มหัศจรรย์พันลึกเศรษฐกิจญวน (3)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/584921

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 3 มี.ค. 2559 05:01

 

ผู้อ่านท่านที่เคารพที่ชอบเดินทางใกล้ๆ จะสังเกตได้ว่าประชาคมอาเซียนของเรามีนักท่องเที่ยวต่างเข้ามาจับจ่ายใช้สอยกันในภูมิภาคของเรากันอย่างคึกคัก ทั้งนักท่องเที่ยวในภูมิภาคเดียวกัน และนักท่องเที่ยวจากต่างภูมิภาค

หลังจากภูมิภาคอินโดจีนสงบจากสงคราม และเริ่มเปิดประเทศ ดินแดนแถบนี้จึงดึงดูดให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาเยี่ยมเยือนภาครัฐของประเทศต่างๆ จึงเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะมาเยือนเพิ่มขึ้นในแต่ละปี

เวียดนามประกาศออกมาแล้วว่า ในปี 2558 มีนักท่องเที่ยวมาเยือนเวียดนามมากกว่า 7.9 ล้านคน จำนวนนักท่องเที่ยวจากประเทศต่างๆทั่วโลกมาเยือนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากยุโรปตะวันตก 5 ประเทศที่เวียดนามเพิ่งประกาศยกเลิกวีซ่าอย่างเป็นทางการ ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี และสเปน ก่อนหน้านี้ รัฐบาลเวียดนามก็ยังได้ยกเลิกวีซ่าให้แก่ชาวเวียดนามที่อาศัยในต่างประเทศอีกด้วย สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวช่วยส่งเสริมให้จำนวนนักท่องเที่ยวเชื้อสายเวียดนามที่ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ทั้งในยุโรปและอเมริกามาท่องเที่ยวในเวียดนามมากขึ้น

ในปี 2559 สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติของเวียดนามก็คาดว่า จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาเยือน 8.5 ล้านคน และมีนักท่องเที่ยวภายในประเทศ 60 ล้านคน นำเม็ดเงินเข้ามาหมุนเวียนได้มากกว่า 16.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปี 2558 ที่มีรายได้จากการท่องเที่ยว 15.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อดูจากสถิติต่างๆ ท่านอาจจะคิดว่าเวียดนามยังห่างชั้นด้านการท่องเที่ยวกับไทยเยอะ แต่ผู้อ่านท่านอย่าประมาทเชียวนะครับ

ผู้อ่านท่านที่นิยมท่องเที่ยวในอาเซียนคงจะเคยได้ยินชื่อ เกาะฟุก๊วกกันมาบ้างนะครับ ฟุก๊วกเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม มีพื้นที่ประมาณ 590 ตารางกิโลเมตร มีขนาดใหญ่กว่าเกาะภูเก็ตของเราเล็กน้อย มีประชากรในพื้นที่ราว 1 แสนคน

ตอนนี้ เกาะฟุก๊วกกำลังจะกลายเป็นศูนย์กลางแห่งการท่องเที่ยวและการลงทุนทางภาคใต้ของเวียดนามในอนาคตอันใกล้ เอาเฉพาะเมื่อปลายเดือนกันยายน 2558 ที่ผ่านมา เกาะแห่งนี้มีโครงการลงทุนรวม 140 โครงการ เนื้อที่กว่า 5,100 เฮกตาร์ ส่วนมากจะเป็นบริษัทสัญชาติเวียดนามขนาดใหญ่ คาดกันว่าหลังโครงการลงทุนเริ่มดำเนินการอย่างเต็มระบบแล้ว เกาะฟุก๊วกจะกลายเป็นพื้นที่การท่องเที่ยว และพื้นที่ทางเศรษฐกิจหลักของเวียดนาม และมีอิทธิพลต่อเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ด้วยความที่มีที่ตั้งอยู่ในจุดภูมิยุทธศาสตร์ซึ่งตั้งอยู่บริเวณอ่าวไทย ห่างจากจังหวัดกัมปอตของกัมพูชา 15 กิโลเมตร ห่างจากแหลมฉบังของไทย 540 กิโลเมตร แล้วยังล้อมรอบด้วยเกาะต่างๆ อีก 21 เกาะ จากความได้เปรียบจุดนี้ ทำให้รัฐบาลเวียดนามเสนอสิทธิ ประโยชน์แก่นักลงทุนในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการปรับใช้อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ร้อยละ 10 สำหรับโครงการที่ลงทุนในเกาะ และยังปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาลงร้อยละ 50 สำหรับผู้ประกอบการส่วนตัว เพื่อให้นักลงทุนจากชาติต่างๆเบนการลงทุนจากแหล่งอื่นมาลงทุนในเกาะฟุก๊วกแทน

ไม่เพียงเท่านั้น รัฐบาลเวียดนามยังสร้างทางหลวงใหม่ ท่าอากาศยานนานาชาติ รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆที่มีการปรับปรุงและขยายต่อ เพื่อยกระดับเกาะนี้ให้กลายเป็นพื้นที่ท่องเที่ยว และพื้นที่ลงทุนสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของเวียดนาม

ท่านจะเห็นพัฒนาการของเกาะฟุก๊วก โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เริ่มมีการลงทุนในภาคบริการต่างๆอย่างต่อเนื่อง ทั้งรีสอร์ต วิลล่า โรงแรม โรงพยาบาล และสถานบันเทิง ต่างผุดขึ้นเรียงรายอยู่ในระยะสายตา และอีกไม่นานก็คาดว่าจะเต็มพื้นที่

รัฐบาลของเวียดนามมีวิสัยทัศน์ระดับสากล จากนโยบายที่ให้เกาะฟุก๊วกเป็นพื้นที่งดเว้นวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวในระยะเวลา 30 วัน ทำให้ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าสู่เกาะนี้สูงขึ้นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา และคาดว่าจะยิ่งเพิ่มสูงขึ้นในอนาคตจากการกระตุ้นการท่องเที่ยวและการลงทุนอย่างที่ผมเรียนท่านไปข้างต้นนั่นล่ะครับ

ไม่เฉพาะภาคการผลิตที่เป็นแหล่งผลิตสินค้าและบริการที่เนื้อหอมเท่านั้น แต่ภาคการท่องเที่ยวเวียดนามก็ยังเร่งเครื่องตามมาติดๆ เผลอแว้บแป๊บเดียว เวียดนามมาหายใจรดต้นคอเราในหลายๆด้านแล้ว

เปิดฟ้าส่องโลกเขียนรับใช้เรื่องเวียดนามมากว่า 20 ปี

วันนี้ เห็นเวียดนามแล้ว รู้สึกหนาว อย่างไรบอกไม่ถูกครับ.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

มหัศจรรย์พันลึกเศรษฐกิจญวน (2)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/584437

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 2 มี.ค. 2559 05:01

 

ซัมซุง ย้ายฐานการผลิตจากประเทศไทยไปเวียดนาม แอลจีอิเล็กทรอนิกส์ ผู้ผลิตโทรทัศน์อันดับ 2 ของโลก ย้ายโรงงานผลิตโทรทัศน์จากไทยไปเวียดนาม บริษัทแคนนอน บริษัทฮุนได บริษัทพอสโค บริษัทเคปโก บัดนี้ ย้ายฐานการผลิตไปอยู่ที่ประเทศเวียดนามเรียบร้อยแล้ว

สายการบินออลนิปปอนแอร์เวย์สของญี่ปุ่นกระวีกระวาดเข้าไปซื้อหุ้นเวียดนามแอร์ไลน์สซึ่งเป็นสายการบินแห่งชาติของเวียดนาม โดยไปขอแบ่งหุ้นมาได้ 8.8% ไม่เพียงเท่านั้น บริษัทแอร์บัสยังไปสะกิดสายการบินเวียดเจ็ทของเวียดนามเพื่อขอลงนามในข้อตกลงตั้งศูนย์ฝึกอบรมการบินและซ่อมบำรุงเครื่องบินแอร์บัส A320/A321 ที่นครโฮจิมินห์ เพื่อต้องการให้เวียดนามเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคในการฝึกอบรมนักบิน วิศวกร ช่าง พนักงานอำนวยการบิน และครูฝึกการบิน พร้อมกับติดตั้งเครื่องบินจำลองที่มีการเคลื่อนไหวเพื่อฝึกอบรมลูกเรืออีกด้วย

ในขณะที่บางประเทศถูกสงสัยในเรื่องความปลอดภัยด้านการบินแห่งสหภาพยุโรป แต่เวียดนามไม่ใช่ บัดนี้ บริษัทแอร์บัสนำมาตรฐานของตนและขององค์การความปลอดภัยด้านการบินแห่งสหภาพยุโรปมาอยู่ที่ศูนย์ฝึกอบรมเวียดเจ็ทในเวียดนาม ทำให้เวียดเจ็ทเป็นสายการบินแรกที่ร่วมมือกับบริษัทแอร์บัสสำหรับศูนย์ฝึกอบรมการบินและซ่อมบำรุงเครื่องบินตระกูล A320

