แตกใบอ่อน : ยิ่งช้าปัญหายิ่งลาม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/333672

807934531

แตกใบอ่อน : ยิ่งช้าปัญหายิ่งลาม

วันพฤหัสบดี ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2561, 06.00 น.

ยังคงมีเค้าลางที่จะกลายเป็นเรื่องยาวต่อไป สำหรับกรณีโครงการบ้านพักตุลาการศาลอุทธรณ์ภาค 5 ที่บริเวณเชิงดอยสุเทพ ต.ดอนแก้ว อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ซึ่งแม้ล่าสุดก่อนหยุดยาววันสงกรานต์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะออกมาส่งสัญญาณค่อนข้างชัดเจนในทำนองว่า ศาลคงเข้าไปอยู่ในบ้านพักไม่ได้แล้ว เพราะถูกคัดค้านอย่างหนักต่อประชาชน

แต่ก็ยังไม่วายห้อยติ่งเอาไว้ว่า ยังไงก็คงไม่รื้อ ไม่ทุบทิ้ง แต่อาจหาทางออกด้วยการนำพื้นที่ไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น เพราะเสียดายงบประมาณที่นำมาทุ่มก่อสร้างโครงการแห่งนี้ และที่สำคัญ คือ เกรงจะถูกผู้รับเหมาก่อสร้างทำสัญญากับรัฐฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเอาได้

ฟังเสียงจากฝ่ายศาลก็คงไม่มีปัญหา เพราะดังที่ทราบกันว่าก่อนหน้านี้ศาลเป็นฝ่ายโยนปัญหามาให้รัฐบาลตัดสินใจ และได้ประกาศล่วงหน้าเอาไว้แล้วว่า ไม่ว่ารัฐบาลจะชี้ออกมาอย่างไร ก็พร้อมจะยอมรับและดำเนินการตามทุกประการ

ขณะที่หากฟังจากเสียงกลุ่มประชาชนผู้คัดค้าน ก็เห็นทีต้องบอกว่า “ทางออก” ที่นายกฯเสนอมานั้น ไม่น่าจะใช่สิ่งที่ฝ่ายประชาชนต้องการแต่อย่างใด เพราะจุดยืนของพวกเขายังชัดเจนอยู่ว่าต้อง “รื้อ” กลุ่มอาคารที่ยื่นเข้ามาในผืนป่า ซึ่งก็เป็นส่วนของอาคารและบ้านพักของตุลาการศาลอุทธรณ์ภาค 5 ทั้งสิ้น

ลึกๆ ผมยอมรับนะครับว่า แอบเห็นด้วยกับนายกฯ ที่น่าจะหาทางออกด้วยการให้กันพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่สาธารณะที่ประชาชนสามารถเข้ามาใช้ประโยชน์ได้ เพราะตัวผมก็แอบเสียดายงบฯประมาณที่ถูกเอามาก่อสร้างจนใกล้จะเสร็จอยู่รอมร่ออยู่แล้ว แต่ถ้าให้คิดตามแบบจริงๆ จังๆ ก็ต้องยอมรับว่า ผมคิดไม่ออกว่าพื้นที่แห่งนั้นควรจะเอาไปพัฒนาเป็น “อะไร”

เพราะต้องไม่ลืมว่า เมื่อโครงการเดิมมันเป็น “บ้าน” และอาคารที่พัก ซึ่งมันทำให้เกิดคำถามว่า เมื่อลักษณะของสิ่งก่อสร้างเป็นแบบนี้แล้ว เราจะนำไปพัฒนาเป็นอะไรได้บ้าง

พิพิธภัณฑ์งั้นเหรอ? หรือที่เป็นสถานที่อบรม? หรือเป็นห้องสมุด? เป็นแหล่งเรียนรู้ธรรมชาติ?

ให้ตายเถอะครับ ผมคิดไม่ออกจริงๆ

ที่สำคัญ ถ้าพิจารณาสถานการณ์เรื่องนี้กันให้ดี จะเห็นว่าโจทย์ใหญ่ที่เป็น “แก่นแท้” ของปัญหา คือ จะทำอย่างไรให้พื้นที่ที่ชาวบ้านเขาตั้งฉายากันว่าเป็นพื้นที่ “ป่าแหว่ง”กลับมาเป็น “ป่า” เหมือนเดิม ซึ่งแน่นอนว่าการพัฒนาพื้นที่เพื่อให้มีการ “ใช้ประโยชน์” ไม่น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีสักเท่าไรนัก เพราะการเปิดพื้นที่ให้ใช้ประโยชน์จากสาธารณะขึ้นเมื่อใด ก็ย่อมไม่ต่างจากการปล่อยให้พื้นที่ถูกรุกล้ำอยู่อย่างไม่จบสิ้น

แบบนี้แล้วเมื่อไรจะได้ “ป่า” กลับมา

และเมื่อไรไอ้ภาพแหว่งๆ วิ่นๆ บนดอยสุเทพที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้จะหายไป

ต้องไม่ลืมนะครับว่า “ดอยสุเทพ” สำหรับคนเชียงใหม่และคนภาคเหนือไม่ได้เป็นแค่ “ภูเขา” เหมือนนักท่องเที่ยวหรือคนพื้นที่อื่นมองกัน รวมทั้งไม่ได้มีเพียงแค่ความสำคัญเชิงระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่เท่านั้น แต่ที่นี่ยังเปรียบเสมือน “พื้นที่ทางใจ” ของคนเมือง เป็นแหล่งวัฒนธรรม และมีความเชื่อมโยงไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนพื้นที่ราบกับคนบนที่สูง

การสร้างรอยด่างให้กับ “ดอยสุเทพ” จึงไม่ต่างจากการเข้ามาเหยียบย่ำหัวใจของคนที่นี่

ดังนั้นบางทีรัฐบาลและศาล อาจจะต้องคิดให้มากขึ้น และลึกซึ้งขึ้นถึงแนวทางการแก้ไขปัญหา

ไม่เช่นนั้นสิ่งที่ตามมาอาจจะไม่ได้จบแค่กระแสคัดค้านดังที่เป็นอยู่ในตอนนี้ แต่อาจพัฒนาเป็นสิ่งที่น่ากลัวกว่า นั่นคือ “วิกฤติศรัทธา” ที่มีต่อรัฐ และต่อฝ่ายตุลาการ

ถ้าไม่เชื่อ ก็ลองเงี่ยหูฟังเสียงชาวบ้านดู เดี๋ยวก็จะรู้เองครับ

มะลิลา

แตกใบอ่อน : ส่องเกษตรยุค‘ออเจ้า’สู่ยุคปัจจุบัน ชวนมาช่วยกัน‘ลด ละ เลี่ยง เลิก’การใช้สารพิษ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/332533

807934531

แตกใบอ่อน : ส่องเกษตรยุค‘ออเจ้า’สู่ยุคปัจจุบัน ชวนมาช่วยกัน‘ลด ละ เลี่ยง เลิก’การใช้สารพิษ

วันพฤหัสบดี ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2561, 06.00 น.

