เลาะรั้วเกษตร : ลูกหม้อตบเท้าขึ้นเบอร์ 1

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/372608

281225166

เลาะรั้วเกษตร : ลูกหม้อตบเท้าขึ้นเบอร์ 1

วันศุกร์ ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

รอมานานตำแหน่งอธิบดีหลายกรมในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในที่สุดโผที่เดาและลือกันเอาไว้ก็ออกมาเสียที หลายคนสมใจ แต่มีบางคนผิดหวัง เพราะโผพลิกเสียนี่….

ตำแหน่งที่เป็นไปตามคาดเดา คือ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร สำราญ สาราบรรณ์ ที่ข่าวว่าเป็นอธิบดีที่อาวุโสน้อยสุด แต่ด้วยแรง “ป๋าดัน” จาก สมชาย ชาญณรงค์กุล อดีตอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร น้องรัก “บิ๊กฉัตร” พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เจ้าของนโยบายแปลงใหญ่ ศพก. และ 9101 ที่ลือลั่นนั่นเอง

อธิบดีป้ายแดง สำราญ สาราบรรณ์ เรียกได้ว่าเป็นรองอธิบดี ที่อดีตอธิบดีสมชายไว้ใจมอบหมายงานยากๆ ให้ทำ โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวกับมวลชน ทั้งแปลงใหญ่ และ ศพก. หรือ ศูนย์เรียนรู้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ที่สมัยบิ๊กฉัตรคือเครื่องมือในการผลักดันนโยบายด้านการเกษตร จนนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เอ่ยชื่อ แปลงใหญ่ และ ศพก. ติดปากเลยทีเดียว

อธิบดีสำราญ เป็นชาวจังหวัดตรัง จบการศึกษาปริญญาตรี และ ปริญญาโท จากคณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (KU 40) เป็นลูกหม้อของกรมส่งเสริมการเกษตรมาโดยตลอด และขึ้นดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรเมื่อเดือนมีนาคม 2560 เป็นรองอธิบดีไม่ถึง 2 ปี ก็ขึ้นตำแหน่งอธิบดี

เป็นไปตามโผคนที่ 2 คือ รองอธิบดี กรมการข้าว กฤษณพงศ์ ศรีพงษ์พันธุ์กุล ขึ้นดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการข้าว แทน อนันต์ สุวรรณรัตน์ ที่ก้าวขึ้นไปเป็นปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

อธิบดีกฤษณพงศ์ จบการศึกษาปริญญาตรีจาก คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (KU 39) จบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติฟิลิปปินส์ เริ่มรับราชการที่สถาบันวิจัยข้าว กรมวิชาการเกษตร ก่อนจะแยกออกมาเป็นกรมการข้าวเติบโตเป็นผู้บริหารและได้เป็นรองอธิบดีกรมการข้าวเมื่อปี 2559

ผลงานของ อธิบดีกฤษณพงศ์ นอกจากผลงานวิจัยปรับปรุงพันธุ์ข้าวแล้ว ยังเป็นผู้รับผิดชอบดูแลการปลูกข้าวบริเวณพระเมรุมาศ เมื่อครั้งที่สร้างพระเมรุมาศ เพื่อถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เมื่อปี 2560 ด้วย

ส่วนรายนี้พลิกโผ อธิบดีกรมหม่อนไหม ศิริพร บุญชู โยกจากรองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร กลับมาเป็นอธิบดีกรมหม่อนไหม โดยยังเหลืออายุราชการอีกเพียง 1 ปี เท่านั้น เดิมทีตำแหน่งนี้ ตามโผ ได้แก่ รองอธิบดีกรมหม่อนไหม วสันต์ นุ้ยภิรมณ์ ซึ่งยังเหลืออายุราชการอีกหลายปี

ทั้ง 2 ท่าน ต่างก็เป็นลูกหม้อของหม่อนไหมทั้งคู่ แต่เป็นลูกหม้อจากคนละค่าย วสันต์ นุ้ยภิรมณ์ มาจากสถาบันวิจัยหม่อนไหม กรมวิชาการเกษตร ส่วน ศิริพร บุญชู มาจากกลุ่มหม่อนไหม กรมส่งเสริมการเกษตร แต่ก็เก่งและเชี่ยวชาญเรื่องของหม่อนไหมทั้งคู่

อธิบดีศิริพร จบปริญญาตรีจากคณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (KU 37) ปริญญาโท วิทยาศาสตร์เกษตร จากมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ ออสเตรเลีย มีผลงานที่ได้รับการยกย่องทางด้านหม่อนไหมมากมาย โดยมีส่วนร่วมในโครงการต่างๆ เช่น ผ้าไหมตรานกยูงพระราชทาน ผ้าไหม GI โครงการธนาคารเชื้อพันธุกรรมไหมเฉลิมพระเกียรติฯ และศูนย์การเรียนรู้ภูมิปัญญาเกี่ยวกับหม่อนไหม เป็นต้น

อธิบดีป้ายแดง ของทั้ง 3 กรมนี้ล้วนแต่เป็นลูกหม้อของหน่วยงานมาแต่ดั้งเดิม ต้องถือว่าก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่ง ด้วยความรู้ ความสามารถ และผลงานที่สั่งสมมาโดยแท้ หนทางข้างหน้าคือบทพิสูจน์ว่า ทั้ง 3 แม่ทัพจะนำพากองทัพภายใต้การกำกับดูแลของตนเองออกปฏิบัติการรบตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ประสบความสำเร็จหรือไม่

เอาใจช่วยขอรับ…..

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : เสียน้อยเสียยาก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/371140

281225166

เลาะรั้วเกษตร : เสียน้อยเสียยาก

วันศุกร์ ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

เมื่อไม่กี่วันมานี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กฤษฎา บุญราช บ่นอยู่ว่ามาตรการช่วยเหลือชาวสวนยาง โครงการส่งเสริมการใช้ยางในหน่วยงานของรัฐ ไปไม่ถึงไหน มีเพียงกรมชลประทานเท่านั้น ที่ดำเนินการอยู่ ถึงกระนั้นก็ใช้ยางพาราไปเพียง 1,129 ตันเท่านั้น จากเป้าหมายโครงการสูงถึง 150,000 ตัน

เรื่องของเรื่องคือ เมื่อปี 2560 ครม. มีมติช่วยเหลือชาวสวนยางที่ประสบปัญหาราคาตกต่ำ หลายโครงการ ที่สำคัญคือ โครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐ ประมาณ 80 ล้านบาท โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อรวบรวมยางวงเงิน 1 หมื่นล้านบาท โครงการสนับสนุนสินเชื่อให้สถาบันเกษตรกรกู้เพื่อเป็นค่าลงทุน และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการแปรรูปยางพาราเพื่อเพิ่มมูลค่า วงเงิน 5 พันล้านบาท และโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการยาง วงเงิน 2 หมื่นล้านบาท

โครงการที่เกี่ยวกับเงินกู้ทั้งหลาย ธ.ก.ส. รับไปดำเนินการ โดยรัฐบาลแบกรับภาระดอกเบี้ยในอัตรา 3% ที่เหลือ 0.5 – 1% ผู้กู้เป็นคนจ่าย

ล่าสุดเมื่อเดือนกันยายน ที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรฯ ตั้งท่าชงเรื่องเข้า ครม.ขอใช้งบประมาณกลางปี 2561 ช่วยเหลือชาวสวนยางเฉพาะผู้ที่ขึ้นทะเบียนไว้กับการยางแห่งประเทศไทย เพื่อช่วยเหลือในการดำรงชีพ ครัวเรือนละไม่เกิน 10 ไร่ ไร่ละ 1,500 บาท เป็นระยะเวลา 3 เดือน โดยอ้างว่าเป็นการบรรเทาปัญหาราคายางตกต่ำ แต่ยังไม่เห็นรัฐบาลว่าอย่างไร และเงียบๆ ไป… คงคิดได้ว่าวิธีการดังกล่าวไม่สามารถช่วยให้ราคายางกระเตื้องขึ้นมาได้

