เลาะรั้วเกษตร : ถึงฤดูกาล

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/356739

281225166

เลาะรั้วเกษตร : ถึงฤดูกาล

วันศุกร์ ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

ฤดูฝนปีนี้ไม่ค่อยน่าไว้ใจสักเท่าไร เผลอประเดี๋ยวเดียวปริมาณน้ำในเขื่อนสำคัญบางเขื่อนเกินปริมาณความจุของเขื่อนต้องระบายน้ำออกมากกว่าปกติเสียแล้ว อย่างเขื่อนน้ำอูน จังหวัดสกลนคร และเขื่อนแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี แม้จะมีการพร่องน้ำจากเขื่อนมาเป็นระยะๆ ตามเกณฑ์ แต่เกิดฝนตกจากอิทธิพลของลมมรสุม จึงมีน้ำไหลเข้าเขื่อนอย่างรวดเร็วในปริมาณมากกว่าปกติ จึงจำเป็นต้องระบายน้ำออกจากเขื่อนในปริมาณมาก ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมพื้นที่บริเวณริมแม่น้ำ ซึ่งไม่พ้นพื้นที่ชุมชน และพื้นที่การเกษตร ซึ่งมีทั้งนาข้าว พืชไร่ พืชสวน รวมทั้งปศุสัตว์

ช่วงนี้จะเห็นผู้ดูแลเรื่องน้ำ ทั้งเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ หรือ สทนช. สมเกียรติ ประจำวงษ์ และ อธิบดีกรมชลประทาน ทองเปลว กองจันทร์ รวมทั้งรองอธิบดีบางท่าน ออกสื่อบ่อยหน่อย เพราะต้องลงพื้นที่ตรวจตราปริมาณน้ำในเขื่อนต่างๆ อย่างใกล้ชิด ไม่เว้นแม้แต่นายกรัฐมนตรี และผู้ตัดสินใจเรื่องน้ำ พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ

ก่อนหน้านี้นายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา สั่งการให้จัดตั้งศูนย์เฉพาะกิจติดตามสถานการณ์น้ำตลอด 24 ชั่วโมง โดยมอบหมายให้ รองนายกรัฐมนตรี พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ เป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจ ทั้งนี้เพราะไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยปี 2554

สทนช. จึงมีคำสั่งจัดตั้งศูนย์เฉพาะกิจชั่วคราวในภาวะวิกฤติ ขึ้นเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ที่ผ่านมา โดยรวมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาทำงาน ทั้งกรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ กรมอุตุนิยมวิทยา สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยมีรองเลขาธิการ สทนช. สำเริง แสงภู่วงค์ เป็นผู้อำนวยการศูนย์ฯ ใช้สถานที่ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ กรมชลประทาน เป็นสถานที่ทำงาน

ศูนย์เฉพาะกิจนี้ จะติดตามสถานการณ์และบริหารจัดการน้ำ ตลอด 24 ชั่วโมง โดยจะรวมข้อมูลน้ำทั่วประเทศจากทุกหน่วยงานมาประมวลผลเป็นข้อมูลเดียวกันใช้กับทุกหน่วยงาน (แต่ก็ยังมีบางหน่วยงานแอบเผยแพร่ข้อมูลของตน ที่แตกต่างจากของศูนย์ฯ) ร่วมกันกำหนดเกณฑ์ต่างๆ ในการบริหารจัดการน้ำในเขื่อนสำคัญๆ ทุกเขื่อน รวมทั้งการอำนวยการ กำกับ ประสาน และติดตามแผนการเตรียมความพร้อมการรับมือน้ำหลากปี 2561 และการแจ้งข้อมูลข่าวสารไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนให้ทันต่อสถานการณ์

ศูนย์ฯ จะรายงานความก้าวหน้าเป็นประจำทุกวันต่อรองนายกรัฐมนตรี พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ และนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ทราบเป็นระยะๆ เพื่อเป็นข้อมูลตัดสินใจในเชิงนโยบายกรณีเกิดภาวะวิกฤติ

พอจะเบาใจกันได้ในระดับหนึ่งว่า สถานการณ์น้ำจะได้รับการดูแล จากรัฐบาลเป็นอย่างดี และในฐานะประชาชนก็หวังว่าทั้งบิ๊กตู่ และบิ๊กฉัตรจะเอาอยู่

จากฤดูกาลของน้ำ มาถึงฤดูกาลแต่งตั้งโยกย้าย….ปีนี้เป็นที่น่าสังเกตว่าจนถึงเดือนสิงหาคมแล้ว ข่าวคราวการแต่งตั้งโยกย้ายในกระทรวงต่างๆ ยังเงียบๆ อยู่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เองก็มีแต่เสียงลือ เสียงเล่าอ้าง…. เสียงลือที่ว่า ปลัดกระทรวงเกษตรฯ คนใหม่จะมาจากกระทรวงอื่น….ทำเอาความหวังของคนในกระทรวงเกษตรฯ ดับวูบ…..แต่ก็มีบางคนที่โลกสวย แอบหวังว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ กฤษฎา บุญราช จะไม่ทำร้ายจิตใจคนกระทรวงเกษตรฯ ขนาดนั้น……

อย่างไรก็ตาม ในปีนี้มีผู้บริหารระดับสูงหลายคนในกระทรวงเกษตรฯ เกษียณอายุราชการ ทั้งปลัดกระทรวง รองปลัดกระทรวง อธิบดี รองอธิบดี และผู้ตรวจราชการกระทรวง แน่นอนว่าจะต้องมีการแต่งตั้ง และโยกย้ายสับเปลี่ยนกรมกันบ้าง จึงเป็นเหตุให้มีหนังสือเวียน ลงนามโดยปลัดกระทรวงเกษตรฯ เลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ ออกมาเมื่อวันที่ 3 สิงหาคมที่ผ่านมา เรื่องให้ชะลอการแต่งตั้งโยกย้าย

สาระสำคัญของหนังสือดังกล่าว บอกให้ทุกหน่วยงานชะลอการเสนอชื่อบุคลากรเพื่อแต่งตั้ง โยกย้าย หรือเปลี่ยนข้าราชการ เฉพาะตำแหน่งระดับอำนวยการทุกตำแหน่งที่ว่างอยู่ทั้งหมดไว้ก่อน เพื่อรอตำแหน่งที่จะว่างลงเนื่องจากเกษียณมาพิจารณาร่วมกัน เพื่อให้เป็นไปอย่างโปร่งใส และสอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาล

หนังสือเวียนฉบับนี้ มองเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจาก ความต้องการสกัดการวางคนของผู้บริหาร (ที่กำลังจะเกษียณอายุ) ในตำแหน่งที่สำคัญๆ ไว้เพื่อประโยชน์ในอนาคต หรือการแต่งตั้งโยกย้ายแบบทิ้งทวนเหมือนที่ผ่านๆ มานั่นเอง…. แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสกัดได้อย่างที่ต้องการ เพราะเชื่อว่าทุกท่านมีเครือข่ายอยู่ไม่น้อย หากจะวางคนของตนไว้จริงๆ เมื่อไรก็ทำได้……

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : จับตาภัยพิบัติ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/355326

281225166

เลาะรั้วเกษตร : จับตาภัยพิบัติ

วันศุกร์ ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

พี่น้องชาว สปป.ลาว ที่ประสบกับภัยพิบัติจากเขื่อน เซเปียน- เซน้ำน้อย ในแขวงอัตตะปือ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของ สปป.ลาวแตก ผสมโรงกับฝนตกต่อเนื่องเป็นเวลานาน ส่งผลให้มวลน้ำมหาศาล ไหลทะลักพาดินโคลนท่วมบ้านเรือนราษฎร และพื้นที่เพาะปลูกได้รับความเสียหาย จนป่านนี้ยังไม่สามารถประเมินมูลค่าความเสียหายได้ โดยเฉพาะมีผู้คนและสัตว์เลี้ยงเสียชีวิต และสูญหายจำนวนมาก ราษฎรไร้ที่อยู่อาศัยหลายพันครอบครัว

ยังมีภัยพิบัติเกิดขึ้นในประเทศต่างๆอีกมากมายในเวลานี้ จนทำให้หลายคนกังวลว่า หรือจะถึงเวลาที่ธรรมชาติจะเอาคืนจากชาวโลก ไม่ว่าจะเป็น คลื่นความร้อน และพายุรุนแรงที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่น ไฟป่าที่กรีซ และแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา อุทกภัยในอินเดีย จีน และพม่า รวมทั้งล่าสุด แผ่นดินไหวที่อินโดนีเซีย

ภัยพิบัติแต่ละแห่งก่อให้เกิดความเสียหายมากมาย สูญเสียชีวิตผู้คนเป็นจำนวนมาก…..

