สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : ระบายสต๊อกยางสร้างเสถียรภาพ #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/569594

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : ระบายสต๊อกยางสร้างเสถียรภาพ

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : ระบายสต๊อกยางสร้างเสถียรภาพ

วันศุกร์ ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2564, 06.00 น.

เมื่อวันก่อน ได้มีพิธีลงนามสัญญาซื้อขายยางภายใต้ โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง และโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง ระหว่างการยางแห่งประเทศ ไทย(กยท.) กับบริษัทนอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด(มหาชน)

ณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การลงนามซื้อขายยางในครั้งนี้ เป็นไปตามมติของ
คณะรัฐมนตรี ที่ต้องการระบายยางเก่าเสื่อมสภาพเนื่องจากเก็บมาเป็นเวลานาน มีค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาสูงออกสู่ตลาด ซึ่งจะกระทบต่อตลาดปกติน้อยมากหรือไม่กระทบเลย เพราะเป็นช่วงเริ่มต้นฤดูกาลยางในตลาดยังมีน้อย อีกทั้งคุณภาพยางในสต๊อกที่ซื้อขายกันนั้นอยู่ในสภาพเสื่อม การนำไปใช้จึงต่างจากยางใหม่ที่มีอยู่ในตลาด และภาคเอกชนที่รับซื้อต้องขนย้ายยางให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 พ.ค.2564 ก่อนที่ยางใหม่จะออกสู่ตลาดอีกด้วย

ในทางตรงข้ามเกษตรกรชาวสวนยางจะได้รับประโยชน์จากสัญญาซื้อขายยางดังกล่าวด้วยซ้ำ

เพราะในสัญญาการซื้อขายยางดังกล่าว มีข้อกำหนดให้ผู้ที่ซื้อยางลอตนี้ไปจะต้องซื้อยางใหม่ของเกษตรกรชาวสวนยางด้วยดังนั้นเมื่อพิจารณาในระยะกลางและระยะยาวแล้ว เกษตรกรชาวสวนยางจะได้รับประโยชน์จากโครงการ เพราะเมื่อสต๊อกยางเก่าในโครงการฯหมด ปัจจัยกดดันในเรื่องราคายางก็จะหายไปด้วย ราคาก็จะมีเสถียรภาพยิ่งขึ้น และเป็นไปตามกลไกของตลาดมากขึ้น

เมื่อตลาดมีปริมาณยางลดลง ในขณะที่ความต้องการเพิ่มขึ้นราคายางก็จะสูงขึ้น

กยท.บริหารจัดการยางในโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง และโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 ซึ่งเห็นชอบให้ กยท. จัดการขายสต๊อกยางในโครงการดังกล่าวให้หมดไปโดยเร็ว โดยให้ต้องคำนึงถึงระยะเวลา ราคาจำหน่ายให้เหมาะสม

สำหรับปริมาณยางในโครงการฯ มีจำนวนมากว่า 104,000 ตัน โดยที่ผ่านมา มีภาระค่าใช้จ่ายในการบริหารยางทั้ง 2 โครงการ คิดเป็นมูลค่ากว่า 3,822 ล้านบาท หากนำเงินก้อนนี้มาใช้บริหารจัดการยางในเรื่องอื่นๆ ได้ประโยชน์อีกเยอะ

อาจจะมีคำถามว่า รู้ได้อย่างไรว่า ยางในสต๊อกที่นำออกมาขายนั้นเป็นอย่างเสื่อมสภาพ?

เรื่องนี้ไม่ยากครับ เพราะมีการดำเนินการตรวจสอบปริมาณยาง การตรวจสอบคุณภาพยางอย่างสม่ำเสมอ โดยผู้แทน
เกษตรกรชาวสวนยางและ กยท. ได้เข้าตรวจสภาพยางในสต๊อกเป็นประจำ เพื่อให้ทราบถึงคุณภาพยางที่มีอยู่ในโครงการ

ล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้ ประธานกรรมการ กยท. ได้นำผู้บริหาร กยท. เข้าตรวจดูคุณภาพยางในโกดัง ณ อ.ขุนทะเล จ.สุราษฎร์ธานี โดยพบว่า เป็นยางที่เก็บมาตั้งแต่ปี 2555 ขณะนี้ก็ 9 ปีแล้ว ยางส่วนใหญ่จึงเป็นยางที่เสื่อมสภาพ

ส่วนผู้ที่จะมาซื้อยางนั้นจะพิจารณาด้วยวิธีการเชิญชวนผู้มีคุณสมบัติเข้าเสนอราคา แล้วพิจารณาคัดเลือก แบบเหมาคละคุณภาพ และที่สำคัญคือ ผู้ชนะการประมูลต้องสมัครใจ ซื้อยางจากสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง จำนวนถึง 105,000 ตัน อีกด้วย

การลงนามซื้อขายยางในครั้งนี้โปร่งใส ตรวจสอบได้ และเกษตรกรชาวสวนยางได้ประโยชน์แน่นอน

รัฐศักดิ์ พลสิงห์

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : ราคายางสดใสสวนทิศทางโควิด #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/566288

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : ราคายางสดใสสวนทิศทางโควิด

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : ราคายางสดใสสวนทิศทางโควิด

วันศุกร์ ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2564, 06.00 น.

สถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) ระลอกใหม่เริ่มรุนแรงขึ้นอีกครั้ง ในประเทศไทยแต่ละวันมีการติดเชื้อหลายร้อยคน เช่นเดียวกับสถานการณ์ทั่วโลก มีผู้ติดเชื้อมากกว่า 133 ล้านคน แม้จะมีการนำวัคซีน โควิด-19 มาใช้ในการป้องกันรักษาแล้ว ยอดผู้ติดเชื้อก็ยังสูงอยู่

ยางพาราพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของไทยเป็นโปรดักส์แชมเปี้ยนของประเทศสามารถผลิตและส่งออกเป็นอันดับ 1 ของโลก ปีละกว่า 4.5 ล้านตัน สถานการณ์ราคายางก่อนหยุดยาวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ยางแผ่นรมควันชั้น 3 ราคาอยู่ในระดับ 63 บาทต่อกิโลกรัม ยางแผ่นดิบ 61 บาทต่อกิโลกรัม และน้ำยางสดราคา 60 บาทต่อกิโลกรัม

ราคายางจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในครั้งนี้หรือไม่ และแนวโน้มในอนาคตราคาจะเป็นอย่างไร?