ละครเรื่อง “บุพเพสันนิวาส” ที่กำลังเป็นกระแส “ทอล์กออฟเดอะทาวน์” อยู่ในขณะนี้ ถือว่าเป็นละครที่มีเรตติ้งสูงมากที่สุดเรื่องหนึ่ง ด้วยเนื้อหาที่แปลกแหวกแนวสร้างสรรค์แตกต่างจากละครเดิมๆ ของไทยในอดีตที่มีแต่ตบตีแย่งชิงเชิงชู้สาวเป็นส่วนใหญ่ พระนางอย่าง “แม่การะเกด” และ “พ่อหมื่นสุนทรเทวา” ซึ่งแสดงได้อย่างลงตัว มีเสน่ห์ เรียกแฟนคลับให้เกาะติดอยู่หน้าจอในช่วงวันพุธ พฤหัสบดีได้อย่างเหนียวแน่น แถมยังมีนักแสดงร่วมแท็กทีมประชันฝีมือกันมากมาย จนทำให้ละครเรื่องนี้มีคุณภาพระดับคับแก้ว โด่งดังเป็นที่รู้จักกันทั้งเรื่องเกือบทุกตัวละครไม่ว่าจะตัวเด่นหรือตัวรอง

“ดูละครแล้วให้ย้อนดูตัว” ด้วยละครเรื่องนี้นับว่ามีการสอดแทรกขนมธรรมเนียม ประเพณี ประวัติศาสตร์ ที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงอย่างมาก พฤติกรรมของตัวเอกในละครที่ไม่ว่าจะพูดหรือทำอะไร ก็จะมีผู้ชมนิยมชมชอบทำตามและแชร์ตามโลกโซเชียลในชั่วพริบตา ยกตัวอย่างการนำเสนอเมนูอาหารในเรื่อง เช่น กุ้งแม่น้ำเผา มะม่วงน้ำปลาหวาน ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง หมู่โสร่ง เป็นต้น ทำให้ได้ทราบประวัติความเป็นมาของเมนูหรือเรื่องนั้นๆ ด้วย จนสร้างปรากฏการณ์ที่แตกต่างมากถ้าเทียบกับละครเรื่องอื่นๆ

แต่ยังมีอีกหนึ่งมุมหนึ่งที่ทางผู้ผลิตละครเรื่องนี้นำเสนอน้อยไปสักนิด คือเรื่องของวิถีเกษตรกรรมไทยในสมัยนั้น ซึ่งความจริงน่าจะเป็นยุคที่เรียกได้ว่า “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” เพราะการทำเกษตรกรรมของชาวอยุธยาสมัยนั้น คงยังไม่มีการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่เป็นพิษมากมายเหมือนในปัจจุบันนี้ บ้านเมืองยังคงอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ผู้คนยังดื่มด่ำกับธรรมชาติได้เกือบทั่วทุกตารางนิ้ว น้ำท่าที่ใช้ในการอุปโภค บริโภค ตามห้วยหนอง คลองบึงก็ใช้ได้ทันที ไม่ต้องระวังยาฆ่าหญ้า รวมถึงสารกำจัดโรคแมลงอย่างในปัจจุบัน ซึ่งมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอนุญาตให้นำเข้ามาได้อย่างสะดวกโยธินจนยอดปีละหลายหมื่นล้านบาท เพื่อให้เกษตรกรนำไปอาบชโลมลงแปลงเพาะปลูก ตกค้างอยู่ตามป่าต้นน้ำลำธารและยอดเขาเมื่อฝนตกก็ชะล้างสารพิษเหล่านี้ลงไปสู่แหล่งน้ำ ลำคลอง ส่งผลให้น้ำเป็นพิษ กุ้ง หอย ปู ปลา ล้มหายตายจากสูญพันธุ์ไปเป็นจำนวนมาก

ยกตัวอย่าง “ศัตรูพืช ศัตรูข้าว” เช่น หนูนา และปูนา ยังเกือบจะสูญพันธุ์ จนนำมาสู่ความน่าสมเพชเวทนาในปัจจุบันคือเกษตรกรต้องหันมาเพาะเลี้ยงจำหน่ายขยายพันธุ์ “หนูนา” และ “ปูนา” สร้างรายได้กันอย่างน่าอนาถใจ เพราะในไม่ช้ามันอาจจะล้นและกลับมาทำลายพืชผลของเกษตรกรเอง ที่โลกกลับตาลปัตรเช่นนี้ ก็เพราะสาเหตุหลักมาจากการใช้สารพิษอย่างไม่บันยะบันยัง จนทำให้ศัตรูพืชที่แพร่กระจายขยายพันธุ์ได้ง่าย ยังเกือบสูญพันธุ์และลดน้อยถอยลงดังที่กล่าวไป เพราะสารเคมีที่เป็นพิษถูกส่งไปทำลายล้างเผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตทั้ง “ชนิดดี” และ “ชนิดร้าย” ในธรรมชาติจนราบคาบหมดสิ้น และอาจจะไม่เว้นแม้กระทั่ง “มนุษย์” ด้วยก็เป็นได้ ถ้ายังไม่ “หยุด”!!! แล้วเราจะปล่อยให้ประเทศของเราเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ กระนั้นหรือ???… เดาไม่ออกเลยว่าอีกสิบยี่สิบปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ต่อไปคงต้องเพาะเลี้ยงหนอน แมลงศัตรูพืชมาเป็นอาหารกันอีกด้วยหรือไม่

จึงอยากเชิญชวนเหล่าออเจ้าชาวเกษตรกรมาช่วยกัน ลด ละ เลี่ยง เลิกใช้สารพิษกันเถอะ โดยหันมาใส่ใจวิธีการทำเกษตรปลอดสารพิษ เกษตรอินทรีย์ แบบพึ่งพิงอิงธรรมชาติ ใช้ปัจจัยการผลิตจากสิ่งที่มีง่ายๆใกล้ตัว ไม่ว่าจะเป็นเศษไม้ ใบหญ้า ตอซังฟางข้าว พืชสมุนไพรไล่แมลงอย่างขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด ขมิ้นชัน ไพล ฟ้าทะลายโจร ฯลฯ รวมถึงการใช้จุลินทรีย์ขี้ควายจุลินทรีย์หน่อกล้วย จุลินทรีย์ขุยไผ่ ทั้งหมดเป็นจุลินทรีย์ท้องถิ่นไทยที่ใช้ในการปราบโรคแมลง ใช้หินแร่ภูเขาไฟไทยในการปรับปรุงบำรุงดิน สร้างระบบนิเวศน์ให้กลับสู่สภาพยุคออเจ้าให้มากที่สุด

วันนี้คนไทยกำลังสนุกและมีความสุขกับละคร “บุพเพสันนิวาส” กำลังนิยมชมชอบชุดไทย แต่งไทย กิน ขนมไทย อาหารไทย และสถานที่ต่างๆ ในประวัติศาสตร์ไทย แล้วทำไมเราจะกลับไปทำอาชีพเกษตรกรรมแบบไทยๆ บ้างไม่ได้ โดยการใช้จุลินทรีย์สายพันธุ์ไทย ใช้หินแร่ภูเขาไฟไทย ใช้สมุนไพรไทย ตามวิถีการทำเกษตรแบบไทยๆ โดยไม่ต้องใช้สินค้านำเข้าพวกสารเคมีกำจัดโรค แมลง ศัตรูพืชจากต่างประเทศ เท่านี้ก็สามารถช่วยอนุรักษ์ทรัพยากร สิ่งแวดล้อม ผืนแผ่นดินของไทยให้อยู่ยั้งยืนยงไปชั่วลูกชั่วหลานแบบบูรณาการสร้าง “ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ตามนโยบายรัฐบาล “ลุงตู่” ได้อีกทางหนึ่งได้อย่างดีเลยทีเดียวนะขอรับ

มนตรี บุญจรัส

ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ

แตกใบอ่อน : ตามรอยพ่อ-ต่อยอดพันธุกรรม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/331194

807934531

แตกใบอ่อน : ตามรอยพ่อ-ต่อยอดพันธุกรรม

วันพฤหัสบดี ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2561, 06.00 น.

