LIFE & HEALTH : Circular mRNA นวัตกรรมแห่งอนาคต พลิกโฉมการรักษาให้คนเข้าถึงได้ในอนาคต

LIFE & HEALTH : Circular mRNA นวัตกรรมแห่งอนาคต พลิกโฉมการรักษาให้คนเข้าถึงได้ในอนาคต

LIFE & HEALTH : Circular mRNA นวัตกรรมแห่งอนาคต พลิกโฉมการรักษาให้คนเข้าถึงได้ในอนาคต

วันพุธ ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

เทคโนโลยี mRNA หรือ messenger Ribonucleic Acid ได้รับความสนใจอย่างมากหลังจากบริษัท Pfizer และ Moderna นำมาพัฒนาเป็นวัคซีนป้องกัน COVID–19 ทั่วโลก แต่ที่มากกว่านั้นคือความสามารถในการนำเทคโนโลยีนี้ไปประยุกต์ใช้รักษาโรคต่างๆได้ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นโรคมะเร็ง โรคพันธุกรรม โรคตับ หรือมาลาเรีย ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญของวงการแพทย์ในระดับโลก

อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลของ  ศาสตราจารย์ นายแพทย์สุรเดช หงส์อิง เลขาธิการ กองทุนโรคมะเร็งในเด็กในพระอุปถัมภ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถและ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า mRNA ยังมีข้อจำกัดที่สำคัญคือ “การควบคุมอุณหภูมิ” ขณะจัดเก็บและขนส่ง วัคซีนประเภทนี้ต้องรักษาอุณหภูมิระหว่าง -20°C ถึง -80°C ตลอดเวลา หากอุณหภูมิผิดเพี้ยนจะส่งผลให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง และเกิดความเสียหายได้ง่าย นี่คืออุปสรรคที่ทำให้การเข้าถึงวัคซีนทั่วถึงเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะในประเทศที่มีข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐาน

จุดเริ่มต้นของ Circular mRNA: ฝีมือคนไทย

นักวิจัยไทยจากมหาวิทยาลัยมหิดล เห็นถึงข้อจำกัดดังกล่าว จึงริเริ่ม “โครงการพัฒนา Circular mRNA” ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสร้างวัคซีนที่มีคุณสมบัติเสถียรขึ้น เก็บรักษาได้นานขึ้น ขนส่งในอุณหภูมิใกล้เคียงกับธรรมชาติได้ และสำคัญที่สุดคือ “ราคาถูกกว่าเดิมหลายเท่า”

ทีมวิจัยนำโดย ศ.นพ.สุรเดช หงส์อิง และ ผศ.ดร.ปฐมพล วงศ์ตระกูลเกตุ ร่วมกันวิจัยและพัฒนา mRNA รูปแบบใหม่ที่เรียกว่า Circular mRNA หรือ mRNA “แบบวงปิด” ซึ่งแตกต่างจาก mRNA แบบเดิมที่เป็น “เส้นตรง” (Linear mRNA) อย่างมีนัยสำคัญ

Circular mRNA ดีกว่า Linear mRNA อย่างไร?

  • ความเสถียรที่เหนือกว่า: Circular mRNA อยู่ในเซลล์ได้นานถึง 8 วัน เทียบกับ 4 วันใน Linear mRNA
  • กระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีกว่า: ส่งผลให้การป้องกันโรคมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
  • ไม่ต้องพึ่งความเย็นจัด: สามารถขนส่งในอุณหภูมิปกติได้ง่ายขึ้น ลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์
  • ลดต้นทุนการผลิต: ต่ำกว่า Linear mRNA ถึง 10 เท่า ทำให้ราคายาและวัคซีนเข้าถึงประชาชนได้มากขึ้น

หากเปรียบวัคซีน mRNA เป็น “เส้นด้ายโมเลกุล” Circular mRNA คือเส้นด้ายที่ร้อยเป็นวงปิด ซึ่งเอนไซม์ในร่างกายทำลายได้ยากกว่าแบบเส้นตรง การอยู่ได้นานขึ้นนี้ช่วยให้ร่างกายมีเวลาสร้างภูมิคุ้มกันได้อย่างเต็มที่

พลังของ Circular mRNA: สร้างวัคซีนรักษาโรคได้หลากหลาย

นวัตกรรมนี้สามารถใช้ผลิตวัคซีนที่ตอบสนองโรคได้อย่างรวดเร็ว เพียงใส่โปรตีนเฉพาะเข้าไปในตัว Circular mRNA แล้วฉีดเข้าสู่ร่างกายเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน

ขณะนี้ ทีมวิจัยกำลังพัฒนา Circular mRNA สำหรับใช้ป้องกัน COVID–19 และเตรียมนำไปต่อยอดในโรคอื่น ๆ เช่น: มะเร็งเต้านม ปอด ต่อมลูกหมาก, มะเร็งในเด็กแทบทุกชนิด, โรคภูมิแพ้ตัวเอง (SLE), ไวรัส HPV, ไข้มาลาเรีย, โรคพันธุกรรม เช่น ธาลัสซีเมีย ลูคีเมีย, โรคตับเรื้อรัง เป็นต้น

Personalized Medicine: การรักษาเฉพาะบุคคลที่จับต้องได้

เทคโนโลยี Circular mRNA ยังเปิดทางไปสู่การรักษาแบบเฉพาะบุคคลหรือ Personalized Medicine เช่น ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมแต่ละราย อาจมีลำดับกรดอะมิโนที่ผิดปกติต่างกัน จึงสามารถพัฒนา Circular mRNA ที่ออกแบบเฉพาะสำหรับผู้ป่วยแต่ละคนได้

ผศ.ดร.ปฐมพล อธิบายว่า การรักษานี้จะใช้ Lipid Nanoparticle เหมือนกับที่ Pfizer และ Moderna ใช้ โดยเมื่อเข้าร่างกาย Circular mRNA จะกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้รู้ตัวว่ามีสิ่งผิดปกติอยู่ และร่างกายจะสร้างแอนติบอดีขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับเซลล์มะเร็งเอง ซึ่งให้ผลลัพธ์ดีกว่าเคมีบำบัดหรือการฉายแสง ทั้งในด้านประสิทธิภาพและผลข้างเคียง

Circular mRNA ของไทย: ใกล้ความสำเร็จแล้ว

ทีมวิจัยสามารถสร้างต้นแบบวัคซีนป้องกัน COVID–19 จาก Circular mRNA ได้สำเร็จในระยะต้นภายในเวลาเพียง 7 – 8 เดือน ซึ่งถือว่าเร็วมากเมื่อเทียบกับการพัฒนายาแบบเดิมที่ใช้เวลา 10 – 20 ปี มีแผนจะยื่นจดสิทธิบัตรแพลตฟอร์มการผลิต Circular mRNA ในช่วงต้นปี 2565 เพื่อให้ไทยเป็นหนึ่งในประเทศแรกที่มีเทคโนโลยีนี้อย่างเป็นทางการ ถือเป็นการยกระดับวงการวิจัยไทยสู่เวทีโลก

เงินทุนคือหัวใจแห่งความสำเร็จ

แม้ว่าทีมวิจัยจะได้รับการสนับสนุนจากธนาคารทิสโก้และองค์กรบางแห่ง แต่การจะพัฒนาให้ถึงขั้นทดลองในสัตว์ใหญ่หรือมนุษย์ จำเป็นต้องใช้งบอีกจำนวนมาก และนี่คืออุปสรรคสำคัญ

ศ.นพ.สุรเดช ย้ำว่า การวิจัยไม่ใช่ One Man Show แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากบุคลากรหลายฝ่าย ทั้งนักวิทยาศาสตร์ แพทย์ และผู้เชี่ยวชาญ รวมกว่า 20 – 30 คน ซึ่งการสร้างระบบวิจัยให้เข้มแข็งจึงต้องใช้เงินทุนที่มากพอ ปัจจุบันเทคโนโลยีช่วยลดระยะเวลาวิจัยจาก 20 ปีเหลือเพียง 5 – 10 ปี แต่หากไม่มีทุน การวิจัยก็ไปต่อไม่ได้ และไทยอาจต้องซื้อเทคโนโลยีแพงจากต่างประเทศในอนาคต

ข้อคิดสำหรับนักลงทุนไทย

ประเทศไทยมีต้นแบบ Circular mRNA และศักยภาพด้านการวิจัยครบครัน แต่สิ่งที่ขาดคือการสนับสนุนจากนักลงทุน “ตั้งแต่ต้นน้ำ” ซึ่งใช้งบประมาณเพียง 10 – 20 ล้านบาทต่อโรค ขณะที่หากประสบความสำเร็จ อาจสร้างรายได้ 200 – 300 ล้านบาท หรือมากกว่านั้น

ตัวอย่างเช่นเทคโนโลยี CAR T-cell ที่ไทยสามารถผลิตเองโดยใช้งบประมาณเพียง 5 แสนบาทเท่านั้น เทียบกับลิขสิทธิ์จากต่างประเทศที่มีราคาถึง 15 ล้านบาท

Circular mRNA ไม่ใช่แค่เทคโนโลยี แต่คือโอกาสของชาติ

“การลงทุนต้นน้ำอาจไม่แน่ใจว่าจะสำเร็จเมื่อไร แต่ถ้าสำเร็จ จะสามารถสร้างมูลค่ามหาศาล และช่วยให้คนไทยเข้าถึงการรักษาได้ในราคาที่จับต้องได้” – ศ.นพ.สุรเดช กล่าว หากเราไม่สนับสนุนงานวิจัยที่เป็นของคนไทยเอง เมื่อเกิดวิกฤตโรคใหม่ๆ เฉพาะในประเทศ จะไม่มีเทคโนโลยีเพื่อตอบสนองได้อย่างทันท่วงที Circular mRNA จึงไม่ใช่แค่วิทยาการ แต่คือความมั่นคงทางสาธารณสุข และความภาคภูมิใจของชาติ

กองทุนโรคมะเร็งในเด็กในพระอุปถัมภ์ฯ คืนชีวิตใหม่..ให้ผู้ป่วยมะเร็งเด็ก

นับตั้งแต่ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ ทรงรับกองทุนโรคมะเร็งในเด็กไว้ในพระอุปถัมภ์ จวบจนปัจจุบันเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้วที่ทรงมีพระเมตตาช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็งเด็กที่ยากไร้ทั่วประเทศในรพ.กว่า 20 แห่ง รูปแบบในการให้ความช่วยเหลือคือ ช่วยค่าใช้จ่ายสำหรับการรักษา รวมทั้งค่ายา ค่าเดินทางมาตรวจรักษา ค่าที่พัก เวชภัณฑ์ต่างๆด้วย สามารถร่วมบริจาคได้ที่บัญชี “กองทุนโรคมะเร็งในเด็กในพระอุปถัมภ์ฯ” SCB สาขาอ่อนนุช เลขที่บัญชี 133-2-08742-3 โทร 0-2718-3800 ต่อ 123 ใบเสร็จนำไปลดหย่อนภาษีได้  รายละเอียดที่ http://www.thaichildrencancerfund.org/

ผ.ศ. (พิเศษ) ดร. เภสัชกร อภิสิทธิ์  ฉัตรทนานนท์

กรรมการ กองทุนโรคมะเร็งในเด็กในพระอุปถัมภ์ฯ

LIFE & HEALTH : ๒๔ ปีแห่งพระกรุณาธิคุณ พระองค์เจ้าโสมสวลีฯ ทรงปลุกชีวิตใหม่ให้ผู้ป่วยเด็กโรคมะเร็ง

LIFE & HEALTH : ๒๔ ปีแห่งพระกรุณาธิคุณ พระองค์เจ้าโสมสวลีฯ ทรงปลุกชีวิตใหม่ให้ผู้ป่วยเด็กโรคมะเร็ง

LIFE & HEALTH : ๒๔ ปีแห่งพระกรุณาธิคุณ พระองค์เจ้าโสมสวลีฯ ทรงปลุกชีวิตใหม่ให้ผู้ป่วยเด็กโรคมะเร็ง

วันพุธ ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

ตลอดระยะเวลากว่า ๒๔ ปีแห่งพระกรุณาธิคุณ พระองค์เจ้าโสมสวลีฯ ทรงปลุกชีวิตใหม่ให้ผู้ป่วยเด็กโรคมะเร็ง ปีแห่งพระกรุณาธิคุณ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ ทรงมีพระเมตตาอันเปี่ยมล้นในการช่วยเหลือผู้ป่วยเด็กที่ยากไร้ทั่วประเทศ ผ่าน “กองทุนโรคมะเร็งในเด็ก ในพระอุปถัมภ์ฯ” ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งโครงการที่สะท้อนพระวิริยะอุตสาหะและการอุทิศพระองค์เพื่อสังคมมาอย่างต่อเนื่อง

กองทุนแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นโดย มูลนิธิคุณแม่คุณภาพ เมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๔ และได้รับพระกรุณาธิคุณจากพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ เสด็จพระดำเนินเปิดโครงการด้วยพระองค์เอง พร้อมทั้งประทานเงินส่วนพระองค์ จำนวน ๑ ล้านบาท เป็นทุนเริ่มต้นกองทุน โดยทรงมีพระดำริชัดเจนว่า ความช่วยเหลือจากกองทุนฯ มิใช่เพื่อโรงพยาบาลใดโรงพยาบาลหนึ่ง แต่เพื่อกระจายไปยังสถานพยาบาลทั่วประเทศที่ร้องขอความช่วยเหลือเข้ามา

