สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : ขับเคลื่อนคลองวังโตนดสู่เป้าหมาย #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/586187

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : ขับเคลื่อนคลองวังโตนดสู่เป้าหมาย

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : ขับเคลื่อนคลองวังโตนดสู่เป้าหมาย

วันศุกร์ ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2564, 06.00 น.

มั่นใจขึ้นมาอีกระดับหนึ่งว่า เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(EEC) ซึ่งมีพื้นที่ครอบคลุม 3 จังหวัดคือ ระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา จะมีความมั่นคงเรื่องน้ำ เมื่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เห็นชอบรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัย และคุณภาพชีวิตของประชาชน(EHIA) โครงการอ่างเก็บน้ำคลองวังโตนด จ.จันทบุรี ของกรมชลประทาน

โครงการดังกล่าวอยู่จันทบุรี เกี่ยวกับ EEC อย่างไร?

น้ำต้นทุนที่ใช้ในพื้นที่ EEC ปัจจุบันมีประมาณ 2,539 ล้าน ลบ.ม ในขณะที่ความต้องการใช้น้ำในทุกภาคส่วนรวมกันประมาณ 2,419 ล้านลบ.ม. มีความเสี่ยงที่จะขาดแคลนน้ำสูงหากไม่มีการพัฒนาแหล่งน้ำเพิ่ม เพราะจากการประเมินความต้องใช้น้ำในอนาคตพบว่า ปี 2570จะมีความต้องการใช้ 2,888 ล้านลบ.ม. และปี 2580 จะเพิ่มขึ้นเป็น 3,089 ล้านลบ.ม. หรือเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 670 ล้าน ลบ.ม.

ดังนั้นจำเป็นจะต้องวางแผนพัฒนาแหล่งน้ำเพิ่มตั้งแต่ขณะนี้ มิฉะนั้นอีก 10 ปี EEC เกิดวิกฤติขาดแคลนน้ำแน่นอน และโครงการอ่างฯคลองวังโตนดก็เป็นหนึ่งในแผนที่จะช่วยพื้นที่ EEC ให้มีความมั่นคงเรื่องน้ำ

วันก่อนผมได้มีโอกาสสนทนากับอธิบดีกรมชลประทาน “ประพิศ จันทร์มา”

ท่านอธิบดีบอกว่า ตามแผนพัฒนาลุ่มน้ำคลองวังโตนด จะสร้างอ่างเก็บน้ำทั้งหมด 4 แห่ง คือ อ่างฯคลองประแกด ความจุ 60 ล้านลบ.ม. ขณะนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว อ่างฯคลองพะวาใหญ่ ความจุ 68 ล้านลบ.ม. อ่างฯคลองหางแมว ความจุ 80 ล้านลบ.ม. จะแล้วเสร็จในปี 2565 และอ่างฯคลองวังโตนด ความจุ99.5 ล้านลบ.ม. ขณะนี้ ผ่าน EHIA รวมปริมาณน้ำที่กักเก็บได้ทั้งหมด 307.5 ล้านลบ.ม. มีพื้นที่รับประโยชน์ถึง 249,700 ไร่ ช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง และคุณภาพน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะสร้างความอุดมสมบูรณ์และมีความมั่นคงในเรื่องน้ำให้ทั่วทั้งลุ่มน้ำ

นอกจากนี้ยังจะผันน้ำส่วนเกินในช่วงฤดูฝน สูงสุดอีกปีละประมาณ 140 ล้านลบ.ม. ไปเติบให้กับอ่างฯประแสร์ จ.ระยอง ก่อนที่จะจัดสรรผ่านโครงข่ายน้ำไปใช้ใน EEC ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นคงเรื่องน้ำให้ EEC อย่างยั่งยืนอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม แม้โครงการอ่างฯคลองวังโตนดจะสร้างประโยชน์มากมาย แต่ก็ถูกต่อต้านจาก NGO ที่ใช้ชื่อว่า “เครือข่ายองค์กรอนุรักษ์” โดยกล่าวหาว่าคณะกรรมการสิ่งแวลล้อมแห่งชาติ
“ลักหลับ” ผ่าน EHIA คลองวังโตนด แต่ดูเหมือนข้อกล่าวหานี้จะฟังไม่ค่อยขึ้น เพราะอธิบดีประพิศยืนยันไม่มีลักหลับ การจัดทำ EHIA ครั้งนี้เข้มข้นมากเป็นไปตามเงื่อนไขและข้อสั่งการของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมทุกประการ เพื่อลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะข้อกังวลในเรื่องสัตว์ป่า โดยเฉพาะช้างป่านั้น จะมีการสร้างโป่งเทียม การสร้างแหล่งน้ำใหม่ การสร้างแหล่งอาหารสำรองสำหรับช้างและสัตว์ป่าการสร้างรั้วกันช้างรอบอุทยานแห่งชาติยาวประมาณ 60 กิโลเมตร และปลูกป่าทดแทนอีก 2 เท่าของพื้นที่ป่าที่ได้รับผลกระทบ หรือประมาณ 29,200 ไร่ พร้อมจัดตั้งหน่วยพิทักษ์อุทยานขึ้นมาดูแล รวมทั้งยังได้จัดสรรงบประมาณสนับสนุน 15 ปี มากกว่า 600 ล้านบาทอีกด้วย

ส่วนผลกระทบต่อประชาชนในเรื่องที่ทำกินและที่อยู่อาศัยนั้น จะพิจารณาช่วยเหลือเป็นกรณีไป โดยจะมีการจ่ายค่าชดเชยพิเศษ สร้างบ้านมั่นคงชนบท ซึ่งขณะนี้ได้จัดหาที่สำรองไว้ให้ประมาณ 800 ไร่

ผมว่า เรื่องนี้ NGO น่าจะรู้ดี แต่อาจจะแกล้งไม่รู้

หลังจากผ่านคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแล้ว ขั้นตอนต่อไปการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนผู้ใช้น้ำ รวมถึงผู้มีส่วนได้-เสียของโครงการ ขั้นตอนนี้กรมชลประทานจะต้องวางแผนดำเนินงานให้ได้ตามระยะเวลาที่กำหนด

ระวัง!!!จะถูก NGO เตะถ่วง จนหมดเวลา….สร้างไม่ได้หรือไม่ได้สร้าง นอกจากประชาชนในพื้นที่จะเดือดร้อนแล้ว EEC ก็จะวิกฤติเรื่องน้ำด้วย

วางแผนให้ดี ทำตามกฎหมายทุกข้อ ประชาสัมพันธ์ทั้งรุกและรับทุกช่องทาง ให้ประชาชนทั้งในพื้นที่และทั่วประเทศได้รับทราบอย่างต่อเนื่องจาก….ลุ่มน้ำคลองวังโตนดจะเป็นลุ่มน้ำตัวอย่างของการพัฒนาแหล่งน้ำที่มีประสิทธิภาพและสมบูรณ์แบบแน่นอน

รัฐศักดิ์ พลสิงห์

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : อุบัติเหตุกับการชะลอขายยาง #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/584515

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : อุบัติเหตุกับการชะลอขายยาง

วันศุกร์ ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2564, 06.00 น.