สัปดาห์นี้ขออนุญาตหลีกหนีความวุ่นวายจากปัญหาการบ้านการเมืองทั้งปวง มาชวนท่านผู้อ่านไปเที่ยว “พิพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี กันบ้าง เพราะความจริงตั้งใจจะเขียนถึงนานแล้ว แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้เขียนถึงเสียที จนกระทั่งเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา มีรุ่นน้องเอาหมายงานของพิพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติฯ มาฝากให้ช่วยกระจายข่าวให้หน่อย ก็เลยทำให้นึกได้ และถือโอกาสเขียนถึงเสียเลย

เพราะที่นี่ไม่ได้เป็นแค่เพียง “พิพิธภัณฑ์” ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรวบรวมองค์ความรู้อันเป็น “ศาสตร์พระราชา” ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 พระราชทานให้กับพวกเราชาวไทยเท่านั้น แต่ที่นี่ยังเป็นศูนย์กลางการถ่ายทอดและส่งเสริมการเรียนรู้ทางการเกษตรตามแนวทาง “เศรษฐกิจพอเพียง” ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศอีกด้วย

พิพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียติฯ จะแบ่งเป็นโซนหลักๆ 2 โซน ซึ่งโซนแรก เป็น “พิพิธภัณฑ์ในอาคาร” มุ่งนำเสนอพระอัจฉริยภาพ พระราชกรณียกิจ รวมทั้งโครงการในพระราชดำริต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรฯ ของในหลวงรัชกาลที่ 9 โดยมีการนำเสนอในหลากหลายรูปแบบ การจัดนิทรรศการ หุ่นจำลอง ภาพยนตร์สามมิติและสื่อมัลติมีเดีย

ส่วนโซนที่ 2 เป็น “พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง” ซึ่งเป็นฐานการเรียนรู้การทำการเกษตรต่างๆ รวมทั้งนวัตกรรมเกษตรเศรษฐกิจพอเพียง โดยมีแปลงสาธิตทั้งการปลูกข้าว แปลงนาอินทรีย์ แปลงผัก การปลูกสมุนไพร การเพาะเห็ด จนถึงการทำปศุสัตว์

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมสำคัญที่พิพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติฯทำมาอย่างต่อเนื่อง คือ การเปิดอบรมหลักสูตรตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงในหัวข้อต่างๆ ให้ประชาชน นักเรียน นิสิต นักศึกษา และเกษตรกร เข้ามาเรียนรู้และนำไปใช้ประโยชน์ในการประกอบอาชีพ หรือเป็นอาชีพเสริมสร้างรายได้ เช่น เทคนิคการปลูกไม้ผลนอกฤดู ระบบให้น้ำพอเพียง การสร้างโรงเรือนปลูกผักระดับครัวเรือน เกษตรอินทรีย์ เทคนิคการปลูกผักแนวตั้ง การทำโซลาร์เซล์เพื่อการพึ่งต้นเอง เป็นต้น

โดยในช่วงวันหยุดยาวเนื่องในวันจักรี 6-8 เมษายนที่จะถึงนี้ ที่พิพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติฯก็จะมีการจัดงาน “มหกรรมตามรอยพ่อ ต่อยอดพันธุกรรม” เพื่อสืบสานพระราชปณิธานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ด้านการอนุรักษ์พันธุกรรม อันถือเป็นมรดกล้ำค่าและมรดกที่สำคัญชิ้นหนึ่งของคนไทย โดยในงานนอกจากจะมีกิจกรรมความรู้เกี่ยวกับพันธุกรรมมากมาย เช่น นิทรรศการพันธุกรรมตามนิเวศน์เฉพาะถิ่นของแต่ละภูมิภาค นิทรรศการไผ่นานาชนิด และพันธุกรรมไม้แปลกหายาก แล้ว ตลอดทั้ง 3 วันของงานยังมีการจัดอบรม “วิชาของแผ่นดิน” รวมทั้งหลักสูตรวิชาชีพจากบุคคลต้นแบบและผู้เชี่ยวชาญรวมกว่า 20 หลักสูตร เช่น หลักสูตร “เมล็ดพันธุ์คือชีวิต” เรียนรู้ประโยชน์และการบริโภคเมล็ดพันธุ์เพิ่มพลังชีวิต, การเพาะเห็ดเจ็ดชั่วโคตร เรียนรู้วิธีการเพาะเห็ดกับต้นไม้ การเพาะเห็ดขอนไม้, การทำปุ๋ยชีวภาพชนิดต่างๆ เพื่อบำรุงผักสุขภาพ, การขยายพันธุ์ผักหวาน, การสกัดฮอร์โมนจากพืช, การทำโซลาร์เซลล์แบบพกพา, การทำแป้งเท้ายายม่อม, ป่าพื้นบ้าน, การทำมะนาวดอง และการทำไอศครีมจากมันม่วง เป็นต้น

นอกจากนี้ก็ยังมีการเปิดตลาดพื้นบ้าน ซึ่งมีทั้งผลผลิตการเกษตรฤดูกาล ต้นไม้ พันธุ์ไม้ เมล็ดพันธุ์พืช พันธุกรรมราคาพิเศษ 10 บาท จากกลุ่มเกษตรกรพื้นบ้าน รวมทั้งกิจกรรมบันเทิงและการละเล่นต่างๆ ตามประเพณีไทย เช่น รำวงย้อนยุค ละครเพลงพื้นบ้าน การละเล่นวิถีไทย รวมทั้งกิจกรรมต้อนรับเทศกาลสงกรานต์ที่จะมาถึงในสัปดาห์หน้า ส่วนท่านที่สนใจตารางการจัดงานโดยเฉพาะการอบรม ลองเข้าไปตรวจสอบที่เว็บไซต์ www.wisdomking.or.th ดูได้ครับ

มะลิลา

แตกใบอ่อน : ปัญหาไม่ได้อยู่ที่กฎหมาย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/329753

807934531

แตกใบอ่อน : ปัญหาไม่ได้อยู่ที่กฎหมาย

วันพฤหัสบดี ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

วันอังคารที่ผ่านมา ได้ยินท่านเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม “สราวุธ เบญจกุล” ออกมาชี้แจงกรณีโครงการก่อสร้างบ้านพักข้าราชการตุลาการและข้าราชการศาลอุทธรณ์ภาค 5 ที่ จ.เชียงใหม่ ซึ่งกำลังถูกภาคประชาชนใน จ.เชียงใหม่ และเครือข่ายด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักและหนักมาก จนถึงออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ยกเลิกโครงการอยู่ในขณะนี้ ซึ่ง คุณสราวุธ ท่านได้ชี้แจงเอาไว้พอสรุปได้ดังนี้ครับ

ประเด็นแรก โครงการก่อสร้างบ้านพักดังกล่าว ไม่ได้มีปัญหาเรื่องความชอบหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะการได้มาซึ่งที่ดินผืนที่กำลังเกิดปัญหา เป็นการได้มาอย่างถูกต้องตามกระบวนการทั้งหมด พร้อมกับยืนยันว่า ศาลยุติธรรมในฐานะเป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย ได้ดำเนินการให้ถูกต้อง ทุกคนอยู่ในสังคมภายใต้กฎหมายเดียวกัน ไม่มีใครได้สิทธิพิเศษ ศาลยุติธรรมก็ไม่มีสิทธิพิเศษ ดังนั้นศาลก็พร้อมที่จะเคารพกฎหมายทุกประการ

ประเด็นที่สอง ขณะนี้การก่อสร้างใกล้จะเสร็จในเดือนมิถุนายนนี้ คือ เหลืออีกประมาณ 2 เดือนเศษ ก็จะต้องมีการส่งมอบงาน ซึ่งโครงการนี้มีงบประมาณที่ถูกใช้ไปมากพอสมควร

ประเด็นที่สาม การเข้ามาอยู่ในพื้นที่นี้ ไม่ได้มีเจตนาเข้าไปเพื่อทำลายสิ่งแวดล้อม หรือทำให้เกิดความเสียหายกับธรรมชาติ รวมทั้งยังมั่นใจว่าสามารถอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมและช่วยดูแลพื้นที่ป่าบริเวณใกล้เคียงได้

