แก้ผ้าลุงแซม : ไม่เผือกเรื่องการเมืองไทยสิ..ลุงแซม

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/738301

แก้ผ้าลุงแซม : ไม่เผือกเรื่องการเมืองไทยสิ..ลุงแซม

แก้ผ้าลุงแซม : ไม่เผือกเรื่องการเมืองไทยสิ..ลุงแซม

วันอังคาร ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2566, 06.00 น.

อาทิตย์ที่ผ่านมามีข่าวหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับบ้านเราที่น่าจับตามอง ช่วงนี้ต้องช่วยกันจับตามองไอ้นกอินทรีหัวล้านเป็นพิเศษ ว่าจะคายความกระสันแบบไหนออกจากปาก เพราะในการเมืองยังมีการเมืองครอบอยู่อีกชั้นหนึ่ง คือมีการแทรกแซงของต่างชาติ ที่ต้องการเข้ามาสนับสนุนพรรคการเมืองบางพรรคในไทย โดยสามารถสั่งซ้ายหันขวาหัน เพื่อประโยชน์ร่วมกันระหว่างชาติตนกับพรรคการเมืองนั้นๆ

ข่าวที่ว่านั้นคือ เคิร์ท แคมป์เบลล์ ผู้ประสานงานภาคพื้นอินโด-แปซิฟิกของทำเนียบขาว กล่าว ณ สถาบันฮัดสันว่า

“เราจับตาการเลือกตั้งอย่างระมัดระวัง นี่คือขั้นที่ละเอียดอ่อนในแง่ของการจัดตั้งรัฐบาล”

เดี๋ยวนะ นี่ไม่เผือกเรื่องราวในบ้านคนอื่นบ้างได้ไหม แต่จะว่าไป เรื่องเผือกไม่มีใครเกินอเมริกาอีกแล้ว ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อผลประโยชน์ของชาติตัวเองเป็นหลักนั่นแหละ

คิดดูแล้วกัน ยังไม่ทันจะได้รัฐบาลใหม่ ลุงแซมเสนอหน้ามาเผือกเสียแล้ว จะว่าไปก็เผือกมาตลอด รวมทั้งก่อนเลือกตั้งด้วย ที่เล่นบทเจ๊ดันบางพรรคที่ตัวเองหนุนก้นให้เป็นรัฐบาลเงา พิทักษ์ผลประโยชน์ให้อเมริกา บทนี้อเมริกาเล่นมาตลอดกับทุกชาติที่ต้องการเข้าแทรกแซงครอบงำ

อเมริกากำลังหาทางยกระดับความสัมพันธ์กับพันธมิตรและคู่หูทั่วเอเชีย ในความพยายามตีโต้กลับความเคลื่อนไหวแผ่ขยายอิทธิพลของจีน แคมป์เบลล์บอกว่าวอชิงตันต้องการค้ำยันความสัมพันธ์ทวิภาคีที่แข็งแกร่งกับไทย ซึ่งเป็นพันธมิตรสนธิสัญญาที่เก่าแก่ที่สุดของสหรัฐฯ ในภูมิภาคนี้ พอจะหาประโยชน์ก็โอบบ่าเรียกว่าเพื่อนรักเก่าแก่ขึ้นมาทันที

“ผมคิดว่าปฏิเสธไม่ได้ว่าการเมืองของไทยยังไม่เสถียรและซับซ้อน ผมคิดว่าเป้าหมายของเราจะเป็นการสนับสนุนรัฐบาลประชาธิปไตยที่มีประสิทธิภาพและเสถียรภาพในไทย จากนั้นจะทำงานร่วมกับพวกเขา”

เห็นประโยคข้างบนหรือยัง ชัดยิ่งกว่าชัด “เป้าหมายของเราจะเป็นการสนับสนุนรัฐบาลประชาธิปไตยที่มีประสิทธิภาพและเสถียรภาพในไทย จากนั้นจะทำงานร่วมกับพวกเขา” บรรทัดนี้ต้องขีดเส้นใต้เน้นตัวหนาเลยนะ

ก่อนที่เอกอัครราชทูตอเมริกาคนล่าสุด คือ โรเบิร์ตเอฟ.โกเดค จะเข้ามารับตำแหน่ง รายนี้เคยแถลงต่อกรรมาธิการต่างประเทศของวุฒิสภาสหรัฐฯ เมื่อ 13 ก.ค.ปี 2565 มาแนวสายเหยี่ยวเต็มที่ ขนาดตัวยังมาไม่ถึง แต่จมูกยื่นทะลุไทยมาเรียบร้อยแล้ว เพราะประกาศจะให้ไทยปรับปรุงสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น

การที่อเมริกาเข้ามาบงการเบื้องหลังพรรคการเมืองบางพรรค มีจุดมุ่งหมายแฝง ทั้งหมดนี้เพื่อให้ทำตามนโยบายที่ตนต้องการ เช่น ดึงให้เข้าร่วมเป็นพวก หรือใช้เป็นฐานในการทำสงคราม เพื่อเอาไว้คานอำนาจกับชาติที่ไม่ชอบหน้า ไม่ใช่เราแค่ชาติเดียวที่อเมริกาเข้าไปเสือก ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนคือ ความสัมพันธ์ระหว่างยูเครนและประเทศนาโต้ โดยมีพี่เบิ้มอเมริกาคอยกำกับอยู่ข้างหลังนั่นไง

ไอ้คำสวยหรูอย่างประชาธิปไตยหรือสิทธิมนุษยชนเหล่านั้น ลุงแซมใช้เป็นเครื่องมือในการกดดันประเทศเล็กๆ ที่แข็งข้อไม่ยอมก้มลงจูบตีนแต่โดยดี สิทธิมนุษยชนที่ท่านว่าก็เพื่อเอาไว้บีบคอบังคับให้ชาติอื่นทำตามที่อเมริกาต้องการ เพื่อผลประโยน์ของอเมริกาเท่านั้นแหละ

อย่าคิดว่าอเมริกาไม่เคยจมูกยื่นยาวแทรกแซงชาติอื่น หันไปดูเพื่อนบ้านเรานี่เลย ยุคสงครามเย็น อเมริกาแทรกแซงการเมืองในกัมพูชา ปี 2514 สนับสนุนให้นายพลลอนนอลโค่นล้มรัฐบาลสมเด็จนโรดมสีหนุ ยังไม่หมดเท่านี้ อเมริกาแทรกแซงเวเนซุเอล่า จนเกิดวิกฤตมาจนปัจจุบัน

เมื่อ 12 ปีก่อน ตะวันออกกลางเกิดการประท้วงครั้งยิ่งใหญ่เรียกว่า “อาหรับสปริง” อเมริกาชูธงประชาธิปไตย เรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองหลายประเทศอาหรับ เช่น อียิปต์ ลิเบีย ซีเรีย จนเกิดสงครามภายในลิเบียและซีเรีย ใครล่ะที่รับกรรม ประชาชนของประเทศเหล่านั้นนั่นเอง

ตามรายงานของ Dov Levin จากมหาวิทยาลัย Carnegie Mellon ในระหว่างปี 2489 ถึงปี 2543 สหรัฐฯได้มีการแทรกแซงการเลือกตั้งของประเทศอื่นถึง 81 ครั้ง นั่นยังไง อย่าไร้เดียงสาเพราะคำหวานที่อเมริกาเรียกเราว่า “มหามิตร” เลย หวานยาพิษชัดๆ

ที่ผ่านมาสหรัฐฯได้ให้เงินสนับสนุนองค์กรเอกชนที่เคลื่อนไหวในประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ซึ่งถือเป็นการเดินงานมวลชนเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์บางอย่าง โดยให้เงินสนับสนุนผ่านองค์กร 3 แห่ง คือ 1.กองทุนเพื่อประชาธิปไตยแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (America’s
National Endowment for Democracy : NED) 2.มูลนิธิโอเพน โซไซตี้ (Open Society Foundation : OSF) 3.องค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ หรือ USAID

มาดูกันว่าไอ้ 3 องค์กรที่ว่านี่แจกเงินให้หน่วยงานไหนบ้าง อ่านระหว่างบรรทัดแล้วจะเห็นชัดเจนว่าอเมริกาถือหางพรรคการเมืองแบบไหน

กองทุนเพื่อประชาธิปไตยแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (America’s National Endowment for Democracy : NED) หรือเรียกกันว่าองค์กรนี้เป็นซีไอเอภาคประชาชน สนับสนุนเงินแก่เว็บไซต์ประชาไท มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม (TVS.) มูลนิธิเพื่อการศึกษาและสื่อภาคประชาชนอีสาน (The Isaan Record) สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน-HRLA มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLAW) ฮิวแมนไรท์วอทช์

มูลนิธิโอเพน โซไซตี้ (Open Society Foundation : OSF) ของ จอร์จ โซรอส สนับสนุนเงินให้เว็บไซต์ประชาไท เครือข่ายพลเมืองเน็ต (Thai Netizen Network) มูลนิธิผสานวัฒนธรรม (Cross Cultural Foundation) สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (FCCT) และโครงการอินเตอร์เนตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw)

องค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ หรือ USAID เงินกองทุนบางส่วนใช้เพื่อสนับสนุนองค์กรที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพของสถาบันกษัตริย์ของไทย เช่น เว็บไซต์ประชาไท ทั้งนี้ จากข้อมูลยังพบว่ากองทุนของสหรัฐนั้นสนับสนุนการโจมตีสถาบันกษัตริย์ทางอ้อม โดยสนับสนุนเงินทุนให้แก่กลุ่มที่สู้คดี ม.112 ซึ่งเงินที่กลุ่มนี้ใช้ประกันตัวก็มาจากกองทุนของสหรัฐนั่นเอง เริ่มมองเห็นภาพแล้วใช่ไหมล่ะ

ทำไมอเมริกาถึงพยายามจะครอบงำแทรกแซงบ้านเราให้ได้ เรื่องนี้มีที่มาที่ไป อเมริกาพยายามขยายอำนาจนอกชาติทุ่มเงินก้อนหนึ่งผ่านองค์กรที่ว่า เข้ามาชักใยกลุ่มสามนิ้ว กลุ่มเอ็นจีโอ กลุ่มนักวิชาการ และกลุ่มสื่อ ซ่องสุม หลอมแนวคิดแนวทาง แล้วกระจายกันเดินทั้งใต้ดินบนดินและในอากาศ ผ่านสื่อรูปแบบต่างๆ ปั่นกระแส โน้มน้าว ชักจูงมวลชน ทุกรูปแบบ เพื่อส่งให้พรรคการเมืองบางพรรคได้อำนาจครองสภาผ่านการเลือกตั้ง

จุดหมายคือการให้พรรคการเมืองที่อเมริกาเลือกเข้าไปเป็น “ตัวแทนอำนาจนอกชาติ” อยู่ใต้การควบคุมของอเมริกา ทำหน้าที่ “ในสภา-ในรัฐบาล” เพื่อเปิดประตูให้อเมริกาเข้ามาใช้ประเทศเป็นฐานปฏิบัติการทางทหาร เพื่อยันอำนาจกับจีน ดังนั้นความพยายามที่จะตั้งฐานทัพในประเทศไทยจึงไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อแต่อย่างใด

แก้ผ้าลุงแซม : ควํ่าบาตรยังไงให้ฟาดหน้าตัวเอง

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/690604

วันอังคาร ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565, 06.00 น.

