สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : ผลงานแก้ปัญหาน้ำEEC #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/550512

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : ผลงานแก้ปัญหาน้ำEEC

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : ผลงานแก้ปัญหาน้ำEEC

วันศุกร์ ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564, 06.00 น.

ในฤดูแล้งปีที่แล้ว เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) 3 จังหวัดคือ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา เป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่มีความเสี่ยงสูงที่จะประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ เพราะปริมาณน้ำต้นทุนที่มีอยู่ในขณะนั้นมีไม่เพียงพอกับความต้องการ

แต่ก็สามารถบริหารจัดการน้ำผ่านพ้นวิกฤติขาดน้ำมาได้วิกฤติภัยแล้งที่รุนแรงทำให้รัฐบาลจัดตั้ง กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ(กอนช.) ขึ้นมาโดยมี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้อำนวยการ เพื่อทำหน้าที่บูรณาการ ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควบคุมวิกฤติน้ำที่อยู่ในวงจำกัด รวมทั้งรวบรวม ติดตาม ประเมินสถานการณ์ อำนวยการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ สร้างการรับรู้ และลดผลกระทบที่เกิดขึ้น ตลอดจนให้ความช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงที

พื้นที่ EEC ขณะนั้นเข้าข่ายเป็นพื้นที่เสี่ยงที่จะเกิดวิกฤติขาดแคลนน้ำ!!

EEC มีความต้องการใช้น้ำประมาณ 540 ล้านลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.) แต่ปริมาณต้นทุนขณะนี้มีเพียง 390 ล้านลบ.ม.เท่านั้น

ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(สทนช.) ในฐานะรองผู้อำนวยการ กอนช. เล่าให้ฟังว่า ขณะนั้นกอนช.ได้บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดร่วมกันวางแผนจัดหาน้ำให้เพียงพอกับความต้องการใช้ในพื้นที่ EEC ไม่ว่าจะการใช้สูบผันน้ำคลองวังโตนด มาเติมอ่างฯประแสร์ และผันน้ำจากจากอ่างฯประแสร์มาช่วยพื้นที่ EEC รวมทั้งการแบ่งปันน้ำจากอ่างฯประแกตการเจรจาซื้อน้ำจากบ่อดินของเอกชน มาเสริมเข้าระบบน้ำการประปาส่วนภูมิภาค และของบริษัท East Water พร้อมทั้งจะดำเนินการขุดลอกคลองหลวง จากท้ายอ่างฯคลองหลวงถึงคลองพานทองเพื่อระบายน้ำมาที่สถานีสูบพานทอง และสูบผันมาเติมในอ่างฯบางพระ นอกจากนี้ยังวางแผนที่จะทำการสูบผันน้ำแม่น้ำบางปะกง มาเติมอ่างฯ บางพระ พร้อมๆ กับทำการรณรงค์ให้ผู้ใช้น้ำ ลดการใช้น้ำ 10% เจรจาให้โรงไฟฟ้าเอกชนหยุดเดินระบบอยู่ในโหมด Stand Bye เพื่อลดการใช้น้ำเพื่อหล่อเย็น เป็นต้น

ในที่สุด EEC ซึ่งเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมหลักของประเทศ ก็ผ่านพ้นวิกฤติขาดแคลนน้ำได้

อย่างไรก็ตามเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน รัฐบาลยังได้เคลื่อนโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ ในพื้นที่ EEC ปี 2563-2580 อีกจำนวน 38โครงการ วงเงิน 52,191 ล้านบาท ได้ปริมาณน้ำต้นทุนเพิ่มขึ้น 872 ล้าน ลบ.ม. โดยในจำนวนนี้ สทนช.ได้กำกับขับเคลื่อนโครงการ ไปแล้ว 16 โครงการ จะดำเนินการแล้วเสร็จ ในปี 2565 จะได้น้ำเพิ่มขึ้น 253.60 ล้าน ลบ.ม.

เรื่องดีๆ ผลงานชิ้นโบแดงของ กอนช. อย่างนี้ก็ต้องชมกันบ้างครับ จะได้เป็นกำลังใจในการทำงานและยังสามารถนำแนวทางดังกล่าวไปต่อยอด ขยายผล แก้ปัญหาน้ำในพื้นที่อื่นๆ ในปีนี้และปีต่อๆไปได้อีกด้วย

รัฐศักดิ์ พลสิงห์

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : คลองมะเดื่อ #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/548824

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : คลองมะเดื่อ

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : คลองมะเดื่อ

วันศุกร์ ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2564, 06.00 น.

คลองมะเดื่อเป็นลำน้ำสาขาหนึ่งของลุ่มน้ำนครนายก ต้นน้ำอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ปัจจุบันเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สำคัญอีกแห่งของจ.นครนายก ด้วยลำธารที่ใส น้ำเย็นสบาย และไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ในช่วงวันหยุดจึงมีนักท่องเที่ยวเข้าไปกางเต็นท์ แคมปิ้งจำนวนมาก แม้เส้นทางจะค่อนข้างลำบากสำหรับรถเก๋งก็ตาม

คลองมะเดื่อเหมือนเป็นลำน้ำคู่ขนานกับคลองท่าด่านถ้าหันหน้าเข้าเขาใหญ่ คลองท่าด่านจะอยู่ขวามือ ส่วนคลองมะเดื่อจะอยู่ซ้ายมือ

กรมชลประทานได้ทำการศึกษาโครงการพัฒนาลุ่มน้ำนครนายกตอนบน เพื่อบรรเทาปัญหาน้ำท่วม ขาดแคลนน้ำ และปัญหาดินเปรี้ยว ได้ผลสรุปว่า ควรจะดำเนินการสร้างเขื่อน 2 แห่งคือ เขื่อนคลองท่าด่าน และเขื่อนคลองมะเดื่อ

พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำรัสให้ดำเนินการก่อสร้างเขื่อนคลองท่าด่าน และกรมชลประทานได้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2548 ซึ่งต่อมาได้รับพระราชทาน นามว่า เขื่อนขุนด่านปราการชล อันเนื่องมาจากพระราชดำริ

ส่วนเขื่อนคลองท่าด่าน ยังไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างได้ แต่บริเวณพื้นที่จะสร้างเขื่อนในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อนมากๆ

“เขื่อนคลองมะเดื่อ ตั้งอยู่หมู่ที่ 1 บ้านดง ต.สาริกา อ.เมือง จ.นครนายก มีพื้นที่รับน้ำ 62.30 ตารางกิโลเมตร มีความจุ 85.17 ล้านลูกบาศก์เมตร เมื่อแล้วเสร็จจะมีแหล่งน้ำต้นทุนเพื่อการอุปโภค-บริโภค การเกษตร และช่วยบรรเทาปัญหาอุทกภัย รวมทั้งยังช่วยแก้ไขปัญหาดินเปรี้ยวและช่วยผลักดันน้ำเค็มที่ขึ้นมาทางแม่น้ำบางปะกงอีกด้วย” นายเฉลิมเกียรติ คงวิเชียรวัฒน์ รองอธิบดีกรมชลประทานกล่าว

ปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาความเหมาะสมโครงการ และผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม โดยเปิดให้ทุกภาคส่วนได้ร่วมแสดงความคิดเห็น เพื่อนำไปสู่การศึกษาโครงการอย่างครบถ้วนสมบูรณ์และตรงความต้องการของประชาชนในพื้นที่

ผมเคยเข้าไปคลองมะเดื่อตั้งแต่ปี 2540 ที่ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักทั่วไป ช่วงนั้นสามารถเดินทางเข้าไปถึงจุดที่น้ำท่วมถึงหากมีการสร้างเขื่อน ซึ่งชาวบ้านเรียกว่าคลอง 5 (ถ้าจำไม่ผิด) อยู่ในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ต่อมามีนักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวมากขึ้น โดยเฉพาะออฟโรดมีการแข่งรถในลำธารอย่างที่เป็นข่าวดังเมื่อหลายปีก่อน ยิ่งทำให้คนรู้จักคลองมะเดื่อมากขึ้น มีนักท่องเที่ยวไปเที่ยวเพิ่มขึ้นตามลำดับ จนต้องมีการออกกฎระเบียบที่เข้มขึ้นในปัจจุบัน และให้สามารถขับรถเข้าไปเที่ยวได้แค่คลอง 3 เท่านั้น

เมื่อก่อนผมเข้าไปท่องเที่ยวอีกครั้ง เห็นป้ายคัดค้านการสร้างเขื่อนคลองมะเดื่อ ตั้งแต่ทางเข้าบริเวณบ้านดงไปจนถึงคลอง 3 มีการลงทะเบียนนักท่องเที่ยวที่เข้าไปเที่ยว โดยเจ้าของแคมป์ เจ้าของรีสอร์ท ตามมาตรการของรัฐในช่วงการระบาดของโควิด-19

แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปมากคือ มีการรุกล้ำ พื้นที่ป่า ตัดถางป่าเพื่อใช้เป็นสถานที่กางเต็นท์ แคมปิ้งของนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นกว่าเดิมมากๆ ไม่ทราบว่ากรมอุทยานแห่งชาติฯ รู้บ้างหรือเปล่า คัดค้านการสร้างเขื่อนแต่กลับปล่อยให้มีการรุกล้ำ ตัดไม้ ทำลายป่าแถมยังมีการเงินที่เก็บจากนักท่องเที่ยวโดยเจ้าของแคมป์ เจ้าของรีสอร์ท ที่รุกล้ำป่าเขาใหญ่อีกด้วย….ตรวจสอบด้วยครับ

รัฐศักดิ์ พลสิงห์

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : การบริหารจัดการแม่น้ำโขง #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/547128

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : การบริหารจัดการแม่น้ำโขง

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : การบริหารจัดการแม่น้ำโขง

วันศุกร์ ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2564, 06.00 น.

แม่น้ำโขงเป็นแม่น้ำนานาชาติ ต้นกำเนิดอยู่ในประเทศจีน ไหลผ่านจีน เมียนมา ไทย ลาว กัมพูชา และออกสู่ทะเลที่ประเทศเวียดนาม ซึ่งในปัจจุบันมีการสร้างเขื่อนในแม่น้ำโขงหลายแห่งทั้งในจีน และ สปป.ลาว ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำโขงไม่เป็นไปตามธรรมชาติ

เมื่อวันก่อนได้อ่านข้อความที่ท่าน สส.เชียงราย นพ.เอกภพ เพียรพิเศษ หรือ หมอเอก พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊คแสดงความเห็นถึงการไม่รักษาสุมดุลอำนาจระหว่างประเทศในการบริหารจัดการน้ำโขง ปล่อยให้ น้ำโขงแห้งเหือดส่งผลต่อระดับน้ำอิงที่เชียงแสนและส่งผลกระทบต่อชีวิตของคนบนฝั่งน้ำ สาเหตุเพราะเขื่อนที่ขวางอยู่ตลอดแนวลำน้ำโขง โดยที่รัฐบาลไทยไม่ทำอะไรเลย

เรื่องนี้ผมมีโอกาสได้พูดคุยกับ บิ๊กหมายเลข1ของข้าราชการประจำในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศไทย ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(สทนช.) ในเรื่องดังกล่าวว่า เป็นจริงหรือไม่ ประเทศไทยเป็นแค่ “มณฑลไท่กั๋ว” อย่างที่หมอเอกว่าเลยหรือ?

หน้ามือ…หลังมือเลย ครับ!

“รัฐบาลไทยทำงานเชิงรุกจัดการน้ำโขงมาอย่างต่อเนื่อง และยังปรับปรุงการเชื่อมต่อข้อมูลใกล้ชิดมากขึ้นโดยยึดผลประโยชน์ประเทศสูงสุดภายใต้กรอบเวทีความร่วมมือลุ่มน้ำโขงตลอดสาย” ดร.สมเกียรติกล่าวยืนยัน

เลขาธิการ สทนช.ได้ขยายความให้ฟังว่า การบริหารจัดการน้ำโขง ในระยะ 1-2 ปีที่ผ่านมานั้น มีการผลักดันให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลระดับน้ำและด้านอุทกวิทยาตลอดทั้งปีทุกเวทีการเจรจา ซึ่งทางจีนยินดีให้ข้อมูลระดับน้ำและปริมาณน้ำจากสถานีวัดน้ำ 2 แห่ง ได้แก่ สถานีจิ่งหง และสถานีหม่านอัน ตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา ล่าสุดกระทรวงทรัพยากรน้ำของจีน กับสทนช. ได้มีการลงนามความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลตลอดทั้งปีมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2563ที่ผ่านมา จากเดิมเริ่มต้นเพียงช่วงฤดูฝนเท่านั้น

ส่วนกรณีที่เขื่อนจิ่นหง ของจีน ลดการระบายนั้น สทนช.ได้รับข้อมูลอุทกวิทยาจากสถานียุนจิ่นหง พบว่า มีระดับน้ำที่เปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2563 ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจได้เร่งติดต่อประสานงานทันที แต่ด้วยเป็นช่วงวันหยุดยาวสิ้นปี ทำให้เกิดช่องว่างในการแจ้งยืนยันข้อมูลอย่างเป็นทางการมาในวันที่ 5 ม.ค. 2564 ทำให้การแจ้งเตือนหน่วยงานระดับพื้นที่มีความล่าช้าลงบ้าง โดยระดับน้ำที่ อ.เชียงแสน ลดลงวันที่ 2-5 มกราคม 2564 ประมาณ 1 เมตร