นอกจากนี้พระองค์ยังทรงประทานเงินสมทบเพิ่มเติมในปี ๒๕๖๐ และ ๒๕๖๑ ปีละ ๑ ล้านบาท เพื่อเพิ่มศักยภาพในการช่วยเหลือ อีกทั้งยังทรงอนุญาตให้ปรับชื่อกองทุนเป็น “กองทุนโรคมะเร็งในเด็ก ในพระอุปถัมภ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ”

เด็กไทยกับโรคมะเร็ง: ความจริงที่ต้องเผชิญ

ศาสตราจารย์ นายแพทย์สุรเดช หงส์อิง เลขาธิการ กองทุนโรคมะเร็งในเด็กในพระอุปถัมภ์ เปิดเผยว่า ปัจจุบัน ประเทศไทยพบผู้ป่วยโรคมะเร็งในเด็กที่มีอายุตั้งแต่แรกเกิดถึง ๑๕ ปี มีอุบัติการณ์มากกว่า ๑,๒๐๐ รายต่อปี ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว (ลูคีเมีย) พบมากที่สุด ร้อยละ ๓๐ รองลงมาคือมะเร็งในสมอง ร้อยละ ๒๐ และมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ร้อยละ ๑๕ สาเหตุส่วนใหญ่ยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัด และไม่ได้เกิดจากการเลี้ยงดูหรือสิ่งแวดล้อมโดยตรง มีเพียงร้อยละ ๑–๓ เท่านั้นที่สัมพันธ์กับพันธุกรรมโดยตรง

เด็กที่ป่วยเป็นมะเร็งมักมีอาการซีด ไข้ เลือดออกง่าย และพบการโตของตับ ม้าม หรือต่อมน้ำเหลือง ซึ่งล้วนมาจากการทำงานผิดปกติของไขกระดูกที่เป็นแหล่งกำเนิดเซลล์เม็ดเลือด หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีและต่อเนื่อง อาจเสี่ยงต่อภาวะหัวใจวายหรือเสียชีวิตได้

การรักษาที่เปิดประตูสู่โอกาสใหม่

ความก้าวหน้าทางการแพทย์ในปัจจุบันได้พลิกสถานการณ์อย่างน่าทึ่ง ทำให้เด็กที่ป่วยมีโอกาสหายขาดมากขึ้น ด้วยวิธีการรักษาที่หลากหลาย ได้แก่:

การผ่าตัด โดยทีมศัลยแพทย์ผู้ชำนาญเฉพาะด้าน ทำให้ลดความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา
การใช้เคมีบำบัด (Chemotherapy): เป็นแนวทางหลักในการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวในเด็ก โดยใช้ยากลุ่มต่าง ๆ เพื่อฆ่าเซลล์มะเร็งและควบคุมการแพร่กระจายของโรค
การรักษาเป้าหมาย (Targeted Therapy): ใช้ยาที่ออกแบบเฉพาะเพื่อจับคู่กับโปรตีนหรือยีนในเซลล์มะเร็ง เช่นยาที่มุ่งเน้นไปที่การยับยั้งการทำงานของโปรตีนเฉพาะในเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวบางชนิด
การรักษาภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy): การใช้ภูมิคุ้มกันของร่างกายเพื่อช่วยต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง เช่น ยา BiTEs หรือการบำบัดด้วย CAR-T cells ซึ่งได้พัฒนาและนำมาใช้ในการรักษาในผู้ป่วยเด็กบางราย
การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด (Stem Cell Transplantation): ในบางกรณีที่รุนแรงหรือไม่ตอบสนองต่อเคมีบำบัด อาจพิจารณาการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดจากผู้บริจาคพี่น้องของผู้ป่วย หรือจากบุคคลอื่นจากสภากาชาดไทย หรือพ่อหรือแม่ซึ่งปกติรักษาด้วยวิธีนี้ยากมาก มีไม่กีแห่งในประเทศไทยที่ทำกันได้

วิวัฒนาการทางการแพทย์ในปัจจุบันเปิดทางเลือกมากมายในการรักษาโรคมะเร็งในเด็ก ทั้งการผ่าตัดที่แม่นยำด้วยทีมศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ การใช้เคมีบำบัดที่พัฒนาขึ้นจนลดผลข้างเคียงได้มาก การฉายรังสีด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และการปลูกถ่ายไขกระดูกจากบุคคลในครอบครัวหรือผู้บริจาคภายนอกที่ไม่ใช่พี่น้อง โดยวิธีสุดท้ายนี้มีค่าใช้จ่ายอย่างน้อย ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาทต่อราย ซึ่งเด็กส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงการรักษาได้หากไม่มีการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ยังมีการรักษามะเร็งในเด็กด้วย immunotherapy เป็นแนวทางที่น่าจับตามอง เน้นใช้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายในการต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง ซึ่งมีข้อดีคือมักให้ผลข้างเคียงน้อยกว่าการเคมีบำบัดแบบดั้งเดิม และสามารถเจาะจงเป้าหมายได้ดีขึ้น ปัจจุบัน การใช้ immunotherapy ในเด็กสำหรับมะเร็งบางชนิดยังอยู่ในระยะทดลองหรือการนำมาใช้ในกรณีเฉพาะ แต่ก็มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

พระเมตตาเพื่อโอกาสแห่งการมีชีวิต

พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ ทรงมีพระเมตตาอันหาที่สุดมิได้ต่อพสกนิกรผู้ตกทุกข์ได้ยาก ทรงริเริ่มโครงการสาธารณสงเคราะห์ต่างๆ เพื่อช่วยเหลือผู้หญิงและเด็ก เช่น โครงการลดการติดเอดส์จากแม่สู่ลูก และกองทุนยาพระวรราชาทินัดดามาตุ สำหรับผู้ติดเชื้อเอดส์ นอกจากนี้ยังทรงเป็นนายกกิตติมศักดิ์ตลอดชีพของมูลนิธิเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทยอีกด้วย

วิจัยเพื่ออนาคตของเด็กไทย

นอกจากการช่วยเหลือในการรักษา กองทุนฯ ยังสนับสนุนงบประมาณให้แก่ชมรมโรคมะเร็งในเด็กตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๗ เพื่อพัฒนางานวิจัยเกี่ยวกับการรักษามะเร็งต่อมหมวกไตในเด็ก ซึ่งเป็นโรคที่รักษายากและมีความรุนแรง การสนับสนุนนี้ทำให้วงการแพทย์ไทยมีความก้าวหน้าทัดเทียมระดับนานาชาติ และเพิ่มอัตราการหายขาดของเด็กที่ป่วยอีกหลายราย นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยในการผลิต CAR T cell ขึ้นใช้เองในประเทศไทย โดยถ้านำเข้า ค่าใช้จ่ายเข็มละ ๑๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท แต่ทั้งนี้สามารถลดค่าใช้จ่ายลงมาได้ถึง ๑๐ เท่า

เด็กไทยไม่ควรต้องเลือกระหว่างการรักษากับความอยู่รอด

ด้วยความยากลำบากของครอบครัวผู้ป่วย กองทุนฯ จึงเข้าช่วยเหลือในหลายมิติ ทั้งค่ารักษา ค่าเดินทาง ค่าที่พัก อุปกรณ์ทดแทนแขนขาที่ถูกตัดออก รวมถึงยาจำเป็นที่อยู่นอกการครอบคลุมของโครงการสวัสดิการ หลายครอบครัวที่ไม่แม้แต่จะมีค่ารถเพื่อพาบุตรไปรักษา ได้รับโอกาสใหม่เพราะพระเมตตาและการจัดการของกองทุนฯ ปัจจุบัน กองทุนฯสนับสนุนงบช่วยผู้ป่วยเด็กของโรงพยาบาลกว่า ๒๐ แห่งทั่วประเทศ เช่น โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ โรงพยาบาลหาดใหญ่ โรงพยาบาลขอนแก่น โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ โรงพยาบาลศรีสะเกษ เป็นต้น เพื่อใช้ในการรักษา ฟื้นฟู และปลูกถ่ายไขกระดูก รวมทั้งสนับสนุนทางการวิจัย การสนับสนุนจากกองทุนฯ ทำให้เด็กหลายรายที่เคยเผชิญกับความเสี่ยงต่อความพิการสามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ เช่น การมอบทุนในการจัดซื้อแขนขาโลหะเพื่อทดแทนกระดูกที่ถูกตัดออก ทำให้เด็กไม่จำเป็นต้องถูกตัดแขนขาทิ้งไป นอกจากนี้ยังครอบคลุมค่าที่พักและค่าเดินทางสำหรับผู้ป่วยที่อยู่ห่างไกล ซึ่งเป็นอีกอุปสรรคสำคัญในการเข้าถึงการรักษา แม้แต่ยาบางชนิดที่อยู่นอกสิทธิ์การรักษาในระบบหลัก ก็ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อให้เด็กได้รับยาอย่างครบถ้วนและทันเวลา

แพทย์ผู้รักษาในหลายโรงพยาบาลต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า การสนับสนุนจากกองทุนฯ ทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสได้รับการรักษาที่ต่อเนื่องและเหมาะสม ขณะเดียวกัน ผู้ปกครองเด็กต่างรู้สึกซาบซึ้งในพระเมตตา ที่พระองค์ทรงดำริให้เด็กยากไร้ทุกคนได้รับโอกาสช่วยเหลืออย่างเท่าเทียม และเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ในชีวิต

ท่านสามารถร่วมบริจาคช่วยสนับสนุนกิจกรรมของกองทุนได้ที่บัญชี “กองทุนโรคมะเร็งในเด็กในพระอุปถัมภ์ฯ” SCB สาขาอ่อนนุช เลขที่บัญชี 133-2-08742-3 โทร 0-2718-3800 ต่อ 123 ใบเสร็จนำไปลดหย่อนภาษีได้  รายละเอียดที่ http://www.thaichildrencancerfund.org/

พระกรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้: พระราชกรณียกิจเพื่อพสกนิกรยากไร้

พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ ทรงอุทิศพระองค์ในการบำเพ็ญพระกรณียกิจด้านสังคมสงเคราะห์มาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะด้านผู้หญิงและเด็ก ทรงเยี่ยมเยียนประชาชนผู้ทุกข์ยาก ทรงพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อโครงการต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นด้านสุขภาพ การศึกษา หรือการดำรงชีวิต

กองทุนโรคมะเร็งในเด็กฯ จึงมิได้เป็นเพียงแหล่งเงินทุนหากเป็นสัญลักษณ์แห่งพระเมตตา ความหวัง และการเปลี่ยนแปลงชีวิตของเด็กไทย ที่ในอดีตอาจต้องเผชิญกับความทุกข์ยากและโรคร้าย แต่วันนี้ พวกเขามีโอกาสยืนหยัด กลับมาเติบโตอย่างงดงามในสังคมอีกครั้ง

13 กรกฎาคม 2568  เป็นวันคล้ายวันประสูติ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ ขอเชิญชวนประชาชนร่วมกันถวายพระพร ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญ มีพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์ตลอดไป

LIFE & HEALTH : ความก้าวหน้าในการรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน

LIFE & HEALTH : ความก้าวหน้าในการรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน

LIFE & HEALTH : ความก้าวหน้าในการรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน

วันพุธ ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2568, 02.00 น.

โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน หรือที่เรียกว่า Acute Leukemia เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของการสร้างเม็ดเลือดขาวภายในไขกระดูก ซึ่งทำให้มีการสร้างเม็ดเลือดขาวที่ผิดปกติและเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว รบกวนกระบวนการสร้างเซลล์เลือดปกติ ทำให้ร่างกายมีจำนวนเม็ดเลือดแดงและเกล็ดเลือดลดลง ส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็ก

โรคนี้ถือว่าเป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยที่สุดในกลุ่มเด็ก โดยคิดเป็นประมาณร้อยละ 25–30 ของผู้ป่วยมะเร็งเด็กทั้งหมด สำหรับประเทศไทยเอง พบว่าเด็กไทยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 38.1 ของผู้ป่วยมะเร็งเด็กทั้งหมด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญในการเฝ้าระวัง การวินิจฉัยเร็ว และการให้การรักษาอย่างทันท่วงที

ประเภทของโรคโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ได้แก่

– Acute Lymphoblastic Leukemia (ALL): เป็นชนิดที่พบได้บ่อยในเด็กมากที่สุด เกิดจากความผิดปกติของลิมโฟบลาสต์ ซึ่งเป็นเซลล์ที่พัฒนาไปเป็นเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์

– Acute Myeloid Leukemia (AML): พบได้น้อยกว่าในเด็ก เกิดจากความผิดปกติของเซลล์ต้นกำเนิดที่พัฒนาไปเป็นเม็ดเลือดขาวชนิดไมอีลอยด์

การวินิจฉัยแยกประเภทมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากแต่ละชนิดมีวิธีการรักษา การตอบสนองต่อยา และแนวโน้มการหายที่แตกต่างกัน

สาเหตุของการเกิดโรค ข้อมูลจาก ศาสตราจารย์ นายแพทย์สุรเดช หงส์อิง เลขาธิการ กองทุนโรคมะเร็งในเด็กในพระอุปถัมภ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ  และ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า สาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลันส่วนใหญ่ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด ปัจจัยที่พบว่าน่าจะมีความสัมพันธ์กับพยาธิสภาพการเกิดโรค นั่นคือ อาจเกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรม โดยเฉพาะสุขภาพของมารดาตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ อาจจะส่งผลให้เกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว เช่น การสูบบุหรี่ โดยทำให้ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมของลูกได้

ความก้าวหน้าในการรักษา

การรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวในเด็กในปัจจุบันมักประกอบด้วยหลายแนวทางร่วมกันเพื่อเพิ่มโอกาสในการหายขาดและลดผลข้างเคียง เช่น