เมื่อวันก่อนได้มีโอกาสพูดคุยกับ ท่านผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย(กยท.) “ณกรณ์ ตรรกวิรพัท” ซึ่งได้วิเคราะห์สถานการณ์ราคายางไว้น่าสนใจ

ท่านผู้ว่าฯกยท. บอกว่า การระบาดของโควิด-19ได้ส่งผลบวกทำให้ราคายางสูงขึ้นอย่างมีเสถียรภาพ เนื่องจากตลาดมีความต้องการใช้การยางธรรมชาติ มาผลิตเครื่องมือแพทย์ โดยเฉพาะถุงมือยาง เพิ่มมากขึ้น คาดว่าจะมีปริมาณเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากประมาณ 370,000 ล้านชิ้นในปีที่ผ่านมา จะเพิ่มเป็นมากกว่า 600,000 ล้านชิ้น ในปี 2564

นอกจากนี้เมื่อนำมาวิเคราะห์กับปัจจัยต่างๆที่เกี่ยวข้องในขณะนี้แล้ว แนวโน้มราคายางในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2564 ราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 อาจจะมีิสิทธิ์แตะ 80 บาทต่อกิโลกรัม หรือไม่เลวร้ายสุดก็ไม่น่าจะต่ำกว่า 60 บาทต่อกิโลกรัม

ปัจจัยหลักๆ มาจากความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากได้มีการคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกในปี 2564 จะฟื้นมีการขยายตัวประมาณ 5.5% โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ใช้ยางค่อนข้างมาก คาดว่าในประเทศไทยปริมาณการผลิตรถยนต์จะเพิ่มขึ้น 6% หรือประมาณ 1.5 ล้านคัน ในปี 2564 ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับอุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ใช้ยางเป็นวัตถุดิบทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศจีนซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ของไทยจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็วตาม

ในขณะที่ปริมาณสต๊อกยางในตลาดโลกขณะนี้ลดลง จำเป็นจะต้องสั่งซื้อยางเก็บเข้าสต๊อกเพิ่มขึ้น แต่ปริมาณยางใหม่ที่จะเข้ามาทดแทนมีน้อยลง เพราะปัญหาการระบาดของโรคใบร่วงชนิดใหม่และภัยธรรมชาติในช่วงที่ผ่านมาทำให้สวนยางได้รับความเสียหาย คาดว่า จะทำให้ปริมาณยางในตลาดโลกปี 2564 ลดลง 8-9% หรือไม่น้อยกว่า 1 ล้านตัน จากเดิม 13.5 ล้านตัน จะเหลือประมาณ 12 ล้านตันเท่านั้น

ผนวกกับปัญหาขาดแคลนแรงงานกรีดยาง เนื่องจากการระบาดของโควิด-19 ยิ่งทำให้ปริมาณยางใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาดมีแนวโน้มที่ลดลง

ประกอบกับประเทศไทยซึ่งเป็นผู้ผลิตยางรายใหญ่ของโลก ยังได้ดำเนินมาตรการบริหารผลผลิตเพื่อรักษาเสถียร ภาพราคายางอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินโครงการบริหารจัดการน้ำยางสด โครงการชะลอการขายยางก้อนถ้วยแห้งเพื่อรักษาสภาพคล่องให้เกษตรกร ทำให้สามารถบริหารควบคุมปริมาณยางออกสู่ตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

เมื่ออุปสงค์(Demand) มากกว่าอุปทาน(Supply) แนวโน้มราคายางในครึ่งปีหลังจึงสดใสตามกลไกของตลาด

รัฐศักดิ์ พลสิงห์

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : แก้ปัญหาน้ำลุ่มเจ้าพระยา #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/564865

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : แก้ปัญหาน้ำลุ่มเจ้าพระยา

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : แก้ปัญหาน้ำลุ่มเจ้าพระยา

วันศุกร์ ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2564, 06.00 น.

เมื่อวันก่อน ได้เห็นผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านน้ำลงพื้นที่บูรณาการขับเคลื่อนแนวทางการศึกษาแก้น้ำเค็มรุกเจ้าพระยาตอนล่าง และการวางแผนรับมือน้ำท่วมกรุงเทพฯก่อนฤดูฝนที่กำลังจะมาถึงแล้วน่าจะพออุ่นใจได้ว่า การแก้ปัญหาด้านน้ำในลุ่มเจ้าพระยาตอนล่างจะเห็นผลเป็นรูปธรรมเสียที

ผู้บริหารระดับสูงที่บูรณาการทำงานในครั้งนี้ นำโดย ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(สทนช.) นายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน นายมนต์ชัย มโนสมุทร ผู้ตรวจราชการกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายณรงค์ เรืองศรี ผู้อำนวยการสำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร(กทม.)และที่ขาดไม่ได้อีกคนคือ พลเรือโทจักรกฤชมะลิขาว เจ้ากรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ

เลขาธิการ สทนช. กล่าวว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้เป็นการบูรณาการหลายหน่วยงานด้านน้ำเพื่อหารือแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาด้านน้ำทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมรับมือฤดูฝนที่กำลังจะมาถึงซึ่งการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่กรุงเทพมหานครนั้น จะมีระบบป้องกันน้ำท่วมของตนเองและระบบคูคลองที่ต่อเนื่องเชื่อมโยงกับพื้นที่จังหวัดปริมณฑลเพื่อใช้ในการระบายน้ำ รวมทั้งยังได้มีการจัดหาพื้นที่แก้มลิงรองรับน้ำฝนและเก็บกักน้ำไว้ใช้อีกด้วย

ทั้งนี้ กทม.จะควบคุมปริมาณน้ำไม่ให้เกิดผลกระทบต่อพื้นที่ของกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยเฉพาะจุดเสี่ยงท่วมซ้ำซากในเขตกรุงเทพฯ