ส่วนโครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐ น่าจะเป็นโครงการที่ทำได้ง่ายที่สุด และสามารถทำให้ราคายางเป็นที่พอใจของเกษตรกรชาวสวนยางจริงๆ ไม่ใช่พ่อค้ายาง กลับไปไม่ถึงไหน

โครงการนี้ เปิดรับสมัครเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางเข้าร่วมโครงการ โดย กยท. จะรับซื้อยางจากชาวสวนยางที่ขึ้นทะเบียนไว้กับ กยท. เพื่อขายให้กับหน่วยงานภาครัฐที่แจ้งปริมาณความต้องการใช้ยางในเบื้องต้น หน่วยงานที่ว่านี้ประกอบด้วย หน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงยุติธรรม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีระยะเวลาในการดำเนินโครงการตั้งแต่มกราคม – กันยายน 2561 โดยมีเป้าหมายการใช้ยาง 150,000 ตัน

รัฐมนตรีกฤษฎา แถลงว่า หน่วยงานต่างๆ รับมอบยางไปแล้วเพียง 1 พันตันเศษ ยังไม่ได้รับมอบอีกกว่า 4 หมื่นตัน รวมปริมาณยางในโครงการช่วง 9 เดือน ยังไม่ถึง 5 หมื่นตัน หรือยังไม่ถึง 1 ใน 3 ของเป้าหมาย

อันที่จริงถ้าใช้ยางพาราเป็นส่วนผสมของการทำถนนทั่วประเทศ ปริมาณยาง 1.5 แสนตันนี้ อาจไม่พอด้วยซ้ำ ติดปัญหาอยู่นิดเดียวคือ กรมบัญชีกลาง กับกระทรวงคมนาคม กำหนดราคากลางถนนที่ทำจากยางพาราไว้สูงกว่าถนนที่ราดแอสฟัลต์ หรือยางมะตอย ถึง 30% นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงให้ไปกำหนดราคากลางมาใหม่

เรื่องนี้ กยท.ของ รักษาการผู้ว่าการ กยท. เยี่ยม ถาวโรฤทธิ์ น่าจะชี้แจงได้ เพราะเท่าที่ทราบ การใช้ยางพาราผสมยางมะตอยราดถนนนั้น ต้องใช้อุปกรณ์เครื่องมือเฉพาะ และต้องเพิ่มความยุ่งยากในการผสมมากกว่าการใช้ยางมะตอยเพียงอย่างเดียว อาจจะต้องมีการลงทุนที่มากกว่า แต่ถ้าคิดถึงอายุการใช้งาน และคุณสมบัติของถนนยางพาราแล้วคุ้มค่ากว่าถนนยางมะตอยมาก

ที่สำคัญคือ สามารถช่วยเหลือชาวสวนยางให้ขายยางได้ในราคาที่ไม่ต่ำเกินไป รัฐบาลไม่ต้องใช้งบประมาณหลายหมื่น หลายพันล้านบาทช่วยชาวสวนยางอย่างที่ผ่านมา

สรุปคือ อย่าคิดเล็กคิดน้อยเลยท่าน เงินงบประมาณที่เสียไปกับการช่วยเหลือเกษตรกรในโครงการต่างๆ มากกว่านี้มากมายนักยังเสียได้ อย่าให้เข้าตำรา “เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย” เลยนะขอรับ หรือว่าถนนยางพารา ไปขัดผลประโยชน์ใครหรือเปล่า….ก็ไม่รู้สินะ

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : อย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/369808

281225166

เลาะรั้วเกษตร : อย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

วันศุกร์ ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

เริ่มต้นปีงบประมาณใหม่ งานก็เข้ากรมวิชาการเกษตรของ อธิบดี เสริมสุข สลักเพ็ชร์ ทันที งานที่ว่านี้คือ โรคใบด่างมันสำปะหลัง เพราะพบมันสำปะหลังแถวๆ ศรีสะเกษ สุรินทร์ และอุบลราชธานี มีอาการน่าสงสัยว่าจะเป็นโรคใบด่าง….

โรคใบด่างมันสำปะหลัง เกิดจากเชื้อไวรัสที่ติดมากับท่อนพันธุ์ มีแมลงหวี่ขาวยาสูบเป็นพาหะ ลักษณะอาการของโรค คือ ใบด่าง เหลือง ใบเสียรูปทรง ยอดที่แตกใหม่จะด่างเหลือง ลำต้นแคระแกร็น ทำความเสียหายให้กับผลผลิตมันสำปะหลัง 80-100%

เมื่อประมาณ 3 ปีก่อนหน้านี้ มีการเตือนมาจากสถาบันระหว่างประเทศว่าด้วยสินค้าเกษตรเขตร้อน หรือ CIAT ว่า พบโรคนี้ระบาดในพื้นที่จังหวัดรัตนะคีรีของกัมพูชา และต่อมาพบการระบาดอีกที่ อำเภอตะเบียงปราสาท จังหวัดอุดรมีชัยประเทศกัมพูชา ใกล้กับชายแดนไทย ห่างจากด่านช่องสะงำ อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษของไทยเพียง 40 กิโลเมตรเท่านั้น

อธิบดีเสริมสุข ยืนยันว่ามีการเฝ้าระวังโรคใบด่างมันสำปะหลังไม่ให้แพร่ระบาดเข้ามาในประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2558 โดยทำการสำรวจพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังใน 50 จังหวัดที่เป็นแหล่งปลูกมาโดยตลอด จนกระทั่งเดือนสิงหาคม 2561 ที่ผ่านมามีการสำรวจพบมันสำปะหลังที่มีอาการน่าสงสัยว่าเป็นโรคใบด่าง ในพื้นที่จังหวัด ศรีสะเกษ สุรินทร์ และอุบลราชธานี ดังที่กล่าวมาแล้ว

กรมวิชาการเกษตรจึงทำลายแปลงมันสำปะหลังที่สงสัยว่าจะเป็นโรคใบด่างทันที พร้อมกับขอความร่วมมือเกษตรกร เจ้าหน้าที่เกษตร และผู้เกี่ยวข้องถ้าพบมันสำปะหลังมีอาการดังกล่าวให้รีบทำลายทิ้งทันทีด้วยการถอน ขุดหลุมฝัง ราดด้วยสารกำจัดวัชพืชก่อนฝังกลบ

นอกจากนี้ยังมีมาตรการเพิ่มความเข้มงวดตรวจสอบพืชนำเข้า ณ ด่านตรวจพืชตามแนวชายแดน ซึ่งการลักลอบนำเข้านั้นมีความผิด ตาม พ.ร.บ. กักพืช เนื่องจาก มันสำปะหลังเป็นสิ่งต้องห้าม ห้ามมิให้นำเข้าท่อนพันธุ์ หรือส่วนขยายพันธุ์ ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจำคุก 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ก่อนหน้านี้เมื่อ 26 กันยายน 2561 ที่ผ่านมา รองปลัดกระทรวงเกษตรฯ รักษาการปลัดกระทรวงเกษตร ดุจเดือน ศศะนาวิน ได้มีหนังสือด่วนไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด ให้ประสานงานกับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด ด่านศุลกากร ด่านตรวจพืช คณะกรรมการอำนวยการขับเคลื่อนงานนโยบายและการแก้ไขปัญหาภาคการเกษตรระดับจังหวัด คณะกรรมการทำงานปฏิบัติการขับเคลื่อนงานนโยบายสำคัญและแก้ไขปัญหาการเกษตรระดับอำเภอ เฝ้าระวังตรวจสอบปราบปรามการลักลอบนำเข้าท่อนพันธุ์และส่วนใดส่วนหนึ่งของมันสำปะหลังในช่องทางแนวชายแดนตามอำนาจหน้าที่และกฎหมาย โดยเน้นพื้นที่เป้าหมายที่เป็นจังหวัดตามแนวชายแดนติดต่อกับกัมพูชา 12 จังหวัด คือ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี ตราด เลย หนองคาย นครพนม มุกดาหาร และอำนาจเจริญ