บริษัทเมเปิ้ลของสิงคโปร์ไปลงทุนสร้างโรงงานเสื้อผ้าสำเร็จรูปมูลค่าเกือบ 4,000 ล้านบาท ที่นิคมอุตสาหกรรมเวียดนาม-สิงคโปร์ ที่ตั้งอยู่ตอนเหนือของจังหวัดบั๊กนิญโดยมีกำลังการผลิต 22 ล้านชิ้นต่อปี และจะเริ่มดำเนินงานได้ใน พ.ศ.2561

บริษัทยูไนเต็ดมอร์ ยักษ์ใหญ่ของมาเลเซียก็อดรนทนไม่ได้ต้องวิ่งไปขออนุญาตตั้งโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมไซ่ง่อนไฮเทค และจะเริ่มผลิตในไตรมาส 2 ของปีนี้ โดยเริ่มต้นที่ 4 ล้านชิ้นต่อปี

ต้องยอมรับครับว่า คณะผู้นำรัฐบาลเวียดนามมีสมองที่ชาญฉลาดด้านการค้า สามารถใช้ความขัดแย้งกันของมหาอำนาจชาติต่างๆ บนโลกใบนี้ มาเป็นเครื่องมือให้ตัวเองประสบความสำเร็จในการเจรจาและลงนามข้อตกลงทวิภาคีและพหุภาคีต่างๆ แต่ละข้อตกลงนำเม็ดเงินจำนวนมหาศาลเข้ามาสู่ประเทศเวียดนาม ทำให้ประชาชนคนเวียดนาม ที่แต่ก่อนง่อนชะไรเคยลำบากยากแค้นแสนเข็ญจากสงครามที่รบพุ่งติดต่อกันมายาวนาน กลายเป็นกลุ่มคนที่มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ปีที่ผ่านมา การบริโภคภาคเอกชนของเวียดนามโตถึง 9.3% เงินลงทุนจากต่างประเทศพุ่งกระฉูดส่งตูดจัมโบ้ไปที่ 17.4% เวียดนามเป็นประเทศที่มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงเป็นอันดับ 2 ของโลกแล้ว

ใครจะนึกว่ารัฐบาลเวียดนามค่อยๆทยอยพาเศรษฐกิจเวียดนามไปบูรณาการกับเศรษฐกิจ 55 ประเทศระดับโลก ทำให้ปัจจุบันทุกวันนี้ เวียดนามกับ 55 ประเทศนั้นมีการลดภาษีซึ่งกันและกัน เหลือ 0% ในปริมาณ 90% ของจำนวนสินค้าทั้งหมด

นอกจากรัฐบาลจะฉลาดและเก่งแล้ว เวียดนามยังเป็นประเทศที่มีแรงงานพร้อม ครึ่งหนึ่งของประชากร 90 ล้านคนของเวียดนามมีอายุต่ำกว่า 30 ปี อยู่ในช่วงอายุในวัยแรงงาน ผู้คนเหล่านี้แม้ว่าจะมีค่าแรงถูกแต่สู้งาน ตอนนี้ใครๆก็ยอมรับนะครับว่าเวียดนามเป็นประเทศที่มีคนชั้นกลางที่เติบโตมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก

สิงคโปร์เป็นประเทศที่ low limitation of market access มีข้อจำกัดในการเข้าสู่ตลาดต่ำเกือบจะที่สุดในโลก ตอนนี้องค์การการค้าโลกหรือ WTO ประเมินแล้วครับว่า เอกชนของเวียดนามเข้าสู่ตลาดเวียดนามได้ง่ายพอๆกับสิงคโปร์ ผู้อ่านท่านที่เคารพ ภาวะตลาดที่เข้าถึงง่ายของเวียดนามนี่ล่ะครับ จะทำให้ประเทศนี้ประสบความสำเร็จในด้านเศรษฐกิจอย่างสูงและอย่างต่อเนื่องต่อไปในอนาคต

ใครเป็นนักลงทุนที่ได้อ่าน พ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุนฉบับใหม่ของเวียดนามที่ผ่านสภามาเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2558 ก็คงจะต้องยิ้มจนปากฉีกถึงใบหู เพราะกฎหมายส่งเสริมการลงทุนฉบับใหม่นี้ สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ของ WTO เปิดโอกาสให้ชาวต่างประเทศเข้ามาลงทุนและทำธุรกิจในเวียดนามได้ง่ายกว่าเดิมมาก

ที่สำคัญคือ รัฐบาลเวียดนามเปิดโอกาสให้ต่างชาติจัดทำความตกลงจัดซื้อกับภาครัฐ ผ่านการเปิดประมูลเมกะโปรเจกต์ต่างๆที่มีมูลค่าสูง สามารถเข้าถึงการจัดซื้อของภาครัฐทุกระดับ ไม่ว่าระดับกระทรวง ทบวง กรม รัฐวิสาหกิจ ภูมิภาค ไปจนถึงระดับจังหวัด

ผู้อ่านท่านครับ เศรษฐกิจเวียดนามที่พุ่งไม่หยุดฉุดไม่อยู่ในขณะนี้ เกิดจากปัจจัยหลายอย่าง ซึ่งเปิดฟ้าส่องโลกจะค่อยๆทยอยนำมารับใช้ผู้อ่านท่านที่เคารพกันไปเรื่อยๆนะครับ.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

มหัศจรรย์พันลึกเศรษฐกิจญวน (1)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/583972

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 1 มี.ค. 2559 05:01

 

Regional Comprehensive Economic Partnership ที่เราเรียกย่อๆ ว่า RCEP อาร์เซ็ป ซึ่งหมายถึง อาเซียน+6 เป็นการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรีอาเซียน 10 ประเทศกับประเทศคู่เจรจาของอาเซียนอีก 6 ประเทศ ที่แต่เดิมคาดว่าจะบรรลุการเจรจาในปลาย พ.ศ.2558 แต่โดนนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัค ของมาเลเซียบอกเลื่อนไปแล้วครับ ในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่ประเทศมาเลเซียเมื่อปีที่แล้ว

อาเซียน+6 ผมหมายถึง ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ บรูไน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา เวียดนาม ลาว เมียนมา จีน เกาหลี ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย และอินเดีย มีประชากรรวมกัน 3,500 ล้านคน หรือคิดเป็น 50% ของประชากรโลก มีมูลค่าการค้ารวมกันสูงถึง 10.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 29% ของการค้าโลก มีจีดีพีรวมกันมากกว่า 21.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็น 28% ของโลก

น่าเสียดายเหลือเกินครับที่อาร์เซ็ปที่เป็นความหวังของเราถูกเลื่อนออกไป ในขณะเดียวกัน ประเทศในอาร์เซ็ปที่ไปลงนามความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิกหรือทีพีพี เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2558 จำนวน 12 ประเทศนั้น มีถึง 7 ประเทศที่เป็นสมาชิกของอาร์เซ็ปคือ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม และบรูไน หลายท่านบอกว่า นี่อาจจะเป็นหนึ่งในหลายสาเหตุกระมังที่ทำให้หลายประเทศไม่กระตือรือร้นที่จะเจรจาจัดทำความตกลงอาร์เซ็ป เพราะพวกเขาเข้าไปอยู่ในทีพีพีแล้ว

ความร่วมมืออาร์เซ็ปที่เริ่มเมื่อ พ.ศ.2555 ผลักดันโดยจีน หลายคนถึงขนาดแอบกระซิบกระซาบว่าอาร์เซ็ปเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจเส้นทางสายไหมจีน

แล้วคนเดิมก็มากระซิบกระซาบต่อว่า ทีพีพีนี่แหละที่เป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาที่ใช้คานอำนาจเศรษฐกิจ การค้า และอิทธิพลของจีน เช่นกัน

ทีพีพีคือเครื่องมือของสหรัฐฯ ส่วนอาร์เซ็ปคือเครื่องมือของจีน

ทีพีพีที่นำโดยสหรัฐฯมีสมาชิก 12 ประเทศ คือ สหรัฐฯ แคนาดา เม็กซิโก ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม บรูไน เปรู และชิลี มีจีดีพีรวมกัน 28.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็น 38% ของจีดีพีโลก มีประชากรรวมกัน 800 ล้านคน หรือ 11% ของประชากรโลก มีผลผลิตทางเศรษฐกิจสูงถึง 30 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 1,095 ล้านล้านบาท

เรียกว่า ทีพีพีกับอาร์เซ็ปอาจจะเป็นสงครามการค้าการลงทุนระหว่างประเทศของสหรัฐฯและจีนก็ได้

ทีพีพีทำให้สหรัฐฯต้องยกเลิกภาษีศุลกากรมากกว่า 18,000 รายการ ให้กับ 11 ประเทศสมาชิก อย่างเครื่องนุ่งห่มจากต่างประเทศที่จะส่งเข้าไปขายในดินแดนสหรัฐฯจะต้องเสียภาษีอยู่ในระดับ 17.8-32.5% หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์เสียภาษีอยู่ในระดับ 7% แต่ 11 ประเทศที่เป็นสมาชิกของทีพีพีนั้น สามารถส่งเครื่องนุ่งห่มและเครื่องใช้ไฟฟ้าไปยังตลาดสหรัฐฯด้วยภาษีศุลกากร 0%

