Star Retro : ‘ดวงใจ หทัยกาญจน์’ ยิ่งรู้ ก็ยิ่งรัก…ไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่รัก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/246531

วันอาทิตย์ ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559, 06.00 น.

สตาร์เรโทรสัปดาห์นี้เปิดพื้นที่ให้กับ “ดวงใจ หทัยกาญจน์” กับเรื่องราวที่ยังคงตราตรึงอยู่ในหัวใจ พร้อมทั้งเปิดเผยภาพถ่ายสุดรักและเทิดทูน เมื่อครั้งที่ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯรับเสด็จ“พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช”และ “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช”

ภาพแรกนี้ เป็นภาพที่ได้เข้าเฝ้าฯรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ในงานกฐินที่วัดแคนางเลิ้งในภาพจะมีนักร้องนักแสดงในสมัยนั้นมารอเข้าเฝ้าฯรับเสด็จมากมายนะคะ คุณบุปผา สายชล, คุณโย-ทัศน์วรรณ, คุณครรชิต ขวัญประชา, ป้าทอง สุลาลีวัลย์สำหรับงานกฐินในวันนั้น ต้องขอประทานโทษด้วยถ้าบอกเล่ารายละเอียดของงานผิด เนื่องจากว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นนานมากแล้ว คือพี่ครรชิตเป็นศิษย์เอกของคุณมิตร ชัยบัญชา ซึ่งวัดแคนางเลิ้งจะเป็นเหมือนวัดที่คุณมิตร เคารพนับถือและอุปถัมภ์พอคุณมิตรเสียไปไม่กี่ปี คุณครรชิตก็ได้มีการทำบุญทอดกฐิน แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านก็ทรงเสด็จฯมาในงานนี้ด้วย พวกเราก็ยืนตั้งแถวรอรับเสด็จ พอพระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมา ท่านก็หันหน้ามาทางดาราที่เข้าเฝ้าฯ อีกฝั่งจะเป็นประชาชนท่านเดินมาแต่ไกลเลย ท่านยิ้มให้กับพวกเราด้วยจนพระองค์ท่านหันไปทางประชาชนแล้วเราก็ยังยิ้มอยู่เลย เป็นความรู้สึกที่ (น้ำเสียงสั่นเครือน้ำตาคลอ) เหมือนเทวดายิ้มให้ เพราะท่านก็เหมือนเทวดาจริงๆ แม้ว่าท่านจะไม่ได้รับสั่งอะไร แต่แค่นี้เราก็ปลื้มใจ ยิ้มไปสามวันสามคืนแล้วค่ะ เพราะเป็นความรู้สึกที่เรารอคอยมานานแสนนาน แต่จริงๆ เราก็มีโอกาสได้เข้าเฝ้าฯบ่อยนะคะ หมายถึงว่าดาราสมัยก่อน จะมีงานการกุศล และพระองค์ท่านก็เสด็จฯด้วย อย่างเช่นงานรวมใจสู่แนวหน้า ซึ่งเป็นการหาเงินไปช่วยทหารที่ตระเวนชายแดน พี่เล็ก-นาท ภูวนัย เคยให้สัมภาษณ์เราก็ได้ไปรำฟ้อนเซิ้งสวิงในงานนั้นด้วย ซึ่งถ้าจำไม่ผิด ตอนนั้นจะได้รำคู่กับพี่เล็กด้วย แต่หารูปไม่เจอ การแสดงในวันนั้นรู้สึกว่าหายเหนื่อยค่ะ เพราะว่ากว่าจะขึ้นไปเล่นบนเวทีได้ ต้องไปซ้อมที่โรงละครแห่งชาติ กลับจากถ่ายหนังยังไงก็ต้องขอกองถ่ายกันไป นักแสดงทุกคนทำงานกันเดือนนึง 30 วัน 60 คิว คือกลางวันเรื่องนึง กลางคืนเรื่องนึง แต่ก็ต้องแบ่งเวลาตรงนี้เพื่อไปซ้อม เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าพระองค์ท่านเสด็จฯ

ได้มีโอกาสเฝ้าฯรับเสด็จ “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9” อยู่หลายครั้ง

ภาพแรกเป็นงานการกุศลของโรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์ แต่ตนเองไม่ได้จบเซนต์ฟรังนะคะ คือโรงเรียนสอนตัดเสื้อกิติยา ขอมาว่าให้เราไปเดินแบบเสื้อผ้าที่เป็นชุดไทย และสมเด็จพระราชินีท่านก็เสด็จฯงานของเซนต์ฟรังอยู่แล้ว ตอนนั้นได้รอเฝ้าฯรับเสด็จ และในภาพก็ยิ้มด้วยค่ะ เพราะว่าพระองค์ท่านทรงมีรับสั่งด้วยว่าเห็นข่าวลงว่าจะเลิกแสดงหนังแล้วเหรอ เราก็ยิ่งปลื้มปิติในความสนพระทัยของพระองค์ท่าน แสดงว่าพระองค์ท่านอ่านข่าว ก็ได้ตอบกลับไปว่ายังไม่เลิกแสดงเพคะ คือช่วงนั้นมีข่าวลงว่าเรากำลังจะแต่งงาน และเหมือนว่าจะเลิกแสดงหนังแต่จริงๆ ไม่ใช่นะคะ หนังสือพิมพ์คงจะเข้าใจผิด และลงข่าวไป แล้วสมเด็จพระราชินีท่านทรงคุยเก่ง เราก็จะไม่ประหม่า ท่านให้ความเป็นกันเอง นอกจากนี้ท่านยังชมว่าเราเป็นผู้หญิงที่ผิวสวยนะ แล้วดูสิเราเนี่ยไปตากแดดมา ในภาพก็จะเห็นพระองค์ท่านยกแขนเราก็จำที่พระองค์ท่านรับสั่งกับเราได้ เพราะรู้สึกว่าเป็นมงคลกับเรามาก คือท่านเป็นผู้หญิงที่คุยเก่งดังนั้นเราก็จะไม่ประหม่าค่ะ