เคยได้ยินข่าวว่า เกษตรกรในประเทศเพื่อนบ้านต้องการท่อนพันธุ์มันสำปะหลังจากไทยจำนวนมาก เพราะท่อนพันธุ์ในประเทศของเขาเสี่ยงต่อการติดโรค แต่ความต้องการดังกล่าวได้รับการตอบสนองอย่างไรไม่มีข้อมูล อาจจะมีการนำท่อนพันธุ์จากไทยไปปลูก ส่วนการนำเข้าท่อนพันธุ์ของไทยไม่น่าจะมี

จะมีคงเป็นหัวมันที่มีส่วนที่เป็นเหง้าติดเข้ามา ซึ่งส่วนนี้เป็นส่วนที่ขยายพันธุ์ได้ เมื่อตัดเอาหัวมันไว้แล้ว ส่วนที่เป็นเหง้าเหล่านี้ทิ้งขวางไปแบบไม่สนใจ แต่เหง้าเหล่านี้แตกกิ่งเจริญเติบโตเป็นต้นใหม่ได้ และเป็นต้นที่มีเชื้อโรคใบด่างติดอยู่ ก็สามารถแพร่กระจายได้

อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์ บอกว่าราคาหัวมันสำปะหลังสดของไทยในปีนี้สูงสุดในรอบ 10 ปี เพราะปริมาณผลผลิตลดลง แต่ตลาดต่างประเทศมีความต้องการเพิ่มมากขึ้น ส่วนประเทศเพื่อนบ้านทั้งเวียดนาม กัมพูชา และลาว ปริมาณผลผลิตมันสำปะหลังลดลงเช่นกันจากการระบาดของโรคใบด่างที่ว่านี้

พอราคามันสำปะหลังจะดีขึ้นบ้าง ก็จะเจอกับโรคระบาดเสียอีก…กรรมของเกษตรกรไทยจริงๆ งานนี้กระทรวงเกษตรฯต้องเอาให้อยู่ อย่าปล่อยให้โรคระบาดลุกลามไปเหมือนเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังสีชมพู กว่าจะเอาอยู่ก็แทบแย่….

อย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกก็แล้วกัน….

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : เรื่องของโฆษณา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/368278

281225166

เลาะรั้วเกษตร : เรื่องของโฆษณา

วันศุกร์ ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

จากเรื่องราวที่มีการเรียกร้องให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยกเลิกการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดวัชพืช และศัตรูพืช 3 ชนิด ที่มีการอ้างว่าเป็นสารเคมีที่มีความเสี่ยงสูง ดังที่เป็นข่าวต่อเนื่องมาโดยตลอด ทำให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กฤษฎา บุญราช มองเลยไปถึงการจำกัดการโฆษณา หรือจำกัดการทำตลาดของสินค้าประเภทสารเคมีป้องกันและกำจัดศัตรูพืชเลยทีเดียว โดยบอกว่าจะขอพิจารณาดูข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องก่อน

คำว่า “โฆษณา” ของท่านรัฐมนตรี ท่านอยากจะให้มีการห้ามโฆษณาตามร้านค้า เหมือนเหล้า และบุหรี่…

ตาม พ.ร.บ. วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2551) ไม่มีเรื่องของการโฆษณาในลักษณะแบบที่ท่านว่ามา มีแต่เรื่องราวของฉลากที่ดูเหมือนจะใกล้เคียงที่สุด

มาตรา 82 ผู้ใดโดยเจตนาก่อให้เกิดความเข้าใจผิดแหล่งกำเนิด สภาพคุณภาพ ปริมาณ หรือสาระสำคัญประการอื่นอันเกี่ยวกับวัตถุอันตราย ไม่ว่าจะเป็นของตนเองหรือผู้อื่นทำหรือ ใช้ฉลากที่มีข้อความอันเป็นเท็จ หรือข้อความที่รู้ หรือควรรู้อยู่แล้วว่าอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ

ถ้าผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง กระทำผิดซ้ำอีกภายใน 6 เดือนนับแต่วันกระทำความผิดครั้งก่อน ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 แสนบาท

มาตรา 83 ผู้ใดขายวัตถุอันตราย โดยไม่มีฉลาก หรือมีฉลาก แต่ฉลาก หรือการแสดงฉลากไม่ถูกต้อง หรือขายวัตถุอันตรายที่มีฉลากที่คณะกรรมการสั่งเลิกใช้ หรือให้แก้ไขตามมาตรา 50 ต้องระวางโทษจำคุก ไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 5 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ถ้าการกระทำตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทำของผู้ผลิต หรือผู้นำเข้า ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นอกจากนี้ยังมี มาตรา 84 ที่เกี่ยวข้องกับผู้รับจ้างทำฉลากที่ไม่ถูกต้อง หรือรับจ้างทำลายส่วนอันเป็นสาระสำคัญของฉลากที่ถูกต้องตามกฎหมาย ก็ได้รับโทษเช่นเดียวกัน

ถ้าจะพูดถึงการโฆษณา เรื่องของฉลากคงเป็นเพียงส่วนเล็ก ที่สำคัญกว่าฉลาก คือ ผู้จำหน่ายปลีก คือ ร้านค้า หรือร้านจำหน่ายปัจจัยการผลิต ที่มักจะเป็นผู้ให้คำแนะนำเกษตรกรว่าควรใช้สารเคมีชนิดใดในการป้องกันกำจัดวัชพืช หรือศัตรูพืชชนิดนั้นๆ และถ้าเกษตรกรใช้ได้ผลดีตามที่ต้องการก็จะใช้ต่อ และบอกต่อๆ กันไป ไม่ต้องเสียงบประมาณในการโฆษณาแต่อย่างใด

ส่วนการโฆษณาของบริษัทผู้ผลิต หรือ ตัวแทนจำหน่าย ส่วนใหญ่จะใช้สื่อสิ่งพิมพ์ หรือรายการวิทยุที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร และเซลล์แมน ที่เข้าไปหาร้านค้า และเกษตรกรแบบตัวต่อตัว อาจจะใช้วาทศิลป์โน้มน้าว หรือ มีสินค้าให้ทดลองใช้ เมื่อได้ผลดีเกษตรกรก็จะหาซื้อมาใช้ต่อ แต่ถ้าไม่ดีเกษตรกรก็จะกลับพึ่งคำแนะนำของร้านค้า

รัฐมนตรีฯ กฤษฎา บุญราช บอกว่าในเบื้องต้น กระทรวงเกษตรฯ จะจัดอบรมผู้ค้าและเกษตรกร พร้อมสร้างการรับรู้เกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ ….

เรื่องจัดอบรมผู้ค้า กรมวิชาการเกษตรต้องจัดอบรมอยู่แล้ว ร้านค้าที่จะได้รับใบอนุญาตให้จำหน่ายสารเคมีทางการเกษตร หรือ ปัจจัยการผลิตทางการเกษตรอื่นๆ ได้ เจ้าของร้านต้องผ่านการอบรมให้มีความรู้เกี่ยวกับวัตถุอันตรายทางการเกษตร ปุ๋ยเคมี เมล็ดพันธุ์ และ พ.ร.บ.ที่เกี่ยวข้อง

ส่วนการอบรมเกษตรกรนี่สิ…งานใหญ่ ให้ใครทำ…งบไทยนิยมยั่งยืนก็ใช้หมดไปแล้ว….

