ปัญหาเกษตร ที่นี่มีคำตอบ : ปรากฏการณ์เอลนีโญ และลานีญา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/217163

วันจันทร์ ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2559, 19.49 น.
คำถาม ปรากฏการณ์เอลนีโญ และลานีญา มีความหมายและความแตกต่างกันอย่างไรครับ

แสงศร อิติสิทธิกุล

อ.เมือง จ.ขอนแก่น

คำตอบ ปรากฏการณ์เอลนีโญ-ลานีญา หรือเรียกสั้นๆ ว่า ปรากฏการณ์เอนโซ่ (ENSO / EN + SO) เป็นการเรียกรวมของปรากฏการณ์เอลนิโญ่ (El Nino) กับความผันแปรของระบบอากาศในซีกโลกใต้ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน ระหว่างปรากฏการณ์ในมหาสมุทร (น้ำ) และบรรยากาศ (ลม) จากการศึกษาผลงานวิจัยและบทความของนักวิชาการที่ทำการศึกษาในเรื่องนี้ พอจะสรุปเป็นความรู้เบื้องต้น ได้ดังนี้

ความแตกต่างระหว่างเอลนีโญและลานีญา

เอลนีโญ เป็นรูปแบบสภาพอากาศที่เกิดขึ้นตลอด ในมหาสมุทรแปซิฟิกเขตร้อน เกิดขึ้นเฉลี่ยทุกห้าปี ลักษณะของเอลนีโญ คือเกิดการเปลี่ยนแปลงในอุณหภูมิผิวน้ำทะเลของมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออก โดยอุ่นขึ้นผิดปกติ เรียกว่า “เอลนีโญ” หรือเย็นลงผิดปกติ ซึ่งเรียกว่า “ลานีญา” และความดันบรรยากาศบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกด้านตะวันตกเขตร้อน เรียกว่า ความผันแปรของระบบอากาศในซีกโลกใต้ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเกิดขึ้นได้สองกรณีเอลนีโญ จึงเป็นปรากฏการณ์ที่อุณหภูมิมหาสมุทรอุ่นขึ้นผิดปกติ ประกอบกับความดันบรรยากาศสูงบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกด้านตะวันตก

ลานีญา เป็นปรากฏการณ์ที่อุณหภูมิมหาสมุทรเย็นลงผิดปกติ ประกอบกับความดันบรรยากาศต่ำบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกด้านตะวันตก กลไกที่ทำให้เกิดความผันแปรดังกล่าว ยังคงอยู่ในระหว่างการศึกษา

เอนโซ่ ก่อให้เกิดสภาพอากาศเลวร้าย เช่น อุทกภัย ภัยแล้ง หรือการรบกวนสภาพอากาศในหลายภูมิภาคของโลก ประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งมีเศรษฐกิจเน้นเกษตรกรรมและการประมง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่อยู่ในบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก ได้รับผลกระทบมากที่สุด ส่วนใหญ่แล้ว ความผันแปรของระบบอากาศในซีกโลกใต้ มักถูกเรียกย่อเหลือเพียง “เอลนีโญ” เนื่องจากมีการสังเกตว่าความอุ่นขึ้นผิดปกตินี้ มักเกิดขึ้นในช่วงเทศกาลคริสต์มาส ลักษณะที่เกิดจากเอนโซ่เป็นไปได้ว่าก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอันเป็นผลกระทบของปรากฏการณ์โลกร้อน และเป็นเป้าหมายสำหรับนักวิจัยในการนี้

โดยปกติ บริเวณเส้นศูนย์สูตรเหนือมหาสมุทรแปซิฟิก ลมสินค้าตะวันออก จะพัดจากประเทศเปรู ซึ่งอยู่ชายฝั่งทวีปอเมริกาใต้ ไปทางตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก แล้วยกตัวขึ้นบริเวณเหนือประเทศอินโดนีเซีย ทำให้มีฝนตกมากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และทวีปออสเตรเลียตอนเหนือ กระแสลมสินค้า จะพัดให้กระแสน้ำอุ่นบนพื้นผิวมหาสมุทรแปซิฟิกไปกองรวมกันทางตะวันตก จนมีระดับสูงกว่าระดับน้ำทะเลปกติ แล้วจมตัวลง กระแสน้ำเย็นใต้มหาสมุทรซีกเบื้องล่างเข้ามาแทนที่กระแสน้ำอุ่นพื้นผิวซีกตะวันออก นำพาธาตุอาหารจากก้นมหาสมุทรขึ้นมา ทำให้ปลาชุกชุม เป็นประโยชน์ต่อนกทะเล และการทำประมงชายฝั่งของประเทศเปรู

ปรากฏการณ์เอลนีโญ เมื่อเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญ กระแสลมสินค้าตะวันออกอ่อนกำลังลง กระแสลมพื้นผิวเปลี่ยนทิศทาง พัดจากประเทศอินโดนีเซีย และออสเตรเลียตอนเหนือ ไปทางตะวันออก แล้วยกตัวขึ้นเหนือชายฝั่งทวีปอเมริกาใต้ ก่อให้เกิดฝนตกหนัก และแผ่นดินถล่มในประเทศเปรูและประเทศเอกวาดอร์ กระแสลมพัดกระแสน้ำอุ่นบนพื้นผิวมหาสมุทรแปซิฟิก ไปกองรวมกันบริเวณชายฝั่งประเทศเปรู ทำให้กระแสน้ำเย็นใต้มหาสมุทร ไม่สามารถลอยตัวขึ้นมาได้ ส่งผลกระทบให้บริเวณชายฝั่งขาดธาตุอาหารสำหรับปลา และนกทะเล ชาวประมงจึงขาดรายได้

เอลนีโญ ทำให้ฝนตกหนักในตอนเหนือของทวีปอเมริกาใต้ แต่ยังก่อให้เกิดความแห้งแล้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และออสเตรเลียตอนเหนือ การที่เกิดไฟไหม้ป่าอย่างรุนแรงในประเทศอินโดนีเซีย ก็เป็นเพราะปรากฏการณ์เอลนีโญเช่นกัน

ลานีญา เป็นปรากฏการณ์บรรยากาศมหาสมุทรคู่กัน ซึ่งเกิดขึ้นคู่กับเอลนีโญอันเป็นส่วนหนึ่งของเอลนีโญ ความผันแปรของระบบอากาศในซีกโลกใต้ ในช่วงที่เกิดลานีญาอุณหภูมิพื้นผิวน้ำทะเลตลอดจนมหาสมุทรแแปซิฟิกตอนกลางตะวันออก แถบเส้นศูนย์สูตรจะต่ำกว่าปกติ

ลานีญา หรือเรียกว่า “แอนติเอลนีโญ” เป็นปรากฏการณ์ตรงกันข้ามกับเอลนีโญ ซึ่งปรากฏการณ์เอลนีโญนี้ จะเป็นช่วงที่อุณหภูมิพื้นผิวน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นอย่างน้อย 0.5 ํC และผลกระทบของลานีญามักจะตรงกันข้ามกับของเอลนีโญ เอลนีโญเป็นปรากฏการณ์ที่มีชื่อเสียง เนื่องจากสามารถมีผลกระทบร้ายแรงต่อสภาพอากาศของทั้งชายฝั่งชิลี เปรู และออสเตรเลีย รวมทั้งอีกหลายประเทศ ลานีญามักเกิดขึ้นหลังปรากฏการณ์เอลนีโญรุนแรง

นาย รัตวิ

ปัญหาเกษตรที่นี่มีคำตอบ : ปรับปรุงดินและน้ำ บรรเทาภาวะโลกร้อน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/216067

วันอังคาร ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.
คำถาม ในภาวะโลกร้อน ทำให้ดินและน้ำ
มีปัญหา เราจะมีวิธีปรับปรุงบำรุงดินและน้ำอย่างไรครับเสริมบุญ เอกคณิต

อ.ร้องกวาง จ.แพร่

คำตอบ ภาวะโลกร้อน มีผลต่อประเทศไทย ซึ่งมีการทำเกษตรกรรมเป็นหลัก สภาวะการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น จึงเป็นปัญหาใหญ่ที่ไม่อาจมองข้าม ภาวะโลกร้อนได้ทำให้ปริมาณน้ำฝนมีการเปลี่ยนแปลง ทั้งในแง่ของการกระจายพื้นที่ ความบ่อยถี่ และปริมาณ ส่งผลให้บางพื้นที่เกิดภัยพิบัติจากน้ำท่วมที่รุนแรง บางพื้นที่เกิดภัยแล้งที่ยาวนานและซ้ำซาก และมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นให้เห็นบ่อยครั้งขึ้น เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง เป็นต้น

