ

ปัญหาเกษตร ที่นี่มีคำตอบ : สมุนไพร สารกำจัดแมลงศัตรูพืช

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/223948

วันอังคาร ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2559, 18.00 น.

คำถาม ผมสนใจการนำพืชสมุนไพรมาใช้ป้องกันแมลงศัตรูพืช มีอะไรบ้าง และมีวิธีการทำอย่างไรครับ

ทรง สุดสงวน

อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม

คำตอบ การนำพืชสมุนไพรมาใช้ป้องกันแมลงศัตรูพืช เป็นทางเลือกทดแทนการใช้สารเคมีที่มีประสิทธิภาพ พืชสมุนไพรส่วนใหญ่เป็นพืชท้องถิ่น ปลูกและหาได้ง่าย ไม่มีความเป็นพิษต่อสิ่งมีชีวิตและสภาพแวดล้อม มีคุณสมบัติเป็นสารขับไล่แมลง สลายตัวได้เร็ว และช่วยลดต้นทุนการผลิต

ชนิดพืชสมุนไพร มีดังนี้ 1.กลอย เป็นพิษต่อเพลี้ยอ่อน แมลงสิง ด้วงงวง แมลงวันทองไร 2.กะหล่ำปลี เป็นพิษต่อหนอนกระทู้ หนอนชอนใบ 3.กระเทียม เป็นพิษต่อมด แมลงวัน ยุง 4.กะเพรา เป็นพิษต่อมด แมลงวัน ยุง 5.ขึ้นฉ่ายเป็นพิษต่อด้วงงวง ด้วงปีกแข็ง บุ้ง มอดเจาะไม้ม่วนปีกแข็ง 6.ขิง เป็นพิษต่อแมลงวันทองมด แมลงวัน ยุง 7.ขมิ้น เป็นพิษต่อแมลงวันทอง 8.ข่า เป็นพิษต่อมด แมลงวัน ยุง 9.ขอบชะนางเป็นยาฆ่าหนอน แมลง 10.คำแสด เป็นพิษต่อแมลงวันทอง 11.เงาะ เป็นพิษต่อแมลงวันทอง

12.ชบา เป็นพิษต่อเพลี้ยอ่อนไร 13.ชุมเห็ดเทศ เป็นพิษต่อมด แมลงวัน ยุง 14.เดหลีใบกล้วย เป็นพิษต่อแมลงวันทอง 15.ดองดึง เป็นยาฆ่าแมลงศัตรูพืช ไร 16.ถั่วลิสง เป็นพิษต่อด้วงงวง ด้วงปีกแข็ง บุ้ง มอดเจาะไม้ มอดแป้ง มวนปีกแข็ง 17.ตะไคร้หอม เป็นพิษต่อเพลี้ยอ่อน ไร มด มอด แมลงวัน 18.ตะไคร้กอ เป็นพิษต่อแมลงวันทองยุง 19.แตงไทย เป็นพิษต่อแมลงวันทอง 20.เถาวัลย์เปรียง เป็นพิษต่อเพลี้ยอ่อน ไร 21.น้อยหน่า เป็นพิษต่อแมลงวันทอง ด้วง บุ้ง มอดเจาะไม้ มอดแป้ง มวนปีกแข็ง หนอนกระทู้ หนอนชอนใบ 22.บอระเพ็ด เป็นพิษต่อเพลี้ยอ่อน ไร ขับไล่แมลงศัตรูพืช

23.บวบเหลี่ยม ด้วงปีกแข็ง บุ้ง มอดเจาะไม้ มอดแป้ง มวนปีกแข็ง 24.บัวบก เป็นยาฆ่าแมลง 25.มะคำดีควาย เป็นยาฆ่าแมลง 26.ยาสูบ เป็นยาฆ่าแมลง 27.เลี่ยน กำจัดแมลงศัตรูพืชหลายชนิด 28.ว่านน้ำ เป็นยาฆ่าแมลง 29.พริก เป็นพิษต่อด้วงงวง ด้วงปีกแข็ง บุ้ง มอดเจาะไม้ มอดแป้ง มวนปีกแข็ง 30.สะเดา ช่วยขับไล่แมลง 31.สาบแร้ง สาบกา ใช้กำจัดแมลงศัตรูพืช 32.หญ้างวงช้างใช้กำจัดศัตรูพืช 33.หนอนตายหยาก ขับไล่แมลง 34.หางไหลแดง โล่ติ๊น เป็นยาฆ่าแมลง

อัตราส่วนที่ใช้ในการผลิต ใช้พืชสมุนไพร 30 กิโลกรัม กากน้ำตาล 10 กิโลกรัม น้ำ 50 ลิตร สารเร่ง พด.7 จำนวน 1 ซอง 25 กรัม

วิธีผลิต นักวิชาการเกษตร กรมพัฒนาที่ดิน ได้ให้คำแนะนำไว้ดังนี้

1.สับพืชสมุนไพรให้เป็นชิ้นเล็ก ทุบ หรือตำให้แตก

2.นำพืชสมุนไพร และกากน้ำตาล ใส่ลงในถังหมัก ผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน

3.ละลายสารเร่ง พด.7 ในน้ำ 50 ลิตร ผสมให้เข้ากัน นาน 5 นาที

4.เทสารละลายสารเร่ง พด.7 ใส่ลงในถังหมักคลุกเคล้า หรือคนให้ส่วนผสมเข้ากันอีกครั้ง

5.ปิดฝาไม่ต้องสนิท และตั้งไว้ในที่ร่ม ใช้ระยะเวลาในการหมัก 20 วัน

วิธีการใช้

-สำหรับใช้ในพืชไร่ พืชผัก และไม้ดอก ให้ใช้สารป้องกันแมลงศัตรูพืชที่ทำการเจือจาง 1:500 อัตรา 50 ลิตรต่อไร่

-สำหรับใช้ในไม้ผล ให้ใช้สารป้องกันแมลงศัตรูพืชที่เจือจาง 1:200 อัตรา 100 ลิตรต่อไร่ โดยฉีดพ่นที่ใบ ลำต้น และรดลงดินทุก 20 วัน หรือในช่วงที่มีแมลงศัตรูพืชระบาดให้ฉีดพ่นทุกๆ 3 วัน ติดต่อกัน 3 ครั้ง

นาย รัตวิ

ปัญหาเกษตร ที่นีมีคำตอบ : ภาวะโลกร้อน กับแนวทางแก้ปัญหาภาคเกษตรกรรม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/222750

วันอังคาร ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2559, 06.00 น.

คำถาม ภาวะโลกร้อนอย่างนี้ จะมีแนวทางในการแก้ปัญหาผลกระทบภาวะโลกร้อนต่อภาคเกษตรกรรม อย่างไรบ้างครับ

กิตติพัฒน์ อำนวยโชค

อ.นายายอาม จ.จันทบุรี

คำตอบ แนวทางการแก้ปัญหาและแนวทางการปรับตัว ได้แก่ พืช ประมง ปศุสัตว์ ทรัพยากรน้ำการชลประทาน และป่าไม้ เพื่อรองรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อภาคการเกษตร นักวิชาการทางด้านการเกษตร ได้ให้คำแนะนำเบื้องต้น พอสรุปได้ดังนี้

ด้านพืช มีผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งผลให้ปริมาณฝนตกมากขึ้น ในขณะที่จำนวนวันที่ฝนตกน้อยลง ทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วม และการใช้ประโยชน์จากน้ำฝนลดลง เกิดการชะล้างพังทลายของหน้าดินเพิ่มขึ้น อุณหภูมิที่สูงขึ้น มีผลต่อการสุกแก่ของผลไม้ และการระบาดของโรคและแมลง แนวทางการแก้ไขปัญหาคือ ควรส่งเสริมการทำเกษตรแบบผสมผสาน ลดละเลิกการเผา โดยนำเศษวัสดุต่างๆ มาใช้ทำปุ๋ยอินทรีย์แทน และควรต้องมีการวิจัยและพัฒนาพันธุ์พืชที่ทนร้อน

ด้านประมง อุณหภูมิที่สูงขึ้นน้ำท่วม ภาวะแห้งแล้ง การสึกกร่อน และการเกิดพายุ มีผลต่อระยะเวลาการวางไข่ของสัตว์น้ำ การระบาดของโรคสัตว์น้ำ เกิดปัญหามลพิษ และผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของปะการัง สำหรับสัตว์น้ำที่เลี้ยงในบ่อ หรือกระชัง จะเกิดความเครียด เนื่องจากอยู่ใน บริเวณจำกัด มีผลโดยตรงต่อผลผลิต ปัญหาน้ำท่วมขังและเน่าเสีย มีผลทำให้สัตว์น้ำตาย การรุกล้ำของน้ำเค็ม ทำให้กุ้งในบ่อเลี้ยงช็อกตาย

ด้านปศุสัตว์ เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ทำให้เกิดโรคใหม่ๆ เพิ่มขึ้น การเจริญเติบโตของสัตว์ลดลง และผลผลิตปศุสัตว์ลดลง เกิดผลกระทบต่อการผลิตอาหารสัตว์ ต้นทุนที่สูงขึ้น อาหารสัตว์แพงขึ้น การลดลงของความหลากหลายทางชีวภาพ มีผลต่อแหล่งอาหารสัตว์ลดลง รวมถึงเกษตรกรไม่สามารถลงทุนด้านเทคโนโลยีใหม่ได้ แนวทางการแก้ไขปัญหา ได้แก่ การปรับปรุงพันธุ์สัตว์ โดยใช้เทคโนโลยีชีวภาพ เช่น การผลิตน้ำเชื้อ การฝากถ่ายตัวอ่อน การจัดเก็บเชื้อพันธุ์พื้นเมือง การส่งเสริมงานวิจัยด้านต้นทุน การพัฒนาเทคนิคการจัดการฟาร์ม การฝึกอบรมและถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่เกษตรกร รวมถึงการเฝ้าระวังโรคระบาดสัตว์ เพื่อเตรียมตัวและแก้ไขปัญหาได้ทันเหตุการณ์