ฟังตามที่คุณสราวุฒิชี้แจงมา ผมเชื่อว่า “ไม่มีใคร” คิดจะโต้แย้ง หรือไม่เชื่อสิ่งที่ท่านพูดออกมา แม้แต่ในกลุ่มภาคประชาชนในเชียงใหม่ที่คัดค้านเรื่องนี้ ซึ่งปัจจุบันเขารวมตัวกันเป็น“ภาคีเครือข่ายขอคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพ” ผมก็เชื่อว่า ไม่มีใคร “ไม่เชื่อ” ตามที่ท่านพูด

เพราะปัญหาเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่ “กฎหมาย” หรือการตั้งแง่คิดเอาเองว่า ข้าราชการตุลาการทุกท่านที่ได้เข้าไปอาศัยในโครงการ จะมีจิตใจหรือมีเจตนาต้องการทำลายสิ่งแวดล้อมแต่อย่างใดไม่

สิ่งที่ถือว่าเป็นปัญหาของเรื่องนี้ คือ ปัญหาเรื่อง “ความเหมาะสม” ของสถานที่ก่อสร้างต่างหาก

จากข้อมูลของ “ภาคีเครือข่ายขอคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพ” เขาบอกว่า พื้นที่ตรงบริเวณนั้น นอกจากจะเป็นตั้งอยู่บริเวณแนวลาดชันของภูเขาแล้ว ยังเป็นพื้นที่มีป่าเต็งรังขึ้นอยู่ล้อมรอบ ซึ่งโดยธรรมชาติของป่าชนิดนี้ต้องอาศัย “ไฟป่า” ในการผลัดป่าเพื่อให้ตัวเองสามารถดำรงอยู่ได้ โดยไฟป่าจะทำหน้าที่เป็นตัวจัดการโครงสร้างป่าและคัดเลือกพันธุ์ไม้

ทีนี้ปัญหาจึงเกิดขึ้นว่า การที่แนวก่อสร้างโครงการบ้านพักได้ยื่นเข้าไปในป่าเต็งรัง และมีแนวเขตติดกับป่าชนิดที่ว่า “ประชิด” ติดกันแบบพอดิบพอดี แล้วทีนี้พอถึงฤดูไฟป่าจะทำอย่างไร ต้องมีการถางป่าเพิ่มออกไปเพื่อทำแนวกันไฟอีกหรือไม่

เพราะถ้าไม่ถางป่าสร้างแนวกันไฟออกไป โครงการทั้งโครงการก็ย่อมมีความ “เสี่ยง” จะถูกไฟป่าเข้ามาเล่นงานเอาได้ง่ายๆ

นั่นจึงเท่ากับว่าในอนาคต คนเชียงใหม่จะต้องสูญเสียพื้นที่ป่าโดยรอบไปอีกหรือไม่

ดังนั้นปมเงื่อนของปัญหานี้จึงไม่ใช่เรื่องกฎหมาย ไม่ใช่เรื่องความถูกผิด ไม่ใช่เรื่องรักหรือไม่รักธรรมชาติ และไม่ใช่เรื่องการ “ปลูกป่า” แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับการบริหารจัดการและความเหมาะสมของพื้นที่ล้วนๆ

และนี่ก็ยังไม่ได้พูดถึงประเด็นเรื่อง “ทัศนียภาพ” ซึ่งเป็นเรื่องของความรู้สึก และเรื่องของ “ใจ” ชาวบ้านในเชียงใหม่อีกนะครับ

แต่ครั้นจะมาบีบบังคับให้ศาลยกเลิกโครงการหรือรื้อบ้านทิ้งไปเลย โดยส่วนตัวของผมเองก็ยังคิดว่า ไม่น่าจะเป็นทางออกที่ดีสักเท่าไร เพราะไม่ได้หมายความว่าเป็นการละลายเงินพันกว่าล้านทิ้งไปเฉยๆ เท่านั้น แต่ยังหมายอาจหมายถึงการต้องหาเงินอีกพันกว่าล้านมาสร้างโครงการทดแทนอีก

น่าเห็นใจทั้ง 2 ฝ่ายครับ

และทางออกก็คงมีอยู่ทางเดียว คือ ทั้ง 2 ฝ่ายต้องหันหน้าเข้าหากัน เพื่อพูดคุยหา “จุดตรงกลาง” ในการจัดการปัญหาทั้งที่จะเกิดขึ้นตรงหน้าในปัจจุบัน และการป้องกันปัญหาที่จะตามมาในอนาคต เพื่อให้เกิดความสูญเสียและกระทบกระทั่งกันให้น้อยที่สุด

ขอเอาใจช่วยนะครับ

มะลิลา

แตกใบอ่อน : ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ เพื่อลดการ ‘ล่า’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/328183

807934531

แตกใบอ่อน : ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ เพื่อลดการ ‘ล่า’

วันพฤหัสบดี ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

เป็นข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์อย่างครึกโครม เมื่อระดับอภิมหาเศรษฐีและประธานบริหารบริษัทใหญ่ต้นๆแห่งวงการรับเหมาก่อสร้างไทยกลายเป็นผู้ต้องหา เพราะไปตั้งแคมป์แบบ “ตาดูดาว เท้าติดดิน” ออกล่าสัตว์ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก จนมีเจ้าหน้าที่ผู้กล้าเข้าไปแสดงตัวตรวจค้นจับกุม เพราะผิดสังเกตที่ออกนอกเส้นทาง และตรวจพบอาวุธที่ใช้ล่าสัตว์ รวมถึงพบซากสัตว์ป่าอีกเป็นจำนวนมาก โดยเหยื่อที่สังเวยคมกระสุนหนึ่งในนั้นก็คือ เสือดำ ซึ่งเป็นสัตว์หายากรวมอยู่ด้วย

ประเด็นใหญ่ที่เป็นกระแสร้อนแรงเนื่องจากเสือดำที่เป็นข่าวนี้ เป็นชนิดพันธุ์ย่อยของเสือดาว (Indochinese leopard) ซึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Panthera pardus delacouri ถูกบรรจุเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 โดยในปัจจุบันจากการนิยมล่าสัตว์ทั้งยังมีการบุกรุกป่าถูกขึ้นบัญชีแดงของ IUCN จัดให้เสือดาวอยู่ในสถานะสัตว์ป่าที่มีความเสี่ยงขั้น “อันตรายต่อการสูญพันธุ์” (Vulnerable) สำหรับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรฯ ได้รับการขึ้นทะเบียนร่วมกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง โดยองค์การยูเนสโกให้เป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติของประเทศไทย ภายใต้ชื่อ “เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง” เมื่อปี พ.ศ. 2534 ครอบคลุมพื้นที่ 6 อำเภอของ 3 จังหวัด คือ จังหวัดอุทัยธานี จังหวัดกาญจนบุรีและจังหวัดตาก มีเนื้อที่กว่า 4 ล้านไร่ ถือเป็นป่าอนุรักษ์ในกลุ่มป่าตะวันตกที่มีความอุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายทางชีวภาพสูงที่สุด

หลังจากได้ติดตามข่าวรู้สึกหดหู่ใจ เพราะคนระดับนี้มีอะไรมาดลใจถึงกับต้องลงมือลงแรงเข้าป่าล่าสัตว์หากินด้วยลำแข้งของตนเอง สำหรับผู้ที่ต้องการแค่กินลิ้มชิมรสชาติจากเนื้อสัตว์เท่านั้น อยากแนะนำให้หาสถานที่เพื่อเลี้ยงโดยไม่จำเป็นต้องเฉพาะเนื้อสัตว์ป่าอย่างเดียว เพื่อหยุดและลดการล่าสัตว์ป่า!! เพื่อให้ธรรมชาติทุกอย่างเป็นไปตามวิถี รวมถึงยังสามารถปลูกพืชผักปลอดสารพิษหรืออินทรีย์ออร์แกนิคไว้สำหรับทานเอง เพราะอาชีพเกษตรกรรมไม่ว่าจะเป็นการเพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่สามารถทำให้ผลผลิตออกมาใกล้เคียงกับที่ไปเก็บหรือไปล่ามาจากป่าไม่แพ้กัน และทำให้ใจเป็นสุขสงบอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้โดยไม่เบียดเบียนกัน เพราะสัตว์ป่าเป็นส่วนหนึ่งของระบบธรรมชาติ และเป็นส่วนสำคัญของป่าไม้ ทั้งสัตว์ป่าและป่าไม้ต่างก็มีการพึ่งพาเกื้อหนุนกันและกัน หาดขาดซึ่งผืนป่าสัตว์ป่าก็อยู่ไม่ได้ และหากขาดสัตว์ป่าผืนป่านั้นก็สิ้นซึ่งวิญญาณป่า