อันที่จริง สารเคมีทางการเกษตร หรือ วัตถุอันตรายทางการเกษตร ไม่ได้มีการโฆษณาแบบโหมกระหน่ำอะไรนักหนา ผิดกับปุ๋ยเคมี ที่มีหลายบริษัท โฆษณาแข่งกันทางโทรทัศน์ วิทยุ และสื่อสิ่งพิมพ์

โดยเฉพาะทางโทรทัศน์ ต้องชมผู้สร้างสรรค์ภาพยนตร์โฆษณา ที่สามารถจะตีความการทำงานของปุ๋ยเคมีออกมาเป็นภาพตลกๆ ที่สามารถจดจำได้ แต่ภาพเหล่านั้นก็ดูจะเหลือเชื่อว่าปุ๋ยเคมีจะสามารถทำได้ขนาดนั้น แต่เมื่อเป็นโฆษณา และผ่านการตรวจสอบแล้วว่าเผยแพร่ได้ก็ไม่ว่ากัน…..ดูกันได้เพลินๆ…

นอกจากนี้ การตั้งชื่อปุ๋ยของบางบริษัทที่ดูจะเกินจริงก็มีอยู่ไม่น้อย…คงต้องฝากกรมวิชาการเกษตร ของอธิบดี เสริมสุข สลักเพ็ชร์ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลการขึ้นทะเบียนปุ๋ยเคมี ไว้ด้วยว่าสมควรจะปล่อยให้ผู้ผลิตตั้งชื่อแบบชี้นำหรืออวดสรรพคุณแบบนั้นหรือไม่ และฝากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ดูแลเรื่องการโฆษณาเกินจริงไว้ด้วยเช่นกัน

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : อนาคต ศพก.

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/366725

281225166

เลาะรั้วเกษตร : อนาคต ศพก.

วันศุกร์ ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2561, 06.00 น.

ศพก. ย่อมาจาก ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามนโยบายของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ที่ต้องการให้มีศูนย์เรียนรู้ด้านการเกษตรระดับชุมชนอย่างน้อยอำเภอละ 1 ศูนย์ รวม 882 อำเภอ ขณะนี้จึงมี ศพก. รวม 882 ศูนย์

ในเมื่อเป็นศูนย์เรียนรู้ด้านการเกษตร คสช. จึงมอบหมายให้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้ดูแล กระทรวงเกษตรฯ เหลียวซ้ายแลขวา เพื่อที่จะมอบหน่วยงานในสังกัดให้เป็นผู้ขับเคลื่อนศูนย์นี้ให้มีชีวิต จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก กรมส่งเสริมการเกษตร ที่มีขุนพลผู้ปฏิบัติงานอยู่ถึงระดับตำบล

ศพก. จัดตั้งโดยการคัดเลือกเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จในการใช้เทคโนโลยีการผลิต และสามารถแก้ปัญหาการผลิตพืช หรือสินค้าของตนเองได้ รวมทั้งสามารถถ่ายทอดความรู้ และประสบการณ์ของตนเองให้เพื่อนเกษตรกรด้วยกันเข้าใจได้ เป็นเกษตรกรต้นแบบให้กับเกษตรกรอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี ในการจัดตั้งก็จะใช้แปลง หรือพื้นที่ของเกษตรกรต้นแบบนั้นเป็น ศพก. เพื่อให้เป็นจุดศูนย์กลางการเรียนรู้ด้านการเกษตรในระดับชุมชน เกษตรกรในชุมชนเข้าถึงง่าย สามารถเข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เทคโนโลยีต่างๆ ในแปลงผลิตนั้นๆได้ โดยใช้ความรู้ และประสบการณ์จากเกษตรกรต้นแบบ ร่วมกับความรู้ทางวิชาการที่หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯหลายหน่วยงานเข้าไปเพิ่มเติมให้

ศพก. ยังเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างเกษตรกร เป็นแหล่งให้บริการทางการเกษตรข้อมูลข่าวสาร ความเคลื่อนไหวทางการเกษตรของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ และหน่วยงานสนับสนุนอื่นๆ เรียกได้ว่า ศพก.เป็นศูนย์รวมทุกสิ่งทุกอย่างของกระทรวงเกษตรฯ

ศพก. บริหารงานโดยคณะกรรมการซึ่งประกอบด้วย เกษตรกรต้นแบบ เกษตรกรในชุมชน เจ้าหน้าที่ของสำนักงานเกษตรอำเภอ และเจ้าหน้าที่หน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง มีการเลือกประธาน ศพก. ระดับจังหวัด ไปเลือกตั้งคณะกรรมการ ศพก. ระดับประเทศ ทำหน้าที่เป็นตัวแทน ศพก. ทั้งประเทศ ในการสะท้อนความต้องการของเกษตรกรไปสู่รัฐบาล และรับนโยบายของรัฐบาลมาดำเนินการ โดยเฉพาะการพัฒนาการผลิตสินค้าของเกษตรกรในชุมชนให้ก้าวหน้า มีประสิทธิภาพ มีคุณภาพได้มาตรฐานดูตามหลักการที่ว่ามา ศพก. ก็ดูเหมือนจะเป็นอนาคตของการขับเคลื่อนการพัฒนาการเกษตรที่มีศักยภาพ แต่ในทางปฏิบัติจะเป็นไปได้แค่ไหน คงต้องดูกันยาวๆ ไป

สมัยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ชื่อ พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ ให้ความสำคัญกับศพก. มาก ขนาดให้มีการประชุม ศพก. ทุก ศพก. เป็นประจำทุกปี เพื่อพูดคุย และให้แนวคิดในการขับเคลื่อน ศพก. ให้เป็นกลไกในการพัฒนาการเกษตรของประเทศ ให้ความสำคัญพอๆ กับแปลงใหญ่ และเกษตรกรรุ่นใหม่หรือ Young Smart Farmer ที่นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พูดถึงอยู่บ่อยๆ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ กฤษฎา บุญราชซึ่งคลุกคลีอยู่กับพื้นที่มาก่อน รู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร ก็ยังต้องให้ความสำคัญกับ ศพก. เช่นเดียวกัน จึงต้องมาเคี่ยวเข็ญ กับเกษตรจังหวัด และเกษตรอำเภอให้ขับเคลื่อน ศพก. ให้เดินไปข้างหน้าให้ได้

ตั้งแต่ปี 2560 มีการพัฒนาศูนย์ที่ชุมชนจัดตั้งขึ้นและเกี่ยวข้องกับการเกษตรขึ้นมาเป็นศูนย์เครือข่ายของ ศพก. เช่น ศูนย์ปราชญ์ชาวบ้าน ศูนย์เรียนรู้ด้านประมง ศูนย์เรียนรู้ด้านปศุสัตว์ ศูนย์เรียนรู้บัญชีครัวเรือน ศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชน ศูนย์จัดการดินและปุ๋ยชุมชน ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง เป็นต้น โดยมีเป้าหมายให้แต่ละ ศพก. มีศูนย์เครือข่ายอย่างน้อย 10 ศูนย์ ศูนย์เครือข่ายเหล่านี้ จะเป็นศูนย์เรียนรู้ด้านการเกษตรอื่นๆ นอกเหนือจาก ศพก. ซึ่งเป็นศูนย์หลัก

ในอนาคต กระทรวงเกษตรฯ จะผนึกกำลัง ศพก. แปลงใหญ่ และเกษตรกรรุ่นใหม่เข้าด้วยกัน โดยการเชิญชวนให้เกษตรกรรุ่นใหม่เข้ามาเรียนรู้ด้านการผลิตที่มีประสิทธิภาพจาก ศพก. และให้เกษตรกรรุ่นใหม่เป็นสมาชิกกลุ่มที่ทำการผลิตในระบบแปลงใหญ่ เพื่อใช้พลังความคิด ความรู้ความสามารถด้านการตลาดที่ทันสมัย ผลักดันให้สินค้าที่ผลิตมีคุณภาพ และเป็นที่ต้องการของตลาดต่อไป

เป็นห่วงอยู่อย่างเดียว ในช่วงเวลาที่ปี่กลองการเมืองเริ่มขยับ และอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าการหาเสียงเลือกตั้ง สส. คงเข้มข้นน่าดู…โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดต่างๆ เกรงว่า ศพก. จะถูกใช้เป็นประโยชน์ทางการเมือง จนไม่เป็นอันทำมาหากิน (ทางการเกษตร) เลยทีเดียว…มีคนกระซิบบอกมาว่า มีคนแอบไปหาเสียงกับ ศพก. มาแล้วเมื่อเร็วๆ นี้…ส่วนเป็นใครนั้น ไม่บอก…ปล่อยให้งง….อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรคนใหม่ ต้องตั้งหลักให้ดี…..นะขอรับ

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : จะปลอดเคมี 100% เชียวหรือ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/365335

281225166

เลาะรั้วเกษตร : จะปลอดเคมี 100% เชียวหรือ

วันศุกร์ ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2561, 06.00 น.

