รายงานพิดศษ : ภัยแล้งผลกระทบภาคเกษตร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/209333

วันพฤหัสบดี ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.
จากภาวะภัยแล้งในปี 2558 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันส่งผลต่อปริมาณน้ำต้นทุนที่เก็บกักใน 33 เขื่อนหลัก และอ่างเก็บน้ำต่างๆ ทั่วประเทศ รวมทั้งปริมาณฝนที่ตกลงมาน้อยกว่าค่าเฉลี่ย ทำให้หลายพื้นที่ต้องประสบปัญหาภัยแล้งทั้งในและนอกเขตชลประทาน มีน้ำไม่เพียงพอต่อทำการเกษตรสร้างความเดือดร้อนต่อเกษตรกรในวงกว้าง เนื่องจากต้องเก็บกักน้ำไว้ใช้เพื่อการบริโภคอุปโภค และรักษาระบบนิเวศเป็นหลักก่อน

นายสุรพงษ์ เจียสกุล เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กล่าวว่า ศูนย์ติดตามและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้สำรวจความเสียหายที่เกิดจากภาวะภัยแล้งในปี 2558 ครอบคลุมพื้นที่ 2.87 ล้านไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่เสียหายจริงที่ทางผู้ว่าราชการจังหวัด ได้ออกประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยสามารถแยกเป็นพื้นที่เสียหายสิ้นเชิง ได้แก่ ข้าว 2 ล้านไร่ พืชไร่ 862,628 ไร่ พืชสวน 5,348 ไร่ มีเกษตรกรได้รับผลกระทบรวม 272,743 ราย สำรวจพบความเสียหายแล้วคิดเป็นปริมาณผลผลิต 6.10 ล้านตัน มูลค่าความเสียหายทั้งสิ้นกว่า 15,514 ล้านบาท

ทั้งนี้ พบว่าภาคเหนือได้รับผลกระทบมากที่สุด มูลค่าความเสียหาย 6,955 ล้านบาท คิดเป็น 45% ของมูลค่าความเสียหายรวม รองลงมาคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มูลค่าความเสียหาย 6,240 ล้านบาท คิดเป็น 40% ของมูลค่าความเสียหายรวม ส่วนภาคตะวันออก และภาคตะวันตกมูลค่าความเสียหาย 1,279 ล้านบาท ภาคกลาง มีมูลค่าความเสียหาย 1,017 ล้านบาท ภาคใต้ มูลค่าความเสียหาย 21 ล้านบาท

ผลกระทบจากภัยแล้งที่เกิดขึ้นรุนแรงในปีที่ผ่านมา เกษตรกรได้รับการช่วยเหลือส่วนหนึ่งจากการให้ความช่วยเหลือด้านการเกษตรผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน โดยพื้นที่ทำการเพาะปลูกมีพืชตาย หรือเสียหายโดยสิ้นเชิง จะได้รับการช่วยเหลือตามพื้นที่เพาะปลูกที่เสียหายจริงไม่เกินรายละ 30 ไร่ ในอัตรา ข้าว ไร่ละ 1,113 บาท พืชไร่ ไร่ละ 1,148 บาท พืชสวนและอื่นๆ
ไร่ละ 1,690 บาท

นอกจากการช่วยเหลือเป็นเงินเยียวยาแล้ว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังได้มีนโยบายให้ความช่วยเหลือเกษตรกรให้สามารถดำรงชีวิตผ่านวิกฤติภัยแล้งไปได้ โดยคณะรัฐมนตรีเห็นชอบโครงการบูรณามาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบภัยแล้งปี 2558/59 จำนวน 8 มาตรการ 45 โครงการ เช่น การจ้างงานของกรมชลประทาน สนับสนุนปัจจัยการผลิต ส่งเสริมการปลูกพืชน้ำน้อยที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าการปลูกข้าว การยกเว้นค่าเช่าที่ดิน ส.ป.ก. เป็นต้น โดยมีการขับเคลื่อนงานผ่านศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจแก้ไขปัญหาวิกฤติภัยแล้งปี 2558/59 ระดับชาติ (ศก.กช.) มีหลายหน่วยงานที่เข้ามาร่วมดำเนินการ งบประมาณรวมทั้งสิ้น 32,384.54 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้มีการเบิกจ่ายงบประมาณแล้วจำนวน 11,272.21 ล้านบาท สามารถช่วยเหลือเกษตรกรรวมแล้ว 1.48 ล้านราย