นอกจากนี้การลงพื้นที่ยังได้ติดตามการแก้ไขปัญหาน้ำเค็มเข้าสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งสำนักการระบายน้ำ กทม. ได้ร่วมมือกับกรมชลประทาน การประปานครหลวงและหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ปฏิบัติการผลักดันลิ่มน้ำเค็ม (Water HammerOperation) ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อคุณภาพน้ำดิบสำหรับการผลิตน้ำประปาที่สถานีสูบน้ำสำแล จ.ปทุมธานี โดย กทม.ใช้สถานีสูบน้ำของอุโมงค์ระบายน้ำ และสถานีสูบน้ำในแนวริมแม่น้ำเจ้าพระยาในการสูบน้ำช่วยปฏิบัติการดังกล่าว หากช่วงใดมีค่าความเค็มเกินมาตรฐานและอาจส่งผลกระทบต่อการเกษตร หรือสัตว์น้ำในพื้นที่ จะใช้วิธีการควบคุม การปิดเปิดประตูระบายน้ำ ลดการนำน้ำที่มีความเค็มจากแม่น้ำเจ้าพระยาเข้ามาไหลเวียน โดยจะใช้น้ำจากโรงบำบัดน้ำเสียของกทม. ที่ผ่านการบำบัดแล้ว รวมกับน้ำในพื้นที่มาใช้เพื่อเจือจางความเค็มในช่วงเวลาดังกล่าว

ตลอดจนได้มีการนำข้อมูลด้านอุทกศาสตร์ต่างๆ การคาดการณ์ระดับน้ำทะเล และการประเมินสถานการณ์การรุกล้ำของน้ำเค็ม เพื่อนำข้อมูลมาพิจารณากรอบแนวทางมาตรการและแผนการดำเนินงานเกี่ยวกับการรุกล้ำของน้ำเค็มบริเวณปากอ่าวแม่น้ำเจ้าพระยาในระยะยาวอีกด้วย

การเตรียมมาตรการรองรับปัญหาที่จะเกิดขึ้นไว้ล่วงหน้า เป็นเรื่องที่ควรจะดำเนินการอย่างยิ่งเมื่อเกิดการปัญหาขึ้นมาจะได้แก้ไขได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ สามารถลดผลกระทบ ลดความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้นได้

ดร.สมเกียรติกล่าวด้วยว่า ขณะนี้สทนช.ได้ดำเนินโครงการศึกษาวิเคราะห์ความเชื่อมโยงการบริหารจัดการน้ำกับระบบการประเมินด้านเศรษฐกิจ และพัฒนาระบบบัญชาการการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในภาวะวิกฤติ ครอบ คลุม 22 ลุ่มน้ำ ทั้งมิติทางสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม

ลุ่มน้ำเจ้าพระยาก็เป็นหนึ่งในลุ่มน้ำที่ได้ดำเนินการศึกษา

ดังนั้นในอนาคตการแก้ปัญหาเรื่องน้ำทั้งปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง และคุณภาพน้ำ จะมีการเชื่อมโยงข้อมูล ที่เป็นประโยชน์ของทุกหน่วยงาน เพื่อบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างเป็นระบบร่วมกันทั้งในภาวะปกติและภาวะวิกฤติ ภายใต้การบัญชาการของศูนย์บัญชาการเฉพาะกิจ อย่างรูปธรรมมากขึ้นอย่างแน่นอน


รัฐศักดิ์ พลสิงห์

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : ได้ฤกษ์ติดอาวุธให้ผู้ใช้น้ำรากหญ้า #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/561780

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : ได้ฤกษ์ติดอาวุธให้ผู้ใช้น้ำรากหญ้า

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : ได้ฤกษ์ติดอาวุธให้ผู้ใช้น้ำรากหญ้า

วันศุกร์ ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2564, 06.00 น.

พระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 ถือเป็นกลไกใหม่ในประวัติศาสตร์สำหรับการบริหารจัดการทรัพยาน้ำของประเทศ แต่จะให้เกิดผลเป็นรูปธรรมนั้น จะต้องมีการออกกฎหมายลำดับรองหรือกฎหมายลูกรองรับด้วย ถึงจะสามารถผลักดันเป้าประสงค์ของ พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำดังกล่าวให้เป็นจริงได้

กฎกระทรวงองค์กรผู้ใช้น้ำ เป็นหนึ่งในกฎหมายลำดับรองที่ขณะนี้มีผลบังคับใช้แล้ว ถือเป็นจุดเริ่มต้นในการให้ประชาชนผู้ใช้น้ำเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ ซึ่งจะเป็นฟันเฟืองสำคัญในการมีส่วนช่วยให้การพัฒนาทรัพยากรน้ำของประเทศมีประสิทธิภาพครอบคลุมทุกมิติมากยิ่งขึ้น

เมื่อเร็วๆ นี้ สทนช.หรือสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ได้จัดเสวนาเรื่อง “องค์กรผู้ใช้น้ำ” สร้างการมีส่วนร่วมบริหารจัดการทรัพยากรน้ำมิติใหม่ ขึ้นมา

ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการ สทนช. กล่าวว่า การจัดเสวนาดังกล่าวมีเป้าหมายสำคัญเพื่อให้ความรู้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะตัวแทนผู้ใช้น้ำ 3 ฝ่าย ประกอบด้วย ภาคเกษตรกรรม ภาคพาณิชยกรรมและภาคอุตสาหกรรม ได้ตระหนักถึงบทบาทและความสำคัญขององค์กรผู้ใช้น้ำ ในการสร้างการมีส่วนร่วมบริหารจัดการทรัพยากรน้ำมิติใหม่ในอนาคต

นอกจากนี้ยังเป็นการเตรียมความพร้อมในการจดทะเบียนจัดตั้งกลุ่มผู้ใช้น้ำ ทั้งคุณสมบัติผู้ที่จะเข้าร่วมเป็นองค์ผู้ใช้น้ำ ขั้นตอนกระบวนการและวิธีการต่างๆ ในการยื่นขอรับรองความเป็นองค์กรผู้ใช้น้ำ

วันที่ 1 เมษายน 2564 นี้ สทนช.ก็จะสามารถประกาศขึ้นทะเบียนองค์กรผู้ใช้น้ำได้

สำหรับองค์กรผู้ใช้น้ำที่จะขอขึ้นทะเบียนให้ถูกต้องตามพ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำนั้น จะต้องมีสมาชิกเป็นผู้ใช้น้ำบริเวณใกล้เคียงกันและอยู่ในเขตลุ่มน้ำเดียวกันตั้งแต่ 30 คนขึ้นไป เพื่อประโยชน์ร่วมกันเกี่ยวกับการใช้ การพัฒนา การบริหารจัดการ การบำรุงรักษา การฟื้นฟู และการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำในหมู่สมาชิกขององค์กรผู้ใช้น้ำ

“องค์กรผู้ใช้น้ำจะมีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ เพราะองค์กรผู้ใ่ช้น้ำจะเข้าใจปัญหาน้ำและแนวทางแก้ไขในแต่ละพื้นที่ซึ่งจะทำให้การแก้ไขปัญหาทรัพยากรน้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และตรงตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง” เลขาธิการ สทนช.กล่าว

