วิถีสยาม มรดกวัฒนธรรมไทย : ตอนที่ ๗ เรื่อง : กำเนิดมโนห์รา – มนต์ขลังอันอ่อนช้อย แต่ทรงพลัง #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/578487

วิถีสยาม มรดกวัฒนธรรมไทย : ตอนที่ ๗ เรื่อง : กำเนิดมโนห์รา - มนต์ขลังอันอ่อนช้อย แต่ทรงพลัง

วิถีสยาม มรดกวัฒนธรรมไทย : ตอนที่ ๗ เรื่อง : กำเนิดมโนห์รา – มนต์ขลังอันอ่อนช้อย แต่ทรงพลัง

วันอังคาร ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2564, 06.00 น.

ประเทศไทยมีการแสดงพื้นบ้านมากมายสร้างความบันเทิง สนุกสนาน ผ่อนคลาย ให้กับคนในท้องถิ่น สื่อถึงภูมิปัญญาและสุนทรียะทางอารมณ์ หลายครั้งเมื่อเราขยับเข้าไปใกล้ ซึมซับด้วยสายตาตัวเองแล้ว จะสัมผัสได้ถึงความเป็นอัตลักษณ์ของท้องถิ่นนั้นโดยไม่ต้องมีใครมาเอื้อนเอ่ยอธิบาย

สัปดาห์นี้ผู้เขียนอยากเล่าถึงศิลปะการแสดงพื้นเมืองหนึ่งของภาคใต้ที่ถือเป็นอัตลักษณ์อันทรงพลัง หากแต่แฝงไว้ด้วยความงดงามและอ่อนช้อย เป็นรากเหง้าแห่งศิลปวัฒนธรรมที่อยู่คู่คนใต้มาช้านาน จะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจาก“มโนห์รา” หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า “โนรา” นั่นเอง

“มโนห์รา” หรือ “โนรา” มีรากศัพท์ที่มาจากคำว่า “นระ” เป็นภาษาบาลี- สันสกฤต แปลว่ามนุษย์ เป็นคำที่เกิดขึ้นมาในสมัยกรุงศรีอยุธยา จากการนำเอาเรื่อง “พระสุธน-มโนราห์” มาแสดงเป็น
ละครชาตรี

นักโบราณคดีไทยได้คาดการณ์ประวัติความเป็นมาของมโนห์ราว่า การร่ายรำประเภทนี้ ได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะการแสดงของประเทศอินเดียโบราณที่เรียกว่า “ยาตรา” หรือ “ชาตรา” ที่เข้ามาทางแหลมมลายูสมัยอาณาจักรศรีวิชัยสังเกตได้จากเครื่องดนตรีประกอบ 5 ชนิดที่เรียกว่า “เบญจสังคีต” ได้แก่ โหม่ง ฉิ่ง ทับ กลอง และปี่ใน รวมทั้งท่าร่ายรำอันมีความละม้ายคล้ายคลึงกับ ท่าร่ายรำของ อินเดีย เชื่อกันว่ามโนห์รา เกิดขึ้นครั้งแรกที่หัวเมืองพัทลุง ก่อนที่จะแพร่หลายไปยังหัวเมืองต่างๆ ในภาคใต้

มีเรื่องขานสืบต่อกันมาถึงต้นกำเนิดของการร่ายรำมโนห์รานี้ว่า “มโนราห์” ถือกำเนิดขึ้นในราชสำนักของพัทลุง โดยเจ้าเมืองที่มีชื่อว่า “พระยาสายฟ้าฟาด”

พระยาสายฟ้าฟาด มีลูกสาวนามว่า “ศรีมาลา” เธอมีความสามารถในการร่ายรำที่สวยงาม อ่อนช้อย หากแต่วันหนึ่งเกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันขึ้น จู่ๆ ศรีมาลาก็ตั้งครรภ์ทั้งที่ยังไม่ได้แต่งงานหรือข้องแวะกับชายใด ทำให้พระยาสายฟ้าฟาดโกรธเป็นอันมาก จึงสั่งให้นำนางศรีมาลาไปลอยแพในทะเลสาบสงขลา

จนกระทั่งแพได้ไปติดอยู่ที่เกาะใหญ่ วันเวลาผ่านไปนางศรีมาลาก็คลอดบุตรชายที่อุ้มท้องมาอย่างปริศนานั้น และตั้งชื่อว่า “เทพสิงหล”

