แตกใบอ่อน : สุนัขกับราชสีห์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/306087

807934531

แตกใบอ่อน : สุนัขกับราชสีห์

วันพฤหัสบดี ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560, 06.00 น.

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว วันอังคาร 21 พฤศจิกายน ได้ยินโฆษกรัฐบาล “สรรเสริญ แก้วกำเนิด” แถลงมติ ครม. ที่ให้ความเห็นชอบการประกาศให้เรื่อง “สิทธิมนุษยชน” เป็นวาระแห่งชาติ เพราะหวังจะลบภาพที่คนชอบมองว่ารัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง หรือจะให้พูดกันให้ชัดๆ ก็คือ “รัฐบาลรัฐประหาร” นี่แหละ ที่มักเป็นไม้เบื่อไม้เมาและชอบมีปัญหาในประเด็นสิทธิมนุษยชน

บอกตรงๆนะครับ ได้ยินโฆษกรัฐบาลแถลงวันนั้นก็คิดอยู่ว่า ทำไมจะต้องพยายามกันขนาดนั้นเลยหรือ เพราะถ้าคิดจะเอาใจใส่จริง ไม่ต้องประกาศ “สร้างภาพ” ให้เสียเวลาหรอกครับ มันต้องทำเลย

ที่สำคัญ ไม่ว่ารัฐบาลจะประกาศนโยบายออกมาสวยหรูยังไง แต่ท้ายที่สุดแล้ว ถ้านายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี หรือบริวารแวดล้อม ยังทำตัวเส็งเคร็ง คอยใช้อำนาจปิดปาก ลิดรอนสิทธิ และเบียดเบียนเหยียบหัวชาวบ้าน มันก็ไม่มีประโยชน์หรอกครับ

ทุกอย่างมันอยู่ที่การกระทำของรัฐบาลเองว่าคุณเลือกจะเป็น หรือจะทำอะไร ไม่ได้เกิดจาก “ภาพ” ที่สร้างขึ้นมาแม้แต่น้อย

กำลังคิดถึงเรื่องนี้อยู่เพลินๆ มาสัปดาห์นี้ ก็เอาแล้วเต็มๆ กับเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ตำรวจยกกำลังเข้าสลายกลุ่มชาวบ้านเครือข่ายคนสงขลา-ปัตตานีไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน ระหว่างเดินเท้าจะเข้าไปขอยื่นหนังสือถึงนายกฯเพื่อชี้แจงเหตุผลคัดค้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าเทพา จนชาวบ้านเขาต้องออกมาร้อง “ถุย” ใส่วาระแห่งชาติเรื่อง “สิทธิมนุษยชน” ของรัฐบาลกันเป็นแถว

แต่แทนที่รัฐบาลจะรู้สึกสำเหนียก รีบแก้ไขสถานการณ์สร้างความเข้าใจกับชาวบ้าน กลับกลายเป็นช่วยกันเรียงหน้าออกมาให้สัมภาษณ์กล่าวหาชาวบ้าน เสมือนหนึ่ง “ท่องจำ” กันมาว่า ชาวบ้านทำร้ายตำรวจก่อน เออ.. เอาเข้าไปสิ

นี่ยังไม่นับกับที่โฆษก “สรรเสริญ แก้วกำเนิด” ที่ช่วยโชว์วุฒิภาวะจากการให้สัมภาษณ์ถึงกรณีแกนนำชาวบ้านคนหนึ่งที่ตอนแรกมีข่าวว่าหายตัวไป ซึ่งแกพูดไว้อย่างอย่างไรก็ลองไปหาอ่านและตัดสินกันเอาเองนะครับว่าจะน่าชื่นชมหรือสมเป็น “ชายชาติทหาร” มาน้อยขนาดไหน

และนี่ก็ยังไม่นับรวมถึง “พฤติกรรม” ของทหาร คือ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ภาค 4 ส่วนหน้า ที่ทำหนังสือป่าวประกาศขอความร่วมมือจากสื่อมวลชน จ.สงขลา ให้มาทำข่าว “กลุ่มสนับสนุน”โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าเทพา ซึ่งส่อแสดงถึงการ “วางตัว” ของเจ้าหน้าที่รัฐว่า มีความ “เป็นกลาง” จนน่านับถือมากน้อยขนาดไหน

ภาพที่ออกมาเลยกลายเป็นว่า กลุ่มสนับสนุนโรงไฟฟ้าเทพาได้รับการ “อุ้มชู” จากเจ้าหน้าที่รัฐ จากรัฐบาล ขณะที่กลุ่มคัดค้านได้รับ “กุญแจมือ” ได้รับโซ่ตรวน ได้รับการดูถูกเหยียดหยามจากรัฐ

แบบนี้มันใช่ที่เขาเรียกว่า 2 มาตรฐานหรือเปล่า

และแบบนี้มันสมควรหรือไม่ที่จะมีใครมาถ่มถุยใส่ “วาระแห่งชาติ” เรื่องสิทธิมนุษยชนของรัฐบาล

ต้องไม่ลืมนะครับว่า การเดินทางลงมาประชุม “ครม.สัญจร” ครั้งนี้ รัฐบาลก็พูดเองไม่ใช่หรือว่า มาเพื่อรับฟังปัญหาของชาวบ้าน รับฟังปัญหาของประชาชน

หรือในมุมมองของรัฐกำลังคิดว่าปัญหาของคนเทพา คนสงขลา คนปัตตานี ที่คัดค้านโรงไฟฟ้า ไม่ใช่ปัญหาของรัฐบาล เลยไม่อยากจะรับฟัง และถึงกับต้องใช้กำลังตำรวจเข้าไปสลายการชุมนุม ทั้งที่ความจริงมันมีวิธีที่ดีกว่านี้มากมายที่สามารถทำและจัดการปัญหาได้ แต่กลับไม่ทำ

พฤติกรรมของรัฐบาลเวลานี้ จึงไม่ต่างจากเป็นการเหยียบย่ำทำลายคำว่า “สิทธิมนุษยชน” ลงไปด้วยเท้าเอง ที่แย่ไปกว่านั้น อาจจะพาลไปกระทบกับการสร้างรอยร้าวในสังคมไทยให้บาดลึกลงไปอีกและแทบไม่ต้องพูดถึงอีกเลยกับคำว่า “ปรองดอง”

บรรทัดนี้จึงขอไว้อาลัยให้กับ “วาระแห่งชาติ” ด้านสิทธิมนุษยชนของรัฐบาล ที่ตายตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด

พูดไปก็ให้อดคิดถึงคำคมในวงเหล้าที่หลายคนเคยเปรียบเปรยเอาไว้กันเล่นๆ

คนมันจะเป็นหงส์ ยังไงมันก็เป็นหงส์ ส่วนใครจะเป็นหมา จะเป็นอีกา เมื่อเกิดมาเป็นแบบนั้นมันก็ต้องเป็นแบบนั้น จะมาคุยโวโอ้อวดสร้างภาพให้ตัวเองเป็นราชสีห์หรือเป็นอะไรให้ดูดี ก็คงยากครับ

เพราะพฤติกรรมมันฟ้องอยู่

มะลิลา

แตกใบอ่อน : ทิศทางและอนาคตของเกษตรกรไทย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/304749

807934531

แตกใบอ่อน : ทิศทางและอนาคตของเกษตรกรไทย

วันพฤหัสบดี ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560, 06.00 น.

