แตกใบอ่อน : 3นวัตกรรมดันสินค้าเกษตรไทยโกอินเตอร์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/363737

807934531

แตกใบอ่อน : 3นวัตกรรมดันสินค้าเกษตรไทยโกอินเตอร์

วันพฤหัสบดี ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2561, 06.00 น.

ความล้ำหน้าของเทคโนโลยีหรือไอที นำไปสู่การคิดค้น “นวัตกรรม”ใหม่ ไม่เว้นแม้แต่ภาคเกษตรกรรม ที่ต้องปรับเปลี่ยน ปรับตัว หาช่องทางสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าเกษตร เพื่อสร้างโอกาสในการแข่งขันในโลก ที่เปลี่ยนไปเร็วเพียงพลิกฝ่ามือ ซึ่งก็หมายถึงงานค้นคว้าวิจัยต่างๆ ก็ต้องพัฒนา ให้สอดรับกับสถานการณ์

ต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เผยโฉมงานวิจัยชิ้นล่า 3 ผลงานโบแดง ที่น่าสนใจ เพื่อเกษตรกร ผู้ประกอบการและผู้บริโภค จะได้ประโยชน์จากการนำไปใช้จริง อีกทั้ง ยังช่วยยกระดับ เพิ่มมูลค่าให้สินค้าเกษตรไทยไปไกลถึงระดับสากล

งานวิจัยอันทรงคุณค่าที่ทางมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ภูมิใจนำเสนอ เริ่มจาก “แอพพลิเคชั่นออร์แกนิค” (Organic Ledger) โดยผศ.ดร.ดุสิต อธินุวัฒน์ จากสาขาเทคโนโลยีการเกษตร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มธ. ประโยชน์คือ บันทึกข้อมูลที่เกี่ยวข้องผลผลิตทางการเกษตรทั้ง ชื่อเกษตรกร ฟาร์มและสถานที่ตั้ง ช่องทางติดต่อ ขั้นตอนเพาะปลูก รวมถึงวันและเวลาเก็บเกี่ยว พร้อมผลตรวจสอบลักษณะของผลผลิตดังกล่าวว่าเป็นไปตามมาตรฐานสากลของผลิตภัณฑ์อินทรีย์ ตามฐานข้อมูลของมูลนิธิเกษตรอินทรีย์ไทยหรือไม่ และเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ผู้บริโภค ยังมีการออกใบรับรองแบบอิเล็กทรอนิกส์ ให้ฟาร์มหรือผู้ผลิตที่มีผลิตสินค้าทางการเกษตรแบบไร้สารปนเปื้อน ซึ่งข้อมูลทั้งหมดนี้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้ง่าย เพียงการสแกนคิวอาร์ โค้ด (QR Code) ที่ติดไว้บนฉลากสินค้า ก็จะทราบข้อมูลสำคัญทั้งหมด

ชิ้นต่อมาเป็น “นวัตกรรมแถบสีบอกความสุกผลไม้ (Bio-ripeness indicator) และนวัตกรรมชะลอการสุกมะม่วง” สร้างสรรค์โดย รศ.ดร.วรภัทร ลัคนทินวงศ์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาเทคโนโลยีการเกษตร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มธ. จุดเด่นอยู่ที่ มุ่งลดอัตราการเสียหายของสินค้าการเกษตรเมื่อวางจำหน่าย จากการถูกบีบหรือกดในการเลือกซื้อ องค์ประกอบของผลงานชิ้นนี้ ใช้สารละลายกระตุ้นการสร้างสารสีคลอโรฟิลล์ (chlorophyll supplement)ให้มีปริมาณมากขึ้นพร้อมชะลอการทำงานของเอนไซม์ที่ทำหน้าที่สลายคลอโรฟิลล์ในมะม่วง ชะลอการสุกได้สูงถึง 30 วันโดยไม่ทิ้งสารตกค้าง และแถบสีอินดิเคเตอร์(Indicator) แถบสีแสดงการสุกของเนื้อมะม่วง 4 ระยะคือ สีเขียว-เนื้อมะม่วงที่ยังดิบ สีเหลืองอ่อน-เนื้อมะม่วงที่เริ่มสุก สีเหลือง-เนื้อมะม่วงที่พร้อมรับประทาน และ สีเหลืองเข้ม-เนื้อมะม่วงที่สุกเกินมาตรฐาน

ส่วนอีกหนึ่งนวัตกรรม ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เปิดตัวคือ “ฟิล์ม ทูฟลาย” (Film to Fly) ผลงานของ ผศ.ดร.ดุสิต อธินุวัฒน์ จากสาขาเทคโนโลยีการเกษตร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มธ. ร่วมกับนางสาวพรรณวดี จันทร์ทองนักศึกษา สาขาวิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มธ. พัฒนาขึ้นเพื่อชะลอความสุกของพืชผลเกษตรจากใบยี่หร่า ชะลอสุกกล้วยหอม นาน 2 เดือน ด้วยเทคนิคการเคลือบแบบบริโภคได้ไม่ทิ้งสารเคมีตกค้าง พร้อมรักษาสภาพผิวให้สวยงาม และป้องกันการเกิดโรคขั้วหวีเน่าในผลผลิต หลังเก็บเกี่ยวและระหว่างการขนส่ง นอกจากนี้ ยังใช้ชะลอสุกได้กับมะละกอ และมะม่วงน้ำดอกไม้ด้วย

นอกจากการเปิดตัว 3 นวัตกรรมครั้งนี้มธ.ยังเปิดกว้างสำหรับผู้สนใจ ติดตามข้อมูลรายละเอียดอื่นๆ ได้ผ่านเว็บไซต์ http://www.tu.ac.th/news ซึ่งไม่ได้มีเพียง 3 นวัตกรรมเพื่อการเกษตรเท่านั้น แต่เป็นอีกช่องทางติดตามข้อมูล งานวิจัยที่จะมีออกมาต่อเนื่องแน่นอนในอนาคต

แตกใบอ่อน : ‘หนุนนายกฯลงมือตีปี๊บ’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/362265

807934531

แตกใบอ่อน : ‘หนุนนายกฯลงมือตีปี๊บ’

วันพฤหัสบดี ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2561, 06.00 น.