แตกใบอ่อน : เซตซีโร่ ‘หมาจรจัด’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/326748

807934531

แตกใบอ่อน : เซตซีโร่ ‘หมาจรจัด’

วันพฤหัสบดี ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

กลายเป็นประเด็นที่ทำให้คนไทยอกสั่นขวัญแขวนกันไปทั่วบ้านทั่วเมือง สำหรับการระบาดของ “โรคพิษสุนัขบ้า” ในช่วงที่ผ่านมา

แม้ล่าสุด เมื่อวันที่ 13 มีนาคมที่ผ่านมา “กรมปศุสัตว์” จะออกมายืนยันสถานการณ์ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด โดยปัจจุบันทั้งประเทศมี “พื้นที่สีแดง” หรือ เป็นจังหวัดที่พบโรคในคน และถูกประกาศเป็นเขตโรคระบาดพิษสุนัขบ้าอยู่เบ็ดเสร็จ 16 จังหวัด ประกอบด้วย สุรินทร์ ชลบุรี สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา บุรีรัมย์ อุบลราชธานี ร้อยเอ็ด สงขลา ระยอง ตาก ศรีสะเกษ ตรัง กรุงเทพมหานคร สระแก้ว นครราชสีมา

ส่วน “พื้นที่สีเหลือง” หรือจังหวัดที่พบโรคในสัตว์ 41 จังหวัด ประกาศเขตโรคระบาดพิษสุนัขบ้าชั่วคราว และพื้นที่ “สีเขียว” เป็นจังหวัดที่ไม่พบโรค 21 จังหวัด

ขณะที่ปลัดเกษตรฯ “เลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ” ก็ออกมานั่งยันนอนยันว่า สถานการณ์ปีนี้ยังรุนแรงน้อยกว่าปี 2559 ที่มีคนตาย 11 และปี 2560 ที่มีคนตายถึง 13 ราย โดยปีนี้เมืองไทยมีคนตายจากพิษสุนัขบ้าที่ 3 ราย

แต่ไม่ว่าจะยืนยันด้วยท่าไหน วันนี้กระแสความรู้สึกของคนไทยก็ทำท่าว่าจะเตลิดกันไปแล้วเรียบร้อยกับกรณีการระบาดของโรคพิษสุนัขบ้าที่เกิดขึ้น และแน่นอนว่าคนที่ถูกมองเป็นต้นตอการแพร่ระบาดก็คงหนีไม่พ้น “สุนัขจรจัด” ที่มีแทบทุกตรอกซอกซอยในบ้านเรา กระทั่งกลายเป็นที่มาของการรื้อฟื้นแนวคิด “เซตซีโร่” (Set Zero) สุนัขจรจัด ให้กลายเป็นกระแสขึ้นมาอีกครั้งในเวลานี้

ถามว่า “เซตซีโร่” สุนัขจรจัด คืออะไร?

ถ้าแปลตามตัวก็คือทำให้สุนัขจรจัด “เหลือศูนย์” หรือจะพูดให้ตรงมากขึ้นอีกนิด นั่นก็คือ การกวาดล้าง “กำจัด” สุนัขจรจัดให้หมดไป

แต่จะกำจัดยังไง? ใช่หมายถึงการ “ฆ่าทิ้ง” ทั้งหมดหรือเปล่า?

ถ้าพูดโดยหลักการ ก็ต้องตอบว่า ถูกแค่ครึ่งเดียว เพราะโดยข้อเท็จจริง การเซตซีโร่สุนัขจรจัดก็ไม่ต่างจากการ “จัดระเบียบ” ซึ่งต้องทำเป็นอย่างเป็นขั้นเป็นตอน มีการจับไปไว้ในสถานที่กักกัน มีการจับขึ้นทะเบียน มีการหาบ้านให้อยู่ หรือผลักดันให้มีผู้รับไปดูแล และมีกระบวนการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบระเบียบ ซึ่งต้องอาศัยกระบวนการวางแผน สร้างแนวความคิด นโยบาย และสร้างระบบขึ้นมาอย่างรัดกุม ซึ่งหลายประเทศก็ทำกันอยู่ เช่น อเมริกา ญี่ปุ่น และอีกหลายแห่งในยุโรป

การเซตซีโร่ที่ถูกต้อง จึงไม่ใช่เป็นการที่อยู่ๆ ก็ส่งเจ้าหน้าที่มาไล่ต้อนไล่จับเอาตัวหมาแล้วนำไปฆ่าทิ้งทันที แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าในบ้านเรายังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังเข้าใจกันผิด และมีการสื่อสารออกไปแบบผิดๆ

ที่สำคัญ ต้องไม่ลืมนะครับว่าโดยข้อเท็จจริงแล้ว “ตัวต้นเหตุ” และ “ตัวแพร่เชื้อ”พิษสุนัขบ้า ไม่ได้มีเพียงแค่สุนัขจรจัดเท่านั้น แต่สุนัขบ้านที่เจ้าของละเลยไม่ยอมเอาไปฉีดยานั่นก็ใช่ “ตัวการ” สำคัญอย่างหนึ่ง นี่ยังไม่รวมถึงแมว กระรอก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกตัว รวมถึง “คน” ก็มีโอกาสจะเป็นตัวแพร่เชื้อได้ทั้งนั้น ซึ่งถ้าจะอ้างการ “ฆ่า” เพื่อควบคุมพิษสุนัขบ้า เรามิจำเป็นต้องไล่ฆ่าให้หมดหรือ

ดังนั้น สิ่งสำคัญในเบื้องแรกนี้ พวกเราคนไทยทุกคนจำเป็นต้องทำความเข้าใจเรื่องการ “เซตซีโร่” กันให้ถ่องแท้เสียก่อน

หน่วยงานรัฐ เช่น กรมปศุสัตว์ หรือแม้แต่กลุ่มผู้รณรงค์สนับสนุนการใช้วิธีนี้ จะต้องทำงานให้หนักเพื่อให้ความรู้กับประชาชนทั้งที่มาที่ไปของปัญหา กระบวนการ ขั้นตอนการทำงานของการเซตซีโร่ และผลดีผลเสียที่จะตามมา เพราะที่เห็นทำๆ กันอยู่ทุกวันนี้ ก็มีแต่พยายามจะทำให้เกิดความรู้สึกว่า “เซตซีโร่” คือต้อง “ฆ่า” กันเท่านั้น

ต้องไม่ลืมว่าหัวใจของการ “เซตซีโร่” คือการ “การุณยฆาต” นะครับ ไม่ใช่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

มะลิลา

แตกใบอ่อน : ได้เวลาคิดบัญชี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/325208

807934531

แตกใบอ่อน : ได้เวลาคิดบัญชี

วันพฤหัสบดี ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

อาจต้องถือเป็นคำพิพากษา “ประวัติศาสตร์” อีกครั้งหนึ่งของประเทศไทย สำหรับคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ 6 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีคำสั่งให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการที่ให้ “กรมควบคุมมลพิษ” จ่ายชดเชยค่าเสียหาย หรือ “ค่าโง่” จากโครงการก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียคลองด่าน จ.สมุทรปราการ ให้แก่ “กลุ่มกิจการร่วมค้าเอ็นวีพีเอสเคจี” (NVPSKG) ซึ่งประกอบไปด้วย บริษัท นอร์ทเวสต์ วอเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด, บริษัท วิจิตรภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด, บริษัท ประยูรวิศว์การช่าง จำกัด (ชื่อขณะนั้น), บริษัท สี่แสงการโยธา (1979) จำกัด, บริษัท กรุงธน เอนจิเนียร์ จำกัด และ บริษัท เกตเวย์ ดิเวลลอปเมนต์ จำกัด คิดเป็นมูลค่ารวมดอกเบี้ยถึงกว่า 9.6 พันล้านบาท

