แตกใบอ่อน : อย่าขวัญอ่อน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/319283

807934531

แตกใบอ่อน : อย่าขวัญอ่อน

วันพฤหัสบดี ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561, 06.00 น.

2-3 วันที่ผ่านมา ในขณะที่สังคมส่วนใหญ่กำลังพากันให้ความสนใจข่าวของ “พรานไฮโซ”กลุ่มนี้อยู่ ปรากฏว่าในกรอบข่าวการเมืองในต่างจังหวัด มีข่าวเล็กๆ ของเกษตรกรบ้านดอยเทวดา ต.สบบง อ.ภูซาง จ.พะเยา ถูกเจ้าหน้าที่ทหารกองกำลังรักษาความสงบ จ.พะเยา เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ภูซาง ให้ดำเนินคดีชาวบ้านจำนวน 14 คน ในข้อหา “มั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมืองที่มีจำนวนเกินกว่า 5 คน โดยขัดคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558 หรือโดยไม่ได้รับอนุญาต”

โดยหนึ่งในผู้ถูกแจ้งข้อหาเป็นเยาวชนอายุแค่ 16 ปี และที่สำคัญยังเป็นผู้พิการทางสมองอีกด้วย

ส่วนสาเหตุที่คนกลุ่มนี้โดนจับกุมเพราะเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทั้งหมดได้ร่วมกันทำกิจกรรม “เดิน” จากท้ายหมู่บ้านมากลางหมู่บ้าน เป็นระยะทาง 500 เมตร เพื่อรณรงค์เกี่ยวกับปัญหาที่ดินในชุมชนของตัวเอง โดยสนับสนุนให้รัฐพิจารณาออกกฎหมายเกี่ยวกับคนจน เช่น ธนาคารที่ดิน ภาษีอัตราก้าวหน้า และสิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากร พร้อมทั้งส่งกำลังใจไปให้กับกลุ่มประชาชน “People Go Network” ที่กำลังทำกิจกรรม “We Walk เดินมิตรภาพ” จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ไป จ.ขอนแก่น เพื่อสื่อสารกับประชาชนเกี่ยวกับประเด็นปัญหาในสังคมต่างๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นมีเรื่องสิทธิทำกินของชาวบ้านรวมอยู่ด้วย

ผมพยายามที่จะย้อนกลับไปไล่ดูนะครับว่า พฤติกรรมของชาวบ้านเข้าข่ายการชุมนุมทางการเมืองหรือเปล่า ซึ่งก็ไปเจอคลิปบรรยากาศขณะทำกิจกรรมในเฟซบุ๊คเพจของ “สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ” ซึ่งเท่าที่ดูก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นการชุมนุมทางการเมืองตรงไหน เพราะสิ่งที่มันก็เป็นปัญหาเรื่องที่ดินที่ชาวบ้านในพื้นที่แห่งนี้ต้องประสบพบเจอ และมีคดีพิพาทกับกลุ่มทุนในพื้นที่อยู่แล้ว

ยิ่งฟัง ก็ยิ่งไม่รู้สึกว่า มันจะไปบั่นทอนความมั่นคงตรงไหน ทำให้ผมอยากลุกขึ้นมาไล่รัฐบาล หรือไล่คสช.ตรงไหน

บอกตรงๆ นะครับ ตอนผมนั่งกินข้าวกับเพื่อน แล้วนั่งพูด นั่งคุย นั่งวิจารณ์การเมืองกัน ยังถือว่าประเด็น “เข้าเค้า” เสียยิ่งกว่าที่ชาวบ้านกลุ่มนี้เขาทำ

ยิ่งมาเปิดดูตามบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหา ซึ่งทหารที่ไปแจ้งความเขาบอกว่า ชาวบ้านมีการเขียนป้ายเรียกร้องสิทธิด้านต่างๆ โดยเมื่อไล่ไปดูตามคลิปก็เห็นว่าชาวบ้านถือป้ายจริง เป็นป้ายกระดาษ3 แผ่น และเป็นรูปสามเหลี่ยมลักษณะคล้ายธงอีก 1 แผ่น โดยที่ธงเขียนข้อความว่า “ธนาคารที่ดิน, ภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้า, สิทธิชุมชนในการจัดการที่ดิน&ทรัพยากร” ส่วนป้ายข้อความอีก 3 แผ่นเขียนว่า ร่วมผลักดันกฎหมาย 4 ฉบับเพื่อคนจน, ขอสนับสนุน wewalk เดินมิตรภาพ, เดินบนถนนลูกรังในหมู่บ้าน

เห็นแล้วอยากหงายท้องครับ…. ป้ายพวกนี้นี่มันมีพิษภัยทางการเมืองขนาดนั้นเลยหรือ?

ผมอ่านเป็นสิบรอบ ผมยังไม่เกิดความฮึกเหิมที่จะไปล้มรัฐบาล ไล่ คสช.หรืออยากสร้างความวุ่นวายปั่นป่วนให้กับบ้านให้กับเมืองแม้แต่น้อย

ตรงกันข้ามครับ สิ่งที่จะทำให้เกิดความวุ่นวายหรือความขัดแย้งตามมาก็คือการกระทำของเหล่าทหารหาญที่ไปแจ้งความจับชาวบ้านนั่นแหละ มันก็เหมือนอย่างที่ผมเขียนมาแล้วติดๆ กัน 2 สัปดาห์ นี่แหละว่า ยิ่งทหารทำแบบนี้ก็ยิ่งไม่เป็นผลดีกับรัฐบาลและคสช. เพราะปัญหาที่คนพวกนี้พูด ไม่ได้เพิ่งมาพูดกันตอนนี้ แต่เป็นเรื่องที่พูดกันมานานแล้วหลายยุค หลายสมัย หลายรัฐบาล

ไม่ใช่เพิ่งมาพูด มาก่อหวอดกันตอนนี้ ในสมัยรัฐบาล คสช.

บรรทัดนี้จึงอยากขอเตือนด้วยความหวังดีอีกครั้งว่า ถ้าหาก คสช. และทหารยังเอาแต่ “ขวัญอ่อน” คอยระแวงชาวบ้าน มองเห็นชาวบ้านเหมือนเป็นศัตรูอยู่อย่างนี้

สุดท้ายต้องระวังว่าถ้าชาวบ้านเห็น คสช. เป็นศัตรูเมื่อไร เมื่อนั้นก็ต้องบอกว่า ตัวใครตัวมันล่ะครับ

มะลิลา

แตกใบอ่อน : ปัญหาอยู่ที่ความไว้ใจ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/317784

807934531

แตกใบอ่อน : ปัญหาอยู่ที่ความไว้ใจ

วันพฤหัสบดี ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561, 06.00 น.

ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วเรื่องจะจบลงอย่างไรสำหรับกรณีโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา ที่วันนี้กลุ่มชาวบ้าน “เครือข่ายคนสงขลา-ปัตตานี ไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา” พากันเดินทางมาปักหลักประท้วงคัดค้านโครงการอยู่ที่ริมรั้วทำเนียบรัฐบาล

แม้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะออกมาป่าวประกาศหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 30 มกราคม ว่า ได้สั่งการให้ นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รมว.พลังงาน เข้าไปแก้ปัญหาให้ชาวบ้าน โดยเบื้องต้นได้มีการชะลอโครงการออกไปก่อนแล้ว

แต่ท้ายสุด ก็ดูเหมือนว่า “คำพูด” ของนายกฯ ในรอบนี้จะแทบไม่เหลือความศักดิ์สิทธิ์ เพราะเครือข่ายคนสงขลา-ปัตตานีฯ ต่างยังยืนยันเสียงแข็งจะปักหลักอยู่ชุมนุมต่อไป โดยมีเงื่อนไขเดียว คือ ต้องประกาศเลิกโครงการเท่านั้น

การตัดสินใจของชาวบ้านครั้งนี้ มองเผินๆ อาจทำให้ “แฟนคลับ” ของนายกฯไม่พอใจ เพราะจากที่ไปไล่ๆอ่าน ความคิดเห็นดูตามเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ หรือเว็บข่าวต่างๆ ก็เห็นหลายคนออกมาก่นกล่าวหาชาวบ้านว่าตีรวนบ้างล่ะ รับเงินต่างชาติบ้างล่ะ ไล่กลับบ้านไปสู้คดีบ้างล่ะ และอื่นๆ อีกสารพัด