การเกษตรของไทยส่วนใหญ่ เป็นการเกษตรที่พึ่งพาน้ำฝนจากธรรมชาติ เป็นหลัก ภัยจากน้ำท่วม คลื่นความร้อน
และการขาดแคลนน้ำ รวมไปถึงภาวะความแห้งแล้ง อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จึงก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมากต่อผลผลิตทางการเกษตร

การทำเกษตรกรรม โดยไม่คำนึงถึงการอนุรักษ์ดินและน้ำ รวมถึงการปล่อยให้พื้นที่เสื่อมโทรมตลอดระยะเวลาการทำเกษตร และไม่ให้ความสำคัญต่อการฟื้นฟูบำรุงสภาพดิน เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้ดินสูญเสียความอุดมสมบูรณ์ และเสื่อมโทรม

วิธีรักษาความสมดุลให้กับระบบนิเวศ และลดผลกระทบจากภาวะโลกร้อน การรณรงค์ลดเผาตอซังเศษพืช โดยให้หันมาใช้วิธีไถกลบแทน การปลูกไม้โตเร็ว ในพื้นที่ทิ้งร้าง พื้นที่สาธารณะ และโรงเรียน เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว ต้นไม้จะช่วยในการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากักเก็บไว้ในดิน ไม่ให้ลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ อันเป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อน

ลดใส่ปุ๋ยเคมี ภาคเกษตร เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน จากการใส่ปุ๋ยเคมีมากเกินไป ทำให้เกิดการปลดปล่อยก๊าซไนตรัสออกไซด์ เกษตรกรควรใช้ปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพ คำนึงถึงความอุดมสมบูรณ์ของดิน ว่ามีธาตุอาหารอะไรบ้าง มีปริมาณเท่าไร ถ้าจะปลูกพืชชนิดใด ควรจะใส่ปุ๋ยในปริมาณเท่าใด จึงจะเหมาะสม ซึ่งช่วยให้เกษตรกรไม่ต้องใส่ปุ๋ย ในปริมาณที่มากเกินกว่าที่พืชต้องการ วิธีนี้จะช่วยลดสาเหตุของการปลดปล่อยก๊าซของภาคเกษตรได้แล้ว ยังช่วยลดต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรได้ด้วย

การบรรเทาภาวะโลกร้อน และการแก้ปัญหาก๊าซเรือนกระจกที่เกินมาตรฐาน เพื่อไม่ได้เป็นหน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง หรือของเกษตรกรเท่านั้น ทุกภาคส่วนของสังคมและประเทศ จะได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น ทุกฝ่ายควรร่วมมือร่วมใจกันลดกิจกรรมที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดก๊าซเรือนกระจก

 

วิธีง่ายๆ ที่จะสามารถช่วยลดโลกร้อนได้คือ ลดการตัดไม้ทำลายป่า ลดการเผาตอซังข้าว ลดการใช้ปุ๋ยเคมี และช่วยกัน
ปลูกต้นไม้เพียงคนละ 1 ต้น ก็ยังดี เท่านี้ก็ถือว่าท่านได้เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยบรรเทาภาวะโลกร้อนได้แล้ว

นาย รัตวิ

ปัญหาเกษตร ที่นี่มีคำตอบ : โลกร้อน กับการปรับตัวของเกษตรกร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/215010

วันอังคาร ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

คำถาม ในภาวะโลกร้อนแบบนี้ เกษตรกรจะต้องปรับตัวอย่างไรครับ ขอทราบแนวทางแก้ปัญหานี้ด้วยครับ

ก้องเกียรติ การัญยกาล

อ.เมือง จ.สุโขทัย

คำตอบ นักวิชาการ และอาจารย์จากสถาบันการศึกษา ได้ระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการปรับตัวด้านการเกษตรจากผลพวงของภาวะโลกร้อน พอสรุปได้ดังนี้

-พัฒนาพันธุ์ข้าว ปัจจุบันข้าวที่ทนต่อสภาพแวดล้อมคือ ข้าวไร่ ข้าวอายุสั้นข้าวสู้น้ำ ข้าวนาทุ่ง มีพันธุ์พื้นบ้านซึ่งเหลืออยู่พอสมควร แต่ชาวบ้านไม่ปลูก เพราะข้าวไม่ตอบสนองกับปุ๋ยเคมี ปลูกแล้วไม่มีตลาดขาย สถานการณ์ในตอนนี้คือ เรากำลังสูญเสียวิธีการจัดการอาหารอย่างสิ้นเชิงจากเกษตรกรรายย่อย ยังจำเป็นที่ต้องไปพึ่งพาภาคเอกชน

-ใช้สารเคมีให้ลดลง เกษตรกรที่ปลูกอ้อยรายย่อยบางรายที่ปรับตัว เลิกใช้สารเคมี พบว่าเกษตรกรปรับตัวได้ดี โดยจับด้วงกินอ้อยที่มีจำนวนมากไปขาย เป็นรายได้อีกทาง หรือหันไปปลูกพืชที่เป็นอาหารเพิ่มขึ้น เช่น ฝัก แฝง แตงโม และข้าวพันธุ์พื้นบ้านต่างๆ

-ส่งเสริมความรู้ และสนับสนุนปัจจัยการผลิตให้เกษตรกร เพื่อลดรายจ่ายในครัวเรือน โดยจัดทำโครงการตามความต้องการของชุมชน โครงการตามแผนพัฒนาอาชีพเกษตรกรตามความต้องการของชุมชน จัดฝึกอบรมและถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตพืชใช้น้ำน้อย เป็นต้น

-มีการพัฒนาและปรับปรุงพันธุ์พืชให้สอดคล้องกับสภาพภูมิอาการที่เปลี่ยนแปลง โดยเน้นพัฒนาพืชให้ทนแล้ง เป็นทางเลือกที่จะไปส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืชต่อไป

-แก้ปัญหาน้ำน้อย เมื่อน้ำมีน้อย เป็นปัญหาต่อการเพาะปลูกพืชสวน พืชไร่ เกษตรกรต้องจัดหาแหล่งน้ำเป็นของตัวเอง โดยการขุดสระ หรือบ่อน้ำรองรับน้ำในฤดูฝนหาพันธุ์ปลามาใส่ในบ่อ เพื่อเพิ่มรายได้และบริโภคเอง มีการเจาะน้ำบาดาล ใช้ระบบน้ำหยดในการรดน้ำต้นไม้ จะช่วยประหยัดน้ำ ต้องหันมาปลูกพืชเหล่านี้ เป็นแนวทางหนึ่งในการพัฒนาภาคการเกษตร เพื่อเป็นการเตรียมรับสถานการณ์แล้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

-ภาครัฐ ต้องอำนวยความสะดวก เกษตรกรที่ปรับตัวได้ ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรที่มีความรู้ มีการศึกษาสูง มีข้อมูลมาก สามารถ
เข้าถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่ และมีเงินทุนเพียงพอชี้ให้เห็นว่า เรามีเกษตรกรที่มีศักยภาพอยู่จำนวนไม่น้อย ส่วนเกษตรกรบางกลุ่มที่มีข้อจำกัดในการปรับตัว จึงเป็นหน้าที่ของภาครัฐที่ต้องอำนวยความสะดวก โดยการส่งต่อความรู้ เผยแพร่ความรู้เรื่องเทคโนโลยีใหม่ๆ เผยแพร่ข้อมูลด้านการพยากรณ์อากาศ และการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศอย่างแม่นยำ สนับสนุนด้านสินเชื่อ และการตลาดแก่เกษตรกร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ

-มีการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก และผลกระทบที่มีต่อประเทศไทย รวมทั้งเป็นการกระตุ้นให้ผู้บริหารระดับท้องถิ่น ตระหนักถึงปัญหาและผลกระทบจากภาวะโลกร้อน

-มีการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านการเกษตร ความรู้ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการปรับตัวของเกษตรกรไทย จะต้องมาจากการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านการเกษตรที่มีประสิทธิภาพ และรวดเร็วทันการใช้งาน แต่ปัจจุบันการวิจัยด้านเกษตรของไทยมีน้อย ทั้งปริมาณและคุณภาพ งบวิจัยด้านเกษตรมีน้อย เรายังขาดนักวิจัยรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถ หน่วยงานวิจัยของรัฐ ต้องปราศจากการแทรกแซงทางการเมือง ระบบการอุดหนุนการวิจัยมีน้อย ฯลฯ นอกจากนั้น ระบบการส่งเสริมการเกษตรของภาครัฐยังเข้าไม่ถึงเป้าหมาย