นอกจากนี้องค์กรผู้ใช้น้ำ จะเป็นช่องทางสำคัญในการออกเสียง เสนอแนะ แสดงความคิดเห็น สะท้อนปัญหาที่แท้จริงจากพื้นที่ และนำเสนอโครงการต่าง ๆ อันเป็นประโยชน์ต่อชุมชนสู่คณะกรรมการลุ่มน้ำได้โดยตรง ตลอดจนร่วมกันหารือ แลกเปลี่ยนข้อมูล ไกล่เกลี่ย แก้ปัญหาร่วมกัน กรณีเกิดข้อขัดแย้งระหว่างพื้นที่ลุ่มน้ำ

ทั้งนี้พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ พ.ศ.2561 มีจัดแบ่งการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำไว้ 3 ระดับได้แก่ ระดับชาติ คือ คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(กนช.) ระดับลุ่มน้ำ คือ คณะกรรมการลุ่มน้ำและระดับพื้นที่ คือ องค์กรผู้ใช้น้ำ ซึ่งตัวแทนขององค์กรผู้ใช้น้ำจะเข้าไปนั่งเป็นคณะกรรมการลุ่มน้ำ และตัวแทนของคณะกรรมการลุ่มน้ำก็จะถูกคัดเลือกเข้าไปเป็นกรรมการใน กนช.

ในการเสวนาในครั้งนี้ ได้มีตัวแทนจาก ภาคเกษตรกรรม ภาคพาณิชยกรรม และภาคอุตสาหกรรม เข้าร่วมเสวนา ต่างกันเห็นด้วยที่จะขอยื่นขึ้นทะเบียนเป็นองค์กรผู้ใช้น้ำ เพราะได้เล็งเห็นประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น ปัญหาเกี่ยวกับน้ำในระดับรากหญ้าหรือระดับพื้นที่ ที่จะถูกสะท้อนขึ้นไปสู่ระดับกรรมการลุ่มน้ำและระดับชาติได้อย่างเป็นรูปธรรม

ปัจจุบันแม้หน่วยงานด้านน้ำหลายหน่วยงานมีการจัดตั้งองค์กรหรือกลุ่มผู้ใช้น้ำขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ยังไม่ได้อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำพ.ศ.2561 และยังมีไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ ดังนั้นถ้าภาคประชาชนหรือระดับรากหญ้าอยากจะติดอาวุธแก้ปัญหาน้ำในพื้นที่

ควรจะรีบมายื่นขอจดทะเบียนเป็นองค์กรผู้ใช้น้ำได้ที่ twuo.onwr.go.th หรือที่ สำนักงาน สทนช.ทั่วประเทศ

รัฐศักดิ์ พลสิงห์

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : น้ำกับเนเธอร์แลนด์ได้อะไร? #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/560168

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : น้ำกับเนเธอร์แลนด์ได้อะไร?

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : น้ำกับเนเธอร์แลนด์ได้อะไร?

วันศุกร์ ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2564, 06.00 น.

ประเทศเนเธอร์แลนด์ ถือเป็นประเทศทวีปยุโรปที่มีความเชี่ยวชาญในการป้องกันน้ำท่วมและจัดการน้ำในเขตเมืองมายาวนานตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน และได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีในเรื่องดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นประเทศที่มีระบบการบริการจัดการน้ำที่ดีมากที่สุดอีกประเทศหนึ่งของโลก เป็นที่น่ายินดีที่ประเทศเนเธอร์แลนด์จะให้ความร่วมมือกับประเทศไทย ในการแก้ไขปัญหาอุทักภัยในพื้นที่ลุ่มต่ำเฉพาะกรุงเทพฯและปริมณฑล

ล่าสุดเมื่อเร็วๆนี้ ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะตัวแทนราชอาณาไทย และ นายเกสปีเตอร์ ราเดอ เอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทย ในฐานะตัวแทนกระทรวงโครงสร้างพื้นฐานและการบริหารจัดการน้ำแห่งราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ ได้ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ(MOU)ว่าด้วยความร่วมมือด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ณ ทำเนียบเอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทย

การลงนาม MOU ครั้งนี้มีผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการต่างประเทศ กรมชลประทาน สำนักการระบายน้ำกรุงเทพมหานคร สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) เป็นต้น ร่วมเป็นสักขีพยาน

ประเทศไทยจะได้ประโยชน์อะไรจาก MOU ฉบับนี้ ?

ดร.สมเกียรติ บอกว่า การลงนามเอ็มโอยูครั้งนี้จะเป็นก้าวสำคัญที่จะทำให้ความร่วมมือด้านน้ำระหว่าง 2 ประเทศเป็นรูปธรรมมากขึ้น ทั้งการแลกเปลี่ยนบุคลากร ความร่วมมือและการทำงานร่วมกันของหน่วยงานด้านน้ำของทั้ง 2 ประเทศ โดยเฉพาะนวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านน้ำที่เนเธอร์แลนด์ประสบความสำเร็จ โดยมี สทนช. เป็นหน่วยงานกลางในการประสานงานและอำนวยการความสะดวก

นอกจากนี้ยังจะเป็นกลไกในการเปิดโอกาสให้นักวิชาการ สถาบันการศึกษาและภาคธุรกิจได้แลกเปลี่ยนข้อมูล และร่วมมือกันในด้านต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ในอนาคตอีกด้วย

เลขาธิการ สทนช. กล่าวย้ำว่า ปัญหาน้ำท่วมและความแห้งแล้งที่เพิ่มขึ้น เป็นความท้าทายสำหรับการบริหารจัดการน้ำทั่วโลก ซึ่งรัฐบาลไทยได้มีการปรับปรุงระบบการบริหารจัดการน้ำให้บรรลุผลอย่างมีประสิทธิภาพ และตอบสนองขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ผ่านการแลกเปลี่ยนความร่วมมือกับนานาประเทศมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเนเธอร์แลนด์ที่ไทยมีการแลกเปลี่ยนความร่วมมือด้านน้ำระหว่างกันมาอย่างยาวนาน ทั้งระดับผู้นำประเทศ และระดับหน่วยงานปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาองค์ความรู้ให้กับบุคลากรด้านน้ำระหว่างกัน การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความสำเร็จในการบริหารจัดการน้ำ การส่งผู้เชี่ยวชาญจากประเทศเนเธอร์แลนด์ร่วมทำงานกับฝ่ายไทยในการแก้ไขปัญหาช่วงน้ำท่วมปี 2554 การจัดการความเสี่ยงจากอุทกภัยในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง) การพัฒนาระบบพยากรณ์เพื่อคาดการณ์สภาพอากาศที่มีความแม่นยำสูง เป็นต้น