ส่วนอีกภาพเป็นเมื่อครั้งที่แสดงหนังเรื่อง “17 ทหารกล้า” ของคุณไพฑูรย์ รตานนท์ ในภาพก็จะมี คุณสุริยา ชินพันธุ์, คุณไกร ครรชิต ซึ่งหนังเรื่องนี้ได้เล่นเป็นนางเอกค่ะ แล้วพระองค์ท่านก็เสด็จมาทอดพระเนตร แล้วรุ่งขึ้นเราก็ได้ไปเข้าเฝ้าในวังอีกแต่เป็นงานการกุศล ในภาพนี้คือได้ทูลเกล้าฯถวายดอกไม้ และก็ยิ้มด้วยความปลื้มปีติอีกเช่นเคย และพอพระองค์ท่านทอดพระเนตรจบแล้ว หนังฉายเสร็จ ช่วงที่รอส่งเสด็จฯ พระองค์ท่านก็ทรงมีรับสั่งชื่นชมว่าเราเป็นผู้หญิงที่อ่อนหวาน

ดุจเทวดามาจุติ

นักแสดงสมัยก่อนมีโอกาสได้ถวายงานต่อหน้าพระพักตร์ คือที่สุดแล้วค่ะ ถือว่าเป็นมงคลของชีวิต ส่วนตัวได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯรับเสด็จและถวายงานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินีอยู่บ่อยครั้งเหมือนกันนะคะ แต่ว่าภาพถ่ายอาจจะไม่มีแล้ว คือบางทีนักข่าวก็ขอไปและไม่คืน เราก็ลืมไปเลย พอจะหาภาพถ่ายได้มาเท่าที่มี ความรู้สึกทุกครั้งที่ได้เข้าเฝ้าฯนั้นเราเหมือนว่าเราได้รับพลังแห่งคุณความดี แล้วก็มีความรู้สึกว่าชีวิตเราจะดีขึ้นแล้วก็ดีจริงๆ นะคะ ถือเป็นความโชคดีของนักแสดงสมัยนั้น แต่พระเจ้าอยู่หัวท่านจะไม่ค่อยรับสั่งอะไรยังจำได้ว่าครั้งหนึ่งพระราชินีทรงหันไปรับสั่งกับพระเจ้าอยู่หัวว่าเมื่อคืนไปดูหนังที่ดวงใจแสดงพระเจ้าอยู่หัวท่านก็ทรงยิ้ม ท่านจะยังคงอยู่ในความทรงจำทุกครั้งเสมอ เราอยู่ใกล้เทวดาที่เดินดินได้ แล้วเราก็จะได้รับมงคลจากท่าน (น้ำตาคลอ)

คำสอนของพ่อที่ยึดเป็นแนวทางปฏิบัติ

โดยส่วนตัวแล้ว ดำเนินชีวิตตามคำพ่อสอนโดยตลอด ให้มีเมตตาไมตรีดีต่อกัน คือเราห้ามชีวิตไม่ให้เกิดปัญหา เกิดความทุกข์ไม่ได้ แต่ถ้าในใจของเรามีเมตตาไมตรีและดีต่อกันอย่างจริงใจ เชื่อว่าปัญหาหนักก็จะกลายเป็นเล็ก ปัญหาเล็กก็จะไม่เกิด เพราะว่าเรามีใจที่เมตตาต่อกัน ช่วยอะไรได้ก็ช่วย ไม่เคยกลัวที่จะเกิดมาเป็นผู้ให้ ให้แล้วก็มีใจที่เป็นสุข

พระราชกรณียกิจที่ตรึงตราอยู่ในหัวใจ

มีภาพที่พระองค์ท่านทรงลุยน้ำไป แต่ก็ไม่ค่อยได้แพร่ภาพเท่าไหร่ ถ้าดูในหนังจะเห็น คือเหมือนรถติดหล่มหรือยังไงไม่ทราบ แล้วท่านเดินลุยลงไปในน้ำในคลองเลย แล้วท่านก็เอามือแหวก เรารู้สึกว่าคือที่สุดแล้ว คือไม่มีข้อแย้งใดๆ เลยที่จะไม่รัก (น้ำเสียงสั่นเครือ พร้อมหยดน้ำตาที่ไหลริน) ยิ่งทุกวันนี้ยิ่งรู้ก็ยิ่งรัก ที่ผ่านมาความดีของท่านฝังอยู่ในใจตลอดค่ะ แต่พอท่านสิ้นแล้ว ถึงได้เห็นหนังพระราชกรณียกิจต่างๆ ที่เราไม่เคยรู้ เลยต้องขอใช้คำว่ายิ่งรู้ก็ยิ่งรัก และที่เพิ่งได้ชมจากภาพยนตร์ส่วนพระองค์ คือรถพระที่นั่งของท่านวิ่งเข้าไปที่ถนนซึ่งเป็นดินลูกรัง เป็นฝุ่นแดงเต็มไปหมด แล้วพระราชินีท่านก็ลงมาจากรถและทรงปัดขี้ฝุ่นใส่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เหมือนแกล้งค่ะ ว่านี่แหนะๆ ซึ่งน่ารักมากแต่ว่าเราดูแล้วกลับน้ำตาไหล คือท่านไม่จำเป็นต้องไป หรือต้องทำถึงขนาดนั้นข้าราชบริพารนี่เป็นฝรั่งหมดเลยหัวแดง (หัวเราะ) คือขี้ฝุ่นเกาะเต็มไปหมดเป็นภาพที่ดูน่ารัก แต่ว่าเราก็รู้สึกตื้นตันที่พระองค์ท่านทรงทำเพื่อประชาชนมากถึงเพียงนี้ และเราก็เพิ่งมาเห็นหลังจากท่านสวรรคต