มีโอกาสได้ฟัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ซึ่งออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ แห่งประเทศไทยแบบเต็มๆ เมื่อวันศุกร์สิ้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เกิดสะกิดใจถึงความห่วงใยในประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะขยะ น้ำเสีย จนถึงเรื่องการใช้พลาสติก ปัจจัยหนึ่งที่ก่อมลพิษแก่โลก ซึ่งก่อนหน้านี้ ไม่ค่อยเคยได้ยินท่านนายกฯพูดถึงเรื่องนี้มากนัก แต่เมื่อได้ฟังเป็นเรื่องเป็นราว เลยอยากจะสนับสนุนพร้อมเสนอแนะให้รัฐบาลผลักดันเรื่องนี้เป็นจริงเป็นจัง เข้มข้น หรือที่ชอบพูดกันว่ายกให้เป็น “วาระแห่งชาติ” เหมือนปัญหาค้ามนุษย์ ประมงผิดกฎหมาย มาเฟีย หนี้นอกระบบอย่างนั้น

โดยเฉพาะปัญหา “ขยะ” ที่พูดถึงกันมากมานาน ตั้งแต่ก่อนมีการบุกตรวจจับขยะอิเล็กทรอนิกส์ ที่ลักลอบนำเข้ามา จนขยายผลกวาดล้างหลายพื้นที่ ทำให้สังคมตื่นตัว ลามไปพูดถึงขยะภาคอุตสาหกรรม ที่ส่วนราชการได้ขยับปรับเปลี่ยนกฎระเบียบการจัดการกันแล้ว ส่วนขยะในครัวเรือน ทุกภาคส่วนก็เคลื่อนไหวเช่นกัน

ในเรื่องนี้ถ้าจะให้ได้ผลเป็นรูปธรรม คงต้องปูพรมทำพร้อมกันทั้งประเทศ แค่ต่างคนต่างทำคงได้ผลระดับหนึ่ง แต่ถ้ามีหน่วยงานหลัก หรือคนที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ เป็นเจ้าภาพระดับประเทศ รับนโยบายจากรัฐบาลมาดำเนินการ มีอำนาจตัดสินใจได้เลย สรรหาบุคลากรที่สันทัดปัญหา ไม่เกี่ยงว่าต้องนักวิชาการจบสูง แต่เป็นใครที่มีความรู้จริงในปัญหา สังคมยอมรับ วัดจากประสบการณ์ปฏิบัติจริงในชีวิต มาระดมสมอง วางแนวทาง ร่างแผน คิดแคมเปญ แล้วก็ลงมือทำขับเคลื่อนไปพร้อมกัน ทั้งขยะ น้ำเสีย ควันพิษ รับลูกไปสานต่อ เริ่มสร้างวินัยกันที่ครอบครัว สถาบันการศึกษา หน่วยงานรัฐ เอกชน รับรองสำเร็จเห็นผลเป็นรูปธรรมทั้งระบบในเร็ววันแน่ เพราะทุกวันนี้ หลายภาคส่วนต่างคนต่างลงมือกันไปแล้ว แต่ถ้าขาดการผลักดันรับลูกต่อเป็นทอด จริงจัง เกรงจะเงียบหายไปเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง จนปลุกไม่ขึ้นอีก

ที่ว่ามายืดยาว ก็อยากให้นายกฯ เป็นหัวหอกนำเทรนด์เสียเอง จุดกระแสให้ดังเป็นพลุ ตื่นตัวกันทุกครัวเรือน เอาแบบเข้มๆ เพื่อความยั่งยืน เลิกใช้โฟม พลาสติก เลิกทิ้งขยะส่งเดชกันไปเลยจริงๆ เพื่อสิ่งแวดล้อมสะอาด สิ่งมีชีวิตบนโลกปลอดภัย เราจะได้ไม่ต้องเห็น หรือต้องรับรู้ภาพ สัตว์ทะเล สัตว์ป่าในอุทยานฯกินถุงพลาสติก เศษซากกระป๋อง โฟม ฯลฯ เกลื่อนป่า เกลื่อนหาด เกลื่อนแม่น้ำลำคลอง ท้องทะเล รวมถึงลดมลภาวะ ลดค่าใช้จ่ายจัดเก็บ ทำลาย จนถึงต้นทุนรักษาพยาบาล

ประเด็นเหล่านี้ อาจดูเป็นเรื่องเก่าเอามาเล่าใหม่ แต่รู้สึกเสียดายที่ลงมือปลุกปั้น พอเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ปล่อยให้เฉาตายหายไป ที่สำคัญ อย่างที่นายกฯพล.อ.ประยุทธ์กล่าวไว้ในรายการวันนั้น ตอนหนึ่งว่า “…ทั้งปัญหาขยะ น้ำเสียเป็นอีกตัวชี้วัดหนึ่งของการพัฒนาที่ไม่สมดุล ไม่ยั่งยืน…” พร้อมย้ำอีกว่า “…นโยบายไทยแลนด์ 4.0 อยู่บนพื้นฐานของการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ดังนั้น ถึงเวลาที่คนไทยต้องเปลี่ยนหลักคิด สร้างวิถีปฏิบัติใหม่ เพื่อแก้ไขของเก่า ขณะเดียวกัน ก็ต้องป้องกันของใหม่ ไม่ให้
ผิดพลาดซ้ำรอยเดิม…”

การจุดประกายให้คนปรับเปลี่ยนแนวคิด ทัศนคติ รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม คงสร้างไม่ได้ง่าย สำเร็จภายในวันเดียว จึงควรต้องลงมือเสียแต่วันนี้ แบบสม่ำเสมอ อย่าแผ่วปลาย และสุดท้ายก็แอบขอฝากความหวังไว้กับท่านนายกฯ ด้วยความเชื่อมั่นเต็มเปี่ยมว่า ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ ลงมือตีปี๊บถือธงด้วยตัวเอง รับรองความสำเร็จรออยู่ปลายอุโมงค์เป็นแน่ เพราะเมื่อรัฐบาลลุยนโยบายไทยแลนด์ 4.0 เต็มสูบ ก็ควรสัมฤทธิผลยั่งยืนทุกด้าน อย่าให้เรื่องสิ่งแวดล้อมหลุดเฟรม ได้แค่ 0.4 นะท่านนายกฯ

แตกใบอ่อน : ยิ่งลากยาว ยิ่งเสียหาย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/360911

807934531

แตกใบอ่อน : ยิ่งลากยาว ยิ่งเสียหาย

วันพฤหัสบดี ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

กลายเป็นเรื่องยืดเยื้อและอีนุงตุงนังไม่มีที่สิ้นสุด สำหรับกรณีการ “แบน” วัตถุอันตราย 3 ชนิด พาราควอต, คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟรเซต ภายหลังจากคณะกรรมการศึกษาผลกระทบสารเคมีทั้ง 3 ชนิด ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีคำสั่งแต่งตั้ง ซึ่งมีนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รมต.ประจำสำนักนายรัฐมนตรี เป็นประธาน เตรียมตั้งอนุกรรมการขึ้นมาศึกษาข้อมูลอนุกรรมการขึ้นมาศึกษาสารพิษความเสี่ยงสูงทั้ง 3 ชนิดอีกรอบหนึ่ง โดยมีกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับหน้าเสื่อเป็น “คนกลาง” นั่งเก้าอี้ประธานคณะกรรมการชุดดังกล่าว

แม้เรื่องนี้จะเข้าใจได้ว่าเป็น “เจตนาดี”ของคุณสุวพันธุ์ ที่ต้องการหาผลสรุปเกี่ยวกับ “พิษภัย” ของสารเคมีทั้ง 3 ชนิดที่เป็นกลางให้มากที่สุดและได้รับการยอมรับมากที่สุด เพราะเรื่องนี้มีทั้งคนหนุน คนคัดค้าน และไปเกี่ยวข้องกับ “ผลประโยชน์” หลายหมื่นล้านบาท จากการนำเข้าสารเคมีทั้ง 3 ชนิด

แต่อีกมุมหนึ่งก็ต้องบอกว่า มันจำเป็นหรือไม่ที่ต้องตั้งกรรมการเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งชุด เพราะหากย้อนกลับไปนับตั้งแต่“คณะกรรมการขับเคลื่อนปัญหาการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูง” มีมติให้แบนสารเคมี 2 ชนิด คือ พาราควอต และคลอร์ไพริฟอส รวมถึงให้มีการจำกัดการใช้ไกลโฟรเซต เมื่อเดือนเมษายน 2560 จนถึงผ่านมาถึงวันนี้ เรามีคณะกรรมการที่ได้พิจารณาเรื่องนี้ไปแล้วถึง 5 ชุด รวมทั้งชุดของคุณสุวพันธุ์

ดังนั้นถ้าจะให้พูดในฐานะ “คนดู” หรือประชาชนที่อยู่วงนอก มันก็ต้องบอกว่า แค่นี้มันก็ควรจะเพียงพอแล้วหรือไม่ที่จะได้ข้อสรุปอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ทอดเวลาออกไปอีก

ถ้าจะให้พูดกันตามตรง ก็คงบอกได้ว่า ตลอดปีกว่าๆ ที่ผ่านมา ปัญหาของเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่ “ข้อมูล” ไม่เพียงพอ หรือข้อมูลเกี่ยวกับพิษภัยของสารเคมีทั้ง 3 ชนิด ของใครผิด หรือของใครถูก เพราะลำพังเพียงไล่ไทม์ไลน์ผลการศึกษาของแต่ละฝ่าย รวมถึงตรวจสอบขั้นตอนกระบวนการวิจัย และเรียกข้อมูลของแต่ละฝ่ายมาพิจารณาอย่างถ้วนถี่

ข้อมูลผลศึกษาสารตกค้างที่ จ.หนองบัวลำภู ของ “ม.นเรศวร” ว่ายังไง ไปสวนทางกับ “กรมวิชาการเกษตร” ได้ยังไง.. กระบวนการเก็บตัวอย่างของใครเป็นยังไง ใครกันแน่มั่วผลการตรวจสอบ

หรือแม้แต่งานวิจัยของมหาวิทยาลัยมหิดล เกี่ยวกับการพบพาราควอตตกค้างในขี้เทาทารก ซึ่งส่งผลต่อพัฒนาของเด็ก ที่คณะกรรมการวัตถุอันตรายไม่ได้หยิบมาพิจารณาด้วย มันมีเนื้อหาเป็นยังไง เชื่อถือได้หรือไม่

เรื่องแบบนี้มันไม่ต้องตั้งกรรมการขึ้นมาศึกษาใหม่หรอกครับ แค่เรียกนักวิจัย เรียกผู้เชี่ยวชาญมาสอบถามก็ทราบกันแล้วว่า ใครพูดจริง ใครพูดเท็จ

แต่ปัญหามันอยู่ที่ จะมีใคร “กล้า” ชี้ขาดเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมามากกว่า

มะลิลา

แตกใบอ่อน : มองโลกแล้วย้อนดูตัวเอง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/357911

807934531

แตกใบอ่อน : มองโลกแล้วย้อนดูตัวเอง

วันพฤหัสบดี ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ที่ถือว่าได้สร้างความสั่นสะเทือนให้แก่กลุ่มธุรกิจสารเคมีและวัตถุอันตรายทางการเกษตรได้อยู่ไม่น้อย และที่สำคัญเหตุการณ์ที่ว่า แม้จะเกิดขึ้นไกลถึงสหรัฐอเมริกา แต่ก็สร้างผลสะเทือนมาได้ไกลจนถึงเมืองไทย

เหตุการณ์แรก ท่านผู้อ่านที่ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดคงทราบกันดีสำหรับกรณีศาลมลรัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐ มีคำพิพากษาให้ “บริษัทมอนซานโต” ซึ่งเป็น 1 ใน 6 บริษัทผู้ผลิตเคมีภัณฑ์รายใหญ่ของโลก จ่ายเงินชดเชยจำนวน 289 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 9,248 ล้านบาท ให้ นายดิเวน จอห์นสัน อดีตผู้ดูแลสนามหญ้าของโรงเรียนแห่งหนึ่งที่กำลังจะตายด้วยโรคมะเร็ง จากผลกระทบในการใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชหรือยาฆ่าหญ้า “ราวด์อัพ” ที่มีสารอันตรายอย่าง “ไกลโฟเซต” เป็นส่วนประกอบหลัก และคดีนี้ก็เป็นคดีแรกในประวัติศาสตร์ที่มีการยื่นฟ้องร้องว่า “ไกลโฟเซต” มีความเกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็ง

แม้ว่า “มอนซานโต” จะปฏิเสธข้อกล่าวหาและยืนยันเรื่องการยื่นอุทธรณ์ แต่ก็มีการคาดหมายกันว่า คดีนี้จะเป็นบรรทัดฐานให้กับศาลสหรัฐในการตัดสินคดีลักษณะเดียวกันนี้ ที่ยังมีผู้ฟ้องร้องบริษัทสารเคมีแห่งนี้อยู่อีกถึงประมาณ 5,000 คดี

เหตุการณ์ต่อมาเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกันคือ ศาลรัฐบาลกลางสหรัฐ ได้มีคำสั่งให้ “สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อม” (EPA) ประกาศห้ามขาย “คลอร์ไพริฟอส” สารเคมีกำจัดแมลงศัตรูพืชภายใน 60 วัน โดยคดีนี้มีอัยการจากหลายรัฐที่เข้าร่วมฟ้องคดีนี้ ร่วมกับกลุ่มเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมและเกษตรกรในสหรัฐ

ถามว่าแล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวกับประเทศไทยยังไง? ก็คงบอกได้ว่า มันคงไม่เกี่ยวถ้าสารเคมีทั้ง 2 ชนิดนี้ไม่เป็น 2 ใน 3 ของสารเคมีกำจัดศัตรูพืช 3 ชนิด อันประกอบไปด้วย พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต ที่

คณะกรรมการขับเคลื่อนปัญหาการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูง มีความเห็นขอให้มีการประกาศ “แบน” สารเคมีทั้ง 3 ชนิด โดยยกเลิกการใช้พาราควอตและคลอร์ไพริฟอสในประเทศไทย ส่วนไกลโพเซตให้มีการจำกัดพื้นที่ในการนำไปใช้งาน

แต่ต่อมาข้อเสนอดังกล่าวก็กลับกลายเป็นหมัน เพราะทั้ง “กรมวิชาการเกษตร” และ “คณะกรรมการวัตถุอันตราย”
ต่างบอกปัด “ไม่ยกเลิก” แต่ให้จำกัดการใช้งานแทน โดยอ้างว่าข้อมูลผลกระทบทาง
สิ่งแวดล้อมและสุขภาพยังไม่เพียงพอ

บรรทัดนี้ผมคงไม่เสียเวลามานั่งเถียงการใช้ “วิจารณญาณ” ของกรมวิชาการเกษตรและคณะกรรมการวัตถุอันตรายว่า มันถูกต้องหรือมีข้อน่างุนงงสงสัยใดๆ หรือไม่ อย่างไร เพราะถึงพูดไปก็ยังคงไม่แคล้วต้องเจอแต่ข้ออ้างเดิมๆ

ลองหันไปมองดูโลกแล้วหันกลับมามองตัวเองครับ แล้วจะทราบว่าการตัดสินใจที่เกิดขึ้นมีความน่าเชื่อมากน้อยเพียงใด

นี่ยังไม่นับรวมความเห็นแย้งจาก “คณะกรรมการปฏิรูประบบสาธารณสุข” ที่เพิ่งออกมาหมาดๆ เมื่อวันที่ 14 สิงหาคมที่ผ่านมานะครับ

มะลิลา

แตกใบอ่อน : จะเกิดอะไร? ถ้าเก็บเงินค่าถุงพลาสติก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/356559

807934531

แตกใบอ่อน : จะเกิดอะไร? ถ้าเก็บเงินค่าถุงพลาสติก

วันพฤหัสบดี ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

12 สิงหาคม 2561 นอกจากจะเป็นวันดีของคนไทยทั้งประเทศ วันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และ “วันแม่แห่งชาติ” แล้ว

วันที่ 12 สิงหาคมปีนี้ ยังถือเป็นวันพิเศษที่ “กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช” จะถือเอาเป็น “วันดีเดย์” เริ่มต้นการงดไม่ให้มีการนำ “โฟม” บรรจุอาหารและ “ถุงพลาสติก” เข้าไปในพื้นที่อุทยานแห่งชาติทั่วประเทศอย่างเด็ดขาด ซึ่งแม้หลายคนจะแอบบ่นว่า กรมอุทยานฯเริ่มต้นเรื่องนี้ช้าไปนิด จริงๆควรเริ่มไปตั้งนานแล้ว เพราะปัญหาขยะโฟมและพลาสติก ณ เวลานี้ ต้องถือว่าสถานการณ์มันรุนแรงเสียยิ่งกว่ารุนแรง

ทั้งสัตว์ป่า สัตว์ทะเล พากันมากินเศษขยะ เศษถุงพลาสติกที่ถูกทิ้งอยู่ตามแหล่งธรรมชาติต่างๆ เพราะคิดว่าเป็นอาหาร จนสุดท้ายตัวเองต้องตายไป ดังที่เราเห็นเป็นข่าวออกมาเป็นระยะไม่รู้กี่ร้อยกี่พันตัวแล้ว

ดังนั้นถึงแม้จะมาช้า แต่ก็ยังดีกว่าไม่มา และต้องขอเอาใจช่วยกรมอุทยานแห่งชาติฯให้เดินหน้านโยบายนี้อย่างเข้มข้น และจริงจัง เพราะนี่ไม่เพียงแต่จะเป็นการเพิ่มความปลอดภัยให้กับสัตว์ป่า และดำรงรักษาสิ่งแวดล้อมไว้เท่านั้น แต่ยังถือเป็นการสร้างวินัยให้กับพวกเราคนไทยเริ่มหันมาใส่ใจและใช้ชีวิตที่ “ปลอดพลาสติก” กันมากขึ้น

ไหนๆ ก็พูดถึงเรื่องขยะพลาสติกแล้ว วันนี้เลยอยากพูดต่อในประเด็นเรื่องการ “เก็บเงิน” ค่าถุงพลาสติก ซึ่งเป็นแนวทางที่หลายประเทศทำกันเพื่อลดปัญหาการเกิดขยะถุงพลาสติก และอยากให้ “กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม” รวมถึงรัฐบาลนำไปพิจารณาขยายผลให้เป็นรูปธรรมในเมืองไทย โดยวันก่อนมีเพื่อนได้แชร์ข้อมูลมาจากเพจ “ReReef” ซึ่งเป็นข้อมูลเกี่ยวกับโครงการ “CHULA Zero Waste” หรือ “จุฬาปลอดขยะ” ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงขออนุญาตสรุปเนื้อหาบางตอนมาเผยแพร่ต่อ ดังนี้ครับ

โครงการนี้ เขาได้เริ่มต้นรณรงค์ให้คนในมหาวิทยาลัยหันมาใช้ถุงผ้า และงดรับถุงพลาสติกเมื่อซื้อของสินค้าน้อยชิ้นในร้านสะดวกซื้อ 10 แห่งภายในมหาวิทยาลัย ซึ่งแม้การรณรงค์จะได้ผลพอสมควร คือ สามารถลดถุงพลาสติกได้กว่า 40% จากเดือนละประมาณ 130,000 ถุง เหลือที่ประมาณ 70,000 ถุง ภายใน 3 สามเดือน

แต่ปรากฏว่า วิธีที่นำมาใช้แล้วเห็นผลชัดเจนที่สุดและลดจำนวนถุงพลาสติกได้เร็วที่สุด คือ การคิดเงินค่าถุงพลาสติกใบละ 2 บาทแทนการแจกฟรี โดยปรากฏว่า หลังจากเริ่มมีการเก็บค่าถุงพลาสติก สามารถทำให้ปริมาณการใช้ถุงพลาสติกลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ราวๆ 70,000 ถุง เหลือเพียง 16,700 ถุง หรือลดลง 76% ภายในเดือนเดียว หรือถ้าเทียบก่อนหน้าการรณรงค์ก็พบว่า ลดลงไปถึง 87%

ขณะที่หลังจากการมีการนำวิธีเก็บเงินค่าถุงพลาสติกมาใช้ได้ 1 ปี 7 เดือน ปรากฏว่า สามารถลดการใช้ถุงพลาสติกได้ถึงกว่า 2 ล้านใบ

ไม่ใช่แค่ในจุฬาฯที่เดียวนะครับ จากข้อมูลที่ถูกนำมาเผยแพร่ ยังบอกว่า “ธรรมศาสตร์” เองก็นำวิธีการนี้มาใช้ภายในมหาวิทยาลัยภายใต้โครงการ “No More Single-use” และให้ร้านค้าเก็บเงินค่าถุงพลาสติกในราคาถุงละ 2 บาท ซึ่งผลที่ออกมาก็ไม่ต่างกับจุฬาฯ คือ สามารถลดการใช้ถุงพลาสติกไปได้ถึง 143,500 ถุง หรือลดลงไปถึง 76% ภายในเดือนเดียว และคาดว่าทั้งปีจะสามารถลงได้มากกว่า 1.7 ล้านถุง

ลองคิดดูเถอะครับ นี่แค่ภายในรั้วมหาวิทยาลัยแค่ 2 แห่งยังลดได้ถึงขนาดนี้ ถ้าหากวิธีการนี้ถูกนำไปใช้ในสังคมไทยทั้งประเทศจะเกิดประโยชน์มากแค่ไหน

อาจจะมีบ้างครับที่ช่วงแรกๆ รัฐบาลและหน่วยงานต่างๆ จะโดนบ่น แต่ผมก็ยังเชื่อว่า กระแสสังคมส่วนใหญ่จะสนับสนุน และที่สำคัญคนไทยทุกคนจะสามารถปรับตัวรับกับเรื่องนี้ได้อย่างไม่ยากเย็น

ที่ผ่านมา เราแจกถุงผ้ากันมาเยอะมาแล้วนะครับ

และที่สำคัญ ต้องไม่ลืมว่า รัฐบาลและคสช.ก็เป็นผู้กำหนดให้ปัญหาขยะและของเสียอันตรายเป็น “วาระแห่งชาติ” ดังนั้นก็น่าจะถึงเวลาขยับเรื่องนี้ให้เปรี้ยงปร้างกันเสียที

ย้ำอีกครั้ง..ถุงพลาสติกไม่ควรเป็นของฟรีอีกต่อไปครับ

มะลิลา

แตกใบอ่อน : ลดภาระเกษตรกร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/355055

807934531

แตกใบอ่อน : ลดภาระเกษตรกร

วันพฤหัสบดี ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

วันอังคารที่ผ่านมามีข่าวดีให้กับเกษตรกร ภายหลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้ความเห็นชอบมาตรการลดภาระหนี้เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้เกษตรกรรายย่อย 2 โครงการใหญ่ๆ ด้วยกัน คือ โครงการขยายเวลาชำระหนี้ให้แก่เกษตรกรลูกค้าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และโครงการลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่เกษตรกรรายย่อยตามที่กระทรวงการคลังเสนอ จึงขออนุญาตนำเนื้อหารายละเอียดแต่ละโครงการมารีวิวสรุปให้ท่านผู้อ่านและพี่น้องเกษตรกรรับทราบอีกสักรอบ

โดยโครงการแรก “โครงการขยายเวลาชำระหนี้ให้แก่เกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส.” วัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาและลดภาระหนี้สิน รวมถึงส่งเสริมฟื้นฟูการประกอบอาชีพให้กับเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. ทั่วประเทศจำนวน 3.81 ล้านราย โดยแต่ละรายจะได้รับสิทธิขยายระยะเวลาชำระหนี้ต้นเงินกู้เป็นเวลา 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2561 ถึง 31 กรกฎาคม 2564 ตามความสมัครใจ โดยต้องแสดงความประสงค์เข้าร่วมโครงการภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2561 โดยมีเงื่อนไขให้ชำระดอกเบี้ยเงินกู้อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือในกรณีที่มีหนี้เงินกู้เป็นภาระหนัก เกษตรกรก็สามารถดำเนินการตามโครงการสินเชื่อเพื่อฟื้นฟูการประกอบอาชีพ หรือปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามวิธีปฏิบัติของ ธ.ก.ส. เป็นรายๆ ไป

นอกจากนี้ เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ ยังจะได้รับการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อเพิ่มศักยภาพการประกอบอาชีพสินเชื่อเพื่อปรับโครงสร้างการผลิต หรือสินเชื่อเป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉินและจัดหาปัจจัยการผลิตได้ด้วย ซึ่งจะเชื่อมโยงกับโครงการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่กำลังจะออกมา เพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนจากพืชที่ไม่ควรปลูกไปปลูกพืชที่สมควรปลูกแทน

ส่วนโครงการที่สอง “โครงการลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่เกษตรกรรายย่อย” เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากภาระดอกเบี้ย และลดต้นทุนในการประกอบอาชีพ โดยเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. จะได้รับสิทธิ์ลดดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับต้นเงินกู้ที่ไม่เกิน 300,000 บาท เป็นระยะเวลา 1 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2561 ถึง 31 กรกฎาคม 2562 โดยรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้แทนให้กับธ.ก.ส. ในอัตราร้อยละ 2.50 ต่อปี และ ธ.ก.ส. รับภาระดอกเบี้ยเงินกู้แทนเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. ในอัตราร้อยละ 0.50 ต่อปี ส่วนต้นเงินกู้ที่เกินกว่า 300,000 บาท ขึ้นไปนั้น จะยังคงคิดดอกเบี้ยในอัตราปกติต่อไป

ทั้งนี้เกษตรกรรายย่อยทุกรายที่เป็นลูกค้าของ ธ.ก.ส. สามารถเข้าร่วมได้ทั้ง 2 โครงการ แต่ในกรณีของโครงการแรกเกษตรกรจำเป็นต้องไปแสดงความจำนงกับธนาคารเอาเอง เพราะอาจไม่ใช่ทุกคนที่ต้องการยืดหนี้ออกไป โดยเฉพาะเกษตรกรที่ยังพอมีศักยภาพหรือมีเงินชำระหนี้และต้องการปลดหนี้ให้เร็วขึ้น ก็สามารถชำระตามกำหนดเดิมได้ต่อไป

มะลิลา

แตกใบอ่อน : สัตว์น้ำคุ้มครอง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/353761

807934531

แตกใบอ่อน : สัตว์น้ำคุ้มครอง

วันพฤหัสบดี ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

เมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา หลายท่านคงยังจำกันได้ถึงกรณี “กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม” (ทส.) ได้ออกประกาศกฎกระทรวงกำหนดให้สัตว์ป่าบางชนิดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2561 และกฎกระทรวงกำหนดชนิดของสัตว์ป่าคุ้มครองให้เป็นสัตว์ป่าชนิดที่เพาะพันธุ์ได้ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2561 โดยเพิ่มพันธุ์สัตว์น้ำ 12 ชนิด ให้เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ซึ่งประกอบไปด้วย

ปลากระเบนปีศาจครีบโค้ง, ปลากระเบนปีศาจครีบสั้น, ปลากระเบนปีศาจแคระ, ปลากระเบนปีศาจหางหนาม, ปลากระเบนแมนต้าแนวปะการัง, ปลากระเบนแมนต้ายักษ์, ปลากระเบนราหูน้ำจืด หรือปลากระเบน
เจ้าพระยา, ปลาโรนิน หรือปลากระเบนท้องน้ำ, ปลาฉนากเขียว, ปลาฉนากปากแหลม, ปลาฉนากฟันเล็ก และปลาฉนากยักษ์

การออกประกาศดังกล่าว ไม่เพียงแต่จะส่งผลดีต่อการอนุรักษ์พันธ์สัตว์น้ำทั้ง 12 ชนิดเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงไปยังผู้ครอบครอง เพราะโดยปกติหากมีพันธุ์สัตว์ป่าใดที่ได้รับการคุ้มครอง จะทำให้สัตว์ถูกห้ามครอบครองและทำการเพาะพันธุ์ไปด้วย เว้นแต่บางสายพันธุ์เท่านั้นที่จะมีการออกประกาศกฎกระทรวงเพื่อให้การยกเว้น ซึ่งตามประกาศกฎกระทรวงที่ออกมาดังกล่าวได้กำหนดให้ “ปลากระเบนราหูน้ำจืด” หรือ “ปลากระเบนเจ้าพระยา” เป็นพันธุ์สัตว์น้ำที่อนุญาตให้ประชาชนเพาะพันธุ์ได้

เบื้องต้น “กรมประมง” จึงได้ฝากข่าวแจ้งเตือนมายังพี่น้องประชาชนที่ครอบครองสัตว์น้ำดังกล่าว ทั้งที่มีชีวิตหรือเป็นซาก หรือเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากซากของสัตว์ป่าคุ้มครองดังกล่าว ต้องรีบมาแจ้งการครอบครองต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ โดยในกรณีสัตว์น้ำ 12 สายพันธุ์ ที่ว่ามา ก็ต้องปฏิบัติตามประกาศกรมประมงเรื่องแบบและวิธีการแจ้งการครอบครอง แบบหนังสือกำกับการจำหน่าย การนำพยานเอกสารหรือหลักฐานมาพิสูจน์ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การออกใบอนุญาตให้ครอบครองสัตว์ป่าคุ้มครองชั่วคราว การออกใบรับรองการครอบครองซากของสัตว์ป่าคุ้มครอง หรือผลิตภัณฑ์ที่ทาจากซากของสัตว์ป่าคุ้มครอง พ.ศ.2558 และหากจะมีการเพาะพันธุ์ปลากระเบนราหูน้ำจืด ก็ต้องแจ้งขออนุญาตเพาะพันธุ์มาด้วย

โดยประชาชนต้องจัดเตรียมเอกสารหลักฐาน ภาพถ่าย หรือสิ่งอื่นใดที่สามารถยืนยันการได้มา เพื่อนำมาแจ้งครอบครองต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ โดยสามารถแจ้งการครอบครองรวมถึงการแจ้งขอเพาะพันธุ์ปลากระเบนราหูน้ำจืดหรือปลากระเบนเจ้าพระยา ณ ท้องที่ที่ครอบครอง

โดยในเขตกรุงเทพมหานคร สามารถแจ้งได้ที่ กองบริหารจัดการทรัพยากรและกำหนดมาตรการ กรมประมง เกษตรกลาง เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ส่วนท้องที่จังหวัดอื่นๆ สามารถแจ้งได้ที่ สำนักงานประมงจังหวัดในท้องที่นั้นๆ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2561- 29 พฤศจิกายน 2561 หรือหากมีปัญหาต้องการสอบถามรายละเอียด ก็โทร.ไปได้ที่กองบริหารจัดการทรัพยากรและกำหนดมาตรการ กลุ่มคุ้มครองพันธุ์สัตว์น้ำตามอนุสัญญา โทรศัพท์ 0-2579-9767

อย่าลืมเชียวนะครับ ไปแจ้งครอบครองได้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายนนี้ จนถึง 29 พฤศจิกายนนี้เท่านั้น เกิดอะไรขึ้นมา จะได้ไม่ต้องมีปัญหาทีหลัง

มะลิลา

แตกใบอ่อน : ​ฮีโร่ผู้เสียสละในภารกิจช่วยหมูป่า13ชีวิต

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/352435

807934531

แตกใบอ่อน : ​ฮีโร่ผู้เสียสละในภารกิจช่วยหมูป่า13ชีวิต

วันพฤหัสบดี ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

ช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ข่าวที่คนไทยรวมไปถึงคนทั่วทุกมุมโลกติดตามกันมากที่สุด เทียบได้กับการแข่งขันฟุตบอลโลกที่เพิ่งจบไปเช่นกัน คงหนีไม่พ้นข่าว 13 ชีวิตของทีมฟุตบอลหมูป่าอะคาเดมี ที่ติดในถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย กว่าที่ทีมช่วยเหลือจะสามารถเข้าไปพบเจอ และได้ทำการวางแผนนำตัวทีมหมูป่าออกมาได้อย่างปลอดภัยทุกคนซึ่งเป็นภารกิจที่มีทีมช่วยเหลือรวมกว่า50 หน่วยงาน และได้รับความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะจากนานาชาติทั่วโลก อีกหลายประเทศ บางคนถึงกับเรียกว่าเป็นภารกิจรวมฮีโร่ของโลกอย่างแท้จริง จนภารกิจสำเร็จสร้างความดีใจและความสุขให้กับผู้คนทั้งประเทศ

จากคลิปแรกที่ออกมาหลังจากพบทีมหมูป่าทำให้เราได้เห็นว่าทั้ง 13 ชีวิตที่ติดอยู่ในถ้ำหลวงกว่า 9 วัน โดยปราศจากอาหารเพื่อยังชีพ ทำให้เด็กๆ และโค้ชซูบผอมลงอย่างเห็นได้ชัด แต่สติสัมปชัญญะที่แสดงให้เห็นในการโต้ตอบพูดคุยกับนักดำน้ำจากอังกฤษทั้ง 2 คน ถือเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจอย่างมาก ทำให้เป็นที่สนใจว่าที่ผ่านมาทั้ง 13 ชีวิตเอาชีวิตรอดมาได้อย่างไร แล้วพบว่าโค้ชที่มีวุฒิภาวะมากที่สุดในกลุ่มเป็นคนแนะนำให้เด็กนอนนิ่งๆ เพื่อใช้พลังงานให้น้อยที่สุด จัดระเบียบการใช้ไฟฉายที่ทุกคนติดตัวไป โดยใช้ทีละกระบอกและเปิดเพื่อตรวจดูระดับน้ำเท่านั้น อาศัยการดื่มน้ำที่หยดลงมาจากถ้ำเพื่อประทังชีวิต น้ำที่ไหลตามหินย้อย คือน้ำสะอาด ยิ่งไหลผ่านชั้นหินหลายชั้น จะยิ่งได้รับแร่และเกลือแร่หลากหลายชนิด ซึ่งช่วยลดการอ่อนเพลียได้มาก

ทีมที่เข้าไปพบกลุ่มเด็กทีมแรกคือ ทีมผู้เชี่ยวชาญการดำน้ำจากประเทศอังกฤษ ที่ได้เข้ามาสนับสนุนการช่วยเหลือเป็นทีมแรก โดยได้รับการสนับสนุนคอยช่วยเหลือจากหน่วยซีลของไทย ที่ต้องทำงานอย่างหนักตลอด 24 ชั่วโมง รวมไปถึงทีมค้นหาและกู้ภัยหน่วยปฏิบัติการพิเศษกองกำลังภาคพื้นแปซิฟิกจากสหรัฐอเมริกา ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านกู้ภัยในถ้ำพร้อมหุ่นยนต์ใต้น้ำของจีน หน่วยกู้ภัยสนับสนุนจากญี่ปุ่นและออสเตรเลีย รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านอย่าง สปป.ลาวและเมียนมา ที่ส่งทีมร่วมค้นหาในพื้นที่ใกล้เคียง นอกจากนี้ยังมีทีมช่วยเหลืออีกหลายภาคส่วน โดยมีนายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นแม่ทัพใหญ่ในการบัญชาการหน่วยงานต่างๆ ในปฏิบัติการครั้งนี้ รวมถึงพลตำรวจเอกจักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่นำทีมเข้าถึงพื้นที่ในชุดพร้อมปฏิบัติการเพื่อลาดตระเวนหาปล่อง หรือรอยแยกที่สามารถเข้าและโรยตัวลงไปในถ้ำได้ และทีมผู้เชี่ยวชาญด้านขุดเจาะ ทีมสูบน้ำ ทหารเกณฑ์ผู้กินนอนในถ้ำ หน่วยกู้ภัย ทีมแพทย์และพยาบาล ทีมจิตอาสาที่คอยดูแลเรื่องอาหารให้แก่เจ้าหน้าที่ และทำความสะอาดรักษา ถึงจะเป็นหน้าที่เล็กๆ แต่ก็ถือว่ามีความยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน และยังมีอีกหลายภาคส่วนที่อาจจะกล่าวได้ไม่หมดในที่นี้ ถือเป็นการร่วมแรงร่วมใจจากคนหลากหลายเชื้อชาติ เพื่อช่วยเหลือทั้ง 13 ชีวิตให้ปลอดภัยกลับมาพบหน้าครอบครัว ถึงแม้จะมีเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด จากการสูญเสียจ่าเอกสมาน กุนันอดีตหน่วยซีล ของกองทัพเรือไทย ที่เสียชีวิตจากการขาดออกซิเจนขณะที่เขาพยายามจะว่ายน้ำกลับ ออกจากถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอนในภารกิจนี้ ซึ่งการสูญเสียบุคคลผู้เสียสละชีวิตครั้งนี้ ทุกคนต่างเสียใจอย่างสุดซึ้ง

นอกจากนี้ยังมีกลุ่มชาวนาที่เสียสละด้วยใจ ยอมให้พื้นที่ทำนา ทำสวน ทำไร่ เป็นแหล่งรองรับน้ำที่สูบออกมาจากถ้ำ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ทีมช่วยเหลือทีมหมูป่าทั้ง 13 คน ได้รอดชีวิตกลับมา ความเสียสละนี้ถือได้ว่าเป็นน้ำใจของเจ้าของที่ดินที่ยิ่งใหญ่ งดงาม น่าชื่นชมเป็นที่สุด ถึงแม้ท้ายสุด ภาครัฐได้มีการจ่ายเงินชดเชยเยียวยา แต่ถึงกระนั้นยังมีเกษตรกรบางส่วนที่ไม่ขอรับเงินชดเชย โดยรวมพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบประมาณ 1,266 ไร่ เหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นเหตุที่เกิดขึ้นอย่างสุดวิสัย แต่ก็เป็นเหตุการณ์ที่ประจักษ์แก่สายตาชาวโลกแล้วว่า “คนไทยเคยไม่ทิ้งกัน” ไม่ว่าจะเลวร้ายหนักหนาเพียงใด อยากฝากให้พี่น้องลูกหลานไทยในวันนี้และวันข้างหน้า ช่วยเป็นกำลังใจให้เหล่าฮีโร่เหล่านี้ รวมถึงจดจำและรักษาสิ่งที่ดีงามเหล่านี้ไว้ให้ประเทศไทยของเรา ดำรงคงอยู่ได้ไปตราบนานเท่านาน

มนตรี บุญจรัส

ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ (ไทยกรีน อะโกร)

แตกใบอ่อน : เดินหน้าฟื้นฟูถ้ำหลวง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/350984

807934531

แตกใบอ่อน : เดินหน้าฟื้นฟูถ้ำหลวง

วันพฤหัสบดี ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

ในที่สุดเรื่องราวของ 13 “หมูป่า” ก็จบลงแล้วแบบ “แฮปปี้ เอนดิ้ง” หลังจาก “โค้ชเอก” หมูป่าตัวสุดท้ายถูกพาออกจากถ้ำได้อย่างปลอดภัยเมื่อช่วงเย็นวันที่ 10 กรกฎาคมที่ผ่านมา

นาทีนี้ เชื่อว่าคนไทยทั้งประเทศคงรู้สึกเหมือนกันว่า ดีใจ ปลื้มใจ และหันไปทางไหนก็มีแต่ “ฮีโร่” ที่เราอยากแสดงความขอบคุณเต็มไปหมด ตั้งแต่ท่านผู้ว่าฯ “ณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร” ในฐานะ ผอ.ศูนย์อำนวยการร่วมค้นหาผู้สูญหายในวนอุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน (ศอร.) ไล่ไปจนถึงหน่วยซีล นักดำน้ำและทีมกู้ภัยจากนานาชาติ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร แพทย์ พยาบาล อาสาสมัคร จิตอาสาทั้งที่ทำงานอยู่เบื้องหน้าและเบื้องหลัง ชาวบ้าน 4 ตำบลที่ยอมเสียสละไร่นาของตัวเองให้เป็นที่รับน้ำจากถ้ำ หรือแม้กระทั่งพ่อมดแห่งวงการเทคโนโลยีชื่อก้องโลกอย่าง “อีลอน มัสก์” ซีอีโอ SpaceX, Tesla และ Boring Company ที่ลงทุนคิดค้น “Mini-sup” หรือจรวดจิ๋ว เพื่อพาทีมหมูป่าออกจากถ้ำ พร้อมกับลงทุนบินเอามาส่งด้วยตัวเอง

ที่สำคัญ คือ ดวงวิญญาณของ “จ่าแซม” จ.อ.สมาน กุนัน อดีตทหารหน่วยซีลที่ปฏิบัติหน้าที่ในภารกิจช่วยเด็กๆ จนลมหายใจสุดท้าย

คนเหล่านี้เขาคือ “ฮีโร่” ตัวจริง และควรค่าอย่างยิ่งที่จะได้รับคำขอบคุณจากใจของเราคนไทยทุกคน

ขอบคุณมากๆ ครับ

อย่างไรก็ดี หลังจากเสร็จภารกิจการช่วยเหลือ 13 หมูป่าแล้ว สิ่งที่เราต้องมาคิดและมาติดตามกันต่อ คือ การฟื้นฟูพื้นที่บริเวณถ้ำหลวง ซึ่งมีประเด็นสำคัญ คือ ระบบนิเวศน์ของถ้ำหลวง เพราะอย่างที่เคยเขียนไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า “ถ้ำ” ทุกแห่งก็มีระบบนิเวศน์ของตัวเอง และเป็นระบบนิเวศน์ที่ค่อนข้างมีความเปราะบาง มีความอ่อนไหวต่ออุณหภูมิ ความชื้น ระดับน้ำ และปริมาณแสง ค่อนข้างมาก

ดังนั้นการที่เราไปขุด ไปเจาะ ไปเปลี่ยนทางน้ำ มันหนีไม่พ้นอยู่แล้วที่จะทำให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ภายในถ้ำ และอาจทำให้ถ้าหลวงกลายเป็น “ถ้ำตาย” ได้

ทั้งนี้แม้คำสั่งเสียงดังฟังชัดออกมาจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการฟื้นฟูพื้นที่ ขณะที่ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ในฐานะเจ้าของพื้นที่ก็ได้แสดงการตอบรับเรื่องดังกล่าวอย่างดี

แต่หลังจากนี้ก็ยังอยากได้ยิน กรมอุทยานฯ ช่วยออกมาสรุปให้ชัดๆ ถึงสถานการณ์ของถ้ำหลวงว่า ระบบนิเวศน์ของถ้ำเสียหายมากน้อยขนาดไหน และจะต้องดำเนินการฟื้นฟูอย่างไร เพราะดังที่เคยบอกไปแล้วเหมือนกันครับว่า ช่วยเด็กให้ปลอดภัยแล้ว ก็ต้องช่วยถ้ำให้ปลอดภัยด้วย

“วิน-วิน” กันทั้งคนและธรรมชาติครับ

มะลิลา

แตกใบอ่อน : อย่าลืมช่วยถ้ำหลวง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/349591

807934531

แตกใบอ่อน : อย่าลืมช่วยถ้ำหลวง

วันพฤหัสบดี ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

นาทีนี้คงไม่มีคนไทยคนไหนไม่พูดถึงความสำเร็จในการช่วยเหลือ 13 เยาวชนนักเตะและโค้ชทีม “หมูป่าอะคาเดมี” ที่ติดอยู่ภายใน

ถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน อ.แม่สาย จ.เชียงราย โดย ณ นาทีนี้ก็เพียงแค่รอการพาทั้งหมดออกมาจากถ้ำที่ยังคงอยู่ในภาพน้ำท่วมสูงให้ได้อย่างปลอดภัยเท่านั้น ซึ่งคงไม่มีอะไรจะพูดมากกว่าการขอแสดงความยินดีกับครอบครัว และขอบคุณเจ้าหน้าที่ ประชาชน จิตอาสา ที่ได้เข้าไปช่วยเหลือคนละไม้คนละมือ รวมทั้งขออวยพรให้ภารกิจที่เหลือข้างหน้าอีกเพียงนิดเดียวสำเร็จลงด้วยดี

อย่างไรก็ดี ภายหลังจากปฏิบัติการยุติลง ก็อาจยังต้องมีเรื่องให้ต้องคิด ต้องทำ และต้องจัดการอีกหลายเรื่อง โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง “ผลกระทบ” อันเลี่ยงไม่ได้จากการปฏิบัติการ ซึ่งเท่าที่มองเห็นเวลานี้ก็น่าจะมี 2 เรื่องหลักใหญ่ๆ

เรื่องแรก คือ การช่วยเหลือกลุ่มชาวนาที่ได้รับผลกระทบจากการให้ที่นาของตัวเองเป็นที่รับน้ำที่สูบออกมาจากถ้ำ ซึ่งเรื่องนี้เบื้องต้นน่าจะหมดห่วงไปได้ เพราะกระทรวงเกษตรฯเตรียมแผนการเอาไว้รองรับอยู่แล้ว โดยรัฐมนตรี “กฤษฎา บุญราช” ยืนยันว่า จะมีการจ่ายเงินชดเชยให้กับชาวนาที่ได้รับผลกระทบไร่ละ 1,100 บาท พร้อมทั้งเตรียมพันธุ์ข้าวไว้แจกจ่ายให้กับเกษตรกร ซึ่งจากการสำรวจเบื้องต้นมีนาข้าว 3 ตำบลได้รับความเสียหาย 1.6 พันไร่ น่าจะใช้งบประมาณ
ไม่เกิน 50 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน ในฝั่งของ กรมชลประทาน ก็ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้นด้วยการสูบน้ำออกจากที่นาของเกษตรกร เพื่อลดระดับน้ำที่ท่วมยอดข้าวหรือกล้าที่ปักดำแล้วไม่ให้ได้รับความเสียหาย

ดังนั้น จึงน่าจะโล่งใจได้เปราะหนึ่ง สำหรับการดูแลช่วยเหลือเกษตรกรที่ยอมเสียสละเพื่อความสำเร็จของภารกิจกู้ชีวิตทั้ง 13 คนในครั้งนี้

ทีนี้จึงเหลืออีก 1 ประเด็นที่ต้องมาคิดกันต่อ นั่นคือการการฟื้นฟูและเฝ้าระวังระบบนิเวศน์ของ “ถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน” เพราะอย่างที่เราเห็นกันอยู่แล้ว ปฏิบัติการช่วยเหลือ “ทีมหมูป่า” ทั้ง 13 ชีวิตครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ใช้วิธีการร่วมกันหลายอย่าง ทั้งการขุดเจาะผนัง ขุดเจาะใต้ดิน เจาะน้ำบาดาล การเปลี่ยนทางน้ำ การระบายน้ำในถ้ำ และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งล้วนทำให้เกิดผลต่อถ้ำหลวงอย่างเลี่ยงไม่ได้

ต้องไม่ลืมว่า “ถ้ำ” ทุกแห่งก็มีระบบนิเวศน์ของตัวเอง และเป็นระบบนิเวศน์ที่ค่อนข้างมีความเปราะบาง โดยเฉพาะในถ้ำที่ภาษาของนักธรณีเขาเรียกว่า “ถ้ำเป็น” คือยังมีการเจริญเติบโตของหินงอกหินย้อยอยู่ ซึ่งถ้าหลวง-ขุนน้ำนางนอนก็คือหนึ่งใน “ถ้ำเป็น” ที่มีความอ่อนไหวต่ออุณหภูมิ ความชื้น ระดับน้ำ และปริมาณแสง ค่อนข้างมาก ดังนั้นการที่เราไปขุด ไปเจาะ ไปเปลี่ยนทางน้ำ และทำกันแบบชนิด “โครมเดียว” แบบนั้น จึงยากที่จะบอกว่าไม่ทำให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ภายในถ้ำ

และนี่เราก็ยังไม่ได้พูดถึงบรรดาสัตว์ต่างๆ เช่น นก หนู งู แมลง ค้างคาว หรือสัตว์อื่นๆ อีกประดามีที่อาศัยถ้ำอยู่ว่าจะได้รับผลกระทบไปด้วยหรือไม่

ดังนั้นหลังจากช่วยทั้ง 13 คนเสร็จแล้ว จึงยังวางมือไม่ได้เด็ดขาด หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะต้องมานั่งคิดต่อว่าจะกลับเข้ามาฟื้นฟูถ้ำหลวงอย่างไร

อย่าลืมเด็ดขาดว่า ถ้ำก็มีชีวิตของเขา ช่วยคนให้รอดแล้ว ก็สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องทำช่วยฟื้นฟู “ถ้ำ” ให้รอดตายด้วย อย่างนี้เขาถึงจะเรียกว่า “วิน-วิน”

เอาใจช่วยนะครับ

มะลิลา