นางศรีมาลาได้สอนให้เทพสิงหลหัดร่ายรำตามความชื่นชอบ และความถนัดของผู้เป็นแม่ ซึ่งเทพสิงหลก็เรียนรู้ และถ่ายทอดออกมาเป็นการแสดงที่งดงาม ท่วงท่าร่ายรำนั้นอ่อนช้อย ตราตรึงทุกสายตาที่ได้ชม จนเป็นที่กล่าวขาน ลือเลื่องขจรไกล จนข่าวนี้ไปถึงหูพระยาสายฟ้าฟาด ซึ่งตอนนั้น ยังไม่รู้ว่าเทพสิงหลเป็นหลานแท้ๆ ของตน

พระยาสายฟ้าฟาดได้สั่งคนไปเชิญเทพสิงหลให้มารำต่อหน้า เมื่อมีคนติดต่อนางศรีมาลาจึงบอกไปว่า มโนห์ราคณะนี้จะไปรำให้ดูก็ได้ แต่ต้องปูผ้าขาวรองทางเดินตั้งแต่ลงจากเรือ ไปจนถึงลานแสดงที่ตำหนัก ซึ่งเมื่อพระยาสายฟ้าฟาก็ตอบตกลงในเงื่อนไข ด้วยความที่อยากชมการร่ายรำนั้นมาก

จนกระทั่งเมื่อพระยาสายฟ้าฟาดได้ดูการแสดงจนจบ ก็ชื่นชมในความสามารถอันน่าทึ่งสมคำร่ำลือ จึงถอดเครื่องทรงที่ทรงอยู่ให้แก่เทพสิงหล แล้วกล่าวว่า “เครื่องแต่งกายกษัตริย์ชุดนี้ขอมอบให้เป็นเครื่องแต่งกายของโนรานับแต่นี้เป็นต้นไป”

จากนั้นเทพสิงหลจึงเฉลยว่า ตนคือหลานแท้ๆ ของพระยาสายฟ้าฟาด และเมื่อพระยาสายฟ้าฟาดรู้ความจริง ก็ยังความประหลาดใจและดีใจ จึงยอมรับโนราเข้ามาอยู่ราชสำนัก รวมทั้งให้สิทธิแต่งกายเหมือนกษัตริย์ทุกประการนับแต่นั้น

ความพิเศษของโนราอยู่ที่เครื่องแต่งกายที่เป็นแบบชุดละครทรงเครื่องมีเครื่องประดับศีรษะ เครื่องลูกปัดเป็นเสื้อคลุม มีเครื่องประดับตกแต่งตามร่างกายข้อมือและข้อเท้า ทั้งหมด 14 ชิ้น แต่ละชิ้นเต็มไปด้วยศิลปะที่ประณีตงดงาม ได้แก่ เทริด, เครื่องรูปปัด, ปีกนกแอ่น,ซับทรวง หรือ ทับทรวง หรือ ตาบ, ปีก หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าหาง หรือ หางหงส์, ผ้านุ่ง, หน้าเพลา, ผ้าห้อย, หน้าผ้า, กำไลต้นแขนและปลายแขน, กำไล, เล็บ, หน้าพรานและ.หน้าทาสี

นอกจากนี้ ยังรวมถึงท่ารำของโนราที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ เป็นจุดเด่นสะกดสายตาผู้ชม โดยช่วงลำตัวต้องแอ่นอกอยู่เสมอ หลังแอ่น ลำตัวยื่นไปข้างหน้า วงหน้า หมายถึง ส่วนลำคอจนถึงศีรษะ
ต้องเชิดหน้า หรือแหงนขึ้นเล็กน้อยในขณะรำการย่อตัว ทุกส่วนของลำตัวต้องย่อลงเล็กน้อย เข่าย่อ ก้นงอนเล็กน้อย ช่วงสะเอวต้องหัก ลักษณะการเดินรำ หากส่วนเท้าเคลื่อนไหว ช่วงลำตัวจะต้องนิ่ง ส่วนบนมือและวงหน้าจะไปตามลีลาท่ารำ

ท่ารำที่ถือว่าเป็นแม่ท่ามาแต่เดิมนั้นเรียกว่า ท่าสิบสอง ท่ากนก ท่าเครือวัลย์ ท่าฉากน้อย ท่าแมงมุมชักใย ท่าเขาควายและท่ารำบทครูสอนซึ่งเป็นท่าเบื้องต้นที่สอนให้รู้จักการแต่งกายมีอยู่ประมาณ ๘๓ ท่ารำ