คาดว่าในระยะนี้ ระดับน้ำในแม่น้ำโขงจะมีค่าคงที่ ซึ่งอยู่ต่ำกว่าระดับตลิ่ง ประมาณ 10.61 เมตร

อย่างไรก็ตาม การพึ่งพาตัวเองเป็นเรื่องที่ดีที่สุด ดังนั้น สทนช.กำลังเร่งปรับปรุงระบบการได้ข้อมูลยืนยันที่เป็นทางการให้รวดเร็วมากขึ้น โดยในเร็วๆนี้ จะมีการตั้งสถานีอุทกวิทยาที่เชียงกก บริเวณพรมแดนของลาว-เมียนมา-จีน ซึ่งจะทำให้ไทยสามารถวิเคราะห์ข้อมูลระดับน้ำได้ถูกต้อง รวดเร็วยิ่งขึ้น พร้อมทั้งจะใช้ดาวเทียมในการยืนยันข้อมูลอุทกวิทยาตลอดลำน้ำโขงอีกด้วย

จริงๆ แล้วจีนไม่ให้ข้อมูลด้านอุทกวิทยายังได้เลยเพราะเป็นเขื่อนที่สร้างก็เป็นของเขา สร้างกั้นแม่น้ำในประเทศเขาด้วย แต่ด้วยการเจรจาและความสัมพันธ์อันดีของไทยและจีน รวมทั้งอีก 4 ประเทศในลุ่มน้ำโขง ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเชื่อมโยงข้อมูลด้านอุทกวิทยา เพื่อให้ในการบริหารแม่น้ำโขงเกิดประสิทธิภาพสูงสุดและเกิดผลกระทบกับประชาชนน้อยที่สุดภายใต้สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในปัจจุบัน

หวังว่าคงเข้าใจนะครับ…

รัฐศักดิ์ พลสิงห์

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : เตรียมใจก่อนไป..ดอยเสมอดาว #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/545429

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : เตรียมใจก่อนไป..ดอยเสมอดาว

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : เตรียมใจก่อนไป..ดอยเสมอดาว

วันศุกร์ ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2564, 06.00 น.

ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ได้มีโอกาสไปเที่ยวที่ ดอยเสมอดาว และผาหัวสิงห์ อุทยานแห่งชาติศรีน่าน ประทับใจในความสวยงาม แต่เสียดายที่ไม่ได้กางเต็นท์แคมปิ้งบนดอยเสมอดาว เพราะสถานที่ไม่เอื้ออำนวยหลายอย่าง ต้องมากางเต็นท์พักแรมในพื้นที่ของชาวบ้าน

มองในแง่ดีคือ กระจายรายได้ให้ชุมชน

อุทยานแห่งชาติศรีน่าน มีพื้นที่ประมาณ 583,750 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่อ.เวียงสา อ.นาน้อย และอ.นาหมื่น เป็นผืนป่ารอยต่อประเทศไทยกับประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวจึงเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ เจ้าหน้าที่อุทยานบอกว่า ที่นี่มีสัตว์หายากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น นกยูง เสือดาว เสือดำ หมี กวาง หมาป่า และหมาไน นอกจากนี้ยังมี ช้างป่า วัวแดง และกระทิง

แต่ที่ไปครั้งนี้ไม่พบสัตว์ป่าสักชนิดเลย เพราะไม่ได้เดินป่าหรือไปนั่งห้างดูสัตว์ ตั้งใจจะไปสัมผัสอากาศที่หนาวเย็น นั่งผิงไฟ ดูดาว ดูทิวทัศน์พระอาทิตย์ขึ้น-ตก และที่สำคัญอยากจะเห็นทะเลหมอก

ผมเดินทางไปถึงด้วยรถยนต์ส่วนตัว ประมาณบ่าย 3 โมงกว่าๆ จ่ายค่าผ่านเข้าอุทยานฯตามระเบียบ ดอยเสมอดาว ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีลานกว้าง มีเนินเข้าโค้งไปตามสันเขามองเห็นทิวทัศน์เกือบ 360 องศา ที่เป็นภูเขาขึ้นสลับทับซ้อนกันสวยงาม โดยเฉพาะทิศตะวันออกมองเห็นผาชู้ แม่น้ำน่านที่คดเคี้ยวของลำน้ำน่าน ก่อนที่จะไหลลงเขื่อนสิริกิติ์

บริเวณเดียวกันจะมองเห็นผาหัวสิงห์เป็นหน้าผามีรูปร่างเหมือนสิงโตนอนหมอบหันหน้าไปทางทิศตะวันออก เป็นอีกจุดที่นักท่องเที่ยวจะต้องถ่ายรูป ผมก็ไม่พลาดเช่นกัน

ครั้งแรกว่าจะกางเต็นท์ นอนแคมปิ้ง ที่ดอยเสมอดาว จึงได้ติดต่อสอบถามรายละเอียด

เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ได้ชี้จุดกางเต็นท์ส่วนตัวให้ผมดู เป็นทำเลไม่สวยงามนัก ไกลจากห้องน้ำ ที่จอดรถ และร้านค้าสวัสดิการแตกต่างจากเต็นท์ของอุทยานฯที่ถูกกางไว้เต็มพื้นที่ที่เป็นทำเลที่ดีๆ ผมบอกว่า ไม่เป็นไร ไกลจากผู้คนเงียบสงบดี แม้จะต้องขนสัมภาระจากรถไปไกลก็ตาม มองในแง่ดี ได้ดูดาวเงียบๆ ซึ่งทางอุทยานฯอนุญาตให้จอดรถขนสัมภาระได้ชั่วคราว จากนั้นแล้วค่อยนำไปจอดที่ลานจอดรถ

แต่เมื่อเจ้าหน้าที่บอกกฎเกณฑ์และระเบียบปฏิบัติแล้วผมเปลี่ยนใจไม่นอนที่ดอยเสมอดาวทันที

กฎเกณฑ์และระเบียบของอุทยานฯที่นี่ต่างจากที่อื่นที่ผมเคยไปท่องเที่ยว คือ ไม่ให้ทำอาหารหน้าเต็นท์ ไม่ให้ก่อกองไฟ รวมทั้งห้ามใช้เตาถ่านด้วย(อุทยานฯอื่นๆจะห้ามเฉพาะก่อกองไฟ แต่จะอนุญาตให้ใช้เตาถ่านได้)