ยังคงความเศร้าโศกเสียใจ

ได้ชมภาพยนตร์ สารคดีที่เกี่ยวกับพระองค์ท่านเมื่อไหร่ก็ร้องไห้ ฟังเพลงขับรถอยู่ก็ร้องไห้ ขับรถผิดทางตลอด ตั้งแต่ท่านสวรรคตค่ะ ด้วยความที่เราฟังวิทยุแล้วก็อินร้องไห้ ก็จะปิด แต่ว่าเดี๋ยวก็ทนไม่ได้อยากรู้ก็เปิดอีก เหมือนคนบ้าปิดๆ เปิดๆ อยู่บ้านก็เหมือนกันค่ะ ปิดๆ เปิดๆ ทีวี. ดูแล้วก็ร้องไห้ คือจะเป็นแบบนี้ตลอด เพราะว่าเรารักและเราก็คิดถึงพระองค์ท่าน การที่เราไม่มีพระองค์ท่านแล้ว ช่วงแรกๆเปรียบเหมือนว่าใจสลาย แต่ก็บอกเลยว่าชีวิตต้องดำเนินต่อไป เรากลับมามองว่ายิ่งท่านสวรรคตไปแล้วพลังที่ท่านอยู่บนฟ้ายิ่งจะคุ้มครองบ้านเมืองและลูกๆ ที่ท่านรักให้เข้มแข็ง (ร้องไห้) แล้วก็ผ่านวิกฤติไปได้ ส่วนตัวเชื่ออย่างนั้นค่ะ และขอให้เรารักกัน มีเมตตาไมตรี ถ้าคนเรามีจิตเมตตาที่ดีต่อกันยังไงเราก็ไปด้วยกันได้ แต่ถ้าเราคอยแต่จะโกรธแค้นเอาเรื่องกันปัญหาจากเล็กก็จะกลายเป็นใหญ่ เหมือนที่เขาบอกว่าน้ำผึ้งหยดเดียว เราก็เห็นกันอยู่ใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นยิ่งท่านสวรรคตแล้วเราก็จะต้องยิ่งดีต่อกัน ไม่ต้องถึงกับรักกัน และพวกเราโชคดีท่านวางไว้ให้หมดแล้ว แค่เดินตามเอง ไม่ต้องคิดเลย เพราะว่าท่านคิดไว้ให้เราหมดแล้ว

ภาพประทับใจ ที่เป็นอีกหนึ่งแนวทางในการใช้ชีวิตคู่

คือภาพที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9ทรงหอมแก้มพระราชินี เป็นภาพที่ใครให้มานั้น จำไม่ได้แล้วค่ะ แต่เป็นภาพที่เห็นแล้วชอบและประทับใจมากคือท่านก็ทรงเป็นแบบอย่างของความรักของครอบครัวที่ต้องมีอารมณ์ที่นุ่มนวลต่อกัน ความรักอย่างเดียวครองคู่ไม่ได้ แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงเป็นแบบอย่างที่ดี (เสียงสั่นเครือร้องไห้) ของชีวิตคู่ ซึ่งเราก็ดำเนินรอยตาม เวลาเห็นท่านจับมือกัน ยิ่งวันที่ฉลองครองราชย์ครบ 60 ปีพระราชินีจะทรงจับมือพระเจ้าอยู่หัวตลอด เพราะตอนนั้นท่านก็เริ่มเดินติดๆแล้ว ท่านออกมามองประชาชนแล้วท่านก็ทรงยิ้มทั้ง 2 พระองค์ แล้วพระราชินีก็รับสั่งกับพระเจ้าอยู่หัว เหมือนกับจับที่ศอกพระองค์ท่านแล้วให้บ๊ายบายประชาชน แล้วพระเจ้าอยู่หัวท่านก็ปลื้มใจที่ลูกๆ มากันเยอะมาก สายตาพระองค์ท่านบอกได้เลยว่า ขอบใจนะ ขอบใจลูกทุกคนที่มา พระราชินีท่านก็ซาบซึ้งด้วยเช่นกัน พระราชินีทรงเป็นกำลังใจให้พระเจ้าอยู่หัว ทั้งสองพระองค์ทรงเป็นแบบอย่างที่ดีในการครองคู่ หลายครั้งที่เห็นในข่าว รู้สึกได้เลยว่าเวลาที่ทั้งสองพระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปด้วยกันท่านทรงมีความสุข แล้วเฉกเช่นเดียวกันก็เชื่อว่าพระราชินีท่านเป็นภรรยาที่เพียบพร้อมไปทุกอย่างเพราะฉะนั้นภรรยาที่รู้จักหน้าที่ของตัวเอง นั่นแหละคือกำลังใจที่ดีและวิเศษที่สุดให้กับคนที่เป็นสามี