ในอเมริกานั้นราคาน้ำมันดีเซลแพงกว่าเบนซิน นี่หมายถึงราคามาตรฐานหน้าปั๊มทั่วไป นาทีนี้เกิดการขาดแคลนน้ำมันดีเซลไปทั่วทุกหัวระแหง อันเป็นผลมาจากการคว่ำบาตรมาตรการห้ามนำเข้าจากรัสเซีย สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่าภาวะขาดแคลนดีเซลในอเมริกากำลังลุกลามไปทั่วชายฝั่งตะวันออก ซึ่งเกิดจากมาตรการห้ามนำเข้าจากรัสเซีย แน่นอนว่าราคาน้ำมันที่พุ่งสูงอยู่แล้วตอนนี้ กำลังจะทะยานพุ่งสูงขึ้นไปอีกและขาดแคลนทั่วอเมริกา

แมนสฟิลด์ เอเนอร์จี หนึ่งในตัวแทนจำหน่ายเชื้อเพลิงรายใหญ่ของประเทศ เตือนบรรดาลูกค้าเกี่ยวกับการส่งมอบล่าช้า เพราะรถบรรทุกน้ำมันต้องเสียเวลาเดินทางไปยังคลังน้ำมันหลายแห่ง เพื่อเสาะหาอุปทาน และด้วยปัญหาขาดแคลนแผ่ลามไปทั่วฝั่งตะวันออกของประเทศ

อุปทานดีเซลในนิวอิงแลนด์ ที่พึ่งพิงน้ำมันดีเซลสำหรับทำความร้อนมากที่สุดลดลงเหลือแค่ราวๆ 1 ใน 3 ของระดับปกติของช่วงเวลานี้ในแต่ละปี และหากพิจารณาทั่วประเทศ พบว่าสหรัฐฯ เหลืออุปทานดีเซลแค่ราวๆ 25 วัน ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2008

อเมริกาอาจระบายคลังสำรองน้ำมันทำความร้อนสำหรับภาคครัวเรือนในแถบตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งมีดีเซลสำหรับใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน 1 ล้านบาร์เรล แต่วอชิงตันโพสต์รายงานว่า ด้วยอุปสงค์สำหรับเชื้อเพลิงชนิดนี้สูงมาก จึงมีความเป็นไปได้ว่าคลังน้ำมันทำความร้อนเหล่านี้จะหมดลงภายในเวลาไม่ถึง 6 ชั่วโมง

สถาบันปิโตรเลียมอเมริกา และกลุ่มผู้ผลิตเชื้อเพลิงและปิโตรเคมีแห่งอเมริกาทำหนังสือถึง เจนนิเฟอร์ แกรนโฮล์ม รัฐมนตรีพลังงาน เมื่อกลางเดือนที่ผ่านมาว่า การแบนหรือจำกัดการส่งออกผลิตภัณฑ์กลั่น อาจทำให้ปริมาณคลังสำรองลดลงอย่างรวดเร็ว ลดศักยภาพการกลั่นภายในประเทศก่อแรงกดดันแก่พวกผู้บริโภคในด้านราคาพลังงาน และสร้างความบาดหมางกับพันธมิตรของสหรัฐฯ ในช่วงระหว่างสงคราม

ราคาดีเซลที่พุ่งสูง อาจทุบระบบเศรษฐกิจอเมริกาพังทลาย เพราะบรรดารถบรรทุก 18 ล้อ หรือยานยนต์พลังงานดีเซลอื่น คิดเป็นสัดส่วนถึงราวๆ 70% ของการขนส่งสินค้า

ปัญหาขาดแคลนเบนซินทั่วชายฝั่งตะวันออกในอเมริกาถีบราคาหน้าปั๊มพุ่งทะยาน ไล่ตั้งแต่รัฐนิวยอร์กไปจนถึงรัฐเมน และราคาพุ่งพรวดชั่วข้ามคืน นี่กลายเป็นอาวุธที่ย้อนกลับมาทิ่มแทงพรรคเดโมแครต ศึกเลือกตั้งกลางเทอมอยู่ห่างออกไปแค่สัปดาห์เศษๆ และรัฐบาลนี้เคยหยิบยกเรื่องการฉุดราคาเบนซินให้ลดต่ำลงเป็นจุดขาย

หลายคนอาจสงสัยว่าอเมริกาก็มีน้ำมัน แล้วทำไมยังขาดแคลน อเมริกาเป็นผู้ผลิตเบนซินรายใหญ่ แต่เชื้อเพลิงส่วนใหญ่ที่ผลิตในศูนย์กลางการกลั่นบริเวณคาบสมุทรกัลฟ์เป็นการส่งออกไปยังละตินอเมริกา

ฝั่งตะวันออกของอเมริกาเป็นเมืองท่าชายฝั่งแอตแลนติก น้ำมันที่ใช้แถบนี้คือการนำเข้าน้ำมันจากที่อื่นแต่นาทีนี้ผลการคว่ำบาตรย้อนกลับมาฟาดหน้าตัวเองอย่างจังเพราะขาดแคลนน้ำมันที่เคยนำเข้ามา ทั้งหมดนี้เป็นผลจากการจ้องหักคอหมีรัสเซียนั่นเอง กรรมแท้ๆ ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัวอย่างแท้ทรู

การขนส่งเบนซินและส่วนผสมผลิตภัณฑ์น้ำมันชนิดต่างๆ มายังนิวยอร์ก ลดลงราว 25% เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ตามรายงานของบลูมเบิร์ก พร้อมระบุว่าอุปทานในภูมิภาคอ่าวนิวยอร์กแตะระดับต่ำสุดในรอบ1 ทศวรรษ หากเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันนี้ของแต่ละปี

ในขณะที่โลกระอุขนาดนี้ ลุงแซมยังมีหน้าไปบีบไข่ยิวอีกต่างหาก มีการโยงตรรกะแปลกๆ ว่า ดูอิหร่านสิวะยังส่งอาวุธให้รัสเซีย แล้วอิสราเอลที่เกลียดอิหร่านสุดติ่ง ก็ควรช่วยเหลือยูเครนสิ เพราะฉะนั้น แกต้องเข้ามาร่วมดันยูเครนกับเรา

อิสราเอลลังเลที่จะเข้าร่วมพันธมิตรที่ นำโดย อังเคิลแซมที่ดันก้นยูเครนเหย็งๆ ไปรบกับไอ้หมีรัสเซีย การเดินทางเยือนกรุงวอชิงตันของเฮอร์ซอกในครั้งนี้ยิ่งทำให้ประธานาธิบดีอิสราเอลกลืนไม่เข้าคายไม่ออกบอกไม่ได้มากขึ้นไปอีก เพราะอเมริกาหันมาบีบคอให้สมยอมเป็นพวกสนับสนุนยูเครน โดยอาศัยความเกลียดชังที่อิสราเอลมีต่ออิหร่านเป็นตัวกล่อม

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน และไอแซก เฮอร์ซอก ผู้นำอิสราเอล เปิดห้องเม้าท์มอยกันเรื่องสงครามยูเครน ที่กำลังตกที่นั่งลำบากเพราะเจอโดรนโจมตี อันเป็นอาวุธที่อิหร่านประเคนให้รัสเซีย เลยทำให้ชาติฝรั่งอั้งม้อหันมาบีบไข่อิสราเอลให้ละทิ้งจุดยืนเป็นกลางแล้วหันมาช่วยเหลือเคียฟ ไหนบอกว่าเคารพในการตัดสินใจของแต่ละชาติไง ทำไมหันไปบีบไข่บีบคอให้ยอมพยักหน้าเห็นดีงามกับนักเลงโลกแบบนั้นล่ะ

แก้ผ้าลุงแซม : อเมริกาเตี้ยลง

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/685611

วันอังคาร ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2565, 06.00 น.

ในบรรดาประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วต้องมีอเมริกาเสนอหน้ายืนหนึ่งมาโดยตลอด แต่ใครจะคิดว่าอีกไม่นานมหาอำนาจอย่างอเมริกาอาจจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มประเทศพัฒนาอีกต่อไปแล้วก็ได้

อเมริกา…มหาอำนาจที่เคยเกรียงไกรถูกลดอันดับในการจัดลำดับประเทศทั่วโลก ทั้งทางด้านการพัฒนา ประชาธิปไตย และความเสมอภาคเท่าเทียม สำนักงานสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน (United Nations Office of Sustainable Development) ลดระดับอเมริกาลงมาอยู่ที่อันดับ 41 จากทั่วโลก ต่ำลงจากคราวก่อน
ซึ่งอยู่ที่อันดับ 32 คือ ยิ่งจัดอันดับยิ่งต่ำลงมาเรื่อยๆ

การจัดอันดับประเทศทั่วโลกครั้งนี้ จัดทำเมื่อเดือนกรกฎาคม 2022 โดยใช้ระเบียบวิธีศึกษาวิจัย รวมทั้งสิ้น17 หลักเกณฑ์ผลคือไอ้นกอินทรีหัวล้านปีกหักร่วงลงมากองระหว่างคิวบากับบัลแกเรียโดยที่ทั้ง 2 ประเทศนี้เป็นประเทศกำลังพัฒนา อ้าว..แล้วแบบนี้อเมริกาจะจัดในหมวดไหนล่ะ ตกลงเป็นประเทศกำลังพัฒนาเหมือนกันหรือเปล่า

ไม่เพียงแต่ดิ่งเหวเรื่องการเป็นประเทศพัฒนาแต่อเมริกาถูกมองว่าเป็นประเทศซึ่งอยู่ในกลุ่ม “ประชาธิปไตยบกพร่อง” อีกด้วย ทั้งนี้ ตามดัชนีประชาธิปไตยของนิตยสาร
ดิอีโคโนมิสต์ (The Economist’s democracy index)

ดัชนีประชาธิปไตยของนิตยสารดิอีโคโนมิสต์อเมริกาจัดอยู่ในกลุ่มประเทศ “ประชาธิปไตยบกพร่อง”โดยได้คะแนนรวมทั้งหมดอยู่ในตำแหน่งระหว่างเอสโตเนียและชิลี

นี่ถือว่าสอบตกชัดๆ การที่ไม่ได้ถูกบรรจุเอาไว้ในกลุ่ม“ประชาธิปไตยเต็มที่”เพราะความแตกแยกทางการเมืองระหว่างรีพับลิกันและเดโมแครตในรัฐที่เป็นบลูสเตทและเรดสเตท ที่แตกแยกจนประสานกันไม่ติดและยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ งามหน้ามั้ยล่ะ ลุงแซมแบบนี้จะยังมีหน้าเอาคำว่าประชาธิปไตยไปไล่ฟาดชาวบ้านอยู่อีกไหม

ผลงานโบดำล่าสุด เมื่อต้นเดือนกันยายน 2565เกิดม็อบโจรปล้นกลางวันแสกๆ แบบเย้ยฟ้าท้าดินคนกลุ่มหนึ่งนัดมารวมตัวกันหน้าร้าน 7-11คือนัดรวมพลออนไลน์แล้วกรูกันปล้นในช่วงเวลาที่นัดหมายซึ่งน่าจะเป็นฤกษ์ดาวโจร ไม่ใช่ดาวโจนส์ ครั้งนั้นเกิดขึ้นที่ลอสแองเจลิส

ดูราวกับเป็นพฤติกรรมเลียนแบบ เกิดขึ้นอีกแล้วสดๆ ร้อนๆ หนนี้เกิดที่ฟิลาเดลเฟีย จริงๆ แล้วบุกปล้นไปเมื่ออาทิตย์ก่อนแต่ตำรวจฟิลาเดลเฟียเพิ่งเปิดเผยคลิปที่จับภาพฝูงชนที่กรูเข้าไปปล้นร้านสะดวกซื้อชื่อร้านวาวา

ภาพที่วีดีโอแสดงให้เห็นว่ามีคนเหล่านี้กรูกันเข้ามาในร้านอย่างเต็มภาคภูมิ ไม่มีการคาดหน้ากากหรือปกปิดใบหน้าแต่อย่างใดดูเหมือนสุขใจที่ได้ปล้น เลยไม่คิดบังหน้าใดๆทั้งสิ้นขโมยทุกสิ่งทุกอย่างที่หยิบฉวยได้

บางกลุ่มก็กระโดดขึ้นไปเต้นแร้งเต้นกาอยู่บนหลังคารถที่จอดหน้าร้านแล้วเหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นตอนดึกสงัดหรือเช้าตรู่แบบยามวิกาลแต่อย่างใด แต่เกิดขึ้นตอนสองทุ่มกว่าๆ

คาดว่าบรรดาฝูงดาวโจรมีประมาณร้อยกว่าคน ส่วนมากเป็นเยาวชนที่น่าตกใจคือเด็กอายุแค่สิบขวบก็มาปล้นร้านนี้ด้วย

ฝูงม็อบขว้างปาอาหารเกลื่อนกลาดบางคนปืนขึ้นไปยืนบนเฟอร์นิเจอร์ พนักงานของร้านยืนตัวลีบจ้องภาพเบื้องหน้าตาปริบๆ ทำได้แค่ยืนดู ขยะและสินค้าต่างๆกระจัดกระจายเกลื่อนพื้น

ตำรวจกำลังทำงานร่วมกับสำนักงานอัยการเขตเพื่อแจ้งข้อหากล่าวหาผู้ต้องสงสัยหนึ่งในข้อกล่าวหาที่มีความเป็นไปได้คือก่อจลาจลซึ่งเป็นความผิดทางอาญาเพื่อนำตัวผู้กระทำผิดทุกคนเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

อาทิตย์ก่อนอีกเหมือนกัน เกิดการกราดยิงอีกแล้วหนนี้เกิดขึ้นใกล้โรงเรียนรัดส์เดล นิวคัมเมอร์ ซึ่งเป็นโรงเรียนสำหรับผู้อพยพวัย 16-21 ปี ที่หนีภัยสงครามและความรุนแรงจากประเทศบ้านเกิด โดยในบริเวณใกล้ๆ กันมีโรงเรียนตั้งอยู่อีก 3 แห่ง มีผู้บาดเจ็บ 6 คน 2 คนอาการสาหัสส่วนคนร้ายยังลอยนวล

ตำรวจกำลังล่าตัวคนร้าย ซึ่งคาดว่าอาจมีมากกว่า 1 คน ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียออกแถลงการณ์ผ่านทวิตเตอร์แสดงความวิตกว่าเหตุกราดยิงในอเมริกา นับวันจะเกิดขึ้นบ่อยจนคุ้นชินกันมากไปแล้ว

ถ้าการเมืองดี…จุดๆๆๆ นั่นเว้นไว้ให้เติมคำในช่องว่างให้สมบูรณ์

แก้ผ้าลุงแซม : เสรีภาพเจ้ากรรมในเมืองนางฟ้า

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/676434

วันอังคาร ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2565, 06.00 น.

