ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/local/209333
จากภาวะภัยแล้งในปี 2558 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันส่งผลต่อปริมาณน้ำต้นทุนที่เก็บกักใน 33 เขื่อนหลัก และอ่างเก็บน้ำต่างๆ ทั่วประเทศ รวมทั้งปริมาณฝนที่ตกลงมาน้อยกว่าค่าเฉลี่ย ทำให้หลายพื้นที่ต้องประสบปัญหาภัยแล้งทั้งในและนอกเขตชลประทาน มีน้ำไม่เพียงพอต่อทำการเกษตรสร้างความเดือดร้อนต่อเกษตรกรในวงกว้าง เนื่องจากต้องเก็บกักน้ำไว้ใช้เพื่อการบริโภคอุปโภค และรักษาระบบนิเวศเป็นหลักก่อน
นายสุรพงษ์ เจียสกุล เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กล่าวว่า ศูนย์ติดตามและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้สำรวจความเสียหายที่เกิดจากภาวะภัยแล้งในปี 2558 ครอบคลุมพื้นที่ 2.87 ล้านไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่เสียหายจริงที่ทางผู้ว่าราชการจังหวัด ได้ออกประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยสามารถแยกเป็นพื้นที่เสียหายสิ้นเชิง ได้แก่ ข้าว 2 ล้านไร่ พืชไร่ 862,628 ไร่ พืชสวน 5,348 ไร่ มีเกษตรกรได้รับผลกระทบรวม 272,743 ราย สำรวจพบความเสียหายแล้วคิดเป็นปริมาณผลผลิต 6.10 ล้านตัน มูลค่าความเสียหายทั้งสิ้นกว่า 15,514 ล้านบาท
ทั้งนี้ พบว่าภาคเหนือได้รับผลกระทบมากที่สุด มูลค่าความเสียหาย 6,955 ล้านบาท คิดเป็น 45% ของมูลค่าความเสียหายรวม รองลงมาคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มูลค่าความเสียหาย 6,240 ล้านบาท คิดเป็น 40% ของมูลค่าความเสียหายรวม ส่วนภาคตะวันออก และภาคตะวันตกมูลค่าความเสียหาย 1,279 ล้านบาท ภาคกลาง มีมูลค่าความเสียหาย 1,017 ล้านบาท ภาคใต้ มูลค่าความเสียหาย 21 ล้านบาท

ผลกระทบจากภัยแล้งที่เกิดขึ้นรุนแรงในปีที่ผ่านมา เกษตรกรได้รับการช่วยเหลือส่วนหนึ่งจากการให้ความช่วยเหลือด้านการเกษตรผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน โดยพื้นที่ทำการเพาะปลูกมีพืชตาย หรือเสียหายโดยสิ้นเชิง จะได้รับการช่วยเหลือตามพื้นที่เพาะปลูกที่เสียหายจริงไม่เกินรายละ 30 ไร่ ในอัตรา ข้าว ไร่ละ 1,113 บาท พืชไร่ ไร่ละ 1,148 บาท พืชสวนและอื่นๆ
ไร่ละ 1,690 บาท
นอกจากการช่วยเหลือเป็นเงินเยียวยาแล้ว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังได้มีนโยบายให้ความช่วยเหลือเกษตรกรให้สามารถดำรงชีวิตผ่านวิกฤติภัยแล้งไปได้ โดยคณะรัฐมนตรีเห็นชอบโครงการบูรณามาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบภัยแล้งปี 2558/59 จำนวน 8 มาตรการ 45 โครงการ เช่น การจ้างงานของกรมชลประทาน สนับสนุนปัจจัยการผลิต ส่งเสริมการปลูกพืชน้ำน้อยที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าการปลูกข้าว การยกเว้นค่าเช่าที่ดิน ส.ป.ก. เป็นต้น โดยมีการขับเคลื่อนงานผ่านศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจแก้ไขปัญหาวิกฤติภัยแล้งปี 2558/59 ระดับชาติ (ศก.กช.) มีหลายหน่วยงานที่เข้ามาร่วมดำเนินการ งบประมาณรวมทั้งสิ้น 32,384.54 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้มีการเบิกจ่ายงบประมาณแล้วจำนวน 11,272.21 ล้านบาท สามารถช่วยเหลือเกษตรกรรวมแล้ว 1.48 ล้านราย

สถานการณ์ภัยแล้งในปี 2559 น่าจะดีกว่าปี 2558 โดยกรมอุตุนิยมวิทยาได้คาดการณ์ว่าปีนี้ฝนจะตกอยู่ในเกณฑ์ปกติ และมีปริมาณฝนที่สูงขึ้นกว่าปี’58 อีกทั้งจากนักวิเคราะห์สภาพภูมิอากาศในแห่ง ได้วิเคราะห์ว่าปรากฏการณ์เอลนีโญที่ทำให้เกิดภาวะภัยแล้งจะค่อยๆ ลดระดับความรุนแรง และตั้งแต่เดือนกันยายนเป็นต้นไป จะเกิดปรากฏการณ์ลานีญา ที่จะทำให้ปริมาณน้ำฝนตกมากขึ้นกว่าเกณฑ์เฉลี่ย ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อการทำการเกษตร
“แม้สถานการณ์ภัยแล้งปีนี้จะมีความรุนแรงไม่มากเท่ากับปี’58 แต่ก็ยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป รวมถึงมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบภัยแล้ง ในหลายกิจกรรมก็ยังดำเนินการต่อเนื่องที่สำคัญขณะนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ ได้มอบนโยบายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ นำเสนอโครงการแผนงานที่จะสามารถลงไปช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบภัยแล้ง สามารถเห็นผลสัมฤทธิ์ระยะสั้นช่วง 3 เดือน และ6 เดือนนี้ พร้อมกันนั้น ยังมีแนวทางส่งเสริมให้เกษตรกรทำเกษตรแบบผสมผสาน เพื่อลดความเสี่ยงต่อการทำอาชีพเกษตร ทั้งความเสี่ยงของผลผลิตที่เสียหายจากภัยพิบัติและผลกระทบด้านราคา ควบคู่กับการปรับเปลี่ยนปลูกพืชใช้น้ำน้อยที่ให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นด้วย” นายสุรพงษ์ กล่าวย้ำ