ประเทศไทยเอง ก็ไม่เว้น เกิดดินถล่มฝังบ้านของชาวบ้าน ที่อำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน ส่งผลให้ผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านดังกล่าวเสียชีวิตทั้งครอบครัวรวม 8 ราย ดินสไลด์ที่ทางขึ้นภูชี้ฟ้า จังหวัดเชียงราย บ้านเรือนเสียหายไปหลายหลัง ขณะเดียวกันหลายจังหวัดในภาคอีสานที่อยู่ริมแม่น้ำโขงก็เตรียมรับมือกับระดับน้ำในแม่น้ำโขงที่สูงขึ้นเรื่อยๆ และอาจเอ่อล้นท่วมพื้นที่หลายจังหวัดได้

สำหรับพื้นที่จังหวัดอื่นๆ คงต้องเตรียมรับมือกับอุทกภัย และน้ำป่าไหลหลากจึงอยากให้พี่น้องประชาชนติดตามข่าวพยากรณ์อากาศ และสถานการณ์เกี่ยวกับสภาพแวดล้อมต่างๆ อย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น…เพื่อให้เกิดการสูญเสียน้อยที่สุด

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้อง แต่ถ้าเกิดอุทกภัยหรือภัยพิบัติใดๆ ขึ้นมาสักครั้ง ความเสียหายที่เกิดขึ้นมักจะเป็นพื้นที่การเกษตร และเกษตรกรที่ได้รับความเสียหายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่ชดเชยเยียวยาก็ทำไป แต่ความเสียหายมีมากกว่านั้น การขาดแคลนผลผลิต การฟื้นฟูพื้นที่เสียหายกว่าจะกลับมาเหมือนเดิมต้องใช้เวลา และการลงทุนที่มากกว่าเงินชดเชยที่ได้รับมากมายนัก

คราวก่อนที่พูดถึงเรื่องเขื่อน และเห็นสภาพของ สปป.ลาวที่ได้รับความเสียหาย ทำให้ไม่อยากเห็นสภาพเช่นนั้นเกิดขึ้นอีก ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนในโลก…….จึงอดไม่ได้ที่จะขอพูดเรื่องเขื่อนอีกสักครั้ง

ประเทศไทยเองมีเขื่อนกระจายอยู่ทั่วประเทศมากกว่า 5,000 เขื่อน เป็นเขื่อนขนาดใหญ่และขนาดกลางมากกว่า 400 เขื่อน เขื่อนที่สำคัญๆ ที่มีการรายงานสถานภาพน้ำในเขื่อนมีอยู่ประมาณ 36 เขื่อน เป็นเขื่อนเพื่อการชลประทาน ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ

เคยมีการศึกษาจัดลำดับความเสี่ยงของเขื่อนในประเทศไทยต่อเหตุการณ์แผ่นดินไหว ของ นิสิตปริญญาโท สาขาวิศวกรรมปฐพี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่นำเสนอในการประชุมวิชาการวิศวกรรมโยธาแห่งชาติครั้งที่ 13 เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2551

ในรายงานผลการศึกษาดังกล่าว ระบุว่า เขื่อนทำหน้าที่เก็บกักน้ำไว้ใช้ในยามขาดแคลน และป้องกันน้ำท่วมในฤดูน้ำหลาก หากเขื่อนเกิดความเสียหายโดยเฉพาะจากแผ่นดินไหว นอกจากความสูญเสียทางเศรษฐกิจและขวัญกำลังใจของประชาชนแล้ว ความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของเขื่อนต่างๆ อาจลดลงด้วย

ปัจจัยความเสี่ยงที่ได้ทำการศึกษา มีหลายปัจจัย เช่น ความรุนแรงของแผ่นดินไหว ชนิดของเขื่อน อายุของเขื่อน ความสูงของเขื่อน ปริมาณกักเก็บน้ำ ระยะเวลานับแต่เกิดรอยร้าวจนถึงน้ำไหลออกได้สะดวก ระยะทางระหว่างตัวเขื่อนกับแหล่งชุมชนแรกที่อยู่ท้ายน้ำ และจำนวนประชากรแหล่งชุมชนแรกที่ได้รับผลกระทบ เป็นต้น

ในการศึกษามีวิธีการวิเคราะห์และคำนวณตามหลักวิชาการ ผลการศึกษาการจัดลำดับ พบว่า เขื่อนที่มีคะแนนความเสี่ยงสูงที่เกิดความเสียหายจากแผ่นดินไหวมากที่สุดคือ เขื่อน แม่มาว จังหวัดเชียงใหม่ รองลงมา คือ เขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก เขื่อนศรีนครินทร์ และเขื่อนท่าทุ่งนาจังหวัดกาญจนบุรี และเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล จังหวัดเชียงใหม่ ตามลำดับ

ผลการศึกษานี้ไม่ได้ต้องการให้ตื่นตระหนกแต่มีประโยชน์ที่จะทำให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ ต้องเฝ้าระวัง และตรวจสอบ สภาพของเขื่อนอย่างใกล้ชิด มีแผนรับมือกับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ประมาท…..

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : เรื่องของเขื่อน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/354002

281225166

เลาะรั้วเกษตร : เรื่องของเขื่อน

วันศุกร์ ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

ภัยพิบัติ คือ ภัยที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน ส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจและวิถีชีวิตของผู้คนในสังคมทั้งระยะสั้นและระยะยาว ภัยพิบัติมี 2 ประเภท คือ ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว สึนามิ ดินถล่มหิมะถล่ม ภูเขาไฟระเบิด อีกประเภทหนึ่ง คือ ภัยพิบัติที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ เช่น ระเบิดนิวเคลียร์ สงคราม เป็นต้น

ที่ใกล้ประเทศเราที่สุดคือ สปป.ลาว เกิดภัยพิบัติจากฝีมือมนุษย์ คือ เขื่อนเซเปียน-เซน้ำน้อย ในแขวงอัตตะปือ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ ที่บางส่วนกำลังก่อสร้างเกิดพังลง อันเนื่องมาจากฝนตกต่อเนื่อง ปริมาณน้ำในเขื่อนมีมากเกินที่เขื่อนรับได้ แรงดันน้ำจึงทำให้เขื่อนแตกร้าวและพังลงในที่สุด ส่งผลให้ปริมาณน้ำกว่า 5 พันล้านลูกบาศก์เมตรไหลทะลักเข้าท่วมพื้นที่หลายหมู่บ้านที่อยู่รอบเขื่อน รายงานข่าวว่ามีผู้เสียชีวิต 26 ราย สูญหายหลายร้อยราย ประชาชนกว่า 3,000 คน รอคอยความช่วยเหลือ

เขื่อนเซเปียน-เซน้ำน้อย เป็นเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำ ที่ยังสร้างไม่เสร็จดี ยังเหลืออีกประมาณ 10% คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์เริ่มผลิตกระแสไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์ได้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 บริษัทที่ก่อสร้างเขื่อนนี้เป็นการร่วมทุนของบริษัทต่างชาติ คือ จากเกาหลี 2 บริษัท รวมถือหุ้น 51% บริษัทของไทย ถือหุ้น 25% และรัฐวิสาหกิจของ สปป.ลาว ถือหุ้น 24% มูลค่าการก่อสร้าง 3.24 หมื่นล้านบาท เขื่อนนี้จะจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตของไทยจำนวน 354 เมกะวัตต์

เรื่องของเขื่อนแตกร้าว หรือเขื่อนพัง อย่างที่เกิดขึ้นใน สปป.ลาวนี้ไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้ต้องค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเขื่อนในประเทศไทยดูบ้าง เพราะเมื่อปี 2554 ครั้งน้ำท่วมใหญ่คราวนั้น มีข่าวลือหลายกระแส กระแสหนึ่งก็คือ “เขื่อนแตก” เหมือนกัน แต่ไปๆ มาๆ แล้วไม่ใช่เขื่อนแตก แต่เป็นเพราะความผิดพลาดในการบริหารจัดการน้ำ โดยมีคนยืนยันว่า “เอาอยู่ๆ” แต่สุดท้ายก็ “เอาไม่อยู่” จนปล่อยน้ำท่วมมาตั้งแต่นครสวรรค์ ทุ่งนาลุ่มเจ้าพระยา บ้านเรือนประชาชน นิคมอุตสาหกรรม จนถึงสนามบินดอนเมือง….ภาพเครื่องบินถูกน้ำท่วมยังติดตาอยู่จนทุกวันนี้