อากาศที่หนาวเย็นอุณหภูมิเลขตัวเดียว ต้องขนสัมภาระแยกกันระหว่าง เต็นท์ เครื่องนอน กับ อาหาร เครื่องครัว ซึ่งจุดที่อนุญาตให้ประกอบอาหารนั้นมีเพียงจุดเดียว และอยู่ห่างจากจุดที่กางเต็นท์ส่วนตัวอีกด้วย จะนั่งดูดาวหน้าเต็นท์กับเตาถ่านอุ่นๆก็ทำไม่ได้

มันไม่ใช่การแคมปิ้ง อย่างเช่นอุทยานฯอื่นๆแล้วครับ

เจ้าหน้าที่บอกว่า ถ้าอยากจะทำอาหารหน้าเต็นท์ใช้เตาถ่านได้ จอดรถไม่ห่างจากจุดกางเต็นท์ ต้องไปที่ชาวบ้าน ซึ่งอยู่บริเวณใกล้เคียง จะได้เห็นดาวที่ไม่ต่างกัน ได้ชมพระอาทิตย์ขึ้น-ตก และทะเลหมอกบรรยากาศใกล้เคียงกัน ผมจึงตัดสินใจไปนอนที่ชาวบ้าน…และก็ไม่ผิดหวังครับ

เขียนมา..แค่อยากบอกให้รู้ว่า กฎระเบียบการพักแรมในพื้นที่ดอยเสมอดาว ไม่เหมือนที่อุทยานฯอื่นๆ ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม? ทั้งๆ ที่กฎระเบียบการพักแรมในพื้นที่อุทยานฯน่าจะเป็นสากลเหมือนกันทุกอุทยานฯ และที่สำคัญทำเลสวยๆ น่าจะเหลือไว้ในนักท่องเที่ยวที่กางเต็นท์ส่วนตัวบ้างนะครับ


รัฐศักดิ์ พลสิงห์

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : ‘ช่องเย็น’ ต้องบริการด้วย ‘ใจ’ #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/543758

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : ‘ช่องเย็น’ต้องบริการด้วย‘ใจ’

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : ‘ช่องเย็น’ต้องบริการด้วย‘ใจ’

วันศุกร์ ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2564, 06.00 น.

อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ ที่ตั้งอยู่ในผืนป่าตะวันตกของประเทศไทยมีเนื้อที่กว่า 558,000 ไร่ ครอบคลุมท้องที่ อ.ปางศิลาทอง จ.กำแพงเพชร และ อ.แม่วงก์ จ.นครสวรรค์ เป็นต้นกำเนิดของลำน้ำแม่วงก์ ซึ่งเป็นแหล่งน้ำต้นทุนแหล่งหนึ่งของลุ่มเจ้าพระยา

“ช่องเย็น” เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวที่ต้องการไปสัมผัสธรรมชาติอากาศท่่ี่หนาวเย็นตลอดทั้งปี และมีทิวทัศน์พระอาทิตย์ตกดินที่สวยงาม

ช่องเย็นเป็นจุดสิ้นสุดของทางหลวงหมายเลข 1117 เป็นถนนเพื่อความมั่นคงทางทหาร โดยจะสร้างถนน จากจ.กำแพงเพชร ไป อ.อุ้มผาง จ.ตาก ระยะทางรวมประมาณ 143 กม. แต่สามารถสร้างเสร็จสมบูรณ์ถึงกม.ที่ 115 ต้องหยุดไปเพราะสงครามกับคอมมิวนิสต์ได้สงบลง รัฐบาลในสมัยนั้นจึงได้มีมติยุติการก่อสร้างถนนเพราะเห็นว่าไม่มีประโยชน์ในทางการทหารและความมั่นคงแล้ว และต้องการรักษาสภาพป่าผืนที่สมบูรณ์ในด้านตะวันตกของไทยไว้โดยได้ทำการปิดถนนที่ “ช่องเย็น” กม.ที่ 93 เป็นระยะเวลามากว่า 30 ปีแล้ว

จริงๆแล้วอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ ไม่ได้มีสถานที่ท่องเที่ยวเพียงช่องเย็นเท่านั้น ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวนิยมไปอีกมากมาย เช่นเขาโมโกจู

ยอดเขาโมโกจู เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในผืนป่าตะวันตก สูง 1,964 เมตร จากระดับน้ำทะเล ห่างจากที่ทำการอุทยาน ประมาณ 38 กิโลเมตร เป็นยอดเขาที่มีชื่อเสียงในกลุ่มท่องเที่ยวแบบเดินป่า ปีนเขา ที่ครั้งหนึ่งในชีวิิตจะต้องไปเยือนให้ได้

โมโกจู เป็นภาษากะเหรี่ยง แปลว่า เหมือนฝนจะตก เนื่องจากบนยอดเขามักถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกและมีอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี ช่วงปีนเขาจะมีความลาดชันกว่า 60 องศา ดังนั้น นักเดินป่า นักปีนเขาที่สนใจจะต้องเตรียมร่างกายให้พร้อม และที่สำคัญจะต้องจองคิวในการออกทริปในแต่ละปีด้วย เพราะทางอุทยานฯจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว เพื่อสร้างความสมดุลให้กับธรรมชาติ โดยในการออกทริปในแต่ละครั้งจะใช้เวลาไป-กลับ 5 วัน

นอกจากนี้ อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมาย เช่น ภูสวรรค์ ซึ่งอยู่เหนือช่องเย็นไปประมาณ 300 เมตร ต้องเดินขึ้นเขาชันอย่างต่อเนื่อง แต่ทางอุทยานฯทำทางเดินขึ้นไว้ค่อนข้างดีถ้าไปช่องเย็น ต้องไม่พลาดปีนขึ้นภูสวรรค์ เพราะจะได้เห็นทิวทัศน์ 360 องศาที่สวยงาม

จุดชมวิวกิ่วกระทิง  ตั้งอยู่กม.ที่ 81 เป็นหน้าผาสูงชัน จุดนี้ต้องขึ้นไปเช้าๆ ดูพระอาทิตย์ขึ้นบริเวณช่องเขาสวยงามมากๆ โมโกจูน้อย เป็นเนินเขาเล็กที่คล้ายๆเขาโมโกจู ที่มองเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามอีกแห่งหนึ่ง ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวประเภทนน้ำตกก็มีหลายแห่งเช่น น้ำตกแม่รีวา น้ำตกแม่กี น้ำตกแม่กระสา น้ำตกนางนวล น้ำตกเสือโคร่ง  เป็นต้น

อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ มีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญและสวยงามมากมายเช่นนี้ จำเป็นจะต้องมีเจ้าหน้าที่ที่มีความรู้ ความสามารถ และที่สำคัญจะต้องมีใจให้กับงานด้านการบริการและประชาสัมพันธ์ด้วย เพราะจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไปตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญๆ คำถามที่นักท่องเที่ยวถาม อาจจะเป็นคำถามเดียวกัน ที่จะต้องตอบซ้ำเหมือนเดิมวันละหลายๆครั้ง แต่นักท่องเที่ยวแต่ละคนจะได้ยินเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

ไม่ใช่…ถามคำ ตอบคำ ไม่อธิบาย ไม่ยิ้มหน้าบูดบึ้ง แสดงกิริยาเหมือนกับรำคาญที่นักท่องเที่ยวถาม อยากให้ทางอุทยานฯแก้ไขด้วยครับ หน้าตาสวยอย่างเดียวไม่ใช่คำตอบ คำตอบคือ ต้องทำงานด้วย “ใจ”ครับ…


รัฐศักดิ์ พลสิงห์

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : โควิด-19พลิกวิกฤติเป็นโอกาส #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/541036

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : โควิด-19พลิกวิกฤติเป็นโอกาส

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : โควิด-19พลิกวิกฤติเป็นโอกาส

วันศุกร์ ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2563, 06.00 น.

การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในครั้งนี้ได้ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศค่อนข้างรุนแรงครอบคลุมไปทั่วทุกธุรกิจ

ยางพาราก็ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน

ราคายางมีแนวโน้ม ปรับตัวลดลงตามราคาตลาดล่วงหน้าปรับตัวที่ปรับตัวลง เพราะมีความกังวลจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางปัจจัยลบ ก็มีปัจจัยบวกหนุนเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นค่าเงินบาทของไทยที่อ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการส่งออกยางพาราของไทย

ในขณะเดียวกันราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ราคายางสังเคราะห์คู่แข่งสำคัญของยางธรรมชาติปรับตัวสูงขึ้นตลาดก็จะหันมาใช้ยางธรรมชาติเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ทำขาดแรงงานกรีดยาง เพราะในปัจจุนไทยใช้แรงงานจากประเทศพม่าในการกรีดยางเป็นหลัก

ปัจจัยเหล่านี้มีสำคัญที่จะช่วยพยุงราคายางให้อยู่ในระดับสูงกว่า 60 บาทต่อกิโลกรัม ล่าสุดเมื่อต้นสัปดาห์ราคาประมูลเฉลี่ย ราคายางแผ่นดิบอยู่ที่ 61.01 บาท/กก. ราคายางแผ่นรมควันอยู่ที่ 62.79 บาท/กก.

เมื่อเกิดสภาวะวิกฤติ ย่อมมีโอกาสเช่นเดียวกัน

การระบาดของโควิด-19 ทำเกิดกระแส New Normal คนหันมาตระหนักและใส่ใจในเรื่องสุขอนามัยมากขึ้นทำให้ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่แปรรูปมาจากยางธรรมชาติมีความต้องการมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นถุงมือยาง หรือหน้ากากอนามัยที่มีส่วนผสมของยาง โดยเฉพาะถุงมือยางธรรมชาติที่มีอัตราความต้องการใช้สูงขึ้นเป็นทวีคูณ

ช่วงก่อนมีการระบาด มูลค่าการส่งออกถุงมือยางประมาณ 37,000 ล้านบาท ต่อปี เมื่อมีการระบาดระลอกแรก ได้คาดการณ์ว่า มูลค่าการส่งออกจะเพิ่มถึง 50,000 ล้านบาท ต่อปี แต่เมื่อมีการระบาดระลอกที่ 2 การส่งออกถุงมือยางอาจจะเพิ่มขึ้นกว่าที่คาดการณ์ก็เป็นไปได้

ดังนั้นการระบาดของโควิด-19 ไม่ได้ปัจจัยลบสำหรับยางพาราเสียเลยทีเดียว แต่เป็นปัจจัยบวกที่จะหนุนราคายางให้มีเสถียรภาพด้วย เพราะทั่วโลกยังมีความต้องการใช้ถุงมือยางและหน้ากากอนามัยซึ่งใช้ยางเป็นวัตถุดิบ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ตลาดโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

รัฐบาลควรจะเร่งสนับสนุนอุตสาหกรรมยางทั้งระบบ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการผลิตถุงมือยางและหน้ากากอนามัย เพื่อเพิ่มปริมาณการใช้ยางในประเทศ ซึ่งนอกจากจะมีส่วนสำคัญที่จะทำให้ราคายางมีเสถียรภาพแล้ว ยังจะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่ประเทศศูนย์กลางการพัฒนาอุตสาหกรรมยางธรรมชาติอีกด้วย

นิคมอุตสาหกรรมยางพาราครบวงจรจะต้องเกิดขึ้น!!

โดยจะต้องพัฒนาครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำ คือการปลูกยางพาราที่ได้มาตรฐาน จนถึงกลางน้ำคือ การแปรรูปขั้นต้น และปลายน้ำคือ การแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ โดยเฉพาะถุงมือยางที่มีแนวโน้มความต้องการสูงมาก รวมทั้งระบบขนส่งและกิจกรรมส่งเสริมด้านการตลาด

อยู่ที่รัฐบาลว่า จะพลิกวิกฤติการระบาดของโควิด-19 ให้เป็นโอกาส เพื่อผลักดันประเทศไทยก้าวสู่ศูนย์กลางการพัฒนาอุตสาหกรรมยางธรรมชาติของโลกหรือไม่?


รัฐศักดิ์ พลสิงห์

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : ถอดบทเรียนหาดใหญ่สู่เมืองคอน #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

ในประเทศ – สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : ถอดบทเรียนหาดใหญ่สู่เมืองคอน (naewna.com)

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : ถอดบทเรียนหาดใหญ่สู่เมืองคอน

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : ถอดบทเรียนหาดใหญ่สู่เมืองคอน

วันศุกร์ ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2563, 06.00 น.