ผมยังจำเหตุการณ์เมื่อปีที่แล้วได้ดี ผมมีโอกาสเดินทางไปพื้นที่รอยต่อภาคเหนือและภาคอีสาน ผ่านสวนยางพาราจำนวนมาก เจอรถตู้วิ่งมาดีๆเข้าโค้งแล้วหมุนประสบอุบัติเหตุตกลงข้างทาง อีกสักครู่เห็นบิ๊กไบค์ล้มลื่นไถลตามพื้นที่ถนนบริเวณเดียวกันผมรีบจอดรถลงไปช่วย โชคดีที่ไม่มีใครเป็นอะไรมาก

ระหว่างที่ผมเดินบนถนนจะเอาสายสลิงไปเกาะรถตู้ เพื่อลากขึ้นมาบนถนน เนื่องจากรถยนต์ผมมีวินซ์ (รอกที่ใช้ลากรถหรือวัตถุที่มีน้ำหนักมาก) นั้น ผมเกือบล้มเหมือนเหยียบน้ำมัน ซึ่งต่อมาผมถึงรู้ว่า ไม่ใช่น้ำมัน แต่มันคือ น้ำยางพารา ที่ชาวบ้านขนส่งแล้วหกลงบนถนน จนกลายเป็นสาเหตุทำให้รถตู้ และบิ๊กไบค์ประสบอุบัติเหตุในครั้งนี้

เมื่อเร็วๆ ได้อ่านข่าว คณะกรรมการการยางแห่งประเทศไทย(กยท.) ไฟเขียวให้ กยท.ดำเนินโครงการชะลอการขายยางของสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง เพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง ระยะ 2 หลังจากประสบผลสำเร็จในโครงการนำร่องที่ดำเนินการเฉพาะยางก้อนถ้วยของสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางเขตภาคเหนือ ทำให้ผมนึกถึงอุบัติเหตุที่ผมได้เห็นเมื่อปีที่แล้ว

ณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการ กยท. บอกว่า โครงการนำร่อง นอกจากจะประสบผลสำเร็จทำให้ราคายางก้อนถ้วยมีเสถียรภาพมากขึ้น เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น จากผลต่างของราคาที่จำหน่ายสูงสุดถึง 4.50 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้ราคายางที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยจาก 26.56 บาทต่อกิโลกรัมเป็นราคาเฉลี่ย 29.72 บาท หรือเพิ่มขึ้น 3.16 บาทต่อกิโลกรัมแล้ว ยังช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของอาชีพการทำสวนยาง สามารถลดมลภาวะเป็นพิษ ลดอุบัติเหตุทางท้องถนน จากการขนส่งยางก้อนถ้วยเปียกบนท้องถนน ทำให้ถนนเลื่อนได้

วันนี้ขอนำโครงการดีๆ ของ กยท.ดังกล่าวมาเขียนถึงนะครับ

สถานการณ์ราคายางเริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง จากราคายางแผ่นลมควันชั้น 3 เมื่อเดือนพฤษภาคมราคาพุ่งขึ้นถึง 70 บาทต่อกิโลกรัม ตอนนี้ลงมาเหลือที่ 57 บาทต่อกิโลกรัม เช่นเดียวกับยางแผ่นดิบขณะนี้ราคา 56 บาทต่อกิโลกรัม น้ำยางสดลงมาต่ำกว่า 50 บาทต่อกิโลกรัม

การดำเนินโครงการชะลอการขายยางของสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ 2 ดังกล่าว กยท.มั่นใจว่าจะทำให้ราคายางมีเสถียรภาพ เพราะเป็นการชะลอปริมาณผลผลิตยางพาราออกสู่ตลาด ช่วยให้สถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง มีสภาพคล่องทางการเงินในระหว่างรอขายผลผลิต เมื่อสินค้าออกสู่ตลาดน้อย ราคาก็จะเพิ่มขึ้นตามกลไกทางการตลาด ในขณะที่ผู้ประกอบการจะได้ยางที่มีคุณภาพที่ดี รวมทั้งยังเป็นการยกระดับราคาซื้อขายยางในตลาด และเกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม โดยสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางที่ขึ้นทะเบียนกับกยท.จะทำหน้าที่ในการขับเคลื่อนบริหารจัดการยางทั้งหมด

โครงการนี้ กยท. ไม่ได้ดำเนินการเฉพาะยางก้อนถ้วยเท่านั้น แต่ยังขยายผลดำเนินโครงการฯ กับน้ำยางสด ยางแผ่นดิบยางแผ่นรมควันด้วย โดยตั้งเป้าในการดำนินโครงการฯไว้ ประมาณ 20,300 ตัน ระยะเวลาของโครงการตั้งแต่ขณะนี้ไปจนถึงเดือน กันยายน 2564

แต่ยางที่เข้าร่วมโครงการ กยท.ได้กำหนดเงื่อนไขว่า จะต้องเป็นยางที่มีคุณภาพ โดย ยางก้อนถ้วยจะต้องมีเป็นยางที่มีค่า DRC 75% และสามารถเก็บได้ไม่น้อยกว่า 1 เดือน โดยไม่เสียคุณภาพ ส่วนน้ำยางสด กำหนดค่า DRC 100% และจะต้องเก็บได้ไม่น้อยกว่า 10 วัน โดยไม่เสียคุณภาพ ในแท็งก์ที่ได้มาตรฐานที่ กยท. กำหนด ในขณะที่ยางแผ่นดิบ ยางแผ่นรมควัน จะต้องเก็บได้ไม่น้อยกว่า 1 เดือนโดยไม่เสียคุณภาพ

เงื่อนไขนี่แหละ..ที่จะช่วยลดอุบัติเหตุที่ผมกล่าวในเบื้องต้นได้ สำหรับสถาบันเกษตรกรที่สนใจร่วมโครงการฯสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานของ กยท.ทั่วประเทศ

รัฐศักดิ์ พลสิงห์

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : ฟันธง!! EEC มั่นคงเรื่องน้ำ #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/582756

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : ฟันธง!! EEC มั่นคงเรื่องน้ำ

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : ฟันธง!! EEC มั่นคงเรื่องน้ำ

วันศุกร์ ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2564, 06.00 น.

ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(EEC) ซึ่งมีพื้นที่ครอบคลุม 3 จังหวัดภาคตะวันออก ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง รัฐบาลได้มุ่งหวังที่จะพัฒนาเป็นสมาร์ทซิตี้หรือเมืองอัจฉริยะ ที่มีการเติบโตทั้งภาคธุรกิจภาคอุตสาหกรรม ภาคท่องเที่ยวและภาคเกษตรกรรมอย่างต่อเนื่องแต่การที่จะขับเคลื่อนให้ไปถึงเป้าหมายได้นั้น จำเป็นจะต้องมีสาธารณูปโภคพื้นฐานรองรับ โดยเฉพาะในเรืื่องของ “น้ำ” อย่างพอเพียง

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าแผนการพัฒนาแหล่งน้ำ และความพร้อมรับมือฤดูฝน 2564 ในพื้นที่ภาคตะวันออก
และ EEC

ได้ฟังรายงานจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องแล้ว น่าจะสบายใจได้ว่าพื้นที่ EEC จะมีความมั่นคงในเรื่องน้ำ อาทิ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้รายงานถึงการดำเนินการตามมาตรการรับมือฤดูฝนในพื้นที่ภาคตะวันออกและภาพรวม การจัดการน้ำสนับสนุนอีอีซี ทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจของ EEC และความต้องการใช้น้ำในอนาคต กรมชลประทานได้รายงานถึงแนวทางการบริหารจัดการน้ำรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของอีอีซีในอนาคต เป็นต้น

จากการศึกษาของ สทนช.พบว่า ในปี 2570 จะมีความต้องการใช้ 2,888 ล้าน ลบ.ม. และปี 2580 มีความต้องการใช้น้ำ 3,089 ล้าน ลบ.ม. จากปัจจุบันที่มีความต้องการใช้น้ำในทุกภาคส่วนรวมกันประมาณ 2,419 ล้าน ลบ.ม. ในขณะที่มีปริมาณน้ำต้นทุนทั้งสิ้น 2,539 ล้าน ลบ.ม.

“ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2561 – 2563 รัฐบาลได้เร่งรัดโครงการพัฒนาแหล่งน้ำในภาคตะวันออกในทุกรูปแบบ เพื่อให้มีพื้นที่เก็บกักน้ำฝนให้มากที่สุด สามารถรองรับความต้องการใช้น้ำในพื้นที่ทั้งภาคประชาชน เศรษฐกิจ เกษตร อุตสาหกรรมได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะในพื้นที่กลุ่มจังหวัด EEC มีโครงการแหล่งน้ำเกิดขึ้นแล้วถึง 2,872 โครงการ พื้นที่รับประโยชน์ 372,950 ไร่ ประชาชนได้รับประโยชน์ 136,751 ครัวเรือน ปริมาณน้ำเก็บกักเพิ่มขึ้นประมาณ 138 ล้านลบ.ม.” รองนายกรัฐมนตรีกล่าว

โครงการสำคัญๆ ที่รัฐบาลได้ดำเนินการ เช่น การเพิ่มศักยภาพการเก็บกักอ่างเก็บน้ำคลองสียัด เพิ่มความจุอ่างเก็บน้ำหนองค้อ เพิ่มความจุอ่างเก็บน้ำคลองหลวงรัชชโลธร ก่อสร้างปรับปรุงขยายกปภ.สาขาบ้านฉาง การเพิ่มประสิทธิภาพอ่างเก็บน้ำประแสร์ จ.ระยอง เป็นต้น

ส่วนแผนงานในอนาคตเพื่อรองรับความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นนั้นมีทั้งสิ้น 38 โครงการ ใน 9 กลุ่มโครงการหลัก ได้แก่ การก่อสร้างแหล่งน้ำใหม่ ปรับปรุงแหล่งน้ำเดิม ก่อสร้างโครงข่ายน้ำใหม่ ปรับปรุงโครงข่ายน้ำเดิม ก่อสร้างระบบสูบกลับ ขุดลอก/แก้มลิงพื้นที่ลุ่มต่ำ บ่อบาดาลอุตสาหกรรม สระเอกชน และการผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล เพื่อให้มีปริมาณน้ำต้นทุนเพิ่มขึ้น872 ล้าน ลบ.ม. โดยโครงการทั้งหมดจะแล้วเสร็จภายในปี 2580

อย่างไรก็ตาม ในระยะเร่งด่วน สทนช. ได้บูรณาการ เร่งรัดการขับเคลื่อนตามแผนงานโครงการไปแล้ว 17 โครงการ ดำเนินการแล้วเสร็จ 6 โครงการ ได้น้ำเพิ่มขึ้นประมาณ 111 ล้าน ลบ.ม. อยู่ระหว่างก่อสร้าง 11 โครงการ คาดว่าแล้วเสร็จภายในปี 2567 จะได้น้ำเพิ่มขึ้นอีก 151 ล้าน ลบ.ม.

นอกจากนี้ได้เสนอให้มีการเร่งรัดโครงการที่สำคัญอีก 12 โครงการ ซึ่งเป็นโครงการที่ต้องใช้ระยะเวลาในการศึกษาความเหมาะสม การมีส่วนร่วมกับประชาชน และโครงการที่ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยให้หน่วยงานปรับแผนดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี 2569 จะได้น้ำเพิ่มขึ้น 183 ล้าน ลบ.ม. ได้แก่ โครงการอ่างเก็บน้ำคลองโพล้ จ.ระยอง อ่างเก็บน้ำบ้านหนองกระทิง จ.ฉะเชิงเทรา ระบบสูบกลับอ่างเก็บน้ำคลองสียัด จ.ฉะเชิงเทรา เป็นต้น อีก 9 โครงการ สทนช.จะกำกับให้ดำเนินการตามแผนงานของหน่วยงาน โดยแล้วเสร็จภายในปี 2573 จะได้น้ำเพิ่มขึ้น 426 ล้าน ลบ.ม.

ดังนั้น พื้นที่ EEC จะมีน้ำเพียงพอกับความต้องการอย่างแน่นอน…. “บิ๊กป้อม”ฟันธง!!

รัฐศักดิ์ พลสิงห์

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : ผลงานด้านน้ำกับภาวะฝนทิ้งช่วง #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/581057

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : ผลงานด้านน้ำกับภาวะฝนทิ้งช่วง

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : ผลงานด้านน้ำกับภาวะฝนทิ้งช่วง

วันศุกร์ ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2564, 06.00 น.

ปีนี้แม้ฝนจะตกเร็วตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 ที่ผ่านมา เหมือนธรรมชาติจะหลอกให้เกษตรกรเริ่มปักดำทำนาปี พอถึงเดือนพฤษภาคม ต่อเนื่องมาถึงต้นเดือนมิถุนายน 2564 ฝนกลับทิ้งช่วง นาข้าวหลายพื้นที่ได้รับผลกระทบโดยเฉพาะลุ่มเจ้าพระยาอู่ข้าวอู่น้ำของไทย

ท่าน สส.นพพล เหลืองทองนาราจากเมือง 2 แควพิษณุโลก พรรคเพื่อไทย ถือโอกาสอัดรัฐบาล โดยเฉพาะท่านรองนายกฯ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) กับคำถามที่ว่า “..โกหกหรือไม่ที่บอกว่า ประเทศไทยไม่มีภัยแล้ง เพราะในความเป็นจริงเกษตรกรประสบปัญหาภัยแล้งมาอย่างต่อเนื่องล่าสุดข้าวกำลังยืนต้นตายหมด เพราะขาดน้ำ..”