นี่ล่ะครับ คือสิ่งที่ทำให้เวียดนามกลายเป็นประเทศที่บริษัทในภูมิภาคอาเซียนต้องตบเท้าเข้าไปลงทุนในประเทศเวียดนาม แม้แต่บริษัทจากประเทศจีนก็ยังต้องย้ายฐานการผลิตเข้าไปในประเทศเวียดนาม เพราะกฎแหล่งกำเนิดสินค้ากำหนดให้เสื้อผ้าที่เวียดนามผลิต จะต้องใช้ผ้าที่ทอในเวียดนามเองเท่านั้น

ผมไม่พูดถึงสินค้าที่สหรัฐฯยกเลิกภาษีศุลกากรมากกว่า 18,000 รายการดอกครับ แต่ขอเขียนถึงเรื่องเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ผลิตในเวียดนาม สินค้าเพียงประเภทเดียวนี่ล่ะครับที่ทำให้เงินลงทุนจากต่างประเทศไหลเข้าไปในเวียดนามอย่างมากมายมหาศาล โรงงานทอผ้าและฟอกย้อมซึ่งแต่เดิมอยู่ในประเทศจีน วันนี้ต้องกระเสือกกระสนหนีตายย้ายฐานไปลงทุนในเวียดนาม เพราะถ้าไม่ลงทุนที่นี่ตนเองก็ไม่สามารถค้าขายกับ 12 ประเทศทีพีพีซึ่งมีจีดีพีสูงถึง 38% ของจีดีพีโลก ได้ดอกครับ เมื่อปีที่แล้ว เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศจึงไหลเข้าเวียดนามมากถึง 14,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

ผมอ่านข้อมูลจากสำนักงานการลงทุนจากต่างประเทศของรัฐบาลเวียดนามพบว่า ในต้นปีนี้ บริษัทจากจีนหนีตายเข้าไปลงทุนในเวียดนามกันอย่างคึกคัก

บริษัทแอลจีอิเล็กทรอนิกส์ ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตโทรทัศน์อันดับ 2 ของโลก บัดนี้ได้ย้ายโรงงานผลิตโทรทัศน์จากไทยไปอยู่เวียดนามเรียบร้อยแล้ว ถามว่าย้ายตามใครไป ก็ย้ายไปตามซัมซุงน่ะแหละครับ บริษัทซัมซุงย้ายจากไทยไปเวียดนามก่อนหน้านี้แล้ว

สองสามวันต่อจากนี้ ผมขอเขียนรับใช้ถึงความมหัศจรรย์พันลึกของเศรษฐกิจเวียดนาม ที่มหัศจรรย์เพราะรัฐบาลเวียดนามดำเนินนโยบายต่างประเทศในด้านการค้าอย่างเฉลียวฉลาดปราดเปรื่องที่สุด เรื่องราวทั้งหลายจะเป็นยังไง ขออนุญาตมารับใช้กันต่อในวันพรุ่งนี้ครับ.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

กฎหมายต้องทันเทคโนโลยี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/583548

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 29 ก.พ. 2559 05:01

 

26 กุมภาพันธ์ 2559 ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ผมบังเอิญเจอกับนายพลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ อดีต ส.ส.กทม. เขตบึงกุ่ม-คันนายาว ซึ่งกำลังพา น.ส.ไพลิน เกียงขวา อายุ 26 ปี ผู้พิการตาบอดจากการใส่คอนแท็กเลนส์บิ๊กอาย จนมองไม่เห็นทั้งสองข้างตั้งแต่อายุ 18 ปี ไปมอบตัวตามหมายจับศาลจังหวัดกระบี่ ข้อหา “หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และนำข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายกับผู้อื่น”

คุณไพลินคุยให้ผมฟังว่า เธอตาบอดจึงไม่ได้เล่นเฟซบุ๊ก และไม่เคยรับรู้เรื่องที่โพสต์อะไรนี่เลย เมื่อได้รับหมาย ทางครอบครัวตกใจและไปขอความช่วยเหลือกับคุณพลภูมิ

วันรุ่งขึ้น ผมอ่านข่าวจากไทยรัฐออนไลน์ ก็จึงทราบความคืบหน้าว่า คุณพลภูมิใช้เงิน 50,000 บาท ประกันตัวคุณไพลินออกมาสู้คดี คุณไพลินโดนแจ้งความว่า ไปแชทด่าทอ หลังจากพูดคุยกันเรื่องตุ๊กตาลูกเทพ จนทำให้เกิดความเสียหาย

เทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารพัฒนาทุกเวลานาที แต่กฎหมายยังตามไม่ทัน แม้แต่นักกฎหมายสหรัฐฯก็ยังยอมรับว่ากฎหมายของตนต้องแก้ไขเพื่ออำนวยความยุติธรรมให้แก่ผู้ใช้ Facebook 162.9 ล้านคน Instagram 89.4 ล้านคน Twitter 56.8 ล้านคน Pinterest 54.6 ล้านคน และ Tumblr 23.2 ล้านคน

ตั้งแต่ที่เจอกันตรงจุดเช็กอินของสนามบิน เราเดินไปจนถึงเกตขาออกที่อยู่ติดกัน ผมเห็นคุณไพลินช่วยตัวเองไม่ได้ ต้องมีคนจูงเดิน จากสามัญสำนึกธรรมดา ไม่ต้องใช้การสืบสวนอย่างใดมาพิสูจน์ ก็พอมองออกแล้วว่า คนตาบอดอย่างคุณไพลินจะไปเขียนลงในเฟซบุ๊กได้อย่างไร ก็จึงอาจเป็นไปได้ ที่มีคนเอาชื่อของคุณไพลินไปเล่นเฟซบุ๊ก

โชคดีนะครับ ที่ครอบครัวของคุณไพลินอยู่ในเขตบึงกุ่ม-คันนายาว ที่มีอดีต ส.ส.พลภูมิให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลออกค่าใช้จ่ายและค่าเครื่องบินให้ แถมยังบินไปประกันตัวให้เรียบร้อย ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลืออย่างนี้ ประเทศไทยของเราก็จะมีกรณีคนตาบอดถูกจับกุมคุมขังข้อหาเขียนเฟซบุ๊ก ซึ่งฟังดูแล้วเป็นเรื่องตลก แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ช่วยไม่ได้ เพราะตำรวจก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย โลกต้องโทษกฎหมายที่เดินช้ากว่าเทคโนโลยี

หลายครั้งที่มีคนเอาบทความจากเปิดฟ้าส่องโลกเพียงหนึ่งย่อหน้า ไปเขียนต่อเติมเสริมตัวอักษรเป็นบทความขนาดยาวแล้วส่งต่อกันไปเพื่อสร้างความเข้าใจผิดให้กับคนที่อ่าน โชคดีที่ผมมีคอลัมน์ที่ผมสามารถแสดงแถลงความคิดของตนสู่โลกได้ทุกวัน ทำให้ผู้ที่ได้รับข่าวสารเข้าใจได้ว่า ข้อความที่ถูกตัดต่อเปลี่ยนแปลงและปลอมไปจากคอลัมน์เดิมนั้น ไม่ใช่มาจากผมแน่

แต่ลองนึกถึงคนที่ไม่มีคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ ไม่มีหนทางป้องกันเกียรติยศชื่อเสียงของตนเอง ท่านเหล่านี้ถูกสังคมตำหนิ หรือบางครั้ง ถูกกฎหมายลงโทษโดยที่ไม่ได้ทำความผิด

ไทยมีพลเมือง 68 ล้านคน มีผู้ใช้อินเตอร์เน็ต 38 ล้านคน คิดเป็น 56% ของประชากร และมีผู้ใช้โซเชียลมีเดีย 38 ล้านคนเช่นกัน โดยใช้โซเชียลมีเดียผ่านมือถือ 34 ล้านคน ผมอ่านจาก We Are Social ดิจิทัลเอเจนซีในสิงคโปร์ซึ่งรวบรวมสถิติและสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคการใช้อินเตอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียจากหลายประเทศทั่วโลก พบว่า ปัจจุบันคนไทยสั่งซื้อสินค้าหรือบริการออนไลน์มากถึง 44% ผ่านแล็ปท็อป หรือคอมพิวเตอร์ 39% และผ่านสมาร์ทโฟน 31%

คนไทยใช้สมาร์ทโฟน 47 ล้านคน คิดเป็น 69% ของประชากร มีหมายเลขโทรศัพท์ที่จดทะเบียนทั้งหมด 82.8 ล้านเบอร์ คิดเป็น 122% ของประชากร ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตโตขึ้น 21% โซเชียลมีเดียโตขึ้น 19% และจำนวนผู้ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กบนสมาร์ทโฟนโตขึ้น 21%