จะว่าไปกรณี “ค่าโง่” คลองด่าน ก็เปรียบเสมือนกับ “หนามยอกอก” คนไทยทั้งประเทศมาโดยตลอด เพราะโดยข้อเท็จจริงแล้วเราไม่ได้ต้องสูญเพียงเฉพาะเสียแค่ค่าโง่เกือบ 1 หมื่นล้านบาท ให้กับ “กิจการร่วมค้า NVPSKG” เท่านั้น แต่ก่อนหน้านั้นยังสูญเสียเม็ดเงินไปถึงกว่า 2 หมื่นล้านบาท สำหรับการดำเนินการก่อสร้างโครงการ ที่สุดท้ายกลับเป็นเพียงโครงการบำบัดน้ำเสียที่พิกลพิการไม่สามารถใช้งานได้จริง และต้องทิ้งให้กลายเป็นพื้นที่รกร้างว่างเปล่ามาจนถึงทุกวันนี้

หรือง่ายๆ นี่คือการละเลงเงินทิ้งไปเปล่าๆ ปลี้ๆ ถึงกว่า 3 หมื่นล้านบาท โดยที่คนไทยไม่ได้อะไรกลับมาแม้แต่นิดเดียว

มิหนำซ้ำ โครงการนี้ยังเต็มไปด้วยความอื้อฉาวเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่น โยงใยกับนักการเมือง กลุ่มการเมือง รวมถึงข้าราชการน้อยใหญ่ และภาคเอกชนอีกหลายคน หลายสำนัก

เงินแต่ละบาทที่ถูกควักจ่ายออกไป จึงเป็นยิ่งกว่า “ค่าโง่” ที่คอยเสียดแทงใจของคนไทย เพราะทุกคนต่างรู้ทั้งรู้ว่ามีการทุจริตฉ้อโกง แต่กลับทำอะไรไม่ได้ นอกจากยอมจำใจควักเงินให้กับเขาไป

คำสั่งของศาลปกครองกลางจึงเปรียบเสมือนดั่งแสงสว่างวาบใหญ่ หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีคำพิพากษาจากศาลอาญา และศาลแขวงดุสิต ช่วยยืนยันมาแล้วถึงความมีอยู่จริงของขบวนการทุจริต “คลองด่าน” ที่มีการฮั้วกันทั้งหมดของฝ่ายผู้ว่าจ้างและผู้รับจ้าง จนกระทั่งนำไปสู่การทำสัญญาที่มิชอบ

ดังนั้นไม่ว่าเวลานี้ที่เหลือจากนี้ บริษัทวิจิตรภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด รวมทั้งบริษัทอื่นๆ ในกลุ่มกิจการร่วมค้าNVPSKG ที่การฟ้องร้องบังคับ “กรมควบคุมมลพิษ” ให้จ่ายเงินที่เหลือตามคำสั่งอนุญาโตตุลาการ จะมีการอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองกลางครั้งนี้หรือไม่

สิ่งที่รัฐโดยเฉพาะ “กรมควบคุมมลพิษ” ในฐานะผู้เสียหายและเจ้าทุกข์จะต้องมีความชัดเจนหลังจากนี้ คือ การจัดการทวงคืนความเสียหายทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับโครงการนี้ จะดำเนินการได้ด้วยวิธีไหน อย่างไร

ส่วนไหนดำเนินการเล่นงานเอาผิดได้ก็ต้องดำเนินการ ส่วนไหนดำเนินการเพื่อเรียกร้องความเสียหายคืนได้ก็ต้องดำเนินการ หัวเด็ดตีนขาดยังไง ประเด็นเหล่านี้ต้องมีความชัดเจนออกมาให้ได้

เพราะนี่คือเงินของประชาชนนะครับ ไม่ใช่เงินรัฐบาล

มะลิลา

แตกใบอ่อน : คดี‘เสือดำ’แค่จับตาคงไม่พอ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/323774

807934531

แตกใบอ่อน : คดี‘เสือดำ’แค่จับตาคงไม่พอ

วันพฤหัสบดี ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

“มวยล้มต้มคนดู”

ผมค่อนข้างเชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่คงคิดเหมือนกันกับผม คือ ไม่รู้สึกแปลกใจอะไรเลยกับผลสำรวจความคิดเห็น “กรุงเทพโพลล์” มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เรื่อง “ความเห็นของประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรมในการเอาผิดผู้กระทำความผิด” ที่เผยแพร่เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งระบุว่า ประชาชนส่วนใหญ่ถึง 64.2% เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมจะไม่สามารถเอาผิดผู้กระทำผิดในคดี“ล่าสัตว์ป่า” ของ นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารบริษัท อิตาเลียนไทยดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) กับพวก มาลงโทษได้

โดยกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เชื่อว่า กระบวนการยุติธรรมของเรายังมีช่องโหว่และมีถึง 71.7% ที่แทบไม่มีความเชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรมว่าจะสามารถเอาคนผิดมาดำเนินคดีได้ หรือพูดง่ายๆ ก็ต้องบอกว่าในสายตาของคนจำนวนไม่น้อย กำลังมองว่ากระบวนการยุติธรรมของเราแทบจะเป็นกระบวนการที่ “ไร้น้ำยา” ในการลากคอผู้กระทำความผิดมาลงโทษ

ยิ่งผู้ต้องหาเป็นเศรษฐี คนมีสตางค์ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

เพราะคนไทยมักจะต้องเจอกับบทเรียนซ้ำซากในเรื่องนี้ ซึ่งไม่ต้องไปดูไหนไกล แค่กรณีทักษิณ ยิ่งลักษณ์ และ บอส-อยู่วิทยา คนไทยก็เต็มกลืนเข้าไปแล้ว

ขณะที่คดีของ “เจ้าสัวเปรมชัย”ตั้งแต่ถูกจับกุมตัวตั้งแต่ช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา จนป่านนี้ทะลุเข้าเดือนมีนาคมแล้ว ยังแทบไม่มีอะไรคืบหน้า ทั้งที่เจอหลักฐานทั้งซากสัตว์ป่า เสือดำ ไก่ฟ้าหลังเทา เก้ง อาวุธปืน และเครื่องกระสุนอีกเป็นจำนวนมาก

นอกจากนี้พอตามไปค้นที่บ้านยังเจอปืนยาว-ปืนไรเฟิลอีกกว่า 40 กระบอก กระสุนอีกนับพันนัด ยังไม่นับรวมกับงาช้าง 2 คู่ ที่จนป่านนี้ยังไม่รู้ว่าเป็นงาช้างไทยหรือต่างชาติ

1 เดือนผ่านไปแทบไม่มีอะไรในกอไผ่สำหรับการทำงานของตำรวจ

ร้ายไปกว่านั้นกลุ่มผู้ถูกกล่าวหายังทำท่าจะหลุดไปทีละคดี ตั้งแต่คดีทารุณกรรมสัตว์ ไปจนถึงคดีติดสินบนเจ้าหน้าที่

และที่แสบยิ่งกว่า ยังมีการสั่งการให้พนักงานสอบสวนไปพิจารณาว่า เจ้าหน้าที่ที่ร้องทุกข์กล่าวโทษนายเปรมชัย เข้าข่ายมีเจตนากลั่นแกล้ง หรือแจ้งความเท็จหรือไม่

สบายล่ะประเทศไทย!