“เอ็มโอยูฉบับนี้เป็นความร่วมมือในสาขาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ บนพื้นฐานของความเสมอภาคและผลประโยชน์ร่วมกัน” ดร.สมเกียรติกล่าว

ประเทศไทยโดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลนั้น เป็นที่ลุ่มต่ำ สภาพภูมิประเทศคล้ายๆ กับเนเธอร์แลนด์ ดังนั้นการลงนามMOU ด้วยความร่วมมือในครั้งนี้ จะทำให้การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ การแก้ปัญหาอุทกภัยโดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มต่ำและในเขตเมืองของไทย จะได้รับอานิสงส์อย่างแน่นอน

รัฐศักดิ์ พลสิงห์

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : ทุ่งใหญ่นเรศวร #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/558525

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : ทุ่งใหญ่นเรศวร

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : ทุ่งใหญ่นเรศวร

วันศุกร์ ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2564, 06.00 น.

ช่วงวันหยุดต่อเนื่องเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสเข้าไปศึกษาท่องเที่ยวธรรมชาติใน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ผืนป่าที่ที่ได้รับยกย่องให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ จากองค์การยูเนสโก

เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ถูกประกาศเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2517 มีเนื้อที่มากกว่า 2 ล้่านไร่ แยกการบริหารเป็นด้านตะวันตก อยู่ในท้องที่ อ.ทองผาภูมิ และ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี และด้านตะวันออกอยู่ในพื้นที่ อ.อุ้มผาง จ.ตาก

“ทุ่งใหญ่นเรศวร” เป็นดินแดนที่มีตำนาน สันนิษฐานจากข้อมูลทางประวัติศาสตร์ว่า บริเวณนี้สมเด็จพระนเรศวรมหาราชเคยใช้เป็นฐานที่มั่นและแหล่งเสบียงอาหารเพื่อเตรียมทำศึกกับพม่าในปี พ.ศ. 2138 และ 2142 ว่ากันว่า พื้นที่นาข้าวผืนใหญ่ ที่หมู่บ้านจะแก หรือบ้านหินตั้ง ที่อยู่ใจกลางทุ่งใหญ่ฯ ใช้ปลูกข้าวสำหรับเป็นเสบียงอาหารทำศึก

การเดินทางเข้าทุ่งใหญ่ฯในครั้งนี้ขอบคุณ หัวหน้าฯศุภฤกษ์ กลั่นประเสริฐ นักวิชาการป่าไม้ชำนาญการ ทำหน้าที่หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก ที่อนุญาตเข้าไปในพื้นที่ได้ และ น้องแมน-ภาณุวัฒน์ พันชนะ ผู้ช่วยหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตกที่ช่วยประสานงานให้จนภารกิจสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี

แม้การเดินทางครั้งนี้จะเข้าไปในพื้นที่ชายขอบทุ่งใหญ่ฯ คือ ที่บ้านไล่โว่ บ้านสาละวะ และบ้านเกาะสะเดิ่ง แต่ก็ได้เห็นความอุดมสมบูรณ์ของป่า ลำธาร และความสวยงามของธรรมชาติ ที่จะต้องจดจำอีกยาวนาน เหมือนย้อนเข้าไปในอดีต..สวยงามจริงๆ โดยตั้งแคมป์พักแรมที่หน่วยพิทักษ์ป่าสาละวะ และหน่วยพิทักษ์ป่าเกาะสะเดิง

นอกจากจะเข้าไปศึกษาท่องเที่ยวธรรมชาติ ยังได้รับการร้องขอจาก ผอ.สุวินัย พลีเพื่อชาติ ผู้อำนวยการโรงเรียนกองม่องทะ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ให้บรรทุกนมโรงเรียนเข้าไปส่งให้กับโรงเรียนสาขาที่ที่บ้านไล่โว่
บ้านสาละวะ และบ้านเกาะสะเดิ่ง รวมประมาณ 300 กล่องใหญ่ อีกด้วย เพราะทางโรงเรียนไม่มีงบประมาณในการจัดส่ง

“ค่าขนส่งเข้าไปในพื้นที่ค่อนข้างแพงกล่องละประมาณ 70 บาท 300 กล่องคิดเป็นเงินมากกว่า 20,000 บาท โรงเรียนมีงบไม่เพียงพอ” ผอ.สุวินัยเล่าให้ฟัง แต่พวกเราขนส่งฟรีครับ เพื่อเด็กๆ จะได้มีนมบริโภคตลอดปีการศึกษา สร้างความเท่าเทียมให้เกิดขึ้นในพื้นที่ทุรกันดาร

การเดินทางเข้าทุ่งใหญ่ฯ จะต้องยื่นหนังสือขออนุญาตล่วงหน้าอย่างน้อย 10 วันก่อนเดินทาง รถยนต์ที่จะใช้ควรจะเป็นรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อเท่านั้น และจะต้องปฏิบัติตามประกาศของกรมอุทยานแห่งชาติฯอย่างเคร่งครัดขนาดยางต้องกว้างไม่เกิน 10.5 นิ้ว สูงไม่เกิน 32.5 นิ้ว เพื่อป้องกันการทำลายเส้นทาง เนื่องจากเส้นทางที่ท่องเที่ยวศึกษาธรรมชาติ เป็นเส้นทางเดียวกับที่ชาวบ้านในพื้นที่ใช้สัญจรทั่วไป หากเส้นทางถูกทำลาย การสัญจรซึ่งปกติก็ลำบากอยู่แล้ว ยิ่งจะลำบากมากขึ้น ชาวบ้านที่ป่วย ไม่สบาย อาจจะเดินทางเข้ามารักษาในเมืองไม่ได้

แม้ทางกรมอุทยานแห่งชาติฯ จะอนุญาตให้เข้าไปท่องเที่ยว ศึกษา วิจัย และทำงานจิตอาสาได้ก็ตาม แต่ต้องทำกฎระเบียบ เพราะเขตรักษาพันธุ์สัตว์ฯ ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า เป็นพื้นที่ให้สัตว์ที่ได้อยู่อาศัย เราไปเยือนก็ต้องเป็นผู้เยือนที่ดีด้วย

ดินแดนนี้มีอาถรรพ์ ใครทำอะไรไม่ดี ไม่ถูก ไม่ควรผลกรรมจะตามมาอย่างที่เราๆได้เห็นเป็นข่าวกัน

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : แบ่งลุ่มน้ำใหม่ได้อะไร? #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/556950

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : แบ่งลุ่มน้ำใหม่ได้อะไร?