มีข้อมูลจากกรมชลประทาน รายงานสถานการณ์น้ำเขื่อนต่างๆ เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2561 ดูตัวเลขแบบประชาชนคนธรรมดาที่ไม่มีความรู้เรื่องเกี่ยวกับเขื่อนสักเท่าไร ก็ดูจะไม่น่าห่วงเรื่องเขื่อนแตกร้าว หรือการระบายน้ำออกจากเขื่อนเนื่องจากปริมาณน้ำมีเกินความจุของเขื่อนสักเท่าไร เพราะทุกเขื่อนสำคัญในภาคต่างๆ จำนวนกว่า 30 เขื่อน ยังมีปริมาตรน้ำในเขื่อนน้อยกว่าความจุของเขื่อนมาก

ปริมาณน้ำที่ระบายออกในแต่ละเขื่อนส่วนใหญ่จะน้อยกว่า 1 ล้านลูกบาศก์เมตร ยกเว้นเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนอุบลรัตน์ เขื่อนสิรินธร ระบายออก 9-10 ล้านลูกบาศก์เมตร ส่วนเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ระบายออกประมาณ 19 ล้านลูกบาศก์เมตร และเขื่อนวชิราลงกรณ ระบายออกประมาณ 25 ล้านลูกบาศก์เมตร

เขื่อนดังกล่าวเหล่านี้ เป็นเขื่อนเก็บกักน้ำเพื่อการชลประทาน เป็นน้ำที่ใช้ในการเพาะปลูกและอุปโภค บริโภค เป็นส่วนใหญ่

เคยมีคนเป็นห่วงกรณีที่เกิดแผ่นดินไหว จะทำให้เขื่อนแตกร้าวหรือไม่ แต่ทั้งกรมชลประทาน และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ต่างยืนยันว่า เขื่อนในพื้นที่ที่อยู่ในรัศมีการสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวที่ผ่านๆ มานั้น ยังคงแข็งแรง มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน….

อย่างไรก็ตาม จากกรณีเขื่อนเซเปียน-เซน้ำน้อย ของสปป.ลาวนี้ น่าจะเป็นอุทาหรณ์ให้ไทยเราอย่าประมาท โปรดตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงของเขื่อนต่างๆ อยู่ตลอดเวลา ที่สำคัญคือ ระบบเตือนภัยต้องมี และเตรียมแนวทางการอพยพประชาชนไว้ด้วยเถิดหนา…ออเจ้า….

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : ถึงคิวผักไฮโดรโพนิกส์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/352666

281225166

เลาะรั้วเกษตร : ถึงคิวผักไฮโดรโพนิกส์

วันศุกร์ ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

หลังจากที่เครือข่ายต่อต้านสารเคมีทางการเกษตรทั้งหลายไม่สามารถทำให้คณะกรรมการวัตถุอันตราย แบนสารกำจัดวัชพืชได้ตามประสงค์ ก็มีการเผยแพร่ผลการตรวจสอบสารพิษตกค้างในผักอีกรอบ คราวนี้เป็นผักที่ปลูกในระบบไม่ใช้ดิน หรือที่เรียกว่า ผักไฮโดรโพนิกส์

เป็นที่น่าสังเกตว่า ข่าวที่มีการเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียในช่วงนี้นั้น ได้อ้างถึงข่าวที่ไทยแพนเคยเผยแพร่ผ่านสื่อมาแล้วตั้งแต่เดือนมกราคม 2561 โดยระบุว่าได้ไปเก็บตัวอย่างผักในห้างขายปลีกหลายแห่ง ในกรุงเทพฯและปริมณฑล พบว่ามีสารตกค้างมากถึง 25 ชนิด ทั้งสารกำจัดเชื้อราสารกำจัดวัชพืช สารกำจัดโรคและแมลงศัตรูพืช รวมทั้งไนเตรท

ผู้ที่นำมาเผยแพร่อีกครั้งคือ ไบโอไทยโดยอ้างถึงข้อมูลของไทยแพนที่กล่าวมาแล้ว พร้อมกับตบท้ายว่าตั้งแต่มีการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว (ตั้งแต่มกราคม 2561) ยังไม่เห็นการแสดงความรับผิดชอบใดๆ ของหน่วยงานรัฐและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นรูปธรรมแต่อย่างใด

ภาพอินโฟกราฟิก ที่ไบโอไทยนำมาเผยแพร่ ภายใต้หัวข้อ “ทำไมพบสารเคมีตกค้างเกินมาตรฐานในผักไฮโดรโพนิกส์มากกว่าผักที่ปลูกโดยใช้ดิน” อ้างที่มา จาก สรุปสาระสำคัญจากรายงานของ Horticulture Australia,2008,2011 และ New Zealand Institute for Crop & Food Research 2003 ซึ่งเป็นรายงานที่เนิ่นนานมากแล้ว

ไบโอไทยยังสรุปด้วยว่า ปัญหาสารเคมีตกค้างเกินมาตรฐานของผักไฮโดรโพนิกส์นั้น ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะประเทศไทย ในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ซึ่งมีการส่งเสริมปลูกผักไฮโดรโพนิกส์มากที่สุดก็พบเช่นกัน แต่รายละเอียดอื่นๆ ไบโอไทยไม่ได้พูดถึง

เผือกร้อนตกถึงกรมวิชาการเกษตร อธิบดี สุวิทย์ ชัยเกียรติยศ เปิดแถลงข่าว และ เฟซบุ๊คไลฟ์ ชี้แจงเรื่องนี้โดยสรุปว่า การปลูกผักไฮโดรโพนิกส์ ไม่ใช่การปลูกผักในระบบอินทรีย์ เป็นการปลูกผักธรรมดาที่เหมือนกับการปลูกในดิน แต่แทนที่จะเป็นดินก็เป็นการปลูกในสารละลายที่เป็นธาตุอาหารพืชแทน ด้วยเหตุนี้การปลูกผักไฮโดรโพนิกส์จึงสามารถใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชได้ แต่ต้องใช้อย่างถูกต้องตามคำแนะนำในฉลาก และต้องทิ้งระยะเวลาเก็บเกี่ยวหลังจากฉีดพ่นสารเคมีตามกำหนดเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค พูดง่ายๆ คือ ต้องทำตามระบบการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี หรือ GAP เหมือนการปลูกผักในดินเช่นเดียวกัน

พร้อมกับบอกด้วยว่า กรมวิชาการเกษตรให้การรับรองพืชที่ปลูกตามระบบ GAP จึงสุ่มตรวจเฉพาะผักที่ได้การรับรอง GAP ถ้าพบว่ามีสารตกค้างก็จะเตือนผู้ผลิตให้ปรับปรุงการผลิตให้ถูกต้อง ถ้าไม่เชื่อฟังก็จะยกเลิกการรับรอง ส่วนผัก หรือพืชอื่นๆ ที่ไม่ได้รับการรับรอง GAP จะเป็นหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย.ทำการสุ่มตรวจ

อย่างไรก็ตามอธิบดี สุวิทย์ ชัยเกียรติยศ ยังบอกด้วยว่าจริงๆ แล้ว จะมีการทำงานร่วมกันทั้ง กรมวิชาการเกษตร อย.กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม และ สาธารณสุขจังหวัด ในการสุ่มตรวจสารตกค้างในพืชผักผลไม้ในท้องตลาดอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค ไม่ได้นิ่งเฉยอย่างที่ไบโอไทยกล่าวหา