มโนห์รา มีแม่บทท่ารำอย่างเดียวกับละครชาตรี บทร้องเป็นกลอนสด นักแสดงต้องอวดลีลาการร้องขับบทกลอนในลักษณะต่างๆ มีเสียงไพเราะดังชัดเจน จังหวะฮึกเหิม ท่วงทำนองกระฉับกระเฉง เร้าใจ เนื้อหาดี มีไหวพริบปฏิภาณในการสรรหาคำให้สัมผัสคล้องจองกันได้อย่างถูกต้องฉับไว เดิมนิยมใช้ผู้ชายล้วนแสดง แต่ปัจจุบันมีผู้หญิงเข้าไปแสดงด้วย

เมื่อเขียนมาถึงจุดนี้ ผู้เขียนรู้สึกทันทีถึงมนต์ขลังแห่งการร่ายรำจากจิตวิญญาณของชาวใต้อันหาไม่ได้จากการแสดงประเภทไหน จึงไม่แปลกใจเลยที่ปัจจุบันจะยังเห็นเยาวชนรุ่นใหม่ไม่น้อยที่สนใจค้นหาความรู้ และสานต่อการร่ายรำที่เต็มไปด้วยเสน่ห์อันมากล้นนี้อย่างมีความสุขและภาคภูมิใจเสมือนหนึ่งได้ถือครองสมบัติอันล้ำค่าจากบรรพบุรุษของพวกเขา รุ่นแล้วรุ่นเล่า

วิถีสยาม มรดกวัฒนธรรมไทย : ‘เสด็จประพาสต้น’ แลไปในสายพระเนตร ตรึงไว้ในความทรงจำ #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/576865

วิถีสยาม มรดกวัฒนธรรมไทย : ‘เสด็จประพาสต้น’  แลไปในสายพระเนตร  ตรึงไว้ในความทรงจำ

วิถีสยาม มรดกวัฒนธรรมไทย : ‘เสด็จประพาสต้น’ แลไปในสายพระเนตร ตรึงไว้ในความทรงจำ

วันอังคาร ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2564, 06.00 น.

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ นอกจากจะทรงเป็นมหาปิยะกษัตริย์ที่ทำนุบำรุงบ้านเมืองสยามให้เจริญรุดหน้า อันเป็นรากฐานแห่งอารยะประเทศ ทั้งการปกครอง การบริหารราชการแผ่นดิน ไม่ว่าจะทั้งในและนอกประเทศอันปรากฏแก่สายตาปวงประชามิรู้ลืมแล้วนั้นภารกิจอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้พสกนิกรของท่านรักและเคารพในพระองค์เป็นล้นพ้น นั่นคือการที่พระองค์ทรงใช้เวลา “เสด็จประพาสต้น”เสด็จท่องเที่ยวเป็นส่วนพระองค์กับข้าราชบริพารที่ใกล้ชิด

เริ่มด้วยเหตุที่ทรงไม่ค่อยสบายพระวรกาย จากการทรงงานตรากตรำพระราชกิจมาก จนไม่มีเวลาพัก พระองค์ทรงมีพระราชกังวล และบรรทมไม่หลับ เสวยไม่ได้หมอหลวงจึงลงความเห็นว่า ต้องเสด็จประพาสเที่ยวไปให้พ้นจากพระราชกิจบ้าง ทำให้พระองค์ต้องพักผ่อนพระราชอิริยาบถตามคำแนะนำของหมอหลวง

โดยการ “เสด็จประพาสต้น” ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ นี้ จะเป็นการ เสด็จประพาสหัวเมืองใหญ่ ในพระราชอาณาเขต พร้อมกับมีพระราชประสงค์จะเข้าไปสัมผัสวิถีชีวิตของราษฎรอย่างใกล้ชิด แบบไม่ถือพระองค์ เพื่อทรงสอดส่องความเป็นอยู่ด้วยสายพระเนตรของพระองค์เอง อย่างที่ไม่เคยมีกษัตริย์องค์ใดทรงทำมาก่อน  

พระองค์ไม่ทรงโปรดฯให้มีหมายกำหนดการใดๆ หรือการจัดรับเสด็จอย่างเป็นทางการ แต่โปรดฯให้จัดการที่เสด็จให้เป็นไปโดยง่าย เสวยอย่างง่าย เพื่อสำราญพระราชอิริยาบถอย่างสามัญ ไม่ปรารถนาให้ราษฎรได้รู้ล่วงหน้า เพราะเกรงว่าพสกนิกรของพระองค์จะเดือดร้อน ต้องเสียเวลาในการเตรียมจัดแต่งปะรำ พลับพลา เตรียมแรงงานในการรับเสด็จ และจะมีแต่ความเกรงกลัวจนทำให้ไม่ได้เห็นสภาพความเป็นจริง