นี่เรายังไม่ได้พูดถึงพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีการเรียกเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า มาสอบปากคำซ้ำแล้วซ้ำเล่าประดุจเป็นผู้ต้องหาเสียเอง ขณะที่กลุ่มผู้ต้องหากลับโดนสอบกันแค่รอบเดียวเท่านั้น คือ หลังถูกจับกุม ซึ่งป่านนี้ก็ไม่รู้ไปนั่งสบายใจเฉิบอยู่ที่ไหนกันหมดแล้ว

ท้ายนี้ขออนุญาตนำข้อเขียนของ“อ.หม่อง” นพ.รังสฤษฎ์ กาญจนะวณิชย์อาจารย์แพทย์โรคหัวใจ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และเป็นนักอนุรักษ์ที่ได้รับการยอมรับนับถือจากหลายภาคส่วน ซึ่งอาจารย์ได้เขียนถึงคดี “เสือดำ” เอาไว้ว่า “หากสังคมเราปล่อยให้ผู้ต้องหาคดีนี้ลอยนวลได้จะส่งผลกระทบ ฉุดยั้งให้สังคมไทยเราถดถอย ไม่มีโอกาสเป็นอารยประเทศกับชาวโลกได้เลยจะสร้างจิตวิทยา สิ้นหวัง ให้คนในชาติ ที่เคยอยากเห็นสิ่งดีๆ เกิดขึ้นบนแผ่นดินนี้ ล้มเลิกความพยายาม และหันมาเอาตัวรอดไปวันๆ ตอกย้ำให้เด็กรุ่นใหม่เชื่อว่า ความดี ความถูกต้อง การเคารพกฎกติการ่วมกัน ไม่มีความหมาย ไม่มีคุณค่าใดๆ เพื่อความอยู่รอดในสังคมไทย เราทุกคนต้องแสวงหาความร่ำรวย และ connection เท่านั้น”

และนี่จึงเป็นเหตุผลว่า ถ้าไม่อยากให้เรื่องนี้กลายเป็นแค่ “มวยล้มต้มคนดู” ก็จำเป็นแล้วล่ะครับที่เราทุกคนสมควรต้องทำอะไรที่มากกว่าการ “จับตา”

มะลิลา

แตกใบอ่อน : แบน‘พาราควอต’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.naewna.com/local/322307

807934531

แตกใบอ่อน : แบน‘พาราควอต’

วันพฤหัสบดี ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561, 06.00 น.

ที่สุดก็มีความชัดเจนเสียทีสำหรับอนาคต “พาราควอต” ในประเทศไทย ภายหลังจากยื้อยุดกันมานานข้ามปี นับตั้งแต่คณะกรรมการขับเคลื่อนปัญหาการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูง ที่มี นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รมว.สาธารณสุข เป็นประธาน มีมติตั้งแต่เดือนเมษายนปีที่แล้ว ขอให้ กรมวิชาการเกษตร ไปพิจารณาออกประกาศยกเลิกการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช 2 ชนิด ได้แก่ พาราควอต และ คลอร์ไพริฟอส ภายในวันที่ 1 ธันวาคม 2562 และภายในวันที่ 1 ธันวาคม 2560 ต้องยุติการนำเข้าสารเคมีทั้ง 2 ตัว

นอกจากนี้ยังมีความเห็นให้กำหนดโซนการใช้ “ไกลโฟเซต” ซึ่งเป็นยาฆ่าหญ้าอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะบริเวณใกล้เคียงกับโรงพยาบาล โรงเรียน ศูนย์เด็กเล็ก พื้นที่ต้นน้ำ แม่น้ำ และลำคลอง เพราะถูก “องค์การอนามัยโลก” กำหนดให้เป็นสารที่อาจก่อมะเร็ง และมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคหลายโรค เช่น โรคไต โรคเกี่ยวกับต่อมไร้ท่อ เป็นต้น

ที่กลายเป็นประเด็นขึ้นมา และเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันหนัก ก็คือ ประเด็นของ “พาราควอต”บอร์ดของ รมว.สาธารณสุข และหลายฝ่ายมองว่า เป็นสารเคมีกำจัดวัชพืชที่มีความเป็นพิษสูง และไม่ได้มีผลร้ายต่อการปนเปื้อนในดิน น้ำ และสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์อย่างรุนแรงอีกด้วย โดยปัจจุบันมีถึงกว่า 50 ประเทศทั่วโลกที่สั่ง “แบน” เจ้าสารเคมีตัวนี้ไปเรียบร้อยแล้ว

แต่ขณะเดียวกัน กลุ่มบริษัทสารเคมีและฝ่ายคัดค้าน ก็ไปขุดข้อมูลวิจัยโทษคนใช้ไม่ทำตามคำแนะนำจึงทำให้เกิดผลกระทบเอง พ่วงด้วยกล่าวหากลุ่มสนับสนุนว่ามั่วผลการวิจัยเรื่องผลกระทบต่างๆ จนกลายเป็นสงครามข่าวสารบนหน้าสื่อ

ยื้อกันไปยื้อกันมา จนกระทั่งสุดท้าย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องออกมาสั่งให้ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยตัวแทนภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกลับไปคุยกันเพื่อหาข้อสรุปให้ชัดเจน ซึ่งผลก็อย่างที่ทราบ คือ ที่ประชุมมีมติยืนยันตามมติเดิมของ “คณะกรรมการขับเคลื่อนปัญหาการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูง” ให้แบนสาร “พาราควอต” ภายใน 2 ปี พร้อมทั้งให้มีการหาสารทดแทน

“ส่วนกรณีที่ฝ่ายคัดค้านอ้างตามงานวิจัยว่าการใช้พาราควอตตามข้อกำหนด จะไม่ทำให้เกิดผลกระทบนั้น เป็นงานวิจัยตั้งแต่ปี พ.ศ.2540 หรือ 20 ปีที่แล้ว แต่งานวิจัยของปัจจุบันระบุว่า ถึงใช้ตามนั้นก็กระทบต่อสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเมื่อมีมติระงับก็ต้องดำเนินการตามนั้น และหากจะมาบอกว่า การใช้สารทดแทนแพงกว่า ก็ต้องเลือกเอาว่าราคาที่แพงกว่าเดิม กับสุขภาพประชาชน จะเลือกแบบใด”

นี่คือเหตุผลและคำยืนยันโดยสรุปจาก นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รมว.สาธารณสุข ที่ออกมาจากการประชุมเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งอ่านดูแล้วก็เปรียบเสมือนเป็นการชี้ถูกชี้ผิดได้ค่อนข้างชัดเจนว่า ข้อมูลที่ปล่อยออกมาจากฝ่ายไหนที่ “มั่ว” กันแน่

อย่างไรก็ดี ต้องบอกว่า นี่เป็นแค่ “ช่วงต้น” ของยกสุดท้ายเรื่อง “พาราควอต” เท่านั้น เพราะหลังจากนี้ ยังต้องรอดูต่อไปว่า “คณะกรรมการวัตถุอันตราย” ของกระทรวงอุตสาหกรรม จะมีมาตรการอย่างไรออกมาในการควบคุมสารเคมีอันตรายดังกล่าว

ที่สำคัญ กะพริบตาไม่ได้อย่างเด็ดขาดนั่นคือ “กรมวิชาการเกษตร” จะจัดการอย่างไรกับ “ผลงาน” ของตัวเองที่ทยอยต่ออายุทะเบียนนำเข้าและจำหน่าย “พาราควอต” ให้กับบริษัทเอกชนไปตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา ก่อนที่ทะเบียนของเอกชนซึ่งมีทั้งหมด 3 รายจะหมดอายุ โดยไม่ยอมรีรอผลสรุปในเรื่องดังกล่าว พร้อมกับข้ออ้างง่ายๆ เหมือนลอกคำพูดมาจากกลุ่มบริษัทผู้นำเข้าว่า ไม่มีข้อมูลทางสุขภาพที่ชัดเจนยืนยันเรื่องนี้ ดังนั้นหากไม่ต่อตามกำหนด ก็กลัวว่า บริษัทเอกชนจะได้รับผลกระทบ ธุรกิจได้รับความเสียหาย

ดังนั้นจึงต้องรอดูต่อไปกันให้ดีกับ “ลีลา” ในเรื่องนี้ของกรมวิชาการเกษตร

มะลิลา

แตกใบอ่อน : ภัยจากสารพิษ…กับชีวิตที่เลือกไม่ได้!!!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/320796

807934531

แตกใบอ่อน : ภัยจากสารพิษ…กับชีวิตที่เลือกไม่ได้!!!