เคยมีการโหวตกันว่ารัฐไหนน่าอยู่ที่สุดในอเมริกาผลคือรัฐแคลิฟอร์เนีย ด้วยเหตุผลหลายอย่างทั้งเรื่องอาหารการกินอุดมสมบูรณ์ อากาศไม่หนาวจัดและไม่ร้อนจัดแถมทัศนียภาพมีครบ ตั้งแต่ภูเขาหิมะปกคลุมไปจนถึงป่าสนต้นมหึมาจนกระทั่งทะเลทราย เรียกว่าเป็นรัฐที่จัดเต็มและครบครันทุกรูปแบบ

เมืองใหญ่ที่เป็นเมืองท่องเที่ยวคือซานฟรานซิสโกถือเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ใครๆ อยากไปเยือน แต่ถ้าให้ไปอยู่คงต้องคิดหนักเพราะราคาที่พักอาศัยแพงที่สุดในประเทศเคยไปเยี่ยมญาติในซานฟรานซิสโก สองคนสามีภรรยาอยู่ห้องเล็กๆห้องนอนเดียว แต่ค่าเช่านั้นสามารถเอามาเช่าบ้านหลังใหญ่ในรัฐเล็กๆ อย่างอินเดียน่าได้สบายๆ แถมการมีรถขับก็ลำบากยากเย็นไอ้ราคาค่ารถไม่เท่าไหร่หรอก แต่ค่าจอดนี่แหละที่แพงสุดชีวิต

ซานฟรานซิสโก หมายถึงที่พำนักของนักบุญฟรานซิสชื่อหรูหราหมาเห่าพอกับลอสแองเจลิสนั่นแหละที่แปลตรงตัวว่าเมืองนางฟ้า ความหมายดีงามทั้งคู่ทั้งสองเมืองล้วนมีไชน่าทาวน์สมัยก่อนใครๆ ก็อยากไปเที่ยวทั้งสองเมืองนี้ แต่ตอนนี้บอกตรงๆ ว่า ถ้าไม่จำเป็นจะไม่ไปเยือนอีกเลย

การทำร้ายคนเอเชียในอเมริกายังไม่แผ่วจางลงเลยแม้แต่น้อยยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ล่าสุดเกิดเหตุสะเทือนขวัญกลุ่มชายผิวดำบุกทำร้ายอาซิ้มวัย 70 ปี ถึงที่พักดูอายุจากกลุ่มที่รุมทำร้ายหญิงชราแล้วตกใจ เพราะแก่สุดอายุ 18 ปี

นอกนั้นอายุ 14 ปี 13 ปี และ 11 ขวบ รู้อายุถึงกับยกมือทาบอกโอ้มายก๊อดหลอดบุดด้าจีซัสมารี คืออายุ 11 ขวบเท่านั้นเองก็ริก่อกรรมทำเข็ญแล้ว

เรื่องมีอยู่ว่าอาซิ้มเดินกลับอพาร์ทเมนท์ของตัวเองระหว่างนั้นกลุ่มเด็กผีเข้ามารุมถามโน่นนี่นั่นด้วยความที่ไม่สันทัดภาษาอังกฤษ เลยรีบเดินหนีเข้าตัวอาคารอพาร์ทเมนท์แต่ไม่รอด ฝูงเด็กผีปรี่ตามไปเตะถีบทุบถองแบบจัดหนักแล้วขโมยข้าวของกระเป๋าเงินไปด้วย อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ทั้งหมดถูกกล้องวงจรปิดจับภาพเอาไว้ได้

นี่ไม่ใช่เหตุการณ์แรกและไม่ใช่เหตุการณ์สุดท้ายในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมาอาชญากรรมต่อชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะในเขตเบย์แอเรียซานฟรานซิสโกจากการรายงานของเดอะการ์เดียน สื่ออังกฤษพบว่าอาชญากรรมที่เกิดขึ้นต่อชาวเอเชียในเมืองซานฟรานซิสโกที่มีประชากรอาศัยราว 875,000 คน สูงถึง 567% หรือจาก 9 คดีในปี 2020 มาอยู่ที่ 60 คดี ในปี 2021

ทางฝั่งนิวยอร์กเผชิญกับอาญากรรมจากความเกลียดชังต่อต้านคนเอเชียสูงกว่าปีก่อนมาก จากข้อมูลของตำรวจพบว่าเหตุความรุนแรงต่างๆ ที่มีเป้าหมายเล่นงานคนเอเชีย จนถึงเดือนธันวาคม 2021 เพิ่มขึ้นถึง 361%

มาดูสถิติในปี 2019 ของคดีความเกลียดชังที่รวบรวมโดย FBI พบว่ามีจำนวนเหยื่อรวม 4,930 คนของคดี และจากทั้งหมดมีราว 4.4% เป็นคดีความเกลียดชังต่อชาวเอเชีย เทียบกับ 48.5% ของคดีความเกลียดชังผิวสีแอฟริกันอเมริกัน และ 14.1% ต่อชาวละตินอเมริกัน

ส่วนรายงานล่าสุดของ STOP AAPI Hate หรือองค์กรยุติความเกลียดชังต่อชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียและหมู่เกาะแปซิฟิกคนอเมริกันเชื้อสายเอเชียในอเมริกาตกเป็นเป้าของการถูกคุกคามหรือทำร้ายเนื่องจากความเกลียดชังด้านเชื้อชาติหรือสีผิวมากกว่า 3,795 ครั้ง ภายในช่วงเวลาไม่ถึงหนึ่งปี

รัฐที่เกิดเหตุมากที่สุดถึง 45 เปอร์เซ็นต์ ของกรณีทั้งหมด คือ รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งรัฐนี้มีประชากรชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียอาศัยอยู่มากที่สุดรองมาคือ รัฐนิวยอร์ก ซึ่งมีรายงานการคุกคามถึง 14 เปอร์เซ็นต์การคุกคามด้านเชื้อชาตินั้นแบ่งออกเป็นสามลักษณะใหญ่ ๆ ได้ คือการคุกคามด้วยคำพูด 68.1 เปอร์เซ็นต์ รองลงมา คือการแสดงความรังเกียจ 20.5 เปอร์เซ็นต์ และท้ายสุด คือการทำร้ายร่างกาย ซึ่งคนเอเชียตกเป็นเหยื่อถึง 11.1 เปอร์เซ็นต์

ในอาทิตย์เดียวกันนี่แหละข้ามมาอีกเมืองหนึ่งคือเมืองนางฟ้าหรือลอสแองเจลิสเกิดม็อบโจรปล้นกลางวันแสกๆแบบเย้ยฟ้าท้าดินคนกลุ่มหนึ่งนัดมารวมตัวกันหน้าร้าน 7-11ไม่ได้มารวมเพื่อทำกิจกรรมสร้างสรรค์แต่อย่างใด แต่นัดมาปล้นร้านนี้

การปล้นเป็นไปอย่างเปิดเผยและเป็นกันเองไม่มีการคาดหน้าคาดตาหรือปกปิดใบหน้าทั้งสิ้นเมื่อกลุ่มคนมาถึงก็บุกเข้าปล้นอย่างหน้าด้านๆ บ้างเข้าไปในร้านโยนข้าวของทั้งของกินของใช้ให้คนรอรับนอกร้านแล้วไอ้ที่บุกปล้นก็ไม่ใช่น้อยๆ นับดูคร่าวๆ น่าจะร่วมร้อยได้ที่ปล้นแบบไม่แคร์ใดๆ ในโลกใบนี้ ไหนบอกว่าถ้าการเมืองดีชีวิตจะดี๊ดีตามไง

ไม่ใช่ว่าไม่มีแคชเชียร์ แต่กรูกันมาขนาดนี้ใครเป็นแคชเชียร์ก็คงหนีตาย ใครจะอยากเอาชีวิตไปเสี่ยงกับฝูงโจรสาหัสกว่านั้นระหว่างที่แคชเชียร์หลบตรงซอกหนีตายไอ้พวกปล้นฉวยกล้วยระดมปาไปที่แคชเชียร์อย่างเมามันเฮ้ย..นี่ไม่ใช่สาวน้อยตกน้ำนะ จะปาทำไมแคชเชียร์อุตส่าห์แอบตัวลีบอย่างยอมจำนนแล้ว

สาเหตุที่พวกนี้กล้ายกพวกปล้นกลางวันแสกๆ เพราะกฎหมายของรัฐแคลิฟอร์เนียนี่แหละคงต้องอธิบายก่อนว่าแม้ว่าอเมริกาทุกรัฐจะอยู่ภายใต้กฎหมายหลักแต่ละรัฐก็ออกกฎหมายแยกย่อยแตกต่างกันไปตามความต้องการของพลเมืองแต่ละรัฐ กฎหมายแคลิฟอร์เนียข้อหนึ่งกำหนดว่าถ้าเกิดการขโมยข้าวของเกิดขึ้น แล้วสินค้าที่ถูกขโมยมีราคาไม่ถึง 950 ดอลลาร์ หรือประมาณไม่ถึงสามหมื่นกว่าบาทนี่เทียบคร่าวๆ แบบลวกๆ เพราะอัตราแลกเปลี่ยนเปลี่ยนทุกวันให้ถือเป็นความผิดที่ไม่รุนแรง

นั่นหมายถึงตำรวจอาจจะไม่สืบสวนหรือส่งฟ้องอัยการนั่นเองกฎหมายข้อนี้แหละที่ทำให้หัวขโมยได้ใจถึงกล้ายกพวกนัดปล้นกลางวันแสกๆ ขนาดนี้นี่แหละคือเสรีภาพเจ้ากรรมที่เกิดขึ้นกลางเมืองนางฟ้าและนครแห่งนักบุญของอเมริกาในปัจจุบัน

แก้ผ้าลุงแซม : สองเหตุผลทำให้อเมริกันรักบ้าน

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/661533

วันอังคาร ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2565, 06.00 น.

ช่วงนี้มวลมหาอเมริกันรักบ้านรักครอบครัวโดยฉับพลันทั้งที่ช่วงนี้ใครๆ ก็ออกเที่ยว เพราะเป็นช่วงหน้าร้อนที่ครอบครัวอเมริกันรักบ้านกันปุบปับ เพราะเหตุผลสองข้อคือข้อแรกราคาน้ำมันที่พุ่งสูงอย่างชนิดที่เรียกว่าขึ้นทุกวัน บางเมืองขึ้นทุกครึ่งวัน ราคาตอนเช้ากับราคาตอนบ่ายไม่เท่ากันเสียแล้วขึ้นทีก็ตาเหลือกที เพราะนั่นหมายถึงเงินในกระเป๋าหดหายไปด้วยนาทีนี้ใครที่ใช้ประเภทเอสยูวี มินิแวน รถแวน หรือรถคันโตๆ ที่ซดน้ำมันเป็นว่าเล่นถึงกับทึ้งผมตอนเติมน้ำมัน

ผู้เขียนใช้รถอเมริกันคันขนาดกลางราคาไม่แพงแต่ขึ้นชื่อเรื่องประหยัดน้ำมัน น่าเสียดายที่เลิกผลิตไปแล้วคือรถเชฟโรเลตครูซ ที่ซื้อเพราะเรื่องประหยัดน้ำมันนี่แหละ หรือพูดง่ายๆ คือ “งก” นั่นเอง อีกทั้งเหมาะกับครอบครัวสองคนหนึ่งตัวปกติเต็มถังประมาณ 30 ดอลลาร์ นาทีนี้เต็มถังคือ 60 ดอลลาร์แพงขึ้นเกือบเท่าตัว นี่ยังถือว่าพอทน บางคนเติมเต็มถังควักไปเกือบ 100 ดอลลาร์ บอบช้ำกันทั่วหน้า

พอน้ำมันแพง ราคาสินค้าก็ถีบตัวสูงตามเรื่องออกไปกินดื่มนอกบ้านคงต้องเพลาไว้ก่อนแค่ซื้ออาหารมาทำกินยังเลิ่กลั่กกันทุกครัวเรือน เพราะหมู เนื้อ ไก่แพงสาหัส ยิ่งบ้านไหนมีลูกนี่ไม่ต้องพูดถึง กำหมัดกัดฟันกรอดกันทั้งนั้นพวกที่ไม่เดือดร้อนกับน้ำมันแพงคือพวกชาวอามิชเพราะพวกนี้ใช้รถม้าทุกบ้าน แค่ป้อนหญ้าวักน้ำให้กินก็พอ