ไม่มีท้องตราสั่งหัวเมืองให้จัดทำที่ประทับแรม สุดแต่จะพอพระราชหฤทัยที่ใดบรรทม ที่ใดเสวยอะไรก็ให้เป็นไปตามพระราชประสงค์แบบง่ายๆ ไม่มีหมายกำหนดการล่วงหน้า บางคราวก็ทรงเรือเล็ก หรือเสด็จโดยสารรถไฟไปไม่แสดงพระองค์ให้ใครรู้จัก

บางคราวทรงปลอมแปลงพระองค์เป็นสามัญชนเข้าไปปะปนกับราษฎร เพื่อที่จะได้ประจักษ์ในความเป็นอยู่ของราษฎรอย่างใกล้ชิด ทำให้พระองค์ได้เห็นความจริงของความเป็นอยู่ และความรู้สึกภายในใจของพสกนิกรของพระองค์อย่างถ่องแท้ แต่บางครั้งก็มีราษฎรบางคนที่สังเกตได้เองนำความปลาบปลื้มเป็นล้นพ้น

ที่เรียกเสด็จประพาสต้นนี้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงอธิบายว่า เกิดแต่เมื่อครั้งเสด็จคราวแรก เพราะมีพระราชประสงค์มิให้ใครได้รู้ ว่าเสด็จไปทรงเรือมาดเก๋ง ๔ แจวลำหนึ่งเรือนั้นไม่พอบรรทุกเครื่องครัว จึงทรงซื้อเรือมาดประทุน ๔ แจว ที่แม่น้ำอ้อม ที่แขวงราชบุรี และโปรดฯ ให้เจ้าหมื่นเสมอใจราช (อ้น) เป็นผู้คุมเครื่องครัว ทรงพระราชดำรัส เรือลำนี้ว่า “เรือตาอ้น” เรียกเร็วๆ เสียงจะกลายเป็น “เรือต้น” เหมือนบทเห่ซึ่งกล่าวว่า“พระเสด็จโดยแดนชล ทรงมีเรือต้นงามเฉิดฉาย”ซึ่งฟังดูไพเราะ แต่เรือประทุนลำนั้นใช้การได้อยู่ไม่มาก จึงเปลี่ยนมาเป็นเรือมาด ๔ แจว กับอีกลำหนึ่ง และโปรดฯ ให้เอาเรือต้นมาใช้เพื่อเป็นเรือพระที่นั่ง โดยมีพระราชประสงค์จะมิให้ผู้ใดทราบว่า เสด็จไปเป็นสำคัญและเรียกการประพาสเช่นนี้ว่า “ประพาสต้น”ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

พระองค์ได้เสด็จประพาสต้น ๒ ครั้ง ครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๗ เป็นการเสด็จทางชลมารค และทางรถไฟเป็นหลักมีจุดเริ่มต้นจากพระราชวังบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๔๗ ผ่านจังหวัดปทุมธานี, นนทบุรี ราชบุรี, สมุทรสงคราม, เพชรบุรี, สมุทรสาคร,นครปฐม, สุพรรณบุรี, อ่างทอง, กลับสู่พระราชวังบางปะอิน แล้วเสด็จโดยทางรถไฟกลับสู่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๔๗  ใช้เวลาทั้งหมด ๒๕ วัน

และถัดมาอีก ๒ ปี ในปี พ.ศ.๒๔๔๙ ก็มีการเสด็จอีกครั้งหนึ่ง เป็นการเสด็จทางชลมารคเป็นหลัก มีจุดเริ่มต้นจากพระราชวังดุสิต กรุงเทพมหานคร ในวันที่ ๒๗ กรกฎาคมร.ศ. ๑๒๕ (พ.ศ. ๒๔๔๙) ผ่านจังหวัดนนทบุรี,ปทุมธานี, พระนครศรีอยุธยา, สระบุรี, อ่างทอง,สิงห์บุรี, ชัยนาท, อุทัยธานี, นครสวรรค์ และกำแพงเพชร ใช้เวลาทั้งหมด ๓๔ วัน

การเสด็จประพาสต้นของพระองค์ก่อเกิดคุณประโยชน์นานัปการแก่ปวงราษฎรทำให้ทรงทราบและแลเห็นความเป็นอยู่ สารทุกข์สุกดิบและความเป็นไปของราษฎรอย่างละเอียด ด้วยสายพระเนตรของพระองค์เอง ตลอดจนความดีหรือไม่ดีของข้าราชการประจำหัวเมืองนั้นๆ อันจะนำมาปรับปรุงแก้ไขเพื่อประโยชน์สุขของปวงราษฎร์เป็นที่ตั้ง   