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : แบ่งลุ่มน้ำใหม่ได้อะไร?

วันศุกร์ ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2564, 06.00 น.

เดิมนั้นลุ่มน้ำหลักของประเทศไทยมีทั้งหมด 25 ลุ่มน้ำ แต่เพื่อให้ที่เหมาะสมสำหรับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและวิถีชีวิตของประชาชน สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(สทนช.) จึงได้ดำเนินการศึกษาจัดแบ่งลุ่มน้ำใหม่ โดยพิจารณาจากจุดออกของลุ่มน้ำ
สภาพภูมิศาสตร์พื้นที่ วัฒนธรรมองค์กร การแบ่งเขตการปกครอง
การใช้น้ำ ตลอดจนการบริหารจัดการน้ำ และที่สำคัญพื้นที่ลุ่มน้ำไม่ควรอยู่ต่างภูมิภาค

ในที่สุดพระราชกฤษฎีกากำหนดลุ่มน้ำใหม่ จาก 25 ลุ่มน้ำ
ลดลงเหลือ 22 ลุ่มน้ำก็มีผลบังคับใช้ เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา

สำหรับลุ่มน้ำหลักใหม่ทั้ง 22 ลุ่มน้ำนั้น ประกอบด้วย ลุ่มน้ำสาละวิน ลุ่มน้ำปิง ลุ่มน้ำวัง ลุ่มน้ำยม ลุ่มน้ำน่าน ลุ่มน้ำโขงเหนือ
ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ลุ่มน้ำป่าสัก ลุ่มน้ำบางปะกง ลุ่มน้ำโตนเลสาป ลุ่มน้ำ
แม่กลอง ลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ ลุ่มน้ำชี ลุ่มน้ำมูล ลุ่มน้ำสะแกกรัง ลุ่มน้ำท่าจีน ลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออก ลุ่มน้ำเพชรบุรี-ประจวบคีรีขันธ์ ลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันออกตอนบน ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันออกตอนล่าง และลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันตก

อย่างไรก็ตามเมื่อมีการแบ่งลุ่มน้ำใหม่แล้ว ก็ยังจะไม่บริหาร
จัดการทรัพยากรน้ำได้ตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ
พ.ศ.2561 ถ้ายังไม่มีกรรมการลุ่มน้ำ

เจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ.2561 ต้องการให้การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ เป็นไปบนพื้นฐานการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน สามารถใช้ในการวิเคราะห์ด้านการบริหารจัดการแหล่งน้ำแบบองค์รวมได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและรวดเร็วทันต่อสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน รวมทั้งสามารถบริหารจัดการน้ำได้อย่างเบ็ดเสร็จในแต่ละลุ่มน้ำ

ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการ สทนช. ยืนยันว่าสทนช.จะดำเนินการสรรหาและคัดเลือกกรรมการลุ่่มน้ำให้แล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคม 2564 ซึ่งประกอบด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัดในเขตลุ่มน้ำนั้น และผู้แทนจากหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้แทนองค์กรผู้ใช้น้ำ และผู้ทรงคุณวุฒิ

หลังจากนั้นก็จะดำเนินการคัดเลือกกรรมการผู้แทนคณะกรรมการลุ่มน้ำ เพื่อไปนั่งในคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ( กนช.) จำนวน 6 คน ประกอบด้วย กรรมการลุ่มน้ำผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 1 คน กรรมการลุ่มน้ำผู้แทนองค์กรผู้ใช้น้ำ 4 คน และกรรมการลุ่มน้ำผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 1 คน จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2564

“ภายหลังจากได้คณะกรรมการลุ่มน้ำใหม่ครบทั้ง 22 ลุ่มน้ำหลักและกรรมการผู้แทนคณะกรรมการลุ่มน้ำใน กนช.แล้วจะทำให้การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศบนพื้นฐานการมีส่วนร่วมของทุกภาคอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับความต้องการสถานการณ์ในปัจจุบันและปัญหาในพื้นที่รวมทั้งตอบสนองต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม ตลอดจนการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ช่วยให้การพัฒนาและบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพครอบคลุมทุกมิติมากยิ่งขึ้น” เลขาธิการ สทนช.ยืนยัน

ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2565 เป็นต้นไป มิติใหม่ของการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศจะเริ่มนับ..หนึ่ง

รัฐศักดิ์ พลสิงห์

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : ยางแนวโน้มดีมีเสถียรภาพ #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/555341

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : ยางแนวโน้มดีมีเสถียรภาพ

วันศุกร์ ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564, 06.00 น.

สัปดาห์ที่แล้วเขียนถึงโรคร้ายที่ทำลายสวนยางพาราคือ โรคใบร่วงชนิดใหม่ ซึ่งโรคนี้มีส่วนสำคัญทำให้แนวโน้มราคายางเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีเสถียรภาพในขณะนี้

ประธานกรรมการการยางแห่งประเทศไทย(กยท.) “ประพันธ์ บุณยเกียรติ” ได้วิเคราะห์สถานการณ์ราคายางพาราว่า สภาวะตลาดโลกที่มีการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในปัจจุบัน เอื้ออำนวยให้ราคายางยังปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีเสถียรภาพ เนื่องจากมีความต้องการใช้ยางเป็นวัตถุดิบมากขึ้น ในขณะที่ปริมาณการผลผลิต
ลดลง

ยางพาราเป็นวัตถุดิบสำคัญ ในการผลิตถุงมือยาง และอุปกรณ์การแพทย์ต่างๆ เมื่อไวรัสโควิด-19 ระบาดอย่างต่อเนื่องทั่วโลก ทำให้ความต้องการถุงมือยางและอุปกรณ์การแพทย์เพิ่มสูงขึ้น

นอกจากนี้ ประเทศผู้ผลิตยางรายใหญ่ของโลก คือประเทศอินโดนีเซียและประเทศมาเลเซีย สวนยางนอกจากจะถูกโรคใบร่วงเข้าทำลายทำให้ผลผลิตลดลงแล้ว ยังประสบปัญหาน้ำท่วมอีกด้วย รวมความเสียหายกว่า 5 ล้านไร่ ประกอบกับในช่วงนี้ยางกำลังเข้าสู่ช่วงฤดูปิดกรีด สวนยางพลัดใบ