  1. เคมีบำบัด (Chemotherapy): เป็นแนวทางหลักในการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวในเด็ก โดยใช้ยากลุ่มต่าง ๆ เพื่อฆ่าเซลล์มะเร็งและควบคุมการแพร่กระจายของโรค
  2. การรักษาเป้าหมาย (Targeted Therapy): ใช้ยาที่ออกแบบเฉพาะเพื่อจับคู่กับโปรตีนหรือยีนในเซลล์มะเร็ง เช่นยาที่มุ่งเน้นไปที่การยับยั้งการทำงานของโปรตีนเฉพาะในเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวบางชนิด
  3. การรักษาภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy): การใช้ภูมิคุ้มกันของร่างกายเพื่อช่วยต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง เช่น ยา BiTEs หรือการบำบัดด้วย CAR-T cells ซึ่งได้พัฒนาและนำมาใช้ในการรักษาในผู้ป่วยเด็กบางราย
  4. การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด (Stem Cell Transplantation): ในบางกรณีที่รุนแรงหรือไม่ตอบสนองต่อเคมีบำบัด อาจพิจารณาการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดจากผู้บริจาคพี่น้องของผู้ป่วย หรือจากบุคคลอื่นจากสภากาชาดไทย หรือพ่อหรือแม่ซึ่งปกติรักษาด้วยวิธีนี้ยากมาก มีไม่กีแห่งในประเทศไทยที่ทำกันได้

ความคืบหน้าในการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวในเด็กเป็นสิ่งที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยเทคโนโลยีและการวิจัยใหม่ ๆ ทำให้ผลลัพธ์ดีขึ้นและผลข้างเคียงลดลง สำหรับการวินิจฉัยและแผนการรักษา ควรปรึกษากับแพทย์เฉพาะทางด้านมะเร็งเด็กที่สามารถให้คำแนะนำแบบเฉพาะบุคคลได้ดีที่สุด

การรักษามะเร็งในเด็กด้วย immunotherapy เป็นแนวทางที่น่าจับตามอง เน้นใช้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายในการต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง ซึ่งมีข้อดีคือมักให้ผลข้างเคียงน้อยกว่าการเคมีบำบัดแบบดั้งเดิม และสามารถเจาะจงเป้าหมายได้ดีขึ้น ปัจจุบัน การใช้ immunotherapy ในเด็กสำหรับมะเร็งบางชนิดยังอยู่ในระยะทดลองหรือการนำมาใช้ในกรณีเฉพาะ แต่ก็มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

ตัวอย่างการใช้ immunotherapy ในเด็ก ได้แก่:

  1. CAR-T Cell Therapy: เทคโนโลยีนี้เป็นการดัดแปลงเซลล์ T ของผู้ป่วยให้สามารถจดจำและทำลายเซลล์มะเร็งได้อย่างเฉพาะเจาะจง เช่นในมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน (ALL) ซึ่งมีผลตอบรับดีในหลายกรณี
  2. Antibody Therapy: ใช้ยาแอนติบอดีที่เจาะจงต่อโปรตีนบนผิวเซลล์มะเร็ง เช่น ยา BiTEs ที่จับกับโปรตีนในเซลล์มะเร็ง เพื่อกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น และทำให้เซลล์มะเร็งถูกทำลาย
  3. Checkpoint Inhibitors: ยาเหล่านี้ช่วยปลดล็อกกลไกของระบบภูมิคุ้มกันที่อาจปิดการทำงานเพื่อไม่ให้โจมตีเซลล์มะเร็ง ซึ่งในเด็กยังเป็นการทดลองและศึกษาวิจัยอยู่ในขั้นต้นเมื่อเทียกกับในผู้ใหญ่

การเลือกใช้ immunotherapy ขึ้นอยู่กับชนิดและระยะของมะเร็ง รวมถึงสภาพร่างกายของเด็ก แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเป็นผู้อำนวยความสะดวกให้เลือกแนวทางที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งเป็นผลมาจากความก้าวหน้าในการวิจัยและเทคโนโลยีในด้านนี้อย่างต่อเนื่อง

CAR T cell ในการรักษามะเร็ง โดยเฉพาะ CAR CD 19 ในการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวและมพเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด บี เซลล์ ที่คณะแพทญสาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เริ่มทำการวิจัยและรักษาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 ปัจจุบันรักษาคนไข้ดังกล่าวทั้งเด็กและผู้ใหญ่ไปแล้ว 35 ราย ผลการรักษาโดยรวมผู้ป่วยโรคสงบถึงร้อยละ 80 โดยผู้ป่วยดื้อต่อการรักษาอื่นๆ ทั้งนี้ มีผู้ป่วย 1 ราย เป็นโรค SLE สามารถรักษาให้โรคสงบได้

กองทุนโรคมะเร็งในเด็กในพระอุปถัมภ์ฯ คืนชีวิตใหม่..ให้ผู้ป่วยมะเร็งเด็ก

นับตั้งแต่  กองทุนโรคมะเร็งในเด็กในพระอุปถัมภ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ ทรงรับกองทุนโรคมะเร็งในเด็กไว้ในพระอุปถัมภ์ จวบจนปัจจุบันเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้วที่ทรงมีพระเมตตาช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็งเด็กที่ยากไร้ทั่วประเทศในรพ.กว่า 20 แห่ง รูปแบบในการให้ความช่วยเหลือคือ ช่วยค่าใช้จ่ายสำหรับการรักษา รวมทั้งค่ายา ค่าเดินทางมาตรวจรักษา ค่าที่พัก เวชภัณฑ์ต่างๆด้วย สามารถร่วมบริจาคได้ที่บัญชี “กองทุนโรคมะเร็งในเด็กในพระอุปถัมภ์ฯ” SCB สาขาอ่อนนุช เลขที่บัญชี 133-2-08742-3 โทร 0-2718-3800 ต่อ 123 ใบเสร็จนำไปลดหย่อนภาษีได้  รายละเอียดที่ http://www.thaichildrencancerfund.org/

13 กรกฎาคม นี้ เป็นวันคล้ายวันประสูติ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ ขอเชิญชวนประชาชนร่วมกันถวายพระพร ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญ มีพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์ตลอดไป

ผ.ศ. (พิเศษ) ดร. เภสัชกร อภิสิทธิ์  ฉัตรทนานนท์

กรรมการ กองทุนโรคมะเร็งในเด็กในพระอุปถัมภ์ฯ

LIFE & HEALTH : รู้จักโรคไทรอยด์ต่ำ: สาเหตุ อาการ และการดูแลรักษาอย่างถูกวิธี

LIFE&HEALTH : รู้จักโรคไทรอยด์ต่ำ: สาเหตุ อาการ และการดูแลรักษาอย่างถูกวิธี

LIFE&HEALTH : รู้จักโรคไทรอยด์ต่ำ: สาเหตุ อาการ และการดูแลรักษาอย่างถูกวิธี

วันพุธ ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

ฮอร์โมนไทรอยด์ ทำหน้าที่สำคัญมากในร่างกายเกี่ยวกับการควบคุมการเจริญเติบโต พัฒนาการของสมองในทารก ควบคุมกระบวนการเมแทบอลิซึม (metabolism) ของคาร์โบไฮเดรต ไขมันและโปรตีน ฮอร์โมนไทรอยด์ทำให้มีการเพิ่มการใช้ออกซิเจนของร่างกายและเพิ่มการสร้างความร้อนในร่างกาย และมีผลควบคุมอุณหภูมิร่างกาย (thermogenesis) ด้วย นอกจากนั้นทำหน้าที่ควบคุมการเจริญเติบโต การพัฒนาและการทำงานของเนื้อเยื่อทุกส่วนในร่างกาย โดยเฉพาะในระบบประสาท ระบบสืบพันธุ์ และระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ กระตุ้นการสังเคราะห์โปรตีน และการหลั่งและการออกฤทธิ์ของฮอร์โมนเกี่ยวกับการเติบโต (growth hormone) ต่อเนื้อเยื่อต่างๆ การขาดฮอร์โมนไทรอยด์ ทำให้ผู้ป่วยมีการทำงานของร่างกายผิดปกติการทำหน้าที่ต่างๆในร่างกายทำงานช้าลง โดยเฉพาะในทารกแรกเกิดและเด็ก การขาดฮอร์โมนไทรอยด์ ทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า “cretinism” ผู้ป่วยจะมีตัวเตี้ยแคระเกร็น (dwarfism) และมีภาวะผิดปกติของสมอง

ข้อมูลจาก รศ.ดร. ภญ.วิลาสินี หิรัญพานิช ซาโตะ ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า โรคที่เกี่ยวข้องกับต่อมไทรอยด์เกิดจากความผิดปกติของการทำงานของต่อมไทรอยด์  โดยแบ่งเป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ คือภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานมากกว่าปกติ (hyperthyroidism) และภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานต่ำกว่าปกติ (hypothyroidism) นอกจากนั้นยังพบความผิดปกติอื่นๆ ได้แก่ โรคก้อนที่ต่อมไทรอยด์ (thyroid goiter) และ โรคมะเร็งต่อมไทรอยด์ (thyroid cancer) เป็นต้น

โรคไทรอยด์ต่ำ (hypothyroidism) คืออะไร

ภาวะที่มีการสร้างและหลั่งฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำกว่าปกติ ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะมีอาการพูดช้า ทำงานช้า รู้สึกขี้หนาว ท้องผูก น้ำหนักตัวเพิ่มทั้งๆที่ไม่ได้รับประทานอาหารมากกว่าปกติ ตัวบวม มีเลือดประจำเดือนมากกว่าปกติ ผิวหนังหยาบแห้ง เป็นต้น สาเหตุของโรคไทรอยด์ต่ำ เกิดได้หลายสาเหตุได้แก่

  1.  การอักเสบของต่อมไทรอยด์ สาเหตุจากภาวะความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน (autoimmune disease) มีการสร้างแอนติบอดี (antibody) ทำลายฮอร์โมนไทรอยด์ด้วยภูมิคุ้มกันของตัวเอง ซึ่งเรียกภาวะนี้ว่า “Hashimoto’s disease”
  2.  ผลจากการรักษาภาวะไทรอยด์สูง เช่น การผ่าตัดต่อมไทรอยด์ออก การรักษาด้วยการฉายรังสีที่ทำให้เกิดการทำลายเนื้อต่อมไทรอยด์ หรือผลการรักษาด้วยยาต้านไทรอยด์ที่ส่งผลทำให้มีระดับฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ เป็นต้น
  3. การขาดสารอาหาร โดยเฉพาะอาหารที่มีไอโอดีนเป็นส่วนประกอบ
  4. ต่อมไทรอยด์อักเสบ (thyroiditis หรือ inflammation of thyroid)

รู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคไทรอยด์ต่ำ

  1. อาการแสดง ได้แก่ น้ำหนักขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ ผิวแห้ง ขี้หนาว ผมบาง พูดช้า ทำงานช้า คิดช้า ท้องผูก ปวดเมื่อยตามตัว กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปวดข้อ ประจำเดือนมาไม่ปกติหรือมาปริมาณมากกว่าปกติ มีการสะสมของสารมูโคโพลีซักคาไรด์ (mucopolysaccharide) ตามชั้นผิวหนัง ทำให้หน้าบวม หนังตาบวม ผิวหนังหยาบแห้ง เสียงแหบ หรือเสียงขึ้นจมูก มีอาการคัดจมูก บางคนมีอาการทางจิตเวชร่วมด้วย เช่น ซึมเศร้า เป็นต้น อย่างไรก็ตามในผู้ป่วยบางรายไม่มีอาการแสดงชัดเจน เนื่องจากอาการโรคมีลักษณะที่ไม่จำเพาะทำให้วินิจฉัยได้ยาก ส่วนใหญ่ต้องมีการตรวจระดับฮอร์โมนในเลือดเพื่อวินิจฉัยยืนยันผล
  2. ผลทางห้องปฏิบัติการ ผลการตรวจเลือดจะพบระดับของ free thyroxine (T4) และ T3 ลดลง ขณะที่มีการเพิ่มขึ้นของระดับ TSH มากขึ้น นอกจากนั้นการวัด anti-thyroid antibody หากพบ TPO antibodies ให้ผลบวกจะช่วยวินิจฉัยว่าเป็น Hashimoto’s thyroiditis

เป้าหมายการรักษาและแนวทางการรักษา

ผู้ป่วยโรคไทรอยด์ต่ำส่วนใหญ่มักเป็นชนิดถาวรและต้องการการรักษาในระยะยาว จุดประสงค์ของการรักษาที่สำคัญคือต้องการฮอร์โมนไทรอยด์ทดแทน เพื่อชดเชยการขาดฮอร์โมนไทรอยด์เพื่อทำให้การทำงานของระบบต่างๆ ของร่างกายกลับคืนสู่ภาวะปกติ  การรักษาทำโดยการให้ฮอร์โมนไทรอยด์ทดแทน รูปแบบยาเตรียมที่เป็นทางเลือกคือ levothyroxine หรือ T4  โดยต้องปรับขนาดยาให้เหมาะสมตามผู้ป่วยแต่ละราย ส่วนใหญ่รับประทานยาวันละครั้ง สำหรับผู้ป่วยที่สูงอายุ และผู้ป่วยโรคหัวใจ ต้องลดขนาดยาลง ทั้งนี้เนื่องจากผู้ป่วยสูงอายุมีความไวต่อฮอร์โมนมาก และหากมีภาวะผิดปกติเกี่ยวกับโรคหัวใจแพทย์อาจจะพิจารณาหยุดใช้หรือลดขนาดยาลง

ฮอร์โมนไทรอยด์ทดแทนสำหรับรักษาภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำมีอาการไม่พึงประสงค์อะไรบ้าง