จริงๆท่าน สส.นพพล อาจจะเข้าใจคลาดเคลื่อน ที่ท่านรองนายกฯพูดถึงนั้น หมายถึงฤดูแล้งปี 2563/64 คือ ตั้งแต่1 พ.ย.2563-30 เม.ย.2564 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ไม่มีการประกาศให้เป็นเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) เกือบตลอดฤดู จะมาประกาศก็ช่วงปลายฤดูแล้ง แต่ก็เป็นพื้นที่แคบๆ ในเขต อ.เถิน จ.ลำปาง และอ.เกาะสีชัง จ.ชลบุรี เท่านั้น อย่างไรก็ตามประกาศไม่นานฝนก็ตก

สาเหตุสำคัญที่ไม่ได้มีการประกาศเขตประสบภัยแล้ง แม้ปริมาณต้นทุนในปีที่ผ่านมาจะน้อย เพียง 19,868 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) หรือ 42% ของปริมาณการกักเก็กเท่านั้น เนื่องจากกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ(กอนช.) ที่มีท่านรองฯประวิตร เป็นผู้อำนวยการได้มีการวางแผนรับมือเชิงป้องกัน พร้อมสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำต้นทุน

ด้วยเหตุผลที่กล่าวว่าประกอบกับปีนี้ฝนตกเร็วกว่าปกติ ฤดูแล้งปี 2563/64 ประเทศไทยจึงพ้นวิกฤติภัยแล้ง ข้าวนาปรังที่เกษตรกรซึ่งมีบางพื้นที่ปลูกเกินเป้าหมาย ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ เลย

สำหรับปัญหาขาดแคลนน้ำในปัจจุบัน เป็นปัญหามาจากภัยธรรมชาติ ที่เรียกว่า “ภาวะฝนทิ้งช่วง” ประกอบกับปริมาณน้ำต้นทุนในเขื่อนยังมีน้อยอยู่ ส่งผลให้เกษตรกรที่ทำการเพาะปลูกพืช โดยเฉพาะข้าวนาปีในฤดูฝนปี 2564 ได้รับผลกระทบการขาดแคลนน้ำ

ในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า รองนายกฯประวิตร ได้มอบหมายให้ กรมชลประทาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ เพิ่มการระบายน้ำจากเขื่อนเพื่อบรรเทาภาวะขาดแคลนน้ำ พร้อมทั้งติดต้ั้งเครื่องสูบน้ำช่วยสูบช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนน้ำแล้ว และได้สั่งการให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(สทนช.) เร่งบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาแนวทางช่วยเหลือพื้นที่ที่ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ เพื่อลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นโดยเฉพาะข้าวนาปีที่เกษตรกรปลูกในขณะนี้

ท่ามกลางความโชคร้ายที่เกิดภาวะฝนทิ้งช่วง และปริมาณน้ำต้นทุนในเขื่อนมีน้อยอยู่เช่นนี้ ก็มีความโชคดีจากธรรมชาติเกิดขึ้นเหมือนกัน เมื่อ “โคะงุมะ” พายุโซนร้อน ลูกแรกของปีนี้ ซึ่งต่อมาได้อ่อนกำลังลงเป็น ดีเปรสชั่น และหย่อมความกดอากาศต่ำตามลำดับ ได้พัดผ่านประเทศเวียดนาม ลาวตอนบนและบริเวณภาคเหนือของประเทศไทย ทำให้มีฝนตกหนักในพื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะบริเวณลุ่มน้ำน่าน ซึ่งโครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่คือ เขื่อนสิริกิติ์ ตั้งอยู่

กอนช. คาดการณ์ว่า “โคะงุมะ” จะทำให้มีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนสิริกิติ์ไม่น้อยกว่า 277 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งจะช่วยให้สถานการณ์ขาดแคลนน้ำในจังหวัดอุตรดิตถ์ พิษณุโลก (บ้านของท่านสส. นพพล) พิจิตร นครสวรรค์ และจังหวัดในลุ่มเจ้าพระยาคลี่คลายลง สามารถบรรเทาปัญหาผลผลิตทางการเกษตรได้รับความเสียหายได้จากภาวะฝนทิ้งช่วงได้อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตามการฝ่าวิกฤติภาวะภัยแล้ง และภาวะฝนทิ้งช่วง แม้จะมีโชคดีแต่ถ้าไม่มีการวางแผน และไม่มีเครื่องมือในการบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพโดยเฉพาะเขื่อนกักเก็บน้ำขนาดใหญ่แล้ว ก็ยากที่จะฝ่าวิกฤติได้


รัฐศักดิ์ พลสิงห์

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/579376

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ

วันศุกร์ ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2564, 06.00 น.

ปีนี้แม้ฝนมาเร็ว แต่ก็ทิ้งช่วงเร็วๆเหมือนกัน สถานการณ์น้ำในขณะนี้หลายพื้นที่น้ำน้อยส่อเค้าจะเจอภัยแล้งในช่วงต้นฤดูฝน สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(สทนช.) มีบทบาทแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร ทำอะไรบ้างไหม หรือแค่ไปรวบรวมผลงานของหน่วยงานด้านน้ำที่ทำอยู่แล้วมาเป็นของตัวเอง จับนู้นชนนี้ มั่วกันไปหมด

สทนช.เป็นอย่างนี้ จริงๆหรือ?

ถ้าคนที่เข้าใจบทบาทของ สทนช. ตั้งขึ้นมาเพื่ออะไร และเห็นการเปลี่ยนแปลงของการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศในปัจจุบัน และกำลังก้าวไปในอนาคต รวมทั้งผลงานที่ปรากฏออกมา จะไม่พูดอย่างนี้ครับ

สทนช.ตั้งขึ้นมาตามคำสั่งของ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ที่ 46/2560 เพื่อต้องการให้การบริหารจัดการน้ำของประเทศทั้งระบบมีเอกภาพเป็นหนึ่งเดียว ลดความซ้ำซ้อน ของหน่วยงานด้านน้ำที่มีอยู่กว่า 53 หน่วยงาน จาก 13 กระทรวง รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) อีก 7,850 แห่ง โดยจะทำหน้าที่ในการบูรณาการงาน ข้อมูล แผนงาน โครงการ งบประมาณ ตลอดจนการติดตามประเมินผล และการควบคุมการปฏิบัติงาน ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับน้ำ

พร้อมมีคำสั่งให้ ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ ย้ายจากอธิบดีกรมชลประทาน มานั่งเป็นหัวเรือ ในตำแหน่งเลขาธิการ สทนช.

สทนช.เป็นหน่วยงาน Regulator กำกับนโยบายลงไปสู่ระดับพื้นที่ โดยทำหน้าที่บูรณาการรวบรวมข้อมูล มาวางแผนงานวางโครงการ และหางบประมาณ ให้หน่วยงานภาคปฏิบัติไปดำเนินการจากนั้นก็ติดตาม ขับเคลื่อนงานให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ไม่ใช่หน่วยงาน Operation ที่จะต้องไปสร้างเขื่อนสร้างฝาย สร้างประตูระบายน้ำ ขุดอุโมงค์ขุดบ่อ ทำแก้มลิง เจาะบาดาล หรือสร้างอะไรต่อมิอะไร ที่เห็นเป็นรูปธรรม

การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำก่อนที่จะมี สทนช. อยู่ในลักษณะต่างคนต่างทำ ไม่เป็นระบบ ซ้ำซ้อนกัน เคยเห็นการสร้างถนนไหมครับ หน่วยงานหนึ่งสร้างถนนเสร็จ อีกหน่วยงานที่รื้อถนนเพื่อวางท่อประปาทำเสร็จ อีกหน่วยงานก็ไปรื้ออีกเพื่อวางสายไฟฟ้า ระบบสื่อสาร พอเกิดน้ำท่วมอีกหน่วยงานก็ไปรื้อท่อระบายน้ำ สูญเสียงบประมาณ ไปไม่รู้เท่าไร

การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำก็เช่นกัน หน่วยงานหนึ่งทำแล้ว อีกหน่วยงานก็ยังทำอีก หรือไม่ก็อีกหน่วยงานหนึ่งทำอีกหน่วยงานก็ขวาง การแก้ไขปัญหาก็ล่าช้า ซ้ำซ้อน ไม่มีประสิทธิภาพ สิ้นเปลืองงบประมาณโดยใช่เหตุ แต่เมื่อมี สทนช.เกิดขึ้น ปัญหาเหล่านี้ค่อยๆหมดไป การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศเริ่มมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ถ้าเปรียบเทียบกับร่างกายมนุษย์สทนช.ก็คือ สมอง ที่จะต้องสั่งการไปส่วนต่างๆของร่างกายให้ทำงานตามที่วางแผนเอาไว้ เช่น สั่งไปที่ขาให้เดินไปข้างหน้า ก็ต้องเดินไปข้างหน้าทั้ง 2 ขา ไม่ใช่ขาหนึ่งไปเดินทางข้างหน้า อีกขาเดินถอยหลัง อย่างนี้ก็คงไปไม่ถึงไหน เช่นเดียวกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเดินไปในทิศทางเดียวกัน โดยมี สทนช.เป็นหน่วยงาน Regulator

การสร้างบ้าน จะต้องมีการวางแผน ออกแบบ จัดหางบประมาณ ควบคุมการก่อสร้าง เมื่อสร้างแล้วเสร็จ ถือเป็นผลงานของคนที่วางแผน ออกแบบ จัดหางบประมาณ และควบคุมหรือไม่ หรือเป็นผลงานของคนที่ก่อสร้างเท่านั้น

ไม่ต่างจากการแก้ไขปัญหาน้ำในขณะนี้สทนช.มีบทบาทสำคัญในการบูรณาการวางแผนแก้ไขปัญหา ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติ ผ่านกลไกการทำงานของกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ(กอนช.) ที่มีรองนายกฯ ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นผู้อำนวยการ

ผลงานที่ผ่านมา ได้มีการบริหารจัดการน้ำในเชิงป้องกัน วิเคราะห์พื้นที่เสี่ยง และหาแหล่งน้ำสำรอง ทำให้ 2563-64 ที่ผ่านมา พบว่าไม่มีพื้นที่ประกาศภัยแล้งเลย ในขณะที่สถานการณ์น้ำท่วมก็ลดลง 2562 มีความเสียหายเพียง 94 ล้านบาท ปี 2563 ความเสียหาย 223 ล้านบาท ถือว่าน้อยมาก

จะผิดไหมถ้าผมจะพูดว่า “สทนช.เป็นหน่วยงานหลักที่กำกับ ดูแล และบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศอย่างเป็นระบบ”

รัฐศักดิ์ พลสิงห์

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : กรมคลอง กรมทดน้ำ กรมชลประทาน 119 ปี #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/577718

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : กรมคลอง กรมทดน้ำ กรมชลประทาน 119 ปี

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : กรมคลอง กรมทดน้ำ กรมชลประทาน 119 ปี

วันศุกร์ ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2564, 06.00 น.

ในวันที่ 13 มิถุนายน 2564 นี้ กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะมีอายุครบ 119 ปี กว่าจะมาถึงวันนี้กรมนี้มีตำนาน…ที่ยาวนานครับ

ย้อนไปเมื่อปี พ.ศ.2541 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้มีพระบรมราชานุญาตให้ บริษัทขุดคลองแลคูนาสยาม ได้รับสัมปทานดำเนินโครงการก่อสร้างระบบคลอง ในบริเวณพื้นที่ราบฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา หรือที่เรียกว่า “ทุ่งรังสิต” เพื่อใช้ในการเพาะปลูก และการคมนาคมขนส่งทางน้ำ

บริษัทได้ดำเนินการขุดคลองในปี 2433 เริ่มจากการขุดคลองสายใหญ่เชื่อมแม่น้ำเจ้าพระยากับแม่น้ำนครนายก นั้นก็คือ “คลองรังสิตประยูรศักดิ์” พร้อมทั้งมีการสร้างประตูระบายน้ำ จากนั้นก็ได้มีการขุดคลองสาขาอีกหลายสาย เป็นโครงข่ายระบบคลอง ทำให้พื้นที่รกร้างบริเวณทุุ่งรังสิตเปลี่ยนเป็นแหล่งเกษตรกรรมขนาดใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่ 6 จังหวัด คือ ปทุมธานี นครนายก พระนครศรีอยุธยา สระบุรี ฉะเชิงเทรา และกรุงเทพฯ

อย่างไรก็ตามหลังจากดำเนินการขุดคลองไปได้ประมาณ 10 ปี รัชกาลที่ 5 ทรงเห็นว่า จำเป็นจะต้องมีการวางระบบการบริหารจัดการน้ำในทุ่งรังสิต จึงได้ว่าจ้าง นายเย โฮมัน วันเดอร์ ไฮเด วิศวกรชลประทานชาวฮอลันดา (เนเธอร์แลนด์) มาดำเนินการวางระบบชลประทาน พร้อมทั้งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้ง “กรมคลอง” ขึ้นมาในวันที่ 13 มิถุนายน 2445 และทรงแต่งตั้งนายเย โฮมัน วันเดอร์ ไฮเด เป็นเจ้ากรมคลองคนแรก

ต่อมาในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้ง “กรมทดน้ำ”
ขึ้นแทน “กรมคลอง” เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2457 พร้อมทั้ง สร้างเขื่อนทดน้ำขนาดใหญ่ คือ เขื่อนพระราม6 ขึ้นที่ต.ท่าหลวง อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นโครงการชลประทานขนาดใหญ่แห่งแรกในประเทศไทย จากนั้นก็ได้เริ่มก่อสร้างโครงการชลประทานกระจายไปทั่วทุกภาคของประเทศ

รัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชดำริว่า หน้าที่ของกรมทดน้ำ มิได้ปฏิบัติงานอยู่เฉพาะแต่การทดน้ำเพียงอย่างเดียว งานที่กรมทดน้ำปฏิบัติอยู่จริงในขณะนั้นมีทั้งการขุดคลอง การทดน้ำ รวมทั้งการส่งน้ำตามคลองต่าง ๆ อีกทั้งการสูบน้ำเพื่อช่วยเหลือการเพาะปลูก จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อจาก “กรมทดน้ำ” เป็น “กรมชลประทาน” เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2470 โดยให้มีหน้าที่รับผิดชอบงานการขุดคลอง การทดน้ำ การส่งน้ำ และการสูบน้ำช่วยเหลือพื้นที่เพาะปลูกอย่างทั่วถึง

รัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ให้ความสำคัญกับงานชลประทานมากเป็นพิเศษ ทรงตั้งพระราชหฤทัยเกี่ยวกับการพัฒนาแหล่งน้ำเป็นลำดับแรก พระราชทานพระราชดำรัสเสมอว่า “น้ำคือชีวิต” และได้มีพระราชดำริให้กรมชลประทานดำเนินโครงการพัฒนาแหล่งน้ำมาอย่างต่อเนื่องมากกว่า 2,000 โครงการ สร้างประโยชน์ให้กับประชาชนและประเทศชาติอย่างมหาศาล

รัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชกระแสขอให้กรมชลประทาน สืบสานต่อยอด และเร่งรัดดำเนินโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในรัชกาลที่ 9 ให้สัมฤทธิ์ผล

จากกรมคลองเมื่อ 119 ปี ที่แล้วมาเป็นกรมชลประทานวันนี้ ภารกิจของกรมชลประทานยังต้องก้าวต่อไปเพื่อไปสู่เป้าหมายที่ว่า “เป็นองค์กรอัจฉริยะ ที่มุ่งสร้างความมั่นคงด้านน้ำ เพื่อเพิ่มคุณค่าการบริการ ภายในปี 2580”

รัฐศักดิ์ พลสิงห์

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : ผลงานด้านน้ำของรัฐบาล #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/576080

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : ผลงานด้านน้ำของรัฐบาล

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : ผลงานด้านน้ำของรัฐบาล

วันศุกร์ ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2564, 06.00 น.