น้ำท่วมภาคใต้ในปีนี้ แม้ปัจจุบันสถานการณ์จะเริ่มคลี่คลายลง หลายพื้นที่เข้าสู่สภาพปกติแล้วก็ตาม แต่ได้ทิ้งปัญหาที่จะต้องนำมาถอดบทเรียนแก้ไข โดยเฉพาะน้ำท่วมที่จังหวัดนครศรีธรรมราช และอีกหลายจังหวัดที่สถานการณ์รุนแรงมากที่สุดในรอบหลายสิบปี

“เมืองคอน” หรือ จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของภาคใต้ตอนกลาง ตัวเมืองเป็นพื้นที่ราบ อยู่ใกล้ชิดกับเขาหลวง
ที่มีลักษณะสูงชัน ดังนั้นหากเกิดฝนตกหนักบริเวณเขาหลวง น้ำจะไหลกระจายลงสูงตัวเมืองผ่านทางคลองต่างๆทันที ก่อนที่ออกสู่ทะเล ซึ่งคลองเหล่านี้จะสามารถรับน้ำได้รวมกันประมาณ 268 ลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.) ต่อวินาที แต่ในฝนตกหนักช่วงที่ผ่านมา มีน้ำปริมาณน้ำไหลผ่านมากกว่า 689 ลบ.ม.ต่อวินาที จึงทำให้เกิดมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ดังกล่าว

ฝนตกในปีนี้ไม่ได้ทำให้เกิดภาวะน้ำท่วมเฉพาะที่นครศรีธรรมราชเท่านั้น ยังมีน้ำท่วมอีกหลายจังหวัด เช่น จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง ตรัง และสงขลา เป็นต้น แต่พื้นที่ที่น่าจะนำมาถอดบทเรียนเป็นแบบอย่างใช้แก้ปัญหาน้ำท่วมได้อย่างยั่งยืน คือ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ที่ปีนี้น้ำไม่ท่วมเลย ทั้งๆที่ได้รับอิทธิพลจากพายุฝนตกหนักติดต่อกันหลายวันไม่ต่างจากพื้นที่อื่นๆของภาคใต้

ทำไม อ.หาดใหญ่ น้ำไม่ท่วม?

ฟันธงได้เลยว่า เพราะโครงการบรรเทาอุทกภัยอำเภอหาดใหญ่อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ทำให้อำเภอหาดใหญ่รอดพ้นจากวิกฤติน้ำท่วมภาคใต้ในครั้งนี้

โครงการบรรเทาอุทกภัยอำเภอหาดใหญ่อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ขณะนี้เสร็จเพียงระยะที่ 1 เท่านั้น แต่ก็สามารถบรรเทาปัญหาน้ำท่วมได้อย่่างเป็นรูปธรรมแล้วขณะนี้กำลังดำเนินการในระยะที่ 2 โดยจะทำการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ ได้สูงสุดรวมกันประมาณ 1,665 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เมื่อแล้วเสร็จปัญหาน้ำท่วมหาดแทบจะไม่เกิดขึ้นเหมือนในอดีตอย่างแน่นอน

เช่นเดียวกัน กับจังหวัดนครศรีธรรมราช หากสามารถขับเคลื่อน โครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมราชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ให้สำเร็จได้ ปัญหาน้ำท่วมจะบรรเทาลง หรืออาจจะไม่ท่วมเลยเหมือน อ.หาดใหญ่

โครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมราชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จะประกอบด้วย งานสำคัญๆคือ การขุดคลองระบายน้ำสายใหม่จำนวน 3 สาย สามารถระบายน้ำได้ 650-750 ลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.)ต่อวินาที พร้อมกับปรับคลองวังวัว เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการระบายน้ำเป็น 850 ลบ.ม.ต่อวินาที และปรับปรุงคลองหัวตรุด ให้สามารถระบายน้ำได้ 100 ลบ.ม.ต่อวินาที เมื่อแล้วเสร็จจะสามารถบรรเทาอุทกภัยในเขตเมืองนครศรีธรรมราช และลดพื้นที่น้ำท่วมได้ประมาณร้อยละ 90 ครอบคลุม 12 ตำบล มีประชาชนได้รับประโยชน์ 32,253 ครัวเรือน และยังสามารถกักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งได้ประมาณ 5.5 ล้าน ลบ.ม. มีพื้นที่ได้รับประโยชน์ 17,400 ไร่

แต่โครงการนี้ถูกคัดค้านตามแผนงานเดิมจะแล้วเสร็จภายในปี 2563 จึงถูกเลื่อนออกไป

โครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมราชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ควรจะขับเคลื่อนให้แล้วเสร็จหรือไม่ สถานการณ์น้ำท่วมนครศรีธรรมราชในปีนี้ น่าจะให้คำตอบได้

รัฐศักดิ์ พลสิงห์

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : องค์กรผู้ใช้น้ำฟันเฟืองแก้ปัญหาน้ำ #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

ในประเทศ – สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : องค์กรผู้ใช้น้ำฟันเฟืองแก้ปัญหาน้ำ (naewna.com)

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : องค์กรผู้ใช้น้ำฟันเฟืองแก้ปัญหาน้ำ

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : องค์กรผู้ใช้น้ำฟันเฟืองแก้ปัญหาน้ำ

วันศุกร์ ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2563, 06.00 น.

กฎกระทรวงองค์กรผู้ใช้น้ำ เป็นหนึ่งในกฎหมายลำดับรอง หรือกฎหมายลูก ภายใต้พระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 ที่ขณะนี้ี้อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาร่างกฎกระทรวงองค์กรผู้ใช้น้ำของคณะกรรมการกฤษฎีกา ก่อนที่จะเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาในลำดับต่อไป

ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เล่าให้ฟังว่า กฎกระทรวงองค์กรผู้ใช้น้ำ เป็นกฎหมายลำดับรองฉบับที่ 2 จากทั้งหมด 23 ฉบับ 18 มาตรา ที่สทนช.ได้ดำเนินการจัดทำและยกร่างกฎหมายลำดับรอง (เฉพาะมาตราเร่งด่วน) ภายใต้พระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 ดังกล่าว ต่อจากร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดลุ่มน้ำ พ.ศ….. ได้ผ่านความเห็นชอบจากครม. แล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย

กฎกระทรวงองค์กรผู้ใช้น้ำ จะมีความสัมพันธ์กับ พระราชกฤษฎีกากำหนดลุ่มน้ำ ที่กำหนดลุ่มน้ำของประเทศไทยใหม่จาก 25 ลุ่มน้ำเป็น 22 ลุ่มน้ำ ซึ่งเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 ที่ต้องการให้ภาคประชาชนมาบูรณาการการทำงานเพื่อให้ขับเคลื่อนภารกิจด้านน้ำไปในทิศทางเดียวกันอย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมในทุกมิติ มีความสมดุลและยั่งยืน

องค์กรผู้ใช้น้ำ คือ กลุ่มบุคคลซึ่งใช้น้ำบริเวณใกล้เคียงกันและอยู่ในเขตลุ่มน้ำเดียวกัน มีสิทธิ์รวมตัวกันจดทะเบียนก่อตั้งองค์กรผู้ใช้น้ำ เพื่อประโยชน์ร่วมกันเกี่ยวกับการใช้ การพัฒนา การบริหารจัดการ การบำรุงรักษา การฟื้นฟู และการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำในหมู่สมาชิกขององค์กรผู้ใช้น้ำ