แพลตฟอร์มที่คนไทยใช้มากที่สุดคือ Facebook รองลงมาคือ Line ต่อไปคือ Facebook Messenger, Google+ และ Instagram

ประเทศของเราวันนี้ ไม่เหมือนเมืองไทยใน พ.ศ.2500

ถึงเวลาแล้วหรือยังครับ ที่เราจะต้องแก้ไขกฎหมายด้านนี้เป็นระยะ และต้องมีตำรวจ อัยการ ศาล ฯลฯ ผู้มีความเชี่ยวชาญชำนาญเฉพาะด้านโซเชียลมีเดีย ไม่เช่นนั้น พลเมืองไทยของเราจำนวนไม่น้อย อาจจะต้องมีความทุกข์จากการใช้เทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารสมัยใหม่.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

อย่าสร้างความขัดแย้งทางศาสนา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/582115

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 26 ก.พ. 2559 05:01

 

ผมตามกระแสในโซเชียลมีเดีย มีผู้คนจำนวนไม่น้อยสนทนากันถึงเรื่องจะไปทำบัตรประชาชนใหม่ เพื่อแสดงว่า ตนเป็นผู้ไม่นับถือศาสนาใด ซึ่งกระแสไม่มีศาสนา กำลังเป็นกระแสโลกครับ ในต่างประเทศมีคนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆที่ประกาศตนไม่มีศาสนา

ในโซเชียลมีเดียมีการอรรถาธิบายขยายความเรื่องการไม่นับถือศาสนามากมายหลายรูปแบบ แต่ที่คนสนใจกันมากหน่อย ก็เห็นจะเป็นคำอธิบายการไม่นับถือศาสนา 7 แนวทางหลักของ ดร.ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์ ซึ่งพอตัดมาได้สั้นๆ ดังนี้

1. Atheism อเทวนิยม (เชื่อว่าอาจมีหรือไม่มีวิญญาณเหนือ ธรรมชาติ แต่ไม่มีพระผู้สร้างและผู้ควบคุม) 2.Agnosticm หรือ Undecided อไญยนิยม (เชื่อว่าอาจมีหรือไม่มีสิ่งเหนือธรรมชาติ แต่ไม่อาจรู้ได้ หรือมีอีกแง่ว่า ไม่ตัดสินใจ) 3.Deism เทวนิยม (เชื่อว่ามีวิญญาณที่เหนือธรรมชาติ พระผู้สร้างผู้ควบคุมที่เป็นบุคคล แต่ไม่ระบุว่าเป็นพระองค์ใด และมีหนึ่งเดียว หรือมีมากมาย)

4. Skeptism ศาสนวิมตินิยม (เชื่อว่าความศรัทธาเชิงศาสนายังเป็นสิ่งที่น่าสงสัยอย่างไม่สิ้นสุด) 5. Secular Humanism โลกีย มนุษยนิยม (เชื่อว่าไม่ว่าจะมีวิญญาณเหนือธรรมชาติหรือไม่ มนุษย์เองก็มีความสามารถในการดำรงอยู่ได้ และชี้ผิดชี้ถูกผิดได้ด้วยตนเอง) 6.Multifaith หรือ Multi-Religion สหศรัทธา (เชื่อว่ามีความจริงอยู่ในศาสนาต่างๆ ซึ่งใช้ความผสมผสานร่วมกันได้) และ 7.Anti-Religionism หรือ Counter-Religion ศาสนา-ปฏิปักษ์นิยม (การต่อต้านศาสนา ไม่เพียงแต่ไม่เชื่อเท่านั้น)

สังคมไทยกำลังสับสนในศรัทธาแห่งศาสนา ความสับสนนี้มา จากการโจมตีกันอย่างแรงระหว่าง 1.พุทธ-พุทธ 2.อิสลาม-อิสลาม และ 3.พุทธ-อิสลาม

ขณะนี้มีคนปั่นกระแสเกลียดกลัวอิสลาม มีการกล่าวหาหลาย อย่าง เช่น มุสลิมกำลังวางแผนขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญในราชการ ขอให้ ชาวพุทธช่วยกันสกัดกั้น ไม่เช่นนั้น เมื่อข้าราชการระดับสูงเป็นชาวมุสลิมแล้ว พวกเราคนพุทธจะอยู่กันไม่ได้ เราจะสิ้นศาสนา

คนที่ได้อ่านข้อความปลุกระดมก็เออออห่อหมกจนเริ่มกลายเป็นหนึ่งในกระแสความขัดแย้งหลักของประเทศไปเสียแล้ว

แท้ที่จริง กลุ่มข้าราชการระดับสูงสุดของไทย เป็นมุสลิมมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ ต่อเนื่องยาวนาน 400 ปีแล้วครับ และผมก็ไม่เห็นว่า ศาสนาพุทธของเราจะสูญหายไปจากประเทศไทยตอนไหน

สมัยพระเจ้าทรงธรรม ชาวอิหร่าน ผู้นับถือศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์คนหนึ่ง ก็ได้รับโปรดเกล้าฯเป็นพระยาเฉกอะหมัดรัตนราชเศรษฐี เจ้ากรมท่าขวา ต่อมาในรัชสมัยของพระเจ้าปราสาททอง ทรงโปรดเกล้าฯ ให้มุสลิมผู้นี้เป็นเจ้าพระยาบวรราชนายก (เฉกอะหมัด) เมื่อท่านล้มป่วยหนัก สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ได้เสด็จไปเยี่ยมไข้ท่าน เจ้าพระยาบวรราชนายก (เฉกอะหมัด) ถึงแก่อสัญกรรมเมื่ออายุ 88 ปี เจ้าพระยาอภัยราชา (ชื่น) มุสลิมผู้เป็นบุตรชายได้จัดการแห่ศพบิดาไปฝัง ณ ป่าช้าแขกที่บ้านท้ายคู้ ปัจจุบันก็คือในบริเวณมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา

เจ้าพระยาบวรราชนายก (เฉกอะหมัด) มุสลิมชีอะห์ท่านนี้แหละครับ คือต้นตระกูลบุนนาค เชื้อสายของท่านเป็นข้าราชการระดับท็อปสุดของสยามมานานติดต่อกันหลายร้อยปี ต่อมามีสมาชิกในสายสกุลบางส่วนหันมานับถือศาสนาพุทธ

สมัยสมเด็จพระนารายณ์ พระองค์ก็ทรงโปรดเกล้าฯแต่งตั้งมุสตอฟา มุสลิมซุนนีย์เป็นพระยาไชยา มีราชทินนามว่าพระยาพิชิตภักดีศรีพิชัยสงคราม น้องชายของท่าน คือ หะซัน ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นพระยาราชบังสัน (หะซัน) ว่าที่แม่ทัพเรือ ผู้สืบสกุลจากท่านก็ได้ตำแหน่งนี้มาต่อเนื่องยาวนานตลอดระยะเวลาของกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี จนมาถึงกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 4

ผมมีรายนามของมุสลิมที่รับราชการระดับสูงสุดของประเทศ เป็นเจ้าพระยา พระยา ฯลฯ จำนวนมาก และถ้าจะว่ากันไปแล้ว มุสลิมสยามทั้งชีอะห์และซุนนีย์ก็เข้ามาทำมาหากินในแผ่นดินไทยอย่างมีหลักฐานตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยมาจนถึงปัจจุบัน

คนกลุ่มใหญ่ที่เขียนข้อความในโซเชียลมีเดียขับไล่ไสส่งมุสลิมให้ออกไปจากประเทศไทย ท่านคงไม่รู้ดอกกระมังว่า ศึก สงครามที่เรารบรันพันตูกับอริราชศัตรูมายาวนาน 300–400 ปีในอดีตนั้น แม่ทัพนายกองของไทยจำนวนไม่น้อยนับถือศาสนาอิสลาม

มาช่วยกันขจัดปัดเป่าความขัดแย้งและทำให้ไทยเป็นแผ่นดินที่พุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์ ซิกข์ รวมทั้งผู้ไม่นับถือศาสนา อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขที่แท้จริงเถิดครับ อย่าทำให้แผ่นดินนี้ลุกเป็นไฟ.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th 
www.nitipoom.media 
www.facebook.com/nitipoom.thailand 

เสียงมากกว่า ใช่ว่าจะชนะ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/581647

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 25 ก.พ. 2559 05:01

 

ไปปัตตานีปลายสัปดาห์นี้ ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ มีพูด 2 รอบ

รอบแรก Dinner Talk เย็นวันศุกร์ ที่โรงแรม ซี เอส ปัตตานี

รอบสอง เช้าวันเสาร์ ผศ.ดร.วรวิทย์ บารู เป็นประธานจัดงาน ทราบว่ามีคนมาร่วมงานถึง 2,000 คน ซึ่งเชิญ ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิปาฐกถาพิเศษ “ก้าวข้าม 100 ปี สหกรณ์ไทย…?” ตั้งแต่ 10.30-12.00 น. ที่อาคารอเนกประสงค์ สนามกีฬากลางจังหวัดปัตตานี ท่านใดสนใจก็ไปฟังได้ครับ