ว่ามา ก็ว่าต่อ…เพื่อโปรดทราบ

ขอแถมท้ายด้วยเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง ที่ค่อนข้างเป็นห่วง ไม่ใช่เรื่องผัก ไม่ใช่เรื่องสารพิษตกค้าง แต่เป็นเรื่องที่ รองนายกรัฐมนตรี สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เข้ามาประชุมสั่งการที่กระทรวงเกษตรฯ ให้กระทรวงเกษตรฯ ดำเนินการลดพื้นที่ปลูกข้าวนาปรัง แล้วให้เกษตรกรปลูกพืชใช้น้ำน้อยแทน เช่น ข้าวโพด และมันสำปะหลัง รวมทั้งให้โค่นยางทิ้งโดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ เพื่อจะดึงราคายางให้สูงขึ้นเป็นกิโลกรัมละไม่ต่ำกว่า 60 บาท

เรื่องยางก็ว่ากันไป…แต่เรื่องเอามันสำปะหลังลงนานี่ไม่น่าจะถูกต้อง เพราะมันสำปะหลังไม่ใช่พืชอายุสั้นมีอายุเก็บเกี่ยวเป็นปีทีเดียว ถ้าเกษตรกรหลงเชื่อเอาที่นาไปปลูกมันสำปะหลังตามที่ว่า พื้นที่นาที่อุดมสมบูรณ์สำหรับการทำนาปีก็จะหายไป ราคามันตอนนี้ก็แย่อยู่แล้วจะมิยิ่งสร้างปัญหาไปกันใหญ่หรือ เปลี่ยนเป็นมันเทศก็ว่าไปอย่าง โดยเฉพาะมันม่วง หรือมันญี่ปุ่นที่ตลาดต้องการ…

เอานักเศรษฐศาสตร์มาดูแลเกษตร..ก็ผิดฝาผิดตัวเช่นนี้แล…..

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : หมูป่า

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/349807

281225166

เลาะรั้วเกษตร : หมูป่า

วันศุกร์ ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

มาถึงวันนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก 13 นักเตะและโค้ช “หมูป่าอะคาเดมี” นักฟุตบอลเยาวชนของ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ที่ติดอยู่ในถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน เป็นเวลาเกือบ 10 วัน จนเป็นข่าวดังไปทั่วโลก มีทีมค้นหาจากหลายประเทศเข้ามาช่วยเหลือ

แม้ตอนนี้จะพบตัวหมูป่าทั้ง 13 ชีวิตแล้ว แต่ยังไม่สามารถนำทุกคนออกมาจากถ้ำได้ เพราะเส้นทางออกจากถ้ำมีระดับน้ำสูงอยู่ แม้จะระดมสูบน้ำออกทุกทิศทาง ก็ยังไม่สามารถเอาชนะธรรมชาติได้ ตราบใดที่ฝนยังไม่หยุดตก และ การจะให้หมูป่าทุกคนดำน้ำออกมาในขณะที่ร่างกายยังไม่พร้อม หรือบางคนดำน้ำไม่เป็น ก็อาจจะเป็นอันตราย

จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ “น้ำ” คือสาเหตุสำคัญ สาเหตุที่ทำให้หมูป่าติดอยู่ในถ้ำ สาเหตุที่ต้องนำหน่วยรบพิเศษทางเรือ หรือ SEAL เข้ามาช่วยโดยดำน้ำเข้าไปค้นหา สาเหตุที่ต้องนำนักดำน้ำในถ้ำที่เก่งที่สุดในโลกมาช่วย สาเหตุที่ต้องระดมเครื่องสูบน้ำที่มีประสิทธิภาพที่สุดจากทุกหน่วยงานมาช่วยสูบน้ำออกจากถ้ำ แต่ฝนก็ยังตกต่อเนื่องเติมน้ำเข้ามาในถ้ำตลอดเวลา

ที่น่าสังเกต คือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับ “น้ำ” ดูจะขยับตัวช้าไปสักนิด ไม่ว่าจะเป็นกรมชลประทาน ของอธิบดี ทองเปลว กองจันทร์ ที่นำเครื่องสูบน้ำเข้าไปช่วยเหลือในวันที่ 26 มิถุนายน หรือ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ของเลขาธิการ สมเกียรติ ประจำวงษ์ ที่ลงพื้นที่สำรวจความเสียหายของพื้นที่รองรับน้ำที่ระบายออกมาจากถ้ำหลวง เอาเมื่อหลังพบหมูป่าทั้ง 13 คนแล้ว

หน่วยงานทั้ง 2 น่าจะเชี่ยวชาญเรื่องน้ำ จนสามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับการระบายน้ำออกจากถ้ำได้โดยไม่ต้องให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย แก้ปัญหาเฉพาะหน้า ด้วยการระบายน้ำออกจากถ้ำเข้าพื้นที่เกษตรของชาวบ้าน และทำให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กฤษฎา บุญราช เร่งให้ระบายน้ำออกจากพื้นที่เกษตรอีกต่อหนึ่ง แม้ว่าชาวบ้านจะเต็มใจให้พื้นที่ของตนเป็นที่รับน้ำจากถ้ำหลวงได้ เพื่อช่วยเหลือ 13 หมูป่า ก็ตาม

ณ วันนี้ จากข้อมูลการสำรวจของจังหวัดเชียงราย พบว่าในอำเภอแม่สาย มีพื้นที่นาข้าวที่ได้รับผลกระทบ จำนวน 3 ตำบล ได้แก่ ตำบลศรีเมืองชุม ตำบลโป่งผา และ ตำบลบ้านด้าย จำนวน 1,600 ไร่ และอาจจะมีเพิ่มเติมอีก เพราะการสูบน้ำออกจากถ้ำหลวงยังดำเนินการอยู่อย่างต่อเนื่อง

รมว.กฤษฎา บุญราช บอกจะช่วยเยียวยาเกษตรกร ไร่ละ 1,100 บาท โดยใช้งบประมาณของจังหวัด พร้อมทั้งให้กรมการข้าว ของ อธิบดี อนันต์ สุวรรณรัตน์ เตรียมพันธุ์ข้าวไว้ให้เกษตรกร และให้กรมชลประทาน ระบายน้ำออกจากพื้นที่ลงแม่น้ำแม่สาย หรือ แม่น้ำม่อนแจ่มต่อไปด้วย

จากภารกิจค้นหาทีมหมูป่าอะคาเดมี ในถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน ที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงรายครั้งนี้ อาจจะสร้างวีรบุรุษขึ้นหลายคน แต่สิ่งที่น่าจะทำคือ การถอดบทเรียนออกมาเป็นถ้ำหลวงโมเดล หรือ หมูป่าโมเดล สำหรับการเผชิญเหตุในครั้งต่อไป แม้ไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก แต่ก็อาจจะเกิดขึ้นได้….

ออกจากถ้ำได้เมื่อไร ไปฉลองกันที่พัทยา…นะหมูป่า…

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : ราคาไม่เป็นสับปะรด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/348342

281225166

เลาะรั้วเกษตร : ราคาไม่เป็นสับปะรด

วันศุกร์ ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2561, 06.00 น.

เห็นข่าวนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา สั่งการให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ กระทรวงมหาดไทย ร่วมทำแผนยกระดับราคาสินค้าเกษตรให้ยั่งยืนแบบครบวงจร เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรไม่ให้ได้รับความเดือดร้อนจากการที่ราคาผลผลิตตกต่ำแล้วก็ค่อนข้างหนักใจแทนทั้ง 3 กระทรวง…

เรื่องของราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ มีมาทุกยุคทุกสมัย มีมาโดยตลอดไม่ว่าพรรคใดจะมาเป็นรัฐบาล บรรดานักการเงิน นักการคลัง นักการค้าทั้งหลายที่บรรดารัฐมนตรีทั้งหลายเชิญมาเป็นที่ปรึกษา ที่ว่าแน่ๆ ไม่ว่าจะใช้กลยุทธ์
ใดๆ ล้วนแต่แก้ไขได้เพียงปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น

แก้ปัญหาราคายางไปได้ระดับหนึ่ง ปัญหาราคาสับปะรดตกต่ำก็เข้ามาแทนที่ ไม่ว่าจะเป็นสับปะรดส่งโรงงานอย่างพันธุ์ศรีราชา หรือ ปัตตาเวีย หรือสับปะรดรับประทานผลสดอย่างสับปะรดภูเก็ต ภูแล นางแล ตราดสีทอง ห้วยมุ่น ต่างก็โอดครวญว่าราคาตกต่ำมาก แต่ผู้บริโภคสับปะรดรับประทานผลสด ยังซื้อในราคาสูงอยู่ตามปกติ แสดงให้เห็นว่ากลไกการตลาดของสับปะรดน่าจะผิดปกติ

สับปะรด เป็นผลไม้ที่ส่งออกทำรายได้ให้ประเทศสูงมาก โดยเฉพาะสินค้าแปรรูป ทั้งสับปะรดกระป๋องและน้ำสับปะรด กำลังการผลิตของโรงงานไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่ผลผลิตส่วนเกินที่เกษตรกรไม่ได้ทำสัญญาซื้อขายกับโรงงานมีจำนวนมาก งานนี้ไม่รู้จะโทษใคร โทษเกษตรกรก็จะหาว่าใจร้าย โทษทางราชการว่าไม่ดูแลก็ออกจะเห็นใจ เพราะเกษตรกรไม่ค่อยจะเชื่อทางราชการสักเท่าไร อย่างที่มีคนเคยบอกว่า ถ้าทางราชการห้ามทำอะไร ให้ทำตรงกันข้าม….ก็นี่แหละเกษตรประเทศไทย….