  • อาการไม่พึงประสงค์จากการรับประทานฮอร์โมนไทรอยด์ทดแทนที่อาจพบ ได้แก่ อาการทางระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง เป็นต้น ซึ่งควรต้องระวังการเกิดอาการไม่พึงประสงค์เหล่านี้โดยเฉพาะในผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับโรคหัวใจอยู่แล้ว
  • อาการไม่พึงประสงค์อื่นๆที่อาจพบโดยเฉพาะการได้รับในขนาดสูง ซึ่งอาการไม่พึงประสงค์เหล่านี้จะคล้ายกับการมีฮอร์โมนไทรอยด์มากเกินไปในร่างกาย ได้แก่ หัวใจเต้นเร็ว อาการกังวล เหนื่อยง่าย หงุดหงิด นอนไม่หลับ กระวนกระวาย หิวบ่อย น้ำหนักลงลง มวลกระดูกลดลง  เป็นต้น

ยาอะไรบ้างที่เกิดอันตรกิริยากับฮอร์โมนไทรอยด์ทดแทน

  • ฮอร์โมนไทรอยด์ทดแทน (T4) เมื่อให้โดยการรับประทาน จะถูกดูดซึมได้ดีในลำไส้เล็ก อย่างไรก็ตามการรับประทานร่วมกับยาหรืออาหารบางชนิดอาจมีผลรบกวนการดูดซึมของ T4 ได้เช่น ยาลดกรด แคลเซียม ธาตุเหล็ก ยาชนิดอื่นๆ โดยเฉพาะที่มีประจุในโครงสร้าง เช่น sucralfate, cholestyramine, colestipol เป็นต้น โดยหากจำเป็นต้องรับประทานร่วมกัน ควรรับประทานห่างกันอย่างน้อย 2-4 ชม.
  • ยาที่มีผลรบกวนกระบวนการเมแทบอลิซึมของ T4 เช่น ยาที่มีฤทธิ์เหนี่ยวนำเอนไซม์ที่เร่งการทำลาย T4 (enzyme inducer) เช่น rifampin, phenobarbital, carbamazepine, phenytoin เป็นต้น

การติดตามผลการรักษาหลังการรับประทานฮอร์โมนไทรอยด์ทดแทน

  • ติดตามค่า TSH, T3 และ T4 ในเลือดหลังจากรักษาด้วยยานาน 6-8 สัปดาห์ และสังเกตอาการแสดง

ควรปฏิบัติตนอย่างไรขณะใช้ยารักษาโรคไทรอยด์ต่ำ

  • ควรรับประทานยา levothyroxine ก่อนอาหารนานประมาณ 30 นาทีหรือ 1 ชั่วโมงพร้อมน้ำเปล่า (ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานพร้อมนม) หลีกเลี่ยงการรับประทานยาร่วมกับยาชนิดอื่นๆที่อาจเกิดอันตรกิริยาระหว่างยา และแนะนำให้รับประทานยาในเวลาเดียวกันของทุกวันเพื่อให้ยาในร่างกายมีระดับคงที่
  • รับประทานยาสม่ำเสมอตามแพทย์สั่ง อย่าปรับขนาดยาเอง และห้ามหยุดรับประทานยาเอง โดยไม่ปรึกษาแพทย์แม้อาการดีขึ้นแล้ว
  • ตรวจติดตามวัดระดับฮอร์โมนไทรอยด์ในเลือด ติดตามวัดระดับ TSH และ free thyroxine เป็นระยะๆ (ทุก 4-6 เดือน) เพื่อแพทย์สามารถปรับขนาดยาให้เหมาะสม
  • หากมีการตั้งครรภ์ หรือเกิดโรคประจำตัวอื่นโดยเฉพาะโรคหัวใจและหลอดเลือด ต้องปรึกษาแพทย์เพื่อปรับขนาดยา
  • หลังรับประทานฮอร์โมนไทรอยด์ทดแทนแล้ว หากมีอาการผิดปกติ เช่น ใจสั่น น้ำหนักลดเร็ว นอนไม่หลับ เหงื่อออกมาก อ่อนเพลียผิดปกติ ให้รีบปรึกษาแพทย์เพื่อปรับขนาดยา
  • สามารถรับประทานอาหารตามปกติ โดยอาจเน้นอาหารที่มีไอโอดีน (ในปริมาณที่เหมาะสม) เช่น เกลือเสริมไอโอดีน สาหร่ายทะเล ปลา การรับประทานผักและผลไม้สด การออกกำลังกาย และควรดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอวันละ 6-8 แก้ว จะช่วยควบคุมสมดุลร่างกาย และควบคุมน้ำหนักตัว

โดยสรุปโรคไทรอยด์ต่ำ สามารถรักษาได้ด้วยยาฮอร์โมนไทรอยด์ทดแทน ผู้ป่วยไม่ควรกังวลมากเกินไป หากเกิดอาการผิดปกติหรือสงสัยควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจให้แน่ชัด ไม่ควรหาซื้อยามารับประทานเอง โดยหากตรวจวินิจฉัยโรคแล้วทราบผลความผิดปกติเร็ว การได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีและปฏิบัติตนอย่างถูกต้อง จะสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://pharmacy.mahidol.ac.th/th/service.php

ผ.ศ. (พิเศษ) ดร. เภสัชกร อภิสิทธิ์  ฉัตรทนานนท์

ประธานกรรมการ มูลนิธิคุณแม่คุณภาพ

Life & Health : สาวมือใหม่ขับรถหน้าฝนลุยน้ำท่วมอย่างไร

Life&Health : สาวมือใหม่ขับรถหน้าฝนลุยน้ำท่วมอย่างไร

Life&Health : สาวมือใหม่ขับรถหน้าฝนลุยน้ำท่วมอย่างไร

วันพุธ ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2568, 02.00 น.

ฝนตก รถติด น้ำท่วมขัง กลายเป็นภาพคุ้นตาของฤดูฝนในเมืองไทย ที่ทำเอาหลายคนโดยเฉพาะสาว ๆ ที่ต้องขับรถลุยเดี่ยว ต้องพกทั้งความกล้าและความระวังไว้เต็มพิกัด เพราะการขับขี่ท่ามกลางสายฝน หรือเสี่ยงต้องลุยน้ำท่วมขัง ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของทัศนวิสัยที่แย่ลงเท่านั้น แต่ยังอาจนำไปสู่สถานการณ์ไม่คาดฝันได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะสำหรับมือใหม่หัดขับ หรือผู้หญิงที่ขับรถคนเดียวไม่มีผู้ช่วยคอยให้คำปรึกษา การขับรถในหน้าฝนจึงเป็นเรื่องท้าทาย  เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถรับมือกับฝนตกหนัก ถนนลื่น หรือน้ำท่วมได้อย่างมั่นใจ

ข้อมูลจาก นายชวิศ ยงเห็นเจริญ  กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชลิต อินดัสทรี จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายชิ้นส่วนยานยนต์ภายใต้แบรนด์  “POP” ซึ่งเป็นชิ้นส่วนอะไหล่ยานยนต์มาตรฐานสากลฝีมือคนไทยที่ได้รับการยอมรับในอุตสาหกรรมยานยนต์มาอย่างยาวนานกว่า 30 ปี ให้คำแนะนำว่า  การขับรถหน้าฝนที่ต้องเผชิญกับฝนตกหนัก น้ำท่วม หรือสภาพถนนที่คาดเดาไม่ได้  และเมื่ออยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ผู้ขับรถมือใหม่ที่ขาดประสบการณ์  หรือผู้หญิงที่ขับรถคนเดียว อาจตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ดังนั้น มือใหม่ควรศึกษาข้อมูล และมีคำแนะนำติดไว้ในรถ  เพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่ สามารถรับมือกับฝนตกหนัก ถนนลื่น หรือน้ำท่วมได้อย่างมั่นใจ โดยคุณชวิศ ได้รวบรวม “Do & Don’t” ข้อควรทำ และไม่ควรทำ สำหรับมือใหม่เมื่อต้องขับรถในช่วงหน้าฝน ขณะฝนตกหนัก หรือขับรถลุยน้ำท่วม เพื่อความปลอดภัยของทั้งผู้ขับขี่และลดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกับตัวรถ

สิ่งที่ “ควรทำ” (Do)

1. สิ่งแรกที่อยากเน้นคือ ทัศนวิสัยจะเปลี่ยนทันทีที่ฝนเริ่มตก โดยเฉพาะช่วงน้ำแรกถนนจะลื่นกว่าปกติมาก ผู้ขับขี่ควรลดความเร็ว เปิดไฟหน้าแม้ในตอนกลางวันเพื่อให้รถคันอื่นมองเห็นเรา และควรเพิ่มระยะห่างจากคันหน้า 2-3 เท่า  ที่สำคัญอย่าใช้ไฟฉุกเฉินในขณะที่รถยังวิ่งอยู่ เพราะอาจทำให้ผู้อื่นสับสนคิดว่ารถจอดนิ่งอยู่กลางถนน  เสี่ยงให้เกิดอุบัติเหตุได้ 

2.  ควรมีการตรวจเช็คอะไหล่รถยนต์ เพื่อเตรียมรถให้พร้อมการใช้งาน   โดยเฉพาะยางรถยนต์ ใบปัดน้ำฝน และเบรก คือ 3 จุดแรกที่ควรเช็คทันที แต่สิ่งที่มักถูกละเลยคือ ‘ช่วงล่าง’ โดยเฉพาะรถที่ใช้งานหนักหรือวิ่งถนนไม่เรียบ บูชยาง ลูกหมาก โช้คอัพ และยางรองแท่นเครื่อง หากเสื่อมจะส่งผลให้รถสั่น โคลง หรือสูญเสียการควบคุมเวลาเจอถนนเปียก การเช็กช่วงล่างไม่ได้แค่เพื่อความนุ่ม แต่คือความปลอดภัย

3. ถ้าจำเป็นต้องขับรถตอนฝนตกหนัก มือใหม่ควรตั้งสติและใจเย็นๆ อย่าตระหนกตกใจจนทำอะไรไม่ถูก การขับรถหน้าฝนไม่ได้อันตรายถ้าวางแผนให้ดี มือใหม่ควรเลือกเส้นทางหลัก หลีกเลี่ยงถนนที่น้ำท่วมประจำ  ควรขับช้า ใช้เกียร์ต่ำ และหากเริ่มมองไม่เห็น ควรหาที่ปลอดภัยจอดรอ ไม่ต้องฝืนขับ เพราะความมั่นใจที่มากไป บวกกับประสบการณ์ที่ยังไม่มาก อาจทำให้เกิดเหตุไม่คาดคิดได้

4.  เทคนิคในการขับรถผ่านเส้นทางที่มีน้ำท่วมขังสูง

  • ขั้นแรกต้องประเมินระดับน้ำ ถ้าสูงเกินครึ่งล้อหน้าไม่ควรลุย ควรหันหลังกลับหรือเปลี่ยนเส้นทาง โดยเฉพาะผู้หญิงหรือมือใหม่ ถ้ารู้สึกไม่มั่นใจ ขอให้หยุดรถก่อนเข้าเขตน้ำขัง จะไม่เสียหาย โดยสังเกตจากสิ่งรอบตัว เช่น ล้อรถคันหน้า เสาไฟ หรือฟุตบาท ถ้าน้ำสูงเกินครึ่งล้อ หรือเห็นรถคันอื่นหยุดรอ แสดงว่าน้ำลึกเกินควรลุย ถ้าเป็นมือใหม่ อาจพกไม้สั้นๆ ไว้ตรวจระดับน้ำง่าย ๆ จากหน้าต่าง  นอกจากนี้ ควรสังเกตทิศทางน้ำ ถ้าไหลแรงหรือขุ่นคลัก หลีกเลี่ยงไว้ก่อนดีที่สุด
  • หากจำเป็นต้องลุยน้ำ ให้ปิดแอร์ ใช้เกียร์ต่ำ เดินคันเร่งคงที่ ห้ามเบรก หรือเร่งเครื่องแรงเด็ดขาด ถ้ารถติดช่วงล่างไม่ดี อย่างบูชหรือโช้คเสื่อม รถจะโคลงและสั่นมากขณะผ่านน้ำ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงให้ระบบข้างใต้เสียหาย
  • ถ้าเครื่องยนต์ดับกลางน้ำ อย่าสตาร์ทรถซ้ำเป็นอันขาด เพื่อป้องกันความเสียหาย เพราะการสตาร์ทอาจทำให้เกิด ‘Water Lock’ หรือการที่น้ำเข้าไปในห้องเผาไหม้ ส่งผลให้เครื่องพังถาวร ควรปลดเกียร์ ดึงเบรกมือ และโทรเรียกรถยกทันที อาจจะดูยุ่งยากแต่ป้องกันค่าซ่อมหลักแสน
  • หลังจากเพิ่งขับรถลุยน้ำท่วมขังให้เหยียบเบรกย้ำๆสัก 2-3 ครั้งก่อนที่จะขับต่อไป เพื่อให้ระบบเบรกทำงานได้ปกติ
  • ถ้าไม่มั่นใจว่าจะขับผ่านน้ำท่วมได้ ควรหยุดรถในที่ปลอดภัย บนพื้นที่สูง ไม่ขวางจราจร ไม่อยู่ใต้ต้นไม้ หรือสายไฟแรงสูง เปิดไฟฉุกเฉินไว้ ปิดกระจกให้สนิท อย่าออกจากรถโดยไม่จำเป็น และอย่าเปิดประตูถ้าน้ำเริ่มเข้าเกินพื้นรถ เพราะน้ำจะทะลักเข้ามาอย่างรวดเร็ว