ที่บ้านจะมีรูปในหลวงรัชกาลที่ 9 เยอะมากอย่างที่สมุดจดคิวก็จะมีรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ติดอยู่ วันนี้หยิบมาให้ชมด้วย มีหลายเล่มเริ่มตั้งแต่ปี 2551 ถึงปี 2559 แล้วเล่มสุดท้ายคือปี 2560 คือจะตัดรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 แล้วก็มาแปะไว้ที่สมุดคิว แต่ละปีๆ ก็จะมาแปะทำแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วค่ะ เพราะว่าเรารัก เดินทางกลับเชียงใหม่ ระหว่างรอขึ้นเครื่องก็จะเอามาดูไม่อยากมองหน้าใครก็เอารูปในหลวงมาดู รักที่สุดไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่รัก ก็ลองคิดดูนะคะว่า ฝนแล้งก็ทำให้ฟ้าฉ่ำ น้ำท่วมก็ช่วยให้บรรเทา รถติดก็สร้างถนนลอยฟ้าให้ ไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่รัก แม้ว่าในบทบาทการเป็นนักแสดงเราจะไม่เคยได้รับพระราชทานรางวัลตุ๊กตาทองจากท่าน แต่ก็ดีใจกับเพื่อนๆ ทุกคนเวลาไปบ้านใครแล้วเห็นรางวัลตุ๊กตาทองก็ยินดีกับเขาและชื่นชมที่เขาโชคดี ยิ่งสมัยแรกๆจะได้รับจากพระหัตถ์ของพระองค์ท่านด้วย ตอนที่ท่านหนุ่มๆจะเสด็จฯมางานบันเทิงเยอะค่ะ

ปลูกฝังลูกๆ อยู่เสมอ

ก็ตั้งแต่ดูข่าว สมัยที่ลูกเล็กๆ เราก็จะให้เขาดูข่าวพระราชสำนัก เพราะว่าเราเป็นคนเลี้ยงลูกเองแล้วก็อยู่กับลูกตลอดเวลา เห็นข่าวก็จะบอกกับลูกว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงทำอย่างนั้นอย่างนี้นะ และจะสอนให้เขาขอบคุณข้าวทุกจาน ข้าวทุกเม็ด ตามที่ในหลวงทรงสอน และทุกวันนี้ตัวเราเองเวลาตื่นเช้ามาหรือก่อนนอนก็จะสวด พุทธังเศรษฐี ธัมมังมั่งมี สังฆังเป็นสุขแล้วก็จะขอบคุณคุณพ่อ-คุณแม่ ขอบคุณครูบาอาจารย์และผู้มีพระคุณ แต่เดี๋ยวนี้ต้องเพิ่มอีกคนนึงแล้ว คือกราบส่งเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ปกติจะสวด 5 ครั้ง ตอนนี้เพิ่มเป็น ขอให้ท่านคุ้มครองประเทศชาติของเรา

ขอตั้งปณิธานสานต่อสิ่งที่พ่อสร้างไว้

จะเดินตามคำพ่อสอนทุกอย่าง ให้ได้ทุกข้อให้มากที่สุดแล้วก็จะบอกต่อลูกหลาน การเป็นนักแสดงก็ให้ทุกคนรู้จักหน้าที่ แค่นี้ก็เป็นการตอบแทนที่ยิ่งใหญ่แล้ว เราต้องทำอยู่เสมอ ใครก็ทำได้หมดค่ะ ไม่ใช่แค่การเป็นนักแสดง ทุกคนต้องรู้จักหน้าที่ของตัวเองล่าสุดก็ได้มีโอกาสไปเล่นละครเทิดพระเกียรติที่ทาง “คุณบอย-ถกลเกียรติ” สร้างขึ้น คือเล่นเป็นตัวประกอบด้วยนะไม่มีบทพูด แต่ก็เต็มใจมากๆ คือเป็นฉากที่เราไปลงนามถวายความอาลัยไปกราบท่านฉากคือจะเป็นที่โรงพยาบาล ปกติไม่ได้เล่นของเอ็กแซ็กท์นานแล้วนะ แต่พอน้องพีอาร์โทร.มาบอกว่าคุณบอยอยากเชิญนักแสดงมาร่วม แต่ว่าไม่มีค่าตัวนะ เราก็บอกเลยว่าไม่ต้องพูดเรื่องค่าตัวเลย แค่บอกว่าเป็นละครเทิดพระเกียรติเราก็เต็มใจไปแล้ว

วันนั้นถือว่าเป็นวันที่เราต้องไป ขนาดว่าติดถ่ายอีกเรื่องนึงยังขอเขาเลยว่าขอไปถ่ายละครเทิดพระเกียรติก่อนในช่วงเช้า ในบทเรากราบท่านอยู่ แล้วมองพระพักตร์ท่านและลงนามก็เขียน “ดวงใจหทัยกาญจน์” แล้ว “แก้ว-อภิรดี” ก็เข้ามาประคองเราขึ้น และแก้วก็นั่งกราบและลงนามแล้วร้องไห้เราก็เข้าไปปลอบแก้ว เท่านี้ค่ะ เป็นงานที่เป็นตัวประกอบแต่เต็มใจที่จะไปและต้องไป ขอให้มีส่วนร่วมด้วยก็ยังดี วันที่ช่อง 3 ถวายความอาลัยและร้องเพลงเราก็ไป มีญาติๆ มาถามว่าทำไมไม่เห็นในทีวี. เราก็บอกว่าเรายืนอยู่หลัง “แอน ทองประสม” ตัวเล็กๆ เลยมองไม่เห็น ซึ่งเห็นหรือไม่เห็นไม่สำคัญเลยค่ะ แค่ได้ไปอยู่ตรงนั้นก็ประเสริฐแล้ว ทุกอย่างอยู่ที่ใจ ถ้าใจพร้อม ทุกอย่างก็จะดีเองค่ะ

กุหลาบสีเงิน

Star Retro : พระเอก ๒ แผ่นดิน ‘สมบัติ เมทะนี’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/245469

วันอาทิตย์ ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559, 06.00 น.