ด้านทรัพยากรน้ำและชลประทาน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มีผลทำให้เกิดน้ำท่วมภาวะภัยแล้ง และส่งผลต่อระบบชลประทาน แนวทางการแก้ไขปัญหาคือ การพยากรณ์ภูมิอากาศล่วงหน้า เพื่อเป็นข้อมูลให้เกษตรกรสามารถเตรียมตัวได้ทัน มีระบบเตือนภัยน้ำท่วมการจัดการระบายน้ำที่ดี และมีการปรับตัวต่อภัยแล้ง ได้แก่ การใช้น้ำให้มีประสิทธิภาพ การนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ การพัฒนาพันธุ์พืชที่ใช้น้ำน้อยและทนแล้ง การจัดการชลประทาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ

ด้านป่าไม้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มีผลกระทบทั้งต่อป่าชายเลน และป่าบกผลจากน้ำทะเลที่สูงขึ้น และการกัดเซาะชายฝั่ง มีผลต่อสัตว์น้ำวัยอ่อน พื้นที่ป่าชายเลนเป็นแหล่งอนุบาลวัยอ่อน และมีความอ่อนไหวต่อผลกระทบได้ง่าย แนวทางการแก้ไขปัญหาคือ มีการกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดิน และการใช้ไม้ไผ่ปักไว้ เพื่อชะลอและลดผลกระทบจากคลื่น ช่วยลดปริมาณการกัดเซาะชายฝั่ง

เกษตรกร ควรติดตามสถานการณ์ภัยธรรมชาติอย่างใกล้ชิด ต้องเตรียมพร้อมรับมือ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าภัยธรรมชาติจะเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ แต่สามารถป้องกันได้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องเร่งดำเนินการ ให้มีการวิจัยและพัฒนาพันธุ์พืชที่มีความต้านทานต่อภาวะอุณหภูมิที่สูงขึ้น ต้านทานโรค และแมลง หรือพันธุ์พืชที่ทนแล้ง ทนน้ำท่วมขัง เพื่อเพิ่มโอกาสในการอยู่รอดของเกษตรกรและภาคเกษตรกรรมไทย

การแก้ปัญหาผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ไม่ใช่หน้าที่ของภาคเกษตรเพียงอย่างเดียว ภาคอุตสาหกรรม หรือภาคการผลิตอื่นๆ ก็เป็นส่วนหนึ่งในการทำให้อุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่ผลกระทบหลักกลับตกไปอยู่ที่ภาคเกษตร ซึ่งเป็นภาคการผลิตที่สำคัญในการเป็นแหล่งอาหาร ถึงเวลาแล้วที่ทุกฝ่าย จะต้องร่วมมือกันแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง

นาย รัตวิ

ปัญหาเกษตร ที่นีมีคำตอบ : เกษตรอินทรีย์ช่วยโลกร้อน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/221638

วันอังคาร ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2559, 06.00 น.

คำถาม ในขณะที่โลกร้อน เราจะทำการเกษตรอย่างไร ที่จะสามารถช่วยโลกร้อนได้ครับ

รัตนชัย บวรมงคล

อ.มโนรมย์ จ.ชัยนาท

คำตอบ ภาคเกษตรจะได้รับผลโดยตรง และมากที่สุด จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แม้ว่าภาคเกษตรจะมีส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ก็เป็นภาคเดียวที่เป็นแหล่งดูดซับก๊าซเรือนกระจกให้กลับมาหมุนเวียนในโลกได้อีก ซึ่งพบว่า การเกษตรแบบอินทรีย์ เป็นวิธีการทำการเกษตรที่ดีที่สุดที่ช่วยลดโลกร้อนได้ในขณะนี้ นักวิชาการทางด้านการเกษตร ได้ให้คำแนะนำไว้ พอสรุปได้ดังนี้

เกษตรอินทรีย์ เป็นเกษตรกรรมที่ใช้พลังงานน้อยกว่าเกษตรเคมี ช่วยลดการปล่อยก๊าซจากการใช้พลังงาน การเลิกใช้ปุ๋ยเคมีก็สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ เกษตรอินทรีย์ ยังลดการเกิดก๊าซมีเธน ด้วยการส่งเสริมการใช้จุลินทรีย์ที่ใช้อากาศในการย่อยสลาย เปลี่ยนอาหารสัตว์ หลีกเลี่ยงการเผาอินทรียวัตถุ และลดการเกิดก๊าซไนตรัสออกไซด์ เนื่องจากไม่ใช้ปุ๋ยไนโตรเจน ซึ่งเป็นปุ๋ยเคมี ช่วยปรับโครงสร้างดินด้วยอินทรียวัตถุ ลดการสะสมของไนโตรเจนในดินที่เกินจำเป็น และลดการเกิดก๊าซไนตรัสออกไซด์ อีกทั้งการ
ลดการไถพรวน และการเพิ่มอินทรียวัตถุในดิน

ระบบเกษตรอินทรีย์ ยังช่วยเพิ่มความสามารถของดินในการตรึง และเก็บกักคาร์บอนไดออกไซด์ตามธรรมชาติ และช่วยรักษาหน้าดิน เป็นระบบเกษตรยั่งยืนที่เอื้อกับระบบนิเวศน์ของแต่ละท้องถิ่น โดยเน้นการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพของพืชและสัตว์ การรักษาและคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ที่เหมาะสมกับท้องถิ่น ยังช่วยรักษาสมดุลย์ของระบบนิเวศน์