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ในการประชุมคณะรัฐมนตรี สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้รายงานผลการบริการจัดการทรัพยากรน้ำของรัฐบาล  โดยการขับเคลื่อนของคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(กนช.)  ภายใต้แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580)

กนช.ชุดปัจจุบันมีรัฐมนตรีหลายท่านและผู้บริหารจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำนวน 15 หน่วยงาน 9 กระทรวง ร่วมเป็นกรรมการ โดยมี “บิ๊กป้อม” พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานใครบอกว่า “บิ๊กป้อม” ไม่รู้ๆๆๆๆ ไม่น่าจะเป็นความจริง

โดยเฉพาะในเรื่องการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ พลเอกประวิตร ได้ให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ ล่าสุดได้สั่งเร่งรัดให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินงานให้เป็นไปตามเป้าหมายของแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี  ที่กำหนดไว้ว่า “ทุกหมู่บ้านมีน้ำสะอาดเพื่อการอุปโภคบริโภค น้ำเพื่อการผลิตมั่นคง ความเสียหายจากอุทกภัยลดลง คุณภาพน้ำอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน และบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน ภายใต้การพัฒนาอย่างสมดุล  โดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน”

ต้องยอมรับว่า  ตั้งแต่มีการตั้ง สทนช. ขึ้นมา ทำให้การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศขับเคลื่อนได้อย่างเป็นระบบ และมีประสิทธิภาพมากขึ้นเกิดการบูรณาการทำงานร่วมกันของทุกหน่วยงาน ทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และท้องถิ่น สามารถลดความซ้ำซ้อนของแผนงาน/โครงการที่ผ่านการพิจารณาตามกลไกของคณะกรรมการทรัพยากรน้ำจังหวัดและคณะกรรมการลุ่มน้ำ สะท้อนการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน สามารถแก้ไขปัญหาด้านน้ำได้อย่างตรงจุดและสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนตามบริบทของลุ่มน้ำนั้นๆ ได้อย่างแท้จริง 

ผลงานเป็นหลักฐานการยืนยันการทำงาน!!!

ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการ สทนช. เปิดเผยว่า  ตั้งแต่เริ่มใช้แผนแม่บทฯน้ำ 20 ปี ตั้งแต่ปี 2561 จนถึงปัจจุบันได้ดำเนินโครงการต่างๆกว่า 125,000 โครงการ มีแหล่งเก็บกักน้ำได้เพิ่มขึ้น 1,138 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ประชาชนได้รับประโยชน์กว่า 2.27 ล้านครัวเรือน ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 2.38 ล้านไร่ รวมทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพระบบประปาหมู่บ้านได้อีก 3,214 หมู่บ้าน พัฒนาน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรและสร้างธนาคารน้ำใต้ดินได้ปริมาณน้ำมากกว่า 100 ล้าน ลบ.ม.  ตลอดจนยังได้ดำเนินการรักษาระบบนิเวศฟื้นฟูป่าต้นน้ำ จำนวน 135,170 ไร่ และดำเนินโครงการเกี่ยวกับการจัดการน้ำท่วมรวมกว่า 226 แห่ง

นอกจากนี้ภายในปี 2566 ยังจะขับเคลื่อนโครงการสำคัญอีกจำนวน 526 โครงการแล้วเสร็จจะสามารถเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนได้ 3,172 ล้าน ลบ.ม. พื้นที่รับประโยชน์เพิ่ม 6.5 ล้านไร่ และผันน้ำได้ปริมาณน้ำเพิ่ม 3,841 ล้าน ลบ.ม. รวมทั้งการป้องกันน้ำท่วมในพื้นที่ได้เพิ่ม 4.3 ล้านไร่ และพัฒนาพื้นที่ลุ่มต่ำชะลอน้ำหลากได้อีกถึง 2,320 ล้าน ลบ.ม. 

การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่ประสบผลสำเร็จอีกเรื่องก็คือ การบริหารจัดการน้ำท่วม-น้ำแล้งของกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ(กอนช.) ซึ่งมี รองนายกฯประวิตร เป็นผู้อำนวยการ กอนช. ในฤดูแล้งปี 2562/63 ที่ผ่านมา ไม่มีการประกาศภัยแล้งเลย ทั้งๆที่ปริมาณน้ำต้นทุนมีจำนวนจำกัด ในขณะที่ช่วงฤดูฝนเกิดความเสียหาย
จากภาวะน้ำท่วมน้อยมาก ปี 2562 มีความเสียหายแค่ 94 ล้านบาท ต่ำสุดหลังเกิดภาวะน้ำท่วมในปี 2544 และในปี 2563 มูลค่าความเสียหายเพียง 223 ล้านบาท ต่ำสุดเป็นลำดับที่ 3 ในรอบ 9 ปี

สทนช. นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้พลเอกประวิตร ดูแลรับผิดชอบโดยตรง  และยังเป็นประธาน กนช.รวมทั้งยังนั่ง เป็น ผอ.กอนช.อีก  

ไม่ได้เชียร์จนเกินจริงนะครับ  แต่การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศที่ประสบผลสำเร็จ มีประสิทธิ ภาพมากขึ้นในขณะนี้  “รองนายกฯประวิตร” มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อน….

รัฐศักดิ์ พลสิงห์

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : วัคซีนมา…ราคายางเป็นใจ #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/574461

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : วัคซีนมา...ราคายางเป็นใจ

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : วัคซีนมา…ราคายางเป็นใจ

วันศุกร์ ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2564, 06.00 น.

สถานการณ์การระบาดของเชื้อโรคไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ในระลอกที่ 3 นี้รุนแรงมากกว่าทุกครั้ง มีผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตอยู่ในระดับที่สูงติดต่อกันหลายวัน ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม

อย่างไรก็ตามในภาวะวิกฤติเช่นนี้ ใช่ทุกธุรกิจจะได้รับผลกระทบทั้งหมด ธุรกิิจเกี่ยวกับสุขอนามัย เครื่องมือแพทย์ ผลิตภัณฑ์ที่นำมาใช้ในการป้องกันจากการระบาดของโควิด-19 กลับมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว แม้จะมีวัคซีนออกมาแล้ว แต่ก็ไม่ทำให้ความต้องการผลิตภัณฑ์ดังกล่าวลดลงเลย โดยเฉพาะถุงมือยาง

ถุงมือยาง ผลิตมาจากน้ำยางข้น ซึ่งแปรรูปมาจากน้ำยางสด

ดังนั้นยางพารา พืชเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย จึงได้รับอานิสงส์จากการระบาดของโควิด-19 จะเห็นได้จากราคายางเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ล่าสุดในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม 2564 ราคายางแผนรมควันชั้น 3 ได้เพิ่มขึ้นสูงเป็น 68 บาทต่อกิโลกรัม และน้ำยางดิบราคาอยู่ในระดับ 65 บาทต่อกิโลกรัม

ส่วนแนวโน้มจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพหรือไม่?

ณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย(กยท.)เคยวิเคราะห์สถานการณ์ราคายางก่อนการระบาดของโควิด-19 ในระลอก 3 ว่า

“การระบาดของโควิด-19 ได้ส่งผลบวกทำให้ราคายางสูงขึ้นอย่างมีเสถียรภาพ เนื่องจากตลาดมีความต้องการใช้การยางธรรมชาติ มาผลิตเครื่องมือแพทย์ โดยเฉพาะถุงมือยาง เพิ่มมากขึ้น คาดว่าจะมีปริมาณเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากประมาณ 370,000 ล้านชิ้นในปีที่ผ่านมา จะเพิ่มเป็นมากกว่า 600,000 ล้านชิ้นในปี 2564 และเมื่อนำมาวิเคราะห์กับปัจจัยต่างๆที่เกี่ยวข้องในขณะนี้แล้ว แนวโน้มราคายางในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2564 ราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 อาจจะมีสิทธิ์แตะ 80 บาทต่อกิโลกรัม”

ล่าสุด ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับ ผู้ว่าฯณกรณ์ อีกครั้งเมื่อการระบาดของโควิด-19 ในระลอกที่ 3 ที่มีผู้ติดเชื้อภายในประเทศมากกว่า 2,000 คนต่อวัน บางวันมีมากถึงกว่า 9,000 คน

“สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 เช่นนี้ยิ่ง จะทำให้ความต้องการใช้การยางธรรมชาติ มาเป็นวัตถุดิบผลิตเครื่องมือแพทย์ ถุงมือยาง และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันรักษาสุขอนามัยมากขึ้น ในขณะเดียวกันภาวะเศรษฐกิจก็จะเริ่มฟื้นตัว เมื่อมีการนำวัคซีนมาใช้อย่างแพร่หลาย คาดว่า เศรษฐกิจโลกในปี 2564 ยังคงจะขยายตัวประมาณ5.5% โดยเฉพาะในประเทศจีนลูกค้ายางพารายางใหญ่ของไทย ที่สามารถควบคุมการระบาดของโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ผู้ว่าการ กยท.กล่าวและว่า

ช่วงที่ผ่านมาการส่งออกยางมีปัญหา ทำให้มีการนำสต๊อกออกมาใช้มากขึ้น ดังนั้นในช่วงนี้ผู้ใช้ยางจึงจะต้องซื้อยางเข้าเก็บไว้ในสต๊อกทดแทน เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับระบบการผลิต ปริมาณความต้องการใช้ยางจึงไปในทิศทางบวก

ในขณะที่ภาคเอกชน ก็วิเคราะห์ทิศทางราคายางไปในทางเดียวกันกับผู้ว่าฯ กยท.

ชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ กรรมการบริษัทนอร์ทอีส รับเบอร์จำกัด(มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทที่ชนะการประมูลรับซื้อยางเก่าเสื่อมสภาพในสต๊อกของ กยท.กว่า 104,00 ตัน ได้ให้ความเห็นว่า ขณะนี้ความต้องการผลิตภัณฑ์ที่ใช้ป้องกันโควิด-19 โดยถุงมือยางเพิ่มขึ้นถึง 40 เท่า ดังนั้นปริมาณยางส่วนหนึ่งจะถูกดึงออกไปใช้ก่อนที่จะนำมาผลิตเป็นยางแผ่น และยางผลิตเป็นยางแท่งSTR 20 ที่นำไปใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมอื่นๆ ทำให้ปริมาณยางในตลาดขาดแคลน

นอกจากนี้ประเทศใช้ยางรายใหญ่ของโลกอย่างประเทศจีนสามารถควบคุมการระบาดของโควิด-19 ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ความต้องการใช้ยางจึงเพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ ดังนั้นเมื่อความต้องการยางในตลาดมีมากกว่าปริมาณยางประกอบกับ กยท.เองก็มีนโยบายในการบริหารจัดการยางที่ดี

ฟันธงได้เลยว่า….ฤดูกาลเปิดกรีดยางที่กำลังจะมาถึงนี้ราคายางจะมีเสถียรภาพ เกษตรกรชาวสวนยางได้เฮแน่นอน!!!

รัฐศักดิ์ พลสิงห์

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : ประมูลยางบิ๊กลอตโปร่งใสหรือไม่? #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/572843

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : ประมูลยางบิ๊กลอตโปร่งใสหรือไม่?

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : ประมูลยางบิ๊กลอตโปร่งใสหรือไม่?

วันศุกร์ ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2564, 06.00 น.

การประมูลยางขายยางจากโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง และโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง ที่มีอยู่ในสต๊อกกว่่า 104,000 ตัน ของการยางแห่งประเทศไทย(กยท.) ซึ่งบริษัทนอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด(มหาชน) เป็นผู้ชนะการประมูลนั้นถูกกล่าวหาว่า “ไม่โปร่งใส” พบข้อพิรุธซึ่งอาจทำให้รัฐเสียหาย

โดยกล่าวหาว่า

“เปิดประมูลในระยะเวลาอันรวดเร็ว แค่ 3 วันทำการ แถมยังต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกันที่เป็นแคชเชียร์เช็ค 200 ล้านบาท และต้องมีหนังสือแบงก์การันตีไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาทมายื่นอีกด้วย นอกจากนี้ยังกำหนดให้เงื่อนไขว่า ต้องเป็นบริษัทร่วมประมูลซื้อยางกับ กยท. มาก่อนมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาท และโรงงานต้องเคยมีปริมาณการผลิตและแปรรูปในปี 2563 มากกว่า 200,000 ตัน แถมบอร์ด กยท.ยังอนุมัติให้เอกชนกู้เงินไปได้จำนวน 1,200 ล้านบาทอีกด้วย”

เรื่องนี้ ก่อนจะเชื่อจะต้องคิดไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนนะครับ

ผมได้มีโอกาสได้พูดคุยกับ “ณกรณ์ ตรรกวิรพัท” ผู้ว่าการ กยท. ท่านยืนยันว่า ประมูลยางครั้งนี้ “โปร่งใส ชัดเจน ตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน”

กยท.ไม่ได้รีบเร่งประมูล แต่เป็นการดำเนินงานตาม เป็นไปตามมติ ครม. และบอร์ด กยท. ที่ต้องการให้ กยท.ระบายสต๊อกยางในโครงการดังกล่าว เพื่อลดภาระงบประมาณและรักษาประโยชน์สูงสุดของรัฐ ซึ่งการระบายสต๊อกยางในช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค.2564 เป็นช่วงระยะเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากเป็นฤดูปิดกรีด ปริมาณผลผลิตมีไม่มาก ยางที่ประมูลก็เป็นยางเสื่อมสภาพ การใช้จะแตกต่างจากยางใหม่ จึงแทบไม่มีผลกระทบต่อตลาดยางใหม่เลย

