เกษตรแถวหน้า : โครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน …สานต่ออาชีพเกษตร #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/501502

เกษตรแถวหน้า : โครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน …สานต่ออาชีพเกษตร

วันศุกร์ ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2563, 06.00 น.

เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสติดตามท่าน มนัญญา ไทยเศรษฐ์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยนายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ลงพื้นที่จังหวัดตราด เพื่อติดตามงานโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้านสานต่ออาชีพการเกษตร ซึ่งเป็นโครงการที่ดำเนินงานโดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ มีเป้าหมายสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่ได้กลับบ้าน และสานต่ออาชีพการเกษตรของพ่อแม่ปู่ย่าตายาย โดยเน้นการนำเทคโนโลยีต่างๆ พัฒนากระบวนการผลิต การแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าและการตลาด การวางแผนการผลิตที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด เน้นทำน้อยแต่ได้มาก ต้นทุนการผลิตต่ำ แต่ได้ผลกำไรที่คุ้มค่า โดยสหกรณ์ในพื้นที่จะเข้าไปเป็นพี่เลี้ยงคอยดูแลแนะนำอาชีพ โดยมุ่งหวังให้คนรุ่นใหม่เหล่านี้ เข้ามาสานต่องานสหกรณ์ ช่วยพัฒนาสหกรณ์ในจังหวัด ในหมู่บ้านของตนเองให้เจริญก้าวหน้าและนำพาเศรษฐกิจของชุมชนให้เข้มแข็ง ซึ่งหลังจากเปิดรับสมัครโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพการเกษตร ไปเมื่อวันที่ 1- 31 มกราคม 2563 ที่ผ่านมา ปรากฏว่า มีผู้สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการจากทั่วประเทศ 7,559 ราย และมีสหกรณ์เข้าร่วมโครงการ 680 สหกรณ์

การลงพื้นที่ครั้งนี้ ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับ นายสราวุฒิไกรสมุทร อายุ 40 ปี ผู้สมัครเข้าร่วมโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้านฯ ของจังหวัดตราด ถึงมุมมองและเหตุผลที่สนใจเข้าร่วมโครงการนี้ นายสราวุฒิเล่าให้ฟังว่า ตัวเขาเองเรียนจบด้านช่างและเคยทำอาชีพรับจ้างมาก่อน เดิมครอบครัวทำสวนผลไม้ แต่ได้หยุดทำไปนานแล้ว เมื่อเห็นโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้านฯ ก็มีความสนใจที่จะกลับมาอยู่กับครอบครัวและพลิกฟื้นที่ดินของพ่อแม่ประมาณ 8 ไร่ เพื่อทำเกษตรแบบผสมผสาน ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มปลูกต้นทุเรียน โดยตั้งใจจะปลูกทุเรียนพันธุ์พื้นบ้านและพันธุ์หายากอีกประมาณ 37 สายพันธุ์ เพื่อให้เป็นแหล่งรวบรวมทุเรียนของจังหวัดตราด ระหว่างที่รอทุเรียนโตจนสามารถเก็บผลผลิตได้นั้น ก็จะปลูกข้าวไร่ในร่องทุเรียนด้วย โดยมีเครื่องสีข้าวขนาดเล็กไว้สำหรับสีข้าวขายเอง นอกจากปลูกทุเรียน และข้าวไร่ในร่องทุเรียนแล้ว ยังปลูกพืชอื่นๆ ผสมผสานอีกหลายชนิดทั้งไม้ผล ผักสวนครัว เน้นทำเกษตรแบบอินทรีย์ไม่ใช้สารเคมี มีการทำน้ำหมักและปุ๋ยไว้ใช้เอง ในอนาคตยังได้วางแผนจะทำร้านกาแฟเล็กๆในสวน เป็นแบบท่องเที่ยวเชิงเกษตร เพื่อเปิดให้นักท่องเที่ยวและผู้ที่สนใจได้เข้ามาชมสวนของเขาด้วย…นับว่าเป็นอีกมุมมองหนึ่งของผู้ที่มีความมุ่งมั่น ที่คิดจะกลับถิ่นฐานบ้านเกิดและพัฒนาพื้นที่ของตัวเองอันเป็นมรดกตกทอด ในแบบที่ชอบ มีความถนัด และมีโอกาสได้ดูแลพ่อแม่ ซึ่งมีความสุขกว่าต้องออกไปเผชิญชะตากรรมนอกถิ่นฐาน ลดภาระค่าใช้จ่ายและมีเงินเก็บได้มากกว่า นับเป็นการสร้างรายได้ที่มั่นคง ทั้งยังสามารถส่งต่อเป็นมรดกทางอาชีพสู่ลูกหลานในรุ่นต่อไป