ข้อดีของเกษตรกรรมอินทรีย์

-เกษตรกรรมอินทรีย์ เน้นการเพิ่มอินทรียวัตถุในดิน จะทำให้สามารถดูดซับน้ำได้มากขึ้น ป้องกันการชะล้างหน้าดิน และทนทานต่อสภาพความแห้งแล้งได้มากกว่า จึงสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศได้ดีกว่า

-เน้นความหลากหลายทางชีวภาพในระบบการเกษตร ทำให้สามารถมีภูมิคุ้มกันต่อปัญหาการระบาดของโรคแมลง

-เกษตรอินทรีย์ ใช้พลังงานน้อยกว่า และมีประสิทธิภาพมากกว่าเกษตรเคมี โดยส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากการไม่ใช้ปุ๋ยไนโตรเจน ไร่นาเกษตรอินทรีย์สามารถเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ ในดินได้ ถ้าหากทำการปลูกข้าวโพดและถั่วเหลืองเป็นเกษตรอินทรีย์ได้ ก็จะสามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้

-การจัดการผลผลิตเกษตรอินทรีย์ เพื่อการบริโภคในครอบครัวและในชุมชน จะลดการใช้พลังงานสำหรับการขนส่งและแปรรูป หรือบรรจุภัณฑ์ ซึ่งจะทำให้สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากขึ้น

-เกษตรอินทรีย์ เน้นการสร้างอินทรียวัตถุในดิน เป็นกระบวนการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ ในอากาศให้มาอยู่อินทรีย์สารในดิน เป็นการลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ

-เกษตรอินทรีย์ ไม่ใช้ปุ๋ยไนโตรเจน ทำให้ลดการปล่อยก๊าซไนตรัสออกไซด์ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดก๊าซเรือนกระจก

-เกษตรอินทรีย์ ไม่มีการเผาชีวมวล ทำให้ลดการปล่อยก๊าซมีเธน คาร์บอนไดออกไซด์ และไนตรัสออกไซด์ เมื่อเปรียบเทียบกับเกษตรที่เผาชีวมวล

-การไม่ใช้ไนโตรเจน ทำให้ไม่ต้องใช้พลังงาน เพื่อการผลิตปุ๋ยไนโตรเจน เป็นการลดการใช้ฟอสซิล ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของเรื่องโลกร้อน

-เกษตรอินทรีย์ เน้นการทำการเกษตรอย่างหลากหลาย และจัดการฟาร์มแบบผสมผสาน ไม่เกิดมูลสัตว์ส่วนเกินที่ทำให้เกิดปัญหาสภาวะแวดล้อม ในขณะที่ การเลี้ยงสัตว์อย่างหนาแน่นในระบบเกษตรทั่วไป ทำให้มีการปลดปล่อยก๊าซมีเธน ไนตรัสออกไซด์ และคาร์บอนไดออกไซด์ จากมูลสัตว์เป็นจำนวนมาก

ภาคเกษตรอินทรีย์ สามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในขณะเดียวกันก็เตรียมรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างยั่งยืน และเป็นรูปธรรมได้ โดยที่รัฐควรส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านภาคเกษตรของประเทศไปสู่เกษตรอินทรีย์ที่ยั่งยืน จึงต้องให้ความสำคัญกับการสร้างความหลากหลายทางชีวภาพ และการตั้งรับปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งเสริมการอนุรักษ์และจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อการเกษตรอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและชุมชนในพื้นที่ลุ่มน้ำ และคุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรม และพื้นที่ผลิตอาหารไม่ให้ถูกคุกคามโดยอุตสาหกรรม

นาย รัตวิ

ปัญหาเกษตรที่นี่มีคำตอบ : ปุ๋ยเคมี กับภาวะโลกร้อน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/220507

วันอังคาร ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2559, 06.00 น.

คำถาม ในขณะที่ ภาคเกษตรและเกษตรกร ยังคงใช้ปุ๋ยเคมีกันเป็นจำนวนมาก จะมีผลเสียและผลกระทบต่อภาวะโลกร้อนอย่างไรบ้างครับ

คำตอบ การทำการเกษตร โดยใส่เฉพาะปุ๋ยเคมี หรือปุ๋ยวิทยาศาสตร์กันอย่างมากมาย เป็นเวลานาน และต่อเนื่อง รวมถึงการใช้สารเคมีปราบศัตรูพืช ยาฆ่าแมลง ยากำจัดวัชพืช ยาฆ่าเชื้อรา โดยมิได้มีการรักษาสภาพดิน หรือคำนึงถึงจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อพืชในดิน จนในที่สุดดินที่เคยอุดมสมบูรณ์ ก็จะเสื่อมสภาพลง จนมีผลให้เกิดปัญหาดินเสีย โครงสร้างของดินจะเปลี่ยนแปลง ทั้งทางกายภาพ ทางเคมี และทางชีววิทยา ดินจะแน่น หน้าดินแข็ง ทำให้การระบายน้ำและอากาศได้ไม่ดี ดินมีความเป็นกรดจัด และมีค่า pH ต่ำ ซึ่งเป็นบ่อเกิดของโรคพืชในดินต่างๆ รวมทั้งอินทรียวัตถุ และฮิวมัส ที่มีประโยชน์ในดินก็ลดน้อยลง หรือแทบจะหมดไป