นอกจากนี้อายุประกันภัยยางและสัญญาการเช่าโกดังของโครงการจะครบกำหนดในวันที่ 31 พ.ค.นี้ ตลอดระยะเวลา 9 ปีที่ กยท. ต้องจ่ายเงินไปกว่า 3,822 ล้านบาท เมื่อประมูลออกไปแล้วก็จะประหยัดเงินก่อนนี้ให้รัฐได้

และด้วยเหตุที่การประมูลยางลอตดังกล่าวเป็นลอตใหญ่ปริมาณมากกว่่า 104,000 ตัน อีกทั้งผู้ชนะประมูลจะต้องซื้อยางจากสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางอีก 1 เท่าของปริมาณยางที่ประมูล

ดังนั้น กยท. จำเป็นจะต้องกำหนดเงื่อนไขที่ให้มั่นใจได้ว่า จะได้บริษัทที่มีความเข้มแข็งด้านการเงิน รวมทั้งมีศักยภาพในการผลิตและแปรรูป เพื่อการันตีว่าจะไม่สร้างความเสียหายให้กับรัฐ และก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อเกษตรกรชาวสวนยาง

การให้แบงก์การันตี 1,000 ล้านบาทก็ไม่เป็นความจริง เป็นเพียงการให้ยืนหลักฐานแสดงความสามารถในการชำระเงิน หรือหลักฐานที่ธนาคารรับรองไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท รวมทั้ง กยท.เองก็ ไม่เคยมีการอนุมัติให้เอกชนกู้เงินจำนวน 1,200 ล้านบาทแต่อย่างใด

การประมูลครั้งแม้จะมีบริษัทยื่นประมูลเพียงรายเดียวแต่ก็มีที่ผ่านคุณสมบัติและสามารถเข้าร่วมประมูลได้ถึง6 ราย และบริษัทที่ชนะประมูลก็เสนอราคาซื้อยางเสื่อมสภาพที่สูงกว่าราคากลางที่ คณะกรรมการ กยท.กำหนดไว้โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของรัฐเป็นสำคัญอีกด้วย

มีเอกชนประมูลยางลอตนี้ออกไปได้ ในราคาที่สูงกว่าราคากลางที่ตั้งไว้ โดยไม่กระทบต่อตลาดยางใหม่ และยังต้องซื้อยางใหม่กว่ากว่่า 104,000 ตัน แถมประหยัดเงินรัฐในการจ่ายค่าประกันและค่าโกดังอีกปีละกว่า 424 ล้านบาท…แค่นี้ก็…ก็คุ้มแล้วครับ

โปร่งใสหรือไม่? ผู้ว่าฯกยท.การันตีตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน!!

รัฐศักดิ์ พลสิงห์

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : RID TEAM ขับเคลื่อนงานชลประทาน #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/571060

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : RID TEAM ขับเคลื่อนงานชลประทาน

วันศุกร์ ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564, 06.00 น.

RID TEAM เป็นแนวคิดที่ อธิบดีกรมชลประทานคนใหม่ “ประพิศ จันทร์มา” นำมาใช้ในการขับเคลื่อนงานชลประทาน

อธิบดีกรมชลประทาน ได้ขยายความแนวคิด RID TEAM หรือ “เราจะก้าวไปด้วยกัน” ว่า เป็นแนวคิดที่จะมีความมุ่งมั่นร่วมกันพัฒนากรมชลประทานให้เป็นองค์กรที่ดีไปด้วยกัน ซึ่งได้กำหนดนโยบายการดำเนินงานไว้ 4 ด้าน ได้แก่

1.นโยบายด้านรัฐ สังคมและสิ่งแวดล้อม จะมุ่งพัฒนาแหล่งน้ำและบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ20 ปี นโยบายรัฐบาล นโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยุทธศาสตร์กรมชลประทาน 20 ปี และแผนแม่บทที่สำคัญของประเทศเพื่อเสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนและสังคม

2.นโยบายด้านผู้บริการ และผู้มีส่วนได้เสีย จะกำหนดมาตรฐานและพัฒนาการให้บริการบนพื้นฐานของกระบวนการ การมีส่วนร่วมอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน

3.นโยบายด้านองค์การ จะยกระดับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานให้ได้อย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้วิสัยทัศน์ที่มีเป้าหมายทั้งในระยะสั้นและระยะยาวผ่านการวางกลยุทธ์อย่างเป็นระบบ พร้อมทั้งส่งเสริมการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล สร้างจิตสำนึกให้บุคลากรปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต

และ4.นโยบายด้านผู้ปฏิบัติงาน จะมุ่งมั่นพัฒนาระบบบริหารทรัพยากรบุคคล พัฒนาศักยภาพบุคลากรให้เป็น Smart Worker โดยจะนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาให้ในการดำเนินงานพัฒนาระบบและวิธีการทำงาน ตลอดจนจะให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของบุคลากร

พร้อมทั้งได้กำหนดเป้าหมายในการขับเคลื่อนงานชลประทานไว้ 3 ประเด็นหลักๆคือ ประเด็นแรก การเป็นองค์กรอัจฉริยะ จะมีการจัดการและบูรณาการระบบฐานข้อมูล ปรับปรับปรุงและพัฒนากระบวนงาน วิจัยและพัฒนานวัตกรรมในการทำงาน สรรหาและพัฒนาบุคลากรให้มีสมรรถนะสูงขึ้น

ประเด็นที่ 2 สร้างความมั่นคงเรื่องน้ำ จะพัฒนาแหล่งน้ำและเพิ่มพื้นที่ชลประทาน บริหารจัดการน้ำให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ เพิ่มประสิทธิภาพของโครงการชลประทาน พัฒนารูปแบบและแนวทางที่เหมาะสมในการรับมือภัยพิบัติด้านน้ำ

และประเด็นที่ 3 เพิ่มคุณค่าการบริการ จะเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของผู้รับบริการและภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน พัฒนาคุณภาพการให้บริการงานหน่วยงาน จัดวางตำแหน่งบุคลากรและจัดทำเส้นทางความก้าวหน้าอย่างเหมาะสม และเสริมสร้างความผาสุกของบุคลากรเพื่อให้มีแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน

อย่างไรก็ตาม การขับเคลื่อนงานชลประทานตามแนวคิด RID TEAM อธิบดีประพิศได้ย้ำเป็นพิเศษ ในเรื่องความซื่อสัตย์ สุจริต มีคุณธรรม มีความโปร่งใส มีความพร้อมรับผิดชอบ ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นทุกรูปแบบ พร้อมทั้งจะน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้เป็นแนวในการประพฤติปฏิบัติและดำรงตน

“กรมชลประทานจะทุ่มเททำงาน สืบสานพันธกิจ ด้วยความสุจริตโปร่งใส เพื่อให้ภารกิจงานชลประทานบรรลุตามเป้าหมายและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อเกษตรกรและราษฎรอย่างยั่งยืน”

นี่คือการทำงานของกรมชลประทานภายใต้หัวเรือคนใหม่ที่ชื่อ “ประพิศ จันทร์มา”


รัฐศักดิ์ พลสิงห์