ปีนี้ ข้าว รอดตัวไป ราคาข้าวอยู่ในระดับที่เกษตรกรพอใจ ทุเรียน เงาะ มังคุด ไม่มีเสียงโอดครวญ เพราะผลผลิตออกมาน้อยโดยเฉพาะทุเรียนที่ชาวสวนพากันนั่งอมยิ้มนับเงินกันไม่เสร็จ

กุ้ง สินค้าประมงที่ไม่เคยมีปัญหาเรื่องราคา มาปีนี้ราคากุ้งตกต่ำจนกรมประมงต้องเอากุ้งมาขายที่กรม ช่วยเกษตรกร ราคากุ้งตกต่ำมีปัญหาที่สลับซับซ้อน ทั้งปัจจัยการผลิตราคาสูง มีทั้งกุ้งอินเดียมีมาก และคุณภาพดีกว่ากุ้งไทย มีทั้งการเรียกร้องให้นำเข้ากุ้ง คนนอกวงการงงไปหมด…

เดินตามหลังมาไม่ใกล้ไม่ไกล คือ ลำไย และกระเทียม ที่คาดเดากันว่าผลผลิตจะออกมามากทำให้ราคาตกต่ำ เดือดร้อนถึงกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงมหาดไทย ที่จะต้องเตรียมช่องทางการตลาด กระจายผลผลิตออกนอกแหล่งผลิตเสียแต่เนิ่นๆ ยิ่งมีข่าวว่าล้งจีนยังไม่มารับซื้อลำไย ยิ่งทำให้ชาวสวนลำไยร้อนๆ หนาวๆ แต่คนที่ร้อนๆ หนาวๆ ยิ่งกว่า น่าจะเป็นเกษตรจังหวัด พาณิชย์จังหวัด และผู้ว่าราชการจังหวัดแหล่งผลิตลำไยนั่นแล….

ส่วนผู้ที่อยู่เหนือไปกว่านั้น คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กฤษฎา บุญราช ที่เคยอยู่กระทรวงมหาดไทยมาก่อน สั่งปลัดกระทรวงเกษตร เลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ ที่อยู่อย่างเงียบๆ ให้ตั้งทีมติดตามและแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ รวมทั้งเตรียมรับการเรียกรวมพลของเกษตรกรบริเวณหน้ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ด้วย

การตั้งทีมติดตามเช่นนี้ก็ดีอยู่….แต่ถ้าไม่แก้ที่ต้นน้ำ..ปลายน้ำก็ยังมีปัญหาอยู่เช่นนี้ไม่จบสิ้น แต่การจะแก้ปัญหาต้นน้ำ ก็ใช่ว่าจะเนรมิตได้ดังใจต้องใช้เวลา และทำความเข้าใจกับเกษตรกรให้มากโดยเฉพาะเรื่องอย่าปลูกอะไร หรือทำอะไรตามๆ กัน….นี่แหละสำคัญ

เชื่อหัวไอ้เรืองได้เลย ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ราคาที่ไม่เป็นสับปะรดเช่นนี้เป็นปัญหาที่ยั่งยืน…จริงๆ…ต่อให้รัฐบาลที่เลือกตั้งเข้ามาใหม่ในปีหน้าก็แก้ไม่ตก….

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : ฟังความอีกข้าง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/346900

281225166

เลาะรั้วเกษตร : ฟังความอีกข้าง

วันศุกร์ ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2561, 06.00 น.

ได้รับข่าวสารทางไลน์ และ เฟซบุ๊ค ที่มีคนแชร์ต่อๆ กันมา เป็นภาพอินโฟกราฟิกของกรมวิชาการเกษตร เผยแพร่ทางเพจเฟซบุ๊คที่ใช้ชื่อว่า “ก้าวเกษตร” เกี่ยวกับสารกำจัดวัชพืช ชี้แจงประเด็นต่างๆ เป็นข้อๆ ไป ภาพชุดแรก เป็นเรื่องเกี่ยวกับพาราควอต ที่คณะกรรมการวัตถุอันตรายประกาศยังไม่ยกเลิกการใช้ แต่ให้กรมวิชาการเกษตรไปกำหนดหลักเกณฑ์จำกัดการใช้ภายใน 60 วัน ซึ่งนี่ก็ผ่านมา 1 เดือนแล้ว

อินโฟกราฟิกชุดแรกนี้ ระบุว่า การยกเลิกการใช้พาราควอตหรือไม่เป็นอำนาจของคณะกรรมการวัตถุอันตราย ไม่เกี่ยวอะไรกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งคณะกรรมการวัตถุอันตรายมีมติไม่ยกเลิกการใช้ แต่ให้จำกัดการใช้ (มติจากการประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตรายเมื่อ 23 พฤษภาคม ที่ผ่านมา) ซึ่งมติดังกล่าวพิจารณาจากข้อมูลทางวิชาการของ คณะอนุกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาการควบคุมวัตถุอันตรายพาราควอต คลอไพริฟอส และไกลโฟเซต ทั้งนี้คณะอนุกรรมการชุดนี้ได้รวบรวมข้อมูลจากฝ่ายที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกการใช้พาราควอต

ส่วนกรณีที่มีการกล่าวหาว่าคณะอนุกรรมการชุดดังกล่าวมีผลประโยชน์ทับซ้อนนั้น มีการชี้แจงว่าคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจฯ นี้ เสนอชื่อและแต่งตั้งโดยคณะกรรมการวัตถุอันตราย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไม่ได้เป็นผู้เสนอชื่อ และไม่มีอำนาจในการแต่งตั้งแต่อย่างใด ทั้งนี้คณะอนุกรรมการ มีทั้งสิ้น 14 ราย เป็นข้าราชการของกระทรวงเกษตรฯ เพียง 4 ราย 1 ใน 4 นั้นเป็นข้าราชการบำนาญ

ส่วนประเด็นที่มีการกล่าวอ้างผลงานวิจัยว่าพบสารพาราควอตตกค้างในแหล่งน้ำ และพื้นที่เพาะปลูกของเกษตรกรในจังหวัดหนองบัวลำพูในระดับที่อันตรายนั้น กรมวิชาการเกษตร ร่วมกับกรม
ส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ได้สุ่มเก็บตัวอย่างน้ำ ตะกอนดิน และดินที่ใช้เพาะปลูก ที่จังหวัดหนองบัวลำพูนำมาตรวจสอบ ไม่พบสารพาราควอตตกค้างในตัวอย่างน้ำ แต่พบในตัวอย่างตะกอนดิน และดินที่ใช้เพาะปลูกในระดับที่ไม่สูงกว่าปกติ

นอกจากนี้ยังมีข้อมูลเปรียบเทียบ สารพาราควอต กับสารกลูโฟซิเนตที่มีการแนะนำให้ใช้แทนพาราควอด ว่า พาราควอตนั้นออกฤทธิ์ให้วัชพืชตายภายใน 1-2 ชั่วโมงหลังฉีดพ่น และมีระยะปลอดฝน(ระยะเวลาที่ฝนจะไม่ตกชะล้างสารเคมีก่อนที่ต้นพืชจะดูดซึมเข้าไป) เพียงครึ่งชั่วโมง ส่วนกลูโฟซิเนต ออกฤทธิ์ทำให้วัชพืชตายภายใน 2-3 วันหลังฉีดพ่น และมีระยะปลอดฝนถึง 6 ชั่วโมง ที่สำคัญคือ ถ้าใช้กลูโฟซิเนตจะทำให้ต้นทุนต่อไร่สูงกว่าการใช้พาราควอต 5-6 เท่า