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เป็นพระมหากษัตริย์ที่ได้สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ประเทศชาติอย่างมากมาย ด้วยพระปรีชาสามารถอันยากยิ่งที่จะมีผู้ใดเสมอเหมือน พระองค์ทรงสอดส่องดูแลทุกข์สุขของปวงประชาด้วยความห่วงใยอยู่ตลอดเวลา แม้ในยามที่ต้องทรงพักผ่อนเพื่อรักษาพระวรกาย

พระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ทั้งในการปกครองบ้านเมือง และพระราชทานความร่มเย็นเป็นสุขแก่ประชาชนตลอดการครองราชย์ ๔๒ ปี ทำให้ประชาชนชาวไทยพร้อมใจกันถวายพระราชสมัญญานามว่า“พระปิยมหาราช” ซึ่งแปลความหมายว่าพระมหากษัตริย์ที่ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชน

วิถีสยาม มรดกวัฒนธรรมไทย : ๑๕๓ ปี กับตำนานอันน่าทึ่ง ของคลองขุดตรง นาม ‘ดำเนินสะดวก’ #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/575264

วิถีสยาม มรดกวัฒนธรรมไทย : ๑๕๓ ปี กับตำนานอันน่าทึ่ง  ของคลองขุดตรง นาม‘ดำเนินสะดวก’

วิถีสยาม มรดกวัฒนธรรมไทย : ๑๕๓ ปี กับตำนานอันน่าทึ่ง ของคลองขุดตรง นาม‘ดำเนินสะดวก’

วันอังคาร ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2564, 06.00 น.

ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ไม่เปลี่ยนแปลง ในทุกๆ วันดวงอาทิตย์มีขึ้นมีลง ต้นไม้ยังผลิดอกออกใบ เด็กน้อยค่อยๆ เติบโต หนุ่มสาวมุ่งไปข้างหน้าเพื่ออนาคตที่สดใส โบราณสถานเก่าแก่แค่ไหนก็ยังคงต้องบูรณะ สิ่งที่หยุดนิ่งคือสิ่งที่ตายแล้วเท่านั้น

ในประวัติศาสตร์ชาติไทยก็ผ่านความเปลี่ยนแปลงโดยบูรพมหากษัตริย์ทุกยุคสมัย นำพาความเจริญรุ่งเรืองให้ปวงประชาเรื่อยมา

วันนี้ในอดีต เป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งที่ประชาชนชาวไทยต้องจดจำ ในส่วนของการของการคมนาคม ระหว่างกรุงเทพฯ สมุทรสงคราม และราชบุรี ถือเป็นวันกำเนิดของ “คลองดำเนินสะดวก” เส้นทางน้ำที่ทำให้ผู้คนได้ดำเนินสะดวกสมชื่อ

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ได้ทรงมีพระราชดำริว่า “การคมนาคมที่ไปมาระหว่างกรุงเทพฯ สมุทรสาคร มีคลองภาษีเจริญการสัญจรไปมาได้สะดวกดี แต่ถ้ามีคลองระหว่างกรุงเทพฯสมุทรสงคราม และราชบุรีก็จะสะดวกขึ้นอีกเป็นอันมาก โดยอาศัยแม่น้ำแม่กลองเป็นสื่อกลาง เมื่อเป็นคลองได้การไปมาหาสู่โดยทางน้ำก็จะมีความสามารถและคล่องตัวมากยิ่งขึ้น”

ใน พ.ศ.๒๔๙๐ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์(ช่วง บุนนาค) ที่พระสมุหกลาโหม เมื่อครั้งยังพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น พระปราสาทสิทธิ์เป็นผู้อำนวยการควบคุมดูแลการขุดคลองที่เชื่อมจากแม่น้ำท่าจีนเริ่มจากปากคลองบางยาง อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร กับแม่น้ำแม่กลอง ตำบลบางนกแขวก อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม 

เป็นเรื่องที่น่าทึ่งว่า การขุดดินนี้ใช้กำลังแรงงานของคนล้วนๆ โดยไม่มีการใช้เครื่องจักรหรือเครื่องทุ่นแรงอย่างอื่นเลย เป็นกำลังของทหาร ข้าราชการประชาชน ตลอดจนชาวจีนที่มาอาศัยอยู่ในเมืองไทยใหม่ๆ ร่วมกันขุด ซึ่งแรงงานส่วนมากจะเป็นคนจีนเป็นผู้รับจ้างขุด และเป็นการขุดคลองตรงหากเดือนหงายกลางคืนจะขุดกันทั้งคืนเพราะเลี่ยงอากาศร้อน คนจีนสมัยนั้นส่วนมากจะไว้ผมเปีย เมื่อทำงานตอนกลางคืนจะนุ่งผ้าเตี่ยวผืนเดียวขุดดินใส่บุ้งกี๋ แล้วก็หาบดินนั้นเอาขึ้นไปทิ้งนอกเขต 