ในช่วงนี้ถ้าจะถามว่าจะทำอะไรดี จะปลูกอะไรดี จะขายอะไรดี…ผู้ที่ถูกถามคงอึดอัดลำบากใจมิใช่น้อย เพราะเศรษฐกิจของไทยหลายด้านไม่ค่อยจะดี และอยู่ในช่วงปรับเปลี่ยนในหลากหลายมิติ เช่น การปรับยุทธศาสตร์ชาติระยะยาวเป็น 10 ปี 20 ปี ซึ่งก็ยังไม่แน่ใจว่าการที่เราวางแผนยาวนานเกินไปนั้น จะเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่กับโลก “ดิจิตอล” ที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งถ้ามีการตั้งกฎระเบียบ กฎเกณฑ์ที่ไม่ยืดหยุ่น หรือไปล็อกอะไรมากๆ เข้า ก็ไม่รู้ว่าระยะยาววิถีชีวิตของลูกหลานในอนาคต จะสอดคล้องกับสิ่งที่รัฐบาลยุคนี้วางไว้หรือไม่

หลายท่านคงจะทราบกันดีว่าประเทศชาติของเรากำลังมุ่งไปสู่ไทยแลนด์ 4.0ต้องการก้าวข้ามไปสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ภาครัฐพยายามจะทำให้ประชากรมีรายได้ 12,000-15,000 เหรียญสหรัฐต่อคนต่อปี ให้ได้ภายใน 20 ปี แต่ก็ไม่แน่ใจว่าการส่งเสริมเกษตรกรรมภายใต้ไทยแลนด์ 4.0 ที่เน้นให้เกษตรกรเป็นสมาร์ทฟาร์มเมอร์ หรือเกษตรแปลงใหญ่นั้นมีความชัดเจนมากน้อยเพียงใด

ที่สำคัญเกษตรกรส่วนใหญ่รู้ชะตากรรมหรือไม่ว่า รัฐบาลอาจจะกำลังพยายามลดสัดส่วนจำนวนของเกษตรกรให้น้อยลง เหมือนกับประเทศที่พัฒนาแล้ว อย่าง ยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่น ที่มีเกษตรกรอยู่เพียงส่วนน้อยแต่เป็นรายใหญ่ ประชาชนที่เหลือก็จะเป็นแรงงาน เป็นพนักงานบริษัท ทำให้ชาวยุโรป อเมริกา กลัวการตกงานเป็นอย่างมาก เพราะอาชีพรองรับด้านการเกษตรไม่มีเหมือนบ้านเรา

ประเทศไทยมีเกษตรกรประมาณเกือบ 20 ล้านคน สมมุติถ้าสัดส่วนเกษตรกรในอนาคตลดลงเหลือแค่ 5% ที่มีความสามารถหรือมีศักยภาพในการทำเกษตรแปลงใหญ่ หรือเกษตรกรรมที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยได้ เกษตรกรส่วนที่เหลือจะไปอยู่ตรงไหน ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor) ที่รัฐพยายามผลักดัน จะมีตำแหน่งงานรองรับเพียงพอกับจำนวนคนจากภาคการเกษตร ซึ่งเป็นรุ่นลูกหลานของเกษตรกรในปัจจุบันหรือไม่ สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องคิดให้ดี

“ชะตากรรมของเกษตรกรไทย” หากจะดำรงอยู่รอดได้ เชื่อว่าน่าจะต้องอาศัยความรู้ความสามารถของตัวเกษตรกร รวมถึงการสนับสนุนของภาครัฐในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเกษตรกรไทย ให้ปลอดภัยไร้สารพิษ เพื่ออำนาจการต่อรองกับนายทุนจากทั้งในและต่างประเทศ ด้วยการให้ความสำคัญในเรื่องของการพัฒนาตนเองให้มีความรู้ในการลดต้นทุน เน้นการสร้างปัจจัยการผลิตด้วยลำแข้งของตนเอง เพื่อสร้างแหล่งอาหารที่ปลอดภัย ทดแทนการใช้สารเคมีและพิษ ไม่ว่าจะเป็นการทำปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก จากเศษซากอินทรียวัตถุที่ได้จากการเก็บเกี่ยวผลผลิต การผลิตจุลินทรีย์ย่อยสลายอินทรียวัตถุของตนเอง อย่างจุลินทรีย์จากมูลสัตว์เคี้ยวเอื้อง (วัว ควาย แพะ แกะ) ทดแทนการนำเข้าจุลินทรีย์จากต่างประเทศ การให้ความสำคัญกับจุลินทรีย์ท้องถิ่นสายพันธุ์ไทย โดยการหมักขยายกับน้ำมะพร้าวอ่อน นมยูเอชที ไข่ไก่ แป้งข้าวโพด แป้งข้าวเจ้า แป้งข้าวเหนียว ในการป้องกันปราบปราบโรคแมลงศัตรูพืช ทดแทนการใช้สารเคมีวัตถุอันตรายที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศกว่า 20,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงมากๆ มองในแง่ปริมาณของสารวัตถุอันตรายทั้งหมดก็จะมีมากถึงกว่า 160,000,000 กิโลกรัม (หนึ่งร้อยหกสิบล้านกิโลกรัม หรือ หนึ่งแสนหกหมื่นตัน) ลองคิดดูว่าปริมาณสารต่างๆ เหล่านี้ไปอยู่ที่ไหน ซึ่งล้วนแล้วแต่นำไปฉีดพ่น ราด รด พื้นดินแหล่งเพาะปลูกทั่วประเทศ ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นป่าต้นน้ำ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย แพร่ น่าน เพชรบูรณ์ ตาก ฯลฯ และสารพิษที่ตกค้างเหล่านี้เมื่อฝนตกก็ถูกชะล้างไหลลงสู่เขื่อน ห้วย หนอง คลอง บึง ทำให้ระบบนิเวศต่างๆ อย่าง สัตว์น้ำ กุ้ง หอย ปู ปลา ล้มหายตายจาก บางชนิดอาจจะกลายพันธุ์ หรือสูญพันธุ์ไป

ทิศทางของภาคการเกษตรไทยนั้น ถ้ามุ่งไปสู่การทำเกษตรที่ดี มีคุณภาพ ปลอดภัยไร้สารพิษ หรือเกษตรอินทรีย์ รวมถึงแปรรูปให้หลากหลายสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค ก็จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มได้ และผู้บริโภคทั่วโลกก็จะหันมานำเข้าอาหารที่ปลอดภัยจากภาคเกษตรของไทย สำหรับผู้ที่มีข้อสงสัยหรือต้องการคำปรึกษา สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โทร. 0-2986-1680-2

มนตรี บุญจรัส

ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ

แตกใบอ่อน : พลังงานลม..พลังงานล้ม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/303388

807934531

แตกใบอ่อน : พลังงานลม..พลังงานล้ม

วันพฤหัสบดี ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560, 06.00 น.

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมไม่แน่ใจว่าจะมีใครทันสังเกตบ้างหรือไม่ว่า มีข่าวเล็กๆ เกี่ยวกับวงการพลังงานบ้านเรา ที่กลายเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นไปปรากฏอยู่ตามสื่อหลายแห่งทั้งไทยและต่างประเทศ ซึ่งแม้จะเป็นเพียงข่าวเล็กๆ แต่ผลที่ตามมาต้องถือว่าไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แน่นอน เพราะดันไปเกี่ยวข้องกับอนาคตของ “วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง” กลุ่มธุรกิจพลังงานลมรายใหญ่ของประเทศไทย ซึ่งถ้าผมจำไม่ผิด เข้าใจว่าน่าจะอยู่ในระหว่างการแต่งตัวเพื่อเตรียมเข้า “ตลาดหลักทรัพย์ฯ” ในเร็วๆ นี้

ข่าวที่ว่าก็คือกรณี คณะอนุญาโตตุลาการของหอการค้านานาชาติ (ICC) มีคำสั่งห้ามไม่ให้จำหน่ายจ่ายโอนหุ้นจำนวนร้อยละ 59.4 ของหุ้นทั้งหมดในวินด์ เอนเนอร์ยี่ตามข่าว เขาบอกว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาข้อพิพาทระหว่าง บริษัทซิมโฟนี พาร์ทเนอร์ส ลิมิเต็ด (SPL) บริษัท เน็กซ์ โกลบอล อินเวสเม้นท์ส ลิมิเต็ด (NGI) และบริษัทไดนามิค ลิ้งค์ เวนเจอร์ส ลิมิเต็ด (DLV) กับ บริษัทผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ “วินด์ เอนเนอร์ยี่” ประกอบด้วย บริษัท เคพีเอ็น เอนเนอยี โฮลดิ้ง จำกัด (KPNEH) และ บริษัทฟูลเลอร์ตัน เบย์ อินเวสต์เม้นท์ ลิมิเต็ด (Fullerton)

โดยข้อพิพาทที่เกิดขึ้น ก็เป็นผลเกี่ยวเนื่องมาจากการที่ “ณพ ณรงค์เดช” ได้เข้าไปซื้อกิจการ บริษัท เคพีเอ็น เอนเนอยี (ประเทศไทย) จำกัด (KPNET) หรือชื่อเดิมว่า บริษัท รีนิวเอเบิล เอนเนอร์ยี คอร์เปอร์เรชั่น จำกัด (REC) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่จำนวนร้อยละ 59.4 ของ วินด์ เอนเนอร์ยี่ แต่กลับมีการชำระค่าหุ้นไม่เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ ก็เลยกลายเป็นเรื่องเป็นราวกันขึ้นมา กระทั่งอนุญาโตตุลาการจึงมีคำสั่งคุ้มครองโดยห้ามการจำหน่ายจ่ายโอนดังกล่าว เพื่อป้องกันความเสียหายที่ไม่อาจแก้ไขเยียวยาได้ในอนาคต รวมทั้งเป็นหลักประกันการชำระเงินตามสัญญาซื้อขายหุ้นระหว่างคู่กรณีทั้ง 2 ฝ่าย