ไม่ค่อยสบายใจนักกับการให้สัมภาษณ์ หรือการประกาศกับสื่อ ของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วิวัฒน์ ศัลยกำธร ว่า จะเดิมพันด้วยชีวิตไม่ใช่แค่ตำแหน่ง ต้องหยุด 100% ทั้งยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลง และปุ๋ยเคมีทุกชนิด จะทำเกษตรอินทรีย์ให้ได้มากกว่า 5 ล้านไร่ ภายในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 ถ้าไม่สำเร็จจะไม่อยู่…..

ที่ไม่สบายใจ เพราะขนาดคนเป็นเสนาบดีที่ดูแลการเกษตรของประเทศ ยังมองภาพการเกษตรโดยรวมของประเทศ และของโลกไม่ออกก็ไม่รู้ว่าอนาคตการเกษตรของประเทศจะเป็นอย่างไร…

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ วิวัฒน์ ศัลยกำธร หรือที่รู้จักกันดีในนามของอาจารย์ยักษ์ ซึ่งเป็นผู้ที่สนับสนุนการทำการเกษตรในระบบเกษตรอินทรีย์ ท่านเองก็ทำเป็นตัวอย่าง มีลูกศิษย์ลูกหามากมายที่นำไปทำตาม ท่านฝันหวานได้ว่าประเทศไทยจะเป็นประเทศเกษตรอินทรีย์ แต่ในความเป็นจริงท่านควรยอมรับว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

ในโลกนี้ไม่มีประเทศใดทำการผลิตในระบบเกษตรอินทรีย์เพียงอย่างเดียว แม้ว่าประเทศนั้นมีความต้องการสินค้าเกษตรอินทรีย์อย่างมากก็ตาม แต่สิ่งที่ทุกประเทศต้องการเหมือนกันคือ สินค้าที่ปลอดภัย ไม่ว่าจะปลอดภัยด้วยการผลิตในระบบเกษตรอินทรีย์ หรือปลอดภัยด้วยการผลิตที่ยังใช้สารเคมี

ถ้ายังจำกันได้สินค้าที่ผลิตในระบบเกษตรอินทรีย์เคยสร้างปัญหาให้กับประเทศไทยมาแล้ว ปัญหากับประเทศคู่ค้า เป็นเรื่องราวใหญ่โตที่ต้องทำการเจรจากันในระดับหน่วยงานของรัฐบาลก็เพราะสินค้าดังกล่าวมีการปนเปื้อนของเชื้อโรคอีโคไล และ ซาลโมเนลล่า ซึ่งอาจอยู่ในสิ่งปฏิกูลที่นำมาทำปุ๋ยอินทรีย์ และเป็นเชื้อที่ทำให้ผู้บริโภคท้องร่วงอย่างรุนแรง และบางรายเสียชีวิต

สินค้าเกษตรอินทรีย์บางชนิด มีศัตรูพืชติดไปทั้งโรค และแมลง เพราะไม่สามารถใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชได้ ถึงประเทศปลายทางก็ถูกตีกลับ หรือถูกทำลาย ไม่ยอมให้เข้าไปจำหน่ายในประเทศนั้นๆ

สินค้าที่ผลิตในระบบที่ใช้สารเคมี ก็สร้างปัญหาสารพิษตกค้างเกินค่าความปลอดภัยของประเทศคู่ค้า ถูกตีกลับ หรือถูกทำลายเช่นกันเพราะไม่ปลอดภัยสำหรับผู้บริโภคในประเทศของเขา

ปัญหาที่กล่าวมาทั้งหมด ทั้งการปนเปื้อนของเชื้อโรค แมลงศัตรูพืช หรือสารพิษตกค้าง เราเองก็ไม่อยากให้เกิดกับผู้บริโภคในประเทศของเราเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ทั้งประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย จึงต้องการ “สินค้าที่ปลอดภัย” เป็นเหตุให้ต้องมีมาตรฐานระบบการผลิตต่างๆ ขึ้นมา ทั้งเกษตรอินทรีย์ GAP (การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี) Halal (อาหารหรือผลิตภัณฑ์อาหารซึ่งอนุมัติตามบัญญัติศาสนาอิสลามให้มุสลิมบริโภคหรือใช้ประโยชน์ได้) และระบบรับประกันความปลอดภัยที่ใช้กับอาหารแปรรูปและผลิตภัณฑ์ทั้ง GMP และ HACCP

ซึ่งระบบเหล่านี้เป็นมาตรฐานสากล แต่อาจจะมีบางประเทศที่อาจจะเข้มงวดเกินมาตรฐานสากลก็เป็นเรื่องของประเทศนั้นๆ ที่ประเทศคู่ค้าจะต้องศึกษา ทำความเข้าใจ และต้องปฏิบัติตามให้ได้เพื่อจะได้ค้าขายกันได้ เกษตรอินทรีย์ ของอาจารย์ยักษ์ จึงเป็น 1 ในระบบการผลิตที่เป็นทางเลือกให้เกษตรกรเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งหมด 100%

ส่วนอาจารย์ยักษ์ จะไปทำเกษตรอินทรีย์ให้ได้เกินเป้าหมาย 5 ล้านไร่ ก็เป็นงานท้าทายที่อาจารย์ยักษ์รับไปทำให้สำเร็จโดยมีชีวิตเป็นเดิมพัน แต่จะห้ามเกษตรกรในส่วนที่เกิน 5 ล้านไร่ ไม่ให้ใช้สารเคมีในการผลิตนั้น ต้องบอกว่า คือสิทธิและเสรีภาพ ที่เกษตรกรซึ่งเป็นประชาชนคนไทยมีสิทธิที่จะเลือกตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560

ผลผลิตทางการเกษตรที่ทำรายได้ให้กับประเทศไทยอย่างมหาศาล หล่อเลี้ยงชีวิตประชากรไทยมาอย่างยาวนาน ต้องพึ่งพาสารเคมีเป็นปัจจัยในการผลิตแทบทั้งสิ้น ดังนั้นจึงไม่เห็นว่าจะรังเกียจสารเคมีไปทำไม ถ้าใช้ตามระบบที่ทำให้ผลผลิตปลอดภัยต่อผู้บริโภค ต่อสิ่งแวดล้อมก็นับว่ามีจุดเป้าหมายเดียวกัน

บางคนไปรังเกียจว่าสารเคมีเป็นธุรกิจที่ทำให้ต่างชาติร่ำรวยก็ออกจะมีทัศนคติที่คับแคบไปหน่อย เพราะธุรกิจนี้ก็สร้างงานสร้างเงินให้คนไทยด้วยเช่นกัน มีสินค้าต่างชาติที่มาจำหน่ายในประเทศไทยอยู่มากมายที่อาจจะสร้างความร่ำรวยให้มากกว่าสารเคมีด้วยซ้ำทำไมไม่ตำหนิกันบ้าง แถมยังเป็นสินค้าที่ฟุ่มเฟือยด้วยซ้ำ

ที่ว่ามานี่ ไม่ได้อยู่ค่ายสารเคมีใดๆ แต่เป็นคนที่ไม่อยากให้มีการแบ่งค่าย แล้วทะเลาะกัน

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : เอาความจริงมาพูด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/362501

281225166

เลาะรั้วเกษตร : เอาความจริงมาพูด

วันศุกร์ ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2561, 06.00 น.