หลังจากที่ขุดเสร็จ รัชกาลที่ ๔ ทรงเห็นว่าเป็นคลองที่มีเส้นตรง ได้รับความสะดวกในการสัญจร จึงพระราชทานนามคลองที่ขุดใหม่นี้ว่า “คลองดำเนินสะดวก”และได้ทำพิธีเปิดใช้คลองนี้เมื่อวันจันทร์เดือน ๗ ขึ้น ๔ ค่ำ ตรงกับวันที่ ๒๕ พฤษภาคมพ.ศ.๒๔๑๑ นับรวมอายุคลองจนถึงวันนี้ได้ ๑๕๓ ปี

คลองดำเนินสะดวกนี้เดิมมีความยาวมากถึง
๓๕ กิโลเมตร เมื่อแรกขุดนั้นกว้างประมาณ ๖ วา
และลึก ๖ ศอก แต่นานเข้าตลิ่งถูกน้ำพัดผ่านกัดเซาะ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลจากแรงกระทบของคลื่นเรือยนต์ประเภทต่างๆ เป็นเหตุให้คลองขุดขยายกว้างขึ้นเป็น ๑๐ วาบ้าง ๑๕ วาบ้าง และบางแห่งกว้าง ๒๐ วา ก็มี เป็นคลองที่ผ่านเขตถึง ๓ อำเภอใน ๓ จังหวัด คือ อำเภอบ้านแพ้ว อำเภอดำเนินสะดวก อำเภอบางคนที

ธรรมดาของคลองสมัยโบราณจะมีหลักเขตเพื่อบอกที่อยู่ที่แน่ชัดของผู้คนริมคลอง มีเสาหินสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ ๑๐ × ๑๐ นิ้ว ปักไว้ที่พื้นดินหลักเขตจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความยาวของคลอง คือ หลักละ ๑๐๐ เส้น (๔ กิโลเมตร) 

สำหรับคลองดำเนินสะดวกนั้น มีหลักทั้งหมด ๘ หลัก แต่ละหลักจะสลักและเขียนสีแดงเป็น ๓ ภาษา คือ เลขไทย โรมัน จีน บอกเลขไว้ทุกหลัก ประตูน้ำของคลองดำเนินสะดวกมี ๒ แห่ง คือประตูน้ำบางยาง ในอ.บ้านแพ้วจ.สมุทรสาคร และประตูน้ำบางนกแขวก ในอ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม ทั้ง ๒ แห่งกว้าง๖ เมตร สูง ๕ เมตร สร้างขึ้นเป็นทางปล่อยเรือเข้าออกคลองซึ่งมีมากมายในสมัยก่อน และยังสามารถกั้นน้ำเค็มที่จะทำลายผลผลิตของชาวบ้านได้อีกด้วย

และในสมัยสงครามโลก ครั้งที่ ๒ กองทัพญี่ปุ่นได้ใช้คลองดำเนินสะดวกเป็นเส้นทางเดินทางไปยัง จ.ราชบุรี ประตูน้ำทั้ง ๒ แห่งได้ถูกทำลายลงในปี พ.ศ. ๒๔๘๘ จากระเบิดของฝ่ายสัมพันธไมตรีเพื่อขัดขวางการเดินเรือของญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม ประตูน้ำทั้ง ๒ แห่ง ก็ได้รับการสร้างขึ้นมาใหม่เช่นเดิม งบประมาณในการขุดคลองดำเนินสะดวก ใช้งบประมาณ ๑,๔๐๐ ชั่งเป็นเงิน ๑๑๒,๐๐๐ บาท โดยเป็นทรัพย์สินของร.๔ จำนวน ๔๐๐ ชั่ง ของสมเด็จพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ จำนวน ๑,๐๐๐ ชั่ง

และเนื่องจากสมเด็จพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ ร.๔ จึงทรงอนุญาตให้ท่านและคนในสายสกุลบุนนาคเข้าจับจองที่ดิน๒ ฝั่งคลองได้ 

ทำให้มีเจ้านายผู้ใหญ่หลายคนมาจับจองที่ดินซึ่งเป็นป่ารก ดงอ้อ ดงแขม พร้อมขุดคลองน้อย คลองซอยแยกจากคลองใหญ่เพื่อเข้าสู่พื้นที่ของตนจากป่าดงพงแขม กลายเป็นพื้นที่เกษตรกรรมหลักของชาวดำเนินสะดวกในการเลี้ยงชีพจนทุกวันนี้