สถานการณ์ภัยแล้งในปี 2559 น่าจะดีกว่าปี 2558 โดยกรมอุตุนิยมวิทยาได้คาดการณ์ว่าปีนี้ฝนจะตกอยู่ในเกณฑ์ปกติ และมีปริมาณฝนที่สูงขึ้นกว่าปี’58 อีกทั้งจากนักวิเคราะห์สภาพภูมิอากาศในแห่ง ได้วิเคราะห์ว่าปรากฏการณ์เอลนีโญที่ทำให้เกิดภาวะภัยแล้งจะค่อยๆ ลดระดับความรุนแรง และตั้งแต่เดือนกันยายนเป็นต้นไป จะเกิดปรากฏการณ์ลานีญา ที่จะทำให้ปริมาณน้ำฝนตกมากขึ้นกว่าเกณฑ์เฉลี่ย ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อการทำการเกษตร

“แม้สถานการณ์ภัยแล้งปีนี้จะมีความรุนแรงไม่มากเท่ากับปี’58 แต่ก็ยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป รวมถึงมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบภัยแล้ง ในหลายกิจกรรมก็ยังดำเนินการต่อเนื่องที่สำคัญขณะนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ ได้มอบนโยบายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ นำเสนอโครงการแผนงานที่จะสามารถลงไปช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบภัยแล้ง สามารถเห็นผลสัมฤทธิ์ระยะสั้นช่วง 3 เดือน และ6 เดือนนี้ พร้อมกันนั้น ยังมีแนวทางส่งเสริมให้เกษตรกรทำเกษตรแบบผสมผสาน เพื่อลดความเสี่ยงต่อการทำอาชีพเกษตร ทั้งความเสี่ยงของผลผลิตที่เสียหายจากภัยพิบัติและผลกระทบด้านราคา ควบคู่กับการปรับเปลี่ยนปลูกพืชใช้น้ำน้อยที่ให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นด้วย” นายสุรพงษ์ กล่าวย้ำ

รายงานพิดศษ : ‘ไร่สุมิตธา’ออร์แกนิคฟาร์มดีเด่น เน้นปลูกพืชผสมผสาน จัดการเป็นระบบ วางแผนตลาดมั่นคง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/205245

วันศุกร์ ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.
ไร่สุมิตธา เป็นฟาร์มเกษตรอินทรีย์ ที่มีความโดดเด่นทั้งในด้านการผลิตพืชอินทรีย์แบบผสมผสาน การวางแผนบริหารจัดการฟาร์มอย่างเป็นระบบบนเนื้อที่กว่า 350 ไร่ รวมไปถึงการตลาดที่เน้นทำตลาดบนทำสัญญากับห้างสรรพสินค้า และบริษัทชั้นนำ ที่สำคัญคือเจ้าของฟาร์มคือ คุณสมนึก ศรีสังข์สุข มีความมุ่งมั่นในการทำเกษตรอินทรีย์มาตั้งแต่ปี 2551 ด้วยสโลแกน “ปลูกด้วยรัก ดูแลด้วยใจ ห่วงใยผู้บริโภค” จนปัจจุบันได้รับการคัดเลือกให้เป็นเกษตรดีเด่นด้านการผลิตพืชอินทรีย์ ประจำปี 2559 ของสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตร เขตที่ 5 กรมวิชาการเกษตร

คุณสมนึกเล่าว่า ตนมาจากครอบครัวเกษตรกรพ่อทำสวนส้ม ตนจึงทำการเกษตรมาตั้งแต่อายุ 9 ปี พอปี 2536 ก็แยกมาทำสวนส้มของตนเองบนพื้นที่ 700 ไร่ ซึ่งตอนนั้นยังทำเกษตรแบบเคมี พอมาปี 2546 เกิดโรคกรีนนิ่งระบาดในสวนส้มอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นช่วงที่ผลผลิตกำลังจะเก็บเกี่ยว ต้องใช้สารเคมีมากขึ้นเพื่อยับยั้งและรักษาต้นส้มไว้ ต้องเสียเงินไปกับค่าสารเคมีไม่ต่ำกว่า 150,000 บาทต่อไร่ รวมแล้วกว่า 100 ล้านบาท แต่ก็ไม่สามารถรักษาต้นส้มไว้ได้ จึงรู้สึกท้อใจนับแต่นั้นมาก็เลิกอาชีพเกษตร และผันตัวเองมาทำอาชีพรับเหมาก่อสร้างแต่ระหว่างนั้นก็ยังอยากกลับไปทำอาชีพเกษตรเพราะมีใจรัก ผ่านไป 5 ปี จึงหวนกลับมาทำเกษตรอีกครั้งในแปลงเดิมที่ปล่อยทิ้งร้างไว้ แต่ลดพื้นที่เหลือ 350 ไร่ โดยครั้งนี้ตั้งใจจะปลูกพืชแบบอินทรีย์ โดยใช้ชื่อว่า ไร่สุมิตธา