เมื่อความต้องการใช้ยางมีมาก ในขณะที่ปริมาณการผลิตลดลง ราคาจึงเพิ่มสูงขึ้นตามกลไกทางการตลาดในเรื่องอุปสงค์อุปทาน โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมาราคา ณ ตลาดกลางยางพารา จ.สงขลา ยางแผ่นดิบราคากิโลกรัมละ 63.00 บาท ส่วนราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 ได้ขึ้นมาอยู่ที่ 68.38 บาทต่อกิโลกรัม

“การเพิ่มขึ้นของราคายางควรจะเพิ่มขึ้นอย่างมีเสถียรภาพ” ประธานกรรมการ กยท.กล่าว

ดังนั้นเพื่อให้ราคายางมีเสถียรภาพและสร้างความมั่นคงให้กับเกษตรกรชาวสวนยาง กยท. ได้ดำเนินมาตรการต่างๆ หลายโครงการ ไม่ว่าจะเป็น โครงการบริหารจัดการน้ำยางสด มีเป้าหมายที่จะดึงน้ำยางออกจากตลาดให้ได้ 200,000 ตัน ขณะนี้เริ่มดำเนินการแล้วที่ จ.นครศรีธรรมราช และอยู่ระหว่างการขยายโครงการไปยังจ.พัทลุง และ จ.สงขลา

โครงการนี้จะชะลอและขยายอายุการจัดเก็บน้ำยางสดจากเดิม 4-5 วัน เป็น 1-2 เดือน ให้กับเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร เป็นการป้องกันไม่ให้น้ำยางสดทะลักเข้าตลาดในเวลาเดียวกันเป็นจำนวนมากเกินไป และช่วยให้มีน้ำยางสดป้อนโรงงานเพื่อการผลิตอย่างสม่ำเสมอทุกฤดูกาล

อีกโครงการที่ที่ กยท.ได้ดำเนินการคือ โครงการชะลอการขายยางก้อนถ้วยเพื่อรักษาสภาพคล่องให้เกษตรกร ช่วยให้เกษตรกรสามารถรอจำหน่ายผลผลิตในช่วงเวลาที่เหมาะสมได้เช่นกัน โดยขณะนี้ได้นำร่องดำเนินโครงการกับสถาบันเกษตรกรทางภาคเหนือแล้ว

“ในอนาคตเมื่อเราบริหารจัดการสินค้ายางที่อยู่ในสต๊อกได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถจัดเก็บยางไว้ได้ในช่วงความต้องการน้อยและนำออกจำหน่ายเมื่อมีความต้องการใช้ยางมาก จะช่วยให้ราคายางเกิดเสถียรภาพ” ประธาน กยท.ฟันธง!!!


รัฐศักดิ์ พลสิงห์

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : จับตา…โรคใบร่วงยางพาราระบาด! #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/553701

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : จับตา...โรคใบร่วงยางพาราระบาด!

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : จับตา…โรคใบร่วงยางพาราระบาด!

วันศุกร์ ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564, 06.00 น.

เมื่อเร็วๆนี้ ท่านประธานกรรมการ การยางแห่งประเทศไทย(กยท.)“ประพันธ์ บุณยเกียรติ” ได้นำทีมล่องใต้สำรวจสวนยางพาราที่เป็นโรคใบร่วงชนิดใหม่ พบว่ามีการระบาดกว่า 900,000 ไร่ จังหวัดที่หนักที่สุดก็คือ นราธิวาส พบการระบาดถึง 720,000 ไร่

จริงๆที่แล้วโรคใบร่วงชนิดใหม่ดังกล่าว ไม่ได้ใหม่สำหรับประเทศไทยเสียทีเดียว เคยระบาดมาแล้วในปี 2562 ต่อเนื่องมาปี 2563 และเคยระบาดหนักมากๆ ในประเทศอินโดนีเซียมาก่อน มีสวนยางได้รับผลกระทบถึง 2.5 ล้านไร่ เยอะกว่าประเทศไทยหลายเท่า

ถ้าหากต้นยางต้นใดถูกโรคนี้เข้าทำลายอย่างรุนแรงแล้ว ผลผลิตน้ำยางจะลดลง ถึงขั้นไม่มีน้ำยางเลย และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้น้ำยางออกสู่ตลาดลดลง ราคายางจึงเพิ่มขึ้นในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามแม้ราคายางจะเพิ่มสูงขึ้น แต่ถ้าเกษตรกรไม่มียางขายก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นจะต้องเร่งหาวิธีป้องกันและยับยั้งโรคนี้ให้ได้

“กยท.จะต้องเร่งดำเนินการทำแผนงานระงับยับยั้ง และควบคุมการแพร่ระบาดของโรคใบร่วงอย่างรัดกุมและมีประสิทธิภาพโดยด่วนที่สุดอย่างช้าภายในเดือนพฤษภาคมหรือก่อนฤดูฝนที่เป็นฤดูที่เหมาะแก่การเติบโตของเชื้อโรค” ประธานกรรมการ กยท.กล่าวยืนยัน

การระบาดของโรคใบร่วงชนิดใหม่ มีสาเหตุจากเชื้อรากลุ่ม Colletotrichum sp. และ Pestalotiopsis sp. บริเวณที่ระบาดหนักจะเป็นสวนยางพาราที่ปลูกบนภูเขาและมีความชื้นในอากาศสูง ซึ่งยังอยู่ในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง

วิธีสังเกตว่า ต้นยางพาราเป็นโรคใบร่วงชนิดใหม่นี้หรือไม่นั้น ดูง่ายๆ จากใบ อาการเริ่มแรกใต้ใบมีลักษณะรอยช้ำค่อนข้างกลม ผิวใบด้านบนบริเวณเดียวกันสีเหลืองกลม ระยะต่อมาเนื้อเยื่อบริเวณนี้เป็นแผลตายแห้งเปลี่ยนเป็นสีคล้ำ และเป็นสีสนิมซีดรอบแผลไม่เป็นสีเหลือง รูปร่างแผลค่อนข้างกลมขนาดจำนวนจุดแผลบนแผ่นใบมีมากกว่า 1 แผลอาจเจริญลุกลามซ้อนกันเป็นแผลขนาดใหญ่ และใบจะร่วงในที่สุด อาจจะร่วงซ้ำถึง 3 รอบต่อปี