องค์กรผู้ใช้น้ำจะมีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ เพราะองค์กรผู้ใช้น้ำจะเข้าใจปัญหาน้ำและแนวทางแก้ไขในแต่ละพื้นที่ ซึ่งจะทำให้การแก้ไขปัญหาทรัพยากรน้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และตรงตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง

ปัจจุบันแม้หน่วยงานด้านน้ำหลายหน่วยงานมีการจัดตั้งองค์กรหรือกลุ่มผู้ใช้น้ำขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ยังไม่ได้อยู่ภายใต้ พระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 และยังมีไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ ดังนั้น เมื่อกฎกระทรวงองค์กรผู้ใช้น้ำ มีผลบังคับใช้เมื่อไร องค์กรหรือกลุ่มผู้ใช้น้ำที่มีอยู่ในปัจจุบัน หรือ จะร่วมกลุ่มกันจัดตั้งขึ้นมาใหม่ก็ได้ ควรจะมายื่นขอจดทะเบียนเป็นองค์กรผู้ใช้น้ำที่ถูกต้องตามกฎหมาย

เนื่องจากองค์กรผู้ใช้น้ำ จะเป็นช่องทางสำคัญในการออกเสียงเสนอแนะ แสดงความคิดเห็น สะท้อนปัญหาที่แท้จริงจากพื้นที่ และนำเสนอโครงการต่างๆ อันเป็นประโยชน์ต่อชุมชนสู่คณะกรรมการลุ่มน้ำได้โดยตรง ตลอดจนร่วมกันหารือ แลกเปลี่ยนข้อมูล ไกล่เกลี่ยแก้ปัญหาร่วมกัน กรณีเกิดข้อขัดแย้งระหว่างพื้นที่ลุ่มน้ำ ดังนั้น องค์กรผู้ใช้น้ำจึงจัดเป็นฟันเฟืองสำคัญในการมีส่วนช่วยให้การพัฒนาทรัพยากรน้ำของประเทศครอบคลุมทุกมิติมากยิ่งขึ้น

การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำตาม พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ พ.ศ.2561 มี 3 ระดับ ได้แก่ ระดับชาติ คือ คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(กนช.) ระดับลุ่มน้ำ คือ คณะกรรมการลุ่มน้ำ และ ระดับพื้นที่ คือ องค์กรผู้ใช้น้ำ ซึ่งตัวแทนขององค์กรผู้ใช้น้ำจะเข้าไปนั่งเป็นคณะกรรมการลุ่มน้ำ และตัวแทนของคณะกรรมการลุ่มน้ำก็จะถูก
คัดเลือกเข้าไปเป็นคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติด้วย

ปัญหาเกี่ยวกับน้ำในระดับรากหญ้าหรือระดับพื้นที่ จะถูกสะท้อนขึ้นไปสู่ระดับกรรมการลุ่มน้ำและระดับชาติตามลำดับ ดังนั้นการแก้ไขปัญหาก็จะตรงจุด มีประสิทธิภาพ เป็นไปตามความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง หรือ อาจจะเรียกว่า “เกาถูกที่คัน”

รัฐศักดิ์ พลสิงห์

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : จุดเปลี่ยนการบริหารทรัพยากรน้ำ #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

ในประเทศ – สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : จุดเปลี่ยนการบริหารทรัพยากรน้ำ (naewna.com)

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : จุดเปลี่ยนการบริหารทรัพยากรน้ำ

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : จุดเปลี่ยนการบริหารทรัพยากรน้ำ

วันศุกร์ ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2563, 06.00 น.

ย้อนไปเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2560 หน่วยงานด้านน้ำหน่วยงานใหม่ได้จัดตั้งขึ้นตามคำสั่ง หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ที่ 46/2560 ภายใต้ชื่อ “สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)” ทั้งนี้เพื่อต้องการให้การบริหารจัดการน้ำของประเทศทั้งระบบมีเอกภาพเป็นหนึ่งเดียว ลดความซ้ำซ้อน ของหน่วยงานด้านน้ำ โดยจะทำหน้าที่ในการบูรณาการงาน ข้อมูล แผนงาน โครงการ งบประมาณ ตลอดจนการติดตามประเมินผล และการควบคุมการปฏิบัติงาน ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับน้ำที่มีอยู่ในปัจจุบัน

ผ่านไป 3 ปี ก้าวขึ้นปีที่ 4 ผลงานสทนช.เริ่มเป็นรูปธรรมมากขึ้น จากเดิมที่หลายคนมองว่า สทนช.จะเป็แค่เสือกระดาษทำอะไรไม่ได้แน่นอน!!!!

ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการ สทนช. คนแรกและคนปัจจุบัน สามารถนำทัพขับเคลื่อนภายใต้ขีดจำกัดในหลายๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นด้านบุคลากร เครื่องไม้เครื่องมือในการทำงาน สถานที่ทำงานกฎหมายที่ยังไม่เอื้ออำนวยต่อการทำงาน การหวงงานดึงหรือถ่วงเรื่องจะของงานเดิม เป็นต้น แต่ก็สามารถขับเคลื่อนผลออกได้อย่างน่าพอใจ

ไม่ว่าจะเป็นการบูรณาการขับเคลื่อนแผนแม่บทบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี ซึ่งมี 5แผนงานและอีก 1 แนวทาง คือ แผนปฏิบัติการด้านการจัดการน้ำเสียชุมชน 20 ปี แผนปฏิบัติการโครงการเพื่อการพัฒนาปี 2562-2563 แผนหลักการป้องกันน้ำท่วมพื้นที่ชุมชน แผนปฏิบัติการด้านการจัดการน้ำต้นทุน จ.ภูเก็ต แผนบูรณาการอุตุนิยมวิทยาเขตร้อนปี 2562-2563 และแนวทางด้านการจัดการคุณภาพน้ำ

นอกจากนี้ สทนช.ยังได้ดำเนินการขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่และโครงการสำคัญอีก 526 โครงการ ในจำนวนนี้เป็น โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ถึง151 โครงการ รวมทั้งยังได้บูรณาการจัดทำแผนปฏิบัติการและแผนงบประมาณด้านทรัพยากรน้ำและติดตามประเมินผลโครงการรวมๆ แล้วมากกว่า 50,000 โครงการ มูลค่าเกือบ 200,000 ล้านบาท

ทุกโครงการมุ่งประโยชน์สู่งสุดต่อประเทศชาติและประชาชน

พระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ.2561 ก็เป็นอีกผลงานหนึ่งที่ สทนช.ผลักดันจนประสบผลสำเร็จ ขณะนี้อยู่ระหว่างการออกกฎหมายลำดับรอง หรือ กฎหมายลูก เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ทั้งในเรื่อง การใช้น้ำ การพัฒนา การบริหารจัดการ การบำรุงรักษา การฟื้นฟูอนุรักษ์ และการรวมทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ขับเคลื่อนภารกิจด้านน้ำไปในทิศทางเดียวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมในทุกมิติที่มีความสมดุลและยั่งยืน