แนวคิดที่จะทำเกษตรอินทรีย์ มาจากประสบการณ์ครั้งก่อนที่ต้องสูญเสียเงินไปกับใช้สารเคมีจำนวนมากแต่ก็ไม่สามารถรักษาพืชผลไว้ได้ อีกทั้งได้ศึกษาข้อมูลพบว่าเกษตรอินทรีย์มีความสำคัญต่อระบบนิเวศและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของดิน ตรงกันข้ามกับสารเคมีที่มีแต่ผลเสีย ทั้งทำลายระบบนิเวศ พืชผลมีสารเคมีตกค้าง อีกทั้งยังเป็นปัญหาต่อสุขภาพของคนปลูก และกระทบต่อผู้บริโภคที่ต้องรับประทานผลผลิตที่มีสารพิษตกค้าง จึงเป็นที่มาของการปลูกพืชแบบเกษตรอินทรีย์โดยตัดขาดจากการใช้สารเคมีทุกชนิดโดยสิ้นเชิงมาตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา

เริ่มต้นจากปลูกกล้วยหอม เพราะมีโรคและแมลงระบาดน้อย การทำเกษตรอินทรีย์ต้องขยันหมั่นสังเกตการเปลี่ยนแปลงของพืชผล ที่สำคัญต้องซื่อสัตย์ต่อตนเองที่จะไม่ยอมใช้สารเคมีใดๆ ทั้งสิ้น แต่จะใช้วิธีการควบคุมศัตรูแทน เช่น ใช้บิวเวอร์เรียฉีดพ่นในการป้องกันเพลี้ยหนอนและใช้น้ำส้มควันไม้ไล่แมลง และทำปุ๋ยหมักใช้เองจากวัสดุที่มีในไร่นา โดยการปลูกกล้วยหอมก็ขยายมาปลูกพืชอื่นเพิ่มขึ้น เน้นการปลูกพืชแบ่งเป็นแปลงเล็กๆสลับกันไปมา (Buffer Zone) เพื่อเป็นแนวกันชนและเป็นการหลอกล่อแมลง

เช่น ปลูกกล้วยสลับกับนาข้าว ปลูกมะม่วงตามคันล้อม ปลูกกล้วยหอมสลับกับกล้วยไข่ และยังปลูกทุเรียน เงาะ มะยงชิด แซมในแปลงกล้วย นอกจากนี้ ได้สร้างแนวป้องกันการปนเปื้อนจากการฉีดพ่นสารเคมีจากแปลงข้างเคียง โดยทำคันดินสูง 3 เมตร ขุดร่องน้ำกั้นอีกชั้น และปลูกไม้ยืนต้นบนคันดิน ได้แก่ ต้นสน ยางนา ตะกู ส่วนพื้นที่ที่เหลือได้ปลูกพะยูง ไม้แดง ตะเคียน ตะกู ยางนา รวมพื้นที่ประมาณ 100 ไร่ เป็นป่าเพื่อเป็นการสร้างสมดุลในธรรมชาติและระบบนิเวศด้วย

สมนึก ศรีสังข์สุข

ด้วยพื้นที่จำนวนมากต้องมีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ เช่น การจัดการน้ำ ให้น้ำแบบน้ำหยด วางท่อน้ำมีวาล์วเปิด-ปิดน้ำ มีระบบกรองน้ำก่อนปล่อยเข้าสู่ระบบสปริงเกอร์ในแต่ละแปลง สำหรับน้ำที่ใช้ในแปลงเป็นน้ำฝนและน้ำชลประทานที่เก็บกักไว้ในบ่อที่ขุดขึ้นประมาณ 10 ไร่ สามารถใช้ได้ตลอดทั้งปี การจัดการดิน จะใช้ปุ๋ยหมักที่ผลิตเองจากส่วนผสมของแกลบ ฟางข้าว และมูลไก่ ผสมน้ำหมักชีวภาพ นำไปบำรุงดินในแปลงอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ยังไถกลบเศษซากพืชเป็นปุ๋ยในดิน และปลูกปอเทืองหลังเก็บเกี่ยวข้าว ส่วนการจัดการวัชพืชในแปลง ถ้าแปลงข้าวจะใช้แรงงานคนสำรวจตัดและถอนต้นวัชพืชออกจากแปลงอย่างสม่ำเสมอ ส่วนแปลงกล้วยและมะม่วงจะใช้แรงงานคนและรถตัดหญ้า เพราะพื้นที่แปลงไม่มียกร่องทำให้รถเข้าไปทำงานได้อย่างสะดวก แต่จะไม่ตัดหญ้าพร้อมกันทุกแปลงเพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยของแมลงบ้าง การวางแผนบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ทำให้พื้นที่ 350 ไร่ ใช้คนงานเพียง 17 คนเท่านั้น