ไม่ว่าจะเป็นการปลูกฝรั่ง ชมพู่ มะกอก พุทรา มะยม ลิ้นจี่ ขนุน มะม่วงมะพร้าว หัวหอม แตงโม แตงร้าน แปะฉ่ายหรือสินค้าจำพวกพริกแห้ง หอม กระเทียมล้วนมาจากที่นี่ทั้งสิ้น

หลังจากที่เปิดใช้คลองดำเนินสะดวกแล้ว คลองก็เต็มไปด้วยเรือนานาชนิดที่สัญจรไปมาไม่เว้นแต่กลางคืน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นเรือพ่อค้าแม่ค้าชาวจีนจากที่ต่างๆ ที่อพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในตอนต้นสมัยรัตนโกสินทร์ ส่วนมากเป็นแต้จิ๋ว และฮกเกี้ยน

ลิ้มหรือแซ่ลิ้ม เป็นตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งในคลองดำเนินสะดวก นอกจากนี้ก็มีอีกหลายตระกูล ทำให้มีลูกหลานว่านเครือสืบทอดมาจนทุกวันนี้ หากล่องไปตามคลองก็จะเห็นศาลเจ้าอยู่คู่กับชุมชนชาวจีนหลายสิบแห่ง เป็นเส้นทางคมนาคมค้าขายที่สำคัญยิ่งแห่งหนึ่งในเมืองไทย

จนกระทั่งภายหลังมีการตัดถนนใหม่ ย่นระยะทางให้สั้นลง และเข้าถึงทุกที่ ในขณะที่คลองซอย ซึ่งมีมากถึง ๒๐๐ สาย เริ่มตื้นเขิน และค่อยๆ เลิกใช้ไป

เมื่อจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นมากความเจริญ และเทคโนโลยีก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว ในเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยผู้คนกลับต้องถมคลองเพื่อขยายถนนให้รถราสัญจรได้สะดวก ใช้เครื่องยนต์ เครื่องจักรที่ทันสมัยทดแทนแรงงาน

สำหรับคลองดำเนินสะดวก แม้จะเปลี่ยนวิถีไปบ้าง แต่ก็ยังเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงหลายชีวิตที่อยู่ริมน้ำ เคียงคู่ประวัติศาสตร์การก่อสร้างอันน่าทึ่ง ที่ไว้คอยบอกเล่าให้ลูกหลานฟัง อย่างภูมิใจตราบนานเท่านาน

ปัจจุบันคลองแห่งนี้ได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดราชบุรีคือ “ตลาดน้ำดำเนินสะดวก” นั่นเอง

วิถีสยาม มรดกวัฒนธรรมไทย : ‘เพชรบุรี’ เมืองแห่งประวัตศาสตร์เก่าแก่ ที่ผ่านเรื่องเล่าไม่รู้จบ ตอนที่ 2 #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/571920

วิถีสยาม มรดกวัฒนธรรมไทย : ‘เพชรบุรี’เมืองแห่งประวัตศาสตร์เก่าแก่  ที่ผ่านเรื่องเล่าไม่รู้จบ ตอนที่ 2

วิถีสยาม มรดกวัฒนธรรมไทย : ‘เพชรบุรี’เมืองแห่งประวัตศาสตร์เก่าแก่ ที่ผ่านเรื่องเล่าไม่รู้จบ ตอนที่ 2

วันอังคาร ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2564, 06.00 น.

หลับตาดิ่งลึกลงไปยังห้วงจินตนาการอดีตของเมืองเพชรผ่านการศึกษาข้อมูล และรูปขาว-ดำที่เริ่มมีการบันทึกไว้ เนื่องจากวิชาการถ่ายรูปได้ถูกนำเข้ามาเผยแพร่ เมื่อต้นรัชสมัยรัชกาลที่ 4คราวที่อารยธรรมจากตะวันตกหลั่งไหลเข้ามายังดินแดนสยามประเทศ โดยนักสอนศาสนาชาวฝรั่งเศส ปาลเลอกัว (P.Pallegois) ทำให้ประวัติศาสตร์ในความทรงจำของผู้เขียนฉายชัดให้รำลึกได้ ภาพหนึ่งภาพแทนคำพูดนับล้านคำ  ประโยคนี้ไม่ได้เกินจริงเลย

อ่านข่าวเพิ่มเติมตอนที่1 : วิถีสยาม มรดกวัฒนธรรมไทย : ‘เพชรบุรี’ เมืองแห่งประวัติศาสตร์เก่าแก่ อารยธรรมที่ผ่านเรื่องเล่าไม่รู้จบแห่งสยาม (ตอนที่ 1)