การวางแผนการใช้ที่ดิน จะบรรเทาผลกระทบได้ รวมถึงปรับปรุงการจัดการดินและน้ำ การจัดการดินและธาตุอาหารเฉพาะพื้นที่ พัฒนาพันธุ์พืช ปรับเปลี่ยนฤดูปลูก ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ต้องนำมูลสัตว์มาใช้เป็นก๊าซหุงต้ม และนำกลับไปเป็นอินทรียวัตถุให้กับพืช และท้ายสุดสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญคือ การให้ความรู้ที่ถูกต้องกับประชาชนในภาคเกษตรนั่นเอง ทั้งหมดนี้ จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการเพิ่มผลผลิตของภาคเกษตรไทย สร้างความเข้มแข็ง และความยืดหยุ่นในการปรับตัว เกษตรกรอยู่ดีกินดี และมีความสุข นำไปสู่ประเทศยั่งยืน

นาย รัตวิ

เกษตรบูรณาการ : ผลกระทบต่อประเทศไทย จากภาวะโลกร้อน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/214030

วันอังคาร ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.
คำถาม จากสภาวะโลกร้อนขณะนี้ จะส่งผลต่อประเทศไทย อย่างไรบ้างครับ

กิติพันธุ์ โชติสุทธิ

อ.ร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราช

 

คำตอบ ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นในประเทศไทย สามารถสังเกตเห็น และรู้สึกถึงผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นได้ในหลายด้าน เช่น ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านการเกษตร ด้านเศรษฐกิจสังคม และสุขภาพ ในด้านสิ่งแวดล้อมจะรู้สึกได้ว่าอากาศร้อนขึ้นกว่าปีก่อน ฝนตกไม่มาก น้ำในเขื่อนและอ่างเก็บน้ำมีน้อยลง มีน้ำทะเลเซาะ และท่วมชายหาดหลายแห่ง และบริเวณภาคใต้จะมีฝนมากกว่าปกติ และมีพายุรุนแรงเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ก็เกิดภาวะฝนแล้ง และฝนทิ้งช่วงยาวนานกว่าเดิม ซึ่งมีผลต่อการประกอบอาชีพเกษตรกรรมอย่างมาก เกิดปัญหาทางประชากรในเมืองเพิ่มขึ้น คนวัยแรงงานย้ายเข้าไปทำงานในเมืองมากขึ้น และทิ้งคนแก่และเด็กอยู่ในหมู่บ้าน และประชากรจากประเทศเพื่อนบ้าน ก็จะหนีภัยแล้งเข้ามาหางานทำในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งจะเป็นตัวเร่งให้เกิดการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ถูกใช้มากขึ้น และหมดไปได้อย่างรวดเร็ว

ผลกระทบที่มีต่อภัยพิบัติจากธรรมชาติ เกิดบ่อยขึ้น และรุนแรงมากขึ้น เป็นเพราะสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงไป ฤดูหนาว
สั้นลง ฤดูร้อนยาวนานขึ้น และเมื่ออุณหภูมิของโลกสูงขึ้น น้ำจากทะเลและจากแหล่งน้ำต่างๆ ก็เกิดการระเหยมากขึ้น ปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมา ก็จะมีปริมาณน้ำสูงขึ้นจนทำให้เกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่ พืชผลปลูกได้ยากขึ้น จากการที่อากาศเปลี่ยนไป เพราะมีภัยพิบัติมาคอยทำลายพื้นที่เพาะปลูก ก็จะเกิดการขาดแคลนอาหารและน้ำสะอาดอีกด้วย

ผลกระทบต่อกรุงเทพมหานคร เมื่อระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น จะทำให้ได้รับผลกระทบ ทั้งทางด้านกายภาพและชีวภาพต่างๆ หลายประการ มีความเป็นไปได้ของภาวะการขาดแคลนน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ เกิดอุทกภัยที่ถี่ขึ้น และรุนแรงยิ่งขึ้นในพื้นที่ราบลุ่ม เมื่อระดับน้ำในมหาสมุทรที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในบริเวณชายฝั่งของกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นเมืองหลวงและศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ ทั้งยังมีความหนาแน่นของประชากรสูง และอยู่เหนือระดับน้ำทะเลเพียง 1 เมตรเท่านั้น ระดับการรุกของน้ำเค็มจะเข้ามาในพื้นที่แม่น้ำเจ้าพระยาถึง 40 กิโลเมตร ส่งผลกระทบรุนแรงต่อพื้นที่เกษตรกรรมน้ำจืด น้ำเค็มรุกเข้าพื้นที่เกษตร เกิดความเสียหายจากเหตุการณ์น้ำล้นตลิ่ง และอุทกภัย ที่จะก่อความเสียหายกับระบบสาธารณูปโภค และที่อยู่อาศัยของคนจำนวนมาก

ผลกระทบต่อรูปแบบของฝนและอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงไป
ทำให้วัฏจักรของน้ำเปลี่ยนแปลงไป ลักษณะการไหลของระบบน้ำผิวดิน และระดับน้ำใต้ดิน ก็จะได้รับผลกระทบด้วย ทั้งพืชและสัตว์ จึงต้องปรับปรุงตัวเองเข้าสู่ระบบนิเวศที่เปลี่ยนไป ลักษณะความหลากหลายทางชีวภาพก็จะเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย

ผลกระทบต่อพื้นที่ป่าไม้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก มีผลกระทบ
ความสมบูรณ์ของป่าไม้ไทย ป่าแล้งเขตร้อน มีแนวโน้มว่าจะลุกเข้าไปในป่าชื้นใกล้เขตร้อน พื้นที่ป่าชื้นมีแนวโน้มลดลง และพื้นที่ป่าแล้ง มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

ผลกระทบต่อภัยธรรมชาติ เหตุการณ์พายุถล่มทางภาคใต้ของประเทศ ก่อให้เกิดความเสียหายเป็นบริเวณกว้าง เกิดภาวะน้ำท่วม แล้วยังมีพายุฝนต่อเนื่อง รวมทั้ง
แผ่นดินถล่ม เหตุการณ์เหล่านี้ เป็นเหตุการณ์ภัยธรรมชาติที่รุนแรงมากที่สุด

ผลกระทบต่อประชาชน ปัญหาน้ำท่วมขังในบางพื้นที่ ยังส่งผลต่อการแพร่กระจายของโรคระบาด ทั้งในมนุษย์ สัตว์ และพืช และมีการระบาดของแมลงศัตรูพืชที่สำคัญในการเกษตร

ผลกระทบต่อเกษตรไทย การปลูกพืชเศรษฐกิจของไทยที่มีปัญหาอยู่เสมอ เช่น ข้าวโพด และอ้อย พื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดมีจำกัด ผลผลิตต่อหน่วยพื้นที่ต่ำ เนื่องจากความแปรปรวนของน้ำฝนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ปัญหาปริมาณน้ำฝนที่ไม่สม่ำเสมอ ก็ยังมี
ผลกระทบต่อการทำไร่อ้อยด้วย

ความแห้งแล้งนี้ เป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญต่อการพัฒนาประเทศ ปัญหาการขาดแคลนน้ำ และสภาวะแห้งแล้ง จะเกิดขึ้นในหน้าแล้งและหน้าร้อน มีสาเหตุมาจากฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานาน ทำให้แหล่งน้ำตามธรรมชาติแห้ง น้ำใต้ดินลดลง ไม่เพียงพอต่อการอุปโภคบริโภคของประชาชน ซึ่งปรากฏการณ์นี้ ก็เกิดเป็นผลต่อเนื่องมาจากสภาวะที่โลกร้อน

นาย รัตวิ

ปัญหาเกษตร ที่นี่มีคำตอบ : โลกร้อนกับการเกษตร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/213044

วันอังคาร ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2559, 06.00 น.