เรื่องของต้นทุนการผลิต จะเป็นตัวชี้วัดว่าสินค้าเกษตรของไทยจะสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้หรือไม่ ถ้ายกเลิกใช้พาราควอต จะทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นเพราะอาจต้องใช้แรงงานคนที่มีค่าจ้างแรงงานสูงมาก อีกทั้งในสนธิสัญญาการค้าต่างๆ ก็ไม่ได้ระบุว่าห้ามใช้สารพาราควอตด้วย ส่วนที่มีการอ้างว่าประเทศมาเลเซียห้ามใช้พาราควอตนั้น ข้อเท็จจริงในขณะนี้มาเลเซียยอมให้ขึ้นทะเบียนใหม่แล้ว

สำหรับสถานภาพการใช้พาราควอตนั้น มีการห้ามใช้ใน 51 ประเทศ อนุญาตให้ใช้ได้ใน 75 ประเทศ (รวมทั้ง สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น) จำกัดการใช้ใน 11 ประเทศ

ทั้งหมดนี้ถอดความมาจากอินโฟกราฟิกของกรมวิชาการเกษตร ที่เผยแพร่ในโซเชียลมีเดีย ถึงแม้จะมาช้าไปหน่อย แต่ยังดีกว่าไม่มาเสียเลย เช่นเดียวกับภาพอินโฟกราฟิกของ สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ หรือ มกอช. ที่มีการแชร์กันทางเฟซบุ๊คเช่นเดียวกัน เป็นข้อมูลที่ใกล้เคียงกันและเป็นข้อมูลที่ระบุว่าเป็นรายงานการศึกษาโดยคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาการควบคุมวัตถุอันตรายพาราควอต คลอไพริฟอส และไกลโฟเซต

มีที่แตกต่างเพิ่มเติมมาคือ ประเด็นข้อสงสัย ที่มีผลงานวิจัยอ้างว่าพาราควอตทำให้เกิดโรคเนื้อเน่า หนังเน่า นั้น ข้อเท็จจริงคือ โรคดังกล่าวไม่ได้เกิดจากการใช้สารพาราควอต และยังไม่มีข้อมูลยืนยันถึงความสัมพันธ์ของสารพาราควอตกับการเกิดโรคเนื้อเน่า หนังเน่าแต่อย่างใด รวมทั้งประเด็นของ โรคพาร์กินสัน และระบบประสาท ก็มีการยืนยันเช่นกันว่า ไม่พบความสัมพันธ์ ระหว่างการได้รับสารพาราควอตกับการเกิดโรคพาร์กินสัน และการมีผลต่อระบบประสาท

ต่อประเด็นที่ว่าพาราควอตมีพิษเฉียบพลัน ไม่มียาถอนพิษ มีผู้เสียชีวิตจากสารนี้จำนวนมาก ข้อเท็จจริงคือ องค์การอนามัยโลก จัดให้สารพาราควอตอยู่ในกลุ่มสารที่มีพิษปานกลาง ส่วนที่ทำให้เสียชีวิตนั้นเกิดจากการตั้งใจดื่มเพื่อฆ่าตัวตาย ไม่ได้เกิดจากการใช้สาร หรือ จากอาหารที่กินเข้าไป

ฟังความเรื่องใด อย่าฟังข้างเดียว ฟังความให้รอบด้าน ส่วนจะเชื่อใคร ก็แล้วแต่สะดวกใจ

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : การขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/346145

เลาะรั้วเกษตร : การขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด

เลาะรั้วเกษตร : การขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด

วันอังคาร ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2561, 06.00 น.

คำถาม ผมมักจะมีปัญหาเรื่องการเพาะเมล็ดอยู่เสมอ จะไม่สามารถเพาะเมล็ดให้งอกตามที่ต้องการได้ ผมขอทราบวิธีที่ถูกต้องด้วยครับ

สนอง เดชสมบูล

อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี

คำตอบ

การขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด หรือการเพาะเมล็ด เป็นการขยายพันธุ์ตามธรรมชาติของต้นไม้ วิธีนี้ สามารถทำการผสมพันธุ์พืชให้ได้ลูกผสมใหม่ๆ ขึ้นมา ทำให้มีพันธุ์แปลกๆ และมีคุณภาพดีกว่าพันธุ์พ่อแม่ ที่ปล่อยให้ผสมเองตามธรรมชาติ

การเพาะเมล็ด มีวิธีทำดังนี้

1.การเตรียมอุปกรณ์ เป็นการเตรียมภาชนะ และดินเพาะที่จะใช้ในการเพาะปลูก อุปกรณ์ที่จะใช้เพาะเมล็ดมีด้วยกัน 3 วิธีคือ

1) การเพาะลงบนกระบะเพาะ การเพาะแบนนี้ เหมาะสำหรับที่จะเพาะเมล็ดพันธุ์ที่ไม่มากนัก โดยใช้วัสดุเหลือใช้เก่าๆ ลังกระดาษ ลังพลาสติค ลังไม้ หรืออาจจะต่อขึ้นมาใหม่ก็ได้ นอกจากลังหรือกระบะแล้ว ต้องเตรียมแผ่นกระดาษแข็ง หรือแผ่นพลาสติก ไว้สำหรับปิดด้วย

2) การเพาะลงในแปลง การเพาะแบบนี้ เหมาะสำหรับที่ต้องการพันธุ์ไม้มากๆ โดยให้ยกเป็นร่องสูง ประมาณ 30 ซม. กว้าง 1 เมตร ยาว 4 เมตร ถ้าจะทำเป็นการถาวร โดยก่อเป็นขอบอิฐหรือซีเมนต์บล็อกเป็นขอบให้สูงขึ้นก็ได้ และควรมีหลังคา หรือใช้พลาสติกปิดกันฝน

3) การเพาะลงในภาชนะ การเพาะเมล็ดแบบนี้ เหมาะสำหรับที่เพาะเมล็ดเดี่ยวๆ ที่มีขนาดใหญ่ เช่น ไม้ยืนต้น หรือไม้ดอกบางชนิด โดยใช้กระถาง หรือถุงพลาสติกดำ วิธีนี้สะดวกดี เมื่อเมล็ดงอกแล้ว ไม่ต้องย้ายเพาะชำอีกครั้งหนึ่ง พอต้นไม้โตได้ขนาดแล้ว สามารถนำไปปลูกได้เลย

2.เตรียมวัสดุที่ใช้เพาะ ให้เตรียมของต่างๆ ดังนี้ ถ่านแกลบดำ ทรายหยาบ ขุยมะพร้าว และดินร่วน ถ่านแกลบเหมาะอย่างยิ่งที่ใช้เพาะ เพราะมีคุณสมบัติโปร่ง ร่วนซุย ไม่จับตัวแข็ง ระบายน้ำ และอุ้มน้ำได้ดี สามารถถอนแยกชำในแปลงได้ง่าย และรากไม่ขาดมาก ทรายหยาบ ช่วยให้ส่วนผสมร่วนซุยไม่อัดแน่นเกินไป ขุยมะพร้าวช่วยอุ้มน้ำให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ และดิน ใช้เป็นธาตุอาหารของต้นอ่อน ทำการคลุกเคล้าวัสดุต่างๆ ให้เข้ากัน

3. วิธีเพาะ มีวิธีดังนี้

1) การเพาะในภาชนะ ควรใช้อิฐหักรองก้นภาชนะ ความหนาประมาณ 1-2 นิ้ว ให้ใช้หญ้าแห้ง หรือฟางข้าวรองทับบนอิฐหักอีกที แล้วใส่วัตถุที่ใช้เพาะลงไป ให้ต่ำกว่าขอบกระบะ 3-4 นิ้ว จากนั้น ให้รดน้ำให้เปียกโชก เพื่อล้างถ่านแกลบให้หมดด่างเสียก่อน

2 ) ล้างเมล็ดให้สะอาด แล้วแช่ในน้ำยาฆ่าเชื้อรา ประมาณ 30 นาที ถ้าเมล็ดมีเปลือกเมล็ดแข็ง ควรกะเทาะเปลือกเสียก่อน หรือฝนกับกระดาษทราย หรือแช่น้ำ 1-2 วัน แล้วแต่ความหนาของเมล็ดพืชนั้นๆ