ขณะที่สื่อต่างประเทศยักษ์ใหญ่อย่าง “ไฟแนนเชียล ไทมส์” ฉบับวันที่ 8 พฤศจิกายน ก็มีการรายงานทำนองว่า คำสั่งของอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศในเรื่องนี้ ไม่ได้เพียงแค่เป็นการห้ามจำหน่ายจ่ายโอหุ้นจำนวน 59.4% ของ “วินด์ เอนเนอร์ยี่” จนกว่าจะมีคำชี้ขาดในข้อพิพาทออกมาก่อนเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงการห้ามทำธุรกรรมทางการเงินเกี่ยวกับหุ้นจำนวนนี้ เช่น เอาไปค้ำประกันเงินลงทุน หรืออื่นๆ รวมทั้งบริษัทคู่กรณีของ “วินด์ เอนเนอร์ยี่” ยังได้ประกาศให้รางวัลตอบแทนสำหรับผู้ที่มอบหลักฐานการ
กระทำที่ขัดต่อคำสั่งดังกล่าว เป็นเงินถึง 10 ล้านบาท

ตรงนี้แหละครับที่อาจทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ เพราะถ้าไล่อ่านตามตัวอักษรดีๆ ก็จะเท่ากับว่านี่ไม่ได้เป็นการอ้างคำสั่งอนุญาโตตุลาการฯเพื่อ “แช่แข็ง” หุ้นเท่านั้น แต่ยังหมายรวมไปถึงความเป็นไปได้ในการดำเนินคดีกับบุคคลใดๆ ก็ตามที่จะเข้าไปทำธุรกรรมใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับหุ้นของ “วินด์ เอนเนอร์ยี่” ซึ่งแน่นอนว่า อาจสะเทือนต่อแผนการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯของ “วินด์ เอนเนอร์ยี่”
เอง

เรื่องนี้ นาทีนี้ แม้ยังไม่ทราบว่า ตกลงใครถูกใครผิด ทุกอย่างมีเบื้องหลังเบื้องลึกยังไง เนื่องจากข้อเท็จจริงลึกๆ ก็คงมีแต่คู่กรณี 2 ฝ่ายเท่านั้นที่รู้ดี แต่บอกตรงๆ ครับว่า เรื่องนี้น่าจะไม่จบง่ายๆ และท่าทาง 2 ฝ่ายคงจะต้องต่อสู้กันไปอีกยาว ซึ่งก็น่าเป็นห่วงว่าจะยิ่งทำให้อนาคตของ “วินด์ เอนเนอร์ยี่” ต้องเจอกับเรื่องติดๆ ขัดๆ ไม่หยุด ก้าวไปไหนไม่ได้เสียที และการสะดุดหยุดชะงักของ “วินด์ เอนเนอร์ยี่” ก็ไม่ต่างอะไรกับการทำให้วงการพลังงานทางเลือกในบ้านเราก้าวไปข้างหน้าได้ช้าลงไปเรื่อยๆ …ก่อนหน้านี้เมื่อตอนต้นปี กลุ่มบริษัทด้านพลังงานลมก็จุกกันไปครั้งหนึ่งแล้วจากกรณีใช้ที่ดิน ส.ป.ก.

ก็ได้แต่เอาใจช่วยนะครับ เพราะไม่อยากให้พลังงานลมต้องมาจบด้วยการกลายเป็น “พลังงานล้ม” ไป

มันน่าเสียดายครับ

มะลิลา

แตกใบอ่อน : สุดท้ายก็ทหาร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/302011

807934531

แตกใบอ่อน : สุดท้ายก็ทหาร

วันพฤหัสบดี ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560, 06.00 น.

นับเป็นกระแสที่มาแรกพอสมควร สำหรับการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) รัฐบาล “ประยุทธ์ 5” ซึ่งตามข่าวที่ออกมาจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รวมทั้ง “พี่ใหญ่” อย่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ต่างออกมา “ส่งซิก” ตรงกันว่า ปรับ ครม. รอบนี้จะเป็นการปรับใหญ่ โดยจะมีการลดสัดส่วนรัฐมนตรีจากสายทหาร พร้อมทั้งดึงคนนอกเข้ามาช่วยงานมากขึ้น

ที่สำคัญ คือ หนึ่งในเป้าหมายใหญ่ของการปรับ ครม. รอบนี้ ก็ไม่ใช่ใคร แต่เป็น “บิ๊กฉัตร” พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ นั่นเอง และดีไม่ดี ก็อาจจะรวมไปถึงตัวของ รัฐมนตรี “ชุติมา บุณยประภัศร” รมช.เกษตรและสหกรณ์ อีกราย

กรณี “บิ๊กฉัตร” แม้จะบอกได้ว่า เจ้าตัวค่อนข้าง “ชาชิน” กับกระแสข่าวลักษณะดังกล่าว เพราะผ่านมากี่ครั้งๆ มีกระแสข่าวปรับ ครม. เมื่อไร เป็นต้องมีชื่อติดโผไปกับเขาด้วยทุกครั้ง แต่ก็อยู่ยงคงกระพันยึดเก้าอี้ของตัวเองเอาไว้ได้ตลอดเช่นกัน

แต่รอบนี้บอกได้คำเดียวว่าเห็นทีจะลำบาก เพราะมีข่าวว่า นายกฯเรียก “บิ๊กฉัตร” ซึ่งเป็น “เพื่อนซี้” ไปเคลียร์ใจแจ้งข่าวกันล่วงหน้าแล้ว ขณะที่ฝ่าย “บิ๊กฉัตร” ก่อนหน้านี้ก็ได้ออกมาเปรยแบบปลงๆ พูดเป็นนัยว่า “ถ้าท่านแต่ถ้าท่านไม่มอบหมาย เราก็กลับ ผมก็อยากพักจะตาย”

ทำให้กระแสยิ่งชัดแจ้งมากว่า ปรับ ครม. รอบนี้ ยังไง “บิ๊กฉัตร” ก็ไม่รอด

อย่างน้อยก็ต้องย้ายกระทรวงนั่ง!

โดยกระแสข่าวบอกว่า ถ้า “บิ๊กฉัตร”
ยังอยู่ ก็จะถูกโยกไปคุมกระทรวงแรงงานฯ แทน “บิ๊กบี้” พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ที่เพิ่งลาออกไป

ขณะที่ในส่วนของรัฐมนตรี “ชุติมา” แม้จะไม่ได้เป็นเป้าใหญ่ในกระแสปรับ ครม. ครั้งนี้ แต่ก็มีเรื่องให้ชวนจับตาว่า อาจต้องหลุดจากเก้าอี้ไปอีกคน ภายหลังจากมีกระแสข่าวหนาหูว่า หนึ่งใน “คนนอก” ที่ถูกทาบทามให้มานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีในรัฐบาล “ประยุทธ์ 5” คือ “ยุคล ลิ้มแหลมทอง” อดีตปลัดและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ จากค่าย“ปลาไหล” ในสมัยรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์”

แต่ครั้งนี้ยอม “ลดเกรด” มานั่งที่เก้าอี้ “รัฐมนตรีช่วยว่าการ” แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่าที่มานั่งนั้น เป็นการมานั่งแทน “รมช.ชุติมา” ด้วยหรือไม่

และหากสงสัยว่า ใครเป็นคนทาบทามคุณยุคลมานั่งเก้าอี้ ถ้าให้ตอบตามกระแสข่าวก็ต้องบอกว่า ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกรัฐมนตรีเศรษฐกิจผู้รับประทาน “เกาเหลา” กับ “บิ๊กฉัตร” นั่นเอง