คำถาม ภาคเกษตรกรรมมีส่วนทำให้เกิดภาวะโลกร้อน เป็นอย่างไรครับ ให้ความรู้ด้วยครับ

ธวัชชัย พงศธรกุล

อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย

คำตอบ ภาวะโลกร้อน การที่อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ เนื่องจากกิจกรรมของมนุษย์  ซึ่งก๊าซเรือนกระจก ทำหน้าที่เป็นตัวดูดซับความร้อนเอาไว้ไม่ให้ออกไปจากโลกได้

นักวิทยาศาสตร์ ระบุว่าก๊าซหลักๆ ที่เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดปรากฏการณ์เรือนกระจกคือ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซไนตรัส และก๊าซมีเทน ฯลฯ มีความเข้มในบรรยากาศเพิ่มมากขึ้น เกิดจากการเผาผลาญเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ หรือเชื้อเพลิง
ฟอสซิล จากการเผาป่า เกษตรกรรมเคมีและการย่อยสลายชีวมวล มีส่วนเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศ ทั้งหมดเกิดจากกิจกรรมมนุษย์ รวมทั้งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน การทำลายป่า การใช้ปุ๋ยเคมี และสารเคมีกำจัดศัตรูพืช โดยเฉพาะอย่างยิ่งปุ๋ยไนโตรเจน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการปล่อยก๊าซไนตรัสออกไซด์ ส่วนสาเหตุอื่นๆ ได้แก่ การเลี้ยงสัตว์ประเภทเดียวแบบหนาแน่น ก็เป็นสาเหตุสำคัญในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

การเกษตรมีส่วนทำให้โลกร้อน ภาคเกษตรมีส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จากการปล่อยก๊าซมีเธน ซึ่งเกิดจากการย่อยสลายสารอินทรีย์ตามธรรมชาติของแบคทีเรียบางชนิด ในสภาวะไม่มีอากาศ ในการทำนาข้าวแบบน้ำขัง การย่อยอาหารของสัตว์ และปลดปล่อยก๊าซไนตรัสออกไซด์ ซึ่งเกิดจากกระบวนการทางธรรมชาติในดินและมูลสัตว์ กระบวนการหายใจของพืชก็ปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แต่ก็มีการดูดกลับไปใช้ด้วยกระบวนการสังเคราะห์แสง และการไถพรวนเปิดหน้าดิน หรือการหักร้างถางพงพื้นที่ป่า เพื่อทำการเกษตรเป็น เหล่านี้ เป็นการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศทั้งสิ้น

ระบบเกษตรอุตสาหกรรม ก็มีส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคเกษตร ส่วนใหญ่อยู่ในระบบเกษตรอุตสาหกรรมเคมี
ที่เน้นการผลิตเชิงปริมาณ และใช้ปัจจัยเคมีเพื่อเร่งผลผลิตอย่างมาก ซึ่งทำให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศในปริมาณมหาศาล เช่น การใช้ปุ๋ยเคมี และสารเคมีทางการเกษตร เป็นการเพิ่มการปล่อยก๊าซไนตรัสออกไซด์ และปศุสัตว์อุตสาหกรรม ก่อให้เกิดก๊าซมีเธนจำนวนมาก การใช้พลังงานทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อการผลิตปุ๋ยและสารเคมี เพื่อการขนส่ง ในกิจกรรมการเกษตร ก็มีส่วนในการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นอีกด้วย

การใช้สารเคมีทำลายทรัพยากรธรรมชาติ การใช้ปุ๋ยเคมีมากเกินไป ก่อให้เกิดการสะสมของปุ๋ยที่เหลือในดิน และเปื้อนลงสู่แหล่งน้ำใต้ดิน สร้างมลพิษให้กับแหล่งน้ำดื่ม ปนเปื้อนปริมาณไนเตรทสูง สามารถทำให้เกิดผลกระทบรุนแรงต่อสุขภาพของคนได้ สาเหตุจากการใช้ปุ๋ยเคมีในปริมาณมาก และการใช้สารเคมีอื่นๆ ของภาคเกษตรกรรม เป็นสาเหตุจากฝีมือมนุษย์ ปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทำให้โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้น ทำลายความอุดมสมบูรณ์ของหน้าดิน ทรัพยากรการน้ำ

ในขณะที่ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม และสุขภาพของคน รวมถึงผู้บริโภค ยิ่งไปกว่านั้น ยังส่งผลเชิงลบต่อความสามารถในการปรับตัว ต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของเกษตรกร เพราะต้องพึ่งพาปัจจัยการผลิตภายนอกเป็นส่วนมาก ทั้งเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง จึงทำให้เกษตรกรปรับตัวได้ช้า เมื่อต้องเผชิญภาวะภัยพิบัติ ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของปริมาณฝน ระดับน้ำทะเล และมีผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อพืช สัตว์ และมนุษย์

การทำลายป่า การทำลายหน้าดิน เพื่อเปลี่ยนมาเป็นพื้นที่การเกษตร จะทำให้ลดคุณภาพดินลง โดยไปทำให้เกิดภาวะแห้งแล้งขึ้นอย่างรวดเร็ว และทำลายสิ่งมีชีวิตที่มีประโยชน์ต่อระบบนิเวศน์ในดิน

แนวทางบรรเทาปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ตลอดจนวิธีการที่สามารถลดก๊าซเรือนกระจก ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากความร้อน ทำให้ปริมาณน้ำในดินลดลง ระดับน้ำใต้ดินต่ำ ควรจัดสร้างแหล่งน้ำในไร่นา และปลูกพืชคลุมดิน ปรับเปลี่ยนชนิดพืชที่ปลูก บางพื้นที่ที่มีฝนตกชุกเสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินถล่ม ต้องมีการจัดทำระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ เพื่อชะลอการไหลบ่า
ของน้ำ ในบริเวณพื้นที่ลาดเท เกษตรกรต้องหยุดการตัดไม้เผาป่า ต้องไม่เผาทำลายฟางข้าวหรือใบอ้อย เพราะเป็นการเพิ่มก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และควรลดการใช้ปุ๋ยเคมีตามความจำเป็น แล้วหันมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์มากขึ้น จะเป็นการลดต้นทุนการผลิตด้วย

นายรัตวิ

ปัญหาเกษตร ที่นีมีคำตอบ : ภาวะโลกร้อนและผลกระทบ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/211968

วันอังคาร ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2559, 06.00 น.

คำตอบ ภาวะโลกร้อนเกิดจากอะไร เป็นการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของอากาศใกล้พื้นผิวโลก และน้ำในมหาสมุทร อย่างต่อเนื่อง เกิดจากการที่มีก๊าซเรือนกระจกในบรรยากาศมากเกินไป การเพิ่มขึ้นของก๊าซที่ปกคลุมชั้นบรรยากาศของโลก ทำให้อุณหภูมิภายในโลกสูงขึ้น เป็นเหตุให้ฤดูกาลทั่วโลกเปลี่ยนไป และก๊าซที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่ เกิดจากการเผาผลาญเชื้อเพลิงฟอสซิล ทำให้เกิดการกักเก็บความร้อนจากแสงอาทิตย์ไว้ไม่ให้คายออกไปสู่บรรยากาศ จึงเป็นสาเหตุให้อุณหภูมิเฉลี่ยของผิวโลกและมหาสมุทรสูงขึ้น

ก๊าซเรือนกระจกเกิดจากอะไร จากเอกสารวิชาการต่างๆ ได้รายงานว่า เป็นปรากฏการณ์ที่รังสีความร้อนจากดวงอาทิตย์ที่แผ่มายังโลก เกิดการสะท้อนกลับแบบไม่สมดุลตามธรรมชาติ เพราะก๊าซต่างๆ ที่สะสมตัวอยู่ในชั้นบรรยากาศ ซึ่งอยู่เหนือพื้นผิวโลกขึ้นไปเรียกว่า บรรยากาศชั้นสตราโตสเฟียร์ ได้รวมตัวกันเป็นเกราะกำบัง ทำหน้าที่คล้ายกระจกในเรือนกระจก กล่าวคือ ยอมให้ความร้อนผ่านลงมายังพื้นโลกได้ แต่จะกักเก็บความร้อนบางส่วนเอาไว้ มิให้สะท้อนกลับออกไปสู่ชั้นบรรยากาศที่อยู่สูงขึ้นไป ปัจจุบันเกราะกำบังนี้ ได้มีความหนาแน่นมากขึ้น ทำให้สามารถกักเก็บความร้อนได้มากขึ้น เพราะกลุ่มก๊าซเหล่านี้ จะดูดซับรังสีความร้อนไว้ รังสีความร้อนที่ลงสู่โลกเป็นรังสีคลื่นสั้น ความถี่สูง แต่ตอนสะท้อนกลับเป็นรังสีคลื่นยาว ความถี่ต่ำ ทำให้กลุ่มก๊าซสามารถดูดซับรังสีความร้อนไว้ได้มาก โลกจึงมีอุณหภูมิสูงขึ้น ก๊าซเหล่านี้ ได้แก่

1) ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นก๊าซชนิดที่ทำให้เกิดพลังงานความร้อนสะสมในบรรยากาศของโลกมากที่สุด ในบรรดาก๊าซเรือนกระจกชนิดอื่นๆ เป็นตัวการสำคัญที่สุดของปรากฏการณ์เรือนกระจก ที่มนุษย์เป็นผู้กระทำ เพื่อผลิตไฟฟ้า เกิดจากกิจกรรมด้านอุตสาหกรรม การตัดไม้ทำลายป่า และกสิกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การใช้เชื้อเพลิงจากซากอินทรียวัตถุ เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ รวมทั้งการเผาป่าไม้ เป็นตัวการทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ สะสมในชั้นบรรยากาศมาก เนื่องจากต้นไม้ที่มีชีวิตจะดูดซึม และใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อการสังเคราะห์แสง การทำลายต้นไม้แต่ละต้น ก็จะทำลายตัวดูดซึมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไปด้วย