พระราชกฤษฎีกากำหนดลุ่มน้ำ พ.ศ….. ซึ่งเป็นกฎหมายลูกฉบับแรกได้ผ่านความเห็นชอบจากครม.แล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างทูลเกล้าฯเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย โดยจะแบ่งลุ่มน้ำใหม่จาก 25 ลุ่มน้ำเหลือ 22 ลุ่มน้ำ และกฎหมายลูกอีกฉบับคือ กฎกระทรวงองค์กรผู้ใช้น้ำ พ.ศ…….. กำลังอยู่ขั้นตอนการตรวจพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา

กฎหมายลูกทั้ง 2 ฉบับนี้มีความสำคัญมาก เพราะจะช่วยสร้างกลไกการมีส่วนร่วมในทุกภาคส่วน แก้ปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถจัดสรรน้ำได้อย่างเท่าเทียมทั่วถึง และเป็นธรรม

รายละเอียดจะความสำคัญและมาเล่าให้ฟังในวันศุกร์หน้าครับ….
 

รัฐศักดิ์ พลสิงห์

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : บรรเทาน้ำท่วมที่บางสะพาน #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

ในประเทศ – สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : บรรเทาน้ำท่วมที่บางสะพาน (naewna.com)

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : บรรเทาน้ำท่วมที่บางสะพาน

สถานีเกษตร-สิ่งแวดล้อม : บรรเทาน้ำท่วมที่บางสะพาน

วันศุกร์ ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563, 06.00 น.

เมื่อวันก่อนรองอธิบดีกรมชลประทาน นายเฉลิมเกียรติ คงวิเชียรวัฒน์ นำคณะสื่อมวลชนเยี่ยมชมโครงการบรรเทาอุทกภัยอำเภอบางสะพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 มีพระราชดำริความตอนหนึ่งว่า

“พื้นที่จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จนจรดจังหวัดชุมพร มีปริมาณน้ำในลำห้วยต่างๆ เป็นจำนวนมากที่ไหลลงทะเลให้กรมชลประทานพิจารณาวางแผนสร้างแหล่งน้ำเก็บกักน้ำต่างๆ ตามความเหมาะสมไว้ใช้ประโยชน์ให้กับราษฎร และเพิ่มช่องระบายน้ำผ่านถนน และคลองระบายน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมโดยด่วนต่อไป”

กรมชลประทานได้น้อมนำพระราชดำริมาดำเนิน โครงการบรรเทาอุทกภัยอำเภอบางสะพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ซึ่งเป็นโครงการที่แก้ปัญหาน้ำครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ

รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า ขณะนี้ภาพรวมโครงการ ได้ดำเนินการต่อเนื่องเสร็จสิ้นไปกว่าร้อยละ 50 โดยพื้นที่ต้นน้ำบริเวณเชิงเขาตะนาวศรี จะดำเนินการสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดกลางเพิ่มขึ้นอีก 2 แห่ง พื่อตัดยอดน้ำที่จะหลากและกักเก็บไว้เป็นน้ำต้นทุนสำหรับการอุปโภคบริโภค การเกษตร ปศุสัตว์ และการอุตสาหกรรม ประกอบด้วย อ่างเก็บน้ำบ้านไทรทอง มีความจุ 13.36 ล้านลบ.ม. คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2566 และอ่างเก็บน้ำคลองลอยตอนล่าง มีความจุ 17.46 ล้านลบ.ม. คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2568 เมื่อแล้วเสร็จจะสามารถส่งน้ำให้พื้นที่การเกษตรได้ 6,850 ไร่มีราษฎรได้รับประโยชน์กว่า 481 ครัวเรือน

นอกจากนี้ก็จะทำการปรับปรุงอ่างเก็บน้ำเดิมที่มีอยู่ 3 แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำบ้านโป่งสามสิบ อ่างเก็บน้ำบ้านคลองลอย อ่างเก็บน้ำวังน้ำเขียว พร้อมปรับปรุงฝายทดน้ำห้วยลึก อันเนื่องมาจากพระราชดำริอีก 1

ส่วนพื้นที่กลางน้ำ ได้ดำเนินการขุดลอกขยายคลองบางสะพานและสาขา รวม 4สาย ความยาวคลองรวม 19 กิโลเมตร มีลักษณะคดเคี้ยวไหลผ่านตัวเมืองบางสะพาน โรงเรียน วัด สถานที่ราชการ ชุมชนหลายแห่ง เมื่อเวลาน้ำหลาก จึงล้นตลิ่งเข้าท่วมบ้านเรือนมูลค่าความเสียหายแต่ละครั้งนับหลายร้อยล้านบาท พร้อมงานขุดคลองผันน้ำ 3 สาย เพื่อตัดยอดน้ำที่ไหลบ่าผ่านตัวเมือง และผลักออกสู่ทะเลในเวลาอันรวดเร็วซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำให้ อ.บางสะพานได้ในอัตรา 1,025 ลบ.ม.ต่อวินาที มากกว่าอัตรารับน้ำของคลองเดิมกว่าเท่าตัว

สำหรับพื้นที่ปลายน้ำ ได้ดำเนินการก่อสร้างประตูระบายน้ำ(ปตร.)ปลายคลองบางสะพาน ตั้งอยู่ที่ต.แม่รำพึง ทำหน้าที่บริหารจัดการน้ำทั้งการกักเก็บน้ำไม่ให้ไหลลงทะเลไปจนหมด เพื่อประชาชนสองฝั่งคลองจะมีน้ำอุปโภคบริโภค และการเกษตรในช่วงฤดูแล้ง นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำในฤดูน้ำหลาก และช่วยป้องกันการรุกล้ำของน้ำเค็มไม่ให้เข้ามาในคลองบางสะพานอีกด้วย ปัจจุบันมีผลงานสะสมประมาณร้อยละ 85

โครงการบรรเทาอุทกภัยอำเภอบางสะพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จะแล้วเสร็จทั้งหมดภายในปี 2569 นอกจากจะสามารถช่วยลดภัยน้ำท่วมซ้ำซากในตัวอำเภอได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุน ได้ 30.75 ล้านลบ.ม. สามารถเปิดพื้นที่ชลประทานได้ถึง 15,450 ไร่ ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต และสร้างความมั่นคงด้านน้ำให้ชุมชน……


รัฐศักดิ์ พลสิงห์