ส่วนคนที่จะมาคุมกระทรวงเกษตรฯ บนเก้าอี้ “รมว.เกษตรฯ” แม้บรรดาผู้ใหญ่ในรัฐบาลจะออกท่าขึงขังปล่อยข่าวเรื่องการลดรัฐมนตรีในส่วนทหารลงไป แต่ก็ต้องบอกว่า “ไม่ใช่” สำหรับกระทรวงเกษตรฯ เพราะตามโผที่ออกมา คนที่จะมานั่งรัฐมนตรีว่าการคือ “พล.อ.ยอดยุทธ บุญญาธิการ” เพื่อนรัก “ตท.12” อีกคนหนึ่งของ พล.อ.ประยุทธ์ นั่นเอง

จึงเท่ากับว่า ท้ายที่สุดไม่ว่าจะเปลี่ยน “บิ๊กฉัตร” หรือใครมา สุดท้ายคนที่คุมกระทรวงเกษตรฯก็ยังคงเป็น “ทหาร” อยู่ดี ซึ่งก็ต้องลุ้นกันต่อไปว่า จะมีฝีมือพอหรือไม่ เพราะปัญหาสำคัญของกระทรวงเกษตรฯ ไม่ได้มีแค่เรื่องการเพาะปลูก ราคาสินค้า หรืออะไรเทือกนี้อย่างเดียว แต่ยังมีประเด็น “เสือ สิงห์ กระทิง แรด” ในกระทรวงอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นปัญหาสำคัญ

อย่างไรก็ตาม ต้องไม่ลืมว่าโผก็คือโผนะครับ จะให้ทุกอย่างชัดเจนก็ต้องพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

มะลิลา

แตกใบอ่อน : ม.44 ลักหลับ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/300593

807934531

แตกใบอ่อน : ม.44 ลักหลับ

วันพฤหัสบดี ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560, 06.00 น.

ไม่รู้เป็นเจตนาหรือเรื่องบังเอิญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จึงอาศัยจังหวะเวลาเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2560 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเวลาที่คนไทยทั้งประเทศกำลังใจจดจ่ออยู่กับงานพิธีสำคัญ พล.อ.ประยุทธ์ ก็มาใช้อำนาจพิเศษตามมาตรา 44 ออกประกาศคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 47/2560 เรื่อง ข้อกําหนดการใช้ประโยชน์ในที่ดินในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาค
ตะวันออก หรือ อีอีซี (Eastern Economic Corridor – EEC) โดยให้มีผลบังคับใช้ทันที

แต่ไม่ว่าจะด้วยเจตนาใด ก็คงไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะสิ่งสำคัญมันอยู่ที่ข้อใหญ่ใจความของเนื้อหาคำสั่งดังกล่าวมากกว่า โดยในคำสั่งที่ 47/2560 มีสาระสำคัญอยู่ที่การกำหนด “อำนาจ” ในการจัดทำแผนนโยบายและแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินขึ้นใหม่ในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี ซึ่งหลักๆ มีอยู่ 3 จังหวัด คือ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง

หรือถ้าจะพูดให้เข้าใจเป็นภาษาชาวบ้าน ก็คือ คำสั่งฉบับนี้เป็นคำสั่งให้ไม่ต้องนำกฎหมายว่าด้วยการผังเมืองมาใช้บังคับในการจัดทำแผนการใช้ประโยชน์ในที่ดิน และแผนผังการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบ สาธารณูปโภค หรืออีกนัยหนึ่ง ก็คือ เป็นการ “ฉีก” ผังเมืองรวมที่ใช้ในปัจจุบันซึ่งเป็นผังเมืองที่จัดทำขึ้นโดยผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะผู้มีส่วนได้เสียกับการก่อเกิดของ “นิคมอุตสาหกรรม” ทิ้งไปทั้งหมด โดยให้อำนาจ “คณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก” เป็น
ผู้พิจารณาและให้ความเห็นชอบแผนการใช้ประโยชน์ในที่ดินและจัดทำผังเมืองใหม่ขึ้นแทน

ถามว่าเรื่อง “ผังเมือง” มันสำคัญมากขนาดไหน

คำตอบก็ต้องบอกว่าสำคัญมากถึงมากที่สุด โดยเฉพาะในจังหวัดที่มี “นิคมอุตสาหกรรม” ซึ่งที่ผ่านมามักต้องประสบกับปัญหาการรั่วไหลของ “มลพิษ” ทั้งทางอากาศ ทางน้ำ จากโรงงานอุตสาหกรรมอยู่เป็นระยะ ซึ่งแน่นอนว่า คนที่ได้รับผลกระทบก็ล้วนเป็นชาวบ้านที่อยู่อาศัยรอบๆ โรงงานเหล่านั้น ดังนั้นจึงมีความพยายามมาโดยตลอดจากฝ่ายชาวบ้านและภาคประชาชน ที่ต้องการ “จำกัด” การเติบโตและการขยายตัว รวมทั้งเพิ่มกระบวนการตรวจสอบควบคุมการปล่อย “มลพิษ” ของโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างเข้มข้นมากขึ้น ซึ่งแน่นอนเช่นกันว่า การกระทำแบบนี้นักลงทุนไม่ชอบแน่

ปัญหาเรื่อง “ผังเมือง” จึงเป็นปัญหาที่คอยแยกขั้วระหว่างชาวบ้านกับนักลงทุน และอาจรวมถึงรัฐบาลที่อยากจะได้เม็ดเงินของนักลงทุนเพื่อมาปั้นตัวเลขทางเศรษฐกิจกันใจแทบขาด

และที่ผ่านมา กลุ่มนักลงทุนก็มักใช้เงื่อนไข “ผังเมือง” โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการขยายพื้นที่สีม่วง หรือพื้นที่เขตอุตสาหกรรม มาต่อรองกับรัฐให้ปรับผังเมืองใหม่ เพื่อแลกกับการเพิ่มการลงทุนอยู่เสมอ

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา “เสียง” ของประชาชนจะค่อนข้างมีน้ำหนักความสำคัญมากกว่า เพราะไม่ว่ารัฐบาลจะเต็มใจหรือไม่ แต่ “กฎหมายผังเมือง” มีข้อกำหนดเกี่ยวกับขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนผู้มีส่วนได้เสียงในการจัดทำผังเมืองเอาไว้ ซึ่งเท่ากับเป็น “หลักประกัน” ให้กับประชาชนในพื้นที่เพื่อไม่ป้องกันการได้รับผลกระทบนั่นเอง

ด้วยกฎหมายผังเมืองฉบับเดียวกันนี้เอง จึงทำให้เมื่อต้นปีที่ผ่านมาคนชลบุรีและระยอง ได้ “ผังเมือง” ฉบับใหม่ ที่ผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน รวมทั้งให้ความสำคัญต่อประเด็นการเพิ่มพื้นที่อนุรักษ์ธรรมชาติ ลดพื้นที่อุตสาหกรรม และจัดสรรพื้นที่กันชนระหว่างภาคอุตสาหกรรมและชุมชนที่อยู่อาศัยมากขึ้น

คำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับนี้จึงไม่ต่างไปจากการ “ลักหลับ” เพื่อทำลาย “หลักประกัน” ของประชาชนจนแทบไม่เหลือชิ้นดีไปนั่นเอง

มะลิลา

แตกใบอ่อน : พ่อยังอยู่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/299403

807934531

แตกใบอ่อน : พ่อยังอยู่

วันพฤหัสบดี ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

แม้นไม่อยากให้มาถึง แต่วันนี้ก็ต้องมาถึง

“26 ตุลาคม 2560” วันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พระผู้เปรียบเสมือนดั่ง “พ่อ” ผู้ดูแลทุกข์สุขของลูกหลานพสกนิกรชาวไทยทุกคนมาตลอดระยะเวลากว่า 70 ปี ที่ทรงครองสิริราชสมบัติ

ผมเองเชื่อเหลือเกินว่า เราคนไทยที่อยู่ในยุคสมัยร่วมกันนี้ทุกคน แม้จะอยู่กันต่างที่ ต่างถิ่น มาจากสังคม มาจากบริบทที่แตกต่างกันไป แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเราทุกคนมีเหมือนกันชนิดที่แทบจะไม่ผิดเพี้ยนไปเลยก็คือ ภาพความทรงจำเกี่ยวกับในหลวง รัชกาลที่ 9 ของเรา

ผมเชื่อว่า สิ่งที่เราเป็นเหมือนๆ กัน คือ นับตั้งแต่เริ่มจำความได้ จนเติบโตมาถึงทุกวันนี้ ภาพที่คุ้นตามากที่สุดภาพหนึ่งในชีวิตของพวกเรา ก็คือภาพของชายใส่แว่นตาที่เอาแต่เดินทางขึ้นเหนือลงใต้บุกป่าฝ่าดงไปพบปะเยี่ยมเยียนชาวบ้านชนิดไม่เคยหยุดหย่อน