เมื่อปลายเดือนที่แล้ว มีเรื่องราวของสารเคมีที่มีปัญหา 3 ชนิด คือ ไกลโฟเซต พาราควอต คลอร์ไพริฟอส ปรากฏในหน้าสื่อทั้งสื่อออนไลน์ และสื่อปกติอีกครั้ง เป็นการนำเสนอของฝ่ายคัดค้านการใช้สารดังกล่าว สาระสำคัญของข่าวเป็นผลการตัดสินศาลสูงรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ให้บริษัทผู้ผลิต และจำหน่ายไกลโฟเซตจ่ายเงินชดเชย 9,600 ล้านบาท ให้ชายวัย 46 ปี คนหนึ่ง ที่เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โดยอ้างว่าสาเหตุที่เป็นมาจากยาฆ่าหญ้าที่มีส่วนผสมของไกลโฟเซตของบริษัทดังกล่าวที่เขาใช้อยู่นานหลายปี

ในการประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูง ที่นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตั้งขึ้น โดยมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ เป็นประธาน คณะกรรมการซึ่งมาจากภาคประชาสังคม และเป็นฝ่ายคัดค้านการใช้สารทั้ง 3 ชนิด จึงเอาผลการตัดสินของศาลสูงรัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นเหตุผลเสนอให้ยกเลิกการใช้ไกลโฟเซตด้วย จากเดิมที่ให้จำกัดการใช้เท่านั้น แต่มติคณะกรรมการให้ตั้งอนุกรรมการขึ้นมาศึกษาข้อมูลให้รอบด้านภายใน 60 วัน

ร้อนถึงรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ ค่ายเกษตรอินทรีย์ และที่ปรึกษา ออกมาประกาศกร้าวว่าจะต้องเดินหน้าแบนสารเคมีทั้ง 3 ชนิดให้ได้ พร้อมกันได้แต่งตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจศึกษาผลเรื่องสารเคมีขึ้นมาชุดหนึ่ง มีที่ปรึกษาคนเก่งเป็นประธาน คณะกรรมการชุดนี้จะหาข้อมูลอย่างรอบด้านเกี่ยวกับสารเคมีทั้ง 3 ชนิดมาเสนอคณะกรรมการให้ได้ภายใน 30 วัน เพราะ 60 วันนั้นช้าไป

ข่าวว่าในวันที่ 7-8 กันยายนนี้ คณะกรรมการเฉพาะกิจศึกษาผลเรื่องสารเคมี ซึ่งมีที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ ธีระ วงษ์เจริญ เป็นประธานจะลงพื้นที่ จ.หนองบัวลำภู ร่วมกับ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้ร่วมลงพื้นที่หาข้อมูลด้วย

จึงมาถึงคำถามที่เกิดขึ้นในใจว่า ทำไมทุกฝ่ายที่ต่างอ้างว่าทำเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ ประโยชน์ของพี่น้องเกษตรกร เพื่อสุขภาพของประชาชนอย่างแท้จริง จึงไม่ยอมหันหน้าเข้าหากัน เอาข้อมูลที่แต่ละคนมี… (ต้องเป็นข้อมูลที่แท้จริง ไม่ใช่ข้อมูลที่ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อเข้าข้างฝ่ายตนเอง) นำมากาง ขึงดูแต่ละประเด็นๆ และซักกันให้ขาวสะอาดแจ่มแจ้งกันไป เพื่อจะสรุปให้ได้ว่าควรจะดำเนินการต่อไปอย่างไร

ไม่ต้องกลัวเสียหน้า ไม่ต้องกลัวว่าจะพ่ายแพ้ ถ้าทุกคนอ้างถึงประโยชน์ของประชาชน ของเกษตรกร และของประเทศชาติก็ควรจะร่วมกันแก้ปัญหามิใช่หรือ

นี่ขนาดอยู่ในยุครัฐบาล คสช. นะนี่ ถ้ารัฐบาลเลือกตั้งละก็…..คงสนุกกว่านี้

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : ฝากด้วยช่วยพิจารณา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/361098

281225166

เลาะรั้วเกษตร : ฝากด้วยช่วยพิจารณา

วันศุกร์ ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

เป็นไปตามโผที่มากับข่าวลือ ตำแหน่งปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จากอธิบดีกรมการข้าว อนันต์ สุวรรณรัตน์ ที่ก้าวขึ้นมาเป็นปลัดกระทรวง ในขณะที่เพื่อรุ่นราวคราวเดียวกัน KU 37 เกษียณอายุราชการในตำแหน่งอธิบดี และรองอธิบดีไปก่อนแล้วในปีนี้ คงต้องลุยงานของกระทรวงเกษตรฯ ไปคนเดียวอย่างเหงาๆ หน่อย แต่คนอัธยาศัยดีและประนีประนอมอย่าง ว่าที่ปลัดกระทรวงฯ อนันต์ สุวรรณรัตน์ คงมีภาคีพันธมิตรช่วยเหลือเกื้อกูลให้งานสำเร็จลุล่วงไปได้

งานที่เกี่ยวกับข้าว คงไม่น่าหนักใจ เพราะอยู่กรมการข้าวมาเกือบ 4 ปี คงมีประสบการณ์ และมีแนวทางขับเคลื่อนให้เป็นไปตามที่รัฐบาลตั้งเป้าหมายไว้ไม่ยากนัก เรื่องของยาง แม้จะจากสถาบันวิจัยยางและเรื่องราวของยางมานานแล้ว แต่ก็คงยังพอดึงประสบการณ์ และหาที่ปรึกษาเรื่องยางที่เจ๋งๆ ได้ไม่ยากนอีกทั้งรักษาการณ์ผู้ว่าการ กยท. เยี่ยม ถาวโรฤทธิ์ ก็เคยทำงานด้วยกันมาก่อน คงคุยกันรู้เรื่อง ว่าแต่จะต้านอำนาจและอิทธิพลของใครบางกลุ่มได้หรือไม่…เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

งานสารเคมี เรื่องนี้น่าหนักใจ นอกจากท่านจะเสนอแนะท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กฤษฎา บุญราช เลือกใครมาเป็นอธิบดีกรมวิชาการเกษตรแล้ว ท่านอาจจะต้องดูลึกไปถึง ผู้อำนวยการสำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตรด้วย อีกด้านหนึ่งท่านก็ต้องตั้งหลักให้ดี กับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ และที่ปรึกษารัฐมนตรีฯ ที่ตำหนิรัฐบาล และประกาศจะแบนสารเคมี 3 ชนิดให้ได้ด้วย เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องที่กวนใจว่าที่ปลัดกระทรวงเกษตรฯ มากกว่าเรื่องอื่น แต่ท่านเคยเป็นผู้อำนวยการสำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร และอธิบดีกรมวิชาการเกษตรมาก่อน คงแม่นในตัวบทกฎหมายที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างดี

มีเรื่องที่ฟังเขาพูดต่อๆ กันมา บางเรื่องก็มีเกษตรกรเล่าให้ฟัง ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร จึงขอฝากว่าที่ปลัดกระทรวงเกษตรฯ ท่านใหม่ไว้พิจารณา 2-3 เรื่อง….

เรื่องแรกคือเรื่องของหม่อนไหม กรมที่ท่านเคยเป็นอธิบดีมาก่อน…เดี๋ยวนี้ชาวบ้านไม่ค่อยเลี้ยงไหม สาวไหมเองแล้ว เพราะเส้นไหมจากต่างประเทศมีราคาถูกกว่า แถมมีการลักลอบนำเข้ามายิ่งราคาถูกเข้าไปอีก ชาวบ้านจึงซื้อเส้นไหมมาทอผ้าเป็นส่วนใหญ่ ไม่ต้องเลี้ยงไหม สาวไหมเองให้เสียเวลา งานวิจัยด้านหม่อนไหมดูเงียบๆ ซบเซาไป นอกจากชาใบหม่อน น้ำมัลเบอรี่ เครื่องสำอางจากไหม ก็ยังไม่เห็นนวัตกรรมอะไรใหม่… หรือมีแต่กรมหม่อนไหมไม่ได้เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ก็ไม่ทราบ….