2) ก๊าซมีเทน เป็นก๊าซที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เกิดจากการเน่าเปื่อยของสิ่งมีชีวิต การเลี้ยงปศุสัตว์ ของเสียจากสัตว์เลี้ยง เช่น วัว ควาย ฯลฯ การทำนาที่ลุ่มน้ำท่วมขัง การถมขยะ การบำบัดน้ำเสีย การเผาไหม้เชื้อเพลิงจากซากอินทรียวัตถุ การเผาไหม้เชื้อเพลิงถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ การทำเหมืองถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ

3) ก๊าซไนตรัสออกไซด์ เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และจากการใช้ปุ๋ยไนเตรทในไร่นา การขยายพื้นที่เพาะปลูก การเผาไหม้ เผาหญ้า การเผาป่ามูลสัตว์ที่ย่อยสลาย และเชื้อเพลิงถ่านหินจากอุตสาหกรรมที่ใช้กรดไนตริกในขบวนการผลิต เช่น อุตสาหกรรมผลิตเส้นใยไนลอน อุตสาหกรรมเคมี หรืออุตสาหกรรมพลาสติก เกิดจากการใช้ปุ๋ย การเผาซากพืชหลังการเก็บเกี่ยวการใช้เชื้อเพลิงจากซากอินทรียวัตถุ คือ ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ

4) ก๊าซคลอโรฟลูโอโรคาร์บอน เป็นก๊าซที่สังเคราะห์ขึ้น เพื่อใช้ในการผลิตทางอุตสาหกรรม เช่น ใช้ในเครื่องทำความเย็นชนิดต่างๆ เป็นก๊าซขับดันในกระป๋องสเปรย์ และเป็นสารผสมทำให้เกิดฟองในการผลิตโฟม เป็นต้น มีผลกระทบรุนแรงต่อบรรยากาศ ทั้งในด้านทำให้โลกร้อนขึ้น ทำให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก และทำลายบรรยากาศโลกจนเกิดรูรั่วในชั้นโอโซน

นอกจากนี้ ยังมีก๊าซไฮโดรฟลูโอโรคาร์บอน ซึ่งเป็นสารที่นำมาใช้แทนคลอโรฟลูโอโรคาร์บอน ซึ่งถูกห้ามใช้ เนื่องจากทำลายชั้นโอโซน โดยเป็นสารทำความเย็นในอุตสาหกรรมเครื่องทำความเย็น ใช้เป็นก๊าซขับดันในผลิตภัณฑ์สเปรย์ ก๊าซเพอร์ฟลูออโรคาร์บอน เป็นผลิตผลพลอยได้ของการหลอมอะลูมิเนียม และใช้ในการผลิตสารกึ่งตัวนำไฟฟ้า มีศักยภาพที่ทำให้โลกร้อนมาก มีอายุยาว ควรเลิกใช้อย่างเร่งด่วน และก๊าซซัลเฟอร์เฮกซาฟลูออไรด์ เป็นสารประกอบอนินทรีย์เป็นก๊าซโพพิแลนต์ ไม่มีกลิ่น ไม่มีพิษ ไม่ไวต่อปฏิกิริยา ไม่ละลายในน้ำ แต่ละลายในตัวทำละลาย นิยมใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์

การที่อุณหภูมิของโลกเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น และคาดว่าทำให้เกิดภาวะลมฟ้าอากาศสุดโต่งที่รุนแรงมากขึ้น ปริมาณและรูปแบบการเกิดฝนจะเปลี่ยนแปลงไปผลกระทบที่เกิดจากปรากฏการณ์โลกร้อน ได้แก่ การเคลื่อนถอยของธารน้ำแข็ง การสูญเสียพันธุ์พืชและสัตว์ต่างๆ การเปลี่ยนแปลงของผลิตผลทางเกษตร รวมทั้งการกลายพันธุ์และแพร่ขยายโรคต่างๆ เพิ่มมากขึ้น

นาย รัตวิ

ปัญหาเกษตร ที่นี่มีคำตอบ :ถั่วลิสง สร้างเสริมคุณภาพดินและรายได้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/211024

วันอังคาร ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2559, 06.00 น.

คำถาม ขอคำแนะนำการปลูกถั่วลิลงในช่วงแล้งนี้ โดยไม่ใช้ปุ๋ยเคมี จะทำได้อย่างไรครับ

คำตอบ ในช่วงแล้งนี้ ดูแนวโน้มแล้ว ความแห้งแล้งจะรุนแรง และยาวนาน เกษตรกรควรงดทำนาปรัง เพื่อลดความเสี่ยงจากภาวะแห้งแล้ง รวมถึงภาวะแหล่งน้ำตามธรรมชาติหลายแห่งเริ่มที่จะแห้งขอด พืชสวนพืชไร่เหี่ยวเฉา ถั่วลิสง เป็นพืชทางเลือกหนึ่งที่เหมาะจะปลูกในช่วงแล้ง สามารถมีรายได้เสริม และซากเถายังสามารถใช้บำรุงดินได้ด้วย และเชื่อว่าจะเป็นพืชเศรษฐกิจทางเลือกใหม่ทำเงินในฤดูแล้งได้เป็นอย่างดี

ถั่วลิสง เป็นพืชระยะสั้น ใช้น้ำน้อย อีกทั้งไม่สิ้นเปลืองแรงงานในการปลูก ใช้คนในครอบครัวมาช่วยกันปลูก ซึ่งภายหลังจากหยอดเมล็ดพันธุ์ถั่วลงหลุมแล้ว ก็ปล่อยน้ำเข้าไร่ถั่วลิสง เพื่อกระตุ้นการงอกของเมล็ดพันธุ์ ถั่วลิสงที่ใช้น้ำไม่มากนัก คือให้น้ำพอให้ดินมีความชุ่มชื้น แต่ไม่ให้มีน้ำขังในแปลง และจากนั้นก็ให้น้ำอีกหลังการกำจัดวัชพืช ซึ่งก็เป็นการปล่อยน้ำผ่านๆ ไม่ต้องชุ่มมาก

วิธีการเตรียมดิน โดยไถดินตากแดด 7 วัน หว่านปุ๋ยอินทรีย์อัตรา 100 กิโลกรัม/ไร่ แล้วตามด้วยฉีดพ่นน้ำหมักชีวภาพลงดิน เพื่อทำการหมักดินให้เกิดกระบวนการทำงานของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ โดยใช้น้ำหมักชีวภาพ 5 ลิตร ผสมกับน้ำสะอาด 200 ลิตร/พื้นที่ 1 ไร่ นาน 1 สัปดาห์ ทำการไถคราดและไถพรวนดิน เพื่อเตรียมแปลงปลูก โดยเก็บเศษวัชพืชและเศษไม้ออกให้หมด

วิธีปลูก ถั่วลิสง ใช้ระยะเวลาในการปลูกตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงเก็บเกี่ยว ประมาณ 3 เดือน ให้ปลูกในระยะห่างหลุมละ 20 เซนติเมตร ทำการหยอดเมล็ดพันธุ์ถั่วลิสงลงหลุมละ 2-3 เมล็ด ที่ความลึกประมาณ 5-10 เซนติเมตร จากนั้นคราดหน้าดินกลบเกลี่ยดินให้สม่ำเสมอ เพื่อช่วยให้เมล็ดงอกได้ดีขึ้น ใช้ฟางแห้งคลุมบริเวณโคนต้น หรือคลุมแปลง เพื่อรักษาความชื้นในดิน

วิธีการให้น้ำ ทำระบบท่อ โดยจะปล่อยน้ำไปพร้อมกับการให้ปุ๋ยทางใบ โดยใช้หัวฉีดแบบสปริงเกอร์ที่เคลื่อนย้ายได้ มีรัศมีการฉีดพ่น 5-10 เมตร ทำการรดน้ำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ในช่วงฤดูแล้ง โดยสังเกตจากความชื้นในดิน เมื่อถั่วลิสงอายุประมาณ 2 สัปดาห์ จะเริ่มให้ปุ๋ยทางใบ

วิธีการให้ปุ๋ย ในช่วงอายุระหว่าง 30-40 วัน ก่อนถั่วลิสงออกดอก 1 สัปดาห์ ให้ฉีดพ่นด้วยน้ำหมักชีวภาพผสมกับน้ำสะอาด อัตรา 1:400 หรือน้ำหมัก 0.5 ลิตร/น้ำ 200 ลิตร โดยปล่อยไปกับระบบการให้น้ำ สัปดาห์ละ 2 ครั้ง และหยุดให้ปุ๋ยทางใบก่อนเก็บผลผลิต เมื่อถั่วลิสงมีอายุได้ประมาณ 75 วัน