เป็นชายใส่แว่นคนเดียวกับที่ครูในโรงเรียนสอนว่าพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ผู้ครองแผ่นดิน แต่หันไปหาปู่ ย่า ตา ยาย พี่ ป้า น้า อา ทุกคนต่างเรียกขานพระองค์ท่านว่า “พ่อ” ด้วยความภาคภูมิใจ

ที่สำคัญ อดีตที่ผ่านมา ไม่ว่าประเทศไทยจะเผชิญกับปัญหาอะไร ไม่ว่าการเมือง เศรษฐกิจ ภัยแล้ง น้ำท่วม ภัยธรรมชาติ หรืออุปสรรคปัญหาอื่นใด เราทุกคนก็ต่างได้ “พ่อ” ของเรานี่แหละที่คอยออกมาช่วยคลี่คลายปัญหาให้ผ่านพ้นไปด้วยดี

กว่า 70 ปี หรือ 1 ชั่วอายุคนที่ผ่านมา คนไทยจึงมี “ในหลวง” รัชกาลที่ 9 เป็นเสาหลักที่คอยยึดเหนี่ยวจิตใจมาโดยตลอด

นาทีนี้จึงเชื่อว่า เราทุกคนคงมีความรู้สึกไม่ต่างกัน นั่นคือ เราต่างกำลังรู้สึกสูญเสีย

แต่ก่อนที่เราจะจมดิ่งไปกับความเศร้าโศกมากไปกว่านี้ จึงขออนุญาตอัญเชิญพระราชดำรัสของพระองค์ท่าน เมื่อครั้ง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ สิ้นพระชนม์เมื่อปี 2551 ว่า “เสียใจได้ แต่อย่าละเลยหน้าที่ คนที่อยู่ทางนี้ ก็ต้องดำเนินชีวิตต่อไปให้ได้”

นี่คือคำพ่อสอน ที่เราอาจต้องนำมาเตือนสติตัวของเราเองเอาไว้ให้หนักแน่นในเวลานี้ “เสียใจ” ได้ แต่ต้องไม่ลืมหน้าที่ และเราต้องดำเนินชีวิตกันต่อไปให้ได้ ซึ่งโดยส่วนตัวผมเองก็ค่อนข้างเชื่อมั่นว่า พระองค์ผู้อยู่บนสรวงสวรรค์คงไม่ทรงปรารถนาที่จะมองลงมายังแผ่นดินไทย แล้วเห็นลูกหลานของพระองค์เอาแต่จับเจ่าอยู่กับความทุกข์โศก

ดังนั้นจึงอยากขอเชิญชวนเราคนไทยทุกคน แปรเปลี่ยนความเศร้าโศกเสียใจมาเป็น “พลัง” ในการสืบสานพระราชปณิธานของพระองค์ท่าน โดยการยึดถือเอาแนวทางของพระองค์มาปฏิบัติ เพื่อแก้ไขปัญหา และพัฒนาคุณภาพชีวิตทั้งของตนเองและสังคมตามแบบอย่างที่พ่อทำ โดยเฉพาะการสืบสาน “ศาสตร์พระราชา” ที่พระองค์ท่านเคยพร่ำสอนและเตือนสติคนไทยมาโดยตลอดรัชสมัย

ไม่ว่าปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง… การเกษตรทฤษฎีใหม่… ความรู้รักสามัคคี… แนวพระราชดำริ เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา… ต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็น “มรดกทางปัญญา” ที่เราสามารถนำมาปรับใช้เพื่อสร้างประโยชน์สุขให้กับตัวเองและสังคมโดยรวมได้

ที่สำคัญ การน้อมนำคำสอนของพระองค์ท่านมาปฏิบัติ ก็เหมือนกับว่า พระองค์ท่านยังคงอยู่กับเรา ไม่ได้จากเราไปไหนไกลแม้แต่นิดเดียว

“พ่อ”ยังอยู่กับเราเสมอครับ

มะลิลา

แตกใบอ่อน : ‘ใบมันสำปะหลัง’ขุมทองเกษตรกร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/297082

807934531

แตกใบอ่อน : ‘ใบมันสำปะหลัง’ขุมทองเกษตรกร

วันพฤหัสบดี ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

สัปดาห์นี้ขออนุญาตนำเสนอบทความต่อเนื่องของ “ผศ.ดร.เกรียงไกร แก้วตระกูลพงษ์” และคณะ จากภาควิชาเกษตรกลวิธาน คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งได้ทำการศึกษาข้อมูลเพื่อกำหนดต้นแบบและยุทธศาสตร์การเพิ่มพูนข้อมูลความรู้ทิศทางตลาดการค้าสินค้าเกษตร ภายใต้โครงการศึกษาระบบข้อมูลความต้องการของตลาด ซึ่งสนับสนุนโดยสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ โดยสัปดาห์นี้เป็นผลศึกษา “ใบมันสำปะหลัง” ซึ่งเป็นสินค้าที่ถูกมองข้าม ทั้งที่มีคุณค่าทางโภชนาการ สามารถนำไปใช้เป็นอาหารเสริมสุขภาพสัตว์ รวมถึงนำไปใช้ในงานปศุสัตว์เพื่อผลิตสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ได้

อาจารย์เกรียงไกร ชี้ว่า ใบมันสำปะหลังแห้งเป็นวัตถุดิบที่มีคุณค่าทางโภชนาการ มีปริมาณโปรตีนสูงถึง 20-25% สามารถใช้ทดแทนวัตถุดิบโปรตีนที่จะนำมาผลิตเป็นอาหารสัตว์ได้ เช่น โปรตีนจากปลาป่นที่กำลังประสบปัญหาน่านน้ำการจับปลา โปรตีนจากกากถั่วเหลืองที่เจอปัญหา GMO ซึ่งหากทดแทนได้สักประมาณ 10% ประเทศไทยจะสามารถลดการนำเข้าโปรตีนได้ถึง 4,035 ล้านบาท (จากข้อมูลกากถั่วเหลืองนำเข้าปี 2558 จำนวน 2.69 ล้านตัน) นอกจากคุณค่าทางโปรตีนที่สูงแล้ว ยังมีสารแซนโทฟิลล์ที่ช่วยการเจริญเติบโตของสัตว์ และสารแทนนินที่ช่วยป้องกันพยาธิในสัตว์ได้เช่นกัน รวมทั้งยังนำมาเป็นอาหารมนุษย์ได้ด้วย โดยใบมันสำปะหลังแห้งน้ำหนัก 400 กรัมจะเทียบเท่ากับปริมาณโปรตีน 45 ถึง 50 กรัมที่ร่างกายมนุษย์ต้องการ

หลังจากเก็บใบมันสำปะหลังสดมาแล้วให้นำไปตาก/ผึ่งแดดให้แห้ง โดยอาจสับเป็นชิ้น ซึ่งจะทำให้ตากแห้งได้เร็วขึ้น ระหว่างการตาก ควรกลับใบมันสำปะหลังไปมาเป็นระยะๆ เพื่อให้ส่วนใบและก้านแห้งได้ทั่วถึง โดยตากแดด 2-3 แดด ตามปกติใบมันสำปะหลังจะมีสารพิษสำคัญ 2 ชนิด คือกรดไฮโดรไซยานิคและสารแทนนิน แต่เมื่อตากแห้งแล้วจะมีกรดไฮโดรไซยานิคเหลืออยู่ในระดับที่ต่ำมากไม่เกิน 30 ส่วนในล้านส่วน (ppm) เช่นเดียวกับในมันเส้นที่สารพิษจะระเหยออกไประหว่างผึ่งแดด จนเหลือในระดับไม่เป็นอันตรายสำหรับสัตว์และยังช่วยกระตุ้นให้สัตว์มีความต้านทานโรคเพิ่มขึ้น ส่วนสารแทนนิน เป็นประโยชน์ต่อระบบการย่อยอาหารของสัตว์เคี้ยวเอื้อง โดยปริมาณแทนนินในระดับต่ำ 14.79 มิลลิกรัม/กิโลกรัม จะสามารถควบคุมพยาธิในตัวสัตว์ได้ มีฤทธิ์ควบคุมพยาธิในแพะแกะได้อย่างดี สามารถทดแทนการใช้ยาถ่ายพยาธิในแพะแกะได้ด้วย การใช้ใบมันสำปะหลังเป็นอาหารสัตว์ จึงช่วยลดการใช้สารเคมีในการปศุสัตว์และนำไปสู่การผลิตเป็นเนื้อสัตว์แบบอินทรีย์ หรือนมจากสัตว์แบบอินทรีย์ได้