ทั้งที่ความเป็นจริงซึ่งเป็นเนื้อแท้ของปัญหา และเป็นสาเหตุที่ทำให้ชาวบ้านเขาตัดสินใจปักหลักสู้ต่อ ก็มาจากเหตุผลเรื่องเดียว นั่นคือ “ความไว้ใจ”

โดยเฉพาะความไว้ใจที่มีต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่นแหละ

ต้องไม่ลืมว่า คำพูดลักษณะนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้เคยใช้ครั้งแรก แต่ท่านเคยใช้มาแล้วตั้งแต่การชุมนุมคัดค้านโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ ที่สุดท้ายปัญหาก็ยังคาราคาซังมาจนถึงวันนี้ แถมไม่พอก็ยังมีความพยายาม “ดิ้น” ที่จะปลุกผีโครงการนี้ขึ้นมาอยู่รอบแล้วรอบเล่า

ตัวอย่างมีให้เห็นทนโท่ขนาดนี้ มีหรือที่คน “เทพา-ปัตตานี” จะยอมเชื่อง่ายๆ

นอกจากนี้ ต้องไม่ลืมเช่นกันว่า ก่อนหน้านี้เมื่อคราวประชุม ครม.สัญจร ที่ จ.สงขลา 27-28 พ.ย. ปีที่แล้ว ซึ่งชาวบ้านได้จัดกิจกรรมเดินไปหานายกฯ เพื่อยื่นหนังสือชี้แจงเหตุผลว่าทำไมถึง “ไม่เอา” โรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา แต่สุดท้ายกลับมีชาวบ้านถูกเจ้าหน้าที่บุกเข้าขัดขวางจับกุมดำเนินคดีฐานทำผิด พ.ร.บ.ชุมนุม รวดเดียวถึง 17 คน ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้ชาวบ้านคิดว่า รัฐบาลกำลัง “ฉีก” จดหมายของชาวบ้านทิ้งไปเท่านั้น แต่มิหนำซ้ำยังช่วยกันเอากฎหมายมา “ปิดปาก” ชาวบ้านไม่ให้พูด ไม่ให้เรียกร้องใดๆ อีก

แล้วแบบนี้ใครล่ะจะยอมไว้ใจ

ที่สำคัญกรณีของ “เทพา” ไม่ได้เป็นกรณีเดียวที่สะท้อนให้เห็นถึงการผลักชาวบ้านให้กลายเป็นศัตรู เพราะปัจจุบันยังมีอีกหลายกลุ่มหลายก้อนที่ออกมาเคลื่อนไหวทางสังคม ซึ่งโดยเนื้อแท้ปัญหาที่ถูกหยิบจับขึ้นมาพูดถึงก็เป็นปัญหาความเท่าเทียมกันในสังคมทั่วไป แต่ก็ถูก คสช.และกองเชียร์ เหมารวม “ยัดข้อหา” ให้กลายเป็นกลุ่มการเมืองที่คอยจ้องล้มรัฐบาล จ้องล้มคสช. อยู่ร่ำไป

นี่ไงครับถึงทำให้ “กองหนุน” พากันเดินหนีห่างจาก คสช. มากขึ้นทุกวัน

มะลิลา

แตกใบอ่อน : เหตุแห่งความเสื่อม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/316324

807934531

แตกใบอ่อน : เหตุแห่งความเสื่อม

วันพฤหัสบดี ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

น่าตกใจไม่น้อยกับผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนของ “กรุงเทพโพลล์” ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งได้ผลออกมาค่อนข้าง “เสียดแทง” หัวใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และค่อนข้างสะท้อนถึงการต้องก้าวเข้าสู่ภาวะ “ความเสื่อม” อย่างหนัก

โดยเฉพาะจากคำถามยที่ระบุว่า “วันนี้ยังจะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่” ซึ่งแม้ส่วนใหญ่ร้อยละ 36.8 จะตอบว่า “สนับสนุน” แต่หากเทียบกับการสำรวจเมื่อเดือนพฤษภาคม 2560 ซึ่งมีคนสนับสนุนถึงร้อยละ 52.8 จึงเท่ากับว่า คนรักบิ๊กตู่หายไปถึงร้อยละ 16 ทีเดียว ขณะที่คนโหวตว่า “ไม่สนับสนุน” ก็เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 34.8 จากเดิมที่มีเพียงร้อยละ 25.6 ซึ่งถือว่าน่าตกใจมาก สำหรับระยะเวลาเพียงแค่ 6 เดือนที่ทำให้หลายคนเปลี่ยนใจ “ไม่เอา” บิ๊กตู่ได้ถึงขนาดนี้

อย่างไรก็ตาม แม้จะดูน่าตกใจ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจอะไร เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าช่วงเวลาที่ผ่านมา ทั้งจากการกระทำของ พล.อ.ประยุทธ์ รวมถึงพฤติกรรมของบรรดาบริวารรอบข้าง ก็ต่างชวนให้ชาวบ้านพากันเบ้ปากกันทั้งเมือง ยกตัวอย่างง่ายๆ แค่ 2 เรื่อง โดยไม่ต้องนับประเด็น “นาฬิกาหรู” ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่สั่นคลอนความน่าเชื่อถือของรัฐบาลได้อย่างรุนแรง

เรื่องแรกก็เมื่อคราวกลุ่มชาวบ้านที่คัดค้านโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา จ.สงขลา พากันออกเดินเท้าจากบ้านมาหา นายกฯ ที่กำลังเดินทางมาประชุม ครม.สัญจร ที่ จ.สงขลา เมื่อวันที่ 27-28 พฤศจิกายน 2561 ที่ผ่านมา แต่ยังไม่ทันเดินทางไปถึง ก็เจอทหารตำรวจดักสลายชุมนุมกันกลางทาง พร้อมจับชาวบ้านส่งดำเนินคดี 17 คนรวด ในข้อหาทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่รัฐ พกพาอาวุธในที่สาธารณะ กีดขวางการจราจร และฝ่าฝืน พ.ร.บ.การชุมนุมในที่สาธารณะ ฯลฯ

เหตุที่เกิดขึ้นคงไม่ต้องเสียเวลามานั่งถามต่อว่า วันนี้ชาวบ้านเหล่านี้ยังจะมีความศรัทธาเหลือให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ได้มากน้อยขนาดไหน

ขณะที่เรื่องต่อมาเพิ่งเกิดขึ้นหมาดๆ คือ กรณี คสช. ส่งลูกน้องไปแจ้งความจับประชาชนกลุ่ม “People Go” 8 คน ในฐานความผิดฐานมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป โดยกล่าวหาว่าทั้ง 8 คนที่ร่วมกิจกรรม “We Walk” เดินมิตรภาพจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ไปยัง จ.ขอนแก่น ได้จัดชุมนุมมั่วสุมปราศรัยบิดเบือนโจมตีการทำงานของรัฐบาล

อ่านแล้วทำให้รู้สึกตั้งคำถามว่า เบื้องหลังการกระทำของ คสช. ครั้งนี้ มีเจตนาขัดขวางการเดินหรือไม่ และทำให้ไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมศรัทธาที่มีต่อตัวนายกฯและคสช.ถึงได้เริ่มเสื่อมถอยลงได้รวดเร็วขนาดนี้ เพราะถ้าติดตามกันดีๆ จะทราบว่า 4 ประเด็นที่กลุ่ม We Walk ต้องการสื่อสารระหว่างการเดิน ซึ่งประกอบด้วย เรื่องหลักประกันสุขภาพ ความมั่นคงทางอาหาร สิทธิชุมชน และสิทธิทางการเมืองในรัฐธรรมนูญใหม่นั้น เป็นประเด็นที่ถูกนำมาพูดกันในทุกรัฐบาล

ที่สำคัญทุกประเด็นที่สื่อสารออกมา แม้มองเผินๆ อาจจะมีเฉี่ยวกับปมการเมืองอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เป็นประเด็นที่จะนำมาปลุกปั่น ปลุกระดม ให้คนเกลียดคนชังซึ่งกันและกัน หรือออกมาต่อต้านรัฐบาล เหมือนกับพวกกลุ่มจ้องฉวยโอกาสทางการเมืองกำลังทำอยู่เวลานี้

การเดินของกลุ่ม We Walk ในมุมของผม รู้สึกไม่ต่างจากการเดินเท้าของ “อ.ศศิน เฉลิมลาภ” จากกรณีเขื่อนแม่วงก์เลย นั่นคือการทำกิจกรรมเพื่อ “สื่อสาร” ต่อสาธารณะเกี่ยวกับปัญหาในสังคม แต่คสช.กลับทำตัวเหมือนหวาดระแวงไปเอง เหมือนกลัวว่าเขาจะเดินเพื่อล้มรัฐบาล ปลุกปั่นให้ล้ม คสช.