อังคารที่ผ่านมา ผมรับใช้ถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯที่จะมีในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2559 โดยเขียนว่า “แต่การเลือกตั้งสหรัฐฯ ผู้ที่ได้เสียงประชาชนมากที่สุด ใช่ว่าจะได้เป็นประธานาธิบดีเสมอไป”

ที่เขียนอย่างนี้ เพราะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่ใช่วัดกันที่เสียงของประชาชน หรือ popular votes พอพพูลาร์ โหวตส์ แต่วัดกันที่จำนวนเสียงจาก electoral college อิเล็คเทอรัล คอลเลจ หรือคณะผู้เลือกตั้งที่มีทั้งหมด 538 คน ใครได้เสียงมากกว่าใน 538 คนนี้ คนนั้นก็ได้เป็นประธานาธิบดี

ผู้อ่านคงจะนึกถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ค.ศ.2000 หรือ พ.ศ.2543 ประชาชนทั้งประเทศเทคะแนนให้นายอัล กอร์ ผู้สมัครจากพรรคเด็มโมแครต 50,999,897 คะแนน (48.4%) และเทให้นายจอร์จ ดับเบิลยู บุช ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกัน เพียง 50,456,002 คะแนน (47.9%)

นายกอร์ได้คะแนนมากกว่านายบุช 543,895 คะแนน นี่ถ้าเป็นบ้านอื่นเมืองอื่น ประธานาธิบดีสหรัฐฯจะต้องชื่อนายอัล กอร์ ทว่าก็อย่างที่ผมเรียนไปแล้วนะครับ ว่าคนเลือกประธานาธิบดีจริงๆมาจากคณะผู้เลือกตั้งเพียง 538 คน ใครได้คะแนนเสียงข้างมากเด็ดขาด ซึ่งก็คือได้มากเกินกว่าครึ่งหนึ่ง หรือเกินกว่า 269 ก็เป็นผู้ชนะไป

ทุกรัฐนับคะแนนเสร็จหมดแล้ว ยกเว้นรัฐฟลอริดาซึ่งน้องชายของนายจอร์จ ดับเบิลยู บุช ที่ชื่อนายเจบ บุช เป็นผู้ว่าการรัฐเพียงรัฐเดียวที่ยังนับคะแนนไม่เสร็จ ยังยึกยักๆ ขณะที่รอผลของรัฐฟลอริดานั้น นายกอร์ได้คะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งไปแล้ว 266 เสียง ส่วนบุชได้ 246 เสียง

ทว่า เมื่อผลการนับคะแนนของรัฐฟลอริดาออกมา ปรากฏว่าคะแนนทั้งหมดของคณะผู้เลือกตั้งจากรัฐฟลอริดาตกเป็นของบุช เมื่อไปบวกกับ 246 คะแนนเดิมของบุชทำให้บุชได้ electoral vote ถึง 271 คะแนน ชนะกอร์และได้เป็นประธานาธิบดีไปในที่สุด

คณะผู้เลือกตั้งในอเมริกาที่เรียกว่า Electoral College นี่มีจำนวน 538 คน 48 รัฐในอเมริกาใช้ระบบ WTA หรือ Winner-take-all วินเนอร์ เทคส์ ออล ซึ่งเป็นระบบที่ให้คะแนนผู้เลือกตั้งทั้งหมดกับผู้สมัครที่ได้รับเสียงข้างมากในรัฐนั้นๆ (มีเพียง 2 รัฐ ที่ใช้ระบบ CD หรือ Congressional district method ซึ่งเป็นระบบที่แบ่งคะแนนผู้เลือกตั้งออกเป็น 2 ส่วน ซึ่งเรื่องระบบ CD ผมจะขออนุญาตมาอธิบายทีหลังนะครับ)

แต่ละรัฐมีจำนวนคณะผู้เลือกตั้งไม่เท่ากัน จะมีได้กี่คนก็เอาจำนวน ส.ส.ของรัฐนั้น + ส.ว. แคลิฟอร์เนียมีคณะผู้เลือกตั้งได้ 55 คน เท็กซัส 38 นิวยอร์ก 29 ส่วนรัฐที่มีประชากรน้อยๆ ก็จะมีคณะผู้เลือกตั้งน้อย เช่น มอนแทนาได้แค่ 3 คน แอริโซนา 5 คน ฯลฯ

ผมสมมติตัวเลขกลมๆ เพื่ออธิบายระบบวินเนอร์ เทคส์ ออล ให้เข้าใจกันง่ายๆกันนะครับ สมมติว่าในรัฐแคลิฟอร์เนียมีประชาชน 1,000,000 คน มีคณะผู้เลือกตั้งได้ 55 คน มีคนไปลงคะแนนให้นายกอร์ 500,001 คน ให้นายบุช 499,999 คน

ระบบวินเนอร์ เทคส์ ออล นายกอร์จะได้ผู้เลือกตั้งไปทั้งหมด 55 คน ส่วนนายบุชได้ 0 คน ผู้ชนะ แม้จะชนะเพียง 1 คะแนน ก็เอาเสียงไปทั้งหมดเลย

นี่เป็นเหตุผลว่า ทำไมคนที่ได้คะแนนเสียงประชาชนมากที่สุด บางครั้งจึงไม่ได้เป็นประธานาธิบดี อย่างใน ค.ศ.1876 นายแซมวล ทิลเดน ได้คะแนนประชาชน 4,300,590 คะแนน นายรูเธอร์ฟอร์ด บี. เฮยส์ ได้เพียง 4,036,298 คะแนน ถ้าเป็นบ้านอื่นเมืองอื่น นายทิลเดนก็ต้องเป็นประธานาธิบดีใช่ไหมครับ แต่ที่สหรัฐอเมริกาไม่ใช่! นายเฮยส์กลับได้เป็นผู้นำสหรัฐฯ เพราะได้คะแนนเสียงคณะผู้เลือกตั้ง 185 ขณะที่นายทิลเดนได้ 184

หรืออย่างใน ค.ศ.1888 นายโกรเวอร์ คลีฟแลนด์ ได้เสียงประชาชน 5,540,309 คะแนน นายเบนจามิน แฮร์ริสัน ได้เพียง 5,439,853 คะแนน แต่ปรากฏว่านายแฮร์ริสันได้เป็นประธานาธิบดี เพราะได้คะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งถึง 233 ในขณะที่นายคลีฟแลนด์ได้เพียง 168

ผมนำเรื่องการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ มาแหย่แทรกไปเรื่อยๆ เพราะอยากให้ผู้อ่านท่านที่เคารพได้สนุกกับมหกรรมการเลือกตั้งสหรัฐอเมริกาครับ.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

วรรณะทางเศรษฐกิจ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/581128

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 24 ก.พ. 2559 05:01

 

นักศึกษาสถาบันการศึกษาทางสหกรณ์รุ่น 12 ที่เข้าเรียนเมื่อ พ.ศ.2523 นอกจากจะมีชื่อนายนิติภูมิแล้ว ยังมีชื่อนายเซาะฮารียา แลแฮ, นายมะรีเป็ง เจ๊ะแล, นายอาแว และราซอ และนายสะมะแอ ดาราหะ ต่อมา สะมะแอ เปลี่ยนชื่อเป็น นิติ และวันนี้ คุณลุงนิติท่านมีตำแหน่งใหญ่โตเป็นถึงสหกรณ์จังหวัดปัตตานี

ศุกร์มะรืนนี้ 16.00-20.00 น. นายนิติ ดาราหะ เชิญ ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ พูด Dinner Talk เรื่อง Sistem Koperasi dalam komuniti ASEAN หรือ “มองสหกรณ์ในวิถีชุมชนอาเซียน” ที่ห้องจะบังติกอ โรงแรมซี เอส ปัตตานี

ผู้อ่านท่านผู้เจริญ หรยาณาเป็นรัฐทางตอนเหนือของอินเดีย มีแม่น้ำยมุนาไหลเป็นเส้นแบ่งเขตกับรัฐอุตตรประเทศ ผู้คนของรัฐนี้ที่มีจำนวน 21 ล้าน ส่วนใหญ่ทำการเกษตร ปลูกข้าวโพด ข้าวเจ้า ลูกเดือย และเลี้ยงปศุสัตว์

หรยาณาเป็นข่าวใหญ่ในสัปดาห์นี้ เพราะมีการปะทะกันระหว่างคนต่างวรรณะ รัฐบาลอินเดียต้องการเยียวยาผลกระทบจากการแบ่งแยกวรรณะที่มีตั้งแต่โบราณนานมา ด้วยการสงวนโควตาตำแหน่งงานราชการและที่นั่งเรียนในมหาวิทยาลัยแก่พวกจัณฑาลซึ่งเป็นคนวรรณะต่ำสุดของสังคม นโยบายอย่างนี้สร้างความไม่พอใจให้กับชาวอินเดียกลุ่มอื่นๆ เช่น ชาวชาฏซึ่งเป็นผู้คนกลุ่มใหญ่ที่สุดในรัฐหรยาณา