5. ควรล้างช่วงล่างรถทันที  เพราะถ้าไม่ล้างจะทำให้โคลนและน้ำเกาะที่บูชยางรองต่างๆ และสะสมความชื้น ทำให้เสื่อมเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว หากช่วงล่างหลวม น้ำเข้าเพลาขับ หรือบูชฉีก ก็อาจเป็นจุดเริ่มของความเสียหายที่ใหญ่ขึ้น

6. มือใหม่ หรือผู้หญิงที่ขับรถคนเดียว ควรเตรียมกล่องอุปกรณ์ฉุกเฉินไว้ท้ายรถเสมอ เช่น ไฟฉาย เบอร์ฉุกเฉินของประกัน หรือรถยก เสื้อกันฝน ผ้าขนหนู และ Power bank  เผื่อสถานการณ์ติดค้างกลางฝนเป็นเวลานาน 

สิ่งที่ “ไม่ควรทำ” (Don’t)

1. เวลาขับรถลุยน้ำท่วมสิ่งที่ไม่ควรทำ แต่มือใหม่มักพลาดทำบ่อยๆและทำให้เกิดความเสียหาย ได้แก่

  • เร่งเครื่อง เพื่อให้ผ่านเร็วๆ ซึ่งทำให้พัดลมหรือท่อดูดอากาศดูดน้ำเข้าสู่เครื่องยนต์
  • การเปิดแอร์แรงขณะลุยน้ำ ซึ่งจะทำให้น้ำกระเซ็นเข้าไปในพัดลมระบายความร้อน หรือระบบไฟใต้ท้องรถ โดยเฉพาะถ้าแอร์รถอยู่ต่ำมากในรุ่นรถบางประเภท น้ำอาจโดนพัดลมคอนเดนเซอร์ ดังนั้น ขณะลุยน้ำควรปิดแอร์
  • การเบรกแรงกะทันหันขณะน้ำขัง อาจทำให้เบรกลื่น หรือระบบเบรกดูดน้ำเข้าไปในดรัม

2. พฤติกรรมที่ห้ามทำเด็ดขาดขณะขับรถลุยน้ำท่วม ได้แก่

  • ถ้าขับรถลุยน้ำลึกแล้วเครื่องยนต์ดับห้ามสตาร์ทเด็ดขาด เพราะทำให้เกิดความเสียหาย
  • ห้ามเปิดฝากระโปรงรถ เพราะถ้าเครื่องยนต์ร้อนจัดและสัมผัสน้ำ อาจเกิดไอน้ำหรืออันตรายจากแรงดัน
  • ห้ามเปิดประตูหากน้ำยังท่วมถึงขอบรถ เพราะน้ำจะทะลักเข้ามาทันที ห้ามขับเร็ว ห้ามขับสวนกับกระแสน้ำ และห้ามขับตามท้ายรถใหญ่เกินไป เพราะคลื่นน้ำจากรถหน้าอาจซัดกลับเข้าห้องเครื่องของเรา อย่าคิดว่าแค่ลุยแป๊บเดียวแล้วจะไม่เป็นอะไร เพราะน้ำเพียง 20–30 ซม. ก็ทำให้ระบบช่วงล่างพังได้ ถ้าเข้าไปสะสมในบูชยางหรือจุดข้อต่อ
  • ห้ามออกมากเดินย่ำน้ำรอบรถโดยไม่รู้ระดับพื้น เพราะอาจตกหลุม หรืออาจมีสายไฟชำรุด ทำให้เกิดไฟฟ้าช็อตได้

3. อย่าดับเครื่องยนต์ทันที หลังจากขับรถลุยน้ำท่วมจนมาถึงจุดหมายแล้ว เพื่อป้องกันความเสียหายจากน้ำที่ค้างอยู่ที่ท่อไอเสียย้อนกลับเข้าไป ให้สตาร์ทรถทิ้งไว้สักครู่เพื่อให้น้ำที่อาจตกค้างอยู่ในหม้อพักท่อไอเสียระเหยออกมาให้หมดช่วยลดความเสียหายต่อเครื่องยนต์

บริษัท ชลิต อินดัสทรี จำกัด ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์คุณภาพสูงภายใต้แบรนด์  “POP” อยู่คู่คนไทยมายาวนานกว่า 30 ปี โดยมุ่งเน้นการผลิตชิ้นส่วนที่มีความทนทานและได้มาตรฐานสากล เพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยในการขับขี่ของผู้ใช้รถยนต์ มีผลิตภัณฑ์มากกว่า 5,000 รายการ ครอบคลุมตั้งแต่รถยนต์ส่วนบุคคลจนถึงรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ สามารถสอบถามรายละเอียด ที่ร้านอะไหล่รถยนต์ชั้นนำ ตัวแทนจำหน่าย หรือเว็บไซต์ https://chalitindustry.com

ผศ.(พิเศษ) ดร.อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์

ประธานกรรมการ มูลนิธิคุณแม่คุณภาพ

Life & Health : ระวัง..กลุ่มโรคที่มาพร้อมหน้าฝน

Life&Health : ระวัง..กลุ่มโรคที่มาพร้อมหน้าฝน

Life&Health : ระวัง..กลุ่มโรคที่มาพร้อมหน้าฝน

วันพุธ ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2568, 02.00 น.

เมื่อฤดูฝนเริ่มต้นขึ้น หลายคนอาจรู้สึกเพลิดเพลินกับอากาศเย็นสบายและเสียงฝนที่โปรยปรายอย่างต่อเนื่อง แต่ในความชุ่มฉ่ำของฤดูนี้ ยังแฝงไว้ด้วยภัยเงียบที่หลายคนอาจมองข้าม นั่นคือ “โรคภัยไข้เจ็บ” ที่มักเกิดขึ้นหรือระบาดหนักในช่วงฤดูฝน ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนทุกช่วงวัย โดยเฉพาะเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ

โรคหลายชนิดสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วในสภาพแวดล้อมที่ชื้น น้ำท่วมขัง และสุขอนามัยที่ไม่เหมาะสม ซึ่งหากขาดการป้องกันหรือไม่ตระหนักถึงความเสี่ยง อาจก่อให้เกิดการเจ็บป่วยที่รุนแรงจนถึงขั้นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลได้

ข้อมูลจาก แพทย์หญิง วรินทิพย์ มหาพสุธานนท์ อายุรแพทย์โรคติดเชื้อ โรงพยาบาลเวชธานี อธิบายว่า เนื่องจากฤดูฝนมีความชื้นสูง น้ำท่วมขัง และอุณหภูมิแปรปรวน ซึ่งเอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อโรค การแพร่กระจายของไวรัส และการขยายพันธุ์ของยุงลาย จึงทำให้โรคเหล่านี้พบได้บ่อยขึ้นในช่วงนี้ได้แก่

โรคติดต่อทางน้ำและอาหาร เช่น ท้องเสียเฉียบพลัน อาหารเป็นพิษ หรืออหิวาตกโรค โรคเหล่านี้มักเกิดจากการบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัส เช่น Salmonella, E. coli หรือ Norovirus ผู้ป่วยจะมีอาการถ่ายเหลวหลายครั้ง อาเจียน ปวดท้อง และอาจมีไข้ร่วมด้วย หากไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม อาจเกิดภาวะขาดน้ำซึ่งเป็นอันตรายได้ วิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือการล้างมือบ่อย ๆ โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหารและหลังใช้ห้องน้ำ รวมถึงหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่ผ่านการปรุงสุกหรือเก็บไว้นานเกินไป

แพทย์หญิง วรินทิพย์ มหาพสุธานนท์ 

โรคติดเชื้อผ่านทางแผลหรือเยื่อบุผิวหนัง เช่น โรคตาแดงและไข้ฉี่หนู โรคตาแดงสามารถเกิดขึ้นได้เมื่อมีการสัมผัสน้ำหรือสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส ส่วนไข้ฉี่หนูเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Leptospira ที่อาศัยอยู่ในน้ำที่ปนเปื้อนปัสสาวะของสัตว์ ซึ่งสามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านบาดแผลหรือเยื่อบุ เช่น ตา หรือปาก อาการของไข้ฉี่หนูคือมีไข้สูง ปวดกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะบริเวณน่อง ตาแดง และอาจมีอาการตับหรือไตอักเสบร่วมด้วย วิธีป้องกันคือหลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำท่วมขัง และหากหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรสวมรองเท้าบูทกันน้ำและรีบล้างตัวหลังสัมผัสน้ำ

โรคระบบทางเดินหายใจ ซึ่งรวมถึงไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ และปอดบวม โรคเหล่านี้มักเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิและความชื้นในอากาศซึ่งส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว อาการที่พบได้แก่ คัดจมูก ไอ เจ็บคอ มีไข้ และในกรณีของปอดบวมอาจมีอาการหายใจลำบากหรือเจ็บหน้าอกร่วมด้วย การป้องกันสามารถทำได้โดยหลีกเลี่ยงสถานที่แออัด รักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล และฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี

โรคที่มียุงเป็นพาหะ เช่น ไข้เลือดออก ไข้สมองอักเสบเจอี และมาเลเรีย โดยเฉพาะไข้เลือดออกที่มักระบาดหนักในช่วงฤดูฝน เพราะเป็นช่วงที่ยุงลายซึ่งเป็นพาหะของโรคเจริญเติบโตได้ดีในแหล่งน้ำขัง ผู้ป่วยจะมีไข้สูงเฉียบพลัน ปวดเมื่อยตามตัว และอาจมีจุดเลือดออกตามผิวหนัง ส่วนโรคไข้สมองอักเสบเจอีพบมากในพื้นที่ชนบท โดยเชื้อไวรัสจะแพร่ผ่านยุงที่กัดสัตว์แล้วมากัดคน ทำให้เกิดอาการไข้ ซึม ชัก และอาจหมดสติ มาเลเรียแม้จะพบน้อยลงในไทย แต่ก็ยังมีความเสี่ยงในบางพื้นที่ ป้องกันได้โดยการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง เช่น ปิดฝาภาชนะใส่น้ำ ใช้มุ้งหรือยากันยุง และหากอยู่ในพื้นที่เสี่ยงควรรับวัคซีนตามคำแนะนำ

โรคมือ เท้า ปาก ซึ่งพบได้บ่อยในเด็กเล็ก โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่โรงเรียนหรือศูนย์เด็กเล็กมักเกิดการระบาด โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่ม Enterovirus เช่น Coxsackievirus ติดต่อผ่านการสัมผัสน้ำลาย น้ำมูก หรืออุจจาระของผู้ป่วย อาการเริ่มต้นมักมีไข้ เจ็บปาก ตามด้วยผื่นหรือตุ่มน้ำที่มือ เท้า และภายในช่องปาก แม้จะเป็นโรคที่หายได้เอง แต่ในบางรายอาจมีภาวะแทรกซ้อน เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบหรือกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ วิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือการล้างมือบ่อย ๆ หลีกเลี่ยงการพาเด็กไปสถานที่แออัดเมื่อมีการระบาด และรักษาความสะอาดของของเล่นและสิ่งแวดล้อม

ดังนั้นในช่วงฤดูฝน การดูแลสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะสภาพอากาศที่ชื้นและน้ำขังอาจกลายเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคหลายชนิด เพื่อให้ห่างไกลจากโรคที่มากับฤดูฝน ทุกคนสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำง่าย ๆ ในชีวิตประจำวันได้ดังนี้..

เริ่มจากการรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด เช่น การล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาดอยู่เสมอ โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหาร หลังใช้ห้องน้ำ หรือหลังสัมผัสสิ่งของสาธารณะ รวมถึงหลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ หรือช้อนส้อม, ควรเลือกรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่เสมอ หลีกเลี่ยงอาหารที่ค้างคืนหรือไม่ผ่านการเก็บรักษาอย่างถูกสุขลักษณะ ควรดื่มน้ำสะอาด และหลีกเลี่ยงการใช้น้ำแข็งหรือน้ำดื่มที่อาจปนเปื้อนเชื้อโรค พร้อมทั้งใช้ช้อนกลางเมื่อรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น ส่วนอีกหนึ่งวิธีที่สำคัญในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย คือการพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายเป็นประจำ และหากอยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุหรือผู้มีโรคประจำตัว ควรเข้ารับวัคซีนที่จำเป็น เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่ หรือวัคซีนไข้สมองอักเสบเจอี เป็นต้น

ข้อมูลจาก ศ.นพ.สุรเดช หงส์อิง เลขาธิการ กองทุนโรคมะเร็งในเด็กในพระอุปถัมภ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ ขอเชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาร่วมช่วยสนับสนุนผู้ป่วยมะเร็งเด็กที่ยากไร้ทั่วประเทศในโรงพยาบาลกว่า 20 แห่ง รูปแบบในการให้ความช่วยเหลือคือ ช่วยค่าใช้จ่ายสำหรับการรักษา รวมทั้งค่ายา ค่าเดินทางมาตรวจรักษา ค่าที่พัก เวชภัณฑ์ต่างๆ โดยสามารถร่วมบริจาคได้ที่บัญชี “กองทุนโรคมะเร็งในเด็กในพระอุปถัมภ์ฯ” SCB สาขาอ่อนนุช เลขที่บัญชี 133-2-08742-3 โทร.02-7183800 ต่อ 123 ใบเสร็จนำไปลดหย่อนภาษีได้รายละเอียดที่ http://www.thaichildrencancerfund.org/

Life & Health : แนวทางพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษเพื่อการเรียนต่อต่างประเทศ

Life&Health : แนวทางพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษเพื่อการเรียนต่อต่างประเทศ

Life&Health : แนวทางพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษเพื่อการเรียนต่อต่างประเทศ

วันพุธ ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2568, 06.17 น.