สำหรับจ.ตราด มีเกษตรกรรุ่นใหม่สนใจเข้าร่วมโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้านฯ จำนวน 23 คน ส่วนใหญ่เป็นพนักงานบริษัทหรืออาชีพรับจ้างทั่วไป มีความสนใจจะกลับมาทำเกษตรและใช้ที่ดินของครอบครัวให้เกิดประโยชน์ สร้างอาชีพและสานต่ออาชีพการเกษตรเลี้ยงพ่อแม่และครอบครัว ขณะนี้เจ้าหน้าที่สำนักงานสหกรณ์จังหวัด ได้ติดต่อผู้สมัครเข้าร่วมโครงการบางส่วน และได้ออกเยี่ยมเยียนสำรวจความต้องการความรู้ของผู้สมัครแล้วพบว่า ต้องการให้อบรมถ่ายทอดความรู้ในสาขาต่างๆ เรียงตามลำดับความสนใจได้แก่ เกษตรผสมผสานเกษตรอินทรีย์เทคโนโลยีการเกษตร เกษตรอัจฉริยะ เกษตรแม่นยำการปรับปรุงการผลิตการเกษตร ทักษะการเกษตร และการบริหารจัดการธุรกิจการเกษตร เป็นต้น

จะเห็นว่า โครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้านฯมุ่งหวังให้คนรุ่นใหม่ได้กลับมาอยู่กับครอบครัว มาสืบสานอาชีพทำการเกษตร โดยมีกรมส่งเสริมสหกรณ์เข้าไปช่วยดูแลร่วมกับสหกรณ์ในพื้นที่ช่วยวางแผนเพื่อพัฒนาอาชีพตามความต้องการ บูรณาการร่วมกับหน่วยงานภาคีต่างๆ ทั้งหน่วยงานในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานภายนอก เข้ามาช่วยถ่ายทอดองค์ความรู้และสร้างเครือข่าย โดยคาดหวังว่าคนรุ่นใหม่เหล่านี้จะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาภาคการเกษตรของบ้านเราให้เจริญก้าวหน้า และเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของผู้นำหรือผู้บริหารสหกรณ์การเกษตรในแต่ละจังหวัด นำความรู้ความสามารถมาช่วยพัฒนาและดูแลสหกรณ์ให้เป็นองค์กรที่เข้มแข็งและเป็นที่พึ่งพาของเกษตรกรและคนในชุมชนได้ในอนาคต

สุธิพงศ์ ถิ่นเขาน้อย

เกษตรแถวหน้า : ช่วยใช้ยางในประเทศ..ช่วยเกษตรกรรักษาเสถียรภาพราคา #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/500058

เกษตรแถวหน้า : ช่วยใช้ยางในประเทศ..ช่วยเกษตรกรรักษาเสถียรภาพราคา

วันศุกร์ ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2563, 06.00 น.

ยางพารา เป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศไทย และภูมิภาคอาเซียน ซึ่งประเทศไทยถือว่าเป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออกอันดับหนึ่งของโลก แต่จากถานการณ์ที่ผ่านมาจนถึง ณ ปัจจุบัน พี่น้องชาวสวนยางพารายังประสบปัญหาที่สำคัญและยังไม่สามารถแก้ไขให้เบ็ดเสร็จได้คือ ปัญหาราคายางตกต่ำ ซึ่งส่งผลกระทบต่อปากท้องของเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราต่อเนื่องมานานหลายปี โดยปัญหาราคายางพาราตกต่ำมีสาเหตุมาจากหลายๆ ปัจจัย ส่วนหนึ่งเกิดจากที่เราพึ่งพาตลาดส่งออกเป็นหลัก ดังนั้น หากจะแก้ไข และให้เกิดความยั่งยืนจริงๆ ก็ต้องเริ่มต้นจากการลดการพึ่งพาการส่งออก แล้วหันมาช่วยกันเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราในประเทศให้มากขึ้นพร้อมๆ ไปกับการปรับสมดุล ลดปริมาณ (supply) ยางพาราลงด้วย โดยการส่งเสริมการใช้ยางพาราและผลิตภัณฑ์จากยางพาราในทุกรูปแบบ ควรจะต้องเริ่มจากหน่วยงานต่างๆของภาครัฐก่อนเป็นอันดับแรก แล้วค่อยขยายผลไปสู่ตลาดหรืออุตสาหกรรมต่างๆ