การใช้ปุ๋ยเคมี เป็นเทคโนโลยีการเกษตรทางด้านพืช เพื่อเพิ่มปริมาณผลผลิตต่อหน่วยพื้นที่ให้มากขึ้น ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่เป็นการช่วยเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร เกษตรกรจึงหันมาใช้ปุ๋ยเคมีกันมาก เพราะใช้สะดวก มีสูตรต่างๆ ให้เลือกตามความต้องการ และเห็นผลเร็ว

ผลเสีย และผลกระทบจากการใช้ปุ๋ยเคมี นักวิชาการด้านการเกษตร ได้ให้คำแนะนำต่างๆ ไว้ พอสรุปได้ดังนี้

1.ในพื้นที่การเกษตรที่มีอากาศร้อนแห้งแล้ง การใช้ปุ๋ยเคมีจะไม่มีประสิทธิภาพของปุ๋ยเคมีต่ำกว่าที่ควรจะเป็น เนื่องจากถ้าภูมิอากาศไม่อำนวย เช่น ฝนตกหนัก มีภัยแล้งติดต่อกัน ธาตุไนโตรเจนอาจสูญหายไปเกือบ 40-50 เปอร์เซ็นต์ ดินเสื่อมโทรม หรือถูกกัดเซาะ และมีอินทรียวัตถุไม่มาก ประสิทธิภาพของปุ๋ยเคมี ก็ยิ่งจะลดต่ำลงไปอีก

2.ปุ๋ยเคมี ทำลายสมดุลของระบบนิเวศดิน และส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในดิน ปุ๋ยเคมีจะเร่งอัตราการสลายตัวของอินทรียวัตถุ ทำให้โครงสร้างของดินเสื่อมลง ทำให้ดินกระด้าง ไม่อุ้มน้ำ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อพืช อีกทั้งการใส่ปุ๋ยเคมีที่มีธาตุไนโตรเจนมากๆ จะทำให้ดินเป็นกรด ส่งผลต่อธาตุฟอสฟอรัสที่มีอยู่ในดินแปรสภาพไปจากเดิม ซึ่งพืชจะไม่สามารถนำมาใช้ได้

3.การใช้ปุ๋ยเคมีธาตุหลัก ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโปรแทสเซียม ติดต่อกัน จะทำให้เกิดปัญหาการขาดธาตุรอง เช่น สังกะสี เหล็กทองแดง แมงกานีส แมกนีเซียม ซึ่งถ้าเกิดปัญหานี้ขึ้น จะส่งผลกระทบต่อพืช และกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ และสัตว์ผู้บริโภค ทั้งยังมีผลต่อผลผลิตลดลง เกิดโรค และแมลงศัตรูพืชเข้าทำลายได้อีกด้วย

4.การใช้ปุ๋ยเคมี มีผลกระทบทางเศรษฐกิจ เพราะแหล่งวัตถุดิบของปุ๋ยมีอยู่จำกัด โดยเฉพาะฟอสเฟต การใช้ปุ๋ยเคมีมากๆ ย่อมทำให้เกิดปัญหาปุ๋ยขาดแคลน และมีราคาแพงขึ้น ต้องนำเข้าปุ๋ยเคมี หรือวัตถุดิบจากต่างประเทศ เป็นการเพิ่มปัญหาการขาดดุลการค้าระหว่างประเทศ

5.การใช้ปุ๋ยเคมี ส่งผลกระทบต่อภาวะโลกร้อน โดยเฉพาะการปล่อยก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ สู่บรรยากาศ ก๊าซนี้จะทำลายชั้นโอโซน ซึ่งช่วยทำหน้าที่ดูดซับ และกรองคลื่นแสงอินฟาเรดเอาไว้ เมื่อชั้นโอโซนลดลง รังสีจากดวงอาทิตย์ที่แผ่มายังโลกก็จะเพิ่มขึ้น ทำให้อุณหภูมิโลกร้อนขึ้น เกิดภาวะเรือนกระจก และความผันผวนของภูมิอากาศ เกิดวิกฤตการณ์โลกร้อน ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น และส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง

เกษตรกรต้องเริ่มต้นจากตัวเกษตรกรเอง ช่วยกันปรับรูปแบบการใช้ปุ๋ยเคมี โดยหันมาใช้ควบคู่กับปุ๋ยอินทรีย์ให้มากขึ้น การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก ปุ๋ยพืชสด และการใช้พืชตระกูลถั่ว เพื่อตรึงไนโตรเจน จนถึงขั้นลดละเลิกใช้ปุ๋ยเคมีเลย ก็จะเป็นการช่วยลดปัญหาภาวะโลกร้อนได้อีกทางหนึ่ง

นาย รัตวิ

ปัญหาเกษตร ที่นีมีคำตอบ : ความมั่นคงทางอาหารกับภาวะโลกร้อน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/219409