บรรทัดนี้จึงอยากเตือนไว้ว่า ยิ่งคสช.ระแวง ยิ่งคสช.ทำให้คนรู้สึกว่ามีการกลั่นแกล้งขัดขวางการทำกิจกรรมของภาคประชาชนมากเท่านั้น สุดท้ายระวังกระแสเหล่านี้จะตีกลับมาทำลาย คสช. เสียเอง ไม่เชื่อก็ลองไปเช็คดูสิครับว่ากระแสความไม่พอใจการกระทำของ คสช. คราวนี้มันเริ่มกรุ่นขึ้นมาอย่างไร

ดังนั้นสุดท้ายเมื่อถึงเวลาเสื่อมหนัก ก็ไม่ต้องไปโทษใครนะครับ คสช.ต้องโทษตัวเองอย่างเดียว

มะลิลา

แตกใบอ่อน : ปัญหาที่ถูกมองข้าม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/314926

807934531

แตกใบอ่อน : ปัญหาที่ถูกมองข้าม

วันพฤหัสบดี ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา “กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ได้เริ่มต้นเปิดการแสดงนิทรรศการศิลปะเรื่อง “Right to Clean Air- The Art Exhibition ขออากาศดีคืนมา” โดยจัดแสดงผลงานศิลปะที่สร้างสรรค์ขึ้นมาจากฝุ่น ซึ่งรวบรวมมาจากจังหวัดต่างๆที่ประสบปัญหามลพิษทางอากาศในประเทศไทย รังสรรค์โดยศิลปิน “เรืองศักดิ์ อนุวัตรวิมล” เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับวิกฤติมลพิษทางอากาศของไทย ซึ่งเปรียบเสมือน “ภัยเงียบ” ที่กำลังคุกคามชีวิตเราทุกคนอยู่ในเวลานี้ โดยที่เราแทบไม่รู้ตัว หรือแทบไม่ได้เอาใจใส่กับความร้ายแรงที่กำลังเกิดขึ้นเลย

ภายในงานนอกจากจะจัดแสดงศิลปะแล้ว ยังมีการจัดเวทีเสวนาประเด็นปัญหาต่างๆ โดยในวันเปิดงานเมื่อวันอังคารที่ 16 มกราคมที่ผ่านมา มีการเสวนาเรื่อง “วิเคราะห์สถานการณ์มลพิษฝุ่นละออก PM 2.5 ปี พ.ศ.2560 ในเมืองต่างๆ ของไทย” ซึ่งมีการนำเสนอข้อมูลที่น่าสนใจและค่อนข้างน่าวิตกมากสำหรับสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็กในหลายพื้นที่ของไทย

โดย “จริยา เสนพงศ์” ผู้ประสานงานด้านพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กรีนพีซเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบัน “อากาศ” ที่ทุกคนหายใจเข้าไปเต็มไปด้วยฝุ่นที่มีสารพิษที่มองไม่เห็นซ่อนอยู่ หนึ่งในนั้น คือ PM 2.5 หรือ “ฝุ่นละออง” ขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน เป็นฝุ่นอันตรายที่มีองค์ประกอบทางเคมี อย่างปรอท แคดเมียม อาร์เซนิก หรือ โพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน ซึ่งองค์การอนามัยโลก หรือ WHO ได้กำหนดให้ PM 2.5 นี้เป็นสารกลุ่มที่ 1 ของสารก่อมะเร็งในปี 2556

ทั้งนี้สำหรับฝุ่นทั่วไปที่มีขนาดใหญ่กว่า 2.5 ไมครอน เมื่อเราสูดเข้าไป จะไปติดอยู่ในปอดและถูกขับออกมาเป็นเสมหะ แต่สำหรับเจ้า PM 2.5 นี้ กลับมีขนาดเล็กเพียงแค่ 1 ต่อ 25 ส่วนของความกว้างเส้นผม สามารถเล็ดลอดลอดผ่านขนจมูกเข้าสู่กระแสเลือดได้ เมื่อเข้าไปสะสมในร่างกายนานๆ ก็จะเพิ่มโอกาสการเกิดโรค เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็งปอด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคหัวใจขาดเลือด และโรคติดเชื้อเฉียบพลันในระบบหายใจส่วนล่าง ทำให้เกิดการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของคนไทยราว 50,000 คนต่อปี

ส่วนแหล่งกำเนิดของเจ้าฝุ่นชนิดนี้ ก็มาจากกิจกรรมรอบๆ ตัวเรา เช่น การเผาในที่โล่งร้อยละ 54, อุตสาหกรรมการผลิต ร้อยละ 17, การคมนาคมขนส่ง ร้อยละ 13, การผลิตไฟฟ้า ร้อยละ 9 และการประกอบกิจกรรมในที่อยู่อาศัยหรือธุรกิจการค้า ร้อยละ 7 เป็นต้น

โดยเมื่อปี 2560 ที่ผ่านมา ระดับมลพิษในอากาศที่บันทึกโดยสถานีตรวจวัด 19 แห่งใน 14 พื้นที่ทั่วประเทศพบว่า เกินค่ามลพิษจำกัดสูงสุดรายปีของ WHO คือ 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรทั้งสิ้น ยิ่งไปกว่านั้น 9 จาก 14 พื้นที่ยังมีค่ามลพิษเกินมาตรฐานคุณภาพอากาศรายปีของประเทศไทย ซึ่งกำหนดไว้ที่ 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

โดยพื้นที่ที่มีระดับค่าเฉลี่ยของฝุ่น PM 2.5 ตลอดทั้งปีสูงที่สุดคือ จ.สระบุรี วัดได้ 36 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และเขตธนบุรี กทม. ที่ 31 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งสูงกว่าค่ามลพิษจำกัดสูงสุดของ WHO ถึงสามเท่า ส่วนพื้นที่อื่นๆ ที่อยู่ในเกณฑ์เสี่ยง ได้แก่ สมุทรสาคร ราชบุรี ขอนแก่น และเชียงใหม่ ซึ่งปรากฏค่ามลพิษในระดับสูงถึงระหว่าง 25-30 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

คุณจริยา ทิ้งท้ายว่า แม้สถานการณ์จะรุนแรง แต่ปรากฏว่าปัจจุบันปัญหาที่เกิดขึ้นยังถูก “เพิกเฉย” และ “ละเลย” จากประชาชนผู้ได้รับผลกระทบรวมทั้งรัฐบาล ดังนั้นเพื่อป้องกันการลุกลามของสถานการณ์จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลโดยเฉพาะ “กรมควบคุมมลพิษ” เพิ่มความเข้มข้นในการติดตามตรวจสอบฝุ่นมลพิษ PM2.5 และนำมาคำนวณดัชนีคุณภาพอากาศ เพื่อปกป้องคุ้มครองสุขภาพของประชาชนทุกคน

ทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนจากกันสัปดาห์นี้ หากผู้อ่านท่านใดสนใจจะไปชมงานนิทรรศการ “Right to Clean Air – The Art Exhibition ขออากาศดีคืนมา” ยังสามารถไปชมได้จนถึงวันที่ 28 มกราคม ที่ชั้น 1 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ซึ่งนอกจากการจัดแสดงงานศิลปะ และเวทีเสวนาแล้ว ยังมีกิจกรรมความรู้อื่นๆ อีกมากมาย ถ้าใครว่างหรือสนใจแนะนำให้ลองแวะไปดูกันได้ครับ

มะลิลา

แตกใบอ่อน : แฟรนไชส์เกษตรกร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/313509

807934531

แตกใบอ่อน : แฟรนไชส์เกษตรกร

วันพฤหัสบดี ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

เปิดศักราชใหม่ปีพ.ศ.2561 มาได้เพียงสัปดาห์เดียว บรรดาผู้มีรายได้น้อยที่ได้ลงทะเบียนไว้กับโครงการสวัสดิการแห่งรัฐ ก็ได้เฮกันตั้งแต่ต้นปี เพราะเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพิ่งอนุมัติโครงการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย เฟส 2 วงเงินสูงถึง 3.5 หมื่นล้านบาท โดยรอบนี้นอกจากจะมีการเพิ่มเงินช่วยเหลือและสวัสดิการต่างๆ แล้ว ยังมีเป้าหมายสำคัญ คือ การฝึกอบรมอาชีพให้ประชาชนที่มาลงทะเบียน เพื่อสร้างอาชีพและรายได้อย่างยั่งยืน ซึ่งคาดว่ารายละเอียด สื่อต่างๆ น่าจะมีการนำเสนอไปหมดแล้ว

ไม่ใช่ผู้มีรายได้น้อยเท่านั้นที่ได้เฮ ฝั่งของเกษตรกรเองเร็วๆ นี้ก็น่าจะมีข่าวดีเข้ามา เพราะในวันเดียวกับการประชุม ครม. อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า “กุลณี อิศดิศัย” ยังออกมาประกาศว่า กระทรวงพาณิชย์ เตรียมต่อยอดโครงการสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อผู้มีรายได้น้อย โดยเฉพาะในส่วนการสร้างงานสร้างอาชีพให้กับเกษตรกร โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้ร่วมมือกับ “ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร” (ธ.ก.ส.) ทำโครงการ “100 แฟรนไชส์สร้างอาชีพเพื่อเกษตรกร”

โดยจะสนับสนุนสินเชื่อแบบไม่คิดดอกเบี้ยใน 6 เดือนแรก แก่เกษตรกรที่ลงทะเบียนผ่านโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐทั่วประเทศ โดยเฉพาะเกษตรกรที่ต้องการเงินทุนมีอาชีพเสริมด้วยการซื้อและทำธุรกิจแฟรนไชส์

คุณกุลณีบอกว่า เบื้องต้นในเฟสแรก ธ.ก.ส. ได้เตรียมวงเงินสินเชื่อส่วนบุคคลรายย่อยแก่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ เบ็ดเสร็จประมาณ 20,000 ล้านบาท โดยเวลานี้ ธ.ก.ส. กำลังอยู่ระหว่างกำหนดเงื่อนไขและรายละเอียดในการให้สินเชื่ออยู่ ซึ่งเกษตรกรจะสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในครั้งนี้ได้ไม่ยาก รวมทั้งจะมีการอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับธุรกิจแฟรนไชส์นั้นๆ แก่เกษตรกร โดยเบื้องต้นคาดว่าจะสามารถสร้างอาชีพให้แก่เกษตรกรประมาณ 10,000 ราย และสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากได้ราว 1,000 ล้านบาท

ส่วนประเด็นสำคัญ คือ “ธุรกิจ” ที่จะมีการสนับสนุนนั้น อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ท่านแจงว่า กรมจะเป็นผู้คัดเลือกธุรกิจแฟรนไชส์
ให้ ธ.ก.ส. พิจารณาเข้าร่วมโครงการ โดยแฟรนไชส์ที่เข้าร่วมโครงการ จะเป็นแฟรนไชส์ที่มีขนาดไม่ใหญ่ ผ่านการพัฒนาจากกรมมาแล้วและเป็นธุรกิจง่ายๆ ที่เกษตรกรสามารถใช้ประกอบเป็นอาชีพได้ทันที เช่น อาหารและเครื่องดื่มประเภทต่างๆ เป็นต้น

ขณะที่ตัวของ “แฟรนไชส์” จะต้องเป็นพี่เลี้ยงให้กับเกษตรกรตลอดระยะเวลาที่ประกอบธุรกิจ ซึ่งจะสามารถลดความเสี่ยงต่อความล้มเหลวในการประกอบธุรกิจได้

หากมองกันในภาพรวม ก็ต้องถือว่าโครงการนี้เป็นความพยายามสร้าง “โอกาส” ให้สามารถยืนอยู่ได้อย่างมั่นคง แต่ถ้าหากคิดให้ลึกลงไปอีกนิด ตัวผมเองก็ไม่กล้าจะฟันธงว่า“โอกาส” ที่ว่าจะกลายเป็นโอกาสที่ดีได้จริงหรือไม่ ซึ่งผมขอยกเหตุผลง่ายๆ สัก 2 ข้อ คือ

ประการแรก ต้องไม่ลืมว่า ชุมชนของเกษตรกรที่มีรายได้น้อยส่วนใหญ่จะเป็นสังคม “ชนบท” ที่กินง่าย อยู่ง่าย เสียเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่ธุรกิจ “แฟรนไชส์” จำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะหากจะยึดตามที่ท่านอธิบดีกุลณียกตัวอย่าง คือ ธุรกิจด้านอาหารหรือเครื่องดื่ม จะว่าไป มันก็ไม่ต่างไปจากสินค้าฟุ่มเฟือย ซึ่งการจะค้าขายให้มีกำไรจนสามารถยืนอยู่ได้ จำเป็นต้องไปเปิดในทำเลที่ตั้งที่เป็นชุมชนขนาดใหญ่ หรือชุมชนเมือง เช่น ตามตลาด ศูนย์อาหาร หน้าโรงเรียน ดังนั้นความเป็นไปได้ที่จะเปิดร้านค้าในชุมชนแล้วสร้างให้มีกำไร จึงเป็นไปค่อนข้างยาก แต่หากจะมุ่งไปเปิดร้านในชุมชนใหญ่ๆ หรือในเมือง ก็ต้องคิดถึงต้นทุนเรื่องการเดินทาง และการบริหารจัดการอื่นๆ ที่จะต้องตามมาอีกมาก

ประการต่อมา ต้องไม่ลืมเช่นกันว่า ปัจจุบันลำพังคนทั่วไปก็มีการซื้อแฟรนไชส์ธุรกิจต่างๆ มาเปิดขายกันเกลื่อนอยู่แล้ว ไม่ว่า ขนมจีบ ชา กาแฟ ไอศกรีม หรืออาหาร เครื่องดื่มต่างๆ ซึ่งถ้าให้เกษตรกรมาเปิดร้านแข่งอีก มันไม่ต้องแย่งกันตายเลยหรือ ที่สำคัญปัจจุบันใครไม่รู้จะทำอะไร ก็พากันออกมาหาของมาขาย จนแทบจะมีแต่คนขาย แต่ไม่มีคนซื้ออยู่แล้ว ไม่เชื่อก็ลองไปเดินดูตามตลาดนัดหลายๆ แห่งดูได้

เรื่องนี้จึงต้องขอฝากเอาไว้ครับ ไม่ใช่ว่าอยากขวางไม่ให้ทำ แต่ทำแล้วต้องรอบคอบ และเกษตรกรต้องอยู่ได้จริงๆ เพราะถ้าอยู่ไม่ได้ คนที่ต้องใช้หนี้กันหัวโตก็ไม่ใช่ใคร แต่เป็นเกษตรกรนั่นแหละที่จะซวย

มะลิลา

แตกใบอ่อน : เกษตรกรหายจน?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/312233

807934531

แตกใบอ่อน : เกษตรกรหายจน?

วันพฤหัสบดี ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

ก้าวเข้าสู่ปีใหม่ ศักราชใหม่ ขอถือโอกาสกราบสวัสดีปีใหม่ 2561 ท่านผู้อ่านอีกครั้งตามธรรมเนียมของคนไทย และขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก ได้โปรดอำนวยพรให้ท่านผู้อ่านและครอบครัวโชคดี มีความสุข ความสำเร็จ และสมหวัง ในสิ่งที่ปรารถนาตลอดทั้งปีใหม่ 2561 นี้ครับ

สิ้นปีที่ผ่านมาในการแถลงภาวะเศรษฐกิจสังคมครัวเรือนเกษตรปีเพาะปลูก 2559-2560 ของ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) มีข้อมูลน่าสนใจหลายอย่าง แต่อ่านแล้วก็ยังมีบางเรื่องที่อดสงสัยไม่ได้ว่ามันถูกต้องตามข้อเท็จจริงหรือไม่ โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาเกษตรกรไทยหายจนไปถึง 14 ล้านคน จนสื่อหลายสำนักเอาไปเป็นประเด็นพาดหัวเผยแพร่กันครึกโครม โดยรายละเอียดเรื่องนี้ เลขาธิการ สศก. “วิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข” ท่านแถลงไว้อย่างนี้ครับ

“ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ในภาคเกษตรช่วงปี 2539-2559 มีแนวโน้มลดลง สะท้อนจากสัดส่วนรายได้ทั้งหมดในภาคเกษตรที่เกษตรกรในกลุ่มที่มีรายได้น้อยที่สุด 20% มีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นจาก 2.74% ในปี 2553 เป็น 5.33% ในปี 2559 ขณะที่เกษตรกรในกลุ่มที่มีรายได้มากที่สุด 20% มีสัดส่วนรายได้ลดลงจาก 58.75% ในปี 2553 เหลือเพียง 53.23% ในปี 2559

รอบ 20 ปีรายได้เฉลี่ยของเกษตรกรเพิ่มขึ้น กลุ่มที่มีความยากจนที่สุดที่เมื่อปี 2539 มีรายได้ต่อปี 2,774 บาท/ปี/ครัวเรือน แต่ปี 2559 มีรายได้เพิ่มขึ้นเกือบ 7 เท่า หรือมีรายได้ 21,230 บาท/ครัวเรือน/ปี และในกลุ่มที่มีรายได้สูงสุดหรือเกษตรกรที่รวยสุด มีรายได้ในปี 2539 ประมาณ 59,528 บาท/ครัวเรือน/ปี เพิ่มขึ้น 3.5 เท่าในปี 2559 หรือมีรายได้ 212,034 บาท/ครัวเรือน/ปี ซึ่งจะเห็นได้ว่าครัวเรือนเกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น หนี้สินลดลง ความเหลื่อมล้ำในภาคเกษตรลดลงอย่างมาก ส่วนหนี้สินในปี 2559 มีอัตราที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย เกิดจากหนี้สินจากการลงทุน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ในปีถัดจากนี้ไปกลุ่มเกษตรกรจะมีรายได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

จากสัดส่วนรายได้ที่เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาของเกษตรกรกลุ่มที่มีรายได้น้อยที่สุด ส่งผลให้จำนวนคนจนในภาคเกษตรลดลงถึง 14.329 ล้านคน จากในปี 2539 ภาคเกษตรมีคนจนอยู่สูงถึง 19.443 ล้านคน หรือคิดเป็น 72% ของประชากรภาคเกษตร แต่ในปี 2559 ภาคเกษตรกลับมีจำนวนคนจนลดลงเหลือเพียง 5.114 ล้านคน หรือคิดเป็น 21.67% ของประชากรภาคเกษตรเท่านั้น ส่วนหนึ่งสะท้อนให้เห็นถึงแผนงานโครงการต่างๆ ด้านการเกษตรที่มีประสิทธิภาพของภาครัฐที่ผ่านมาได้มีส่วนสนับสนุนให้การพัฒนาการเกษตรของประเทศมีความเจริญก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง เกษตรกรมีความเข้มแข็งสามารถพึ่งพาตัวเองได้และมีรายได้มั่นคง”

จากข้อมูลดังกล่าว โดยส่วนตัวผมค่อนข้างเชื่อถือในแง่ของตัวเลข เพราะยังมั่นใจว่า สศก. ไม่ทำงานมั่วแน่นอน แต่ยังรู้สึกสงสัย คือ ที่ระบุว่า “ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา จำนวนคนจนในภาคเกษตรลดลงถึง 14.329 ล้านคน โดยปัจจุบันมีคนจนในภาคการเกษตรเหลืออยู่ 5.114 ล้านคน” นั้น ไม่ทราบว่าเป็นการคำนวณจาก “ฐานความคิด” แบบไหน เพราะเพียงลำพังการยกเอามาเพียงตัวเลขรายได้ ตัวเลขหนี้สิน แล้วบอกว่า “คนจนน้อยลง” แบบนี้ ใจผมก็ยังคิดว่ามันไม่ค่อยถูกหลักนัก

เอาง่ายๆ นะครับ 20 ปีที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยขนาดไหน ค่าครองชีพ ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของทุกวันนี้มันแพงยังไง… เงิน 40 บาท ที่เมื่อ 20 ปีก่อนซื้อข้าวได้อย่างน้อย 2 จาน สมัยนี้ยังซื้อได้เหมือนเดิมหรือเปล่า … ถ้าหากไม่มีการนำตัวเลขเหล่านี้มาร่วมพิจารณาแล้วมาด่วนสรุปเอาว่า “คนจน” ลดลงแล้ว ผมว่ามันก็ไม่ถูกเสียทีเดียว

จริงอยู่ครับ การที่รายได้เกษตรกรเพิ่มขึ้น หนี้สินที่ลดลง อาจเพียงพอที่จะบอกว่า เขามีชีวิตที่ดีขึ้น…แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นมา มันเพียงพอที่จะช่วยให้เขายืนอยู่ได้จริงหรือไม่ นี่ยังเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ย้อนแย้งจากข้อมูลของรัฐที่พูดออกมาไม่หมด

ไม่เชื่อก็ลองไปดู ไปสัมผัสกับชีวิตเกษตรกรจริงๆ ดูสิครับแล้วจะรู้ว่า ทุกวันนี้เขาหายจนกันจริงหรือไม่

มะลิลา

แตกใบอ่อน : ของขวัญปีใหม่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/311418

807934531

แตกใบอ่อน : ของขวัญปีใหม่

วันพฤหัสบดี ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

คอลัมน์ “แตกใบอ่อน” ประจำสัปดาห์นี้ ทิ้งท้ายปีเก่า เตรียมต้อนรับปีใหม่ 2561 ขอถือโอกาสกราบอวยพรท่านผู้อ่านทุกท่านให้ประสบแต่ความสุข ความโชคดี คิดหวังสิ่งใดที่ดีๆ ก็ขอให้สมกับความมุ่งมาดปรารถนากันตลอดทั้งปีนะครับ

ไหนๆ ก็อยู่ในช่วงเทศกาลปีใหม่แล้ว จึงอยากใช้โอกาสนี้คุยแต่เรื่องดีๆ เพื่อให้เป็นสิริมงคลแก่การเริ่มต้นปีใหม่ เพราะนอกเหนือจากคำอวยพรที่เราจะมีให้แก่กันแล้ว ก็ยังมีเรื่องดีๆ ที่รัฐบาลได้เตรียมเอาไว้เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน

โดยแทบจะถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ทุกปีจะต้องมีของขวัญจากหน่วยงานต่างๆ มามอบให้คนไทยอยู่เสมอ โดยในปีนี้ถ้าดูตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 ธันวาคมที่ผ่านมา ก็เห็นมีมากถึงกิจกรรมมากถึง 85 โครงการ ที่หน่วยงานต่างๆ นำมาเป็น “ของขวัญปีใหม่” มอบให้กับคนไทยทุกคน โดยที่ถือเป็นไฮไลท์สำคัญสำหรับปีหนี้ ก็คงหนีไม่พ้นของขวัญที่ถูกเตรียมมามอบให้เกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย ซึ่งมีดังนี้

ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) คืนดอกเบี้ย 30% ของดอกเบี้ยที่ชำระให้แก่เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐที่มีต้นเงินคงเป็นหนี้ ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2560 ไม่เกิน 3 แสนบาท, ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) คืนเงิน 1 พันบาท สำหรับลูกค้าที่มีประวัติการผ่อนชำระหนี้ดีย้อนหลัง 48 เดือน, ธอส.จัดสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐสำหรับผู้มีรายได้น้อย บุคลากรภาครัฐและผู้มีรายได้น้อยในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยให้ดอกเบี้ยอัตราพิเศษต่ำสุดที่ 2.5% ต่อปี, สำนักงานธนานุเคราะห์ขยายเวลาลดอัตราดอกเบี้ยให้แก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อย, โครงการตลาดประชารัฐ พัฒนาตลาดใหม่และขยายพื้นที่ตลาดเดิมให้แก่เกษตรกร ผู้มีรายได้น้อย และผู้ที่ไม่มีสถานที่ค้าขาย, เพิ่มพลังปีใหม่ ซื้อสินค้าเกษตรไทยคุณภาพดีในราคาพิเศษ, ให้บริการขนส่งข้าวเพื่อช่วยชาวนา และขนส่งสินค้าเกษตร/เกษตรแปรรูปในอัตราพิเศษ

ขณะที่ในฝั่งของ กระทรวงเกษตรฯ เองก็มี “ของขวัญ” ที่เตรียมเอาไว้สำหรับมอบให้กับประชาชนและเกษตรกรโดยเฉพาะ ซึ่งมีกิจกรรมหลัก 3 กิจกรรม ประกอบด้วย

1.กิจกรรม “มอบของขวัญเกษตรกรไทย มีกิน มีใช้ มีรายได้พอเพียง” โดยส่งมอบโครงการต่างๆ ให้กับเกษตรกร เช่น โครงการชลประทานขนาดเล็ก ระบบส่งเสริมเกษตรแปลงใหม่ (ข้าว ประมง) โครงการโคบาลสร้างอาชีพ โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย ฤดูนาปรัง ปี 2561 โครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อฯ/โครงการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูแล้งหลังนา ปี 2560-2561 โครงการปรับปรุงคุณภาพดิน โครงการก่อสร้างแหล่งน้ำในไร่นานอกเขตชลประทาน แจกปัจจัยการผลิต (ศูนย์หม่อนไหมฯ 21 ศูนย์)

2.กิจกรรม “เพิ่มพลังปีใหม่ ซื้อสินค้าเกษตรไทยคุณภาพดีในราคาพิเศษ” โดยนำสินค้าราคาถูกมาเปิดจำหน่ายให้ประชาชน รวม 23 แห่ง เช่น สินค้าปศุสัตว์ราคาถูก (ปศ.) ผลิตภัณฑ์จากยางพารา (กยท.) เทศกาลส่งความสุขด้วยผลไม้ไทย (อตก.) ตลาดสีเขียว (ผักอินทรีย์ ผลิตภัณฑ์แปรรูปสินค้า OTOP) (อสค.) ตลาดเกษตรกร ตลาดนัดชาวดอย เทศกาลชิมชาและกาแฟ และวัฒนธรรมชนเผ่าดอยแม่สลอง อุทยานหลวงราชพฤกษ์ จังหวัดเชียงใหม่ (สวพส.) การจัดกระเช้า/ชุดของขวัญ จากสินค้าเกษตรปลอดภัย ได้มาตรฐาน และสินค้าประมง NON – IUU (กสส. มกอช.
อตก. อสป.) เป็นต้น

3.กิจกรรม “ปีใหม่เที่ยวทั่วไทยสุขใจไปกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์” โดยเปิดสถานที่ของหน่วยงานในสังกัดให้ประชาชนเข้าชมในช่วงเทศกาลปีใหม่ 29 ธันวาคม 2560 – 2 มกราคม 2561 ดังนี้

– เปิดสถานที่หน่วยงานในสังกัดทั่วประเทศ เพื่อเป็นจุดให้บริการประชาชนในช่วงปีใหม่ 342 จุด

– เปิดศูนย์ศึกษา ศูนย์เรียนรู้ แหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร และให้ความรู้ด้านการเกษตร รวม 97 แห่ง เช่น ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ้องไคร้ฯ จ.เชียงใหม่, ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานฯ จ.สกลนคร, สถานีเรดาร์ฝนหลวง, ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนฯ จ.ฉะเชิงเทรา, ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองฯ จ.นราธิวาส, ศูนย์ศึกษาวิธีการฟื้นฟูที่ดิเสื่อมโทรมเขาชะงุ้มฯ จ.ราชบุรี, อุทยานหลวงราชพฤกษ์ จ.เชียงใหม่ และศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรทั่วประเทศ

– เปิดสถานที่ให้ประชาชนเข้าชมฟรี ไม่คิดค่าบริการ 11 แห่ง เช่น สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ, ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร, ฟาร์มโคนมไทย – เดนมาร์ค และพิพิธภัณฑ์กษัตริย์เกษตรเฉลิมพระเกียรติฯ

นี่แหละครับ เรื่องดีๆในช่วงต้นปีที่รัฐบาลมอบให้กับเราเพื่อเอาฤกษ์เอาชัยประเดิมปีใหม่ 2561

ปีใหม่นี้ จึงขอให้มีความสุขกันทุกท่านครับ

มะลิลา

แตกใบอ่อน : ‘พาราควอต’ใช้ผิดยิ่งพิษแรง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/310018

807934531

แตกใบอ่อน : ‘พาราควอต’ใช้ผิดยิ่งพิษแรง

วันพฤหัสบดี ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

2 สัปดาห์ก่อนเขียนถึงกรณี “กรมวิชาการเกษตร”ทยอยต่ออายุทะเบียนนำเข้าและจำหน่ายยาฆ่าหญ้า “พาราควอต” ให้กับบรรดาบริษัทเอกชนต่างๆ ทั้งที่มีข้อทักท้วงเรื่องปัญหาสุขภาพจาก คณะกรรมการขับเคลื่อนปัญหาการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูง ที่มีรมว.สาธารณสุข เป็นประธาน

มาสัปดาห์นี้มีข้อมูลใหม่เกี่ยวกับผลกระทบการใช้ “พาราควอต” ซึ่งนักวิจัยจาก สํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ลงพื้นที่ตรวจสอบพบมา และพบปัญหาที่น่าเป็นห่วงเกี่ยวกับการใช้“พาราควอต” ที่ผิดวิธี กระทั่งทำให้เกิดปัญหา“โรคเนื้อเน่า” ตามมาในกลุ่มเกษตรกร

สกว.ให้ข้อมูลมาว่า รศ.ดร.พวงรัตน์ ขจิตวิชยานุกูล นักวิจัย สกว. จากมหาวิทยาลัยนเรศวร ร่วมกับ ทพญ.วรางคณา อินทโลหิต จากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดหนองบัวลำภู และ ดร.ภาสกร บัวศรีผู้ประสานงานและนักวิจัยท้องถิ่น สกว. ลงพื้นที่หาปัจจัยการเกิด “โรคเนื้อเน่า” หลังพบสถิติผู้ป่วยที่ค่อนข้างสูง โดยตั้งแต่ปี 2557 โรงพยาบาลหนองบัวลำภู มีผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาโรคดังกล่าวประมาณปีละ 120 ราย ขณะที่ปี 2560 ในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา มีผู้ป่วยโรคนี้ 102 ราย เสียชีวิตแล้ว 6 ราย

โดยคณะวิจัยได้เก็บข้อมูลสถิติ สัมภาษณ์เกษตรกร และผู้ป่วย รวมถึงเก็บตัวอย่างสิ่งแวดล้อมเพื่อวิเคราะห์สารเคมีตกค้างในดิน ตะกอนดิน น้ำในลำน้ำอ่างเก็บน้ำ และผัก ในเขต อ.สุวรรณคูหาเพื่อให้ได้ภาพเบื้องต้นของปัญหาที่เกิดขึ้นพบว่า เกษตรกรใช้สารเคมีหลายชนิด ได้แก่พาราควอต ไกลโฟเสต อาทราซีน และอามิทรีนในการกำจัดวัชพืชในแปลงของไร่ยางพาราและไร่อ้อย ซึ่งช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เกษตรกรได้ขยายพื้นที่ปลูกอ้อยเป็นจำนวนมาก และใช้สารพาราควอตเป็นสารเคมีหลัก ทำให้มีการนำเข้าสารดังกล่าวมากกว่า 3 แสนลิตร และคาดว่าทั้งจังหวัดมีการใช้สารมากกว่า 8 แสนลิตรต่อปี จากการสัมภาษณ์พบว่าเกษตรกรนิยมใช้สารเคมีพาราควอตอย่างเข้มข้นมากกว่าที่ฉลากระบุถึง 4 เท่า โดยผสมสารพาราควอต 400 มิลลิลิตรกับน้ำ 20 ลิตร ซึ่งเป็นอัตราส่วนเข้มข้นสูงมาก ทำให้มีโอกาสของเกิดการตกค้างของสารเคมีในอ่างเก็บน้ำและลำน้ำในพื้นที่ในระดับความเข้มข้นที่สูงจนก่อให้เกิดอันตรายได้

ผลของงานวิจัยในส่วนของการเจ็บป่วยของเกษตรกร พบว่า พื้นที่ของจังหวัดหนองบัวลำภูมีผู้ป่วยด้วยโรคเนื้อเน่าเป็นอันดับ 1 ของผู้ป่วยแผนกศัลยกรรมของโรงพยาบาลหนองบัวลำภูตั้งแต่ปี 2553-2556 ปีละ 100-140 คน ส่งผลทำให้พิการหรือเสียชีวิตเกือบร้อยละ 10 ของผู้ป่วย โดยผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษามักมีการสัมผัสกับน้ำในลำน้ำ นาข้าว หรืออ่างเก็บน้ำเป็นเวลานาน หลายรายมีบาดแผลในบริเวณแขน ขา จากการทำงานและไปล้างตัวในแหล่งน้ำที่รองรับสารเคมีทางการเกษตรดังกล่าว อาการผื่นบนผิวหนัง คัน และเกิดแผลไหม้ในบริเวณผิวหนังที่สัมผัสร่วมกับอาการเป็นไข้สูง เป็นอาการเริ่มต้นของโรคเนื้อเน่ามักเกิดขึ้นภายในเวลา 1-2 วัน ซึ่งต้องนำส่งผู้ป่วยเข้าสู่โรงพยาบาลโดยด่วน

จากสถิติของการรักษาโรค พบว่าผู้ป่วยหลายรายต้องถูกตัดอวัยวะขาหรือแขนเพื่อรักษาชีวิตไว้ โดยทางแพทย์ได้วินิจฉัยถึงการเป็นโรคที่มาจากแบคทีเรียเป็นสาเหตุหลัก ซึ่งอยู่ในกลุ่มของแบคทีเรียชนิดไม่ใช้อากาศ เช่น Bacteroides fragilis, Clostidium, Pepto Streptococcus และแบคทีเรียชนิดใช้อากาศ เช่น E.Coli, Enterobacter, Klebsiella, Proteus, non-group A streptococcus ซึ่งรวมถึงแบคทีเรีย Aeromonas hydrophila ที่ทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียเหล่านี้ มักพบในแหล่งน้ำจืด ซึ่งจากผลการวิเคราะห์สารเคมีตกค้างในตัวอย่างสิ่งแวดล้อมโดยคณะนักวิจัย ได้ยืนยันว่าตัวอย่างสิ่งแวดล้อมทั้ง ดินตะกอนดิน ลำน้ำ และอ่างเก็บน้ำที่นำมาตรวจสอบนั้นมีการตกค้างของสารเคมีพาราควอตในทุกตัวอย่าง และอยู่ในระดับความเข้มข้นที่สูง ในขณะที่มีการตรวจพบสารเคมีทางการเกษตรชนิดอื่นๆ ในปริมาณต่ำมาก จึงมีแนวโน้มว่าแหล่งน้ำทั้งอ่างเก็บน้ำและลำน้ำในพื้นที่มีทั้งสารเคมีพาราควอตและเชื้อแบคทีเรียก่อโรคเหล่านี้ปนเปื้อนอยู่ร่วมกัน

เบื้องต้น คณะวิจัยได้รายงานผลต่อผู้ว่าราชการและคณะผู้บริหารจังหวัดหนองบัวลำภู โดยจังหวัดได้มอบนโยบายให้ดำเนินการค้นคว้าวิจัย เพื่อแก้หาสาเหตุและปัญหาของโรคที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีทางการเกษตรอย่างเร่งด่วน และให้มหาวิทยาลัยนเรศวร เสนอรายชื่อคณะนักวิจัยและดำเนินการวิจัยร่วมกัน เพื่อนำไปสู่ “หนองบัวลำภูโมเดล” ในการแก้ปัญหาดังกล่าว เพื่อนำขยายผลการแก้ปัญหาไปสู่พื้นที่ในจังหวัดอื่นๆ ในภาคอีสานตอนบน ซึ่งประสบปัญหา “โรคเนื้อเน่า” อยู่ในลักษณะเดียวกันในหลายจังหวัดต่อไป

นี่แหละครับคือตัวอย่างของพิษภัยจากสารเคมี “พาราควอต” ซึ่งมีความเป็นพิษสูงอยู่แล้ว และยิ่งนำมาใช้อย่างผิดวิธี ก็จะยิ่งส่งผลรุนแรงตามมาอย่างมากมาย ทั้งในแง่สุขภาพประชาชน รวมถึงการตกค้างของสารพิษในแหล่งน้ำและผิวดินตามธรรมชาติ

มะลิลา

แตกใบอ่อน : การตลาดช่วยชาวนา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/308597

807934531

แตกใบอ่อน : การตลาดช่วยชาวนา

วันพฤหัสบดี ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

ช่วงนี้เวลาไปไหนมาไหน ถ้าลองสังเกตดูกันดีๆ จะเห็นหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน องค์กรชุมชนต่างๆ พากันออกมาจัดกิจกรรมภายใต้โครงการ “เทศกาลข้าวใหม่” กันอย่างคึกคักแทบจะทั่วทุกมุมเมือง เช่นใน กทม. ตั้งแต่วันที่ 15-20 ธันวาคมนี้ กรมการข้าว ร่วมกับกรุงเทพมหานคร กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ก็จะร่วมกันจัดงานขึ้นที่ลานคนเมือง หน้าศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร

เห็นแล้วก็รู้สึกอดปลื้มใจและดีใจไม่ได้ เพราะงานอย่างนี้ไม่ได้มีความหมายแค่เพียงเป็นการรื้อฟื้น “วัฒนธรรมข้าวใหม่” เพื่อต้อนรับฤดูเก็บเกี่ยวของไทยเราให้กลับมาอีกครั้ง แต่ยังถือเป็นการเปิดช่องทางการตลาดให้กับชาวนาไทยได้อีกทางหนึ่งด้วย

โอกาสนี้จึงอยากขอช่วยประชาสัมพันธ์ครับ ถ้าใครมีเวลา มีโอกาส ผ่านไปเจอการจัดกิจกรรมเทศกาลข้าวใหม่ที่ไหน อยากขอให้ลองแวะเข้าไปเยี่ยมไปชมดู จะได้ช่วยกันอุดหนุนชาวนา เมื่อวันอาทิตย์ที่ 3 ธันวาคม ผมมีโอกาสได้แวะไป “เทศกาลข้าวใหม่ 4 ภาค” ที่สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสเขาจัดขึ้น ถึงแม้จะงานไม่ใหญ่มาก แต่ก็มีชาวนา เกษตรกร ชุมชน รวมทั้งผู้ประกอบการแปรรูปอาหารรายย่อย นำของมาออกร้านกันเต็มไปหมด โดยเฉพาะข้าวพันธุ์พื้นเมือง เช่น ข้าวสันป่าตอง ข้าวหอมนิล หอมจำปา เหนียวลาย มะลิดำ ที่ชาวบ้านเพิ่งเก็บเกี่ยวมา ก็นำมาวางขาย นำมาหุงให้ชิมกันอย่างคึกคัก ไปแล้วไม่ผิดหวังจริงๆ

พูดถึงข้าวและการทำตลาดให้กับชาวนา ทำให้นึกขึ้นได้ว่า เมื่อสักประมาณเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา มีน้องๆ มาขอให้ช่วยประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ www.farmjingjai.com ของโครงการ “ฟาร์มจริงใจ” แต่ด้วยจังหวะและโอกาสไม่เอื้ออำนวยก็เลยทำให้ยังไม่ได้นำมาเขียน วันนี้เลยอยากใช้โอกาสนี้ช่วยประชาสัมพันธ์

โครงการ “ฟาร์มจริงใจ” เป็นการรวมตัวของกลุ่มชาวนาที่มีพื้นฐานชุมชนเข้มแข็ง เปิดให้ผู้บริโภคสั่งข้าวสารปลอดสารเคมีโดยตรงจากชาวนาได้ผ่านเว็บไซต์ www.farmjingjai.com ภายใต้แนวคิด “ซื้อข้าวชาวนาปลอดสารเคมี ส่งเสริมสุขภาพดี เกษตรยั่งยืน” เพื่อแก้ไขปัญหาราคาตกต่ำ ขายข้าวไม่ได้ราคา และการถูกกดราคาจากกลุ่มพ่อค้าคนกลาง โดยมี บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด ช่วยสนับสนุนเรื่องการพัฒนาเว็บไซต์พร้อมเครื่องมือและช่องทางด้านไอทีต่างๆ โดยไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียใดๆกับชาวนา

ขณะที่กระบวนการซื้อขาย คือ ให้ผู้บริโภคสั่งซื้อข้าว “ล่วงหน้า” แบบรายเดือนหรือที่เรียกกันว่า “พรีออเดอร์” ผ่านเว็บไซต์ www.farmjingjai.com โดยระบบจะรวบรวมยอดการสั่งซื้อส่งให้กับชาวนา ทำให้ทราบยอดที่แน่นอน ช่วยให้ชาวนาเข้าถึงและสามารถจำหน่ายข้าวได้โดยตรงแก่ผู้บริโภค มีรายได้อย่างต่อเนื่อง แก้ปัญหาของชาวนาอย่างยั่งยืน โดยชาวนาสามารถขายตรงสู่ผู้บริโภคทำให้ได้กำไรจากการขายมากขึ้น

ปัจจุบัน มีกลุ่มชุมชนเข้มแข็งเข้าร่วมโครงการ “ฟาร์มจริงใจ” จำนวน 3 ชุมชนใน 2 จังหวัด ได้แก่ กลุ่มชาวนาหมู่บ้านคุ้มยโสธร จังหวัดยโสธร กลุ่มอีสานพอเพียง และกลุ่มชาวนาตำบลกระเบื้อง จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งข้าวที่ได้จากโครงการทั้งหมดเป็นข้าวปลอดสาร ไม่ผ่านการรมยา และจะสีข้าวเมื่อได้รับออเดอร์จากผู้บริโภคเท่านั้น ทำให้ผู้บริโภคได้รับข้าวสารที่มีคุณค่าทางอาหารสูง สดใหม่ และปลอดภัยจากสารพิษ

ไหนๆ ก็ไหนๆ นอกจากเว็บไซต์ “ฟาร์มจริงใจ” แล้ว ก็อยากจะขอใช้โอกาสนี้แนะนำช่องทางตลาดในระบบ “ออนไลน์” อื่นๆ ในลักษณะเดียวกันบ้าง เช่น “โครงการผูกปิ่นโตข้าว” ให้เข้าไปดูได้ที่เฟซบุ๊ค https://www.facebook.com/pookpintokao/ หรือเว็บไซต์ http://pookpintokao.com/ ซึ่งโครงการนี้มีลักษณะเดียวกับ “ฟาร์มจริงใจ” และมีตัวเลือกเรื่องพันธุ์ข้าวและกลุ่มชาวนาค่อนข้างมากสักหน่อย เพราะเห็นทำกันมานานแล้ว

อีกแห่งหนึ่ง คือ “ธรรมธุรกิจ” ซึ่งเน้นขายข้าวกล้องและโดยเฉพาะ “ข้าวสันป่าตอง” ซึ่งรับประกันได้ถึงความอร่อย ไปดูได้ที่ http://www.thamturakit.com/th/ หรือเฟซบุ๊ค https://www.facebook.com/Thamturakit/ ซึ่งไม่ได้มีแค่เรื่องข้าวเท่านั้น แต่ยังมีกิจกรรมการเปิดอบรมในรายวิชาที่น่าสนใจ เช่น กสิกรรมธรรมชาติ เศรษฐกิจพอเพียง การพึ่งตน การเก็บเมล็ดพันธุ์และบ้านดิน รวมทั้งมีตลาดนัดธรรมชาติอีกด้วย ลองเข้าไปดูกันนะครับ น่าสนใจทีเดียว

หรือถ้าท่านผู้อ่านสะดวกที่ไหน ก็ไปช่วยกันอุดหนุนที่นั่น

คนไทยไม่ช่วยชาวนาไทย ก็ไม่รู้จะให้ใครมาช่วยอีกแล้วล่ะครับ

มะลิลา

แตกใบอ่อน : สุขภาพคนไทยเอาไว้ก่อน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/307371

807934531

แตกใบอ่อน : สุขภาพคนไทยเอาไว้ก่อน

วันพฤหัสบดี ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

ตั้งใจจะเขียนถึงมาหลายสัปดาห์แล้ว สำหรับกรณี “กรมวิชาการเกษตร” ที่มีอธิบดี “สุวิทย์ ชัยเกียรติยศ” เป็นหัวเรือใหญ่ ตัดสินใจต่ออายุการใช้ “พาราควอต” ซึ่งเป็น “สารเคมีอันตราย” แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีโอกาสได้เขียนถึงเสียที เพราะมีเรื่องอื่นๆ แทรกเข้ามาตลอด

เรื่องนี้คงไม่กลายเป็นประเด็นขึ้นมา ถ้าก่อนหน้านี้ คณะกรรมการขับเคลื่อนปัญหาการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งมี รมว.สาธารณสุข “นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร” เป็นประธาน ไม่เคยมีมติเสนอให้ “กรมวิชาการเกษตร” ไปพิจารณาออกประกาศยกเลิกการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช 2 ชนิด ได้แก่ พาราควอต และคลอร์ไพริฟอส ภายในวันที่ 1 ธันวาคม 2562 และภายในวันที่ 1 ธันวาคม 2560 ต้องยุติการนำเข้าสารเคมีทั้ง 2 ตัว เนื่องจากพาราควอต จัดเป็นยาพิษที่มีความรุนแรง ไม่สามารถหายาถอนพิษได้ โดยขณะนี้มีกว่า 50 ประเทศทั่วโลกที่ประกาศยกเลิกการใช้แล้ว ส่วนคลอร์ไพริฟอส ทำให้เกิดความผิดปกติด้านพัฒนาสมอง ไอคิวเด็กลดลง สมาธิสั้น กระทบต่อระบบต่อมไร้ท่อ การเจริญเติบโต และเสี่ยงเป็นพาร์กินสัน

แต่ท้ายที่สุด กรมวิชาการเกษตร ก็ใช้วิธีเขี่ยลูกชงเรื่องไปให้ “คณะกรรมการวัตถุอันตราย” ซึ่งมีปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธาน โดยอ้างว่ากรมวิชาการเกษตรไม่มีความเชี่ยวชาญที่จะพิจารณานำข้อมูลด้านสุขภาพอนามัยมาวินิจฉัยได้อย่างชัดแจ้งว่า สารดังกล่าวมีอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์

อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทันที่ “คณะกรรมการวัตถุอันตราย” จะมีมติหรือความเห็นใดๆ ออกมา เนื่องจากเขาจะมีการประชุมเรื่องนี้กันในวันที่ 7 ธันวาคม 2560 ก็ปรากฏว่า กรมวิชาการเกษตร ก็จัดการเดินหน้าต่อทะเบียนเจ้าสารเคมีตัวนี้ไปแล้วเรียบร้อย

เห็นแล้วก็อดรู้สึกทะแม่งๆไม่ได้

เพราะการแสดงออกของ “กรมวิชาการเกษตร” ในเรื่องนี้ ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่ากำลังเห็นแก่ผลประโยชน์ในเรื่องการปกป้องสุขภาพ สุขอนามัย ของประชาชนตรงไหน

ตรงกันข้าม กลับทำเสมือนกำลัง “เพิกเฉย” ต่อคำเตือนของคณะกรรมการขับเคลื่อนปัญหาการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งไม่ได้มีเพียงแค่ รมว.สาธารณสุข เป็นประธานด้วยตนเอง แต่ยังมีองค์ประกอบที่หลากหลาย ทั้งแพทย์ เภสัชกร นักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงมีผู้แทนกรมวิชาการเกษตรร่วมเป็นกรรมการอยู่ด้วยเช่นกัน

หรือถ้ากรมวิชาการเกษตรกำลังคิดว่า คณะกรรมการชุดนี้รวมถึงกระทรวงสาธารณสุข “นั่งเทียน” มโนถึงผลกระทบเรื่องดังกล่าวเอาเอง ก็ต้องบอกว่าเรื่องนี้ไม่ได้มีแค่กระทรวงสาธารณสุขหรือภาคประชาชนที่กลุ่มผู้ค้าสารเคมีพยายามยัดเยียดข้อหา “ขาประจำ” เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองเอาไว้เท่านั้น

แม้แต่ “คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ” หรือ สช. ก็มีการติดตามข้อมูลเรื่องนี้กันมานานแล้ว

เห็นการทำงานของ กรมวิชาการเกษตร ในยุคนี้แล้ว ทำให้อดคิดถึงสมัยคุณ “ดำรง จิระสุทัศน์” เป็นอธิบดีไม่ได้ จำได้ว่าสมัยนั้นคุณดำรงนี่แหละที่เคยใช้อำนาจปฏิเสธการขึ้นทะเบียน คาร์โบฟูราน และเมโทมิล เพราะพบว่าสารทั้ง 2 ชนิดมีความเป็นพิษสูงมากมาแล้ว แม้ว่า “คณะกรรมการวัตถุอันตราย” จะยังไม่เคยมีความเห็นหรือมติเกี่ยวกับสารทั้ง 2 ชนิดนี้มาก่อนก็ตาม

ส่วนสมัยนี้ก็อย่างที่เห็นครับ

สุขภาพคนไทย..เอาไว้ก่อนก็แล้วกัน

มะลิลา