มนุษย์ที่ชอกช้ำระกำใจมากที่สุดในอินเดียก็คือพวกจัณฑาล จัณฑาลเป็นพวกที่พ่อแม่ต่างวรรณะมาแต่งงานกัน จัณฑาลที่ถูก ดูหมิ่นถิ่นแคลนและผู้คนขยะแขยงแขงขนมากที่สุด ก็คือจัณฑาลที่แม่เป็นพราหมณ์ พ่อเป็นศูทร แม้แต่เงาของจัณฑาลประเภทนี้มาถูกตัวหรือมองก็ไม่ได้ ถือว่ามีมลทิน จัณฑาลประเภทนี้ทำได้เพียงงานตักอุจจาระ หรือเอาซากศพไปทิ้ง เดินเหินไปทางไหน ที่ใด ก็ต้องใช้ไม้เคาะไปตามทาง เพื่อให้คนชั้นสูงรู้ว่า พวกตนกำลังเดินมาจะได้หลบทัน ไม่เช่นนั้นจะเป็นเสนียด อาหารของคนชั้นสูงกว่าบางประเภท จัณฑาลจะเอามาสัมผัสลิ้นตัวเองไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นบาปมหันต์

โลกต้องขอบคุณรัฐบาลอินเดีย ที่แบ่งโควตางานราชการและที่นั่งเรียนในมหาวิทยาลัยให้จัณฑาล พุทธศักราช 2559 มนุษย์บนโลกทุกคนต้องเท่าเทียมกัน ไม่มีการแบ่งเพศ ผิวพรรณ ชั้นวรรณะ ศาสนา ไม่มีการแยกหญิงชาย หรือแม้แต่แยกคนข้ามเพศ

สำหรับผม วรรณะก็คือเครื่องมือที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อเอาเปรียบกันทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง ฉันเป็นพราหมณ์ ฉันมาจากปาก ของพระพรหม หน้าที่ของฉันคือสอนหนังสือและประกอบพิธีบูชายัญ ฉันเป็นทั้งผู้ให้ทานและผู้รับทาน

เธอเป็นกษัตริย์ เธอมาจากมือและแขนของพระพรหม เธอต้องทำหน้าที่คุ้มครองประชาชน สละทรัพย์ ประกอบพิธีบูชายัญ

ส่วนไอ้หมอนั่นเป็นแพศย์ พวกนี้มาจากขาของพระพรหมทำหน้าที่เลี้ยงดูวัวควาย สละทรัพย์ ประกอบพิธีบูชายัญได้ ทำการค้าขายได้ ให้กู้เงินและทำเกษตรกรรมได้ อ้าว คนโน้นเป็นศูทร ถูกกำหนดอาชีพหรือกรรม ให้ทำงานรับใช้วรรณะทั้งสามอย่างไม่อาฆาตพยาบาท ศูทรคนใดขุ่นเคืองพวกวรรณะทั้งสามข้างต้น ศูทรคนนั้นบาป

พราหมณ์ กษัตริย์ และแพศย์ ทำพิธีบูชายัญได้

ส่วนศูทรและจัณฑาลไม่มีสิทธิ์

การปะทะกันระหว่างผู้คนที่วรรณะต่างกันในรัฐหรยาณาในสัปดาห์ที่แล้ว และต่อเนื่องจนถึงสัปดาห์นี้ ทำให้มีคนตายไป 19 ราย บาดเจ็บ 200 คน ขณะที่เขียนต้นฉบับอยู่ในขณะนี้ ยังมีการปะทะกันที่เขตภิวาณี นี่ก็ยังไม่รู้ว่าการปะทะจะสิ้นสุดเมื่อใด

วันมาฆบูชาที่ผ่านมา ครอบครัวผมไปทำบุญที่วัดบวรนิเวศวิหารและวัดราชโยธา (ลาดบัวขาว) ศาสนาพุทธของเราไม่มี “วรรณะทางสังคมและศาสนา” ว่าคนนั้นทำบุญได้ คนนี้ทำบุญไม่ได้

ทว่า มาฆบูชาปีนี้ มีเพื่อนบ้านที่ผมรู้จักไปทำบุญไม่ได้ เพราะประเทศของเรามีการแอบสร้าง “วรรณะทางเศรษฐกิจ”

เมื่อก่อนมีแผงขายผลไม้ มีรายได้พอเลี้ยงท้องของตนเองและครอบครัว วันนี้มีการจัดระเบียบ ไม่ให้มีการค้าขายอะไรเลย “อาชีพป้าหายไปหลายเดือนแล้ว ป้าไม่มีเงินเลย ลูกค้าที่เคยซื้อของป้า ตอนนี้ต้องไปที่ร้านสะดวกซื้อที่กระจายอยู่ทุกถนน”

ใครหนอ ออกแบบการจัดระเบียบเหยียบย่ำคนวรรณะทางเศรษฐกิจต่ำให้จมดิน จนอยู่แล้ว ยิ่งยากจนลงไปอีก ไม่มีแม้แต่เงินที่จะเอาไปซื้อของทำบุญ

เหมือนศูทรและจัณฑาลของอินเดียสมัยก่อน

ที่ไม่มีสิทธิ์ทำพิธีบูชายัญ.
คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
http://www.nitipoom.media
http://www.facebook.com/nitipoom.thailand

2 มหกรรมโลก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/580736

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 23 ก.พ. 2559 05:01

 

ไทยมีองค์การบริหารส่วนจังหวัด 76 แห่ง เทศบาลนคร 30 แห่ง เทศบาลเมือง 178 แห่ง เทศบาลตำบล 2,232 แห่ง องค์การ บริหารส่วนตำบล 5,335 แห่ง องค์กรปกครองท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ (กรุงเทพมหานครและเมืองพัทยา) 2 แห่ง รวมองค์กรปกครองท้องถิ่นทั้งประเทศ 7,853 แห่ง มีข้าราชการ 238,759 คน ลูกจ้างประจำ 17,700 คน พนักงานจ้าง 209,988 คน รวมผู้คนในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งหมด 466,447 คน รวมนักการเมืองท้องถิ่นอีก 180,000 คน ตัวเลขรวมก็ประมาณ 650,000 คน

ทรัพยากรมนุษย์ขององค์กรปกครองท้องถิ่นเกินครึ่งล้านเหล่านี้ ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีการศึกษาอบรมมากถึง 100 หลักสูตรคุณภาพ โดยเปิดสอนที่สถาบันพัฒนาบุคลากรส่วนท้องถิ่น อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี บนพื้นที่ 30 ไร่ ประกอบด้วย อาคารขนาดใหญ่ 2 หลัง ที่หมดค่าก่อสร้างไปมากกว่า 1,200 ล้านบาท

ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ บรรยายรับใช้ทรัพยากรมนุษย์ขององค์กรปกครองท้องถิ่นอย่างต่อเนื่องกว่า 10 ปีแล้วครับ เดินทางไปตรอกซอกมุมไหนในประเทศไทย ก็ต้องเจอศิษย์ที่ผ่านการฝึกอบรมจากสถาบันแห่งนี้ทุกแห่ง พฤหัสบดี 25 กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ก็เช่นเดียวกันครับ 13.00–16.00 น. ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิจะไปพูดรับใช้นักบริหารงานช่างรุ่นที่ 64

ไปบรรยายที่สถาบันพัฒนาบุคลากรส่วนท้องถิ่นเมื่อสัปดาห์ก่อน พอพูดถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯว่าจะมีในวันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน 2559 แต่เสียงของประชาชนคนอเมริกันในการเลือกตั้งในวันนั้น จะไม่ใช่เป็นสิ่งตัดสินว่าใครจะได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนต่อไป ผู้ที่จะตัดสินของแท้คือ “คณะผู้เลือกตั้ง” ที่นับคะแนนกันในวันที่ 19 ธันวาคม 2559 คนไหนได้ “เสียงของคณะผู้เลือกตั้ง” มากกว่า คนนั้นก็จะได้เป็นประธานาธิบดี และจะต้องเริ่มทำงานวันแรก ในวันที่ 20 มกราคม 2560

พอพูดว่าจะมีการเลือกตั้งในวันอังคาร ก็มีผู้ยกมือถามเชียวครับ ว่าทำไมเป็นวันอังคาร เพราะที่อื่นเลือกตั้งกันในวันเสาร์หรือวันอาทิตย์ ผมต้องชมคนออกแบบการเลือกตั้งของอเมริกานะครับ ที่คิดละเอียดรอบคอบขนาดว่า เสาร์และอาทิตย์เป็นวันที่คนจะต้องอยู่บ้านพักผ่อน หรือไปเที่ยว ถ้าเลือกตั้งวันเสาร์อาทิตย์ คนก็จะมาลงคะแนนกันน้อย