วิธีการเก็บผลผลิต ฝักถั่วลิสงที่สมบูรณ์ ให้ตากแดดบนตาข่ายในที่โล่งแจ้ง อากาศถ่ายเทได้สะดวก โดยไม่ให้สัมผัสกับดิน กองฝักถั่วไม่หนาจนเกินไป เพื่อให้ฝักถั่วแห้งสม่ำเสมอกัน ตากทิ้งไว้ 3-4 วัน เพื่อลดความชื้น จากนั้นทำการบรรจุใส่ในกระสอบป่าน มัดปากถุงให้แน่น เพื่อป้องกันมดและแมลงมากัดแทะเมล็ดถั่ว โดยวางให้สูงจากพื้นดินและพื้นปูนซีเมนต์ เพื่อป้องกันเชื้อรา และเตรียมจำหน่ายต่อไป

การปลูกถั่วลิสงรูปแบบของเกษตรอินทรีย์ตามหลักธรรมชาติ เป็นแบบปลูกบนพื้นที่การเกษตรที่ไม่มีสารพิษตกค้าง และหลีกเลี่ยงจากการปนเปื้อนของสารเคมีทางดิน ทางน้ำ และทางอากาศ ช่วยส่งเสริมความอุดสมสมบูรณ์ของดิน ความหลากหลายทางชีวภาพในระบบนิเวศและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมให้กลับคืนสู่สมดุลธรรมชาติ โดยไม่ใช้สารเคมีสังเคราะห์ หรือสิ่งที่ได้มาจากการตัดต่อพันธุกรรม และยังได้ผลผลิตสูง อุดมด้วยคุณค่าทางอาหาร และปลอดสารพิษ โดยมีต้นทุนการผลิตต่ำ เพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดี ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงอีกด้วย

นาย รัตวิ

ปัญหาเกษตร ที่นีมีคำตอบ : แล้งมากอย่างนี้ ปลูกพืชใช้น้ำน้อย ทนแล้ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/210045

วันอังคาร ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2559, 06.00 น.

คำถาม หน้าแล้งมากๆ อย่างนี้ ผมจะปลูกพืชใช้น้ำน้อยอะไรดีครับ ขอคำแนะนำด้วยครับ

สนอง มาตรการ

อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี

คำตอบ จากปัญหาความแห้งแล้งของอากาศ อันเกิดจากการที่มีฝนตกน้อยกว่าปกติ หรือฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล เป็นระยะเวลานานกว่าปกติ ครอบคลุมพื้นที่บริเวณกว้าง ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนน้ำดื่มน้ำใช้ หลายพื้นที่ขณะนี้กำลังเผชิญปัญหาการขาดแคลนน้ำ ปัจจัยสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ นอกจากใช้เพื่อการอุปโภคบริโภคแล้ว ยังใช้ในการเกษตรกรรมด้วย ยิ่งภาวะภัยแล้งที่กำลังเกิดขึ้นส่งผลถึงเกษตรกรที่กำลังเพาะปลูกพืชผลทางการเกษตร การปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อย ในช่วง

ฤดูแล้งจึงเป็นอีกทางเลือก ที่ช่วยให้เกษตรกรปลูกพืชผลการเกษตรต่อไปได้ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่

พืชที่ใช้น้ำน้อย ทนแล้ง ปลูกหลังฤดูทำนามีหลายชนิดที่มีศักยภาพ ทั้งในด้านการตลาด บางชนิดช่วยปรับปรุงดินให้มีความอุดมสมบูรณ์ก่อนถึงการปลูกข้าวในฤดูที่จะมาถึง พืชในตระกูลถั่วทุกชนิด เป็นพืชที่ต้องการน้ำน้อย เจริญเติบโตได้เร็ว และมีข้อดีคือ หลังเก็บเกี่ยว สามารถไถกลบ และซังพืชจะเป็นปุ๋ยอินทรีย์ชั้นดีให้กับนาข้าว เหมาะอย่างยิ่งที่ชาวนา จะนำมาปลูกสลับกับการทำนาข้าว ข้อดีของพืชตระกูลถั่วคือ ส่วนใหญ่เป็นไม้ล้มลุก อายุการเก็บเกี่ยวใช้ระยะเวลาสั้น 100-120 วัน

พืชตระกูลถั่ว ที่นิยมปลูกกันมาก เช่น ถั่วเขียว ถั่วพุ่ม ถั่วพร้า ถั่วเหลือง ถั่วลิสง ปอเทือง โสนอัฟริกัน คุณสมบัติพิเศษของถั่วเหล่านี้คือ มีปมที่ราก เรียกว่า ปมรากถั่ว ในปมเหล่านี้ มีเชื้อจุลินทรีย์ จำพวกไรโซเบียมอยู่เป็นจำนวนมาก สามารถดึงธาตุไนโตรเจนจากอากาศมาใช้ เมื่อพืชเน่าเปื่อย จะเพิ่มธาตุไนโตรเจน และอินทรียวัตถุให้แก่ดิน

ในกรณีที่ไม่มีน้ำชลประทาน ในช่วงหน้าแล้งอย่างนี้ พืชที่ปลูกหลังการทำนา อยากจะแนะนำให้ปลูกถั่วเขียว เป็นพืชที่มีอายุสั้นมาก และใช้น้ำน้อย เป็นพืชที่มีศักยภาพ อายุการเก็บเกี่ยวครั้งแรก 65-75 วัน มีช่องทางการตลาดที่ดี โดยเกษตรกรสามารถหว่านเมล็ดถั่วเขียว ขณะที่ผืนดินยังมีความชื้นอยู่ได้ ซึ่งก็พอที่ทำให้ถั่วเขียวเติบโต โดยที่ไม่ต้องมีน้ำชลประทาน หรือแหล่งน้ำอื่นเลย หรือเลือกพันธุ์ที่ปลูกดูแลง่ายอีกชนิดหนึ่งคือ ข้าวโพดไร่ ที่ไม่ใช่พันธุ์ลูกผสม เป็นพืชอีกชนิดที่เป็นทางเลือก สามารถทนแล้ง สามารถตัดขายในชุมชนท้องถิ่นได้ ด้วยยังเป็นที่ต้องการ

ในพื้นที่ที่พอมีน้ำ และความชื้นอยู่บ้าง อย่างภาคเหนือ ควรจะปลูกใบยาสูบ และพืชผักอีกหลายชนิด หรืออาจปลูกถั่วลิสง ก็มีแนวโน้มที่ดีเช่นกัน ความต้องการในตลาดยังคงมีอยู่สูง ในฤดูแล้งอย่างนี้ เหมาะกับการปลูกถั่วลิสงฝักแห้งมากกว่าฝักสด

ในกรณีที่พื้นที่พอมีแหล่งน้ำ หรือมีน้ำใต้ดินอยู่บ้าง ขอแนะนำให้เลือกปลูกงา ทนแล้ง อายุการเก็บเกี่ยวสั้น และยังคงเป็นที่ต้องการของตลาด แต่ต้องการน้ำบ้างในช่วงระยะแรก โดยให้ปลูกเป็นแถว เป็นร่อง ไม่หว่านไปทั่วแปลง

ในกรณีที่มีน้ำชลประทาน สามารถเลือกปลูกพืชได้หลากหลายมากขึ้น อาจจะเป็นพืชผักสวนครัว เช่น พริก มะเขือเทศ ถั่วฝักยาว อายุการปลูกไม่ยาวมากนัก การเก็บผลผลิตเก็บได้หลายครั้ง ใช้พื้นที่ไม่มากนัก ช่วยให้มีรายได้หมุนเวียนในหน้าแล้ง หรืออาจปลูกถั่วเหลืองฝักสด หรือถั่วแระ ก็เป็นพืชอายุสั้นเช่นกัน การดูแลก็ไม่ยุ่งยาก สามารถบริโภคเป็นอาหารว่าง และช่วยบำรุงดินอีกด้วย

พืชใช้น้ำน้อยเหล่านี้ นอกจากจะเป็นทางเลือกให้กับเกษตรกรได้เลือกปลูกช่วงแล้ง และมีรายได้หมุนเวียนต่อจากการทำนาแล้ว ยังช่วยให้เกิดการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า โดยเฉพาะช่วงเวลานี้ ที่หลายพื้นที่กำลังประสบภัยแล้ง

นาย รัตวิ

ปัญหาเกษตร ที่นี่มีคำตอบ : หญ้าแฝก การปลูกเพื่อปรับปรุงบำรุงดิน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/209002