สำหรับการส่งเสริมการใช้ยางในประเทศนั้น ที่ผ่านมามีหลายโครงการ แต่ก็ยังขาดความต่อเนื่อง และล่าสุดรัฐบาลได้มอบนโยบายให้กระทรวงคมนาคม ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับปรุงเส้นทางคมนาคม เพื่อลดการบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนทางหลวง ด้วยการมุ่งเน้นให้ใช้น้ำยางพาราเป็นวัสดุในการปรับปรุง ก่อสร้างทาง เพื่อสร้างรายได้ให้เกษตรกรโดยตรง ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่าน นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับกระทรวงคมนาคม เรื่อง อุปกรณ์ทางด้านการจราจรและอำนวยความปลอดภัยทางถนนที่ผลิตจากยางพารา เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในหน่วยงานภาครัฐ โดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มาเป็นประธานและสักขีพยานด้วยตัวเอง ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล

สำหรับการลงนามดังกล่าว เป็นไปตามนโยบายรัฐบาลในโครงการส่งเสริมการใช้ยางพาราของภาครัฐ ซึ่งการดำเนินการในครั้งนี้จะเป็นการซื้อน้ำยางพาราจากเกษตรกรชาวสวนยางผ่านสหกรณ์การเกษตร เพื่อร่วมมือในการนำอุปกรณ์ทางด้านการจราจรและอำนวยความปลอดภัยทางถนนที่ผลิตจากยางพารา ได้แก่ แผ่นธรรมชาติครอบกำแพงคอนกรีต (Rubber Fender Barrier : RFB) และหลักนำทางจากยางธรรมชาติ (Rubber Guide Post : RGP) สำหรับนำไปใช้ประโยชน์เป็นอุปกรณ์ทางด้านการจราจรและอำนวยความปลอดภัยในหน่วยงานของกระทรวงคมนาคม เพื่อยกระดับความปลอดภัยทางถนน และส่งเสริมสนับสนุนเกษตรกรชาวสวนยางโดยตรง ซึ่งมีระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี ตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายน 2563 – 11 มิถุนายน 2568 และเมื่อครบกำหนด ทั้ง 2 หน่วยงานอาจเจรจาตกลงกันเพื่อขยายระยะเวลาการดำเนินการตามบันทึกข้อตกลงนี้ต่อไปได้ โดยกระทรวงเกษตรฯ จะทำหน้าที่กำกับคุณภาพในการผลิตอุปกรณ์ทางด้านการจราจรและอำนวยความปลอดภัยทางถนนที่ผลิตจากยางพารา พร้อมทั้งคัดเลือกสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน ที่กระทรวงรับรองให้เข้าร่วมโครงการ โดยปัจจุบันมีสถาบันเกษตรกรที่ดำเนินธุรกิจยางพารา 661 แห่ง ซึ่งในปีที่ผ่านมามีการผลิตยางพารารูปแบบต่างๆ ประมาณ 475,058 ตัน/ปี คิดเป็นปริมาณ 57% จากผลผลิตทั้งหมดของสมาชิกสหกรณ์ที่ประกอบอาชีพสวนยางพารา รวม 355,181 ราย ซึ่งมีสมาชิกในครัวเรือนที่ได้รับผลประโยชน์ จำนวน 1,420,724 ราย…ความร่วมมือในครั้งนี้ นอกจากจะลดความสูญเสียสร้างผลตอบแทนเป็นความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินที่ไม่อาจประเมินค่าได้แล้วที่สำคัญยังจะเป็นอีกหนึ่งมาตรการ ในการยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรชาวสวนยางไทยได้อีกระดับหนึ่ง …


สุธิพงศ์ ถิ่นเขาน้อย

เกษตรแถวหน้า : ปลูกฝังเยาวชน…เรียนรู้ระบบสหกรณ์ผ่านสหกรณ์นักเรียน #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/497131

screenshot-13-1

เกษตรแถวหน้า : ปลูกฝังเยาวชน…เรียนรู้ระบบสหกรณ์ผ่านสหกรณ์นักเรียน

วันศุกร์ ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2563, 06.00 น.