ส่วนวิธีป้องกันง่ายที่สุดในตอนนี้คือใช้กระบวนการจัดการสวนที่ดี สร้างความอุดมสมบูรณ์ให้กับต้นยางพารา และสารการใช้สารเคมีในการป้องกันจำกัด ซึ่ง กยท.ได้ดำเนินการจัดทำเอกสารเผยแพร่เอกสารความรู้เรื่องโรคใบร่วงชนิดใหม่ ตลอดจนแนวทางการป้องกันและกำจัดแจกจ่ายไปในพื้นที่ทั้งหมดแล้ว

เกษตรกรชาวสวนยางสามารถติดต่อขอเอกสาร ได้ที่สำนักงานของ กยท.ที่อยู่ใกล้

อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้ยังโชคดีการระบาดยังไม่กระจายทั่วไป เพราะยางเริ่มผลัดใบ เชื้อหยุดระบาดเนื่องจากไม่มีอาหาร และยังโชคดีที่พืื้นที่ภาคใต้ตอนบน ภาคกลางภาคตะวันออก ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังไม่พบการระบาด แต่เกษตรกรก็ไม่ควรตายใจ ราคายางแนวโน้มเริ่มดีขึ้น ควรจะดูแลรักษาสวนยางให้ดี

หากเกษตรกรให้ความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องในการป้องกันและกำจัดแล้ว เชื่อมั่นในการควบคุมโรคระบาดครั้งนี้ได้จะประสบผลสำเร็จแน่นอน…ฟันธง!!!

รัฐศักดิ์ พลสิงห์

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : EEC มั่นคงเรื่องน้ำตลอดกาล? #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/552113

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : EEC มั่นคงเรื่องน้ำตลอดกาล?

วันศุกร์ ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564, 06.00 น.

สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้เขียนถึงการแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในฤดูแล้งปีที่ผ่านมาประสบผลสำเร็จอย่างน่าพอใจ ทั้งๆ ที่ปริมาณน้ำต้นทุนมีจำนวนจำกัด แต่ก็ผ่านพ้นวิกฤติมาได้ ด้วยการทำงานแบบบูรณาการภายใต้กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ(กอนช.)

มาถึงฤดูแล้งปีนี้สถานการณ์น้ำในพื้นที่ EEC เป็นอย่างไร?

ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(สทนช.) บอกว่า ปริมาณน้ำต้นทุนในภาคตะวันออกปีนี้มีปริมาณน้ำรวม 1,928 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) คิดเป็น 62%มีปริมาณน้ำมากกว่า 303 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งเป็นผลมาจากฝนที่ตกลงมากกว่าปีที่แล้ว ประกอบกับหลากหลายมาตรการที่ทุกหน่วยงานได้ดำเนินการร่วมกัน รวมทั้งรัฐบาลยังได้อนุมัติงบกลางเพิ่มประสิทธิภาพแหล่งน้ำต่างๆ เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำเก็บกักน้ำในช่วงฤดูฝนปี 2563 ที่ผ่านมารวมทั้งสิ้น 1,451 แห่ง ส่งผลให้ปริมาณน้ำต้นทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและมากกว่าปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตามหากพิจารณาถึงความต้องการใช้น้ำในพื้นที่ EEC ในอนาคตนั้น เป็นเรื่องที่ท้าทายความสามารถในการวางแผนแก้ปัญหา ทั้งนี้ ในปัจจุบันมีความต้องการใช้น้ำรวม 2,419 ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ 58 ของความต้องการใช้น้ำภาคตะวันอออก ในปี 2570 ความต้องการจะเพิ่มขึ้นเป็น 2,888 ล้านลบ.ม. และในปี 2580 ความต้องการจะพุ่งขึ้นถึง 3,089 ล้านลบ.ม.

ในขณะที่ปริมาณน้ำต้นทุนที่หล่อเลี้ยงพื้นที่ EEC ในปัจจุบันมีทั้งสิ้น 2,540 ล้านลบ.ม.ต่อปี โดยเป็นปริมาณน้ำจากอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และกลาง 1,368 ล้านลบ.ม. จากลุ่มเจ้าพระยา 597 ล้านลบ.ม. จากแม่น้ำปราจีนบุรี-นครนายก 395 ล้านลบ.ม. จากน้ำบาดาล 79 ล้านลบ.ม. ผันจากคลองพระองค์ไชยานุชิต 70 ล้านลบ.ม. และจากลุ่มน้ำบางปะกง 30 ล้านลบ.ม.

ปริมาณน้ำต้นทุนที่มีอยู่มากกว่าความต้องการใช้น้ำในปัจจุบันประมาณ 100 กว่าล้านลบ.ม.เท่านั้น หากไม่หาแหล่งน้ำต้นทุนเพิ่มขึ้น อีกไม่กี่ปีน้ำในพื้นที่ EEC จะขาดแน่นอน

“สทนช. ได้วางแผนในเชิงป้องกัน โดยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำเพื่อสร้างความมั่นคงน้ำในเขต EEC ระยะยาวไว้แล้ว” เลขาธิการ สทนช. กล่าวถึงแนวทางในการแก้ปัญหา

ระหว่างปี 2563-2580 จะดำเนินการทั้งหมด 38 โครงการ เน้นการบริหารจัดการน้ำต้นทุนในพื้นที่แหล่งน้ำนอกลุ่มน้ำ แหล่งน้ำผิวดิน น้ำบาดาล รวมถึงพัฒนาน้ำจืดจากน้ำทะเล โดยคำนึงถึงความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศมาใช้ในการพัฒนาโครงการด้วย โดยขณะนี้ได้แล้วเสร็จ 4 โครงการ ได้ปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น 46.47 ล้าน ลบ.ม. ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการ 13 โครงการ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2567 ได้ปริมาณน้ำต้นทุนเพิ่มขึ้นอีก 216.32 ล้าน ลบ.ม. ส่วนที่เหลิือจะดำเนินในระยะต่อๆ ไปจนครบตามแผน

นอกจากนี้ สทนช. ยังได้เร่งจัดทำผังน้ำของลุ่มน้ำบางปะกงขึ้นเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการจัดสรรทรัพยากรน้ำตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ อย่างเป็นระบบและเป็นธรรม ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นคงในเรื่องน้ำต้นทุนให้พื้นที่ EEC อีกทางหนึ่ง

ฟันธง!!! “EEC จะมีความมั่นคงในเรื่องน้ำอย่างแน่นอน” ดร.สมเกียรติการันตี

รัฐศักดิ์ พลสิงห์