การเก็บเกี่ยวใบมันสำปะหลังเพื่อนำมาผลิตเป็นอาหารสัตว์นั้น มีห่วงโซ่การผลิตเริ่มจากต้นน้ำ คือ เมื่อต้นมันสำปะหลังมีอายุได้ 4 เดือนขึ้นไปจะสามารถเก็บใบมันสำปะหลังได้ โดยนำไปขายให้กับพ่อค้าคนกลางในราคา 0.8-2 บาทต่อกิโลกรัม สำหรับใบมันสำปะหลังสด หากทำการตากใบมันสำปะหลังแห้งจะขายได้ถึง 4-6 บาทต่อกิโลกรัม หลังจากนั้นพ่อค้าคนกลางจะรวบรวมใบมันสำปะหลังสดที่เกษตรกรมาขายต่อให้กับโรงงานที่แปรรูปใบมันสำปะหลังบดอัดเม็ด โดยจะนำใบมันสำปะหลังสดที่รับซื้อมาตากแดดบนลานตากประมาณ 2-3 แดด จากนั้นทำการบดย่อยและทำเป็นใบมันสำปะหลังอัดเม็ดส่งขายให้กับฟาร์มปศุสัตว์ต่างๆ เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ในทั้งฟาร์มหมู สหกรณ์โคเนื้อ สหกรณ์โคนม รวมทั้งมีการส่งออกใบมันสำปะหลังบดอัดเม็ดไปขายที่ต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยก็มีผู้ประกอบการผลิตและส่งออกใบมันสำปะหลังบดอัดเม็ดไปขายให้กับประเทศเกาหลีใต้ ประเทศนิวซีแลนด์ และประเทศออสเตรเลีย

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันประเทศไทยยังคงมีการนำใบมันสำปะหลังมาใช้ประโยชน์ในปริมาณที่น้อยอยู่ คือ ประมาณไม่เกิน 1% ของพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังของประเทศไทย ชาวไร่มันสำปะหลังส่วนใหญ่มักจะทิ้งใบมันสำปะหลังไว้เพื่อรอให้ย่อยสลายและเป็นปุ๋ยในไร่ หรือนำไปเผา ซึ่งหากมีการเก็บเกี่ยวใบมันสำปะหลังเพียง 10% จากปริมาณมันสำปะหลังที่ปลูกในประเทศไทย และนำมาแปรรูปเป็นใบมันสำปะหลังบดอัดเม็ดเพื่อใช้ในประเทศและส่งออก ก็จะสามารถเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรได้เป็นจำนวนเงินประมาณ 420 ล้านบาทต่อปี

หากสามารถนำใบมันสำปะหลังมาใช้เป็นวัตถุดิบโปรตีนทดแทนการนำเข้าโปรตีนจากกากถั่วเหลืองได้ แม้ทดแทนได้เพียงเล็กน้อย 10% แต่ก็จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถลดการนำเข้าโปรตีนได้ถึง 4,035 ล้านบาท ต่อปีทีเดียว

มะลิลา

แตกใบอ่อน : ‘โซ่คุณค่า’ของข้าว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/295803

807934531

แตกใบอ่อน : ‘โซ่คุณค่า’ของข้าว

วันพฤหัสบดี ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

ผมได้รับบทความจาก ผศ.ดร.เกรียงไกร แก้วตระกูลพงษ์ และคณะ ภาควิชาเกษตรกลวิธาน คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โครงการศึกษาระบบข้อมูลความต้องการของตลาด ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ โดยมีการชี้ให้เห็นถึงการเพิ่มมูลค่าและกำไรให้แก่ชาวนาไทย ซึ่งน่าสนใจไม่น้อย จึงขอนำมาเผยแพร่ต่อ โดยอ.เกรียงไกรท่านว่า ไว้อย่างนี้ครับ

อดีตที่ผ่านมา สมัยการค้าสินค้าเกษตรยังไม่มีความซับซ้อน เกษตรกรไทยมักเลือกปลูกพืชที่ขายได้ราคาดี ขณะที่การขึ้นลงของราคาก็เป็นไปตามปริมาณผลผลิตในตลาด ส่วนปัจจัยที่มีผลกระทบก็มีเพียงภัยธรรมชาติและโรคระบาด แต่ปัจจุบันตลาดมีความซับซ้อนขึ้น มีการส่งออกไปถึงต่างประเทศ ราคาสินค้าจึงผันแปรไปตามอุปสงค์และอุปทานของตลาด นอกจากนี้ปัญหาขาดความรู้ด้านการตลาด สถานการณ์ ทิศทางการค้า อุปสงค์อุปทานโดยรวมของทั้งโลก ก็เป็นปัญหาสำคัญต่อการตัดสินใจลงทุนของเกษตรกร และการกำหนดนโยบายและการวางยุทธศาสตร์ของหน่วยงานภาครัฐ

สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) จึงได้มอบหมายให้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศึกษาระบบข้อมูลความต้องการของตลาด เพื่อกำหนดต้นแบบ และยุทธศาสตร์ในการเพิ่มพูนข้อมูลความรู้ทิศทางการตลาดการค้าสินค้าเกษตรที่ถูกต้อง ครบถ้วน ทันต่อสถานการณ์

ในบทความนี้ได้พูดถึง “โซ่คุณค่า” (Value Chain) ของข้าว ผลผลิตและผลพลอยได้ที่ได้จากกระบวนการสีข้าว พร้อมข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงมูลค่าของผลผลิตและผลพลอยได้ที่ได้จากการสีข้าว ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นวัตถุดิบตั้งต้น สำหรับแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่จะเป็นผลิตภัณฑ์นวัตกรรมจากข้าวและนำไปสู่การเพิ่มมูลค่าในการขายต่อไป

โดยการสีข้าว (Rice Milling) เป็นขั้นตอนการแปรรูปเบื้องต้นของข้าวเปลือก ให้ได้เป็นข้าวสาร หรือข้าวกล้อง เพื่อนำไปรับประทานหรือแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งมีขั้นตอนหลักดังนี้

1.การทำความสะอาดข้าวเปลือก เพื่อแยกสิ่งแปลกปลอม เช่น ฟาง กรวด ทราย ออกจากข้าวเปลือก โดยใช้อุปกรณ์ คือ “ตะแกรงร่อน” ช่วยแยกสิ่งแปลกปลอมต่างๆ ดังกล่าว นอกจากนี้ยังมีตะแกรงแยกเมล็ดซึ่งจะใช้ลมมาช่วยเป่าสิ่งเจือปนที่มีขนาดใกล้เคียงกับข้าวเปลือก แต่มีน้ำหนักเบากว่าออกไป

2.การกะเทาะเปลือก เป็นการแยกเอาเปลือกหุ้มเมล็ด ซึ่งเรียกว่า แกลบ (husk) ออกจากเมล็ดข้าว ในขั้นตอนนี้จะใช้เครื่องกะเทาะ (Huller) โดยอาศัยการเสียดสีกะเทาะให้แกลบหลุดออกจากตัวเมล็ดข้าว ข้าวที่ได้จากขั้นตอนนี้เรียกว่า “ข้าวกล้อง” จากนั้นจึงแยกแกลบและข้าวเปลือกยังไม่ถูกกะเทาะออกจากข้าวกล้อง ซึ่งแกลบเป็นผลพลอยได้จาการสีข้าว อาจนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิง หรือใช้รองพื้นโรงเรือนเลี้ยงสัตว์ได้

3.การขัดขาวและขัดมัน (Whitening and Polishing) เป็นการขัดชั้นรำที่เป็นเยื่อหุ้มเมล็ดออกจากข้าวกล้อง และขัดมันให้ผิวเรียบเป็นเงาสะอาด รำข้าวซึ่งเป็นผลพลอยได้จากขั้นตอนนี้ประกอบด้วยเยื่อหุ้มเมล็ด คัพภะ มีไขมันสูง สามารถนำมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตน้ำมันรำข้าวได้