กิดและเติบโตในแผ่นดินไทย ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารของราชวงศ์จักรี นักแสดงพระเอกรุ่นใหญ่ “สมบัติ เมทะนี”กล่าวด้วยความปลื้มปีติ พร้อมบอกเล่าเรื่องราวสุดซาบซึ้งใจเมื่อครั้งที่ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท รับพระราชทานรางวัลพระสุรัสวดีและชื่นชมพระบารมี“พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช”

ในวัยเยาว์เมื่อครั้งได้ชื่นชม พระบารมี เจ้าฟ้าทั้ง ๒ พระองค์

ผมเคยแต่ไปยืนอยู่ริมถนนเฝ้าฯรับเสด็จ แล้วผมทันสมัย ร.๘ ด้วยนะครับ ตอนนั้นอายุประมาณเกือบสิบขวบ ได้ไปถวายบังคม ร.๘ “พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร” ซึ่งพูดตามภาษาชาวบ้าน คือพระองค์หล่อมาก สมัยก่อนเดิมสำเพ็งจะมีนักเลงตีกันฟันกัน พอ ร.๘ เสด็จฯ ความงามความมีเสน่ห์ของพระองค์ท่านสุดจะพรรณนา ตอนนั้นพระองค์ท่านเสด็จฯไปทั้งสองพระองค์ คือมีในหลวงรัชกาลที่ ๙ เสด็จฯด้วย คนแซ่ซ้องกันทั้งสำเพ็ง ตั้งแต่นั้นมากลุ่มนักเลงที่ตีกันฟันแทงกัน พวกอั้งยี่ก็ไม่มีอีกเลย ไทยจีนก็เลยเป็นพี่น้องกัน ไม่มีการแบ่งแยก ต่อมาผมได้มีโอกาสติดตามคุณพ่อไปเมื่อครั้งที่ ร.๘เสด็จสวรรคต ได้ไปถวายบังคมพระบรมศพ โดยแต่งชุดลูกเสือไป เพราะตอนนั้นเรียนอยู่สักประมาณ ม.๑ คือคุณพ่อเป็นข้าราชการรถไฟเราเลยมีโอกาสติดตามคุณพ่อไปด้วย หลังจากนั้นพอในหลวงรัชกาลที่ ๙ ขึ้นครองราชย์ ก็ไม่ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ เพราะว่ายังเด็กอยู่

ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในหลวงรัชกาลที่ ๙ อยู่เนืองๆ ในฐานะนักแสดง

จนกระทั่งมาเป็นนักแสดง และได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯพระองค์ท่านตอนที่แสดงภาพยนตร์ โดยได้เข้าถวายความเคารพเมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ท่านเสด็จฯทอดพระเนตรภาพยนตร์เรื่องที่สอง ที่ผมแสดงคือ เรื่อง “สกาวเดือน”ตอนนั้นมีโรงภาพยนตร์อยู่ ๓ โรง ที่ติดกันคือ คิงส์, แกรนด์ และ ควีนส์ ภาพยนตร์ที่ผมแสดงเข้าโรงแกรนด์ ผมก็มีโอกาสได้เข้าไปทูลเกล้าฯถวายดอกไม้ให้กับพระองค์ท่าน“พี่แดง” (รัตนาภรณ์ อินทรกำแหง” ถวายพระหลวงปู่ทวด และมีคนอื่นถวายสิ่งของอีกสองถึงสามคน หลังจากที่ผมทูลเกล้าฯถวายดอกไม้แด่พระองค์ท่านแล้ว พระองค์ท่านก็เสด็จฯไปยังที่ประทับ และผมก็ออกไปร้องเพลงหน้าพระที่นั่งสามเพลง เพลงแรกคือ “สกาวเดือน” เป็นเพลงในภาพยนตร์เพลงที่สองเป็นเพลงฝรั่ง และเพลงที่สามเพลง“สุกี้ยากี้” ซึ่งเป็นเพลงญี่ปุ่นที่กำลังโด่งดังในขณะนั้น นั่นก็คือเป็นครั้งแรกที่ได้ถวายความเคารพพระองค์ท่าน และได้ร้องเพลงถวายพระองค์ท่านด้วยในฐานะนักแสดง สำหรับความรู้สึกตอนนั้น ไม่ได้ประหม่าอะไร เพราะว่าพระองค์ท่านประทับอยู่ด้านบน เราก็ร้องเพลงอยู่ไกลๆ ในหลวงไม่ทรงตรัสอะไร เพราะว่าโดยส่วนใหญ่สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ จะเป็นผู้กล่าวชม ในหลวงท่านจะทรงยิ้ม และนี่ก็คือครั้งแรกที่ได้ถวายงานต่อมาคือได้รับพระราชทานโล่ที่ระลึกจากพระหัตถ์ของพระองค์ท่านในงานฟุตบอลการกุศล ซึ่งมีดาราในยุคนั้นลงสนามเตะฟุตบอลมากมาย

ลำดับต่อมาคืองานรวมใจไปสู่แนวหน้าคือทหารกล้าที่ออกไปปกป้องบ้านเมือง โดยมีการจัดงานเพื่อหาเงินช่วยเหลือเหล่าทหารเขาก็ให้ดารามาแสดงโขนแล้วก็ละคร เพื่อเป็นการช่วยหาเงิน โดยกราบบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ทอดพระเนตรด้วย งานจัดขึ้นถึงสองครั้งด้วยกัน ในภาพคือเป็นครั้งที่สองนะครับ ครั้งแรกผมเล่นเป็นเจ้าเงาะ ครั้งที่สองเล่นเป็นพระราม ในภาพจะเห็นว่ามี “คุณพิศมัย วิไลศักดิ์” และนางเอกที่เกิดใหม่อีกหลายคนในยุคนั้นเข้าเฝ้าฯด้วย แล้วพระองค์ท่านก็พระราชทานของที่ระลึกให้กับนักแสดงทุกคน ที่ผมยิ้มในภาพนั้น จำไม่ค่อยได้แล้วเหมือนกันว่าเราพูดอะไรนะครับ คือในการที่จะกล่าวอะไรต่อหน้าพระพักตร์ของพระองค์ท่านนั้นรู้สึกว่าเบลอไปหมดเลย ตื่นเต้น ไม่รู้ว่าท่านตรัสหรือว่าท่านถามอะไร เราก็พูดอะไรนี่คือจับใจความไม่ได้เลย คนที่อยู่ข้างๆ วันนั้นเขาก็มาทักในภายหลังว่าพี่แอ๊ดพูดว่าอะไรมิตซูบิชิๆอะไร (ยิ้มปลื้ม) คือจับใจความอะไรไม่ได้เลย ด้วยความตื่นเต้นก็เลยเห็นแต่รอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความปลื้มปีติ

และหลังจากที่ได้รับตุ๊กตาทองก็เป็นอันยุติไปเลยที่พระองค์ท่านจะพระราชทานรางวัลตุ๊กตาทองนี้ด้วยพระองค์เองที่สวนอัมพรไม่มีอีกแล้ว

กับรางวัลแห่งความภาคภูมิใจอันสูงสุดในชีวิต

สำหรับรางวัลพระสุรัสวดีหรือว่า ตุ๊กตาทอง ผมได้รับจากภาพยนตร์เรื่อง“ศึกบางระจัน” นางเอกในเรื่องคือ “คุณเนาวรัตน์วัชรา” ก็ได้รับด้วย เป็นความภาคภูมิใจอย่างหาที่สุดมิได้สำหรับผมมาก และในภาพจะเห็นว่าตุ๊กตาทองตัวใหญ่มาก เราไม่ทันได้นึกครับว่าจะมีน้ำหนักมากขนาดนี้ แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานให้เราโดยพระหัตถ์ข้างเดียว วินาทีนั้นความรู้สึกของผมคือตื่นเต้นไปหมด ไม่กล้าแม้แต่จะมองพระพักตร์ของพระองค์ท่าน ทั้งที่เราก็เคยเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทและถวายงานพระองค์ท่านมาแล้วหลายครั้ง

ความปลื้มปีติเกินที่จะหาสิ่งใดมาเปรียบได้

การที่ผมได้เข้าเฝ้าฯชื่นชมพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถในหลายๆ ครั้งก็ได้รับความปลื้มอกปลื้มใจมากในทุกครั้ง เราเห็นพระพักตร์ของทั้งสองพระองค์แล้วเราก็ปลื้มใจแล้ว นอกจากนี้ผมก็ยังมีโอกาสได้รับพระราชทานรางวัลจากพระบรมวงศานุวงศ์อีกหลายพระองค์ ได้รับรางวัลพ่อตัวอย่างแห่งชาติปี ๒๕๕๕ รางวัลจากหน่วยงานองค์กรต่างๆ ก็มีมากมาย ซึ่งล้วนแต่เป็นความภาคภูมิใจให้กับตัวผมและครอบครัวเป็นอย่างมาก เราเป็นหนึ่งในจำนวนไม่มากคนนักที่ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯพระองค์ท่าน นับว่าเป็นสิ่งสูงสุดแล้วในชีวิต พระองค์ท่านเป็นเทพเจ้าของเรา เราได้ใกล้ชิดพระองค์ท่านก็มีความรู้สึกตื่นเต้นขนลุกประหม่าไปหมด พูดจาไม่รู้เรื่อง ในหลวงท่านทรงมีพระบารมีที่สูงส่งมาก พอไปใกล้เราจะประหม่าในทันที

พระราชกรณียกิจของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ที่ประทับอยู่ในหัวใจ

ทุกครั้งที่ได้เข้าเฝ้าฯพระองค์ท่าน ผมยังจำอากัปกิริยาเหล่านั้นได้เสมอ คือพระองค์…ไม่มีอีกแล้ว เราไม่มีอีกแล้วเรานึกถึงท่านแล้วก็… (กับคำถามนี้ ความเงียบก็เริ่มผ่านเข้ามา หยาดน้ำตาจากนักแสดงรุ่นใหญ่ ค่อยๆไหลลอดผ่านแว่นตาออกมา สลับกับน้ำเสียงที่สั่นเครือ) ไม่รู้จะพูดยังไงแล้วนะครับ เราขาดร่มโพธิ์ร่มไทร ที่พอนึกถึงพระพักตร์ของท่านแล้ว ผมตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก เราเกิดมาในพระบรมโพธิสมภารของพระองค์ ซึ่งไม่มีอีกแล้ว ไม่มีอีกแล้วผลงานต่างๆ ที่ท่านได้ทำให้แก่ราษฎรของพระองค์ เกินที่จะกล่าว มีอยู่ครั้งหนึ่งได้เห็นท่านลุยน้ำซึ่งน้ำสูงเลยเข่า แต่เจ้าประคุณเอ้ย พระองค์ทุ่มเทขนาดนี้เลยนะ

ที่ยังจำได้อยู่ก็คือที่พระองค์ท่านแนะนำเรื่องคอเสื้อเชิ้ต ถ้ามันขาดตรงคอข้างในก็อย่าเพิ่งไปทิ้งให้กลับคอซะ เอาตรงที่ดีออกแล้วเย็บใหม่ อย่าเพิ่งไปทิ้งมัน ใส่จนกว่าจะขาด แล้วถ้าขาดก็ตัดคอมันออกทำเป็นคอจีนไปเลย นี่คือที่เราฟังท่านรับสั่ง หรือว่ารองเท้าขาด ก็อย่าไปทิ้งต้องซ่อมมัน เปลี่ยนพื้นใหม่ นี่คือที่เราจดจำน้อมนำมาปฏิบัติตามอยู่ในเวลานี้ ส่วนเรื่องความดีเราปฏิบัติอยู่แล้วคือเราไม่ได้ไปเหลวไหล และคุณพ่อผมท่านก็เป็นนักรบ เป็นข้าราชการรถไฟท่านผ่านมาแล้วสามศึก ได้สู้รบ ตัวผมเองก็เป็นทหารเหมือนกันนะ เพราะว่าไม่ได้เรียน รด.ครบ ตามกำหนด เราเล่นกีฬารักบี้ ฟุตบอล บาสเกตบอล เป็นนักกีฬาโรงเรียนก็เลยขาดการเรียนไป ได้เรียน รด.แค่สองปีเลยต้องสมัครเป็นทหารม้ายานเกราะ เป็นทหารอยู่หกเดือน ก็เป็นการตอบแทนคุณแผ่นดินอีกทางหนึ่ง

และในความที่เราเป็นพระเอก ผมก็ได้ช่วยเหลือเลี้ยงดูเด็กๆ ที่เขาขาดทุนทรัพย์มาแล้วไม่รู้เท่าไหร่ ไม่มีค่าเล่าเรียนส่งค่าเทอมกันไป ความเมตตาเป็นคุณสมบัติที่เราติดอยู่เพราะไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อหรือว่าคุณย่าก็ดีท่านต่างมีจิตเมตตาทั้งนั้นนะครับ ทั้งที่ก็ไม่ใช่คนรวยนะ คนธรรมดานี่แหละ แต่ว่าทำเท่าที่เราพอจะช่วยเขาได้ และอย่าลืมว่าต้องรู้จักกตัญญูกตเวทีกับพ่อแม่ ครูบาอาจารย์นี่เป็นสิ่งสำคัญมาก คืออย่าลืมบุญคุณคนที่เขาสร้างเรามา คนเหล่านั้นเราต้องถนอมเขารักเขาที่สุดและต้องไม่ลืม ต้องตอบแทนบุญคุณ ความกตัญญูรู้คุณเป็นธรรมอันประเสริฐที่มนุษย์ใช้อยู่

ความในใจถึงลูกหลานไทย ในวันที่ไม่มีพระองค์ท่านแล้ว

ตอนนี้เราเหมือนขาดร่มโพธิ์ร่มไทรแล้วนะ ขาดจริงๆ อยากให้ทุกคนหยุดทะเลาะกัน จะยอดเยี่ยมมากหากว่าพวกเราจะไม่ทะเลาะกัน ความรักความสามัคคีของคนในชาติจะต้องเกิดจากตรงนี้ก่อน นักเรียนนักศึกษาอย่ายกพวกตีกันเลย คือจะเล่าให้ฟังนะครับว่าเมื่อก่อนผมเคยเรียนที่อุเทนถวายมีเพื่อนช่างกล เพื่อนรักกันเลยนะ แต่เราไม่มีการตีกันเลย มันอยู่ที่ฝีปากและการอบรมของอาจารย์ใหญ่ของทั้งสองสถาบันด้วย คืออาจารย์จะพูดถึงความรักความสามัคคีระหว่างสถาบันต่างๆ ซึ่งเราก็ไม่มีการตีกันเลยรักกันมากๆ ผมอยากให้เด็กนักเรียนต่างสถาบันหันมารักและสามัคคีกัน เพื่อที่บ้านเมืองเราจะได้เจริญ ไม่ใช่มานั่งขุ้นแค้นกัน นี่คือสิ่งที่อยากจะพูดเหมือนกัน แล้วตอนนี้ดีใจมากดีใจที่สุด ที่มีนักเรียนอาชีวะได้ปฏิญาณตนว่าจะเลิกทะเลาะกัน โอ้โห… นี่ถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีมากของการศึกษา อยากให้เขารักกันไม่อยากให้เขามาตีกัน ฆ่ากันอีกต่อไปในฐานะที่เคยเป็นนักเรียนอาชีวะมาก่อนนะครับ