“เพชรบุรี” เป็นที่ตั้งของพระราชวังที่สร้างขึ้นในหัวเมืองมาตั้งแต่ครั้ง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตข้าวที่สำคัญ คนดั้งเดิมส่วนใหญ่จึงเป็นชาวนา ปลูกข้าว และชาวสวน ปลูกต้นตาลโตนด โดย รัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชพิธีแรกนาบริเวณที่นาส่วนพระองค์ บริเวณด้านหน้าพระนครคีรี และเสด็จฯไปทรงเป็นประธานในพระราชพิธีดังกล่าว นับเป็นการบำรุงขวัญและเป็นสิริมงคลแก่ราษฎรที่ประกอบอาชีพทำนา

สินค้าหลักของเมืองท่าเพชรบุรีคือ ข้าว ผ้าและฝ้าย ในสมัยต่อมาจึงเริ่มมีสินค้าประเทศอื่น คือหม้อตาล สินค้าพื้นเมืองที่ส่งไปขายยังกรุงเทพฯ อยุธยา และเมืองอื่นๆ

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดปรานเมือง “เพชรบุรี” ตั้งแต่ครั้งยังผนวช และเมื่อขึ้นครองราชย์แล้ว โปรดให้สร้างพระราชวัง วัด และพระเจดีย์ใหญ่ขึ้นบนยอดเขาทั้งสามยอดติดต่อกัน คือ ยอดเขาทางทิศตะวันตก ทรงสร้างพระที่นั่งที่ประทับ ยอดเขาตะวันออกทรงสร้างวัดพระแก้วน้อย และยอดกลาง ทรงสร้างพระธาตุจอมเพชรพระราชทานนามว่า “พระนครคีรี” ตั้งอยู่ที่ตำบลคลองกระแชง อำเภอเมือง เพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงบันทึกถึงพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไว้ในหนังสือ ความทรงจำว่า 

“…พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระดำริเห็นว่า ถึงคราวโลกยวิสัยจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ด้วยฝรั่งมามีอำนาจขึ้นทางตะวันออกนี้ และประเทศไทยอาจจะมีการเกี่ยวข้องกับฝรั่งขึ้นในวันข้างหน้า จึงทรงเริ่มศึกษาภาษาอังกฤษ…วิชาความรู้ต่างๆ ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงศึกษาจากตำราภาษาอังกฤษจะมีอย่างไรบ้าง ข้อนี้มีหลักฐานปรากฏ แต่ว่าได้ทรงศึกษาวิชาคณนาวิธีอย่างหนึ่ง…ถึงตอนพระชันษาระหว่าง40 กับ 47 ทรงเริ่มศึกษาภาษาอังกฤษกับทั้งวิชาความรู้ต่างๆ ของฝรั่ง…”

จากการที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงศึกษาวิชาความรู้ต่างๆของฝรั่งนี้จึงทรงนำแบบอย่างของสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกมาก่อสร้างพระราชวัง และพระที่นั่งต่างๆ ในรัชสมัยของพระองค์เช่น พระที่นั่งอนันตสมาคม ในหมู่พระอภิเนาว์นิเวศน์ ในพระบรมมหาราชวัง และ พระนครคีรี เป็นต้น

เมื่อกรมศิลปากรบูรณะพระนครคีรีแล้ว มีประกาศจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครคีรี เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม พุทธศักราช 2522 เป็นพิพิธภัณฑสถานประเภทอนุสรณ์สถาน โบราณศิลปวัตถุที่ตั้งแต่งอยู่ในห้องต่างๆ แต่เดิมนั้นได้ถูกนำไปเก็บรักษาไว้ที่อื่น ยกเว้นเครื่องราชูปโภคบางองค์ที่ยังคงตั้งอยู่ในสภาพชำรุด กรมศิลปากรจึงดำเนินการบูรณะอาคารและนำเครื่องราชูปโภคทั้งหมดที่ได้รับมอบกลับคืนมา

หากท่านใดอยากไปสัมผัสกับประวัติศาสตร์และโบราณสถานอันทรงคุณค่าทั้งทางด้านวัตถุ และจิตวิญญาณของปวงชนชาวไทยแห่งนี้ สามารถเดินทางไปชมด้วยตัวเองได้ที่ “อุทยานประวัติศาสตร์และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครคีรี” จ.เพชรบุรี แล้วคุณจะรู้ว่าเครื่องไทม์แมชชีนย้อนเวลานั้นมีอยู่จริง