วันอังคาร ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2559, 06.00 น.
คำถาม ถ้าหากภาวะโลกร้อน ทำให้ระบบการผลิตทางการเกษตรได้ผลน้อย จะส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหาร มากน้อยแค่ไหน อย่างไรครับ

สิทธิธรรม สาครอมรรัตน์

อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์

คำตอบ การเผชิญกับภาวะโลกร้อน จะทำให้สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน ได้เกิดบ่อยขึ้น รุนแรงมากขึ้นภูมิภาคที่จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงรุนแรงที่สุด คือ ในเขตร้อนและใกล้เขตร้อน ประเทศไทยเรา และประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่ของโลกที่ตั้งอยู่ในเขตเหล่านั้น มีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด โดยมีภาคเกษตรกรรม เป็นภาคการผลิตที่อ่อนไหวมาก เพราะเมื่อเกิดมีอุณหภูมิที่สูงขึ้น เกิดสภาวะแล้ง การขาดแคลนน้ำที่จะเพิ่มขึ้น และสภาพอากาศที่แปรปรวนนั้น เป็นปัจจัยที่ส่งผลโดยตรงต่อผลผลิต และที่สำคัญ ถ้าระบบการผลิตทางการเกษตรล้มสลาย ก็จะส่งผลต่อความสั่นคลอนของความมั่นคงทางอาหารให้กับคนเมือง รวมทั้งมนุษย์ทุกคนบนโลกด้วย

ความมั่นคงทางอาหาร ได้กลายเป็นปัญหาความมั่นคงที่หลายประเทศทั่วโลก กำลังเผชิญและสร้างมาตรการรับมือกับความอยู่รอดของประชากรในประเทศ กำลังทวีความรุนแรงมากขึ้น อันเป็นผลจากสภาวะแวดล้อมและวิกฤติด้านพลังงาน สภาพแวดล้อม และความสำคัญของการผลิตพืชอาหารลดลง ทำให้ราคาพืชผลและอาหารสูงขึ้น จนทำให้ประชากรที่ยากจนไม่สามารถเข้าถึงอาหารได้ นำไปสู่การเกิดภาวะขาดแคลนอาหาร เพราะในขณะที่แนวโน้มของผลผลิตทางการเกษตรที่ลดลงจากภัยธรรมชาติ อาจนำไปสู่ภาวะขาดแคลนอาหาร และความอดอยาก ทำให้เกิดภาวะขาดสารอาหาร และภูมิต้านทานร่างกายต่ำ โดยเฉพาะในเด็กและคนชรา

สถานการณ์ความมั่นคงทางอาหาร เริ่มมีความเปลี่ยนแปลง เห็นได้จากชุมชน และชาวนา ต่างเป็นผู้ที่มีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สินที่ตนเองมีอยู่ ลูกชาวนาก็หันมาบริโภคอาหารแบบคนเมือง ทำงานอาชีพโรงงานไม่รู้จักผักพื้นบ้าน ไม่รู้จักการเก็บกินเองและถ้าเรากินอาหารโดยไม่รู้แหล่งที่มา พฤติกรรมการบริโภคแบบนี้ แปลว่าเราไม่มีความมั่นคงทางอาหาร  ดังนั้น การผลิตที่สอดคล้องกับระบบนิเวศจึงสำคัญมาก

การสร้างความมั่นคงทางอาหาร ผ่านระบบเกษตรกรรม อาจทำได้ในแต่ละชุมชน จะต้องผลิตอาหารกันเองให้ได้ จะต้องมีแหล่งอาหารธรรมชาติ ที่ให้ทุกคนเข้าถึงอาหาร ทั้งจากป่า นา และแหล่งน้ำตามฤดูกาล และมีระบบการแลกเปลี่ยนพึ่งพากันผ่านเครือญาติ และเพื่อนบ้าน สร้างระบบการเกื้อหนุน และพึ่งพาช่วยเหลือกัน ผ่านการรวมกลุ่ม เช่น ธนาคารข้าว หรือกองทุนต่างๆ

แนวทางในการฟื้นฟูความมั่นคงทางอาหาร ต้องเริ่มที่ชุมชน นักวิชาการได้ให้แนวทางไว้ดังนี้

-ผลิตอาหารในระบบไร่นา จะต้องมีที่นาทำ มีแรงงานที่ช่วยในการผลิต มีผักธรรมชาติ มีแปลงผักสวนครัวในพื้นที่นาพอเพียงกับการเก็บกินในช่วงทำนา และมีผลไม้ในที่นาที่กินได้ตามฤดูกาล

-ผลิตพืชผักสวนครัว บริเวณรอบบ้าน ต้องปลูกพืชผักสวนครัวให้พอกิน และแบ่งปันเพื่อนบ้านในชุมชน ได้อย่างเพียงพอตลอดปี

-ฟื้นฟูแหล่งอาหารธรรมชาติของชุมชน พื้นที่ป่ารอบหมู่บ้าน จะต้องมีพื้นที่ผลิตอาหารจากธรรมชาติ อาจจะเป็นป่าหัวไร่ปลายนา ป่าชุมชน ที่คนในชุมชนไปใช้ประโยชน์ร่วมกันได้ มีอาหารตามฤดูกาล โดยชุมชนต้องร่วมกันฟื้นฟูป่า ควบคู่กับการสร้างจิตสำนึกการจัดการร่วมของชุมชน และการใช้ประโยชน์ร่วมกัน