4.การคัดขนาดข้าวสาร ใช้ตะแกรงขนาดที่มีรูเปิดที่มีความยาวแตกต่างกัน เพื่อแยกข้าวสารเต็มเมล็ดต้นข้าว (Head Rice) ออกจากข้าวหัก และปลายข้าว โดยปลายข้าวนั้นจะมีความยาวประมาณน้อยกว่าหรือเท่ากับ 6/8 ของความยาวเมล็ดเต็ม

ข้าวที่ได้จากการสีแล้วสามารถนำมารับประทานได้โดยตรง หรือนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าในการขาย โดยการเพิ่มมูลค่าของข้าวได้แสดง ซึ่งตัวอย่างหนึ่งในการนำส่วนที่ได้จากข้าวมาสร้างมูลค่าเพิ่ม เช่น การนำปลายข้าว (ราคา 12.50 บาทต่อกิโลกรัม) มาทำเป็นแป้งข้าว จะได้รับราคาเพิ่มขึ้นเป็น 32 บาทต่อกิโลกรัม คิดเป็นมูลค่าเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 156

หากมีการนำรำข้าว (ราคา 7.50 บาทต่อกิโลกรัม) มาทำน้ำมันรำข้าว จะได้รับราคาเพิ่มขึ้นเป็น 57.55 บาทต่อกิโลกรัม คิดเป็นมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 667 และหากมีการนำแกลบ (ราคา 1.20 บาทต่อกิโลกรัม) มาทำเป็นเชื้อเพลิงจะได้รับราคาเพิ่มขึ้นเป็น 1.46 บาทต่อกิโลกรัม คิดเป็นมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 21

ดังนั้นหากเกษตรกรหรือชาวนาไทยมารวมกลุ่มและมีการลงทุนต่างๆ ร่วมกัน เช่น ลงทุนซื้อเครื่องสีข้าวขนาดเล็ก ก็จะเป็นโอกาสให้เกษตรกรนำสินค้าหลายอย่าง เช่น ปลายข้าว รำ แกลบ ไปเพิ่มมูลค่าและขายสร้างกำไรได้

เรื่องแบบนี้ไม่ใช่แค่ในระดับของเกษตรกรเท่านั้นนะครับที่ได้ประโยชน์ หากในระดับอุตสาหกรรมข้าวไทยนำไปคิดไปอ่านทำกันต่อ ก็ยิ่งน่าจะทำกำไรได้มากพอสมควรทีเดียว

มะลิลา

แตกใบอ่อน : นวัตกรรมปราบ‘ผักตบชวา’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/294523

807934531

แตกใบอ่อน : นวัตกรรมปราบ‘ผักตบชวา’

วันพฤหัสบดี ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2560, 06.00 น.

ฝนตกลงมาโครมๆ ในระยะนี้ นับเป็นสัญญาณอย่างดีของการมาถึงของ “น้ำหลาก” ซึ่งเมื่อเกิดน้ำหลาก นอกจากจะต้องมาขบคิดกันถึงแนวทางป้องกันปัญหาน้ำท่วมแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่เป็นปัญหาไม่แพ้กัน คือ “ผักตบชวา” ซึ่งนับเป็น “วัชพืชร้าย” ที่คู่กับแม่น้ำลำคลองในประเทศไทยมานาน

นานจนทำให้ช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลต้องแทบจะทำให้การกำจัดผักตบชวาเป็น “วาระแห่งชาติ” กันเลยทีเดียว เนื่องจากการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและมหาศาลของวัชพืชชนิดนี้ ไม่เพียงส่งผลเสียต่อการกีดขวางการไหลของกระแสน้ำ ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญในช่วงฤดูฝนหรือฤดูน้ำหลากก่อให้เกิดน้ำท่วมเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ การคมนาคมสัญจรท่องเที่ยวและทัศนียภาพของแหล่งน้ำอีกด้วย

ที่เกริ่นมาเสียเยิ่นเย้อ ก็ไม่ใช่อะไร พอดีได้รับข้อมูลจาก “ดร.สามารถ ดีพิจารณ์” ที่ปรึกษาคณบดี วิทยาลัยการบริหารและการจัดการ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ในฐานะประธานโครงการกำจัดผักตบชวาอย่างยั่งยืนด้วยพืชสมุนไพร เกี่ยวกับงานวิจัยนวัตกรรม “กำจัดผักตบชวา ด้วยสารจากสมุนไพร” ซึ่งเห็นว่ามีประโยชน์มาก และหากมีหน่วยงานภาครัฐสนใจจะนำไปทดลองใช้ ก็น่าจะเกิดประโยชน์พอสมควร เลยอยากนำมาเผยแพร่ต่อ

อาจารย์สามารถ ท่านบอกว่า จากสถิติปริมาณผักตบชวาเมื่อเดือนกันยายน 2559 พบว่าทั่วประเทศมีผักตบชวาถึง 6,205,355 ตัน ขณะที่การกำจัดในปัจจุบันมักใช้ 4 วิธี คือ 1.ใช้สารเคมี ซึ่งเป็นที่นิยมเพราะง่ายและประหยัดเวลา แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงต่อผลกระทบสภาพแวดล้อมและสุขภาพประชาชน หากใช้อย่างไม่ถูกวิธี 2.การกำจัดโดยวิธีกล คือใช้แรงงานคนและเครื่องมือเครื่องจักร ซึ่งไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ก็ต้องใช้กำลังคนและเครื่องมือกันวุ่นวายพอสมควร 3.การนำไปใช้ประโยชน์ เช่น แปรรูปและผลิตเป็นเครื่องจักสาน แต่ความสามารถในการผลิตก็คงไม่เท่าทันต่อปริมาณผักตบชวาที่เพิ่มขึ้น และ 4.การกำจัดโดยชีววิธี โดยใช้สิ่งมีชีวิต เช่น แมลง โรคพืช หรือศัตรู เข้าไปกัดกินหรือทำลายผักตบชวา

โดยที่ผ่านมา สจล. ได้วิจัยและพัฒนานวัตกรรม “การกำจัดผักตบชวาอย่างยั่งยืนด้วยสารสกัดจากพืชสมุนไพร” โดยคิดค้นตามกระบวนการทดลองทางวิทยาศาสตร์และทดลองสูตรที่เหมาะสม จนได้สูตรที่ดีที่สุดในการกำจัดผักตบชวา 3 สูตร คือ 1.Extract-Wayacin ค้นพบจากสารสกัดจากพืชสมุนไพรเข้มข้นและจุลินทรีย์ชีวภาพ ที่เหมาะสมสำหรับการกำจัดผักตบชวาโดยที่ไม่มีผลกระทบจากสิ่งแวดล้อม 2.Micro-Organ และ 3.Super-Organ ค้นพบจากสารสกัดจากพืชสมุนไพรเจือจางและจุลินทรีย์ชีวภาพ ที่เหมาะสมสำหรับการกำจัดผักตบชวาและเพื่อกินก๊าซไข่เน่า (Hydrogen Sulfide) ซึ่งทุกสูตรมีองค์ประกอบของ มะรุม (Moringa Oleifera Lam), กระเทียม (Allium Sativum), กรดอะมิโน Amino Acid Residue และจุลินทรีย์ Microorganisms แต่ในส่วนของค่าความเป็นกรดด่างและอัตราส่วนผสมจะแตกต่างกัน เพื่อประสิทธิภาพในการฉีดพ่นเข้าทำลายสารคลอโรฟิลล์ ของผักตบชวา และทำหน้าที่สลายซากผักตบชวาที่เหี่ยวแห้งและตาย โดยไม่ก่อให้เกิดสารพิษตกค้างในแหล่งน้ำและไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต

ทั้งนี้ นวัตกรรมสารสกัดจากพืชสมุนไพรโดยการฉีดพ่นเพื่อกำจัดผักตบชวา ใช้ระยะเวลาไม่เกิน 45 วัน แบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน คือ 1.ฉีดพ่นด้วย Extract – Wayacin : เพื่อสกัดการสังเคราะห์แสงและการสังเคราะห์โปรตีนของใบผักตบชวาใช้ระยะเวลาประมาณ 7-10 วัน จะทำให้ใบแห้งเหี่ยวตาย 2.ฉีดพ่นด้วย Micro-Organ: เพื่อสกัดการสังเคราะห์แสงการสังเคราะห์โปรตีนของใบผักตบชวา ซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติเมื่อต้นแม่ใกล้จะตายจะผลิตลูกต้นอ่อนขึ้นมาแทน ใช้ระยะเวลาประมาณ 7-14 วัน จะทำให้ต้นอ่อนตายและต้นแม่เริ่มเน่าเปื่อยจากใบจนถึง ราก – เมล็ด – ไหล และ 3.ฉีดพ่นด้วย Super – Organ: เพื่อกินก๊าซไข่เน่าจำนวนมาก ใช้ระยะเวลาประมาณ 7-14 วันจะช่วยปรับสภาพน้ำให้มีคุณภาพดีขึ้น