สหกรณ์ ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในสถาบันที่มีบทบาทในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของสมาชิก โดยยึดหลักการช่วยตนเองและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การปลูกฝังและพัฒนางานสหกรณ์ของชาติ ต้องเริ่มตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะเยาวชนในสถานศึกษา ด้วยการนำองค์ความรู้ กระบวนการสหกรณ์ ให้นักเรียนได้เรียนรู้เพื่อเกิดการพัฒนา ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นของสายเลือดใหม่ในการสร้างงานสหกรณ์ให้เข้มแข็งต่อไปในอนาคต…

ตลอดระยะเวลา 29 ปีที่ผ่านมา กรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้สนองแนวพระราชดำริของ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ที่ทรงริเริ่มและส่งเสริมให้จัดการเรียนรู้และดำเนินกิจกรรมสหกรณ์ในโรงเรียน มาตั้งแต่ปี 2534 โดยเริ่มต้นที่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ซึ่งได้บูรณาการขับเคลื่อนจากหลายหน่วยงาน เพื่อส่งเสริม สนับสนุนให้มีการจัดการเรียนรู้การสหกรณ์ในโรงเรียนในพระราชดำริ โรงเรียนสังกัดพื้นที่การศึกษา โรงเรียนพระปริยัติธรรม และโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ครอบคลุมในทุกโรงเรียนทั่วประเทศ เพื่อปลูกฝังแนวคิด แนวปฏิบัติ ตามอุดมการณ์ หลักการ และวิธีการสหกรณ์ ให้แก่เด็กและเยาวชนไทยด้วยการจัดการเรียนรู้การสหกรณ์ สามารถสร้างการเรียนรู้และทักษะในการร่วมคิด ร่วมทำ การวางแผน การแก้ปัญหา การจัดการ การออม การฝึกทักษะงานอาชีพ เป็นพื้นฐานในการดำเนินชีวิตอย่างมีคุณธรรม

เมื่อหลายวันก่อน ผมได้มีโอกาสนั่งสนทนากับ นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ถึงการให้ความรู้ด้านสหกรณ์ให้กับเด็กและเยาวชน เนื่องจากเห็นว่าใกล้ถึง“วันสหกรณ์นักเรียน” ในวันที่ 7 มิถุนายน ที่จะถึงนี้ ซึ่งท่านอธิบดี ได้ให้มุมมองต่อการจัดการเรียนรู้สหกรณ์นักเรียนว่า ในปัจจุบัน กรมส่งเสริม สหกรณ์ได้ลงไปให้การส่งเสริม ทั้ง ภาคทฤษฎี คือ สอนให้นักเรียนเห็นถึงความสำคัญของการรวมกลุ่ม เรียนรู้ถึงการช่วยกันแก้ไขปัญหา รู้จักว่าสหกรณ์คืออะไร ความรู้เบื้องต้นเรื่องสหกรณ์ ทั้งประเภทและโครงสร้างสหกรณ์ อุดมการณ์ หลักการ และวิธีการสหกรณ์ เป็นสมาชิกสหกรณ์แล้วได้อะไร มีสิทธิอะไรบ้าง รวมถึงรู้วิธีการดำเนินธุรกิจต่างๆ การทำแผนธุรกิจ การทำบัญชี และส่งเสริมใน ภาคปฏิบัติ โดยให้นักเรียนลงมือทำสหกรณ์จริงในโรงเรียน โดยมี 4 กิจกรรมหลัก คือ 1. กิจกรรมส่งเสริมการเกษตรและอาชีพ 2. กิจกรรมร้านค้าสหกรณ์ 3. กิจกรรมออมทรัพย์ ส่งเสริมการออม และ 4. กิจกรรมการศึกษาและสวัสดิการ เป็นการส่งเสริมความรู้ให้แก่คณะกรรมการสหกรณ์นักเรียนและสมาชิก พาไปทัศนศึกษาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับโรงเรียนต่างๆ และเรียนรู้การดำเนินงานของสหกรณ์จริง