3) ถ้าเพาะในกระบะ ให้ใช้ไม้กดทำเป็นร่องบนกระบะ แล้วใช้เมล็ดปักลงไปลึกพอควร เรียงเป็นแถว แล้วเกลี่ยดินที่ผสมไว้ รดน้ำให้ชุ่ม ถ้าเพาะลงในแปลง ให้ใช้ดินที่เตรียมไว้มาผสมกับปุ๋ยคอกที่แห้งป่นละเอียดลงไปด้วย เพื่อใช้เป็นธาตุอาหารให้กับต้นอ่อน

ที่สำคัญ ควรดูแลรักษาอย่าให้ถูกแดดจัด การรดน้ำให้รดพอประมาณวันละครั้ง ถ้าฝนตกมากต้องใช้แผ่นพลาสติกคลุม อย่าให้ดินชุ่มมาก เพราะจะทำให้เมล็ดเน่า เมื่อเมล็ดงอกแล้ว จึงค่อยให้ถูกแดดบ้าง และเมื่อต้นโตพอประมาณ ก็แยกไปปลูกได้ นะครับ

นาย รัตวิ

เลาะรั้วเกษตร : ฟังเสียงเกษตรกรกันบ้าง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/345336

281225166

เลาะรั้วเกษตร : ฟังเสียงเกษตรกรกันบ้าง

วันศุกร์ ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2561, 06.00 น.

การเป็นประชาธิปไตยที่ใครๆ ต่างเรียกร้องหาคือการใช้สิทธิในการออกเสียง เสียงข้างน้อยต้องเคารพและยอมรับเสียงข้างมาก คนแพ้ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ก็มีไม่น้อยที่คนแพ้ ไม่ยอมแพ้ แต่กลับเรียกร้องและยืนยันในสิ่งที่ตนเองบอกว่าถูกต้องเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง พร้อมทั้งสร้างเรื่องราวใส่ร้ายคนอื่นที่ไม่เห็นด้วยกับตน…..กรณีเช่นว่านี้มีให้เห็นบ่อยๆ ในบ้านเมืองเรา

เมื่อวันอังคาร สัปดาห์ที่แล้ว มีกลุ่มบุคคลที่อ้างว่าเป็น “เครือข่ายสนับสนุนการแบนสารพิษที่มีอันตรายร้ายแรง 686 องค์กร” ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผ่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ กฤษฎา บุญราช เรียกร้องให้ทบทวนมติและกระบวนการพิจารณาเพื่อยกเลิกการใช้วัตถุอันตรายทางการเกษตร คลอไพริฟอส และพาราควอต ซึ่งเป็นสารเคมีที่มีประเด็นขัดแย้งมานานข้ามปี

ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากการประชุมของคณะกรรมการวัตถุอันตราย เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2561 ซึ่งที่ประชุมมีมติไม่ยกเลิกการใช้ พาราควอต คลอไพริฟอส แต่ให้จำกัดการใช้ โดยมอบให้กรมวิชาการเกษตร ของ อธิบดี สุวิทย์ ชัยเกียรติยศ ไปจัดทำหลักเกณฑ์ การจำกัดการใช้มาเสนอคณะกรรมการภายใน 60 วัน คงเป็นงานชิ้นโบว์แดงชิ้นหนึ่ง ที่ท่านอธิบดีจะทิ้งไว้ก่อนเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายนนี้ ถ้าเหตุการณ์ไม่พลิกผันเป็นอย่างอื่นเสียก่อน….

สารเคมีอีกชนิดหนึ่ง คือ ไกลโฟเซต มีมติให้จำกัดการใช้มาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ก็มีประเด็นเรียกร้องจากเกษตรกรเหมือนกันว่าที่กำหนดหลักเกณฑ์จำกัดการใช้มานั้น ไม่ต่างอะไรกับการยกเลิกการใช้เพราะดูเหมือนว่าจะใช้ไม่ได้เลยสักสถานที่เดียว ทั้งใกล้แหล่งน้ำ ทั้งที่ชุมชน ที่สาธารณะ เพราะพื้นที่เพาะปลูกย่อมต้องอยู่ใกล้แหล่งน้ำ และชุมชน ที่สาธารณะ เช่น 2 ข้างถนนที่มีวัชพืชขึ้นรกจนไม่สามารถจะใช้แรงงานกำจัดได้ จำเป็นต้องใช้สารเคมี ก็เข้าข่ายใช้ไม่ได้ด้วยเช่นกัน ถ้าจำกัดโดยใช้พื้นที่แบบนี้ก็ดูท่าจะไม่ถูกต้องนัก

เมื่อย้อนกลับไปดูเครือข่าย ที่มาร้องเรียนระบุว่ามีจำนวนถึง 686 องค์กร ก็ค่อนข้างแปลกใจว่า เป็นเครือข่ายชื่อเรียงเสียงไร อยู่ที่ไหนกันบ้าง ทำไมจึงรวมตัวได้มากขนาดนี้ ถ้ามีตัวตนจริง ทำไมไม่เรียกร้องในเรื่องอื่นๆ ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพร่างกาย และสวัสดิภาพของประชาชนที่น่าจะร้ายแรงกว่าสารเคมีที่ใช้ในการเกษตร 3 ชนิดนี้ เช่น ยาเสพติด บุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ขยะพิษที่มีคนลักลอบขนเข้ามาในประเทศนับหมื่นๆ ตัน รวมทั้ง เครื่องสำอาง อาหารเสริม ยาลดความอ้วน ที่ผลิตออกมาหลอกลวงประชาชน…..

อ่านเจอในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องสารเคมีที่ว่านี้ โดยขึ้นต้นว่า “คนร้องไม่ได้ใช้ คนใช้ (เกษตรกรส่วนใหญ่) กลับไม่มีปากเสียง” อันที่จริงเกษตรกรมีปากเสียง เกษตรกรออกมาแสดงความคิดเห็น เกษตรกรออกมาบอกว่าใช้มานานแล้วไม่เห็นมีอันตรายใดๆ ถ้าใช้อย่างถูกต้องตามคำแนะนำ ไม่ได้ใช้เอาไปดื่มกินเพื่อฆ่าตัวตาย แต่น้อยสื่อที่เอาเสียงของเกษตรกรมาเผยแพร่

เกษตรกรถามหาสิ่งที่มาใช้ทดแทนที่ราคาพอกัน ไม่ใช่มีการเสนอสารเคมีทดแทนสารเคมีที่เรียกร้องให้มีการยกเลิกที่ราคาแพงกว่าเท่าตัวหรือหลายเท่าตัว ทีอย่างนี้ไม่เห็นเครือข่าย ออกมาเรียกร้องหรือร้องเรียนช่วยให้เกษตรกร ได้ใช้ของดีที่ไม่เป็นอันตรายในราคาที่ไม่สูงจนเกินไปบ้าง

ส่วนข้อเสนอของเครือข่าย ที่ให้เก็บภาษีจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่มีอันตรายร้ายแรงมาเยียวยาให้เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบนั้น ฟันธง
ได้เลยว่า บริษัทเจ้าของผลิตภัณฑ์ไม่เดือดร้อน เพราะผลักภาระภาษีให้กับผู้ซื้อได้แน่นอน ผู้เดือดร้อนคือเกษตรกรที่ต้องซื้อสินค้าในราคาแพงขึ้น ส่วนการเอาภาษีมาเยียวยาคงต้องมีกฎระเบียบปฏิบัติที่เกษตรกรอาจจะได้ไม่คุ้มเสีย…เสียหายหลักแสน แต่ได้รับเยียวยาแค่หลักพัน….มีเกษตรกรที่เป็นแกนนำ ออกมาคัดค้านการยกเลิกการใช้ สารเคมี 2-3 ชนิดดังกล่าวที่เป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้ เพราะถ้ายกเลิกเขาเดือดร้อน แต่บรรดาเครือข่าย กลับบอกว่า เขาเหล่านั้นไม่ใช่เกษตรกรตัวจริง แต่คนในเครือข่าย ที่บางคนอาจไม่เคยทำการเกษตร ไม่เคยใช้สารเคมีดังกล่าวด้วยซ้ำกลับบอกว่าต้องเลิกเพราะเป็นอันตราย….