เปิดแผนที่แสดงราคาน้ำมันของสมาคมรถยนต์แห่งอเมริกา (AAA) เห็นราคาน้ำมันแต่ละรัฐแล้วขนลุกเกิดมาไม่เคยเจอราคาน้ำมันที่แพงขนาดนี้มาก่อนราคาเฉลี่ยคือแกลลอนละห้าดอลลาร์กว่าๆ ตอนลุงโจมารับตำแหน่งราคาอยู่ที่สองดอลลาร์นิดๆ เองลุงแกคงไม่ได้กลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกแน่นอน บอกตรงๆ เพราะเหลือแค่ห้าเดือนก่อนถึงศึกเลือกตั้งกลางเทอม

น้ำมันแพงด้วยเหตุผลสองข้อคือ โควิดระบาดกับสงครามยูเครนมาตรการคว่ำบาตรนานาชาติที่เอาไว้เล่นงานรัสเซียกระเด้งกลับมาโดนหน้าตัวเองอย่างจังมันคว่ำบาตรกันยังไงถึงได้เดือดร้อนทั้งโลกแบบนี้บอกเลยว่าพี่หมีขาวไม่เดือดร้อนอย่างที่ลุงแซมคิดไม่เชื่อดูกรณีที่ร้านแมคโดนัลด์ทุกสาขาในรัสเซียถอนตัวออกจากดินแดนหลังม่านเหล็ก ตอนนั้นลุงแซมคงสะใจว่า สมน้ำหน้าโว้ย ไอ้หมีขาวจากนี้ไปแกจะไม่ได้กินอาหารขยะของไออีกแล้ว ที่ไหนได้ตอนนี้ร้านทุกสาขาของแมคโดนัลด์ที่ปิดไปถูกแทนที่ด้วยร้านสัญชาติรัสเซียที่ผลิตแฮมเบอร์เกอร์สูตรปังเป๊ะเวอร์ขออภัยที่จำชื่อร้านภาษารัสเซียไม่ได้ แต่ชื่อร้านแปลว่า “อร่อย”ใครละเงิบ..ตอนนี้

ราคาพลังงานโดยรวมในเดือนพฤษภาคมสูงกว่าเดือนเดียวกันของปี 2021 เกือบๆ 35% ซึ่งมันเป็นปัจจัยหนุนสำคัญต่อตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งทะยานของอเมริกาในเดือนพฤษภาคม เพิ่มขึ้น 8.6% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนถือเป็นสถิติสูงสุดในรอบ 40 ปี

ปัจจัยข้อที่สองที่ทำให้อเมริกันรักบ้านแบบฉับพลันคือเหตุการณ์กราดยิงและการยิงกันกลางเมืองที่เกิดขึ้นในรัฐต่างๆ ทุกวันทำให้สถานการณ์โดยรวมดูไม่ปลอดภัยเท่าไหร่นัก

เพราะช่วงที่ผ่านมามีแต่ข่าวการกราดยิงที่นั่นที่นี่ไม่ว่าจะในห้างในโรงเรียน ในร้านเสริมสวย หรือแม้แต่ในโรงพยาบาลสรุปแล้วไปไหนได้มั่งเนี่ย

เคยเขียนเรื่องนี้ไปหลายรอบแล้วว่าทำไมถึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้อยู่ตลอดแต่ดูเหมือนว่าจะไม่จบสิ้นพอเกิดเหตุกราดยิงทีไรก็มีการเดินขบวนประท้วงทีหนึ่งจากนั้นก็เงียบหายไปในสายลมทุกยุคสมัยไม่เคยมีการสะสางจัดการแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง

อาทิตย์ก่อนมีการเปิดอนุสรณ์สถานชั่วคราวเพื่ออุทิศแก่เหยื่อความรุนแรงจากอาวุธปืนทั่วประเทศที่สวนสาธารณะเนชันแนล มอลล์ ข้อมูลจากกลุ่มกัน ไวโอเลนซ์ อาร์ไคฟ์ (Gun Violence Archive) ระบุว่าอเมริกา เผชิญเหตุกราดยิง 247 ครั้ง ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา โดยมีผู้เสียชีวิตด้วยเหตุความรุนแรงจากปืนกว่า 18,800 ราย ภาพดอกไม้สีขาวเกลื่อนสนามหญ้าใกล้อนุสาวรีย์วอชิงตันทำให้สะเทือนใจและโศกเศร้าอย่างลึกซึ้ง เพราะหนึ่งดอกคือหนึ่งชีวิตและทุกดอกแทนจำนวนเหยื่อความรุนแรงจากปืนแต่ละปี

ผู้ประท้วงนับหมื่นรวมตัวในวอชิงตันและรัฐอื่นๆทั่วอเมริกาเรียกร้องสมาชิกรัฐสภาผ่านกฎหมายควบคุมความรุนแรงจากอาวุธปืน หลังเหตุสังหารหมู่ในโรงเรียนประถมที่เท็กซัสผู้ชุมนุมบางคนเสนองดลงคะแนนให้นักการเมืองที่ขัดขวางความพยายามในการยกระดับมาตรการควบคุมอาวุธปืนในการเลือกตั้งกลางเทอมปลายปีนี้

ปัญหานี้ยืดเยื้อเรื้อรังมานานและไม่มีท่าทีว่าจะจบลงเพราะสาเหตุหลักอยู่ที่พรรคการเมืองรับเงินสนับสนุนจากสมาคมปืนยาวแห่งชาติ (The National Rifle Association – NRA) ทำเป็นหูหนวกตาบอดแล้วหนีไปวิ่งเล่นในทุ่งลาเวนเดอร์กันหมดคงรอให้ประชาชนมะริกันตายหมดประเทศแล้วค่อยขยับมาออกกฎหมายมั้ง

สมาคมนี้มีอิทธิพลสูงมากในสภาและเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ของพรรครีพับลิกันมีงบมหาศาลทุ่มให้กับการล็อบบี้นักการเมืองแถมยังมีสมาชิกที่เป็นผู้ออกเสียงอีกราว 5 ล้านคน เมื่อปี 2016เอ็นอาร์เอทุ่มงบประมาณ 4 ล้านดอลลาร์ หรือ 133.5 ล้านบาท ไปกับการล็อบบี้ และอีกกว่า 50 ล้านดอลลาร์ หรือ 1.7 พันล้านบาท เพื่อหาเสียงสนับสนุนทางการเมือง

ไม่ว่าจะผ่านไปกี่สมัยกี่รัฐบาลกี่ประธานาธิบดีปัญหานี้ยังดำรงอยู่และยิ่งกลายเป็นบ่วงรัดคอประชาชนอเมริกันเพราะส่งผลต่อสังคมมากมาย ไม่ต้องดูอื่นดูไกลจะทำอย่างไรถ้าส่งลูกไปโรงเรียนแล้วไม่มีอะไรการันตีว่าเราจะได้เห็นหน้าลูกอีกวันนั้นอาจคือวันสุดท้ายที่ได้เห็นลูกเพราะบังเอิญมีเด็กสติพร่องหรือไอ้บ้าสักคนบุกเข้ามากราดยิงจนนักเรียนนับสิบรวมทั้งลูกของคุณเสียชีวิตโดยไม่ทันร่ำลาหากเรื่องนี้ไม่นับเป็นเรื่องใกล้ตัวก็คงไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว

สถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐระบุว่า อเมริกาเป็นประเทศที่มีอัตราการเกิดเหตุกราดยิงเพื่อสังหารหมู่เป็นจำนวนมากครั้งที่สุดในโลก คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 1 ใน 3 ของเหตุกราดยิงทั้งหมดที่เกิดขึ้นบนโลก ไม่แปลกหรอกเพราะอเมริกาเป็นประเทศที่มีจำนวนอาวุธปืนหมุนเวียนในตลาดมากที่สุดในโลก อยู่ที่ประมาณ 270-310 ล้านกระบอกเทียบกับจำนวนประชากรทั้งประเทศอยู่ที่ราว 319 ล้านคน ซึ่งหมายความว่าชาวอเมริกันแทบทุกคนมีปืนเป็นของตัวเองอย่างน้อยคนละ 1 กระบอก

ไม่รู้ว่าโศกนาฏกรรมเช่นนี้จะจบลงเมื่อไหร่เหมือนไม่สามารถหาความปลอดภัยใดๆ ได้ไม่ว่าจะทั้งในเมืองเล็กและเมืองใหญ่ เพราะความรัก ความชังความบ้าคลั่งไม่เข้าใครออกใครกระสุนจากความเกลียดชังอาจปลิวมาฝังร่างได้ทุกเมื่อและทุกที่ด้วยเหตุนี้จึงเป็นช่วงเวลาที่อเมริกันสมควรรักบ้านนั่งดูทีวีกันอย่างสงบเสงี่ยมนะจ๊ะ

แก้ผ้าลุงแซม : อเมริกาเคยล้มกษัตริย์เพื่อฮุบแผ่นดิน

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/658491

วันอังคาร ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2565, 06.00 น.

ขณะที่เขียนคอลัมน์นี้เป็นวันหยุดแห่งชาติในอเมริกาที่เรียกว่า“เมมโมเรียลเดย์”เฉลิมฉลองกันยกใหญ่ถึงชัยชนะโน่นนี่ทางการทหารที่ยกพลไปปล้นชาติอื่นมา หลายคนคิดเอาเองว่าอเมริกาเป็นพระเอก ที่เข้าไปปกป้องชาติอื่นแหม..โลกสวยมาก เพื่อให้เข้าบรรยากาศฉลองชัยขอเล่าเรื่องการฮุบแผ่นดินคนอื่นมาเป็นรัฐที่ห้าสิบของอเมริกาน่าจะดีอเมริกามีทั้งหมด 50 รัฐ รัฐที่ 49
คือรัฐอลาสก้า อเมริกาซื้อมาจากรัสเซีย ที่เอามาเร่ขายราคาถูกโดยคิดไม่ถึงว่าจะเต็มไปด้วยน้ำมัน แม้จะซื้อมาถูกเหมือนได้เปล่าแต่ก็ยังถือว่าซื้อขาย แต่ไอ้รัฐที่ 50 นี่สิลุงแซมไปทุบทำลายสถาบันกษัตริย์แล้วแย่งเอามาดื้อๆ เลยแหละก่อนหน้าที่กลายเป็นรัฐที่ 50 ฮาวายมีประวัติศาสตร์ยาวนานและเคยเป็นราชอาณาจักรที่มีกษัตริย์ปกครอง แถมมีภาษาเป็นของตัวเองด้วยน่าเสียดายที่อเมริกันลืมประวัติศาสตร์ส่วนนี้หมดแล้วและคงไม่ค่อยสนับสนุนให้รุ่นหลังเรียนรู้เท่าไหร่เพราะตัวเองกระสันแผ่นดินฮาวาย จนไปแย่งเอามาอย่างหน้าด้านราชอาณาจักรฮาวายก่อตั้งขึ้นเมื่อประมาณปีค.ศ.1795 และล่มสลายไปประมาณปี ค.ศ.1893-1894

หมู่เกาะฮาวายเกิดจากแนวภูเขาไฟกลางมหาสมุทรแปซิฟิกทอดยาวต่อเนื่องกันเป็นลูกโซ่ ประกอบด้วยเกาะใหญ่ 8 เกาะ และเกาะเล็กเกาะน้อยอีก 124 เกาะ แต่ก่อนเป็นถิ่นที่อยู่ของชาวโพลินีเชียน พายเรืออพยพไปมาระหว่างเกาะแก่งต่างๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิกยุคนั้นปกครองแบบเกาะใครเกาะมัน มีรบกันประปรายแล้ววันหนึ่งมีผู้กล้าลุกมารวบรวมเกาะเล็กเกาะน้อยเป็นปึกแผ่นเพื่อก่อตั้งราชอาณาจักรฮาวาย นั่นคือพระเจ้าคาเมฮาเมฮามหาราชน่าจะเรียกได้ว่า “พระเจ้าสิบทิศแห่งหมู่เกาะทะเลใต้” พระองค์ทำศึกสงครามรวมแผ่นดินนานถึง 15 ปี จนก่อตั้งราชวงศ์แรกคือราชวงศ์คาเมฮาเมฮาจากนั้นกษัตริย์ในราชวงศ์ของพระองค์ก็ครองราชอาณาจักรสืบต่อมาเรื่อย ตั้งแต่พระเจ้าคาเมฮาเมฮาที่ 1 ไปจนถึงพระเจ้าคาเมฮาเมฮาที่ 5 พอกษัตริย์พระองค์ที่ห้าแห่งราชวงศ์คาเมฮาเมฮาสิ้นพระชนม์ก็เริ่มราชวงศ์ใหม่นั่นคือ ราชวงศ์คาลาอีมามาฮูราชวงศ์นี้มีกษัตริย์พระองค์เดียวคือ พระเจ้าลูนาลิโลซึ่งสิ้นพระชนม์โดยไม่มีรัชทายาทรัฐสภาจึงต้องเลือกระหว่างพระราชินีเอ็มมา นาเอ รูก พระราชินีในพระเจ้าคาเมฮาเมฮาที่ 4 ของราชวงศ์ก่อน กับเดวิดคาลาคาอัว ยังไม่ทันเลือกว่าจะเอาใครก็เกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง สุดท้ายหวยออกที่เดวิดคาลาคาอัว ได้ครองราชย์บัลลังก์ฮาวายทรงพระนามว่าพระเจ้าคาลาคาอัวที่ 1 ก่อตั้งราชวงศ์ราชวงศ์คาลาคาอัวพระราชาพระองค์นี้แหละที่อเมริกาหนุนสุดติ่งกระดิ่งแมวจะว่าไปอเมริกาเข้าไปเผือกเรื่องในสถาบันกษัตริย์ด้วยการชักใยเบื้องหลังให้กษัตริย์อนุมัติโน่นนี่เพื่อเอื้อประโยชน์แก่นักธุรกิจอเมริกันอยู่ตลอดตั้งแต่ราชวงศ์แรกเลยทีเดียว