ถ้าจะจัดเลือกตั้งในวันจันทร์ ผู้อ่านก็ลองนึกถึงความเป็นจริงของ มนุษย์ธรรมดาสามัญทั่วไปนะครับ กลับมาจากเที่ยว ก็เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ไม่อยากไปทำอะไรแล้ว กฎหมายก็จึงกำหนดเอาวันอังคารเป็นวันเลือกตั้งและก็กำหนดชัดเจนตายตัวไปเลยว่า จะต้องเลือกกันในวันอังคาร หลังจันทร์แรกของเดือนพฤศจิกายนเท่านั้น ซึ่งจันทร์แรกของเดือนพฤศจิกายน 2559 ก็คือวันที่ 7 ดังนั้น the Election Day ก็จะเป็นในวันที่ 8

วันอังคารแรกของเดือนพฤศจิกายน 2559 คือวันที่ 1 แต่เพราะ ไม่มีวันจันทร์นำหน้ามาก่อน วันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์จึงเลือกตั้งไม่ได้

ขณะที่ผมกำลังปั่นต้นฉบับอยู่นี่ นายเจบ บุช ซึ่งเป็นอดีตผู้ว่าการรัฐฟลอริดา ลูกชายของอดีตประธานาธิบดีจอร์จ เอช บุช (1988) และน้องชายของอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช (2000 และ 2004) ฝั่งรีพับลิกัน ประกาศถอนตัวซะแล้วครับ เพราะคงรู้ตัวเองว่า เข็นยังไงก็ไม่น่าจะผ่าน

การหยั่งเสียงแบบคอคัสที่ไอโอวาเมื่อ 1 กุมภาพันธ์ เจบ บุช ได้คะแนนมาเป็นที่ 6 คนชนะคือเทด ครูซ พอมาไพรมารีที่นิวแฮมพ์เชียร์ เมื่อ 9 กุมภาพันธ์ เจบ บุช มาเป็นที่ 4 คนชนะคือโดนัลด์ ทรัมป์ ตอนนี้ยังมองไม่ออกดอกครับ ว่าใครจะเป็นตัวแทนของรีพับลิกัน อาจจะเป็นโดนัลด์ ทรัมป์ หรือเทด ครูซ หรือแม้แต่ อาจเป็นมาร์โก รูบิโอ

ส่วนฝั่งเด็มโมแครต ตอนนี้ก็ห้ำหั่นกันระหว่างฮิลลารี คลินตัน อดีตสตรีหมายเลขหนึ่ง และเบอร์นี แซนเดอร์ส วุฒิสมาชิกและอดีต ส.ส.จากรัฐเวอร์มอนต์

เส้นทางของผู้ชนะยังอีกยาวไกลครับ เดือนหน้า 1 มีนาคมก็จะถึงวันซุปเปอร์ ทิวส์เดย์ Super Tuesday หยั่งเสียงแบบไพรมารี ทั้งคอคัสในแอละแบมา อาร์คันซอ โคโลราโด จอร์เจีย แมสซาซูเซตส์ มินนิโซตา โอคลาโฮมา เทนเนสซี เทกซัส เวอร์มอนต์ และเวอร์จิเนีย วันนี้แหละครับก็จะพอเห็นเงาคนที่จะเป็นตัวแทนพรรคใหญ่ทั้งสอง

ผู้อ่านท่านที่เคารพ มหกรรมโลกที่เกิดขึ้นทุก 4 ปี เกิดขึ้นอย่างถ่องแท้แน่นอน และสามารถตรึงดึงความสนใจของคนทั้งโลก เดือนสิงหาคม 2559 เป็นการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก พอถึงเดือนพฤศจิกายน 2559 ก็มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯยิ่งใหญ่ทั้งสองกิจกรรมครับ.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

จีนทุ่มตลาด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/580427

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 22 ก.พ. 2559 05:01

 

พ.ศ.2495 ตั้ง “สหกรณ์ขายส่งแห่งประเทศไทยจำกัดสินใช้”พ.ศ.2518 เปลี่ยนชื่อเป็น “ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศ ไทย จำกัด” ปัจจุบันชุมนุมมีสมาชิกครอบคลุมสหกรณ์การเกษตร 3,900 แห่ง 6,000,000 ครัวเรือน ถ้านับเป็นจำนวนผู้คนที่เกี่ยวดองหนองยุ่งกับชุมนุมฯ ก็น่าจะมีมากกว่า 24 ล้านคน

พ.ศ.2559 ชุมนุมฯ เชิญ ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ ไปพูดให้สมาชิกฟังทั่วประเทศหลายครั้ง ที่พูดไปแล้วก็มีที่เชียงใหม่และสุพรรณบุรี สำหรับพุธ 24 กุมภาพันธ์ 2559 พี่น้องเกษตรกรกำแพงเพชร ตาก นครสวรรค์ พิจิตร พิษณุโลก อุทัยธานี เพชรบูรณ์ และสุโขทัย 15.00-17.00 น. พบกับ ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ ได้ที่โรงแรมอัมรินทร์ลากูน พิษณุโลก ครับ

เกษตรกรสมัยนี้กระหายใคร่รู้เรื่องความตกลงสินค้าเกษตรภายใต้ GATT การค้าสินค้าเกษตรภายใต้องค์การการค้าโลก ต้องการให้คนพูดพูดถึงมาตรการควบคุมราคาภายในประเทศ มาตรการทาง การค้าเพื่อคุ้มครองผู้ผลิตภายในประเทศ การใช้มาตรการอุดหนุน การใช้มาตรฐานสุขอนามัย ฯลฯ

ความสนใจในความเป็นความตายของสินค้าและอาชีพตนเองไม่จำกัดอยู่เฉพาะแวดวงสินค้าเกษตรเท่านั้น วันนี้การแข่งขัน เกิดขึ้นสูงมาก แม้แต่ผู้ผลิตสินค้าอุตสาหกรรม ถ้าไม่รู้เรื่องทวิภาคี และพหุภาคี ไม่สนใจเรื่องการทุ่มตลาดและมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด ก็ไม่สามารถยืนอยู่ในอุตสาหกรรมของตนเองได้

สัปดาห์ที่แล้ว เราเห็นข่าวคนงานอุตสาหกรรมเหล็กยุโรป5,000 คน ประท้วงที่หน้าสำนักงานคณะกรรมาธิการยุโรป กรุงบรัสเซลส์ ราชอาณาจักรเบลเยียม เพื่อขอให้สหภาพยุโรปป้องกันไม่ให้จีน ทุ่มตลาดเหล็ก เพราะตั้งแต่ พ.ศ.2551 เหล็กราคาถูกของจีนไหลเข้า มาในยุโรป ทำให้ราคาเหล็กทรุด ทำให้คนตกงานไป 85,000 คน หรือ 20% ของแรงงานทั้งหมดในอุตสาหกรรมเหล็กยุโรป

จีนทุ่มตลาดด้วยการส่งสินค้าของตัวเองไปจำหน่ายในราคาต่ำมาก ทำให้อุตสาหกรรมที่โดนทุ่มตลาดพัง สิ่งที่จีนมุ่งหวังตั้งใจก็คือ ส่งสินค้าราคาถูกไปทุ่มตลาดเพื่อกำจัดคู่แข่งขัน เมื่อคู่แข่งขันตายหมดแล้ว จีนก็จะเป็นผู้ผูกขาดในตลาด จีนจะขายอยู่เพียงเจ้าเดียว คราวนี้ จีนจะตั้งราคาสูงเท่าใดก็ได้

ทุกครั้งที่จีนผลิตสินค้าออกมาเกินความต้องการ ถ้าไม่เอาออกมาขาย สินค้าพวกนั้นก็ถูกกองไว้เฉยๆ ถ้าท่านตามเรื่องสินค้าจีนอย่างละเอียด ก็จะเห็นว่าหลายครั้ง จีนโยนสินค้าที่ตัวเองไม่ต้องการ ไปทิ้ง ในตลาดของประเทศอื่น ในราคาที่แสนถูก

สมัยก่อน จีนต้องการเงินสกุลแข็ง จีนก็ใช้วิสาหกิจของรัฐจีนผลิต สินค้าออกไปทุ่มตลาดตามประเทศต่างๆ เพื่อเอาเงินสกุลแข็งเข้าประเทศของตัวเอง

อุตสาหกรรมในประเทศที่โดนจีนทุ่มตลาด….ยอดขายจะลด กำไรลด ผลผลิตลด ส่วนแบ่งการตลาดลด กำลังการผลิตลด ผลตอบแทนในการลงทุนลด ราคาในประเทศลด การจ้างงานลด ความเจริญเติบโตของอุตสาหกรรมลด ฯลฯ

สุดท้าย อุตสาหกรรมนั้น ในประเทศนั้น ก็พัง

เกาหลีใต้นี่ก็เคยใช้วิธีบุกด้วยการทุ่มตลาดมาก่อนนะครับ เคยส่งรถยี่ห้อฮุนไดเข้าไปขายในแคนาดาในราคาที่ต่ำกว่าราคาที่ขายในเกาหลี 22% ทำให้บริษัทเจเนรัล มอเตอร์ส แคนาดา และบริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ส แคนาดา ขายรถยนต์ของตัวเองไม่ได้