วันอังคาร ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

คำถาม ขอทราบความรู้เกี่ยวกับหญ้าแฝกและวิธีปลูกหญ้าแฝกแบบต่างๆ นะครับ

ยอดธง สมถวิล

อ.สวี จ.ชุมพร

คำตอบ หญ้าแฝก เป็นพืชตระกูลหญ้า ขึ้นเป็นกอหนาแน่นอยู่ตามธรรมชาติ ทั่วทุกภาคของประเทศ เจริญเติบโตโดยการแตกกอ เส้นผ่าศูนย์กลางกอ ประมาณ 30 เซนติเมตร ความสูงจากยอด ประมาณ 0.5-1.5 เมตร ใบแคบยาว ประมาณ 75 เซนติเมตร กว้าง ประมาณ 8 มิลลิเมตร ระบบรากจะแผ่ขยายกว้าง 50 เซนติเมตร โดยรอบกอ สามารถขึ้นได้ดีในดินเกือบทุกชนิด ค่อนข้างแข็งแรง เจริญเติบโตในแนวดิ่ง มีจำนวนรากมาก ทนแล้งได้ดี รากจะประสานติดกันหนาแน่น สามารถกักเก็บน้ำและความชื้นได้
ไม่เป็นอุปสรรคต่อพืชที่ปลูกข้างเคียง จึงสามารถนำมาปลูกเพื่อจะช่วยให้ดินมีความชุ่มชื้น ช่วยรักษาหน้าดิน รักษาสภาพแวดล้อม และอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ

หญ้าแฝก ยังช่วยปรับปรุงบำรุงดิน ทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งใบและรากของหญ้าแฝกนั้น เมื่อมีการย่อยสลายสามารถปล่อยธาตุอาหารหลักและธาตุอาหารรองให้แก่ดิน รากหญ้าแฝกจะช่วยให้ดินร่วนซุยมีการดูดธาตุอาหารพืชจากดินล่างขึ้นมาหมุนเวียน และพบจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์หลายชนิดอาศัยอยู่ในบริเวณรากของหญ้าแฝกด้วย เมื่อรากหญ้าแฝกตายลง จะเกิดช่องว่าง

สำหรับน้ำและอากาศถ่ายเทได้สะดวก เป็นสภาพที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืช หรือช่วยให้ปุ๋ยที่ใส่ซึมลงดินได้มากขึ้น

วิธีการปลูกหญ้าแฝกในการปรับปรุงบำรุงดิน นักวิชาการเกษตร กรมพัฒนาที่ดิน ได้แนะนำวิธีการปลูกหญ้าแฝกไว้หลายวิธี คือ

-การปลูกหญ้าแฝก เพื่อปรับปรุงบำรุงดิน เพื่อใช้ปรับปรุงพื้นที่เสื่อมโทรม ช่วยเพิ่มความร่วนซุยของดิน เพิ่มธาตุอาหาร และชีวภาพของดิน โดยปลูกแบบดำนาข้าว ใช้ระยะปลูกระหว่างต้นและระหว่างแถว 50×50 เซนติเมตร ควรใช้หญ้าแฝกลุ่ม หลังจากปลูก 3 เดือน หญ้าแฝกจะเจริญเติบโต ต้องตัดใบคลุมพื้นที่ เป็นการเร่งรากหยั่งลึกลงดินมากขึ้น และแตกหน่อมากขึ้น หลังปลูกอายุ 4-5 เดือน ถ้าหญ้าแฝกแตกหน่อได้กอละ 30-40 หน่อ สามารถขุดออกได้ โดยใช้จอบคมแซะรอบๆ กอตื้นๆ แล้วงัดขึ้นมาเป็นกอๆ เหลือรากทิ้งไว้ในดิน นำกอที่ขุดออกไปแยกหน่อขยายพันธุ์ได้ สามารถนำพืชหลักปลูกในพื้นที่นี้ได้ ถ้าหญ้าแฝกมีอายุหลังปลูก 7 เดือน แตกกอต่ำกว่า 20 หน่อ ควรปลูกซ้ำอีกครั้งหนึ่ง โดยขุดกอเดิมออก ทำวิธีการเดียวกับที่ขุดปลูกพืชหลัก แต่เป็นการปลูกหญ้าแฝกอีกครั้งหนึ่ง โดยใช้กล้าเดิม ใช้ระยะปลูกและรูปแบบการปลูกเช่นเดิม หญ้าแฝกรุ่นที่สองนี้ จะเจริญเติบโตดีกว่ารุ่นแรก ทำการตัดใบเมื่ออายุได้ 3 เดือน และหลังปลูก 4-5 เดือน หญ้าแฝกจะแตกหน่อได้กอละ 30-40 หน่อ ก็สามารถแซะหญ้าแฝกไปใช้ปลูกที่อื่นต่อได้ และสามารถปลูกพืชเศรษฐกิจลงแทนได้

-การปลูกหญ้าแฝก เพื่อเร่งให้ไม้ยืนต้นโตเร็วขึ้น ควรปลูกเป็นแถวเดียว เป็นวงกลมล้อมต้น จำนวน 2 วง วงแรกห่างจากขอบรัศมีทรงพุ่ม 30 เซนติเมตร วงที่สองอยู่ห่างจากวงแรกออกไปเป็นระยะ 50 เซนติเมตร เมื่อต้นไม้โตขึ้นจนทรงพุ่มต้นไม้ บังแนวหญ้าแฝกให้ขุดกอหญ้าแฝกวงแรกออก โดยทิ้งรากไว้ในดิน นำต้นหญ้าแฝกที่ได้ไปขยายพันธุ์ปลูกออกห่างไปจากวงที่สอง 50 เซนติเมตร ทำการขยายวงหญ้าแฝกทุกครั้ง ที่รัศมีทรงพุ่มต้นไม้เจริญมาถึง เมื่อต้นไม้นั้น โตเต็มที่จึงหยุดขยายวง จะทำให้ต้นไม้เจริญเติบโตต่อเนื่องและรวดเร็ว

-การปลูกหญ้าแฝก เพื่อเพิ่มความชื้นในดิน กรณีเฉพาะต้นไม้ยืนต้น ทำได้โดยปลูกหญ้าแฝกแถวเดี่ยว เป็นวงรอบต้นไม้ โดยปลูกห่างจากขอบรัศมีทรงพุ่ม 30 เซนติเมตร หรือบนพื้นที่ลาดชันปลูกเป็นครึ่งวงกลม หันด้านครึ่งวงกลมรับน้ำจากพื้นที่ตอนบน ควรใช้หญ้าแฝกลุ่ม เมื่อหญ้าแฝกเจริญเติบโตได้ 4 เดือน ให้ตัดใบคลุมโคนต้นไม้ยืนต้นที่ใช้หญ้าแฝกปลูกล้อมรอบ

-การปลูกหญ้าแฝก เพื่อควบคุมระดับน้ำในดิน กรณีเป็นพืชไม้ยืนต้นที่ปลูกในที่ลุ่มมีน้ำขังชั่วคราว โดยปลูกหญ้าแฝกแถวคู่รอบทรงพุ่ม ห่างจากรัศมีของทรงพุ่ม 30 เซนติเมตร จะสามารถลดระดับน้ำใต้ดิน เช่น การปลูกหญ้าแฝกลุ่มในสวนมังคุด ที่น้ำท่วมขังชั่วคราว จะช่วยลดการเกิดโรคยางไหล
เป็นต้น

-การปลูกหญ้าแฝก เพื่อควบคุมระดับน้ำในดินบนพื้นที่ทั้งผืน ทำได้โดยปลูกหญ้าแฝกแบบดำนาข้าว ระยะระหว่างต้นและระหว่างแถว 50×50 เซนติเมตร ควรใช้หญ้าแฝกลุ่ม

ที่สำคัญ เกษตรกรไม่จำเป็นต้องปลูกหญ้าแฝกครั้งเดียวเต็มพื้นที่ที่มีอยู่ แต่จะสามารถปลูกแบบหมุนเวียนได้ อาจเว้นที่ว่างไว้เพื่อปลูกพืชอื่นๆ ที่จะสามารถสร้างรายได้ให้แก่ครอบครัวได้อีกด้วย

นาย รัตวิ

ปัญหาเกษตร ที่นี่มีคำตอบ : ลดต้นทุนการผลิตด้วยพืชปุ๋ยสด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/208020

วันอังคาร ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.
คำถาม ผมจะสามารถลดต้นทุนการผลิตพืชนาพืชไร่ตามที่รัฐบาลส่งเสริม ขอให้ช่วยแนะนำวิธีการและขั้นตอนการปฏิบัติที่ชัดเจนด้วยครับ