ส่วนทิศทางที่จะเดินหน้าต่อไปเกี่ยวกับสหกรณ์นักเรียนนั้น ท่านอธิบดี บอกว่า ได้วางนโยบายไว้ 3 ด้าน คือ 1. เรื่องการพัฒนาสื่อการเรียนการสอนและการอบรมวิธีการสอนให้แก่ครูสหกรณ์ของแต่ละโรงเรียน จะจัดให้ครูทั่วประเทศได้พบกันปีละหน เพื่อให้เกิดการพัฒนาซึ่งกันและกัน ได้มาแลกเปลี่ยนกันว่าในการปรับรูปแบบการเรียนการสอนจะไปในทิศทางใด 2. การสนับสนุนให้มีการศึกษาดูงาน ให้เด็กนักเรียนได้เปิดหูเปิดตา เห็นความแตกต่างจากในพื้นที่ของตน เป็นการสร้างเสริมและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความรู้ในมิติต่างๆ และเรื่องที่ 3. คือ การเพิ่มความเข้มข้นให้เด็กได้เรียนรู้ถึงความเป็นสหกรณ์ โดยการฝึกฝนปฏิบัติการบริหารกิจการสหกรณ์จริงๆ เริ่มตั้งแต่การผลิต ไปจนถึงเรื่องการดูแลเงิน เรื่องการร่วมแรงร่วมใจทำงาน เรื่องการประชุม เรื่องการลงบัญชีรายรับ-รายจ่าย เรื่องการขายผลผลิต ให้เห็นถึงการบริหารกิจการสหกรณ์ภายใต้ร้านสหกรณ์ โดยให้ร้านสหกรณ์เป็นเหมือนศูนย์ฝึกปฏิบัติในทุกกระบวนการ มุ่งหวังให้เด็กกลุ่มนี้นำหลักการและวิธีการสหกรณ์เข้ามาบริหาร มาปฏิบัติในร้านสหกรณ์นักเรียน สามารถนำเงินทุนที่มีอยู่ไปบริหารจัดการด้านการผลิต การรวบรวม การแปรรูป การจัดจำหน่าย การได้รับผลตอบแทน และการปันผล เป็นการฝึกให้เด็กได้วางแผนการใช้เงินเป็นเครื่องมือในการทำงานตามระบบสหกรณ์ ทำให้เด็กได้เรียนรู้ว่าความเสี่ยงของเงินคืออะไร ความปลอดภัยของเงินคืออะไร ระบบควบคุมภายในคืออะไร ความล้มเหลวคืออะไร ความสำเร็จคืออะไร เด็กจะได้เรียนรู้ทุกอย่าง สามารถบริหารกิจการเป็น เมื่อเขาออกไปสู่โลกภายนอก อยู่ในชุมชน อยู่ในหมู่บ้านของเขา เด็กกลุ่มนี้จะสามารถเป็นแกนนำ
ขับเคลื่อนสหกรณ์ในหมู่บ้าน ในพื้นที่ของเขาได้ ถ้าสามารถก้าวไปถึงการฝึกปฏิบัติจริงตรงนั้น เด็กก็จะได้เข้าถึงแก่นแท้ของระบบสหกรณ์ ไม่ใช่เพียงแค่ลงบัญชีรายรับ-รายจ่ายเป็นอย่างเดียว นั่นยังไม่ใช่ระบบสหกรณ์อย่างแท้จริง

จากการที่ได้นั่งสนทนากับท่านอธิบดีฯ ในวันนั้น ทำให้ผมได้รู้ว่า การจัดการเรียนรู้และจัดกิจกรรมสหกรณ์นักเรียนในสถานศึกษาที่ดำเนินการมาตลอด 29 ปี ได้ปรากฏผลเด่นชัดอย่างเป็นรูปธรรมในหลาย ๆ ด้าน สามารถเชื่อมโยงการฝึกทักษะชีวิตและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ให้แก่เด็กและเยาวชนได้อย่างครอบคลุม ครบถ้วน ทั้งยังเป็นการส่งเสริมความสามัคคี การมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่น มีการแบ่งปันความรู้และภูมิปัญญา เกิดการทำงานร่วมกัน ซึ่งนอกจากเด็กจะมีความรู้ความเข้าใจในวิชาการและนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะการสร้างนิสัยการออมได้แล้ว ยังได้เรียนรู้การทำการเกษตร ปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ เพื่อเป็นอาหารกลางวันในโรงเรียน รวมถึงการฝึกอาชีพต่าง ๆ เพื่อสร้างรายได้เสริม และที่สำคัญยังมีส่วนในการขยายผลด้านอุดมการณ์ หลักการ และวิธีการสหกรณ์ ไปสู่ผู้ปกครองและชุมชน อันเป็นการช่วยให้เกิดความเข้มแข็งขึ้นในสังคมจากระดับฐานราก เกิดการพึ่งพาตนเอง การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ส่งผลให้เศรษฐกิจและสังคมเกิดความก้าวหน้า พัฒนาอย่างยั่งยืนในทุกภาคส่วน

สุธิพงศ์ ถิ่นเขาน้อย

เกษตรแถวหน้า : ชวนคนรุ่นใหม่กลับบ้านสานต่ออาชีพเกษตรกันดีกว่า #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/480375

screenshot-13-1

เกษตรแถวหน้า : ชวนคนรุ่นใหม่กลับบ้านสานต่ออาชีพเกษตรกันดีกว่า

วันศุกร์ ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2563, 06.00 น.

ในยุคปัจจุบัน ที่ทั่วโลกอยู่ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ในขณะที่ประเทศไทยเองก็ได้รับผลกระทบไม่น้อย หลายภาคธุรกิจอยู่ในภาวะถดถอย โรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่งปิดกิจการ อัตราการว่างงานมีแนวโน้มสูงขึ้น สถานการณ์แบบนี้ทำให้หลายคนต้องหวนกลับสู่บ้านเกิด และส่วนใหญ่ก็กลับไปทำอาชีพเกษตรกรรม แต่ก็ไม่ได้การันตีว่าทุกคนที่ทำเกษตรจะประสบความสำเร็จเสมอไป เพราะปัญหาในภาคเกษตรของไทยในปัจจุบันคือ เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นเก่า ที่กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เนื่องจากลูกหลานที่เป็นคนรุ่นใหม่นิยมไปทำงานในเมือง การทำเกษตรของคนรุ่นเก่าบางครั้งจึงยังไม่ก้าวทันความเปลี่ยนแปลงสมัยใหม่ที่เกิดขึ้น แตกต่างจากคนรุ่นใหม่ ที่แม้ประสบการณ์ด้านเกษตรยังน้อย แต่ก็สามารถเรียนรู้ได้รวดเร็วและเปิดรับการพัฒนานวัตกรรมการเกษตรสมัยใหม่ เพื่อสนองต่อความต้องการของตลาดในเชิงพาณิชย์ได้เป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้เอง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงจัดโครงการ “นำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพการเกษตร” ขึ้น เพื่อดึงคนรุ่นใหม่ที่มีความตั้งใจที่จะหันมาประกอบอาชีพด้านการเกษตร มีความสมัครใจและพร้อมที่จะกลับไปทำการเกษตรที่บ้านเกิดของตนเอง มีที่ดินเป็นของตัวเอง หรือหากไม่มีก็สามารถเช่าที่ดินเพื่อประกอบอาชีพเกษตรกรรมได้หรือจะเข้าร่วมโครงการกับกรมส่งเสริมสหกรณ์ เพื่อรับการจัดสรรที่ดินในเขตนิคมสหกรณ์ ซึ่งมีอยู่ 17 แห่ง พื้นที่ 639 ไร่ทั่วประเทศ ให้เข้าไปใช้ประโยชน์ในลักษณะการทำเกษตรแบบแปลงรวมก็ได้ โดยกรมฯ จะประสานหน่วยงานต่างๆ เข้ามาให้การสนับสนุนในด้านองค์ความรู้ในการทำการเกษตร ทั้งปลูกพืชผัก เลี้ยงปลา และทำปศุสัตว์ ตามความประสงค์ที่แจ้งไว้ในใบสมัคร โดยจะใช้รูปแบบเกษตรผสมผสาน หรือหลักเกษตรทฤษฎีใหม่มาบริหารจัดการพื้นที่การเกษตร และส่งเสริมการทำเกษตรสมัยใหม่หรือเกษตรแม่นยำเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพตามความต้องการของตลาด

นอกจากนี้ กรมส่งเสริมสหกรณ์ยังจะสนับสนุนให้สหกรณ์การเกษตรในพื้นที่ทั่วประเทศ เป็นศูนย์กลางในการส่งเสริมอาชีพการเกษตรที่ถูกต้องตามหลักวิชาการและความต้องการของตลาดเพื่อความมั่นคงในชีวิตและอาชีพให้กับคนรุ่นใหม่ และเป็นพี่เลี้ยงแก่เยาวชนเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ นับตั้งแต่การถ่ายทอดความรู้การทำ
เกษตรในแนวทางต่างๆ ที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ จัดหาปัจจัยการผลิตบริการเครื่องจักรและเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ รวมถึงสนับสนุนโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนประกอบอาชีพ และแนะนำช่องทางการจำหน่ายผลผลิตสู่ตลาด

โครงการนี้ ได้เปิดดำเนินการรับสมัครมาตั้งแต่เดือนมกราคม 2563 ทราบว่าได้รับความสนใจจากคนรุ่นใหม่สมัครเข้าร่วมโครงการจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว ตัวเลขล่าสุดราว 7,560 คน และมีสหกรณ์ที่สนใจสมัครเข้ามาเป็นพี่เลี้ยงจำนวน 482 สหกรณ์ แต่ก็ยังขยายการรับรับสมัครในส่วนของสหกรณ์ที่จะมาเป็นพี่เลี้ยงเพิ่มเติมจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2563 นี้…ซึ่งการที่สหกรณ์เข้ามามีส่วนขับเคลื่อนโครงการนี้ จะเป็นโอกาสดีที่คนรุ่นใหม่และขบวนการสหกรณ์ได้มีความใกล้ชิดกันมากขึ้น และหากคนรุ่นใหม่ที่มีองค์ความรู้จากหลากหลายอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นวิศวกร นักเกษตร นักการตลาด ทั้งที่เป็นลูกหลานสมาชิกสหกรณ์หรือยังไม่เป็นก็ตาม จะสมัครเข้ามาเป็นสมาชิกสหกรณ์การเกษตร และเข้ามาเป็นผู้บริหารหรือมีส่วนช่วยในการพัฒนาสหกรณ์ในภายภาคหน้า และจากการที่เป็นโครงการที่ดี ขณะนี้ทราบว่ามีหน่วยงานภาคีนอกกระทรวงเกษตรฯสนใจเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในโครงการนี้ด้วย เช่น ธ.ก.ส. กรมการค้าภายใน สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล คณะกรรมการอาชีวศึกษา กรมการปกครอง บริษัท สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชัน จำกัด และเทสโก้ โลตัส เป็นต้น

อย่างไรก็ดี จากเดิมโครงการนี้จะจัด Kick off ในวันที่ 22 มีนาคม นี้ เพื่อนัดแนะเกษตรกรมารับฟังคำชี้แจงการขับเคลื่อนโครงการฯ ก่อนตัดสินใจยืนยันเข้าร่วมโครงการเป็นครั้งสุดท้าย โดยในวันงาน Kick off ยังจะจัดให้มีวิทยากรมาให้คำแนะนำรวมถึงคัดเลือกเกษตรกรต้นแบบในแต่ละสาขามาให้ผู้เข้าร่วมโครงการได้เรียน แลกเปลี่ยนก่อนตัดสินใจเลือกอาชีพอีกด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ จะช่วยคัดกรองให้ได้ผู้ที่มีความตั้งใจจริงเท่านั้นมาร่วมโครงการนี้ แต่เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิท 19 จึงได้เลื่อน Kick off ออกไปก่อนเป็นช่วงประมาณปลายเดือนพฤษภาคม 2563 แทน แต่ในระหว่างนี้ เจ้าหน้าที่สำนักงานสหกรณ์จังหวัดทั่วประเทศจะติดต่อผู้เข้าร่วมโครงการ ลงพื้นที่และสำรวจความพร้อมของผู้สมัครเป็นการเบื้องต้นไปก่อน…นับว่าเป็นการสร้างพื้นฐานที่ดีให้กับขบวนการสหกรณ์ในอนาคต และสร้างคนรุ่นใหม่ให้เป็นเกษตรกรแถวหน้าได้เป็นอย่างดี

สุธิพงศ์ ถิ่นเขาน้อย

เกษตรแถวหน้า : สินค้าเกษตรกับตลาดออนไลน์ #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/478897

screenshot-13-1

เกษตรแถวหน้า : สินค้าเกษตรกับตลาดออนไลน์

วันศุกร์ ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2563, 06.00 น.

ปัจจุบันนี้การซื้อขายออนไลน์กลายเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมมาก จะซื้ออะไรหรือขายอะไรก็อยู่ที่ปลายนิ้วสัมผัส ไม่ต้องเดินทางไปถึงร้านค้าหรือแหล่งผลิต แหล่งจำหน่ายกันให้เสียเวลา จนกลายเป็นอีกหนึ่งช่องทางของเกษตรกรในการจำหน่ายสินค้าในยุคปัจจุบัน ผู้บริโภคหรือผู้ซื้อได้รับความสะดวกสบาย สามารถเลือกซื้อสินค้าเกษตรและแปรรูปได้ทุกที่ทุกเวลา เพียงใช้ปลายนิ้วเลื่อนดูรายการสินค้าและกดสั่งสินค้าได้ทันที จะว่าไปแล้ว ตลาดสินค้าเกษตรออนไลน์ ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่หรือน่าตื่นเต้นมากนัก เพราะได้เริ่มทำกันมานานในกลุ่มเกษตรกรหัวสมัยใหม่ หัวก้าวหน้า หรือที่เรียกกันว่าYoung Smart Farmer และภาพรวมถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าจับตามมอง เพราะตลาดกลุ่มนี้กำลังเป็นที่นิยมและมีอัตราการเติบโตที่สูง มีจำนวนผู้ซื้อผ่านระบบออนไลน์มากถึง 4 – 5 ล้านคน/วันเลยทีเดียว แต่ก็เชื่อว่ายังมีเกษตรกรอีกจำนวนมากที่ยังไม่เข้าถึงตลาดกลุ่มนี้ ดังนั้น การเสริมเขี้ยวเล็บให้เกษตรกรเป็นนักขายออนไลน์มืออาชีพจึงเป็นสิ่งที่ต้องช่วยกันผลักดัน

หลายวันก่อน นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดโครงการดีๆนั่นคือ โครงการตลาดสินค้าเกษตรออนไลน์ “เปลี่ยนเกษตรกรให้เป็นผู้ค้าออนไลน์มืออาชีพ” ขนทัพหน่วยงานต่างๆ นำเกษตรกรมาติวเข้ม ปั้นสู่นักขายออนไลน์บนแพลทฟอร์มยักษ์ใหญ่อย่าง LAZADA ที่มีจำนวนผู้เข้าชมมากกว่าวันละ 2 ล้านคน ตอกย้ำตลาดนำการเกษตร พร้อมกับย้ำว่า ต่อไปเกษตรกรจะไม่ใช่แค่ขายเป็น แต่ต้องขายได้ เพิ่มเงินเข้าประเป๋าด้วย ซึ่งโครงการนี้ จะช่วยเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าเกษตรให้กับเกษตรกรได้ขายผลผลิตแปรรูป ผลิตภัณฑ์เกษตร และกระจายผลผลิตสินค้าเกษตรในรูปผลสดในช่วงผลผลิตออกสู่ตลาดมาก ทำให้ราคาสินค้าเกษตรมีเสถียรภาพ โดยในเบื้องต้น ได้คัดเลือกสินค้าที่มีศักยภาพจากกลุ่มเกษตรกร 4 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มเกษตรกรในระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ กลุ่มวิสาหกิจชุมชน สหกรณ์การเกษตร และกลุ่ม Young Smart Farmer โดยมีทีมงานมืออาชีพจาก LAZADA เป็นผู้สอนฟรีทุกอย่าง ทั้งด้านการตลาด การนำสินค้าเกษตรขึ้นขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ เทคนิคการถ่ายภาพ และการเขียน Story ให้ดูน่าสนใจ รวมถึงการทำโปรโมชั่นสินค้าเกษตรของตนเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้เกษตรกรขายสินค้าได้หรือไม่ได้ด้วย เพราะแม้ว่าของจะดีแค่ไหนแต่หากไม่มีวิธีนำเสนอ ไม่มี Story ก็ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครรู้จัก ขายยากเหมือนกันนะ เกษตรกรออนไลน์จึงจะต้องหาจุดเด่นของสินค้าของเราว่าแตกต่างหรือโดดเด่นกว่าของเจ้าอื่นอย่างไร ต้องมีการจัดแพ็คเกจ (Packaging) ที่ดึงดูดใจ รูปภาพสวยดึงดูด มีรายละเอียดสินค้าที่ชัดเจน แต่เหนือสิ่งอื่นใด สินค้าที่เกษตรกรจะนำไปขายบนแพลทฟอร์มสินค้าออนไลน์ คือเรื่องของคุณภาพ สินค้าที่มีคุณภาพ เมื่อขายได้แล้วในครั้งแรก ก็ย่อมมีครั้งที่ 2 ที่ 3 ตามมา

ผมได้มีโอกาสเดินดูตัวอย่างสินค้าที่เกษตรกรนำมาจัดแสดงในวันเปิดโครงการ ภาพรวมส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่น่าสนใจ มีความหลากหลาย มี Story ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะประเภทอาหารพร้อมทาน ยิ่งชูเรื่องสุขภาพด้วยแล้ว ผมนี่สนใจเป็นพิเศษ ได้มีโอกาสชิม ถือว่ารสชาติใช้ได้เลยทีเดียว ส่วนสินค้าประเภทอื่นๆ ไม่ว่าสินค้าแปรรูป หัตถกรรม หรือของใช้จำเป็นในชีวิตประจำวันก็มีให้เลือกไม่น้อย ซึ่งผู้สนใจที่อยากอุดหนุนสินค้าพรีเมี่ยมที่ผลิตโดยเกษตรกรไทย สามารถเข้าไปเลือกซื้อได้ที่แพลทฟอร์มของ LAZADA ได้เลยตั้งแต่วันนี้ หรือจะเป็นในส่วนของไปรษณีย์ไทย ก็ได้มีสินค้าของเกษตรกรวางขายในแพลตฟอร์ม https://www.thailandpostmart.com/ มาก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งปัจจุบันมีการจำหน่ายสินค้าพรีเมี่ยม กว่า 28 รายการ คิดเป็นมูลค่ากว่า 25 ล้านบาทเลยทีเดียว

การสร้างตลาดสินค้าเกษตรออนไลน์ จึงเป็นโอกาสในการพัฒนาระบบตลาดสินค้าเกษตรในรูปแบบใหม่ๆ เป็นการเพิ่มช่องทางการตลาดที่หลากหลาย เกษตรกรยุคใหม่จะต้องไม่ใช่แค่ผลิตได้ แต่ต้องขายเป็นและขายได้ด้วย

สุธิพงศ์ ถิ่นเขาน้อย