สองบริษัทนี่จึงร้องให้กรมสรรพากรแคนาดาเก็บภาษีรถฮุนได รุ่น Pony เพิ่ม 18.9% รุ่น Stellar เพิ่ม 25.1% และรุ่น Excel เพิ่ม 21.4% การวินิจฉัยขั้นสุดท้ายของกรมสรรพากรแคนาดา เก็บภาษีรุ่น Pony เพิ่ม 31.8% รุ่น Stellar เพิ่ม 30.1% และรุ่น Excel เพิ่ม 16.2%

บริษัททั้งสองยื่นเอกสารประกอบคำร้องฟ้องฮุนไดเต็มคันรถบรรทุก เอกสารและข้อมูลเหล่านี้ได้มาจากแดวูซึ่งเป็นบริษัทเกาหลีใต้ที่ร่วมลงทุนกับเจเนรัล มอเตอร์ส

ฮุนไดไม่ยอมยื่นเอกสารแก้ต่างเลยแม้แต่แผ่นเดียว เพราะไม่อยากให้คนอื่นรู้กลยุทธ์การตลาดที่ตนเองจะทำในตลาดอเมริกาเหนือ ฮุนไดมองว่า หากบริษัทผู้ร้องรู้ข้อมูล ก็อาจจะไปสกัดการทำตลาดของฮุนไดในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่กว่าแคนาดาถึง 10 เท่า ในมุมมองของฮุนได การมอบเอกสารให้กรมสรรพากรแคนาดาเป็นการประหารชีวิตบริษัทฮุนไดของตน สู้ฟังคำวินิจฉัย และจ่ายอากรตอบโต้ในอัตราที่สูงมากดีกว่า

ย้อนกลับมาเรื่องการทุ่มตลาดเหล็กอีกครั้งหนึ่งครับ จีนเข้าไปกวนในตลาดหลายแห่งทั่วโลก และใช้สินค้าเหล็กและสินค้าตัวอื่นทุ่มตลาด

รัฐบาลบางประเทศสู้ ผู้ผลิตภายในก็ยังอยู่รอด

รัฐบาลบางแห่งไม่สู้ ผู้ผลิตภายในก็ล้มทั้งยืน.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

น้ำผึ้งหยดเดียว สงครามกลางเมือง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/579058

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 19 ก.พ. 2559 05:01

 

นายสมพร ดำพริก ประธานสภาทนายความจังหวัดมีนบุรี เชิญร่วมงานวันทนายความ พบปะสังสรรค์กัน 18.00-22.00 น. ของวันเสาร์พรุ่งนี้ ที่ศาลาประชาคมเขตมีนบุรี พบวงดนตรี จ๊ะ อาร์สยาม และวงดนตรีลูกทุ่งสุโขทัยของ ม.รามคำแหง

เมียนมาเคยมี 2 สถาบันหลักที่ช่วยยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้คน คือ สถาบันกษัตริย์และสถาบันศาสนาพุทธอันแข็งแกร่ง

ภายหลัง อังกฤษทำลายสถาบันกษัตริย์ แต่คนเมียนมาก็ยังอยู่ได้ด้วยการยึดเอาศาสนาพุทธเป็นสรณะ

ส่วนสถาบันชาติของเมียนมานั้นเปราะบางมาก ความผูกพันกันของผู้คนแต่ละเผ่าพันธุ์มีน้อย แม้แต่วันที่ผมเขียนเปิดฟ้าส่องโลก รับใช้ผู้อ่านท่านอยู่นี่ ก็ยังมีการรบกันระหว่างสภาเพื่อการกอบกู้รัฐชานและกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติตะอาง

ไทยเป็นประเทศโชคดีที่มีทั้ง 3 สถาบันหลักอันแข็งแกร่ง ทั้งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ แต่ในห้วงสองปีมานี้ สถาบันศาสนาสั่นคลอนมาก คลิปที่แพร่ขยายกระจายในโซเชียล–มีเดีย มีคำพูดหยาบคายของผู้คนที่ด่าทอพระภิกษุ ทำให้เราเข้าใจ ได้ว่า ศาสนาที่เคยฝังลึกอยู่ใต้สมองของคนไทยนั้น บัดนี้ได้ถูกทำลายไปแล้วส่วนหนึ่ง

สังคมไทยต้องรีบแก้เรื่องนี้ครับ ไม่เช่นนั้นเราจะต้องทุกข์อยู่ในประเทศที่มีความแตกแยกทางศาสนาไปอีกนาน ใครที่ชอบ อ่านประวัติศาสตร์ก็คงจะเข้าใจนะครับ ว่าความแตกแยกที่เกิดขึ้นมาแล้ว ก็จะสร้างความทุกข์ให้คนในชาติ ที่บางครั้งนานเป็นร้อยปี

ความแตกแยกรุนแรงที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมไทยวันนี้ คือสิ่งที่เคยเกิดในประเทศที่มีสงครามกลางเมืองมาแล้วทั้งสิ้น ต้องยอมรับครับว่า มือที่มองไม่เห็นของกลุ่มคนที่ชำนาญในทฤษฎีสมคบคิดทำงานได้สำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยุให้พุทธทะเลาะกับพุทธ พุทธทะเลาะกับมุสลิม และมุสลิมทะเลาะกับมุสลิม

หลายจังหวัดทางภาคเหนือของไทย มีชาวพุทธบางกลุ่มออกมาต่อต้านมุสลิมอย่างเปิดเผย มีการจัดอภิปรายโจมตีใส่ร้ายกันในที่สาธารณะ ประเด็นนี้อ่อนไหวมาก และเชื่อผมเถิดครับ ว่าต่อไปจะบานแน่นอน เปิดแผลเหวอะไว้แล้ว เชื้อโรคก็จะเข้ามาสู่ร่างกายของเรา จนเราจะกลายเป็นผู้ป่วยคนใหม่ของเอเชียอย่างที่เขาพูดกัน

เรื่องความแตกแยกระหว่างศาสนาพุทธกับศาสนาอิสลามนี่ ท่านโปรดอย่าย่ามใจว่าไม่มีอันตราย สถานการณ์จะบานปลายจากน้ำผึ้งเพียงหยดเดียว เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว ก็ไม่มีใครหยุดได้ กลุ่มการก่อการร้ายในภูมิภาคและระดับโลกจะต้องกระโจนลงมาร่วมเล่นด้วยแน่นอน เพราะพวกนี้กำลังหาความชอบธรรมที่จะเข้ามาสร้างความยุ่งยากอยู่แล้ว

เปิดฟ้าส่องโลกเคยเขียนเปรียบเทียบว่า ความขัดแย้งในประเทศไทยจะลามปามออกไปในทุกภาคส่วนเหมือนมะเร็ง ภายหลังก็มี หลายท่านมาต่อยอดด้วยคำพูดที่ว่า เรากำลังจะกลายเป็นราชอาณาจักรมะเร็ง ถึงปัจจุบันนี้ คำกล่าวนี้ก็ไม่เกินความเป็นจริงเลยครับ เพราะมองไปทางใด เรามีปัญหาความขัดแย้งกันอย่างรุนแรง

สิบกว่าปีก่อน พ่อผมไปเยือนสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ไทยประจำกรุงดามัสกัส ประเทศซีเรีย ก่อนกลับ ผู้ช่วยกงสุลซึ่งเป็นชายหนุ่มชาว ซีเรียความรู้ดีพาครอบครัวมาพบ และขอให้พ่อผมช่วยรับตนมาทำงานในไทย ส่วนพี่ชายซึ่งเป็นแพทย์ก็จะพยายามไปทำงานในอังกฤษ

สมัยนั้น สถานการณ์ในซีเรียยังนิ่งมาก ไม่มีใครคิดว่าจะมีสงคราม ยกเว้นครอบครัวของผู้ช่วยกงสุล ที่ทำนายทายทักว่า ในอนาคตซีเรียน่าจะมีสงครามกลางเมือง โดยทำนายเอา จากการที่ผู้คนจากหลายภาคส่วนเริ่มขัดแย้งกันรุนแรง

พ่อผมพาผู้ช่วยกงสุลคนที่ว่ามาเป็นเลขานุการสถาบันเอเชียและแอฟริกาศึกษา คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ส่วน พี่ชายของกงสุลไปหางานทำได้ที่กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร จากนั้น ครอบครัวนี้ก็ค่อยๆทยอยย้ายสมาชิกในครอบครัวทุกคนไปปักหลักที่แคนาดา

ความขัดแย้งที่ระอุอยู่ในสังคมซีเรีย สุดท้ายก็ระเบิดกลายมาเป็นสงครามกลางเมืองอย่างรุนแรง

สิ่งที่สังคมไทยต้องเร่งสร้างที่สุดในตอนนี้ก็คือ การเรียนรู้เรื่องศาสนาต่างๆของคนไทย เพื่อให้มีความเข้าใจอย่างถูกต้อง

อย่าให้มือที่มองไม่เห็นมาบิดเบือนข้อเท็จจริงจนมองศาสนาอื่นเป็นศัตรู และสุดท้ายก็ลงด้วยสงครามกลางเมือง.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand