แตกใบอ่อน : ถังขยะของโลก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/348134

807934531

แตกใบอ่อน : ถังขยะของโลก

วันพฤหัสบดี ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2561, 06.00 น.

ช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา นอกจากคนไทยจะได้เห็นภัยร้ายแรงของปัญหา“ขยะพลาสติก”แล้ว คงได้เห็นความน่ากลัวของ “ขยะอิเล็กทรอนิกส์” ที่เป็นปัญหาบ่อนทำลายประเทศไทยมาหลายปี

แต่ 2 ปัญหานี้ค่อนข้างมีความต่างกันในแง่ของ “ที่มา”

เพราะอย่างแรกนั้นเกิดจากความมักง่าย ความไม่มีวินัยในการจัดการขยะของพวกเรากันเอง จนทำให้เกิดปัญหาขยะพลาสติกล้นเมือง จนทะลักไปสู่ป่า เขา แม่น้ำ ลำคลอง และทะเล ซึ่งมันจัดการได้ไม่ยาก ถ้าคนไทยทุกคนให้ความร่วมมือ ร่วมใจ และมีวินัยในเรื่องการจัดการขยะและลดการใช้ถุงพลาสติกลง

ส่วนปัญหาขยะอิเล็กทรกนิกส์ ก็อย่างที่เราทราบกันตามข่าวที่ปรากฏออกมา นั่นคือ มันเกิดจากการกำหนดนโยบายและการทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐของไทยเราเอง ที่อนุญาตให้นำเข้าขยะเหล่านี้จากต่างประเทศ ทั้งจากสหรัฐ ออสเตรเลีย อังกฤษ เยอรมนี เกาหลี ญี่ปุ่น เวียดนาม สิงคโปร์ และอื่นๆ อีกหลายประเทศมาทิ้งในบ้านของเราเองปีละนับแสนตัน

เปรียบเสมือนประเทศไทยเป็น “ถังขยะของโลก” อย่างไรอย่างนั้น!

ขณะที่การจัดการปัญหา ผมไม่แน่ใจว่ามันจะง่ายหรือเปล่า เพราะอย่างที่บอกไปแล้วว่า มันเกิดจากหลายปัจจัย ไล่มาตั้งแต่แต่การกำหนดนโยบาย มาจนถึงการปฏิบัติหน้าที่และการทุจริตของเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่รับผิดชอบของรัฐ โดยเฉพาะในการอนุญาตนำเข้าขยะ ซึ่งแต่ละอย่างถือเป็นเรื่องที่แก้ไขยากเสียยิ่งกว่ายาก

แม้ภายหลังจากเรื่องแดงขึ้นมา รัฐบาลจะออกท่าทีขึงขังประกาศมาตรการเร่งด่วน 3 ข้อ คือ 1.ระงับการอนุญาตนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์จากโรงงานที่ปฏิบัติไม่ถูกต้องตามอนุสัญญาบาเซิล 2.ผลักดันให้นำกลับขยะอิเล็กทรอนิกส์และเศษพลาสติกในกรณีที่พบการสำแดงเท็จ พร้อมดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด และ 3.หากนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์และเศษพลาสติกแล้วส่งไปโรงงานกำจัดที่ไม่ถูกต้องตามใบอนุญาต ให้ส่งกลับไปยังโรงงานที่ได้รับอนุญาต หรือนำไปกำจัดให้ถูกต้อง พร้อมดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิดกฎหมาย

พร้อมทั้งยังห้อยติ่งเอาไว้ว่า พร้อมที่จะงัดยาวิเศษ “ม.44” มาแก้ปัญหา หากใช้กฎหมายปกติไม่ได้!

ขณะที่ กระทรวงอุตสาหกรรม ก็ออกมารับลูกอย่างทันควัน โดย “พสุ โลหารชุน” ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ทำหนังสือด่วนที่สุดสั่งการให้เจ้าหน้าที่อุตสาหกรรมจังหวัด ตรวจสอบโรงงานที่เกี่ยวข้องกับการบดย่อยขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้รับใบอนุญาตจำนวน 148 แห่งทั่วประเทศ รวมถึงโรงงานปรับคุณภาพของเสียรวม โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับการคัดแยกหรือฝังกลบสิ่งปฏิกูล หรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว และโรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับการนำผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่ไม่ใช้แล้ว หรือของเสียจากโรงงานมาผลิตเป็นวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ใหม่โดยผ่านกรรมวิธีการผลิตทางอุตสาหกรรม ว่ามีประสิทธิภาพการดำเนินงานหรือไม่

โดยขีดเส้นให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ส.ค. 2561

มองเผินๆ ก็มองได้0ว่า เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมที่หน่วยงานเจ้าของเรื่องอย่างกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ขมีขมันออกมารับลูกดำเนินการอย่างเร่งด่วน

แต่ถ้ามองในมุมกลับกัน มันก็ต้องตั้งคำถามเหมือนกันว่า แล้วที่ผ่านมากระทรวงอุตสาหกรรมเคยดูแล ตรวจสอบ และจัดการโรงงานเหล่านี้บ้างหรือไม่ หรือออกใบอนุญาตให้แล้วก็แล้วกัน เพราะกระบวนการตรวจสอบติดตามที่ออกคำสั่งไปนั้น ความจริงมันคือ “โปรโตคอล” ที่เป็นหน้าที่รับผิดชอบดำเนินการอยู่แล้ว

แสดงว่าที่ผ่านมาไม่เคยทำกันเลยใช่หรือไม่? ถ้าใช่ ก็ไม่น่าแปลกใจหากวันใดวันหนึ่งข้างหน้าจะเกิดปัญหามลพิษขึ้นมาในบริเวณโดยรอบโรงงานเหล่านี้

แล้วนี่เรายังเหลือประเด็นการสืบสาวราวเรื่องเพื่อ “ไล่เบี้ย” จัดการกับเจ้าหน้าที่รัฐที่มีอำนาจในการพิจารณาคำขออนุญาตนำเข้า ส่งออก ขยะพิษเหล่านี้ว่ามีความเกี่ยวพันกับการทุจริตลักลอบนำเข้าหรือไม่ หรือเหตุใดจึงละเลยให้ขยะเหล่านี้หลุดรอดเข้ามาในประเทศได้อย่างหนักหน่วง

ที่สำคัญ ยังต้องอาจลามพูดไปถึงการทบทวนการออกกฎกระทรวงของกระทรวงอุตสาหกรรมเอง ที่เอื้อให้มีการนำขยะอันตรายเหล่านี้เข้ามาในประเทศอย่างมหาศาล จนกองเกลื่อนเป็นภูเขาเหมือนอย่างที่เห็นในทุกวันนี้

ปัญหาแบบนี้จะล้างกันทั้งทีก็ต้องจัดการให้หมดจดสิ้นซากครับ อย่าทำเป็นเพียงแค่ไฟไหม้ฟาง ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวมันก็กลับมาใหม่

อย่าลืมว่า เราสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นครัวของโลกนะครับ ไม่ใช่ถังขยะของโลก

มะลิลา

แตกใบอ่อน : ยาฆ่าหญ้า‘พาราควอต’ กับทางออกที่สังคมยังสับสน!!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/346634

807934531

แตกใบอ่อน : ยาฆ่าหญ้า‘พาราควอต’ กับทางออกที่สังคมยังสับสน!!

วันพฤหัสบดี ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2561, 06.00 น.

ทิศทางของประเทศไทยกับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ดูเหมือนจะสับสนอลหม่านพอควร โดยเฉพาะกับพวกเราในฐานะประชาชนคนไทยที่เฝ้าดูและปฏิบัติตาม เพราะหลายๆ โครงการ หลายๆ นโยบายที่รัฐบาลอนุมัติออกมานั้น ดูจะตรงข้ามกับความรู้สึกของประชาชนเสียเป็นส่วนใหญ่ จนจะกลายเป็นนโยบายไทยแลนด์ 0.4 ทำให้ประเทศไทยยังล้าหลังเสียมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการอนุญาตให้มีการนำเข้ายาฆ่าหญ้าที่ชื่อว่า “พาราควอต” ต่อไปได้อีก ซึ่งยาฆ่าหญ้า “พาราควอต” นี้ค่อนข้างอันตราย มีพิษเฉียบพลันสูงต่อมนุษย์ และมีผลกระทบเรื้อรังต่อสุขภาพ เช่น ก่อโรคพาร์กินสัน สมองเสื่อม แม้จะใส่อุปกรณ์ป้องกันแต่ก็สามารถผ่านเข้าสู่ร่างกายได้ โดยการสัมผัสทางผิวหนัง แล้วซึมเข้าร่างกายจนเกิดอันตรายถึงชีวิต ทั้งยังตกค้างในอาหาร สิ่งแวดล้อม และมนุษย์ ถ้าสัมผัสเผลอกลืนกินเข้าไป ก็ไม่สามารถล้างท้องได้ จึงเป็นที่มาของแรงกระเพื่อมผลักดันให้มีการยกเลิกการนำเข้าและใช้สาร “พาราควอต”

เป็นที่รู้กันดีในแวดวงการเกษตรว่า สารพิษจากยาฆ่าหญ้าที่มีการใช้ต่อเนื่องกันมายาวนานหลายสิบปี จะมีการสะสมตกค้างมหาศาลในน้ำในดินจนอิ่มตัว เอิบอาบซาบซ่านเข้าไปสะสมอยู่ในพืชผักผลไม้ จนเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคทั้งเด็กผู้ใหญ่ และทารกที่อยู่ในครรภ์ที่รับสารอาหารโดยตรงจากมารดา เนื่องด้วยมารดายุคปัจจุบันรับประทานอาหารที่มีการสะสมสารพิษจากยาฆ่าหญ้าที่ตกค้างอย่างมากมาย โดยมีงานวิจัยรองรับตามข้อมูลดังกล่าวจากหน่วยงานและสื่อต่างๆ

ถ้าวิเคราะห์ในแง่เศรษฐกิจเกี่ยวกับต้นทุนการเกษตรที่ต้องใช้ “แรงงานคน” ในกำจัดหญ้าเทียบกับการใช้ “ยาฆ่าหญ้า” ก็อาจจะมีความคุ้มค่าอยู่บ้าง เพราะการใช้ยาฆ่าหญ้ามีต้นทุนที่ต่ำ
กว่า ราคาถูก แถมมีประสิทธิภาพในการกำจัดวัชพืชได้มากกว่าแรงงานคน ซึ่งอันนี้ก็เป็นอีกเหตุผลสำคัญที่เกษตรกรส่วนใหญ่ได้เสนอแนะให้แง่คิดไว้ โดยที่รัฐบาลยังไม่สามารถหาสิ่งปลอดภัยกว่ามาทดแทนได้ แต่ถ้ามองในแง่ของสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ โดยเฉพาะภาพใหญ่ในระดับประเทศก็น่าเป็นห่วงอยู่ เพราะคนที่รับพิษจาก พาราควอต หากถูกหรือสัมผัสร่างกายโดยตรงในปริมาณเข้มข้น จะเกิดการกัดกร่อนรุนแรงผิวหนังไหม้ หากเข้าสู่ร่างกายโดยเฉพาะการกินโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม อัตราเสียชีวิตจะสูงมาก เพราะพาราควอตมีความเป็นพิษสูงมาก ขนาดยาแค่ฝาขวดน้ำดื่มก็ถึงตายได้ ฤทธิ์เริ่มแรกก็การกัดกร่อนเผาเนื้อเยื่อบุปาก ลำคอ กระเพาะอาหารอาจถึงกับกระเพาะทะลุเสียชีวิตได้ ระยะต่อมาตับวายสารเคมีส่วนมากจะผ่านตับทำให้เกิดความเสียหายกับเนื้อเยื่อตับโดยตรงถ้าตับวายก็ตาย ระยะต่อมาเมื่อตัวพาราควอตผ่านระบบเมตาบอลิกในตับจะผ่านสู่ไต ก็ทำให้ไตวายเฉียบพลัน ถ้าฟอกไตทันอาจจะรอด แต่ก็ต้องฟอกไตตลอดชีวิต ไม่ก็รอบริจาคไตมาเปลี่ยน ระยะสุดท้าย ถ้าสามารถรอดพ้นระยะทั้งหมดเบี้องต้นผ่านไป 1-2 สัปดาห์ ก็มักจะจบด้วยสภาวะปอดเป็นพังผืดและมักจบด้วยการเสียชีวิต

โดยปกติประเทศไทยเกษตรกรส่วนใหญ่ได้รับความเสียหาย เจ็บป่วยจากสารพิษภาคการเกษตรชนิดอื่นๆ มากพอควรอยู่แล้ว “ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข” มีการตรวจพบเกษตรกรไทยร้อยละ 32 ที่มีความเสี่ยงและไม่ปลอดภัยจากการสัมผัสสารเคมีกำจัดศัตรูพืช และมีผู้ป่วยจากพิษสารกำจัดศัตรูพืชเพิ่มถึง 4 เท่าตัว ทั้งพิษเฉียบพลันและระยะยาว เช่น แสบตา คลื่นไส้ หายใจขัด เป็นมะเร็ง อาจรุนแรงถึงขั้นเป็นหมันหรือเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ผู้สามารถไปสืบค้นเพิ่มเติมได้จากหน่วยงานกระทรวงสาธารณสุข

การที่จะให้ประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งเทคโนโลยี นวัตกรรม ก้าวล้ำด้วยระบบโลจิสติกส์ และปัญญาประดิษฐ์ (AI) แต่รัฐบาลยังปล่อยให้ข้าวปลาอาหารของประเทศไทยซึ่งเคยได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มีความอุดมสมบูรณ์ “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” ประเทศที่โดดเด่นและชำนาญเรื่องเกษตรกรรมมาอย่างยาวนาน เคยส่งออกข้าว ปาล์ม ยางพารา และมันสำปะหลัง เป็นอันดับต้นๆของโลก และล่าสุดยังขายทุเรียนได้ 80,000 ลูก ภายใน 1 นาที แต่กลับจะปล่อยให้มีสารพิษที่ทั่วโลกเขาเลิกใช้กันแล้ว มาทำลายสุขภาพเกษตรกรและปนปื้อนอยู่ในอาหารการกิน ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค อย่างนี้แล้ว…จุดขายและศักดิ์ศรีของบ้านเมืองเราจะมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน และรุ่งโรจน์ โชติช่วงชัชวาลได้อย่างไร ถ้าความปลอดภัยในอาหารยังไม่มี?!?

มนตรี บุญจรัส

ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ (ไทยกรีน อะโกร)

แตกใบอ่อน : คุมเข้มสารเคมี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/345081

807934531

แตกใบอ่อน : คุมเข้มสารเคมี

วันพฤหัสบดี ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2561, 06.00 น.

สัปดาห์ที่แล้ว ได้รับข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ เกี่ยวกับการควบคุมการใช้งานสารเคมีอันตรายจากคณาจารย์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ภายหลังจาก “คณะกรรมการวัตถุอันตราย” มีมติไม่ยกเลิกการใช้วัตถุอันตราย 3 ชนิด คือ “พาราควอต-คลอร์ไพริฟอส-ไกลโซเฟต” ซึ่งเห็นว่ามีหลายประเด็นที่น่าสนใจ และควรอย่างยิ่งที่ผู้เกี่ยวข้องต่างๆ โดยเฉพาะหน่วยงานที่มีหน้าที่กำหนดกรอบข้อบังคับเกี่ยวกับการใช้สารเคมีอันตรายต้องนำไปคิดอ่านกันต่อ จึงขออนุญาตสรุปมานำเสนอให้ทุกท่านนำไปพิจารณา ดังนี้ครับ

ผศ.ดร.ดุสิต อธินุวัฒน์ ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายวิจัย คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มธ. ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคพืช และการจัดการเกษตรอินทรีย์ บอกว่า “พาราควอต-คลอร์ไพริฟอส-ไกลโซเฟต” เป็นสารเคมีที่รู้จักกันดีในแวดวงเกษตรกรไทย และนิยมใช้ในการกำจัดวัชพืช เพราะมีราคาที่ไม่สูงมากและเห็นผลเร็ว แต่ขณะเดียวกันในระยะยาว ก็ส่งผลเสียขั้นรุนแรงทั้งต่อสุขภาพของเกษตรกร ผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม ซึ่งในหลายประเทศทั่วโลก มีมาตรการห้ามใช้สารเคมีดังกล่าวเป็นการถาวรมากว่า 10 ปี รวมถึงมีการใช้สารชนิดอื่นเข้ามาทดแทน เนื่องจากคุณภาพชีวิตของประชากรและสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่ทางภาครัฐต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก

ขณะที่เกษตรในหลายพื้นที่ ยังขาดความรู้ความเข้าใจในการใช้สารในปริมาณที่เหมาะสม ซึ่งควรใช้ในปริมาณที่ฉลากแนะนำ โดยบางรายใช้ปริมาณเกินกว่าที่ฉลากกำหนด และส่งผลตามมา โดยหนึ่งในกรณีที่เห็นได้ชัดเจนคือ การตรวจพบสารเคมีตกค้างในกระแสเลือดของเกษตรกรจังหวัดยโสธร 81 ราย จากทั้งหมด 82 ราย ดังนั้นจึงถึงเวลาที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องเข้ากำหนดกรอบหรือวางข้อบังคับการใช้สารเคมีอย่างชัดเจน อาทิ กำหนดให้เกษตรกรที่มีความประสงค์ใช้สารอันตรายต้องมีใบอนุญาต เพื่อสามารถจำกัดกลุ่มผู้ใช้ และสามารถให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่เกษตรกรที่จำเป็นต้องใช้สารอันตราย ทั้งอัตราการใช้ ความถี่ของการใช้ การแต่งกายขณะใช้สารเคมี และวิธีการจัดการในกรณีได้รับพิษจากสารเคมี รวมทั้งมีการควบคุมการใช้ตามขนาดพื้นที่อย่างเคร่งครัด พร้อมกำหนดคณะติดตามผล เพื่อเข้าตรวจสอบ ชี้วัดถึงความอันตรายต่อคุณภาพชีวิตเกษตรกร ประชาชนในพื้นที่ และสิ่งแวดล้อมโดยรอบแบบรัดกุม ทั้งนี้ในปี 2560 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการนำเข้าสารอันตราย พาราควอต-คลอร์ไพริฟอส-ไกลโซเฟต เป็นจำนวนกว่า 44,501 ตัน 3,700 ตัน และ 59,872 ตัน ตามลำดับ (ที่มา : กรมวิชาการเกษตร, 2560) ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาที่ทั้งเกษตรกรไทยและภาครัฐ ยังไม่ตระหนักถึงผลกระทบของการใช้สารเคมีอันตรายได้อย่างชัดเจน

ขณะที่ ผศ.ดร.บัณฑิต อนุรักษ์ อาจารย์ประจำสาขาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มธ. ผู้เชี่ยวชาญด้านสารเคมีในภาคการเกษตร ชี้ว่า นอกจากประเด็นการควบคุมการใช้วัตถุอันตรายแล้ว ยังมีกรณี “ปุ๋ยปลอม” ที่ยังไม่ได้รับการเพ่งเล็งหรือตรวจสอบจากภาครัฐเท่าที่ควร ด้วยข้อจำกัดของเจ้าหน้าที่วิเคราะห์และตรวจสอบสารพิษที่มีไม่เพียงพอ โดยมีกรณีศึกษาจากการพบเกษตรกรใน อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี มีการใช้สารเคมีหลายชนิด มากกว่า 2 เท่าของค่ามาตรฐานที่ฉลากกำหนด เนื่องจากเกษตรกรไม่สามารถตรวจสอบคุณภาพของปุ๋ยที่ซื้อมาได้ จึงจำเป็นต้องผสมร่วมกับปุ๋ยเคมีชนิดอื่นในการฉีดพ่น ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อเกษตรกรผู้ฉีดพ่น ที่ตรวจพบสารเคมีตกค้างในเลือดกว่า 60% ของจำนวนเกษตรกรทั้งหมด ปริมาณสารพิษตกค้างกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟสในนาข้าวและผลกระทบต่อสุขภาพเกษตรกร

ทั้งนี้ หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถแก้ไขได้อย่างครบวงจร จะสามารถเยียวยาและยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรไทย ไม่ให้ถูกหลอกลวงจากการใช้ปุ๋ยปลอม และประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อปุ๋ยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

มะลิลา

แตกใบอ่อน : เก็บเงินถุงพลาสติก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/343616

807934531

แตกใบอ่อน : เก็บเงินถุงพลาสติก

วันพฤหัสบดี ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2561, 06.00 น.

“วันสิ่งแวดล้อมโลก” 5 มิถุนายนที่ผ่านมา ทุกประเทศทั่วโลกร่วมถึงประเทศไทย ได้พร้อมใจกันจัดกิจกรรมภายใต้ประเด็น “Beat Plastic Pollution: It you can’t reuse it, refuse it” หรือที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เอามาแปลเป็นไทยว่า “รักษ์โลก เลิกพลาสติก” ซึ่งสาเหตุก็ดังที่เราทราบกันดีว่าเป็นเพราะปัญหาขยะพลาสติกทุกวันนี้มันหนักหนาสาหัสมาก

ที่สำคัญ ไม่ใช่แค่เกิดขึ้นกับประเทศอื่นๆ เท่านั้น แม้แต่ประเทศไทยก็อ่วม

ไม่ต้องย้อนไปดูที่ไหนไกล เอาแค่เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ที่มี “วาฬนำร่องครีบสั้น” ตายที่สงขลา ซึ่งพอผ่าท้องออกมาปรากฏว่าเจอขยะพลาสติกอยู่เต็มกระเพาะอาหาร นับรวมได้ถึง 85 ชิ้น 8 กก.

ขณะที่ข้อมูลการสำรวจขยะมูลฝอยเมื่อปี 2558 ของ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ก็พบว่า ในพื้นที่ 23 จังหวัดชายฝั่งทะเล มีปริมาณขยะมากถึง 10 ล้านตันต่อปี โดยในจำนวนนี้เป็นขยะตกค้างถูกนำไปจัดการอย่างไม่ถูกวิธีถึง 5 แสนตัน โดยในจำนวนนี้กลายเป็นขยะที่ไหลออกไปสู่ทะเลประมาณปีละ 50,000-60,000 ตัน หรือประมาณ 750 ล้านชิ้นต่อปี

นอกจากนี้เมื่อวันสิ่งแวดล้อมโลก 5 มิถุนายนที่ผ่านมา สำนักข่าวเอเอฟพี ยังได้เปิดเผยรายงานที่น่าตกใจเกี่ยวกับสถานการณ์ขยะว่า จากการสำรวจเมื่อปี 2558 พบว่า มีขยะพลาสติกถูกทิ้งลงในมหาสมุทรทั่วโลกมากถึงปีละ 8 ล้านตัน หรือเฉลี่ยนาทีละ 1 คันรถบรรทุก โดยขยะเหล่านี้กว่าครึ่งเป็นขยะจากจีน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และประเทศไทย

รายงานระบุว่าทั้ง 5 ประเทศนี้ มีการใช้พลาสติกแทบจะตลอดเวลาในชีวิตประจำวัน แต่กลับมีระบบการจัดการขยะพลาสติกอย่างเหมาะสมเพียงร้อยละ 40% เท่านั้น ซึ่งจากปริมาณดังกล่าวแล้ว หากยังไม่ลดการทิ้่ง ทะเลในโลกจะมีขยะพลากสิกเพิ่มขึ้นเป็น 250 ล้านตัน ภายใน 7 ปี และจะมีปริมาณขยะพลาสติกมากกว่าจำนวนปลาในทะเลภายใน 32 ปี

ข้อมูลเหล่านี้ เป็นเพียงข้อมูลขยะทางทะเลเท่านั้นนะครับ ถ้าจะให้ดูข้อมูลทั้งประเทศจะน่าตกใจยิ่งกว่า เอาแค่ตัวเลขคร่าวๆ ที่ท่าน พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.ทส. แถลงมาว่า เมื่อปี 2529 ปีเดียว ประเทศไทยมีขยะกว่า 25 ล้านตัน และเป็นขยะพลาสติกถึง 3.2 ล้านตัน แค่นี้ก็มองเห็นอนาคตแล้วว่า อนาคตปัญหาขยะพลาสติกมันจะน่ากลัวขนาดไหน

ฉะนั้นจึงน่าจะถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลและทส.ต้องเลิกเงื้อง่า และหันมาเอาจริงกับเรื่องนี้เสียที ต้องไม่ลืมนะครับว่า เราประกาศปัญหาขยะเป็นวาระแห่งชาติมา 4 ปีกันแล้ว แต่สีปีที่ผ่านมา ปัญหามันกลับรุนแรงมากขึ้นทุกวันๆ ซึ่งมันสะท้อนให้เห็นอย่างเด่นชัดว่า ลำพังมาตรการรณรงค์สร้างความเข้าใจกับประชาชนเหมือนอย่างที่ทำกันมา มันไม่พอ แต่มันต้องมีมาตรการอื่นๆ เข้าไปเสริมด้วย ทั้งไม้แข็ง และไม้นวม

เช่น เมื่อวันก่อน ผมเห็นข่าวที่มีคนแชร์มาจาก นสพ.พนมเปญโพสต์ ของกัมพูชา บอกว่า เพื่อนบ้านของเรากำลังเริ่มเอาจริงกับการเก็บเงินค่าถุงพลาสติกกันแล้ว ใครที่เข้าห้าง เข้าร้านสะดวกซื้อ อยากได้ถุงพลาสติกก็ต้องจ่ายเงินเพิ่มอีก 400 real หรือ 3 บาทต่อ 1 ถุง ถ้าไม่อยากจ่ายก็ต้องเอาถุงมาใส่หรือถือกลับไปเอง

ประเทศไทยของเราเองก็ต้องกลับมาคิดกันนะครับ เพราะเห็นแจกถุงผ้ากันมาไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปี แต่ขยะพลาสติกไม่เคยลด บางทีอาจจะต้องถึงเวลาใช้ไม้แข็งบังคับกันบ้าง ก็น่าจะดี

มะลิลา

แตกใบอ่อน : วัดใจรัฐบาล

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/342008

807934531

แตกใบอ่อน : วัดใจรัฐบาล

วันพฤหัสบดี ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

ในที่สุดผลการประชุม “คณะกรรมการวัตถุอันตราย” เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ที่มี นายสมบูรณ์ ยินดียั่งยืน รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธาน ซึ่งมีวาระสำคัญ คือ พิจารณายกเลิกและจำกัดการใช้สารเคมีทางการเกษตร 3 ชนิด ก็ออกมาในรูปแบบที่หลายฝ่ายกังวล

นั่นคือ ไม่ยกเลิกการหรือแบนการใช้ “พาราควอต” กับ “คลอร์ไฟริฟอส” และไม่จำกัดการใช้ “ไกลโฟเซต” ในประเทศไทย

โดยสารเคมี 2 ตัวแรกจะให้มีการ “จำกัดการใช้” แทน โดยให้ “กรมวิชาการเกษตร” ไปออกมาตรการควบคุมภายใน 2 เดือน ทั้งการนำเข้า การซื้อ และการใช้ของเกษตรกร รวมถึงต้องอบรมให้ความรู้กับเกษตรกรเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย

ขณะที่เหตุผลที่คณะกรราการชุดนี้ยกขึ้นมาอ้าง สรุปสั้นๆ ตามถ้อยแถลงของรองปลัดฯอุตสาหกรรม ก็คือ เพราะข้อมูลผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพยังไม่เพียงพอ

ผมเองแม้จะไม่หาญกล้าไปก่นด่าหรือประณามการลงมติครั้งนี้ว่าเป็น “มติอัปยศ” เหมือนอย่างที่เครือข่ายแบนสารพิษเขานินทากัน เพราะเชื่อใน “เกียรติ” ของกรรมการทุกคน แต่โดยส่วนตัวก็อดสงสัยไม่ได้ว่า สรุปแล้วเหตุผลที่คณะกรรมการวัตถุอันตรายยกมาอ้างตามที่รองปลัดฯสมบูรณ์พูดมานั้น มันเป็นเหตุผลที่เป็นข้อเท็จจริงหรือไม่

เพราะถ้าจำไม่ผิด เมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว คณะกรรมการขับเคลื่อนปัญหาการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูง ที่มี นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รมว.สาธารณสุข เป็นประธาน และคณะทำงาน 4 กระทรวงหลัก ก็มีมติชัดเจนเกี่ยวกับสารเคมีอันตรายทั้ง 3 ชนิด คือ ขอให้แบนพาราควอตและคลอร์ไฟริฟอส รวมทั้งจำกัดการใช้ไกลโฟเซต เนื่องจากมีงานวิจัยยืนยันอย่างชัดเจนในเรื่องดังกล่าว

ขณะที่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา คณะทำงานร่วม 3 กระทรวง ประกอบด้วย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งให้ตั้งขึ้น ก็มีข้อสรุปยืนยันเรื่องการแบน “พาราควอต” ภายใน 2 ปี ขณะที่ นพ.ปิยะสกล ก็ได้ออกมาพูดชัดถึงงานวิจัยที่กลุ่มคัดค้านการแบนยกขึ้นมาอ้างว่าหากใช้สารพาราควอตตามข้อกำหนด จะไม่ทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพหรือสิ่งแวดล้อมนั้น เป็นงานวิจัยเก่าตั้งแต่ปี 2540 หรือเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ซึ่งปัจจุบันมีงานวิจัยที่ยืนยันว่าต่อให้มีการใช้ตามข้อกำหนดก็ยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้นเมื่อมีมติให้ระงับก็ต้องดำเนินการตามนั้น

นี่จึงทำให้ใครต่อใครพากันรู้สึกสงสัยว่า เบื้องหลังการลงมติดังกล่าวจะมีกลิ่นอะไรแปลกๆ อยู่หรือไม่

ขณะที่ เครือข่ายสนับสนุนการแบนสารพิษอันตรายร้ายแรง 369 องค์กร ยังตั้งข้อกังขาเกี่ยวกับการลงมติครั้งนี้ใน 3 ประเด็นหลัก นั่นคือ 1.ความชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากมีผู้มีส่วนได้เสียซึ่งอยู่ในคณะกรรมการวัตถุอันตรายร่วมลงมติด้วย 2.ผลประโยชน์ทับซ้อน โดยมีผู้เกี่ยวข้องกับกลุ่มบริษัทค้าสารเคมีและวัตถุอันตรายนั่งอยู่ในกรรมการชุดนี้อย่งน้อย 3 คน และ 3.ความโปร่งใสในการพิจารณา เนื่องจากยังคงมีการใช้ข้อมูลงานวิจัยเก่า ปฏิเสธการใช้ผลการศึกษาล่าสุดจากหลายสถาบัน ที่มีหลักฐานชี้ชัดเกี่ยวกับผลกระทบกับการใช้สารเคมีดังกล่าว

นี่จึงนำมาซึ่งการนัดรวมพลของเครือข่ายสนับสนุนการแบนสารพิษอันตรายร้ายแรงทั้ง 369 องค์กร ที่จะบุกไปทำเนียบรัฐบาล วันที่ 1 มิถุนายนนี้ เพื่อเรียกร้องให้นายกฯและรัฐบาลใช้อำนาจทบทวนมติดังกล่าว ซึ่งดูจากทรงแล้ว แม้จะเชื่อได้ว่าการชุมนุมครั้งนี้ไม่น่าจะมีเหตุวุ่นวายร้ายแรง เพราะไม่ได้เป็นการชุมนุมที่มีจุดประสงค์สร้างสถานการณ์ปั่นป่วน หรือความวุ่นวายใดๆ

แต่หากคำตอบที่ออกมาไม่เข้าท่า เรื่องนี้ก็อาจจะบานปลายได้

ที่สำคัญ รัฐบาลชุดนี้ก็จะได้ชื่อว่าเป็นรัฐบาลที่สนับสนุนให้แผ่นดินไทยยังคงอาบไปด้วยสารพิษ

เพราะที่ผ่านมามีโอกาสที่จะแก้ไขมัน แต่กลับไม่ยอมลงมือทำ

มะลิลา

แตกใบอ่อน : ทิศทางเกษตรไทย ‘ยุคแจ๊คหม่า อาลีบาบา มาเยือน’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/340676

807934531

แตกใบอ่อน : ทิศทางเกษตรไทย ‘ยุคแจ๊คหม่า อาลีบาบา มาเยือน’

วันพฤหัสบดี ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

“หนึ่งนาที แจ๊ค หม่า….สามารถขายทุเรียนได้ 80,000 ลูก” ก่อเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานาทั้งแง่บวกและลบ
แนวโน้มส่วนใหญ่เป็นไปในทางที่กลัวว่า “แจ๊ค หม่า….จะเข้ามายึดประเทศไทย” เหมือนกับหลายประเทศที่คนจีนเข้าไปลงทุนธุรกิจการค้าด้วย แต่คนในประเทศนั้นกลับไม่ได้รับประโยชน์เท่าที่ควร

ล่าสุดที่ได้มีโอกาสไปดูงานจังหวัดเชียงราย เนื่องด้วยนโยบายจากระดับบนเพื่อส่งเสริมและผลักดันเรื่องเกษตรอินทรีย์และปลอดสารพิษให้เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อขยายการรับรู้เรื่องการเกษตรอินทรีย์และปลอดสารพิษให้แก่หน่วยงาน สหกรณ์ และ ธ.ก.ส. จึงได้มีโอกาสข้ามโขงไปชมฝั่งประเทศลาว ซึ่งมีเศรษฐีจีนเข้ามาลงทุนเปิดเอ็นเตอร์เทนเมนท์
คอมเพล็กซ์ และได้มีโอกาสสัมผัสและรับรู้ข้อมูลจากการบอกเล่าจากคณะที่พาไปถึงเรื่องการจ้างงาน และผลประโยชน์ที่เห็นแก่ได้ของจีนพอสมควร

รูปแบบการเข้ามาทำมาหากินของคนจีนนั้นค่อนข้างผูกขาด คนท้องถิ่นแทบไม่ได้ประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น เพราะแม้แต่คนขับเรือข้ามฟากก็ยังเป็นคนจีน พอขึ้นฝั่งผ่านระบบตรวจสอบพาสปอร์ตเรียบร้อย ก็ยังมีพนักงานที่เป็นคนจีนอีกเช่นกันขับรถหรูมารับ โดยสถานที่นี้ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องการพนันอย่างเดียว ยังมีสถานที่ออกกำลังกาย ร้านอาหารแบบสิบสองปันนาและอื่นๆ อีกมากมายที่เป็นคอมมูนิตี้ดึงดูดผู้คนให้ไปเที่ยวจับจ่ายใช้สอย โดยบุคลากรทั้งหมดส่วนใหญ่เป็น “คนจีน” ส่วนหน้าที่ในระดับล่างๆ จึงพอเห็นคนท้องถิ่นที่เป็นคนลาว สิ่งต่างๆ ที่ได้เห็นจึงสะท้อนความคิดบางอย่างให้ต้องตระหนัก คือการคบกับ “คนจีน” นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ โดยเฉพาะในระดับประเทศ ระดับนโยบาย การจะตัดสินใจอะไรลงไปโดยไม่สอบถามความเห็นของคนในชาติให้ดีเสียก่อน บางทีอาจจะทำให้ประเทศของเราสูญเสียโอกาสหลายๆอย่างไปโดยไม่สามารถกู้กลับคืนมาได้ โดยที่เจ้าของประเทศได้เพียงเศษเงินเพียงเล็กน้อย

ย้อนกลับมาดูประเทศไทยในกรณีของ “แจ๊ค หม่า รีเทิร์น” เพราะก่อนหน้านี้เคยเบี้ยวรัฐบาลไทยไปคบหามาเลเซียแล้วครั้งหนึ่ง!!! หวังว่าคงยังไม่ลืมกัน แต่การมาครั้งนี้รัฐบาลของเราก็ต้อนรับขับสู้น่าดู ให้สิทธิพิเศษมากมายหลายอย่าง จนส่งผลกระทบให้ธุรกิจการค้าขายออนไลน์ของคนไทยล้มหายตายจากไปหลายราย ล่าสุดอย่างตลาดดอทคอมยังต้องจับมือเบียร์ช้างอย่างไทยเบฟฯ เพื่อช่วยและลุยไปด้วยกัน ก็คิดดูล่ะกัน…ว่าความเปลี่ยนแปลงระลอกแรกยังสั่นสะเทือนได้ขนาดนี้ ระลอกที่ตามมาหลังๆ จากนี้จะเป็นอย่างไร

ในฐานะที่อยู่ในแวดวงเกษตร ก็ขออนุญาตเขียนในมุมมองภาคการเกษตรของประเทศไทยเราสักนิดนะครับ ส่วนตัวนั้นคิดว่าบ้านเรามีความหลากหลายในกลุ่มของพืชผักผลไม้ ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ดี และสินค้าเกษตรหลายอย่างยังคงไปต่อได้ โดยเฉพาะเรื่องราคาน่าจะดีอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวผลิตภัณฑ์ที่คนจีนให้ความสนใจ ในการอุปโภคบริโภค เช่น ทุเรียน และข้าวหอมมะลิ แต่ถ้ามีพืชชนิดหนึ่งชนิดใดที่ประเทศจีนผลิตได้เอง…..พืชชนิดนั้นเกษตรกรไทยเราควร “เลิก” ปลูกครับ “อย่าฝืน” เพราะต้องยอมรับความจริงว่า “เราไม่สามารถสู้เรื่องต้นทุนกับจีน” ได้ อย่าว่าแต่ประเทศไทยเลย ตอนนี้หลายประเทศทั่วโลกทั้งยุโรปและอเมริกาก็ยังไม่สามารถแข่งขันด้านต้นทุนกับประเทศจีนได้ ถ้านึกภาพไม่ออกให้ย้อนกลับไปดูอดีตที่ไทยเราทำ FTA กับจีน ก็ทำให้ หอม กระเทียม และลิ้นจี่ของไทยสูญพันธุ์ไปโดยปริยาย

แต่ที่สำคัญมีอยู่สิ่งหนึ่งที่ต้องปรับเปลี่ยน โดยเฉพาะรัฐบาลยิ่งต้องช่วยกันรณรงค์ส่งเสริมนั่นก็คือ การทำให้ผักผลไม้
ของไทยมีคุณภาพได้มาตรฐาน และปลอดภัยไร้สารพิษ หรือจะให้โดดเด่นก็คือการพัฒนาทำให้เป็นสินค้า “ออร์แกนิค” ทำให้เป็นจุดแข็งที่ชัดเจนไปเลย เพื่อใช้ในการต่อรองแข่งขันกับสินค้าจากจีนที่จะทะลักหลั่งไหลเข้ามา เพราะผู้คนทั่วโลกยังมองเรื่องสินค้าจีนในแง่ที่ว่า ด้อยคุณภาพ ไม่ปลอดภัย เพราะยังมีข้าวสารปลอม ไข่ปลอม และแม้แต่ผักก็ยังปลอม เป็นต้น เราจึงควรเน้นสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้า จึงจะมีโอกาสแข่งขันกับประเทศจีนหรือนักลงทุนจีนได้ในอนาคต

มนตรี บุญจรัส

ประธานชมรมเกษตรปลอดสารพิษ

แตกใบอ่อน : ชี้ขาดสารพิษ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/339269

807934531

แตกใบอ่อน : ชี้ขาดสารพิษ

วันพฤหัสบดี ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

ในที่สุดก็น่าจะมีความชัดเจนเสียทีสำหรับอนาคตของ “วัตถุอันตราย” 3 ชนิด ประกอบด้วย พาราควอต, คลอร์ไพริฟอส และ ไกลโฟเซต จะลงเอยแบบไหนในประเทศไทย โดยในวันที่ 23 พฤษภาคม หรือวันพุธของสัปดาห์หน้า จะมีการประชุมกันของ “คณะกรรมการวัตถุอันตราย” เพื่อชี้ขาดว่าจะประกาศแบน “พาราควอต” และ “คลอร์ไพริฟอส” รวมทั้งให้มีการจำกัดการใช้สาร “ไกลโฟเซต” หรือไม่

สำหรับท่านผู้อ่านที่ติดตามสถานการณ์เรื่องการใช้สารเคมีทางการเกษตร คงทราบดีว่า กรณีสารเคมีเจ้าปัญหาทั้ง 3 ตัว เป็นกรณีที่กลุ่มผู้สนับสนุนและคัดค้านต่อสู้กันมานานหลายปี

หรือหากจะนับเอาเฉพาะตั้งแต่ “คณะกรรมการขับเคลื่อนปัญหาการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูง” ที่มี นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รมว.สาธารณสุข เป็นประธาน มีมติขอให้ “กรมวิชาการเกษตร” ไปพิจารณาออกประกาศยกเลิกการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช 2 ชนิด ได้แก่ พาราควอต และ คลอร์ไพริฟอส ภายในวันที่ 1 ธันวาคม 2562 และภายในวันที่ 1 ธันวาคม 2560 ต้องยุติการนำเข้าสารเคมีทั้ง 2 ตัว รวมทั้งขอให้กำหนดโซนการใช้ “ไกลโฟเซต” ซึ่งเป็นยาฆ่าหญ้าอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะบริเวณใกล้เคียงกับโรงพยาบาล โรงเรียน ศูนย์เด็กเล็ก พื้นที่ต้นน้ำ แม่น้ำ และลำคลอง เพราะถูก “องค์การอนามัยโลก” (WHO) กำหนดให้เป็นสารที่อาจก่อมะเร็ง และมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคหลายโรค เช่น โรคไต โรคเกี่ยวกับต่อมไร้ท่อ เป็นต้น

ถ้าตั้งต้นจากตรงนี้ ก็ไม่มากไม่มาย ยื้อกันไป ยื้อกันมา แค่ปีกว่าๆ เท่านั้น

ไล่มาตั้งแต่เหตุการณ์ที่ กรมวิชาการเกษตร ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ “กำกับดูแล” สารเคมีทางการเกษตร ตัดสินใจ “เตะออก” ด้วยการโยนข้อมูลไปให้ “คณะกรรมการวัตถุอันตราย” เป็นผู้ชี้ขาดการแบน “พาราควอต”และ “ควอร์ไพริฟอส” แทน โดยอ้างว่าตัวเองไม่มีความเชี่ยวชาญที่จะนำข้อมูลด้านสุขภาพอนามัยมาวินิจฉัยได้อย่างชัดแจ้งว่า สารดังกล่าวมีอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์ตามที่มีการกล่าวอ้างหรือไม่

ส่วนเจ้าสาร “ไกลโฟเซต” นั้น ก็ไม่มีแนวทางอะไรที่เป็นรูปธรรมตามข้อเสนอ โดยลงมือทำเพียงแค่ให้ผู้ประกอบการรายงานการนำเข้า การผลิต การส่งออก การจำหน่าย พื้นที่การใช้ และปริมาณคงเหลือ และต้องระบุพื้นที่ห้ามใช้ในฉลากวัตถุอันตรายควบคุมการโฆษณาเท่านั้น

ขณะเดียวกันกลุ่มบริษัทสารเคมีและฝ่ายคัดค้านการยกเลิกการใช้สารเคมี ก็พยายามเคลื่อนไหวและงัดข้อมูลขึ้นมาต่อสู้ กระทั่งท้ายสุดก็ต้องให้นายกฯตู่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ออกโรงสั่งให้ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยตัวแทนภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกลับไปคุยกันใหม่เพื่อหาข้อสรุปให้ชัดเจน

โดยผลที่ออกมาก็อย่างที่ทราบกันดี คือ ที่ประชุมมีมติให้ยืนยันตามความเห็น “คณะกรรมการขับเคลื่อนปัญหาการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูง” หรือง่ายๆ คือให้แบนสาร “พาราควอต” กับ “ควอร์ไพริฟอส” และจำกัดการใช้ “ไกลโฟเซต” นั่นเอง

ขณะที่ “หมอสกล” รมว.สาธารณสุข ยังให้ข้อมูลพกท้ายมาด้วยว่า กรณีกลุ่มบริษัทสารเคมีและผู้คัดค้านการทำหมันสารอันตราย โดยเฉพาะ “พาราควอต” อ้างผลงานวิจัยว่าสารดังกล่าวไม่ได้ทำให้เกิดผลกระทบ หากมีการใช้ตามข้อกำหนดนั้น แท้จริงเป็นงานวิจัยเก่าตั้งแต่ปี 2540 หรือ 20 ปีที่แล้ว ซึ่งแย้งกับงานวิจัยปัจจุบันที่ชี้ชัดถึงผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อม ดังนั้นเมื่อมีมติระงับก็ต้องดำเนินการ

ที่สำคัญหากจะมาบอกว่า การใช้สารทดแทนแพงกว่า ก็ต้องเลือกเอาว่า ระหว่างราคาที่แพงกว่าเดิม กับสุขภาพประชาชนจะเลือกแบบใด

อย่างไรก็ดี การที่ “คณะกรรมการวัตถุอันตราย” นัดประชุมวันพุธหน้า ก็ยังต้องจับตากันต่อว่า ผลที่ออกมาจะเป็นไปตามมติของ 3 กระทรวงหรือไม่ เพราะในกรรมการวัตถุอันตายทั้ง 29 คนนั้น ก็ใช่ว่าจะมีแต่ผู้สนับสนุนให้ยกเลิก ตรงกันข้ามน่าจะมีอยู่จำนวนไม่น้อยที่มีความโน้มเอียงอยากให้ใช้ต่อไป

ดังนั้นจึงต้องจับตากันให้ดีครับ เกมนี้อาจไม่ง่ายอย่างที่คิดกันไว้แน่

มะลิลา

แตกใบอ่อน : ปัญหาไม่ได้อยู่ที่กฎหมายข้าวน้ำตาลต่ำ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/337819

807934531

แตกใบอ่อน : ปัญหาไม่ได้อยู่ที่กฎหมายข้าวน้ำตาลต่ำ

วันพฤหัสบดี ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้รับบทความจาก “สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง” หรือ สจล. เผยแพร่เกี่ยวกับความสำเร็จการวิจัย “นวัตกรรมข้าวน้ำตาลต่ำ” ของ “คณะอุตสาหกรรมเกษตร” ซึ่งถือเป็นผลงานที่น่าสนใจทีเดียว เพราะไม่เพียงแต่จะตอบโจทย์เรื่องปัญหาสุขภาพของคนไทยได้เท่านั้น แต่ยังสามารถนำไปต่อยอดพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพได้อีกมากมาย

โดย ผศ.ดร.นภัสรพี เหลืองสกุล รองคณบดีคณะอุตสาหกรรมเกษตร สจล. บอกว่า จากสถิติของกระทรวงสาธารณสุข ชี้ว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีจำนวนผู้ป่วย “โรคเบาหวาน” มากกว่า 6 แสนคนทั่วประเทศ หรือมีอัตราส่วนผู้ป่วย 1 คนในประชากร 11 คน และยังคงมีแนวโน้มสูงมากขึ้นทุกปี

ขณะที่ “ข้าว” ซึ่งเป็นอาหารหลักของคนไทย จัดเป็นอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรตที่ให้พลังงาน เมื่อผ่านกระบวนการย่อยสลายของร่างกาย จะเปลี่ยนเป็นกลูโคส หรือน้ำตาล และถูกดูดซึมเพื่อนำไปใช้เผาผลาญเป็นพลังงานของร่างกาย แต่กระนั้น การบริโภคข้าวควบคู่กับอาหารอื่นๆ ที่มากเกินไป ก็สามารถเป็นปัจจัยสำคัญของการเป็นโรคเบาหวานได้ จึงเป็นแนวคิดการพัฒนาข้าวน้ำตาลต่ำที่สามารถช่วยควบคุมปริมาณน้ำตาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นทางเลือกสำหรับประชาชนโดยไม่ต้องลดปริมาณการบริโภคแป้ง-น้ำตาล

โดย สจล. ได้ทำการวิจัยและค้นพบกรรมวิธีการดัดแปรโครงสร้างเคมีของข้าวเจ้า จนออกมาเป็นข้าวดัชนีน้ำตาลต่ำ (Low GI : Low Glycemic Index) โดยไม่ใช้สารเคมี ผ่านกระบวนการการควบคุมอุณหภูมิ ซึ่งส่งผลต่อโครงสร้างทางเคมีของข้าว โดยนำข้าวเจ้าไปผ่านกระบวนการให้ความร้อนในอุณหภูมิที่เหมาะสมด้วยวิธีการนึ่ง แล้วทำให้เย็นลงอย่างรวดเร็วผ่านการแช่เย็น และนำมาอบแห้งอีกครั้ง ซึ่งจะทำให้โครงสร้างทางเคมีสามารถทนทานต่อน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ส่งผลให้ถูกย่อยสลายช้า ร่างกายเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาลและดูดซึมได้ช้าลง และทำให้รู้สึกอิ่มนานมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ทีมผู้วิจัยสามารถลดค่าดัชนีน้ำตาลของข้าวดังกล่าวได้กว่า 25% เมื่อเปรียบเทียบกับข้าวเจ้าทั่วไป และเมื่อนำไปป่นให้เป็นแป้งข้าวเจ้า สามารถลดค่าดัชนีน้ำตาลได้ต่ำในระดับที่เทียบเท่ากับข้าวกล้อง และข้าวไรซ์เบอรี่ ที่เหล่าคนรักสุขภาพนิยมรับประทานกัน

ผศ.ดร.นภัสรพี บอกอีกว่า โดยปกติข้าวที่เรารับประทานทั่วไป จะมีค่าดัชนีน้ำตาลอยู่ที่ 85 ขึ้นไป ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง แต่ล่าสุดทีมวิจัยสามารถลดค่าดัชนีน้ำตาลของข้าวเจ้า ผ่านกรรมวิธีข้างต้น ลงมาอยู่ที่ระหว่าง 65-75 ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มดัชนีน้ำตาลระดับกลาง ขึ้นอยู่กับชนิดและสายพันธุ์ของข้าวนั้นๆ ซึ่งสายพันธุ์ที่สามารถลดค่าดัชนีน้ำตาลลงมาได้สูงที่สุด ได้แก่ ข้าวเสาไห้ และหากนำไปป่นเป็นแป้งข้าวเจ้าจะสามารถลดค่าดัชนีน้ำตาลลงมาอยู่ระหว่าง 50-55 ซึ่งจัดอยู่ในระดับต่ำ โดยผ่านกรรมวิธีที่ไม่ต้องใช้สารเคมี จึงทำให้มั่นใจได้ว่าจะไม่มีผลกระทบและสารตกค้างภายในร่างกายอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ดี แม้ว่าในท้องตลาดจะมี “ข้าวกล้อง-ข้าวไรซ์เบอรี่” ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มข้าวดัชนีน้ำตาลต่ำอยู่แล้ว แต่มีข้อจำกัดสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานโดยเฉพาะ ที่ไม่สามารถรับประทานข้าวชนิดดังกล่าวได้ เนื่องจากมีฟอสฟอรัสและแคลเซียมสูง เกินปริมาณที่เหมาะสมสำหรับผู่ป่วย ซึ่งส่งผลต่อระบบหน่วยไตที่ต้องทำงานหนักมากขึ้น อาจก่อให้เกิดนิ่วในไต และเสี่ยงต่อภาวะไตวาย อันเป็นโรคแทรกซ้อนอันดับต้นๆ ของผู้ป่วยโรคดังกล่าว นวัตกรรมข้าวเจ้าดัชนีน้ำตาลต่ำนี้ จึงตอบโจทย์การควบคุมปริมาณการบริโภคข้าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยผู้รับการรักษายังสามารถคงพฤติกรรมการบริโภค “ข้าว” อาหารหลักหัวใจชาวไทย ที่ขาดไม่ได้ในทุกมื้อ โดยไม่ถูกจำกัดปริมาณ ซึ่งส่งผลดีต่อการรักษาทั้งด้านสภาพร่างกายและจิตใจ

ปัจจุบันการวิจัยอยู่ระหว่างกระบวนการนำไปทดสอบและใช้รักษาจริง (Clinical Test) ในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยตั้งเป้าว่าจะสามารถเริ่มใช้ได้อย่างแพร่หลาย รวมถึงสามารถต่อยอดนวัตกรรมทางการเกษตรดังกล่าว ไปเป็นผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ อาทิ แป้งข้าวเจ้าสำหรับใช้ประกอบอาหารและทำขนมเพื่อสุขภาพ ที่สามารถลดปริมาณน้ำตาล หรือ ข้าวกึ่งสำเร็จรูปน้ำตาลต่ำพร้อมรับประทาน เพื่อเป็นตัวเลือกบริโภคสำหรับประชาชน และลดอัตราเสี่ยงการป่วยเป็นโรคเบาหวานในอนาคต

นี่แหละครับ ผลงานวิจัยฝีมือคนไทยเพื่อคนไทยของแท้

มะลิลา

แตกใบอ่อน : อยากฝันไกลก็ต้องไปให้ถึง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/336405

807934531

แตกใบอ่อน : อยากฝันไกลก็ต้องไปให้ถึง

วันพฤหัสบดี ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) และการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ได้ร่วมกันจัดประชุมวิชาการ “การผลักดันผลงานวิจัยยางพาราสู่การใช้ประโยชน์” ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กทม. โดยมี พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ไปเป็นประธานและกล่าวปาฐกถา ซึ่งมีหลายประเด็นที่ถือว่า น่าสนใจทีเดียว

พล.อ.อ.ประจิน ท่านบอกว่า โจทย์สำคัญเกี่ยวกับ “ยางพารา” ของไทย คือ ทำอย่างไรให้สัดส่วนการแปรรูปยางพาราเพิ่มขึ้นโดยผู้ประกอบการในประเทศ ผสมผสานเทคโนโลยีจากต่างประเทศและในประเทศ ทั้งระดับชุมชน พื้นที่ มหาวิทยาลัย จนถึงเครือข่ายองค์กรบริหารงานวิจัยแห่งชาติ (คอบช.) เช่น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. เพื่อเพิ่มมูลค่าการใช้ยางพาราจากที่มีอยู่เพียงร้อยละ 20 คิดเป็นมูลค่า 4.5 แสนล้านบาท ให้เพิ่มเป็นร้อยละ 40

พร้อมทั้งยืนยันว่า รัฐบาลมีนโยบายชัดเจนในการสนับสนุนการแปรรูป “ยางพารา” ให้เป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ รวมถึงส่งเสริมและเผยแพร่ผลงานวิจัยด้านมาตรฐานยางพารา ผลักดันให้มีการนำผลงานวิจัยด้านยางพาราไปใช้ประโยชน์ในหลายมิติโดยเฉพาะเชิงพาณิชย์ เพื่อเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราในประเทศ โดยนับจากนี้ งานวิจัยภายใต้การสนับสนุนของ สกว. และกยท. ควรมุ่งเน้นการต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางพาราสู่การเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม ไม่ว่าจะเป็นการสร้างถนน สนามกีฬา ระบบรถไฟความเร็วสูง อาคารสถานที่ต่างๆ ซึ่งจำเป็นต้องนำยางพาราไปเป็นส่วนประกอบ หรืออีกนัยหนึ่ง คือ การใช้ “งานวิจัย” มาต่อยอดพัฒนายางพาราสู่การเป็นนวัตกรรม โดยคาดว่าจะสามารถทำได้สำเร็จภายใน 3-5 ปี

ขณะที่รองผู้ว่าฯ กยท. “ณกรณ์ ตรรกวิรพัท” ช่วยย้ำว่า การผลักดันยางพาราจากงานวิจัยสู่ตลาดทั้งภายในและนอกประเทศจะส่งผลต่อมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นหากมีการปรับสัดส่วนวัตถุดิบเป็นผลิตภัณฑ์จากเดิมร้อยละ 20 เป็นร้อยละ 30-40 อาจเพิ่มได้มูลค่าได้มากถึง 7 แสนล้านบาท/ปี จากเดิมราว 4 แสนล้านบาท/ปี

ทั้งนี้หากถอดความจากคำพูดของทั้ง พล.อ.อ.ประจิน และ รองผู้ว่าการ กยท. แล้วตั้งคำถามว่า มีอะไรใหม่หรือไม่ ก็ต้องตอบว่าแทบไม่มี เพราะสาระสำคัญของเรื่องที่พูดออกมาส่วนใหญ่ ล้วนแล้วแต่เป็นประเด็นที่พูดกันมานานแล้วทั้งสิ้น เพียงแต่ที่ผ่านมาแทบจะเรียกได้ว่า ไม่มีรัฐบาลไหนที่จะนำมาผลักดันกันอย่างจริงจังเลยแม้แต่รัฐบาลเดียว

ประเด็นเรื่องการสนับสนุนงานวิจัยยางพาราในบ้านเรา จึงไม่ต่างจากการเป็นเรื่อง “ดีแต่พูด” ไปเสียอย่างนั้น

ที่พูดผมไม่ได้ตั้งป้อมบั่นทอนรัฐบาลหรือคนทำงานนะครับ แต่ประเด็นที่อยากชี้ คือ นาทีนี้มันพูดอย่างเดียวไม่ได้แล้ว แต่ต้องลงมือทำด้วย อยากจะฝันไกลกันสักเท่าไร เราก็ฝันกันได้ครับ อยากจะสร้างสร้างมูลค่าเพิ่มให้ยางพาราอีกสักกี่แสนกี่ล้านล้าน ก็ฝันได้ทั้งนั้น

แต่ถ้าฝันแล้วไม่ลงมือทำ ก็คงเปล่าประโยชน์

แว่นขยาย

แตกใบอ่อน : แค่รณรงค์คงไม่พอ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/335085

807934531

แตกใบอ่อน : แค่รณรงค์คงไม่พอ

วันพฤหัสบดี ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2561, 06.00 น.

ผ่านไปอีกครั้งสำหรับวันคุ้มครองโลก “Earth Day” เมื่อวันที่อาทิตย์ที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งปีนี้มีการกำหนดหัวข้อรณรงค์เหมือนกันทั่วโลก คือ “End Plastic Pollution” หรือแปลเป็นไทยง่ายๆว่า “หยุดมลพิษจากพลาสติก” ซึ่งสาเหตุที่นำประเด็น “ขยะพลาสติก” มาเป็นประเด็นหลักของการรณรงค์ปีนี้ ก็สืบเนื่องมาจากปัญหาปริมาณ “ขยะพลาสติก” ทั่วโลกที่รุนแรงจนกลายมาเป็น “วิกฤติ” สำคัญด้านสิ่งแวดล้อม

เพราะไม่เพียงแต่จะมีขยะพลาสติกอยู่กลาดเกลื่อนอยู่ตามพื้นดิน ตามถนน หรือตรอก ซอก ซอยต่างๆ เท่านั้น แต่ยังลามไปถึงในทะเลและมหาสมุทร ซึ่งในที่ประชุม “เวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรั่ม”ครั้งล่าสุด ระบุว่ามีการตรวจสอบพบขยะพลาสติกในมหาสมุทรทั่วโลกมากถึง 150 ล้านตัน และจะเพิ่มขึ้นปีละ 8 ล้านตัน

โดยคาดว่า ภายในปี 2592 จะมีขยะพลาสติกมากกว่าจำนวนปลาในมหาสมุทรเสียอีก!

จากข้อมูลของ “โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ” หรือ UNEP ระบุว่า แต่ละปีทั่วโลกมีการใช้ถุงพลาสติกรวมกันมากถึง 5 แสนล้านใบ ซึ่งครึ่งหนึ่งของพลาสติกที่ใช้อยู่ในปัจจุบันเป็นพลาสติกแบบ “ใช้ครั้งเดียวทิ้ง” จึงทำให้แต่ละปีมีปริมาณขยะพลาสติกเป็นจำนวนมาก และในจำนวนนี้เป็นขยะพลาสติกที่เล็ดลอดไหลลงสู่ทะเลถึงกว่า 13 ล้านตัน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบนิเวศทะเลและสัตว์ทะเล

และประเทศไทยก็ถูกจัดให้อยู่ในลำดับที่ 6 ของประเทศที่มีขยะพลาสติกในทะเลมากที่สุดในโลก

ขณะที่ “กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม” ระบุว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีปริมาณขยะพลาสติกประมาณ 12% ของปริมาณขยะทั้งหมด หรือปีละ 2 ล้านตัน โดยจำนวนนี้ถูกนำกลับไปใช้ประโยชน์เฉลี่ยเพียงปีละ 0.5 ล้านตัน ดังนั้นหากนำตัวเลขปริมาณขยะในปี 2559 ที่ “กรมควบคุมมลพิษ” เพิ่งประกาศไป ซึ่งพบว่ามีอยู่ประมาณ 27.4 ล้านตัน ก็จะเท่ากับว่าเฉพาะปีที่แล้วเพียงปีเดียว เรามี “ขยะพลาสติก” เพิ่มขึ้นอีกถึงประมาณ 3.2 ล้านตัน

ส่วนในเรื่องการจัดการขยะ กรมควบคุมมลพิษ บอกว่า ระดับเทศบาลเมืองและเทศบาลนครมีการจัดการขยะมูลฝอยที่มีประสิทธิภาพเพียงแค่ประมาณ 23 แห่ง จากที่มีเทศบาลกว่า 100 แห่งทั่วประเทศ ขณะเดียวกันก็มีอีกหลายเทศบาลยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาการจัดการขยะได้ ซึ่งนี่ถือเป็นการสะท้อนถึงเค้าลางความ “หายนะ” จากปัญหาขยะและขยะพลาสติกที่เราจะต้องเจอในวันข้างหน้า หากวันนี้ไม่ทำอะไรสักอย่าง

แน่นอนว่า การรณรงค์ให้คนไทยเรียนรู้การมี “วินัย” ในการจัดการขยะ และรู้จัก “ปฏิเสธ” ไม่รับถุงพลาสติกเวลาจับจ่ายซื้อของตามตลาด ร้านค้า และร้านสะดวกซื้อต่างๆ ยังถือเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องทำ และต้องทำกันอย่างเข้มข้นทีเดียว

แต่ขณะเดียวกัน ผมยังมองว่า เพียงลำพังจะมาหวังพึ่งการรณรงค์อย่างเดียว ในวันนี้อาจจะต้องถือว่า “ช้า” และไม่ทันการณ์ไปเสียแล้ว เพราะปัญหาขยะพลาสติกมันรุดหน้าไปเร็วมาก กว่าจะรอให้คนเข้าใจ รอให้คนมีจิตสำนึก อาจมีหวังที่ “ขยะ” จะล้นเมืองไปเสียก่อน

ดังนั้นสิ่งที่จำเป็นต้องดำเนินการควบคู่กันไป คือ รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจต้องเร่งพิจารณาถึงมาตรการทางกฎหมายเพื่อ “บังคับ” ให้ประชาชนลดการใช้ถุงพลาสติก เช่น การเก็บภาษีถุงพลาสติก และการให้ร้านค้าเรียกเก็บเงินค่าถุงพลาสติกจากลูกค้า เป็นต้น

ของบางอย่างมัวแต่มะงุมมะงาหรามันก็ไม่มีประโยชน์นะครับ หากมันจำเป็นต้องเด็ดขาดมันก็ต้องทำ และผมมั่นใจว่า “คนไทย” ส่วนใหญ่จะเข้าใจและสนับสนุน

ปิดท้ายคอลัมน์ก่อนจากกันในสัปดาห์นี้ ขอแสดงความยินดีกับ “มนตรี บุญจรัส” ประธานชมรมเกษตรปลอดสารพิษ และ “บิ๊กบอส” บริษัทไทยกรีนอะโกร กับรางวัลนักบริหารดีเด่นแห่งปี 2561 สาขาบริหารและพัฒนาธุรกิจการเกษตร จากมูลนิธิเพื่อสังคมไทย ภายใต้โครงการหนึ่งล้านกล้าความดีตอบแทนคุณแผ่นดิน

คุณมนตรี ได้ชื่อว่าเป็น “กูรู” คนหนึ่งในเรื่องเกษตรปลอดสารพิษ และยังมีผลงานบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้เขียนลงในหน้าเกษตร “แนวหน้า” มาอย่างต่อเนื่อง และแว่วมาว่า กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาผลิตภัณฑ์เกษตรปลอดสารพิษตัวใหม่ และน่าจะเปิดตัวในเร็วๆนี้ ยังไงก็ขอให้ลองติดตามข่าวสารดีๆ ก็แล้วกัน

มะลิลา