แล้วอเมริกาควบคุมกษัตริย์ให้เซ็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรฮาวาย 1887 หรือ Bayonet Constitution ที่ลดอำนาจของกษัตริย์ลงและกระจายอำนาจออกไปให้กลุ่มนายทุนน้ำตาลซึ่งก็คือพ่อค้าอเมริกันเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในทางการเมืองมากขึ้นนั่นเองฮาวายมีภาษาเป็นของตัวเอง พระเจ้าคาเมฮาเมฮาที่ 3 สถาปนารัฐธรรมนูญที่เขียนขึ้นเป็นภาษาฮาวายครั้งแรกในปี ค.ศ. 1839 และ 1840 มีพยัญชนะเพียง 13 ตัว แต่เมื่อคนผิวขาวเข้ามาครอบครองฮาวายก็ออกกฎหมายห้ามใช้ภาษาฮาวายอีกต่อไป ให้ใช้ภาษาอังกฤษเท่านั้นส่วนเด็กฮาวายห้ามพูดภาษาแม่ ไม่งั้นจะต้องถูกทำโทษสรุปคือใช้มาตรการเดียวกับการลากเด็กอินเดียนแดงทุกเผ่าในอเมริกาไปเรียนในโรงเรียนสอนศาสนาที่บังคับให้นับถือคริสต์ให้ตัดผมแบบชนเผ่าทิ้ง และห้ามถูกภาษาเผ่านั่นแหละหากทำตัวไม่ถูกใจครูผิวขาวก็ถูกกลบฝังอย่างไร้ร่องรอยใต้โรงเรียนนั่นเองดังที่ปรากฏเป็นข่าวทั้งในอเมริกาและแคนาดาว่าพบศพเด็กพื้นเมืองนับร้อยนับพันถูกฝังอยู่ใต้โรงเรียนหมอสอนศาสนาที่ทางการอเมริกาบังคับให้ไปเรียน โดยให้นับถือคริสต์และห้ามพูดภาษาเผ่าคือต้องการให้เด็กชนเผ่าคิดไปในทิศทางที่อเมริกันต้องการด้วยการทำลายอัตลักษณ์เผ่าคนผิวขาวเข้ามานั้นไม่ได้มามือเปล่า แต่มาทั้งพ่อค้าน้ำตาล มิชชันนารีโปรเตสแตนต์ และโรคระบาดซึ่งโรคระบาดฆ่าพลเมืองฮาวายตายไปครึ่งอาณาจักรปัญหานี้เกิดขึ้นกับอินเดียนแดงเหมือนกันพอคนผิวขาวเข้ามาก็นำโรคระบาดเข้ามาจนบางเผ่าตายยกเผ่า

อุตสาหกรรมน้ำตาลดึงดูดแรงงานทั่วทุกสารทิศให้หลั่งไหลเข้ามาในฮาวาย ทำให้มีแรงงานอพยพเข้ามาเป็นจำนวนมากสวนทางกับประชากรฮาวายที่ลดลงจากโรคระบาดต่อมานายทุนน้ำตาลเหล่านี้เป็นผู้มีส่วนในการผลักดันให้เกิดการปฏิวัติโค่นล้มการปกครองแบบกษัตริย์ช่วงที่พระราชินีพระองค์สุดท้ายครองราชย์นักธุรกิจชาวยุโรปและชาวอเมริกันส่วนใหญ่ไม่พอใจการปกครองของพระองค์ เนื่องจากคนเหล่านี้ต้องการฮุบฮาวายไปรวมเป็นส่วนหนึ่งกับอเมริกาเพื่อที่จะได้กอบโกยผลประโยชน์จากการค้าน้ำตาลในฮาวายส่วนมิชชันนารีใช้ศาสนาบังหน้าเพื่อชักนำชาวฮาวายเข้าสู่ระบบการศึกษาแบบตะวันตก โดยทำลายอัตลักษณ์และวัฒนธรรมดั้งเดิมทีละน้อยอันเป็นการเปิดประตูบานถัดไปให้สถาบันการปกครองแบบตะวันตกเข้ามามีบทบาท ที่นำไปสู่การล้มล้างระบบจัดการที่ดินแบบดั้งเดิมจนในที่สุดก็นำไปสู่ระบบเศรษฐกิจที่ขึ้นอยู่กับการทำไร่อ้อยเพื่อผลิตน้ำตาลผลประโยชน์นั้นหอมหวานกว่าน้ำตาลอ้อยพวกนี้เลยเริ่มกระบวนการการฮุบฮาวาย โดยเริ่มจากการจัดตั้งคณะกรรมาธิการความปลอดภัยลขึ้นชาวยุโรปและอเมริกันรวมหัวกันตั้งคณะกรรมการรักษาความปลอดภัยไม่ใช่ความปลอดภัยของพระราชินีแต่อย่างใดแต่เป็นความปลอดภัยของกลุ่มทุนค้าน้ำตาลนั่นแหละกลุ่มนี้มุ่งล้มล้างราชอาณาจักรฮาวาย โดยการขับไล่ราชินีเพื่อรวมฮาวายเป็นส่วนหนึ่งของอเมริกาโดยอ้างว่าคณะกรรมการรักษาความปลอดภัยห่วงใยปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินของพลเมืองอเมริกัน

ฉับพลันทันใดกองกำลังนาวิกโยธินและกองทัพเรืออเมริกาบุกยึดกรุงโฮโนลูลูมีการประกาศจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลฮาวายประกอบไปด้วยนักธุรกิจชาวยุโรปและอเมริกาเพื่อปกครองฮาวายจนกว่าจะถูกผนวกเข้ากับอเมริกาจากนั้นก็จับกุมพระราชินีและพระราชวงศ์พระราชินีถูกปลดออกจากตำแหน่ง ถูกตัดสินให้จำคุก 5 ปีทำงานหนักและปรับ 5,000 ดอลลาร์ ถูกขังในพระราชวังโอลานิ

จากนั้นรัฐบาลอเมริกาประกาศจัดตั้งสาธารณรัฐฮาวาย ในปีค.ศ.1898 ฮาวายได้รับการอนุมัติว่าเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการในสมัยประธานาธิบดีวิลเลียม แมกคินลีย์ นับเป็นการสิ้นสุดอย่างเป็นทางการของราชอาณาจักรฮาวายราชอาณาจักรฮาวาย ก่อตั้งขึ้นเมื่อประมาณปี ค.ศ. 1795 และล่มสลายไปประมาณปี ค.ศ. 1893-1894 ความน่าเศร้าอยู่ที่คน
ที่ลุกมารวบรัดจัดการฮาวายคือคนที่เกิดและทำกินบนแผ่นดินนั้น คนแรก คือ แซนฟอร์ด บี. โดล นามสกุลนี้เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ด้านผลไม้ระดับโลกโดยเฉพาะสับปะรดยี่ห้อโดล ปัจจุบันมีไร่ขนาดใหญ่อยู่ที่ฮาวายเมื่อล้มล้างสถาบันกษัตริย์ได้ ก็สถาปนาตัวเองเป็นประธานาธิบดีฮาวาย ส่วนลอร์ริน เอ. เทอร์ตัน ตัวการสำคัญในการโค่นล้มราชอาณาจักรฮาวายก็สืบสายมาจากมิชชั่นนารีที่ลงเรือมาเผยแพร่ศาสนาที่ฮาวายกลุ่มแรกนั่นเอง

แก้ผ้าลุงแซม : ตัวตลกโลกของแท้

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/649482

แก้ผ้าลุงแซม : ตัวตลกโลกของแท้

วันอังคาร ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2565, 06.00 น.

แม้ลุงแซมจะพยายามสร้างภาพความเป็นพระเอกโลกแบบพระเอกหนังฮอลลีวู้ดอย่างไร ดูเหมือนว่านาทีนี้ต่อให้หันมายักคิ้วหลิ่วตา ยิ้มฟันขาววาบๆ ใส่ชาวโลก มนต์ขลังที่สุมพอกไว้ หลุดล่อนเปลือกกะเทาะเห็นตัวตนแท้ๆ ล่อนจ้อนเพราะสันดานที่เผยออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้ชาวโลกเอือมระอาถึงขั้นหมดความเกรงใจ

แม้สีหลุดจนเห็นเนื้อในเน่าเฟะมานานแล้วแต่ดูเหมือนว่าลุงแซมจะยังหลงตัวเองอย่างหนัก เพราะไม่เฉลียวใจเลยว่าตอนนี้ชาวโลกแทบจะรุมถอนหงอกลุงโจอย่างสนุกสนานในช่วงสงครามยูเครนนี่เอง

สงครามยูเครน-รัสเซีย ดูทรงแล้วไม่จบง่ายล่าสุดผู้นำประเทศทางยุโรปดาหน้าไปหาผู้นำยูเครนกันเพียบคือเปิดหน้าเต็มตัวแล้วสินะ ไอ้ที่แรดไปเต็มหน้าเต็มตัวคือท่านผู้นำอังกฤษที่ไม่ค่อยชอบหวีผมส่วนฝรั่งเศสนั้นยักท่านิดๆ เพราะเป็นช่วงเลือกตั้ง เลยต้องไว้ท่านิดหนึ่งหากก้าวผิดอาจเหยียบขี้หมาเลอะเทอะ หรืออาจโดนหมีตะปบหน้าแหกเก้าอี้ประธานาธิบดีอาจกลายเป็นฝันเปียกเอาง่ายๆ

ลุงโจวุ่นวายกับการด่าชาตินั้นชาตินี้ที่ไม่ยอมคว่ำบาตรพี่หมีขาวล่าสุดหวยไปออกที่อินตะระเดียนะนายจ๋าลุงโจด่าดังฟังชัดว่าถ้ายูไม่ยอมคว่ำบาตรไอ้หมีขาว แถมยังซื้อน้ำมันเอย ปุ๋ยเอย จากรัสเซียไอจะฟาดก้นนะเว้ย งุ่นง่านถึงขั้นต่อสายไปคุยกับนายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี แห่งอินเดีย โดยบอกว่าการที่พี่บังซื้อน้ำมันจากพี่หมีไม่ได้เป็นผลดีอะไรต่ออินเดียเองพี่บังฟังแล้วก็หงึกคอไปมา สวนกลับว่าไม่ต้องมาสนใจประเทศไอเลยนะยูโน่นนนนน..ไปต่อรองในยุโรปดีกว่า แปลเป็นไทยง่ายๆ ว่าอย่าเสือกนั่นแหละหน้าแหกไหมล่ะเที่ยวกดดันบีบไข่ให้ชาติอื่นช่วยบีบคอพี่หมีรัสเซียแต่โดนสวนกลับมาขนาดนี้ ยังมีอะไรให้ภาคภูมิใจเหรอ ลุงแซม

อเมริกาเที่ยวแล่นไปกดดันชาติอื่นให้ยืนข้างตัวเองประชาธิปไตยแบบไหนกัน ลุงโจลืมไปแล้วเหรอ ประเทศยากจนอย่างเราๆ เนี่ยชอบของถูก ใครขายถูกก็เอาหมดแหละอย่าลืมนะว่าชาติในเอเชียนี่ใกล้รัสเซียกับจีนมากกว่าประเทศลุงแล้ว ชาวโลกรู้กันหมดแล้วว่าอเมริกานี่ตอแหลเป็นบ้า ทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง ถ้าชาติไหนจะทำเพื่อประโยชน์ของพลเมืองตัวเองบ้างลุงจะไปบีบคออาบังไม่ได้ ระวังบังแกฟาดกลับด้วยโรตีแถมไข่อีกฟองนะเออ

ไม่เฉพาะอินเดียที่ทำหน้ามึนใส่ลุงแซม แม้แต่ลูกหาบอันดับหนึ่งในแถบอาหรับอย่างซาอุดีอาระเบีย ยังกล้าลุกมาทำคลิปล้อเลียนโจ ไบเดน เฮ้ย..นี่นับว่าเหนือความคาดหมายมากเพราะปกติแล้วชาตินี้ไม่หือไม่อือกับอเมริกามาเป็นสิบๆ ปีนับเป็นลูกหาบอาหรับที่ว่านอนสอนง่ายมายาวนาน แม้อริเก่าอย่างพี่คิมผมพิสดารแห่งเกาหลีเหนือออกมาเย้ยลุงโจแบบไม่ไว้หน้า ว่าเป็นไอ้แก่สติเลอะเลือนหันมาดูฝั่งยุโรป ยังไม่ทันจะไปหว่านล้อมยุโรปลุงแซมก็โดนฝรั่งเศสตบหน้าแหก มารีน เลอ แปน ผู้สมัครชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีฝรั่งเศสตอกกลับว่าถ้าจะกดดันเราให้แบนการนำเข้าพลังงานจากรัสเซีย

อเมริกาควรต้องจ่ายเงินให้เราสิ เพราะถ้ายุโรปไม่ซื้อก๊าซจากรัสเซียอเมริกาก็จะขายก๊าซธรรมชาติเหลวให้แทน ฟาดกำไรเพียบเลยนะงานนี้น่าจะโอนเงินให้ฝรั่งเศสเป็นค่าชดเชยสำหรับมาตรการคว่ำบาตรต่อต้านรัสเซียยังไงอเมริกันก็ไม่แคร์ เพราะอยู่ไกล ส่วนพวกเรานี่สิคงอ่วมแน่นอน

คู่แค้นในสงครามเย็นอย่างรัสเซียร่อนจดหมายรักถึงอเมริกาอย่างเป็นทางการ รัสเซียส่งหนังสือประท้วง ไปยังกระทรวงการต่างประเทศอเมริกาโดยเตือนว่าหากยังไม่หยุดช่วยเหลือยูเครนอเมริกาจะต้องเผชิญกับผลลัพธ์ที่ไม่สามารถคาดเดาได้ไอไม่อาจคาดเดาได้นี่หมายถึงสงครามนิวเคลียร์รึเปล่าล่ะถ้าแบบนี้หนาวทั้งโลกเลยนะ คงไม่ใช่แค่ลำปางแล้วที่หนาวแน่แต่คงต้องบอกว่า ชาวโลกหนาวแน่

พี่หมีรัสเซียส่งจดหมายรักอย่างเป็นทางการไปให้ลุงแซมในช่วงที่อเมริกาเตรียมประกาศว่า จะส่งความช่วยเหลือทางการทหารไปยังยูเครนเพิ่มเติมอีก 800 ล้านเหรียญ ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่อเมริกาจะส่งอาวุธศักยภาพสูงไปให้ยูเครนรวมทั้งเฮลิคอปเตอร์ Mi-17 11 ลำ ปืนใหญ่ Howitzer 155 มม. 18 กระบอก และโดรนพลีชีพ Switchblade อีก 300 ลำ เห็นประเภทของอาวุธแล้วยกมือทาบอก เล่นของหนักกันเลยนะอเมริกาพระเอกโลกจอมตอแหล ปากบอกว่าอยากให้ยุติสงครามอยากเห็นสันติภาพโลก แต่มือส่งเงินส่งปืนผาหน้าไม้ให้ยูเครนมือเป็นระวิงไม่สนใจพลเมืองตัวเองที่กำลังตกทุกข์ได้ยากกับราคาสินค้าราคาอาหารแพงนรก ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันหรือข้าวปลาอาหารยังบังอาจเอาเงินภาษีพลเมืองตัวเอง ไปทำหน้าที่พระเอกโลกหล่อๆ แถมยังบอกว่าไอ้ที่ข้าวปลาอาหารแพงตอนนี้เป็นเพราะปูติน

อ้าวเฮ้ย..พูดแบบนี้จะดีเหรอลุง นี่บ่นดังๆ เลยนะว่าข้าวของแพงจนแทบจะกินแกลบกันแล้วไม่ได้เขียนลอยๆ แต่มีหลักฐานว่าลุงโจแกเว้าจั่งซี้จริงๆ ตอนนี้ภาพรวมในอเมริกาคือ ตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค พุ่งขึ้น 8.5% ในเดือนมีนาคม เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ธ.ค.1981 ยิ่งเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน เหมือนยิ่งเติมเชื้อไฟแก่อัตราเงินเฟ้อที่กำลังระอุทีนี้พอข้าวยากหมาก (ฝรั่ง) แพง มะริกันก็ตะโกนด่าสิทำให้คะแนนลุงโจดิ่งเหว

แม้แต่บรรดาผู้ที่ลงคะแนนเลือกลุงด้วยส่วนสาวกตาลุงผมเป๋ทรัมป์นั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะนั่นด่ารายวันอยู่แล้วอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นฉุดรั้งคะแนนนิยมของไบเดนให้ลดต่ำลงลุงโจก็แก้ปัญหาง่ายเนาะ ด้วยการโยนขี้ไปให้ปูตินซะงั้นราคาที่เพิ่มขึ้นในเดือนมีนาคม 70% มาจากการขึ้นราคาเบนซินของปูติน

เอ้า…ลุงโจทำไมพูดงี้ล่ะ ไหนตอบให้ชื่นสะดือหน่อยซิว่าใครกันนะที่เอาเงินจากภาษีพลเมืองอเมริกันไปให้ตัวตลกยูเครนแถมประเคนอาวุธให้ไม่อั้น ซึ่งนั่นคือสินค้าตัวอย่างนั่นแหละเพราะหุ้นบริษัทค้าอาวุธสัญชาติอเมริกันพุ่งสูงสวนกระแสอย่างเห็นได้ชัด

ข้อมูลของกระทรวงแรงงานชี้ให้เห็นว่า อเมริกันกำลังบาดเจ็บสาหัสสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันแพงขึ้นมาก ข้าวของที่จำเป็นต่างๆ ราคาที่พักอาศัย ในนั้นรวมถึงค่าเช่าเพิ่มขึ้น 0.5% ในขณะที่ราคาอาหารเพิ่มขึ้นโดยรวม 1% ราคาของชำเพิ่มขึ้น 1.5% ในเดือนที่แล้ว และเพิ่มขึ้น 10% เมื่อรวมตลอดทั้งปีที่ผ่านมาถือว่าเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 1981

ลุงโจกลับไปแก้ปัญหาในบ้านก่อนดีกว่านะอาทิตย์นี้เพิ่งเกิดเหตุการณ์สยอง กราดยิงในรถไฟใต้ดินที่นิวยอร์กไม่ได้กราดยิงอย่างเดียว มีการโยนระเบิดควันหรือแก๊สก่อนกราดยิงด้วยล่าสุดจับตัวได้แล้ว เป็นชาวผิวดำวัยหกสิบกว่าอุตส่าห์มาจากรัฐอื่นเพื่อมาก่อการร้ายในนิวยอร์ก เตรียมอาวุธมาเพียบเลยขอร้องล่ะลุงโจ เลิกเล่นบทพระเอกโลกแล้วมาดูแลพลเมืองตัวเองเสียทีอย่าให้ต่ำตมลงกว่านี้เลย

แก้ผ้าลุงแซม : ระบาดหนักแต่ไม่ตระหนักสำนึก #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/601833

แก้ผ้าลุงแซม : ระบาดหนักแต่ไม่ตระหนักสำนึก

วันอังคาร ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2564, 06.00 น.

คนขาดจิตสำนึกรับผิดชอบต่อส่วนรวมมีทุกชาติทุกภาษาไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนพวกนี้คือภาระของชาติ ไม่เว้นแต่แม้แต่ในอเมริกาหลายคนอวยอเมริกาสุดลิ่มทิ่มประตูว่าระบบสาธารณสุขดีอย่างนั้นอย่างนี้คนอเมริกันมีจิตสำนึกดีกว่าคนชาติอื่น อยากให้เข้าใจเสียใหม่ว่าคนอเมริกันไร้จิตสำนึกปรากฏเป็นข่าวให้เห็นอยู่ตลอดเวลา

สถานการณ์โรคระบาดในอเมริกายังสาหัส ป่วยสะสมพุ่งไป 40 ล้าน ตายไปหกแสนหกหมื่นกว่า อัตราการตายต่อพลเมืองหนึ่งล้านอยู่ที่ 2,014 ราย แต่ตอนนี้ไม่มีใครใส่หน้ากากเลย การ์ดตกกันหมดกลับไปใช้ชีวิตปกติเหมือนไม่รู้จักว่าโควิด-19 และสายพันธุ์เดลต้าคืออะไร

เตียงไอซียูทั่วอเมริกามีผู้ครองเตียงแล้ว 79.83% ในนั้นเกือบ 1 ใน 3 เป็นผู้ป่วยโควิด-19 โดยมีอยู่ 8 รัฐที่มีคนไข้ครองเตียงไอซียูสำหรับผู้ใหญ่มากกว่า 90% คือ แอละแบมา จอร์เจีย เท็กซัส อาร์คันซอส์ ฟลอริดา มิสซิสซิปปีเนวาดา และเคนทักกี

ติดเชื้อโควิด-19 รายวันในปัจจุบันสูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหรือวันแรงงานของปี 2020 มากกว่า 4 เท่า ผู้ติดเชื้อรายวันเฉลี่ย 7 วันหลังสุด ในช่วงวันแรงงานของอเมริกาปี 2021 (5 กันยายน) อยู่ที่ 163,728 ราย ขณะที่ปี 2020 ตัวเลขอยู่ที่ 39,355 ราย ส่วนคนตายก็เพิ่มเกือบเท่าตัว คนป่วยตายจากโควิด-19 ในช่วงวันแรงงานปี 2020 อยู่ที่ 804 รายส่วนปี 2021 ดีดตัวขึ้นมาอยู่ที่ 1,561 ราย

ทั้งๆ ที่ป่วยกันงอมแงมขนาดนี้ ยังมีข่าวแบบนี้ให้เห็นทุกวันครูรายหนึ่งในรัฐแคลิฟอร์เนียไม่ยอมฉีดวัคซีนทั้งที่ต้องเจอเด็กนักเรียนทุกวันปรากฏว่าครูรายนี้ติดโควิด-19 แต่ยังมั่นหน้า คิดว่าตัวเองไม่ติด มาทำงานทั้งที่มีอาการของโรคเพียบคิดเอาเองว่าไอ้อาการทั้งหลายแหล่นี่คือโรคภูมิแพ้ เลยมาทำงานทั้งที่รู้ว่าเด็กนักเรียนที่อายุต่ำกว่า 12 ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนขาดจิตสำนึกอย่างร้ายแรง น่าจะไปตรวจโควิดหรือฉีดวัคซีนแต่กลับไม่ทำทั้งสองอย่าง จะมาคิดเอาเองว่าไม่ติดโควิด-19 ไม่ได้แต่ด้วยความมั่นหน้า นางก็ไปสอนเหมือนว่าตัวเองไม่มีอาการโควิด-19

ผลคือนักเรียนทั้ง 24 คน ของครูรายนี้มี 22 คน ที่อายุยังไม่ถึงเกณฑ์เข้ารับวัคซีน 12 คนใน 24 คน มีผลตรวจเป็นบวกนักเรียนที่นั่งอยู่ใกล้กับโต๊ะของครูมากที่สุด โดยเฉพาะสองแถวหน้ามีความเสี่ยงติดเชื้อระดับ 80% จากการตรวจสอบพบว่าครูรายนี้ไม่สวมหน้ากากแถมมั่นหน้าจัดขนาดอ่านออกเสียงส่งเสียงดังให้นักเรียนฟังทั้งที่ขัดต่อกฎของโรงเรียนที่ให้ครูทุกคนสวมหน้ากากอนามัยในห้องเรียน

นอกจากนักเรียนในห้องแล้ว ยังมีนักเรียนอีก 4 ราย จากห้องเรียนอื่นมีผลตรวจโควิด-19 เป็นบวกเช่นกันทั้งหมดเป็นพี่น้องของเด็กนักเรียน 3 คนในชั้นเรียนของครูคนที่แพร่เชื้อสันนิษฐานว่าการติดเชื้อของนักเรียนต่างห้องนี้น่าจะเกิดตอนที่เด็กๆอยู่ที่บ้าน ต่อมาผู้ปกครอง4 คน ของเด็กๆ ในโรงเรียนแห่งนี้ติดเชื้อโควิด-19เช่นกัน รวมแล้วมีนักเรียนระดับประถมและผู้สัมผัสใกล้ชิดทั้งหมด 26 คน ติดเชื้อหลังสัมผัสกับครูรายนั้น และ 18 คนติดเชื้อเดลต้าแบบนี้คงต้องเรียกว่า “คลัสเตอร์ครู”

ตัวกลายพันธุ์เดลต้ากำลังระบาดจัดหนักไปไวเหมือนไฟลามทุ่งในอเมริกาเมื่อเปิดเทอมและการ์ดตกจึงทำให้เด็กป่วยเป็นจำนวนมากจำนวนคนไข้เด็กที่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นาทีนี้มีมากกว่า 2,000 คน

ความไร้จิตสำนึกมาในรูปแบบต่างๆ หลายคนปลอมใบฉีดวัคซีนเพื่อใช้ประกอบการขึ้นเครื่องบินหรือเข้าร้านอาหารอาทิตย์นี้ก็โผล่มาอีกรายหญิงอเมริกันรายนี้ปลอมใบฉีดวัคซีนเพื่อหลีกเลี่ยงการกักตัวของรัฐฮาวายแต่ไม่เนียน เพราะบ้านอยู่อิลลินอยส์ แต่ดันกรอกว่าฉีดที่แดลาแวร์เช็คแล้วไม่พบหลักฐานว่านางคนนี้ฉีดจริง

ที่ฮาหนักกว่านั้นคอนางสะกดคำว่า“โมเดอร์น่า” ผิดไปสะกดเป็นมาเดอร์น่าซะนี่ เพราะไม่เนียนเลยโดนปรับสองพันดอลลาร์หรือหกพันบาทไทย จริงๆ แค่เดินไปฉีดวัคซีนก็จบเรื่อง ฟรีด้วย ทำไมต้องทำให้ยากก็ไม่รู้แถมเสี่ยงต่อการติดโควิด นี่ไม่ใช่เคสเดียว แต่โผล่มาให้เห็นทุกวัน

ตอนนี้มีอเมริกันฉีดวัคซีนเข็มหนึ่งไปแล้วราว 207 ล้านคน และฉีดครบสองเข็มมากกว่า 175 ล้านคน ตรงนี้ต้องขีดเส้นใต้เน้นๆ ย้ำๆ ว่า“ยังไม่มีรัฐที่ฉีดวัคซีนครบถ้วนเกิน 70% ตามที่ตั้งเป้าไว้”

พวกอวยอเมริกาไม่ต้องมาเนียนว่าอเมริกาฉีดวัคซีนครบทั้งประเทศแล้ว ไวมากดีงามมากดีกว่าประเทศไทยโน่นนี่นั่น เพราะมันไม่ใช่ความจริงประเทศไทยนี่แหละที่พร้อมใจกันฉีดวัคซีนอย่างว่องคนไทยนั้นแม้จะเกลียดเข็มฉีดยาหรือกลัวเจ็บแค่ไหนยังยอมฉีดวัคซีน

ส่วนพวกที่เชื่อข้อมูลจากโลกโซเชียลเอาแต่รอวัคซีนเทพนั่นไม่นับอยากรอก็รอไป รับผิดชอบชีวิตตัวเองก็แล้วกันแต่ถ้าติดโควิดตายไปก็เสียใจด้วยที่ข่าวสารไปไม่ถึงบ้านท่าน

บอกตรงๆ เลยว่า ในขณะที่ประเทศไทยเริ่มเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์แต่อเมริกายังไม่เห็นแสงสว่างใดๆ ทั้งที่ฉีดวัคซีนเทพที่ใครหลายคนยกย่องเชิดชูนี่แหละ

แก้ผ้าลุงแซม : ชุมชนประหลาดฮัตเตอร์ไรต์ #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/598570

แก้ผ้าลุงแซม : ชุมชนประหลาดฮัตเตอร์ไรต์

วันอังคาร ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2564, 06.00 น.

หลายคนคงคิดไม่ถึงว่าในประเทศที่มีความเจริญสูงสุดทางเทคโนโลยีอย่างอเมริกา จะมีชุมชนโบราณดำรงอยู่ในหลายรัฐผู้เขียนเคยเขียนถึงชุมชนชาว Amish ไปแล้ววันนี้ขอพักเบรกจากสถานการณ์โควิดที่หนักหนาสาหัสระบาดหนักอีกรอบจนถอนหายใจนับครั้งไม่ถ้วน ได้แต่ป้องกันตัวเองกันไปท่ามกลางความสับสนงุนงงของบรรดามะริกันว่าควรจะฉีดวัคซีนเข็มสามหรือไม่ เลยอยากขอเบรกมาเขียนเรื่องเบาๆ สลับฉาก

กลุ่มฮัตเตอร์ไรต์เป็นกลุ่มชาวคริสต์สายอนาแบพติสต์ที่เชื่อในเรื่องการล้างบาปตอนโตเป็นผู้ใหญ่แล้วกลุ่มนี้ถือกำเนิดขึ้นในศตวรรษที่ 15 ถูกไล่ล่าสังหารเผาทั้งเป็นจนแตกออกเป็นสามสายคือ กลุ่มเมนโนไนต์ กลุ่มอามิชและกลุ่มฮัตเตอร์ไรต์

ทั้งสามกลุ่มหนีการไล่ล่าจากยุโรปมาอเมริกากลุ่มเมนโนไนต์จะอยู่ทั่วทุกรัฐ กลุ่มอามิชจะจับกลุ่มกระจายตัวไป 31 รัฐ แต่ชุมชนใหญ่อยู่ในสามรัฐ คือ เพนซิลเวเนีย โอไฮโอ และอินเดียน่า
ส่วนฮีตเตอร์ไรต์จะอยู่ทางตอนเหนือในบางรัฐที่ติดชายแดนแคนาดา เช่น รัฐดาโกต้าและมอนทาน่า

กลุ่มฮัตเตอร์ไรต์ที่อาศัยในอเมริกาตั้งชุมชนในแขตทุ่งหญ้าแพรี่เรียกตัวเองว่า “แพรี่ลูท” หรือชนแห่งทุ่งหญ้าแพรี่ ส่วนมากทำการเกษตรเลี้ยงเป็ด ไก่ และไก่งวงป้อนโรงงานอุตสาหกรรมของตนเองชุมชนของชาวฮัตเตอร์ไรต์เรียกว่า “อาณานิคม”

ฮัตเตอร์ไรต์ใช้ชีวิตเกือบเหมือนคอมมิวนิสต์เพียงแต่ว่าเปลี่ยนจากความเชื่อทางการเมืองมาเป็นความเชื่อทางศาสนาแต่ละอาณานิคมจะสร้างโรงเรือนรวม เพื่อรับประทานอาหารร่วมกันทุกวันเริ่มตั้งแต่เช้าหญิงชาวฮัตเตอร์ไรต์จะมารวมกันในโรงเรือนแห่งนี้เพื่อประกอบอาหารร่วมกัน จากนั้นจะเรียกให้มารับประทานอาหารเช้าและสวดมนต์เป็นภาษาเยอรมัน

ในโรงเรือนรับประทานอาหาร จะแยกโต๊ะนั่งฟากหนึ่งเป็นหญิงอีกฟากเป็นชาย และอีกด้านเป็นโต๊ะสำหรับเด็ก เมื่ออิ่มหนำสำราญแล้วฝ่ายชายจะแยกไปทำงานในไร่หรือโรงงาน ซึ่งเป็นของส่วนรวมผลผลิตทั้งหมดของไร่และโรงงานเป็นของทุกคนโดยมีคนจัดการด้านการเงินเพียงคนเดียว

ส่วนฝ่ายหญิงทำความสะอาดโรงเรือน และซักผ้าร่วมกันหากมีเวลาว่างก็เตรียมแปรรูปอาหารเก็บไว้ในห้องใต้ดินสำหรับหน้าหนาวแม้ว่าจะมีโรงเรือนส่วนกลาง แต่ละครอบครัวมีบ้านบ้านของชาวฮัตเตอร์ไรต์จะเรียบง่าย มีแค่ห้องนั่งเล่นนอกนั้นเป็นห้องนอนทั้งหมด ไม่มีโทรทัศน์แต่สามารถมีโทรศัพท์และใช้ไฟฟ้าได้

ผู้อาวุโสจะไปรวมตัวกันในบ้านของผู้นำอาณานิคมเพื่อปรึกษาปัญหาและตัดสินใจร่วมกันรายวันโดยจะมีคนในอาณานิคมมาขออนุญาตออกจากอาณานิคมไปหาหมอหรือไปธุระต่างๆ สิ่งเหล่านี้
จำเป็นต้องผ่านการปรึกษาหารือของผู้อาวุโสทั้งสิ้นห้ามออกไปเองโดยพลการ

ผู้หญิงทุกคนทำอาหารและทำความสะอาดด้วยกันในขณะที่ชายทำงานในไร่หรือโรงงานของชุมชนบางคนมีการกำหนดหน้าที่ในชุมชนชัดเจน เช่น ช่างทำไม้กวาดหรือช่างทำรองเท้าก็จะทำหน้าที่ของตนเองไปแต่ละหน้าที่แต่ละอาชีพไม่มีค่าจ้าง แต่ทุกคนมีบ้าน มีอาหารและได้รับการดูแลจากชาวอาณานิคมตั้งแต่วัยเด็กไปจนถึงวัยชรา

เด็กเล็กจะได้รับการดูแลจากชุมชนโดยมีเด็กสาวรุ่นและรุ่นอาวุโสประมาณย่ายายทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงคอยดูแล ในขณะที่แม่ๆ ไปทำงานด้านอื่นเมื่อโตขึ้นมา ก็จะเรียนโรงเรียนในชุมชน ที่สอนภาษาเยอรมันอันเป็นภาษาที่ใช้ในการสวด นอกจากนี้ยังสอนภาษาอังกฤษที่จ้างครูจากนอกอาณานิคมมาสอนเด็กชาวฮัตเตอร์ไรต์เรียนในโรงเรียนจนถึงอายุ 15

เมื่ออายุ 18 จะต้องทำงานเต็มเวลาเหมือนผู้ใหญ่ในอาณานิคมที่สำคัญคือจะต้องท่องจำหลักคำสอนเพื่อเข้าพิธีแบพติสต์จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าพิธีนี้เพราะเป็นขั้นตอนสำคัญในชีวิตสำหรับชาวฮัตเตอร์ไรต์ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถแต่งงานได้

การเลือกคู่ชาวฮัตเตอร์ไรต์จะต้องแต่งกับชาวฮัตเตอร์ไรต์ด้วยกันเท่านั้นแต่หากในอาณานิคมมีแต่ญาติสายเลือดใกล้ชิดเกินไปก็จะต้องเสาะหาเจ้าสาวจากอาณานิคมอื่น จากอาณานิคม 500 แห่งในอเมริกาและแคนาดาครอบครัวชาวฮัตเตอร์ไรต์มักมีลูกกันประมาณ 2-5 คน ทำให้จำนวนประชากรฮัตเตอร์ไรต์เพิ่มขึ้นทุกปี

โลกของชาวฮัตเตอร์ไรต์คือการทำงาน โดยมีสุภาษิตว่า “การงานทำให้ชีวิตหอมหวาน” โดยเริ่มตั้งแต่ตีสามไปถึงสี่ทุ่มที่เหลือคือการสวดมนต์ ทุ่งหญ้าแพรี่เป็นทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่แต่โดดเดี่ยวไกลจากเมือง ทำให้พวกฮัตเตอร์ไรต์เลือกไปตั้งอาณานิคมเพราะต้องการตัดขาดจากโลกภายนอกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้แต่ไม่ได้ปฏิเสธเทคโนโลยี เพราะยังขับรถ ค้าขายกับคนนอกอาณานิคมใช้เครื่องจักรในการผลิต แม้กระทั่งใช้คอมพิวเตอร์

เงินที่หาได้ทั้งหมดเป็นของกงสีหากต้องการออกนอกชุมชนเพราะมีนัดกับหมอหรือไปธุระจะต้องแจ้งให้หัวหน้าชุมชนทราบและอนุมัติทุกครั้งการใช้จ่ายเงินทองหรือการหาเงินเพื่อตัวเองคือบาป

เคยมีรายการสัมภาษณ์เด็กหนุ่มที่หนีออกจากอาณานิคมฮัตเตอร์ไรต์ว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้ประหลาดใจมากที่สุด หนุ่มฮัตเตอร์ไรต์รายนั้นตอบว่าการได้รับเงินเดือนเป็นค่าทำงาน

ท่ามกลางโลกยุคใหม่ ที่ใครๆ ต่างทำงานเพื่อหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองให้มากที่สุดยังมีโลกของชาวฮัตเตอร์ไรต์อีกใบทับซ้อนในโลกใบใหญ่นี้เป็นโลกที่เต็มไปด้วยความน่าพิศวงที่ยังสามารถรักษาคุณค่าดั้งเดิมแห่งโลกโบราณไว้ได้ โดยการยอมรับเทคโนโลยีบางส่วนแต่ยังเลือกที่จะตัดขาดจากโลกภายนอกเพื่อรักษาความเชื่อทางศาสนาของตนเองเหมือนเช่นที่เคยเป็นมาเมื่อห้าร้อยปีก่อน

แก้ผ้าลุงแซม : ฟลอริดาลูกบ้าเที่ยวล่าสุด #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/595334

แก้ผ้าลุงแซม : ฟลอริดาลูกบ้าเที่ยวล่าสุด

วันอังคาร ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2564, 06.00 น.

สำหรับคนอเมริกัน ฟลอริดา เหมือนสวรรค์บนดินเลยก็ว่าได้เพราะเป็นรัฐที่ใครๆ อยากไปอยู่ อากาศดี ไม่หนาวเกินไปเป็นรัฐที่อเมริกันที่อาศัยในรัฐเขตหนาวอยากย้ายไปอยู่มากที่สุดเพราะเบื่อหน่ายกับความหนาวเหน็บเจ็บกระดูกทุกฤดูหนาวแถมยังชายหาดสะสวยให้น่าไปเที่ยวฟลอริดาจึงเป็นรัฐที่น่าอยู่สำหรับคนอเมริกันบางคนตั้งใจว่าจะขายทุกสิ่งอย่างแล้วไปอยู่ฟลอริดาในบั้นปลายชีวิต

สำหรับคนไทยนั้นไม่ต้องพูดถึงใครได้อยู่ฟลอริดาถือว่าอาหารการกินอุดมสมบูรณ์ปลูกผักหญ้าผลไม้เมืองร้อนก็ขึ้น เรียกได้ว่าไม่มีอดไม่เหมือนรัฐเขตหนาวที่อดอยากปากแห้งตลอดทั้งปีทั้งชาติอากาศหรือก็ร้อนชื้นแบบเมืองไทยไม่ต้องห่มคลุมหลายชั้นเหมือนโซนหนาว

แต่ตอนนี้ฟลอริดากลายเป็นรัฐยอดป่วยโควิดพุ่งสูงลิ่วตอนเกิดการระบาดครั้งแรกปีกลายฟลอริดาก็ติดอันดับหนึ่งในห้าของรัฐที่มีผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตสูงสุดพอเกิดการระบาดอีกรอบ ปรากฏว่าหนนี้หวยออกที่ฟลอริดาอีกหนแถมสาหัสกว่าบรรดารัฐที่เคยเต็งห้ามาด้วยกันเสียด้วยเห็นยอดป่วยแต่ละวันต้องยกมือทาบอกแม้จะไม่สูงโด่งเท่ายอดการระบาดรอบแรก แต่ก็น่าวิตกกังวลไม่ใช่น้อย

มาดูสถานการณ์ทั่วไปในอเมริกาสัปดาห์นี้กันมีการรายงานข่าวที่สร้างความตื่นตระหนกให้โลกจนหลายคนคิดว่าเป็นข่าวปลอม แต่ล่าสุดซีดีซียอมรับว่านี่คือข่าวจริงนั่นคือสายพันธุ์เดลต้าสามารถติดต่อได้ง่ายพอๆ กับโรคอีสุกอีใสสามารถแพร่กระจายได้รวดเร็วและติดง่ายกว่าไข้หวัดสามารถแพร่กระจายเชื้อได้แม้กระทั่งจากคนที่ฉีดวัคซีนแล้ว

นอกจากนี้ซีดีซียังเผยแพร่ข้อมูลที่น่าตกใจอีกเรื่องนั่นคือผลการวิจัยหนึ่งซึ่งศึกษาการแพร่ระบาดในรัฐแมสซาชูเซตส์ พบว่า 3 ใน 4 ของผู้ติดเชื้อ เป็นกลุ่มคนที่ฉีดวัคซีนแล้วแม้การระบาดรอบนี้ระบาดหนักในรัฐทางใต้ที่มีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำ ไม่ว่าจะเป็นลุยเซียนา อาร์คันซอ และฟลอริดา แต่ดูเหมือนว่าฟลอริดาจะนำโด่งอย่างไม่มีรัฐไหนแซงได้และคงไม่มีรัฐไหนอยากแซงอันดับในเรื่องยอดป่วยโควิด

ส่วนรัฐอื่นๆ ก็ลุกขึ้นสะบัดเนื้อตัวพรึ่บพรั่บเตรียมตัวรับสถานการณ์สายพันธุ์เดลต้าผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กและนิวเจอร์ซีย์บังคับพนักงานด้านการขนส่งเจ้าหน้าที่เรือนจำ บุคลากรตามโรงพยาบาลต่างๆ และเจ้าหน้าที่ประจำบ้านพักคนชราต้องฉีดวัคซีนหรือไม่ก็ต้องเข้ารับการตรวจเชื้อเป็นประจำนายกเทศมนตรีเมืองเดนเวอร์บังคับฉีดวัคซีนลูกจ้างของเมืองที่มีมากกว่า11,000 คน

อาทิตย์ก่อนเล่าถึงความเบียวของผู้ว่าการรัฐฟลอริดา ทั้งๆ ที่ยอดป่วยพุ่งปริ๊ดขนาดวันละสองหมื่นกว่าพี่แกก็ยังไม่ยอมออกคำสั่งใส่หน้ากาก แถมคัดค้านการให้ประชาชนสวมหน้ากากและฉีดวัคซีน

คือค้านทั้งใส่หน้ากากและฉีดวัคซีนว่างั้น แถมห้ามไม่ให้โรงเรียนต่างๆ บังคับให้นักเรียนใส่หน้ากากไปเรียนด้วย ..นั่น..เอาเข้าไปโดยให้เหตุผลว่าควรให้บรรดาผู้ปกครองควรเป็นคนตัดสินใจแทนเด็กๆ ในเรื่องนี้

หนักหนาสาหัสกว่านั้นเจ้าหน้าที่เคาน์ตี้ไหนให้นักเรียนสวมหน้ากากไปโรงเรียน รอน เดอซานติส ผู้ว่าการรัฐฟลอริดา สังกัดพรรครีพับลิกันขู่ฟ่อว่าจะตัดเงินงบประมาณทั้งที่ยอดผู้ป่วยท่วมโรงพยาบาลแล้วเวลานี้ สาหัสขนาดไหนคิดดูสิว่ายอดคนไข้โควิดในโรงพยาบาลที่ฟลอริดา คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 4 ของคนไข้โควิดทั้งประเทศแถมตอนนี้คนป่วยไม่ใช่เป็นคนสูงอายุอีกต่อไปแล้วแต่ส่วนใหญ่เป็นวัยหนุ่มสาวหลายโรงพยาบาลในฟลอริดาประกาศงดรับเคสคนไข้อื่นงดให้บริการผ่าตัดที่ไม่ใช่กรณีฉุกเฉิน เพื่อเอาเตียงคนไข้ให้ผู้ป่วยโควิด

ท่านผู้ว่าการรัฐฟลอริดาให้เหตุผลที่แม้แต่หมอเฟาซีฟังแล้วยังต้องปากอ้าตาค้าง พี่แกบอกว่าไอ้ที่เห็นว่ายอดป่วยเพิ่มสูงขึ้นนะ เป็นเพราะอากาศร้อนจนทำให้คนหลบแต่ในบ้าน พอเปิดแอร์ เชื้อโรคเลยกระจายอยู่ในบ้านทำให้ไวรัสหมุนเวียนในอากาศ เอ๊ะ..นี่เรียนจบมาทางไหนเนี่ย พี่หมอเฟาซียังอาย

ทั้งที่ระบาดกันระเบิดระเบ้อขนาดนี้จนมีการให้กลับมาสวมหน้ากากอีกครั้งหลายแห่งบังคับให้ทุกคนแสดงบัตรฉีดวัคซีนอย่างเมืองนิวยอร์กบังคับแสดงหลักฐานพิสูจน์ผ่านการฉีดวัคซีนโควิด หากต้องการเข้าไปในร้านอาหาร สถานออกกำลังกาย และธุรกิจอื่นๆ

สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นไล่พนักงานออก 3 คนเพราะไม่ได้ฉีดวัคซีนเช่นเดียวกับบริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่ง ในนั้นรวมถึงเฟซบุ๊คและกูเกิลเผยว่าจะบังคับพนักงานฉีดวัคซีน สายการบินหลักๆ อย่างเดลตาแอร์ไลน์ส และยูไนเต็ด แอร์ไลน์สต่างบังคับพนักงานแสดงเอกสารรับรองการฉีดวัคซีน งานนี้คงฟ้องยากเพราะรัฐบาลสหรัฐฯระบุว่าเป็นเรื่องชอบธรรมตามกฎหมายสำหรับนายจ้างที่จะบังคับพนักงานที่เข้ามาในสถานที่ทำงาน ฉีดวัคซีนโควิด

แทนที่คนที่ไม่ยอมฉีดวัคซีนจะไปฉีดวัคซีนแต่โดยดีซึ่งไม่ได้ยากอะไรแค่เดินไปที่ร้านขายยาหรือซูเปอร์มาร์เก็ตก็ฉีดได้ทันทีแต่พวกนี้กลับไม่ฉีด จนมีเคสแปลกๆ เกิดขึ้นทั่วอเมริกา

มาดูเคสนี้ นักศึกษามหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนาไม่ยอมฉีดวัคซีนแต่หาทางออกด้วยการจะไปซื้อใบฉีดวัคซีนปลอม

ยุคแรกนี่ได้ยินว่าขายกันใบละ 20 ดอลล์ (600 บาท) นะตอนนี้มีพัฒนาการ..ขายกันสูงถึง 200 ดอลล์ (6,000 บาท) แบบนี้ยูไปฉีดวัคซีนไม่ดีกว่าเหรอ ง่ายกว่าแถมฟรีด้วย

อีกเคส ผู้โดยสารอเมริกันบินไปแคนาดา แต่ไม่ยอมฉีดวัคซีนเลยต้องหาทางออกเพราะสายการบินบังคับให้ทุกคนต้องแสดงบัตรฉีดวัคซีนทางออกของคู่นี้คือไปซื้อบัตรฉีดวัคซีนปลอมมายื่นให้แต่เจ้าหน้าที่สนามบินแคนาดาจับได้ ผลคือถูกปรับเงินคนละเกือบ 16,000 ดอลลาร์ หรือราว 5 แสนบาท

อย่างที่บอกแหละว่า พวกที่ไม่ยอมใส่หน้ากากและไม่ฉีดวัคซีนส่วนมากเป็นกลุ่มพวกสนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์ สำนักงานสอบสวนกลางแห่งสหรัฐฯ (เอฟบีไอ) เตือนว่าบัตรรับรองปลอมการฉีดวัคซีนว่อนสื่อสังคมออนไลน์และเว็บบอร์ดต่างๆ ซึ่งเป็นที่นิยมของกลุ่มคนต่อต้านวัคซีนและบรรดาผู้สนับสนุนของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยเขียนคำแนะนำวิธีทำบัตรวัคซีนปลอมเอาไว้อย่างดิบดี เช่น ควรใช้กระดาษที่มีความหนาเท่าไหร่ ถึงจะเหมือนใบฉีดวัคซีนจริง

กระทรวงยุติธรรมอเมริการวบตัวหมอรายหนึ่งในแคลิฟอร์เนียเพราะทำบัตรฉีดวัคซีนปลอมให้คนไข้ว่าผ่านการฉีดวัคซีนของโมเดอร์นาแล้วนี่ขนาดโควิดระบาดจนป่วยกันวันละแสนกว่าเข้าไปแล้วเกือบแตะระดับเดียวกับช่วงที่พีคสุดๆ เมื่อปีกลายบรรดาอเมริกันก็ยังทำหน้ามึนไม่สนวัคซีนทั้งที่คนไทยบูชาเทพไฟเซอร์ เทพโมเดอร์นากันอย่างหนักน่าเสียดายและเสียของจริงๆ

ความร้ายกาจของเดลต้านี่เจาะเกราะแตกทุกด้านและทุกด่านใช้เวลาแค่ 9 เดือนเองในการแพร่เชื้อจากเดือนพฤศจิกายนมีคนป่วยรายวันเฉลี่ยวันละแสนรายจนพุ่งไปถึงสองแสนห้าหมื่นรายในเดือนมกราคม พอวัคซีนมาคนเริ่มไปฉีด ยอดเลยลดลงในเดือนมิถุนายนเหลือแค่หมื่นคนต่อวัน

ตอนนี้ไต่ระดับมาแบบจัดหนัก แค่ 6 อาทิตย์แตะเพดานวันละแสนกว่าอีกแล้วบอกตรงๆ เลยว่า นาทีนี้ยังไม่รู้ว่าภาวะการระบาดของโรคจะจบลงตรงไหนจะหยุดที่เดลต้าหรือจะมีพันธุ์ใหม่เมดอินยูเอสเอกลายพันธุ์ระบาดขึ้นมาอีกหากเกิดการกลายพันธุ์ กลัวว่าวัคซีนที่มีอยู่ในตอนนี้จะต้านไม่อยู่ซ้ำอเมริกันยังไม่ยอมทำตามกฎระเบียบไม่รักษาระยะห่างไม่ใส่หน้ากากอะไรทั้งนั้น นี่หมายถึงความหายนะอย่างแท้จริง