สุรชัย ทองเจริญ
อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี

คำตอบ ทางเลือกการลดต้นทุนการผลิตที่สำคัญ ตามนโยบายของรัฐบาลอย่างหนึ่งนั้นคือ การลดต้นทุนจากการใช้ปุ๋ย โดยให้ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ให้มากขึ้น และให้ลดการใช้ปุ๋ยเคมีลง

ปุ๋ยพืชสด เป็นปุ๋ยอินทรีย์ชนิดหนึ่ง ที่ได้จากการตัดสับหรือไถกลบพืชตระกูลถั่วขณะออกดอกลงไปในดิน โดยมีจุดประสงค์ เพื่อปรับปรุงดินบำรุงดินให้มีความอุดมสมบูรณ์ หลังจากนั้น ต้องปล่อยให้เกิดการย่อยสลาย ประมาณ 2 สัปดาห์ จะให้ธาตุอาหารพืช และเพิ่มอินทรียวัตถุแก่ดิน ซึ่งจะเป็นประโยชน์สำหรับพืชที่จะปลูก และเป็นการลดต้นทุนการผลิตจากการใช้ปุ๋ยเคมี

 

การใช้ปุ๋ยพืชสดในนาข้าวนักวิชาการเกษตร ได้แนะนำไว้ 3 วิธี คือ

วิธีที่ 1 ปลูกพืชปุ๋ยสดพร้อมกับข้าว โดยปลูกพืชตระกูลถั่ว ได้แก่ ถั่วพุ่ม หรือ ถั่วพร้า อัตราเมล็ด 8 และ 10 กิโลกรัมต่อไร่ ตามลำดับ ให้เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่ง พร้อมกับหว่านข้าวในนา หว่านข้าวแห้ง เพื่อให้ถั่วเจริญเติบโตพร้อมกับต้นข้าว ในช่วงที่น้ำยังไม่ขังในนา ถ้าน้ำไม่ขังหรือดินไม่ชื้นเกินไป ถั่วจะเจริญเติบโตได้ ประมาณ 45-50 วัน ให้ไขน้ำเข้าที่นาถั่วจะตายเน่าสลายให้ธาตุอาหารพืชอินทรียวัตถุแก่ดินและต้นข้าว

วิธีที่ 2 ปลูกพืชปุ๋ยสดก่อนการทำนา ได้แก่ โสนอัฟริกัน ปอเทือง ถั่วพุ่ม หรือ ถั่วพร้าให้เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่ง ใช้อัตราเมล็ด
5 5 8 และ 10 กิโลกรัมต่อไร่ ตามลำดับควรเริ่มปลูกในระยะ

ฝนแรก ระหว่างเดือนเมษายน – พฤษภาคม โดยไถพรวนดินอย่างดี แล้วหว่านเมล็ดพืชปุ๋ยสด เมื่อต้นพืชโตถึงระยะออกดอก หรือประมาณ 45-50 วัน ให้ไถกลบ แล้วปล่อยให้ย่อยสลาย ประมาณ 2 สัปดาห์จึงปลูกข้าวตาม ในกรณีใช้เมล็ดโสนอัฟริกัน ก่อนปลูกเมล็ดควรแช่น้ำนาน 12 ชั่วโมง เพื่อทำให้เมล็ดงอกดีขึ้น เนื่องจากเปลือกหุ้มเมล็ดมีความหนา

วิธีที่ 3 ปลูกพืชปุ๋ยสดหลังทำนา ได้แก่ โสนอัฟริกัน ปอเทือง ถั่วพุ่ม หรือ ถั่วพร้า ให้เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่ง ใช้อัตราเมล็ด 5 5 8 และ 10 กิโลกรัมต่อไร่ ตามลำดับ ควรปลูกโดยไม่ไถพรวน ไม่ต้องเกี่ยวตอซังข้าวออก ใช้เมล็ดถั่วหยอดลงไปในนาโดยตรง และปลูกทันทีที่เกี่ยวข้าวเสร็จ ในขณะที่ดินยังมีความชื้นอยู่ หรือจะปลูกโดยการไถพรวนดินอย่างดีก็ได้ และไถกลบ ระยะออกดอก ประมาณ 45-50 วัน ปล่อยให้ย่อยสลายประมาณ 2 สัปดาห์ แล้วจึงปลูกข้าว

การใช้พืชปุ๋ยสดในการปลูกพืชไร่

1. ใช้พืชปุ๋ยสดในการปลูกพืชหมุนเวียน เช่น

-การปลูกพืชปุ๋ยสดในต้นฤดูฝน แล้วไถกลบเป็นพืชปุ๋ยสด หลังจากนั้น จึงปลูกพืชหลักตามพืชปุ๋ยสด ได้แก่ ปอเทือง โสนต่างๆ ถั่วเขียว และพืชหลัก ได้แก่ ข้าวโพด ข้าวไร่ และพืชเศรษฐกิจอื่นๆ ที่มีอายุสั้น

-การปลูกพืชปุ๋ยสด เพื่อเป็นพืชคลุมดิน ซึ่งมีอายุยาวในหนึ่งปี แล้วจึงปลูกพืชหลักในปีที่สอง หมุนเวียนกันไป ซึ่งเป็นระบบที่ใช้กับพื้นที่ความลาดเท เพื่อป้องกันการชะล้างพังทลาย หรือพื้นที่เกษตรที่สูงที่มีการทำไร่เลื่อนลอย เช่น การปลูกถั่วแปบ เป็นปุ๋ยพืชสดสลับกับถั่วแดงหลวง เป็นต้น

2.ปลูกพืชปุ๋ยสดในระบบปลูกพืชแซม คือการปลูกพืชปุ๋ยสดบางชนิดที่เหมาะสมแซมในแถวพืชหลัก ซึ่งอาจเป็นการปลูกพืชหลักแล้ว ก็ปลูกพืชปุ๋ยสดแซมในแถวไปพร้อมๆ กันในเวลาเดียวกัน หรือปลูกพืชหลักแล้วระยะเวลาหนึ่ง จึงปลูกพืชปุ๋ยสดแซมเป็นการเหลื่อมเวลากันในหนึ่งปี

3.ปลูกพืชปุ๋ยสดในระบบปลูกพืชแบบแถบพืช เป็นวิธีการปลูกพืชปุ๋ยสดเป็นแนวแถบคล้ายๆ เป็นกำแพง เพื่อป้องกันและลดการสูญเสียหน้าดิน จากการชะล้างพังทลายของดิน โดยแนวแถบของพืชปุ๋ยสด จะทำหน้าที่เป็นแนวดักตะกอน อันเกิดจากการชะล้างพังทลายจากน้ำฝน และลดความรุนแรง จากการไหลบ่าของน้ำฝนได้ โดยแถบพืชปุ๋ยสด อาจจะกว้างประมาณ 2 เมตร ยาวตามแนวระดับต่อจากแถบพืชปุ๋ยสด จึงเป็นแปลงปลูกพืชเศรษฐกิจ อาจกว้างประมาณ 3 เมตร ขึ้นอยู่กับความลาดเท ต่อจากนั้นก็เป็นแถบพืชปุ๋ยสดอีก ทำเช่นนี้สลับกันไปจนเต็มพื้นที่ พืชที่นิยมใช้ปลูกเป็นแนวแถบพืชปุ๋ยสด ได้แก่ กระถิน ถั่วมะแฮะ เป็นต้น

4.ปลูกพืชปุ๋ยสดในระบบพืชคลุมดิน การปลูกพืชในระบบนี้ มักเป็นการปลูกพืชปุ๋ยสดตระกูลถั่วชนิดที่มีลำต้นเป็นเถาเลื้อย เพื่อให้เจริญเติบโตปกคลุมผิวดิน ได้แก่ ถั่วคาโลโปโกเนียมไมยราบไร้หนาม ถั่วคุดซู ถั่วแปบ เป็นต้น

การใช้พืชปุ๋ยสดบำรุงดิน จะเป็นการเพิ่มขึ้นของอินทรียวัตถุในดิน หลังจากพืชปุ๋ยสดนั้นสลายตัวสมบูรณ์แล้ว และยังเป็นการชดเชยปริมาณอินทรียวัตถุในดินที่สูญเสียไป เนื่องจากการเพาะปลูกหรืออื่นๆ หากทําการไถกลบพืชปุ๋ยสดอย่างสม่ำเสมอ ก็จะทําให้ดินมีปริมาณอินทรียวัตถุเพิ่มขึ้น จะช่วยส่งเสริมและสนับสนุนกิจกรรมของจุลินทรีย์ในดิน อีกทั้งอินทรียวัตถุยังช่วยในการรักษาและปรับปรุงโครงสร้างของดินให้มีสภาพเหมาะสมต่อการเจริญเติบโต ซึ่งจะเป็นการลดต้นทุนการผลิตตามนโยบายของรัฐบาลอีกด้วย

นาย รัตวิ