เรื่องต่อมา คือ การลักลอบนำพันธุ์ไม้ออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ที่แน่ๆ มีคนยืนยัน คือ พันธุ์ทุเรียน ลักลอบออกทางด้านตะวันออก แถวตราด สระแก้ว และตะวันตกแถว ระนอง ท่อนพันธุ์มันสำปะหลัง ลักลอบออกทางจังหวัดทางภาคอีสาน

ชาวบ้านบอกว่า ต้นพันธุ์ทุเรียนลักลอบนำออก เป็นแสนๆ ต้น อีกไม่เกิน 5 ปี เพื่อนบ้านเราคงมีทุเรียนหมอนทองมาแข่งตลาดกับทุเรียนไทย… ส่วนท่อนพันธุ์มันสำปะหลังนั้น ทางประเทศเพื่อนบ้านต้องการมาก เพราะมันสำปะหลังในบ้านเขาถูกศัตรูพืชทำลายหมดไม่เหลือไว้ทำพันธุ์ปลูกต่อ เรื่องนี้นอกจากดูแลเรื่องลักลอบนำท่อนพันธุ์ออกไปแล้ว ยังต้องเฝ้าระวังศัตรูพืชที่จะระบาดเข้ามาในบ้านเราด้วย

เรื่องกล้วยไม้….กล้วยไม้เป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญที่ทำรายได้ให้ประเทศปีละไม่น้อย ทั้งกล้วยไม้ตัดดอก และกล้วยไม้ต้น แต่การพัฒนาของวงการกล้วยไม้เกิดจากภาคเอกชนเป็นส่วนใหญ่ ทั้งการปรับปรุงพันธุ์ และการตลาด ทางราชการ โดยเฉพาะกระทรวงเกษตรฯ มีบทบาทน้อยมาก แม้ครั้งหนึ่งเคยกำหนดให้กล้วยไม้เป็นสินค้า Product Champion แต่ปัจจุบันดูเหมือนจะไม่ไยดี ภาคเอกชนช่วยเหลือตนเองเป็นส่วนใหญ่ แม้จะมีกระทรวงพาณิชย์มาช่วยด้านการตลาดอยู่บ้าง แต่ทางด้านการพัฒนาวิชาการหากปล่อยให้ภาคเอกชนทำแต่ฝ่ายเดียว อนาคตอันใกล้อาจจะสู้สิงคโปร์ ไต้หวัน และจีนไม่ได้ และอาจจะสูญเสียตลาดให้กับประเทศเหล่านี้ไป ทางราชการน่าจะเข้ามาดูแลทั้งด้านวิชาการและการตลาดให้มากกว่านี้

วันนี้ยินดีกับว่าที่ปลัดกระทรวงเกษตรฯ อนันต์ สุวรรณรัตน์ ด้วยเรื่องเบาๆ เพียงเท่านี้ก่อน 2 ปีที่ยังเหลืออยู่ท่านคงทำอะไรได้ไม่มากนัก แต่ถ้าท่านเริ่มต้นไว้ก็จะมีคนมาสานต่อได้ เว้นเสียแต่ว่าหลังเลือกตั้ง บรรยากาศทางการเมืองกลับมามีอิทธิพลต่อการบริหารราชการเหมือนเมื่อ 4 ปีก่อนหน้านี้ก็ตัวใครตัวมันแล้วกัน….

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : สารเคมี…ยังไม่จบง่ายๆ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/359694

281225166

เลาะรั้วเกษตร : สารเคมี…ยังไม่จบง่ายๆ

วันศุกร์ ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คณะกรรมการปฏิรูประบบสาธารณสุข ออกมาประกาศจะเสนอคณะกรรมการวัตถุอันตรายให้ยกเลิกการใช้สารเคมี 3 ชนิด เป็นสารป้องกันกำจัดวัชพืช 2 ชนิด คือ พาราควอต และ ไกลโฟเซต สารกำจัดศัตรูพืช 1 ชนิด คือ คลอร์ไพริฟอส ซึ่งสารเคมีทั้ง 3 ชนิดนี้ เป็นประเด็นโต้แย้งกันมานานข้ามปี ระหว่างกลุ่มที่บอกว่าต้องยกเลิก เพราะมีพิษร้ายแรง มีสารก่อมะเร็ง มีเกษตรกรได้รับพิษภัยเป็นอันตรายต่อร่างกาย ต่อทารกในครรภ์มารดา ต่อสิ่งแวดล้อมฯลฯ

กับอีกฝ่ายที่ไม่ยอมให้ยกเลิก ด้วยเหตุผลว่า ถ้ายกเลิกแล้วจะใช้อะไรมาทดแทนที่มีผล และราคาที่เท่าเทียมกัน ส่วนอันตรายนั้นถ้าใช้ไม่ถูกต้องตามคำแนะนำ สารเคมีทุกชนิดก็เป็นอันตรายทั้งสิ้น

ส่วนใครมีผลประโยชน์ร่วมกับใครต่อการยกเลิก หรือไม่ยกเลิกการใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิดนี้เป็นเพียงประเด็นดราม่า ที่นำมาอ้างเพื่อให้ฝ่ายตนเองดูดีว่าที่สู้ไม่ได้เพราะเรื่องผลประโยชน์ ไม่ใช่เพราะข้อมูล หรือเพราะความเป็นจริงที่นำมาอ้าง

ว่ากันตามกฎหมาย เรื่องของการยกเลิก หรือไม่ยกเลิกสารเคมี หรือวัตถุอันตรายทางการเกษตรชนิดใดๆ เป็นอำนาจหน้าที่การพิจารณาของคณะกรรมการวัตถุอันตราย ที่แต่งตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ.วัตถุอันตราย การยกเลิกนั้นมีขั้นตอน และมีการศึกษาข้อมูลจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ถ้าอันตรายจริงๆ ก็ต้องยกเลิก เหมือนสารเคมีหลายชนิดที่คณะกรรมการวัตถุอันตรายมีมติให้ยกเลิกมาก่อนหน้านี้

ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการขับเคลื่อนปัญหาการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูง ของกระทรวงสาธารณสุข เคยออกมาเรียกร้องให้ยกเลิกการใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิดนี้ครั้งหนึ่งแล้ว แต่คณะกรรมการวัตถุอันตรายพิจารณาแล้วมีมติไม่ยกเลิก แต่ให้จำกัดการใช้โดยให้กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมวิชาการเกษตร ไปกำหนดมาตรการจำกัดการใช้มาเสนอภายใน 60 วัน แต่กรมวิชาการเกษตรก็มิได้กระตือรือร้นรีบดำเนินการ จนครบ 60 วัน กรมวิชาการเกษตรก็ไม่ได้มีการบอกกล่าวถึงมาตรการใดๆ ออกมา ซึ่งจริงๆ อาจจะทำกันอย่างเงียบๆ เสนอกระทรวงอย่างเงียบๆ คิดจะใช้ความสงบสยบการเคลื่อนไหว แต่วิธีนี้ใช้ไม่ได้ผลกับประเด็นขัดแย้งเช่นนี้ จึงเป็นเหตุให้ฝ่ายเรียกร้องให้ยกเลิกการใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิดดังกล่าว ออกมาปลุกกระแสอีกครั้ง โดยการเสนอให้ยกเลิกการใช้จริงๆ ไม่ใช่จำกัดการใช้

งานนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ กฤษฎา บุญราช ออกมาชี้แจงเองว่ากระทรวงเกษตรฯเสนอแผนจำกัดการใช้แก่คณะกรรมการวัตถุอันตรายไปแล้ว ที่สำคัญๆ คือ จำกัดการนำเข้า โดยจะลดการนำเข้าลงกว่าครึ่งของที่เคยนำเข้าในแต่ละปี ผู้ใช้ต้องผ่านการอบรมการใช้ และต้องมีใบอนุญาตจากทางราชการจึงจะใช้ได้ ถ้าลักลอบใช้ต้องมีบทลงโทษ