-พัฒนาแหล่งน้ำสาธารณะของชุมชน มีสัตว์น้ำตามธรรมชาติ และพืชผักธรรมชาติ ที่ทุกคนหาได้ในช่วงฤดูฝน เน้นการจัดการอย่างมีส่วนร่วมของชุมชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควบคู่กับการลดการใช้สารเคมีที่มีผลต่อแหล่งอาหารในน้ำด้วย

-พัฒนาระบบการเข้าถึงอาหารของชุมชน มีการฟื้นฟูและแบ่งปันอาหารระหว่างกลุ่มคนทั้งชุมชน แบ่งปันให้กับคนที่ไม่มีอาหาร มีระบบตลาดจำหน่ายผลผลิตที่เป็นอาหารของชุมชน เพื่อให้กลุ่มที่ไม่ได้ทำการผลิต สามารถเข้าถึงอาหารได้อย่างเป็นธรรม และปลอดภัย

ความไม่มั่นคงทางด้านอาหาร เป็นปัญหาที่มีความซับซ้อน  หากพิจารณาจากการเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตอาหารทางการเกษตรจากชุมชน ความมั่นคงทางอาหารเพียงอย่างเดียว เราอาจจะยอมรับให้เกษตรอุตสาหกรรมเพียงไม่กี่รายที่ทำเกษตรแบบใช้พืชตัดแต่งพันธุกรรม แต่ไม่ได้คำนึงถึงเกษตรกรรายย่อย และผู้บริโภค ซึ่งอันที่จริงแล้วมองว่าแต่ละส่วนในภาคเกษตรปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่เท่าเทียมกัน ทำให้ภาคเกษตรโดยรวมตกเป็นจำเลยของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ภาครัฐ ควรจะทำความกระจ่างว่า การเกษตรลักษณะใดที่เป็นต้นเหตุของปล่อยก๊าซเรือนกระจก  และไปควบคุมที่ต้นเหตุนั้น  ต้นเหตุของภาวะโลกร้อนมาจากการใช้สารเคมีของธุรกิจการเกษตรขนาดใหญ่ ระบบเกษตรพันธะสัญญา และระบบเกษตรที่ใช้เมล็ดพันธุ์ตัดต่อพันธุกรรม เหล่านี้ เป็นต้นเหตุที่สนับสนุนให้เกษตรกรใช้สารเคมีเอย่างมาก ที่นำไปสู่ภาวะโลกร้อน

นาย รัตวิ

ปัญหาเกษตร ที่นีมีคำตอบ : ผลกระทบต่อความเป็นอยู่ในภาวะปรากฏการณ์เรือนกระจก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/218271

วันอังคาร ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.
คำถาม โดยภาพรวมแล้วปรากฏการณ์เรือนกระจก จะส่งผลกระทบอย่างไรบ้างครับ

อภิเศรษฐ์ แสวงทรัพย์

อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ

คำตอบ ปรากฏการณ์เรือนกระจก เป็นความผิดปกติในการสะท้อนรังสีดวงอาทิตย์ของโลก การสะท้อนรังสีของดวงอาทิตย์ที่ผิดปกติบนผิวโลก ในฤดูกาลต่างๆ มีสาเหตุมาจากการตัดไม้ทำลายป่าในเขตร้อนชื้น และการหายไปของน้ำแข็งที่ขั้วโลก แถบเส้นศูนย์สูตร เป็นบริเวณที่ได้รับแสงอาทิตย์มากที่สุด การหายไปของป่าในเขตร้อนชื้น จึงทำให้การสะท้อนรังสีของโลกผิดปกติไป ซึ่งจะสัมพันธ์กับความผิดปกติของปริมาณน้ำฝนที่ตก

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ภูมิประเทศ เศรษฐกิจ และสังคมของมนุษย์ทั่วโลก และความเสี่ยงต่อคุณภาพชีวิตของคนไทยในด้านต่างๆ ดังนี้

ผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศ สภาวะโลกร้อนที่มนุษย์สร้างขึ้น ได้ทำให้โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นส่งผลกระทบถึงความดันบรรยากาศ การเปลี่ยนแปลงในความดันบรรยากาศ จะเป็นตัวควบคุมการไหลเวียนของบรรยากาศ ส่งผลต่อภูมิอากาศโลก มีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของความชื้น จะส่งผลกระทบต่อปริมาณของฝนที่ตก อุณหภูมิ ลม และพายุ

ผลกระทบต่อแหล่งน้ำ เมื่อมีฝนตกหนักขึ้น จนเกิดอุทกภัย และแผ่นดินถล่ม ดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ จะถูกพัดพาไปตามลำน้ำ เกิดเป็นความขุ่นของสายน้ำ ที่เมื่อตกตะกอนจะสร้างความตื้นเขินให้แก่แหล่งน้ำ สายน้ำขุ่นไหลออกสู่ชายฝั่งจะทำลายแนวปะการัง ที่เป็นแหล่งอาศัยและอนุบาลสัตว์น้ำ และสาหร่ายตามชายฝั่งตายลง จะเกิดการเน่าเสีย ปริมาณออกซิเจนในน้ำลดลงจน และเป็นอันตรายต่อสัตว์น้ำต่างๆ

ผลกระทบต่อแหล่งพลังงาน กิจกรรมขุดเจาะน้ำมันในมหาสมุทร ที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของสภาพภูมิอากาศ การเกิดพายุหมุนที่รุนแรง ย่อมเป็นอุปสรรคในการขุดเจาะน้ำมันในทะเลและมหาสมุทรวาตภัยอาจกระหน่ำแท่นขุดเจาะน้ำมันในทะเลจนอับปาง การผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานน้ำ พลังงานนิวเคลียร์ พลังงานลม ก็จะได้รับผลกระทบจากความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศมากกว่าการผลิตพลังงานรูปแบบอื่นๆ อีกทั้งระดับน้ำที่ลดลงอย่างมากของเขื่อนในหน้าแล้ง ทำให้มีปริมาณน้ำไม่พอต่อการผลิตไฟฟ้าอีกด้วย

ผลกระทบต่อระดับน้ำทะเลและที่อยู่อาศัยของมนุษย์ ถ้าอุณหภูมิโดยเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้นอีก จะทำให้น้ำแข็งจากขั่วโลกเกิดการละลายอย่างรวดเร็ว จนระดับน้ำในมหาสมุทรเพิ่มขึ้นอีก การขยายตัวของมหาสมุทรทำให้เมืองที่อยู่บริเวณชายฝั่งทะเล และที่ราบลุ่มปากแม่น้ำ ที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลไม่มาก จะถูกน้ำท่วม ส่งผลกระทบต่อสภาพความเป็นอยู่ของมนุษย์ จนต้องมีการย้ายถิ่นฐานใหม่

ผลกระทบต่อการเกษตรกรรม ภาคเกษตร มีส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จากการใช้เครื่องมือและเครื่องจักร กระบวนการย่อยสลายของสารอินทรีย์ในการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ ทำให้เกิดก๊าซมีเทน รวมทั้งเกิดจากการเผาวัชพืช เพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูก และของเสียที่จัดการอย่างไม่ถูกวิธี  ทำให้เกิดก๊าซจากการหมักทับถม และเกิดปัญหาตามมาคือ ในบริเวณที่มีการจัดสรรน้ำในการชลประทานได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการในการเกษตรกรรม อากาศที่ร้อนขึ้น จะเร่งการระเหยและการคายน้ำของพืช ทำให้พืชเกิดอาการเหี่ยวแห้งตาย และอากาศร้อนยังเร่งการเจริญเติบโตของแมลงและจุลินทรีย์บางชนิดที่ทำลายพืชอีกด้วย

ผลกระทบต่อระบบนิเวศวิทยาของโลก ระดับน้ำทะเลที่สูงและอุ่นขึ้น ทำให้สัตว์และพืชต่างๆ ต้องปรับตัว เพื่อความอยู่รอด และถ้าปรับตัวไม่ได้ก็จะล้มตายลง ส่งผลกระทบต่อการสืบพันธ์ุของสัตว์และปลาน้ำเย็น และยังทำให้เกิดการสูญพันธุ์ของสัตว์อื่นๆ ในเขตหนาว กำลังเผชิญชะตากรรมที่เลวร้ายจากช่วงฤดูหนาวที่สั้นลง ส่วนในเขตมรสุม จะมีพายุฤดูร้อนเกิดบ่อยครั้งและรุนแรงขึ้น โดยระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ทำให้เกิดการสูญเสียของผลิตผลทางการเกษตร และมีการระบาดของแมลงและเชื้อโรคหลายชนิด ค่อยๆ ลามขึ้นไปในดินแดนทางขั้วโลก และที่สูงตามยอดเขาที่เคยหนาวเย็น

ผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของคนและสิ่งมีชีวิต การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตของคน หรือสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย และกำลังกลายเป็นมหันตภัยอย่างยิ่ง หากมนุษย์ไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เพื่อชะลอการปล่อยก๊าซเรือนกระจก  ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น และเกิดภาวะโลกร้อน

ผลกระทบต่อการประกอบอาชีพ แรงงานของไทยส่วนใหญ่อยู่ในภาคเกษตรกรรมและการผลิตต้องพึ่งพาภูมิอากาศและทรัพยากรธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ ความแปรปรวนของภูมิอากาศ ทั้งภัยแล้ง ฝนตกหนักในช่วงสั้น ฝนตกผิดฤดูกาล และเกิดอุทกภัยบ่อยครั้ง ได้สร้างความเสียหายต่อผลผลิตทางการเกษตร

ภาวะโลกร้อนของไทยเราในปัจจุบัน มีความทวีความรุนแรงขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งในอนาคตเราไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า จะมีเหตุการณ์อันไม่คาดคิดอะไรเกิดขึ้นอีก ดังนั้น ประชาชนคนไทยทุกภาคส่วน จะต้องให้ร่วมมือกันเป็นอย่างดี

นาย รัตวิ