วันพฤหัสบดี ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561, 06.00 น.

ข้อมูลเมื่อปี 2557 ที่ผ่านมา มีการสรุปสถานการณ์โรคมะเร็งของประเทศไทย พบว่า โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการตายสูงมากเป็นอันดับ 1 ของคนไทย และต่อเนื่องยาวนานมากว่า 13 ปี นับตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขพบอีกว่า คนไทยเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งกว่า 60,000 คนต่อปี ขณะที่มีรายงานการเสียชีวิตปีละเฉียด 8 ล้านคนทั่วโลก แถมล่าสุดองค์การอนามัยโลกยังคาดว่าอีก 21 ปีข้างหน้า จะมีผู้ป่วยมะเร็งเพิ่มขึ้นปีละ 24 ล้านคน!!!

สาเหตุของการเกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ รวมถึงโรคมะเร็งนั้นส่วนใหญ่จะทราบกันดีว่ามาจากอาหารการกิน “กินอย่างไร… ก็จะได้สุขภาพอย่างนั้น” แต่การสวนกระแสของรัฐบาล คสช. ที่อนุญาตให้หน่วยงานที่รับผิดชอบต่ออายุนำเข้ายาฆ่าหญ้า (พาราควอท, ไกลโฟเซต) เข้ามาในประเทศไทย ซึ่งสารสองตัวนี้มีอันตรายร้ายแรง ตกค้างยาวนาน ไม่ระเหยไปกับอากาศ สะสมอยู่ในน้ำและดิน ในปัจจุบันมีกว่า 40 ประเทศ ประกาศเลิกใช้และห้ามนำเข้า เพราะประเทศเหล่านั้นตระหนักดีว่าสารพิษจากยาฆ่าหญ้าทำร้ายประชาชนคนในประเทศของเขา

การใช้สาร พาราควอตและไกลโฟเสตในประเทศไทยค่อนข้างแพร่หลาย และส่งผลกระทบต่อแหล่งเพาะปลูกรวมถึงผลิตผลภาคการเกษตร ที่ส่งต่อเป็นอาหารเลี้ยงคนในประเทศ โดยจะมีสารพิษของยาฆ่าหญ้าเหล่านี้ตกค้างปนเปื้อน ไปยังโต๊ะอาหารด้วย ทำให้สารพิษเหล่านี้ไปสู่ลูกหลานของเราโดยไม่ตั้งใจ ถ้าได้ติดตามข่าวสารจะทราบว่าเคยมีข่าวครึกโครมทั้งทีวีและหนังสือพิมพ์ เกี่ยวกับการตรวจพบผลิตภัณฑ์น้ำดื่มที่มีสารเคมีจากยาฆ่าหญ้าตกค้างปนเปื้อนอยู่ที่จังหวัดลำปาง เพราะแหล่งน้ำดิบที่นำมาใช้ปนเปื้อนไปด้วยสารพิษจากยาฆ่าหญ้า การที่ได้รับสารพิษเหล่านี้ติดต่อกันไปนานๆ จะก่อให้เกิดโรคพิการทางสมองหรือปัญญาอ่อน เด็กๆ มีพัฒนาการช้าลง ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง สะเก็ดเงิน สะเก็ดทอง อัมพฤต อัมพาต โรคไตเรื้อรัง ฯลฯ

การที่รัฐบาลอนุญาตให้มีการนำเข้าสารเคมียาฆ่าหญ้าสองชนิดนี้ นอกจากทำให้ประเทศไทยเสียเงินตราออกนอกประเทศเป็นมูลค่าหลายหมื่นล้านบาทแล้ว ประชาชนคนไทยยังได้รับความเสี่ยงต่อการเกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆได้อีก จากการรับประทานผักผลไม้ที่มีการปนเปื้อนของสารพิษจากยาฆ่าหญ้า สะสมอยู่ตามดิน เทือกเขา แหล่งน้ำ ลำธารต่างๆ ที่เป็นแหล่งเพาะปลูกพืชผักผลไม้ เนื่องเกษตรกรส่วนใหญ่นำไปใช้ยังป่าต้นน้ำ เช่น ตาก (อ.แม่สอด, อ.พบพระ) เชียงใหม่ เชียงราย แพร่ น่าน เพชรบูรณ์ (อ.หล่มสัก, อ.หล่มเก่า)

พิษจากยาฆ่าหญ้าของพาราควอตและไกลโฟเสต นั้นเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว… ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ จะไม่สามารถล้างท้องได้ จะทำลายอวัยวะภายในตับไตไส้พุงแบบกู่ไม่กลับ ไม่มีทางรักษาและปฐมพยาบาลได้ เมื่อตกสู่ผืนดินก็ทำให้ดินเสื่อมทราม ตกสู่แผ่นน้ำก็เสื่อมโทรมทำให้ กุ้ง หอย ปู ปลา สัตว์น้ำต่างๆ กลายพันธุ์ สูญพันธุ์ ส่งผลต่อสภาพแวดล้อมให้เสียหาย จุลินทรีย์และสิ่งมีชีวิตต่างๆในธรรมชาติล้มตาย….

แต่ก็ไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลกลใด อะไรดลจิตดลใจให้รัฐบาลของท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาจึงตัดสินใจให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปล่อยให้มีการต่ออายุและอนุญาตนำเข้าสารเคมีชนิดนี้กลับมาอีกได้ ทั้งๆ ที่ภาระงบประมาณการดูแลรักษาผู้ป่วยประชาชนคนไทยก็ไม่เพียงพอ แต่ละโรงพยาบาลต่างก็แบกรับต่อค่าใช้จ่ายกันอย่างหมิ่นเหม่ ชักหน้าไม่ถึงหลัง ต้องลำบากพี่ตูน บอดี้สแลม ออกมาวิ่งหาเงินบริจาคช่วยเหลือซื้อเครื่องมือแพทย์แจกไปแต่ละโรงพยาบาล การเรียกร้องจากกลุ่มผู้คุ้มครองผู้บริโภค กลุ่ม THAI-PAN มูลนิธิชีววิถี ฯลฯ มีทั้งข้อมูลและงานวิจัยมารองรับเพื่อสื่อให้เห็นถึงโทษภัยและอันตราย แต่รัฐบาลเราก็ยังปล่อยให้สารพิษเหล่านี้กลับเข้ามาในบ้านเรา ส่งผลเสียกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและลูกหลานเราได้อีก

จะว่าไป…ใช่ว่าจะไม่มีทางเลือก….กลับกัน!!!…เรามีก็ทางเลือกเยอะแยะมากมาย ที่สามารถจะเลือกพบกับสิ่งที่ดีๆ ไม่ใช้สารพิษ ไม่ใช้สิ่งที่เป็นอันตราย….แต่รัฐบาลกลับบังคับให้เราต้องเลือกเผชิญกับความเสี่ยงจากสารพิษของ “ไกลโฟเซท” และ “พาราควอท” ที่หลายประเทศไม่ต้องการ ฤานี่!!! คือชะตากรรมที่คนไทยต้องเจอ “ไม่มีสิทธิ์เลือก” แม้แต่การทำให้ลูกหลานและตนเองปลอดภัย

มนตรี บุญจรัส

ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