การศึกษาต่อต่างประเทศ เป็นเป้าหมายสำคัญของนักเรียนไทยจำนวนมาก เพราะนอกจากจะเปิดโอกาสให้เข้าถึงระบบการศึกษาชั้นนำของโลกแล้ว ยังช่วยพัฒนาทักษะการใช้ชีวิตและเปิดมุมมองระหว่างวัฒนธรรมให้กว้างขึ้น อย่างไรก็ตาม ปัจจัยพื้นฐานที่ส่งผลต่อความสำเร็จทั้งในด้านการเรียนและการใช้ชีวิตในต่างประเทศ คือ “ทักษะภาษาอังกฤษ” ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการเรียนรู้ การสื่อสาร และการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ ดังนั้น ใครที่กำลังมีแผนจะเดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศ จึงควรเริ่มเตรียมตัวให้พร้อมตั้งแต่วันนี้

ข้อมูลจาก Mr. Paul Baker ผู้อำนวยการสถาบันสอนภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยโอทาโก ประเทศนิวซีแลนด์ ให้คำแนะนำสำหรับนักเรียนไทยที่ยังขาดความมั่นใจในการใช้ภาษาอังกฤษว่า หลายคนอาจจะมองว่าการเรียนภาษาอังกฤษเป็นเรื่องยาก น่าเบื่อ หรือรู้สึกไม่มั่นใจเมื่อต้องใช้ภาษา แต่ความกลัวเหล่านี้สามารถเอาชนะได้ด้วยการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ อย่ากลัวที่จะพูดผิด เพราะความผิดพลาดคือโอกาสในการเรียนรู้ คนต่างชาติมักชื่นชมเมื่อคุณพยายามใช้ภาษาของเขา การฝึกพูดกับตัวเองในชีวิตประจำวัน เช่น การอธิบายสิ่งที่ทำ หรือสมมุติสถานการณ์สนทนา จะช่วยพัฒนาความมั่นใจได้อย่างเป็นธรรมชาติ

เทคนิคและแนวทางพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ เตรียมตัวให้พร้อมก่อนบิน

1. ควรฝึกทักษะภาษาอังกฤษให้ครบทั้ง 4 ทักษะ ได้แก่ การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน  เพราะทักษะทั้ง 4 ด้านล้วนมีความสำคัญ การพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษอย่างรอบด้านเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้นของการใช้ชีวิตในต่างประเทศ นักเรียนจะต้องใช้การฟังและการพูดเป็นหลักในการสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นการสอบถามข้อมูล การแนะนำตัว หรือการเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ในชั้นเรียน ซึ่งแม้ในระยะแรกอาจเป็นเรื่องยาก แต่เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ใช้ภาษาอังกฤษตลอดเวลา จะสร้างความแตกต่างอย่างมากโดยเฉพาะในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก และทักษะเหล่านี้จะพัฒนาอย่างรวดเร็วแบบก้าวกระโดดและทำให้เราสื่อสารดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น

2.) ควรฝึกภาษาอังกฤษด้วยตนเองเป็นประจำในชีวิตประจำวันอย่างสม่ำเสมอ การฝึกภาษาไม่จำเป็นต้องจำกัดอยู่แค่ในห้องเรียน หรือหนังสือเรียนเท่านั้น แต่สามารถทำได้ง่ายๆด้วยตนเองในชีวิตประจำวัน  เช่น

ฟังพอดแคสต์ภาษาอังกฤษมีเนื้อหาน่าสนใจ เพื่อช่วยฝึกทักษะการฟัง พร้อมถอดเสียงให้ฝึกอ่านตามด้วยฝึกเขียนไดอารี่ประสบการณ์ในชีวิตประจำวัน หรือหรือบทความสั้นๆ การฝึกเขียนภาษาอังกฤษแค่เพียงวันละไม่กี่ประโยค จะช่วยฝึกทักษะการเขียนและเพิ่มความมั่นใจในการใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างน่าทึ่ง เช่น การเขียนบันทึกส่วนตัว เพื่อสะท้อนความคิด, ความรู้สึก, หรือฝึกเขียนบล็อก (blog) เขียนบทความ, ข่าวสาร, หรือการเล่าเรื่องราวเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ตเพื่อแบ่งปันกับผู้อื่นเป็นภาษาอังกฤษ ดูภาพยนตร์หรือซีรีส์ภาษาอังกฤษ โดยเปิดคำบรรยาย (ซับไตเติล) เพื่อฝึกฟังสำเนียงต่างๆ และลองย้อนดูฉากที่ฟังไม่เข้าใจซ้ำๆ เพื่อฝึกจับคำ ฟังเพลงภาษาอังกฤษ หรือฝึกร้องเพลงคาราโอเกะ เพื่อจดจำคำศัพท์และวลี ก็เป็นอีกวิธีที่สนุกและได้ฝึกภาษาไปในตัว ฝึกอ่านข่าวออนไลน์ภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะข่าวจากประเทศที่ตั้งใจจะไปเรียนต่อ เช่น นิวซีแลนด์ เพื่อเรียนรู้คำศัพท์เฉพาะและบริบทของภาษา

3. สร้างวินัยและแรงจูงใจในการเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง ความสำเร็จในการเรียนภาษาอังกฤษขึ้นอยู่กับวินัยและความต่อเนื่อง โดยมีเทคนิคช่วยเสริมแรงจูงใจ เช่น

ทำให้การเรียนภาษาอังกฤษเป็นเรื่องสนุกโดยเลือกเรียนจากเนื้อหาที่สนใจ เพื่อให้การเรียนรู้ไม่น่าเบื่อ เช่น ฟังเพลง ดูคลิป หรืออ่านบทความที่ชอบ หรืออ่านบทความที่เกี่ยวข้องกับงานอดิเรกที่เราชอบ
อัดเสียงตัวเองขณะพูดภาษาอังกฤษแล้วฟังย้อนกลับ เพื่อประเมินและพัฒนาแก้ไข 
ฝึกพูดเรื่องที่สนใจกับเพื่อน หรือจดบันทึกไดอารี่ในเรื่องที่ตนเองชอบเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อให้เกิดความคุ้นเคย เช่น ซีรีส์ที่เพิ่งดู หรือเรื่องราวในชีวิตประจำวัน จะช่วยให้พัฒนาได้ต่อเนื่อง

4. การเตรียมตัวเพื่อสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ เช่น TOEFL หรือ IELTS เป็นการสอบวัดทักษะภาษาอังกฤษทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ การอ่าน ฟัง พูด และเขียน โดยผู้สอบสามารถเลือกสอบผ่านคอมพิวเตอร์ได้ทั้งสองแบบ แต่สำหรับ IELTS การสอบพูดจะต้องพูดกับผู้สัมภาษณ์จริง ผู้สอบต้องแสดงศักยภาพทางภาษาให้เต็มที่ในวันสอบ และการเตรียมตัวที่ดีจะช่วยให้ผู้สอบทำได้ดีที่สุด  คำแนะนำที่สำคัญคือ

ศึกษาโครงสร้างข้อสอบและรูปแบบคำถามอย่างละเอียด พร้อมฝึกทำแบบฝึกหัดภาษาอังกฤษในทุกทักษะอย่างสม่ำเสมอ
เพิ่มคลังคำศัพท์ ด้วยการใช้ “high frequency word list” (หาได้ฟรีทางออนไลน์)
ฝึกทำแบบฝึกหัดและวัดระดับความพร้อม โดยสามารถดูข้อมูลได้จากเว็บไซต์ทางการของแต่ละการสอบ และลองใช้แอปพลิเคชั่นเพื่อช่วยในการพัฒนาภาษาเพื่อการสอบ
ลงเรียนคอร์สเตรียมสอบ TOEFL หรือ IELTS กับสถาบันที่เชื่อถือได้ เพื่อรับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญโดยตรงเพื่อสร้างความมั่นใจก่อนสอบจริง
รู้จักคอร์สเรียน English Pathway ที่ให้นักเรียนเรียนภาษาอังกฤษเพื่อการเรียนต่อ โดยไม่จำเป็นต้องมีผล IELTS และเมื่อสอบผ่านกับทางสถาบันที่สอนก็สามารถนำผลการเรียนไปยื่นเข้าเรียนต่อกับมหาวิทยาลัยได้เลย เช่นในนิวซีแลนด์

5. หากไม่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษ ควรเรียนเสริมในสถาบันสอนภาษาที่มีคุณภาพ สำหรับน้องๆที่ยังไม่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษ จุดเริ่มต้นที่ดีแนะนำให้เรียนในสถาบันสอนภาษาในระดับเริ่มต้น โดยเฉพาะหลักสูตรGeneral English และเมื่อมีทักษะที่ดีขึ้นอาจเริ่มเรียนภาษาอังกฤษะในทักษะอื่นๆ หรือเพื่อการเรียนต่อ (Academic English)

“นิวซีแลนด์” ทางเลือกยอดนิยม การเรียนภาษาอังกฤษของนักเรียนไทย

นิวซีแลนด์เป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก และได้รับความนิยมสูงจากนักเรียนต่างชาติ รวมถึงนักเรียนไทยที่ต้องการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ ด้วยระบบการศึกษาคุณภาพสูงและคุณวุฒิที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลภายใต้กรอบคุณวุฒิแห่งชาตินิวซีแลนด์ (NZQF) รัฐบาลยังมีแผนยุทธศาสตร์เพื่อดูแลนักเรียนต่างชาติให้ได้รับความปลอดภัยและคุณภาพชีวิตที่ดี  การเรียนภาษาอังกฤษที่นิวซีแลนด์ ไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานมาก่อน ผู้เรียนสามารถปรับตัวได้เร็ว ด้วยการสอนที่เน้นการปฏิบัติจริง ห้องเรียนขนาดเล็ก ช่วยให้ใกล้ชิดกับครูและเพื่อน พร้อมฝึกฝนภาษาในชีวิตประจำวัน ทั้งในและนอกห้องเรียน อีกทั้งผู้คนเป็นมิตร ทำให้เรียนสนุกและพัฒนาภาษาได้รวดเร็ว ที่นิวซีแลนด์มีโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ และสถาบันภาษาชั้นนำครอบคลุมทุกระดับ ทั้งนักเรียนและผู้ใหญ่วัยทำงาน เพื่อการพัฒนาไปสู่การเรียนต่อ หรือการเพิ่มทักษะในการทำงานในหลายๆด้าน ทั้งพูด ฟัง อ่าน เขียน เพื่อให้มีความมั่นใจในการใช้ภาษาอังกฤษ 

สำหรับผู้สนใจอยากจะพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษเพี่อการเรียนต่อที่ประเทศนิวซีแลนด์ มีโปรแกรมอบรมภาษาอังกฤษ Pathway โดยนักเรียนที่ยังสอบไม่ได้ระดับ IELTS เพื่อเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่นิวซีแลนด์สามารถเรียนจบและเข้ามหาวิทยาลัยได้เลย หรือเรียนเพื่อพัฒนาภาษาช่วยการสื่อสารหรือเพื่อการทำงาน การเรียนภาษาอังกฤษที่นิวซีแลนด์ตอนนี้ยังสามารถผ่อน 0% ได้ 6 เดือน หรือสามารถคะแนน 4 เท่า ด้วยบัตรเครดิต KTC  สามารถสอบถามและฟังรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในงานสัมมนาออนไลน์ (ฟรี) Learn English Every Day – Only in New Zealand! หาทางเลือกในการเรียนภาษาอังกฤษเพื่อเรียนต่อในระดับต่างๆหรือพัฒนาทักษะเพื่อทำงาน ทั้งเรียนระยะสั้นและระยะยาวเริ่มตั้งแต่ 2 สัปดาห์ขึ้นไป ร่วมฟังตัวแทนจากสถาบันสอนภาษาและมหาวิทยาลัยนิวซีแลนด์โดยตรง ในวันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน นี้ เวลา 11.00-12.15 น.  ลงทะเบียนร่วมงาน (ฟรี) ที่นี่ https://www.learnenglishnewzealand.com/

ผศ.(พิเศษ) ดร.เภสัชกร อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์

ประธานกรรมการ มูลนิธิคุณแม่คุณภาพ

Life & Health : กุญแจสู่ความสำเร็จขององค์กรยุคใหม่ ด้วยเทคโนโลยี AI ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลสำหรับองค์กร

Life & Health : กุญแจสู่ความสำเร็จขององค์กรยุคใหม่ ด้วยเทคโนโลยี AI ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลสำหรับองค์กร

Life & Health : กุญแจสู่ความสำเร็จขององค์กรยุคใหม่ ด้วยเทคโนโลยี AI ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลสำหรับองค์กร

วันพุธ ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

ในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว คำว่า “Data-Driven” หรือ “ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล” กลายเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในอุตสาหกรรมไหน การตัดสินใจจากข้อมูลที่แม่นยำและทันสมัยจะช่วยเพิ่มโอกาสในการแข่งขัน และเมื่อผสมผสานกับ AI (Artificial Intelligence) หรือ “ปัญญาประดิษฐ์” ยิ่งทำให้ศักยภาพในการขับเคลื่อนธุรกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดด

ข้อมูลจาก อุกฤษฎ์ ตั้งสืบกุล ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท เรียล สมาร์ท จำกัด (มหาชน) และผู้บริหาร เรียล สมาร์ทอะคาเดมี่ (Real Smart Academy) เปิดเผยว่า การขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven) คือการใช้ข้อมูลที่มีอยู่ในการวิเคราะห์เพื่อตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ ข้อมูลที่เราเก็บรวบรวมจากทุกช่องทาง ทั้งยอดขาย ความพึงพอใจของลูกค้า พฤติกรรมการซื้อ ไปจนถึงข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย สามารถนำมาวิเคราะห์เพื่อเข้าใจลูกค้า คาดการณ์แนวโน้ม และวางแผนธุรกิจได้อย่างแม่นยำ เช่น การตลาด (Marketing) : ใช้ข้อมูลการเข้าถึงของลูกค้า (Customer Insights) เพื่อปรับแคมเปญการตลาดให้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น เช่น การใช้ข้อมูลจากพฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์เพื่อแนะนำสินค้าที่เหมาะสมที่สุด, การจัดการสินค้าคงคลัง (Inventory Management) : วิเคราะห์ข้อมูลยอดขายและความต้องการของตลาด เพื่อจัดการสต็อกสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น Walmart ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลการขายเพื่อจัดการสต็อกสินค้าในแต่ละสาขาอย่างแม่นยำ ลดปัญหาของขาดและของเหลือ, การบริการลูกค้า (Customer Service): ใช้ข้อมูลจากการสอบถามและคำติชม มาพัฒนาการบริการให้ดีขึ้น เช่น Amazon ใช้ AI ในการตอบคำถามลูกค้าและแนะนำสินค้าผ่านระบบ Chatbotอย่างแม่นยำและรวดเร็ว, การขนส่งและโลจิสติกส์(Transportation & Logistics) : บริษัท DHL ใช้ Data Analytics ในการจัดการเส้นทางขนส่งเพื่อลดระยะทางและเวลาในการจัดส่งทำให้ลดต้นทุนและเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า

AI กับการพลิกโฉมธุรกิจ

AI ไม่ได้เป็นแค่โปรแกรมอัตโนมัติหรือหุ่นยนต์ แต่คือเครื่องมือที่ช่วย “คิด วิเคราะห์ และคาดการณ์” ได้ใกล้เคียงกับมนุษย์ แต่รวดเร็วและแม่นยำกว่า เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysis) : AI สามารถประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาลได้ในเวลาไม่กี่วินาที ช่วยให้ผู้บริหารมองเห็นโอกาสและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น, การคาดการณ์ (Predictive Analytics) : การใช้ AI ในการคาดการณ์แนวโน้มตลาดหรือพฤติกรรมผู้บริโภค เช่น การคาดการณ์ยอดขายในช่วงเทศกาล การวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าในแต่ละช่วงเวลา ช่วยให้วางแผนล่วงหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ, การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน (Automation) : ลดงานซ้ำๆที่ไม่จำเป็น เช่น การจัดการเอกสาร การตอบอีเมล หรือการตรวจสอบข้อมูล โดยการใช้ RPA (Robotic Process Automation) เพื่อให้กระบวนการทำงานอัตโนมัติและลดข้อผิดพลาด

ลองนึกภาพดูว่า หากองค์กรของคุณสามารถคาดการณ์แนวโน้มยอดขายได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว คุณจะสามารถวางแผนการผลิต จัดการคลังสินค้า และเตรียมการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

กรณีศึกษา : RealVision โดย RealSmart

RealVision เป็นแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อช่วยองค์กรในการดึงข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เช่น social media, ข่าวสาร, และการสื่อสารออนไลน์ มาวิเคราะห์ด้วยเทคโนโลยี AI เพื่อค้นหา Insights ที่สำคัญและเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจทางธุรกิจอย่างแม่นยำ ตัวอย่างการใช้งานของ RealVision ได้แก่

1.Social Listening และการติดตามกระแสสังคม

• RealVision สามารถดึงข้อมูลจากแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Facebook, Twitter, และ Instagram เพื่อตรวจจับแนวโน้มและกระแสสังคมในแบบ Real-Time

• การวิเคราะห์ Sentiment Analysis ช่วยให้องค์กรเข้าใจความรู้สึกและความคิดเห็นของลูกค้า รวมถึงการติดตามประเด็นร้อนที่อาจส่งผลต่อแบรนด์ได้อย่างรวดเร็ว

2.Crisis Management และการจัดการวิกฤต

• ระบบการแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ของ RealVision จะส่งสัญญาณเมื่อพบเหตุการณ์ที่อาจกลายเป็นวิกฤต พร้อมข้อมูลวิเคราะห์เกี่ยวกับที่มาของปัญหา

• ทีมงานสามารถใช้ข้อมูลนี้ในการตัดสินใจที่รวดเร็วและแม่นยำ ลดผลกระทบและปกป้องภาพลักษณ์ขององค์กร

3.Deep Data Analysis และการสกัดข้อมูลเชิงลึก

• RealVision ไม่เพียงแค่รวบรวมข้อมูลเท่านั้นแต่ยังสามารถวิเคราะห์และสกัด Insights ที่เป็นประโยชน์จากข้อมูลดิบ

• ช่วยให้ผู้บริหารมองเห็นแนวโน้มของตลาด ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และโอกาสในการขยายธุรกิจได้อย่างแม่นยำ

ด้วยความสามารถที่หลากหลาย RealVision จึงถูกออกแบบมาเป็นเครื่องมือที่ครบวงจรในการจัดการข้อมูลจากหลายแหล่ง ทั้ง Social Media, เทรนด์การตลาด (Marketing Trends), และข้อมูลการขาย (Sales Data) ผ่านการวิเคราะห์เชิงลึกด้วย AI เพื่อดึง Insights ที่มีคุณค่าต่อการตัดสินใจทางธุรกิจอย่างทันท่วงที ช่วยให้องค์กรสามารถคาดการณ์แนวโน้ม ป้องกันวิกฤต และปรับกลยุทธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพส่งผลให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงในยุคดิจิทัล ข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://www.realsmart.co.th/

ก้าวต่อไปสำหรับองค์กรที่อยากเติบโตด้วย AI และ Data-Driven Technology ให้พิจารณาขั้นตอนดังนี้

1.เริ่มต้นจากการเก็บข้อมูลที่มีคุณภาพ การมีข้อมูลที่ครบถ้วนและเชื่อถือได้เป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการวิเคราะห์ที่แม่นยำ ข้อมูลควรถูกเก็บอย่างเป็นระบบและปลอดภัย รวมถึงมีการอัปเดตอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้สะท้อนสถานการณ์จริง

2.ลงทุนในเทคโนโลยีที่เหมาะสม การเลือกใช้เครื่องมือและแพลตฟอร์มที่สอดคล้องกับธุรกิจ เช่น ระบบ AI สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) หรือ Social Listening สำหรับการติดตามความเคลื่อนไหวในโซเชียลมีเดีย การลงทุนในเทคโนโลยีที่ถูกต้องจะช่วยประหยัดเวลาและเพิ่มความแม่นยำ

3.พัฒนาทักษะบุคลากร แม้ว่าเทคโนโลยีจะสามารถประมวลผลข้อมูลได้รวดเร็ว แต่บุคลากรที่มีความเข้าใจใน AI และ Data Analytics จะสามารถนำข้อมูลไปใช้ในการตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น องค์กรสามารถจัดการฝึกอบรมเพื่อเพิ่มทักษะด้านนี้
ให้กับทีมงานได้

4.ปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรให้ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล การสร้างวัฒนธรรมที่ทุกคนในองค์กรให้ความสำคัญกับข้อมูลเป็นหัวใจสำคัญ เพื่อให้การตัดสินใจทุกครั้งมาจากข้อเท็จจริง ไม่ใช่การคาดเดา การสร้าง Dashboard ที่แสดงข้อมูลสำคัญแบบ Real-Time ช่วยให้ทีมงานเห็นภาพรวมและปรับกลยุทธ์ได้อย่างรวดเร็ว

การเปลี่ยนแปลงอาจดูท้าทาย แต่การนำ AI และ Data-Driven Technology มาประยุกต์ใช้ในองค์กร จะไม่ใช่แค่การ “อยู่รอด” แต่คือการ “เติบโต” อย่างมั่นคงในโลกธุรกิจที่ไม่เคยหยุดนิ่ง คุณพร้อมจะขับเคลื่อนธุรกิจของคุณด้วย AI-driven Data Technology แล้วหรือยัง?

ผศ.(พิเศษ)ดร.เภสัชกร อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์

ประธานกรรมการ มูลนิธิคุณแม่คุณภาพ

Life & Health : นอนกรน..เสียงเตือนสัญญาณสุขภาพเริ่มเสื่อม

Life&Health : นอนกรน..เสียงเตือนสัญญาณสุขภาพเริ่มเสื่อม

Life&Health : นอนกรน..เสียงเตือนสัญญาณสุขภาพเริ่มเสื่อม

วันพุธ ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

หลายคนอาจคิดว่า “การนอนกรน” เป็นเพียงปัญหากวนใจเล็กน้อยที่ไม่ส่งผลร้ายแรง แต่ความจริงแล้ว เสียงกรนอาจเป็นสัญญาณเตือนของภาวะ “หยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น” (Obstructive Sleep Apnea: OSA) ซึ่งอาจนำไปสู่โรคเรื้อรังร้ายแรง เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง หรือแม้แต่โรคหลอดเลือดสมอง เป็นต้น

ข้อมูลจาก แพทย์หญิงณัชชา อินทรกำแหง อายุรแพทย์โรคสมองและระบบประสาท ชำนาญการด้านการนอนหลับ โรงพยาบาลเวชธานี อธิบายว่า การนอนกรนสามารถเกิดได้กับทุกคน โดยมีสาเหตุจากหลายปัจจัย เช่น ความเหนื่อยล้าสะสม การดื่มแอลกอฮอล์ก่อนนอน  น้ำหนักตัวเกิน ภาวะภูมิแพ้หรือคัดจมูก ทำให้หายใจลำบาก แม้อาการนอนกรนจะดูไม่รุนแรง แต่หากเกิดบ่อยและมีอาการร่วมอื่น ๆ อาจเป็นสัญญาณของ โรคหยุดหายใจขณะนอนหลับจากการอุดกั้น (Obstructive Sleep Apnea) ซึ่งมักจะมีอาการหลับไม่สนิท ง่วงในเวลากลางวันทั้งๆที่ไม่ได้อดนอน ภาวะนี้มีสาเหตุมาจากอวัยวะทางเดินหายใจ เช่น จมูก ช่องคอ ลิ้นหรือผนังคอหอย เกิดความผิดปกติ จนส่งผลให้ทางเดินหายใจตีบแคบลง ทำให้อากาศผ่านได้ลดลง หรือเกิดการอุดกั้น นำไปสู่การหยุดหายใจชั่วขณะ ซึ่งเป็นอันตรายอย่างมาก หากไม่รักษาอาจนำไปสู่การเป็นโรคทางหัวใจ และโรคอื่น ๆ ได้ โดยอาการที่เป็นสัญญาณของภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ คือ

  • นอนกรนเสียงดังเป็นประจำ
  • สะดุ้งตื่นกลางดึกเหมือนหายใจไม่ออก
  • ตื่นเช้ามาแล้วรู้สึกปากแห้ง เจ็บคอ
  • ปวดศีรษะโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • ง่วงนอนมากผิดปกติในเวลากลางวัน
  • สมาธิและประสิทธิภาพการทำงานลดลง

แพทย์หญิงณัชชา อินทรกำแหง 

ปัจจุบันมีเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ช่วยตรวจวินิจฉัยการนอนหลับ (Sleep Test) เพื่อแยกว่าเป็นการนอนกรนประเภทใด และสามารถบอกความรุนแรงของโรคได้ว่า มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับมากหรือไม่และตรวจการหายใจที่สัมพันธ์กับการทำงานของหัวใจและสมองขณะหลับ โดยมีรายละเอียดการตรวจดังนี้

  • การตรวจวัดคลื่นสมอง เพื่อวัดระดับความลึกของการนอนหลับ และการตรวจวัดการทำงานของกล้ามเนื้อขณะหลับ ว่าหลับได้สนิทแค่ไหน ประสิทธิภาพการนอน คลื่นสมองผิดปกติเช่นลมชักขณะหลับ
  • การตรวจดูการเปลี่ยนแปลงของคลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะหลับ เพื่อดูว่าหัวใจมีการเต้นผิดจังหวะที่อาจมีอันตรายได้หรือไม่
  • การตรวจวัดความอิ่มตัวของระดับออกซิเจนในเลือดแดงขณะหลับ เพื่อดูว่าร่างกายมีการขาดออกซิเจนหรือไม่ในขณะหลับ และหยุดหายใจหรือหายใจเบาหรือไม่
  • การตรวจวัดลมหายใจ ที่ผ่านเข้าออกทางจมูกและปาก และการตรวจวัดการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อทรวงอกและกล้ามเนื้อหน้าท้องที่ใช้ในการหายใจ ดูว่ามีการหยุดหายใจหรือไม่ เป็นชนิดไหน ผิดปกติมากน้อยแค่ไหน
  • ตรวจเสียงกรน เพื่อดูว่ากรนจริงหรือไม่ กรนดังแค่ไหน กรนตลอดเวลาหรือไม่ กรนขณะนอนท่าไหน
  • การตรวจท่านอน ในแต่ละท่านอนมีการกรน หรือการหายใจผิดปกติแตกต่างกันอย่างไร

การทำ Sleep Test หรือการตรวจการนอนหลับชนิดมาตรฐาน (Standard PSG) ต้องทำในห้องปฏิบัติการนอนหลับ (Sleep laboratory) ควบคุมดูแลโดยบุคลากรที่ได้รับการฝึกอบรมมาเฉพาะทาง เพราะการตรวจค่อนข้างซับซ้อน และมีการติดอุปกรณ์ตามร่างกายหลายอย่าง การตรวจชนิดนี้สามารถบอกได้ว่า คุณภาพในการนอนเป็นอย่างไร หลับได้ดีหรือสนิทหรือไม่ และมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นขณะนอนหลับ ถ้าพบว่ามีการหยุดหายใจบ่อย อาจจะต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ (CPAP) แล้วทำการปรับความดัน เพื่อให้ทราบค่าความดันที่เหมาะสมที่สุด ที่ใช้รักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