มาตรการที่ว่านี้ ถ้านำมาใช้จริง น่าจะมีม็อบเกษตรกรมาเยี่ยมกระทรวงเกษตรฯ ในไม่ช้า ดูตัวอย่างมาตรการที่ป้องกันอุบัติเหตุทางรถยนต์ โดยห้ามนั่งท้ายรถกระบะนั่นปะไร โดนประชาชนถล่มเสียจนตำรวจจราจรไปไม่เป็นเลยทีเดียว ต้องถามว่า…มาตรการการใช้ของเกษตรกรที่กำหนดว่าต้องมีใบอนุญาตจากทางราชการ ถ้าลักลอบใช้ต้องมีบทลงโทษนั้น ใครเป็นคนคิด…..คิดได้อย่างไร….หรือคิดว่าถ้าเพิ่มความยุ่งยากในการใช้มากขึ้น เกษตรกรก็จะเลิกใช้ไปโดยปริยาย แนวคิดนี้เหมือนการกลั่นแกล้งเกษตรกร

รอดูกันต่อไปว่า……เรื่องนี้จะจบลงอย่างไร…แต่ที่แน่ๆ เรื่องนี้ไม่น่าจะจบง่ายๆ…..

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : ฤาเป็นเพียงข่าวลือ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/358158

281225166

เลาะรั้วเกษตร : ฤาเป็นเพียงข่าวลือ

วันศุกร์ ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

เดือนสิงหาคม และกันยายน เป็นเดือนแห่งข่าวดี ข่าวร้าย และข่าวลือ สำหรับข้าราชการ โดยเฉพาะผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานต่างๆ ข่าวดี คือได้เลื่อนตำแหน่งที่สูงขึ้น หรือตำแหน่งที่ตนพอใจ ข่าวร้าย คือถูกโยกย้ายไปอยู่ในที่ที่ไม่ชอบ ส่วนข่าวลือ จะมาก่อนข่าวดีและข่าวร้าย….

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวลือว่าอธิบดีกรมการข้าว อนันต์ สุวรรณรัตน์ จะได้รับแต่งตั้งเป็นปลัดกระทรวงเกษตรฯ แทนปลัดกระทรวงที่กำลังจะเกษียณอายุราชการ เลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ ที่ประคับประคองตนเองจนรอดปลอดจากภัยทั้งปวง…

ก่อนหน้านี้มีข่าวลือว่า ปลัดกระทรวงเกษตรฯ คนใหม่ จะข้ามห้วยมาจากกระทรวงมหาดไทย เพื่อที่จะได้มาทำงานเข้าขากับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ กฤษฎา บุญราช ที่เคยเป็นอดีตปลัด กระทรวงมหาดไทยมาก่อน แต่วันก่อนท่านรัฐมนตรี กฤษฎา ออกมายืนยันว่า ปลัดกระทรวงเกษตรฯคนใหม่ที่กำลังจะเสนอชื่อเข้า ครม. เป็นลูกหม้อของกระทรวงเกษตรฯ…..ทำให้หลายคนถอนหายใจโล่งอก….

เมื่อมีเสียงยืนยันจากรัฐมนตรีว่าการฯ ว่าเป็นลูกหม้อกระทรวงเกษตรฯ ฝ่ายข่าวลือก็ควานหาชื่อคนที่อยู่ในข่ายจะขึ้นมาเป็นปลัดกระทรวง คนใหม่ทันที ซึ่งล่าสุดมี 2 ชื่อ คือ อนันต์ สุวรรณรัตน์ อธิบดีกรมการข้าว และ วิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คนแรกมีดีกรีว่าอาวุโสสุดในบรรดาอธิบดีทั้งหลาย คนหลังมีดีกรีเกี่ยวข้องกับกระทรวงมหาดไทยเพราะเคยเป็นปลัดอำเภอมาก่อน และยังเป็นลูกเขยของอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดท่านหนึ่งด้วย…..ฝ่ายข่าวลือก็ช่างสืบเสาะค้นหาการเชื่อมโยงจนได้…..

อนันต์ สุวรรณรัตน์ เหลือเวลาอีก 2 ปี จึงจะเกษียณอายุราชการ จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สาขาพืชไร่นา (KU 37) ปริญญาโทสาขาพัฒนาการเศรษฐกิจ จากนิด้า เริ่มรับราชการที่สถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร ในตำแหน่งนักวิชาการเกษตร เติบโตอย่างรวดเร็วในสายบริหาร จากผู้อำนวยการส่วนการผลิตยาง ขึ้นมาเป็นเลขานุการกรม กรมวิชาการเกษตร สมัยอธิบดี ฉกรรจ์ แสงรักษาวงษ์ ขึ้นเป็นผู้อำนวยการสำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร ออกไปอยู่ภูมิภาค เป็นผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 5 ชัยนาท กลับมาเป็นรองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร ก่อนจะโยกไปเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรฯ แล้วไปเป็นอธิบดีกรมหม่อนไหมได้เพียงปีเดียว ก็ถูกโยกมาเป็นอธิบดีกรมวิชาการเกษตร ได้เพียงปีเดียวอีกเช่นกัน ถูกโยกอีกครั้งมาเป็นอธิบดีกรมการข้าว….

วิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เหลือเวลาอีก 7 ปี กว่าจะเกษียณอายุราชการ จบรัฐศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปริญญาโทบริหารรัฐกิจ จากนิด้า และ ปริญญาเอกรัฐประศาสนศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต เคยเป็นปลัดอำเภอ อย่างที่กล่าวมาแล้ว แต่ในกระทรวงเกษตรฯ เคยเป็นหัวหน้าสำนักรัฐมนตรี ก่อนไปเป็นรองผู้อำนวยการ มกอช. (สมัยนั้นยังไม่เรียก เลขาธิการ) ขึ้นเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวง แล้วไปเป็นอธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ โยกมาเป็นอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์อยู่หลายปี ก่อนมาเป็นเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ในปัจจุบัน เป็นเส้นทางสายบริหารที่เติบโตอย่างรวดเร็วเช่นกัน

รัฐมนตรี กฤษฎา จะเลือกใครมาเป็นปลัดกระทรวงเพื่อทำงานสนองนโยบาย ทั้งข้าว ทั้งยาง ทั้งสารเคมี ก็พอจะเดาได้ละงานนี้….ขอแต่อย่ามีม้ามืดมาสยบข่าวลือ..ก็แล้วกัน..

สำหรับตำแหน่งอธิบดีอีกหลายกรมที่ว่างลง อาจจะเสนอ ครม. ตามหลังปลัดกระทรวง หรือไม่ก็เสนอในคราวเดียวกันอย่างกระทรวงอื่นๆ ที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ แต่ถ้าโผยังไม่ลงตัวก็อาจจะชะลอออกไปให้มีเวลาใส่รองเท้ากีฬา วิ่งออกกำลังกายกันหน้ากระทรวง ฝุ่นตลบ…

กรมที่ตำแหน่งอธิบดีจะว่างลงในวันที่ 1 ตุลาคม นี้ คือ กรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร และกรมหม่อนไหม ถ้า 3 กรมนี้ไม่มีคนภายในกรมขึ้นมาแทน ก็คือต้องโยกคนนอกจากกรมอื่น หรือคนในที่ไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง กลับมาเป็น ซึ่งถ้าเป็นประการแรก ตำแหน่งอธิบดีของกรมอื่นก็จะว่างให้เดินหมากกันได้อีก ด้วยเหตุนี้โผอธิบดีจึงมีหลายโผให้เลือกลือกันกระจาย

ไม่ว่าจะเป็นโผไหน ในยุคไทยแลนด์ 4.0 ขอให้วางคนให้ถูกต้องกับงาน อย่าย้อนกลับไปยุค 0.4 วางคนเพราะเป็นคนของใคร….เกษตรไทยก้าวไกลไปไม่ได้สักที…

แว่นขยาย