เห็นด้วยกับแนวคิดให้ใช้วิธีการรณรงค์ เหมือนรณรงค์ให้คนเลิกสูบบุหรี่ ประชาสัมพันธ์ให้ผู้คนทั่วไปรู้ว่าบุหรี่อันตรายอย่างไร มีเขตห้ามสูบบุหรี่ ถ้าใครอยากสูบต้องไปอยู่ในสถานที่ที่จัดไว้ให้ เราก็มาใช้วิธีการรณรงค์ให้เกษตรกรตระหนักถึงอันตรายของสารเคมีที่ใช้ ให้ความรู้และรณรงค์ให้เกษตรกรใช้สารเคมีอย่างถูกต้องตามคำแนะนำ ถ้าจะมีการจำกัดการใช้ก็พิจารณาหลักเกณฑ์ที่เหมาะสมและมีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ ก็น่าจะเป็นทางออกที่ดีทางหนึ่ง

เลิกเสียทีข้อความที่ว่า “แผ่นดินอาบสารพิษ” ที่เผยแพร่ไปทั่ว มันทำร้ายประเทศที่เราอาศัยอยู่มากเกินไป……ถ้าเป็นแผ่นดินอาบสารพิษจริง สินค้าเกษตรของเราคงส่งออกไปขายต่างประเทศไม่ได้ เกษตรกรที่ทำการผลิตพืชต่างๆ คงตายกันหมดแล้ว…..

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : ก่อนจะไปถึงเกษตรอัจฉริยะ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/343851

281225166

เลาะรั้วเกษตร : ก่อนจะไปถึงเกษตรอัจฉริยะ

วันศุกร์ ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2561, 06.00 น.

มีข่าวจาก บีโอไอ หรือ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ของไทย บอกว่าจะสนับสนุนการลงทุนให้กับเกษตรกร โดยเฉพาะการทำการเกษตรที่นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ เช่น การนำระบบเซ็นเซอร์มาใช้ตรวจสอบอุณหภูมิ ความชื้นวัดค่าต่างๆ เพื่อทำให้สามารถควบคุมปัจจัยต่างๆรวมทั้งเติมปัจจัยต่างๆ เช่นปุ๋ย น้ำ สารเคมี ผ่านทางแอพพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือ หรือ เครื่องคอมพิวเตอร์ ที่เรียกกันว่า เกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) หรือ บางท่านอาจจะเรียกว่า เกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) ก็แล้วแต่ถนัด

บีโอไอ มีมาตรการส่งเสริมการลงทุนสำหรับการทำการเกษตรสมัยใหม่ทำนองนี้ 3 มาตรการ มาตรการแรก จะสนับสนุนการผลิต หรือให้บริการระบบเกษตรสมัยใหม่ เช่น ระบบตรวจจับ หรือ ติดตามสภาพต่างๆ ระบบควบคุมการใช้ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น น้ำ ปุ๋ย เวชภัณฑ์ และระบบโรงเรือน ผู้ที่จะขอสนับสนุนส่งเสริมการลงทุนจะต้องออกแบบระบบและซอฟต์แวร์ที่จะใช้ในการบริหารจัดการมาเสนอประกอบการขอรับการส่งเสริม

มาตรการที่ 2 จะส่งเสริมการลงทุนเพื่อการยกระดับอุตสาหกรรมเกษตรไปสู่มาตรฐานสากล ทั้ง การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี หรือ GAP และระบบการจัดการความปลอดภัยอาหาร (ISO 22000) เพื่อเป้าหมายจะขยายตลาดสินค้าเกษตรของไทยในตลาดโลกให้เพิ่มมากขึ้น

มาตรการที่ 3 ส่งเสริมการลงทุนสำหรับภาคการเกษตรในระดับท้องถิ่น เป็นการส่งเสริมให้ชุมชนในท้องถิ่นสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตทางการเกษตร โดยการแปรรูปผลผลิตอย่างครบวงจร ภายใต้มาตรการนี้ ยังมีกิจการอื่นที่จะได้รับประโยชน์จากการส่งเสริมการลงทุนนี้ด้วย ถ้าเป็นกิจการที่มีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิต เช่น การผลิตปุ๋ยชีวภาพ ผลิตสารชีวภัณฑ์ป้องกันกำจัดศัตรูพืช การปรับปรุงพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ การคัดคุณภาพ การเก็บรักษาผลผลิต ผลิตภัณฑ์จากยางธรรมชาติ การถนอมอาหาร เป็นต้น

การขอรับการส่งเสริมการลงทุนดังกล่าวต้องขอภายในปี 2561 นี้ ท่านใดสนใจติดต่อสอบถามได้ที่ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน http://www.boi.go.th E mail : head@boi.go.thหมายเลขโทรศัพท์ 0-2553- 8111

ดูมาตรการที่ บีโอไอ จะให้การส่งเสริมการลงทุนแล้ว ท่าทางเกษตรกรตัวจริงจะเข้าถึงยากสักหน่อย ยกเว้น เกษตรกรรุ่นใหม่ ที่เป็น Young Smart Farmer บางรายที่เริ่มนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการผลิตซึ่งมีไม่มากนัก มาตรการนี้อาจจะเอื้อให้ผู้ประกอบการเสียมากกว่า

อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายพยายามผลักดันให้การทำการเกษตรในบ้านเรา เป็นเกษตรอัจฉริยะ เกษตรแม่นยำ เกษตร 4.0 เกษตรสมัยใหม่ หรือเกษตรอะไรก็ตามที่แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้า ทันสมัย เหมือนอย่างที่สถาบันเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์นำเสนอแนวทางปรับโครงสร้างภาคเกษตรของไทย ไว้ 7 แนวทาง

ประกอบด้วย การจูงใจให้คนรุ่นใหม่ การศึกษาสูงมาทำการเกษตร ส่งเสริมการปลูกพืชที่มีราคาสูงโดยการรวมกลุ่มกันผลิตเพื่อลดต้นทุนและสนับสนุนการให้สินเชื่อ ให้เกษตรกรมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินทำกินเป็นของตนเอง เพิ่มพื้นที่ชลประทานให้มากขึ้นส่งเสริมทำการเกษตรผสมผสาน ส่งเสริมให้ใช้เครื่องจักรกลแทนแรงงานคน และผลักดันให้แรงงานผลิตภาพต่ำออกนอกภาคเกษตร

บางแนวทางที่กล่าวมาก็พอเห็นว่ามีการดำเนินการอยู่บ้าง เช่น คนรุ่นใหม่ที่มีการศึกษาสูงหันมาทำการเกษตร แต่คนกลุ่มนี้มีไม่มากนักเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนเกษตรกรทั้งประเทศ

การใช้เครื่องจักรแทนแรงงานคนก็มีอยู่มากเห็นได้ทั่วไป เพราะค่าจ้างแรงงานนับวันแต่จะสูงขึ้น เกษตรกรส่วนใหญ่จึงหันมาลงทุนเครื่องจักรแทน แต่เครื่องจักรที่เกษตรกรใช้เป็นเครื่องจักรพื้นๆ ที่ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงสักเท่าไร

การผลักดันให้การเกษตรของไทยไปสู่ เกษตรอัจฉริยะ หรือ เกษตรแม่นยำ หรือ เกษตร 4.0 นั้น ต้องแก้ปัญหาเกษตรกรสูงวัยในปัจจุบันกันก่อน เพราะเกษตรกรกลุ่มนี้มีประมาณครึ่งหนึ่งของเกษตรกรทั้งหมด การรับเทคโนโลยีใหม่ๆ สำหรับคนสูงวัยอาจจะไม่ได้อย่างที่หวัง จะทำอย่างไรให้เกษตรกรรุ่นใหม่ที่มีการศึกษาสูงเข้ามาทำการเกษตรแทนเกษตรกรรุ่นเก่าที่อายุมากขึ้น ลำพังกระทรวงเกษตรฯ หน่วยงานเดียวคงทำไม่ได้ ต้องร่วมกันหลายหน่วยงาน ทั้งกระทรวงศึกษาธิการกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ กระทรวงพาณิชย์ ที่สำคัญคือ คนที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีในอนาคตต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นประเทศไทยคงอยู่แค่ เกษตร 0.4 เท่านั้น….และก็คงจะทะเลาะกันเรื่องห้ามหรือไม่ห้ามใช้สารเคมีซ้ำซากอยู่อย่างนี้ไปอีกนาน

แว่นขยาย