สำหรับการวินิจฉัยความผิดปกติขณะนอนหลับ จะทำการวัดตลอดทั้งคืน อย่างน้อยประมาณ 6-8 ชั่วโมง ซึ่งเป็นเวลาปกติของการหลับของคนทั่วไป ต้องมีแพทย์หรือเจ้าหน้าที่มีความชำนาญในการอ่านคลื่นสมอง ตรวจเช็กผลซ้ำอีกครั้งด้วยจึงจะเชื่อถือได้

แนวทางการรักษาหลังเข้ารับการตรวจ Sleep Test แล้วพบว่ามีความผิดปกติของภาวะนอนกรน แนะนำจะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ เช่น ลดน้ำหนัก เปลี่ยนพฤติกรรมการนอน หลีกเลี่ยงการนอนหงายเพราะจะทำให้เกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจได้ง่าย หลีกเลี่ยงยาและเครื่องดื่มที่มีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยานอนหลับ ยากล่อมประสาท ยาแก้แพ้ เป็นต้น

สำหรับกรณีของภาวะหยุดหายใจขณะหลับ มีวิธีการรักษาได้หลายวิธีได้แก่

1.การใช้เครื่องช่วยหายใจ CPAP ซึ่งเป็นวิธีการรักษามาตรฐานที่มีประสิทธิภาพสูงถึง 90-99%

2.การรักษาทางเลือกด้วยการผ่าตัดในผู้ป่วยบางราย อาจช่วยแก้ไขการหยุดหายใจทำให้ไม่ต้องกลับไปใช้หรือลดการใช้เครื่อง CPAP ลงได้ ซึ่งการผ่าตัดปัจจุบันมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของภาวะหยุดหายใจขณะหลับ และโครงสร้างความผิดปกติของโครงหน้า จมูก และปากของแต่ละคน

3.การใส่อุปกรณ์ทันตกรรม (Oral appliance) ช่วยดึงลิ้นและกรามบางส่วนมาข้างหน้า เพื่อลดการอุดกั้นของทางเดินหายใจขณะหลับ

อย่างไรก็ตามการนอนกรนที่เกิดบ่อยและมีอาการร่วม อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าร่างกายกำลังเผชิญกับปัญหาสุขภาพร้ายแรงโดยไม่รู้ตัว หากสังเกตอาการตัวเองหรือคนรอบข้างว่ามีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยอย่างเหมาะสม เพราะ การรักษาแต่เนิ่น ๆ จะช่วยป้องกันโรคแทรกซ้อน และฟื้นฟูคุณภาพการนอนให้กลับมาเป็นปกติได้อีกครั้ง

ข้อมูลจาก ศ.นพ.สุรเดช หงส์อิง เลขาธิการ กองทุนโรคมะเร็งในเด็กในพระอุปถัมภ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ ขอเชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาร่วมช่วยสนับสนุนผู้ป่วยมะเร็งเด็กที่ยากไร้ทั่วประเทศในโรงพยาบาลกว่า 20 แห่ง รูปแบบในการให้ความช่วยเหลือคือ ช่วยค่าใช้จ่ายสำหรับการรักษา รวมทั้งค่ายา ค่าเดินทางมาตรวจรักษา ค่าที่พัก เวชภัณฑ์ต่างๆ โดยสามารถร่วมบริจาคได้ที่บัญชี “กองทุนโรคมะเร็งในเด็กในพระอุปถัมภ์ฯ” SCB สาขาอ่อนนุช เลขที่บัญชี 133-2-08742-3 โทร.02-7183800 ต่อ 123 ใบเสร็จนำไปลดหย่อนภาษีได้รายละเอียดที่ http://www.thaichildrencancerfund.org/

ผศ.(พิเศษ) ดร.เภสัชกร อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์

ประธานกรรมการ มูลนิธิคุณแม่คุณภาพ

Life & Health : ร่วมทำความดีบริจาคโลหิตเฉลิมพระเกียรติ กรมสมเด็จพระเทพ ฯ ตลอดปี 2568

Life&Health : ร่วมทำความดีบริจาคโลหิตเฉลิมพระเกียรติ กรมสมเด็จพระเทพ ฯ ตลอดปี 2568

Life&Health : ร่วมทำความดีบริจาคโลหิตเฉลิมพระเกียรติ กรมสมเด็จพระเทพ ฯ ตลอดปี 2568

วันพุธ ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2568, 02.00 น.

การบริจาคโลหิต เป็นการสละโลหิตส่วนที่ร่างกายยังไม่จำเป็นต้องใช้มาให้กับผู้ป่วย โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ แก่ร่างกาย เพราะร่างกายแต่ละคนมีโลหิตประมาณ 17-18 แก้วน้ำ ร่างกายใช้เพียง 15-16 แก้วเท่านั้น ส่วนที่เหลือนั้นสามารถบริจาคให้ผู้อื่นได้ โดยสามารถบริจาคได้ทุกๆ 3 เดือน เพราะเมื่อบริจาคโลหิตออกไป ไขกระดูกจะเป็นส่วนสำคัญในการสร้างเม็ดโลหิตขึ้นมาทดแทนให้มีปริมาณโลหิตในร่างกายเท่าเดิม  ถ้าไม่บริจาค ร่างกายจะขับเม็ดโลหิตที่สลายตัว เพราะหมดอายุออกมาตามระบบของร่างกาย

หลายคนที่อยากบริจาคโลหิตอาจจะยังรู้สึกกล้าๆ กลัวๆ กลัวเข็มบ้าง กลัวเลือดบ้าง กังวลบ้างว่าจะทำให้อ้วน หรืออาจติดโรค และก็มีอีกหลายคนที่ตั้งใจเป็นส่วนหนึ่งในการให้เลือดกับคนที่คุณรัก รวมถึงเพื่อนมนุษย์แต่ก็ใช่ว่าทุกๆ คนสามารถไปบริจาคเลือดได้ เนื่องจากมีข้อจำกัดบางอย่าง เช่น นอนดึก น้ำหนักไม่ถึง  ไม่สบายหรืออยู่ระหว่างรับประทานยาบางชนิด ฯลฯ จึงพลาดโอกาสที่จะแบ่งปันโลหิต ในการช่วยเหลือชีวิตผู้อื่น

ข้อมูลจาก ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย แจ้งว่า เนื่องจากเลือดที่บริจาคจะถูกนำไปใช้กับผู้ป่วยและผู้ที่ต้องการใช้โลหิตในการรักษา ดังนั้นโลหิตที่ได้รับการบริจาคจะต้องมีคุณภาพ และต้องมาจากผู้ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง พร้อมสำหรับการบริจาคโลหิต เพื่อไม่ให้ส่งผลเสียต่อทั้งคุณภาพของเลือด และสุขภาพของผู้บริจาค โดยคุณสมบัติของผู้ที่สามารถบริจาคเลือดได้มีดังนี้

•               ต้องมีอายุ 17 ปีบริบูรณ์ และไม่เกิน 70 ปี

•               บริจาคโลหิตครั้งแรกต้องอายุไม่เกิน 60 ปี

•               น้ำหนัก 45 กิโลกรัมขึ้นไป

•               นอนหลับพักผ่อนเพียงพอ 5 ชั่วโมง ขึ้นไป

•               รู้สึกสบายดี สุขภาพแข็งแรง พร้อมบริจาคโลหิต หากอยู่ระหว่างรับประทานยาให้แจ้งเจ้าหน้าที่ คัดกรองสุขภาพทุกครั้ง

•               ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศสัมพันธ์ หรือติดยาเสพติด

•               ทานอาหารประจำมื้อ ก่อนมาบริจาคโลหิต งดอาหารหวานจัด มันจัด

โลหิตเป็นสิ่งจำเป็นในการรักษาชีวิตผู้ป่วยให้รอดพ้นจากความตายยามที่ร่างกายเสียโลหิต  จากอุบัติเหตุ ผ่าตัด หรือผู้ป่วยโรคเลือด อย่างโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย และโรคเลือดออกง่าย ฮีโมฟีเลีย รวมถึงผู้ป่วยโรคต่างๆ อีกจำนวนมาก เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคไต เลือดออกในกระเพาะอาหาร  ฯลฯ ฉะนั้นการได้มีโอกาสบริจาคโลหิต จึงนับเป็นการทำบุญที่ยิ่งใหญ่ที่ช่วยต่อลมหายใจให้ผู้ป่วยได้มีชีวิตใหม่ มีคุณภาพชีวิตที่ดี และกลับไปอยู่กับครอบครัวอย่างมีความสุข

รศ.พญ.ดุจใจ ชัยวานิชศิริ ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เปิดเผยว่า สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ทรงสนพระราชหฤทัย และให้ความสำคัญกับภารกิจด้านการบริการโลหิตเป็นอย่างมาก เพราะโลหิต เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับชีวิตมนุษย์ ซึ่งจะต้องได้มาจากผู้บริจาคโลหิตโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ทรงสนับสนุนการพัฒนางานบริการโลหิต จนทำให้ได้มาตรฐานสากลเป็นที่ยอมรับของนานาอารยประเทศ ตลอดจนทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเหรียญกาชาดสมนาคุณเข็มที่ระลึกผู้บริจาคโลหิตแก่ผู้บริจาคโลหิตครบตามที่สภากาชาดไทยกำหนด  ซึ่งสร้างแรงจูงใจ ความปีติยินดี และความภาคภูมิใจแก่ผู้บริจาคโลหิตเป็นอย่างยิ่ง ทำให้มีผู้ประสงค์จะบริจาคโลหิตอย่างต่อเนื่อง และยั่งยืนเพิ่มมากขึ้นทุกปี

เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุ 70 พรรษา วันที่ 2 เมษายน 2568 สภากาชาดไทย ร่วมกับ กองทัพบก และวัดปทุมวนารามราชวรวิหาร น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ จัดทำโครงการ “70 พรรษา 70 ล้านซีซี เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี” ขอเชิญชวนชาวไทยทั่วประเทศ ร่วมแสดงความจงรักภักดี บริจาคโลหิตถวายเป็นพระราชกุศลในโครงการฯ ตลอดปี 2568 มุ่งรณรงค์ให้มีการบริจาคโลหิตเป็นประจำสม่ำเสมอทุก 3 เดือน เพิ่มมากขึ้น เพื่อช่วยลดภาวการณ์ขาดแคลนโลหิต สำหรับผู้บริจาคโลหิตครบ 2 ครั้งภายในปี 2568 ณ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ภาคบริการโลหิตแห่งชาติ 12 แห่งทั่วประเทศ โรงพยาบาลสาขาบริการโลหิตแห่งชาติ และโรงพยาบาลของกองทัพบกทั่วประเทศ จะได้รับ “พระผงหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต” เป็นที่ระลึก เริ่มแจกตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2568 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ พระผงหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ได้ผ่านพิธีพุทธาภิเษก ณ วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร หลวงปู่มั่นหรือพระครูวินัยธรมั่น ภูริทตฺโต ถือเป็นพระอาจารย์ใหญ่ของธรรมยุตินิกาย หรือสายกรรมฐานพระป่า ท่านปฏิบัติตนตามแนวทางคำสอนของพระวินัยสงฆ์ และยึดถือธุดงควัตร เป็นข้อวัตรปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตไว้ให้พระภิกษุถือปฏิบัติ แต่ไม่มีการบังคับ แล้วแต่ผู้ใดจะสมัครใจสมาทานนำไปปฏิบัติ จะช่วยกำจัด ขัดเกลากิเลสภายในจิตใจ ให้เป็นผู้มีความมักน้อย ความสันโดษ ความสงัด ความไม่สั่งสมกิเลส การปรารภความเพียร และความเป็นผู้เลี้ยงง่าย แนวคำสอนของท่านเป็นที่รู้จักดีในนาม “คำสอนพระป่า สายพระอาจารย์มั่น” ในฐานะที่ท่านเป็นพระมหาเถระที่คนไทยทั้งประเทศเคารพนับถือ จนปรากฏเด่นชัด จึงได้รับการประกาศ                จากยูเนสโกให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก สาขาสันติภาพ ในปี 2563-2564

สามารถร่วมบริจาคโลหิตทั่วประเทศ ได้ที่ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ถนนอังรีดูนังต์, หน่วยรับบริจาคโลหิตประจำที่ ได้แก่ สถานีกาชาด 11 วิเศษนิยม (บางแค) เดอะมอลล์ สาขาบางแค สาขาบางกะปิ สาขางามวงศ์วาน สาขาท่าพระ ศูนย์การค้าดิเอ็มโพเรียม และบ้านทรงไทย (ย่านวงศ์สว่าง), ภาคบริการโลหิตแห่งชาติ 12 แห่งทั่วประเทศ ได้แก่ จังหวัดลพบุรี ชลบุรี ราชบุรี นครราชสีมา ขอนแก่น อุบลราชธานี นครสวรรค์ พิษณุโลก เชียงใหม่ นครศรีธรรมราช (ทุ่งสง) สงขลา และภูเก็ต, โรงพยาบาลสาขาบริการโลหิตทั่วประเทศ สอบถามได้ที่ ฝ่ายจัดหาผู้บริจาคโลหิตฯ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย โทร.02-2564300, 02-2639600-99 ต่อ 1101, 1760, 1761 หรือ  www.blooddonationthai.com

ผศ. (พิเศษ) ดร. อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์

ประธานกรรมการ มูลนิธิคุณแม่คุณภาพ