อาจารย์สามารถ ยังสรุปส่งท้ายเอาไว้ว่า จากการนำต้นผักตบชวามาทดลองในห้องปฏิบัติการ เพื่อวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงในขั้นตอนต่างๆ เริ่มตั้งแต่การดูดซึมของรากการดูดซับน้ำ คุณภาพน้ำ ใบแห้งเหี่ยวตาย การเกิดต้นอ่อนใหม่การเริ่มเน่าเปื่อยจากใบจนถึงราก-เมล็ด-ไหล การเกิดก๊าซไข่เน่า การปรับสภาพน้ำให้มีคุณภาพดีขึ้น และน้ำใสขึ้น พบว่า ต้นผักตบชวาหนัก 1,000 กรัม หลังจากตากให้แห้งจะมีน้ำหนักเหลือประมาณ 50 กรัม คิดเป็นน้ำหนักของกากแห้งเฉลี่ย ร้อยละ 5 แต่ฉีดพ่นด้วยสารสกัดดังกล่าวแล้วปล่อยให้เน่าเปื่อยและย่อยสลายในน้ำ จะเหลือส่วนที่เป็นรากและไหลที่เมื่อนำมาตากแห้งจะเหลือน้ำหนักเพียง 10 กรัม คิดเป็นน้ำหนักของกากแห้งเฉลี่ย ร้อยละ 1 ในขณะที่การวิเคราะห์และหาค่าประมาณการโดยเฉลี่ย ความหนาแน่นของผักตบชวา ไร่ จะมีน้ำหนัก 80 ตัน หรือ 80,000 กิโลกรัม ถ้าถูกกำจัดด้วยนวัตกรรมใหม่จะเหลือซากคิดเป็นน้ำหนักเพียง 80 กิโลกรัมต่อไร่ ตกทับถมลงในใต้น้ำ ซึ่งซากหรือตะกอนที่รอการย่อยสลายตามธรรมชาติเพียง 1% จะไม่ส่งผลทำให้แม่น้ำลำคลองตื้นเขิน จึงสรุปได้ว่าในการกำจัดผักตบชวาด้วยนวัตกรรมใหม่นี้ จะส่งผลดีในการรักษาระบบนิเวศในน้ำได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้หากหน่วยงานหรือประชาชนท่านใดสนใจอยากทราบข้อมูลเพิ่มเติม ก็ลองติดต่อประสานงานกับ สจล.ดูได้ครับ ที่โทรศัพท์ 0-2329-8111 หรือเว็บไซต์ www.kmitl.ac.th

มะลิลา

แตกใบอ่อน : ‘9101’ต้นแบบดีๆที่ถึงมือเกษตรกรตัวจริงหรือไม่?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/293250

807934531

แตกใบอ่อน : ‘9101’ต้นแบบดีๆที่ถึงมือเกษตรกรตัวจริงหรือไม่?

วันพฤหัสบดี ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2560, 06.00 น.

โครงการ 9101 หลายท่านคงจะคุ้นหูกันไม่มากก็น้อย เป็นโครงการ “ตามรอยเท้าพ่อภายใต้ร่มพระบารมี เพื่อพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน” โดยการน้อมนำหลักการทฤษฎีและแนวทางแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้พระราชทานไว้สำหรับเกษตรกรโดยเฉพาะ ที่ให้ความช่วยเหลือในรูปแบบของงบประมาณ เพื่อนำไปผลิตพืช พันธุ์พืช ปศุสัตว์ ประมง ผลิตปุ๋ยอินทรีย์ หรือปัจจัยการผลิตการเกษตรแบบปลอดภัยไร้สารพิษ การแปรรูปผลผลิต รวมถึงการลดต้นทุนในรูปแบบพอเพียงตามเกษตรทฤษฎีใหม่ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งสอดคล้องกับชื่อโครงการนี้คือ เลข 9 ตัวแรกสื่อถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 และต่อด้วยเลข 10 หมายถึงรัชกาลที่ 10 และเลข 1 ท้ายสุดนั้นหมายถึงปีที่ 1 ที่เริ่มต้นโครงการนี้ขึ้นมา

โครงการนี้มีข้อมูลว่าเกษตรกรเข้าร่วมกว่า 1.77 ล้านราย และเกษตรกรผู้ได้รับผลประโยชน์ทั้งประเทศมากกว่า 7.68 ล้านราย ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่ม “ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าการเกษตร” หรือ “ศพก.” ซึ่งจะมีเครือข่ายแตกกอ ต่อยอดออกไปอีกเป็นหมื่นสาขา เท่ากับว่ามีเกษตรกรต้นแบบกว่าหมื่นคนทั่วประเทศ แต่ข้อมูลอีกด้านหนึ่งที่ได้ไปตรวจสอบกับกลุ่มเกษตรกรบางพื้นที่นั้นกลับพบว่า มีเกษตรกรส่วนใหญ่ของประเทศยังไม่ได้รับประโยชน์จากโครงการนี้ได้ทั่วถึง เพราะโครงการนี้จะรับรู้กันเฉพาะกลุ่มเกษตรกรหัวก้าวหน้า สมาร์ทฟาร์มเมอร์ หรือกลุ่มเกษตรกรที่ให้ความร่วมมือกับภาครัฐเป็นประจำ ส่วนเกษตรกรที่อยู่นอกระบบที่มีพื้นที่ทำเกษตรน้อย หรือผู้เช่าพื้นที่ในการทำเกษตร มิได้เป็นเจ้าของพื้นที่เพาะปลูก ก็มักจะไม่ได้เข้าร่วมโครงการ และไม่ได้รับผลประโยชน์ต่างๆ จากโครงการนี้ ซึ่งก็อาจจะเป็นกลุ่มเกษตรกรส่วนใหญ่ในประเทศ และคาดว่าน่าจะเป็นกลุ่มเป้าหมายที่รัฐบาลต้องการให้เข้าถึงโครงการ เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนของเงินอย่างเป็นระบบ สะท้อนตัวเลขทางเศรษฐกิจทำให้ GDP ในประเทศเติบโตขึ้นอย่างแท้จริง

งบประมาณโครงการนี้กว่า 22,000 ล้านบาท โดยวัตถุประสงค์เพื่อเป็นค่าแรงงานในการผลิตคือ จ่ายให้เกษตรกรในกลุ่มหรือชุมชนโดยตรงประมาณ 50% และอีก 50% สำหรับให้เกษตรกรนำไปซื้อปัจจัยต่างๆ มาผลิตตามโครงการดังที่ได้แจ้งไว้ข้างต้น และเมื่อได้เป็นผลิตภัณฑ์ก็นำมาจำหน่ายจ่ายแจกใช้กันเองในชุมชน หรือกลุ่มนั้นๆ ซึ่งจะเป็นเรื่องดีมากๆ ถ้าเงินจำนวนนี้ สามารถกระจายครอบคลุมไปได้อย่างทั่วถึงแก่กลุ่มเกษตรตัวจริง เสียงจริง ที่มิใช่เกษตรกรที่มีอาชีพค้าขาย เกษตรกรวันหยุด เกษตรกรนักการตลาด เกษตรกรนายทุน หรือเกษตรกรที่มีรายได้หลากหลายทาง และมาทำอาชีพเกษตรเป็นอาชีพเสริม ส่วนเกษตรกรที่เป็นกลุ่มเป้าหมายจริงๆ นั้นมักจะไม่ค่อยกล้าแสดงตัวเข้ารวมกลุ่ม เพราะไม่มีค่าน้ำมัน ไม่มีรถเดินทางไปร่วมทำกิจกรรมร่วมกับภาครัฐจึงทำให้เหมือนเป็นกลุ่มที่ตกสำรวจไป จึงเกิดคำถามว่าโครงการ 9101 โครงการดีๆ แบบนี้จะไปถึงมือเกษตรกรตัวจริง เสียงจริง หรือไม่? หลังจากนี้ผู้ที่เกี่ยวข้องคงต้องมาศึกษาและพัฒนากันต่อไป

มนตรี บุญจรัส

ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