คุณสมนึกเล่าต่อว่า หลังจากทำเกษตรอินทรีย์ในปีแรก ได้ขอรับการรับรองมาตรฐาน ระบบการจัดการคุณภาพการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับพืช (GAP) ซึ่งหลังได้รับการรับรองแหล่งผลิตพืช GAP ผ่านมา 2 ปี จึงยื่นขอรับรองแหล่งผลิตพืชอินทรีย์ ก็ได้รับการรับรองมาตรฐานแหล่งผลิตพืชอินทรีย์ (Organic Thailand) จากสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตร เขตที่ 5 กรมวิชาการเกษตร เมื่อปี 2553 และในปีต่อๆ มา จนครบทุกพืชที่ปลูกในแปลง ซึ่งใบรับรองมาตรฐานพืชอินทรีย์ของกรมวิชาการเกษตร ถือเป็นเครื่องการันตีว่าสินค้าจากไร่สุมิตธามีคุณภาพและปลอดภัย

เมื่อสินค้าผ่านการรับรองมาตรฐาน Organic Thailand ประกอบการวางแผนการผลิตที่เน้นผลิตเป็นแปลงย่อยปลูกหมุนเวียนสับเปลี่ยนกัน ทั้งแปลงกล้วยและข้าวจึงทำให้มีผลผลิตออกสู่ตลาดได้ทั้งปี จึงได้เดินหน้าทำการตลาดโดยติดต่อประสานงานกับห้างสรรพสินค้า เช่น บริษัทในเครือ The MallGroup และร้านค้า Tops เพื่อนำสินค้าอินทรีย์เข้าไปวางจำหน่ายโดยทำสัญญาซื้อขายอย่างชัดเจนอีกทั้งยังหาตลาดในการส่งสินค้าข้าวอินทรีย์ แบ่งเป็น 2 ส่วน คือข้าวในระยะก่อนสุกแก่ประมาณ 10 วัน จะจำหน่ายให้กับบริษัท อำพล ฟูดส์ โปรเซสซิ่ง จำกัด เพื่อนำไปผลิตเป็นน้ำนมข้าว และน้ำนมข้าวกล้อง ผลผลิตอีกส่วนจะผลิตเป็นข้าวสาร ข้าวกล้อง จำหน่ายให้กับห้างสรรพสินค้าและขายให้กับผู้บริโภคทั่วไป

“ทำเกษตรอินทรีย์ต้องใจนิ่ง ต้องกล้าพลาด คือช่วงแรกๆ ผลผลิตอาจสู้เคมีไม่ได้ อย่างนาข้าว 25 ไร่ ได้ผลผลิตเพียง 8 กระสอบ พอใส่ปุ๋ยหมัก ปรับปรุงบำรุงดินไปเรื่อย ปัจจุบันผลผลิตดีขึ้นจนใกล้เคียงกับการใช้เคมี ส่วนกล้วยหอมก็ได้ผลผลิต 6-7 หวีต่อเครือ ถึงแม้ผลผลิตอินทรีย์จะไม่มากเท่ากับใช้เคมี แต่สิ่งที่ได้คือต้นทุนลดลง ที่สำคัญคือผลผลิตมีคุณภาพ ทั้งในเรื่องรสชาติและความปลอดภัย คนปลูกก็มีความสุข ไม่เจ็บป่วย คนกินก็ปลอดภัย ซึ่งทุกวันนี้คนรอบข้างป่วยด้วยโรคมะเร็งกันเยอะ สาเหตุก็มาจากการบริโภคอาหารที่ไม่ปลอดภัยทั้งนั้น” คุณสมนึก กล่าวทิ้งท้าย

หลังจากที่คุณสมนึก ทำไร่สุมิตธาให้เป็นออร์แกนิคฟาร์มที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน จึงชักชวนให้เกษตรกรในละแวกใกล้เคียงหันมาทำเกษตรอินทรีย์เพิ่มขึ้น ซึ่งมีเกษตรกรหลายรายเข้าร่วมเป็นเครือข่ายดำเนินการตามแนวทางเกษตรอินทรีย์แล้วหลายราย หากเกษตรกรท่านใดสนใจ สามารถเข้าไปเยี่ยมชมหรือแลกเปลี่ยนเรียนรู้ได้ที่ ไร่สุมิตธา หมู่ที่ 5 ต.วิหารแดง อ.วิหารแดง จ.สระบุรี โทร. 08-9744-7202 หรือขอคำแนะนำทางวิชาการเพื่อการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพให้ได้รับการรับรอง GAP หรือ Organic Thailand ได้จากหน่วยงานของกรมวิชาการเกษตรในพื้นที่