รัก ปกป้อง และเทิดทูน ไว้อย่างสูงสุด

คงไม่มีอะไรที่จะพูดมากไปกว่านี้ได้แล้วนะครับ เพราะว่าพระองค์ท่านอยู่ในหัวใจเราเสมอ เราให้ความรักให้ความบูชาท่านตั้งแต่ท่านเป็นพระมหากษัตริย์ที่ปกครองประเทศไทยนี้ ผมคิดว่าไม่มีใครอีกแล้วที่จะเสมอเหมือนท่าน เราจะเจ็บใจทุกครั้งถ้าหากมีคนมาว่าท่าน เราจะปวดร้าวไปด้วย โดยที่เราคิดว่าไอ้บ้าพวกนี้มันอะไรกันนะ มันรู้จักท่านหรือเปล่า มันไปว่าท่านได้ยังไง คนเหล่านี้พวกชิงหมาเกิด ท่านเป็นพระมหากษัตริย์ที่ประเสริฐที่สุดแล้ว ท่านทำความดีผลงานของท่านมากมายเป็นอเนกอนันต์ไม่มีที่สิ้นสุด ท่านเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของคนไทย ทั่วโลกทุกชาติเขาก็ให้ความรักเคารพท่าน แล้วพวกนี้จะอะไรกัน มาบริภาษอะไรท่าน ถ้าเผื่อเราอยู่ตรงนั้นนะครับ รับรองมีเรื่องแน่ เห็นแก่ๆ อย่างนี้ก็เถอะ

และนี่ก็คือความในใจจากพระเอกรุ่นใหญ่ ขวัญใจชาวไทย “สมบัติ เมทะนี”ที่มีต่อพ่อของแผ่นดิน

กุหลาบสีเงิน

 

Star Retro : หนึ่งในไม่กี่คน ‘กรุง ศรีวิไล’ กับรางวัลพระสุรัสวดี พระราชทานจากพระหัตถ์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/244391

วันอาทิตย์ ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559, 06.00 น.

รางวัลพระสุรัสวดีที่ได้รับ ถือเป็นเกียรติสูงสุดของชีวิตในฐานะนักแสดง ของ “กรุง ศรีวิไล”และในฐานะคนไทยคนหนึ่ง เขาปรารถนาที่จะตอบแทนคุณแผ่นดิน และพระมหากรุณาธิคุณของ “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช” ในทุกวาระที่มีโอกาส

มีโอกาสได้ชื่นชมพระบารมีในหลวง ในรัชกาลที่ 9 ตั้งแต่เมื่อครั้งยังเด็ก

จะเรียกว่าเป็นบุญของตัวเองหรือว่าพ่อแม่ทำไว้ให้ก็ไม่รู้นะครับ คือผมได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตั้งแต่ผมอายุ 10 ขวบ ตอนนั้นสมเด็จพระบรมฯยังทรงพระเยาว์ ในหลวงท่านเสด็จฯไปที่อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ บ้านเกิดของผม คือพระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินโดยเรือไปกว่าครึ่งวันนะถึงจะถึงบางบ่อ โดยมีเด็กนักเรียนไปเข้าเฝ้าฯรับเสด็จมากมาย ตอนนั้นผมเรียนอยู่โรงเรียนสามัคคีวิทยา ก็ได้นั่งกราบแล้วก็ถือธง ได้เห็นพระพักตร์ของพระองค์ใกล้ๆ เลย ขอพูดตามภาษาชาวบ้านนะครับ ท่านหล่อมาก สมเด็จพระราชินีก็สวยมาก ผมจำภาพนั้นได้จนถึงทุกวันนี้ สมเด็จพระบรมฯก็ทรงวิ่งเล่นทอดพระเนตรปลาไหลเผือกที่ประชาชนเอามาถวาย

รักและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์

เพลงสรรเสริญพระบารมี เพลงชาติ เราร้องกันทุกวันอยู่แล้ว เราก็รู้ว่าหมายถึงอะไร เพราะว่าที่โรงเรียนจะสอนให้เรารักประเทศชาติรักพระมหากษัตริย์ เราก็เหมือนถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก จนมาถึงทุกวันนี้ที่เวลาก่อนออกจากบ้าน เราก็จะต้องไหว้พระ ไหว้พ่อแม่ แล้วก็กราบพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถ้าใครมาที่บ้านผมจะเห็นเลยว่าแทบทุกมุมทุกห้องในบ้านจะต้องมีพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เวลาผมไปถ่ายหนังในป่าในเขา แล้วเห็นปฏิทินที่เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ท่าน ที่พอหมดวันเดือนปีแล้วชาวบ้านก็จะไม่ค่อยสนใจ หรือถูกวางไว้ในที่ที่ไม่เหมาะไม่ควร ผมก็จะเก็บและนำมาใส่รถไว้ รวมทั้งเงินธนบัตรทุกครั้งที่เราหยิบ ไม่ว่าจะมอบให้ใครแล้วเกิดว่าหล่นลงพื้นผมยังต้องเอาแบงก์มาจดที่หน้าผาก และผมจะสอนลูกเสมอว่าถ้าเห็นเหรียญบาทหล่น แล้วเดินข้ามไปโดยไม่หยิบขึ้นมา ผมจะตีต่อหน้าคนเยอะๆ เลย ตีขาเลยจะเป็นแบบนี้มาตลอด เป็นความคิดที่ไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านเขา

คำว่า “กรุง ศรีวิไล” อีกหน่อยก็ต้องมีคลื่นลูกใหม่มาแทนที่ แต่ว่าด้วยจิตใจที่เรายึดมั่นคือสถาบันพระมหากษัตริย์ จะอยู่ตราบนานเท่านานผมชอบเรียนชอบศึกษาประวัติศาสตร์ไทยมาก ตั้งแต่สมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช สมเด็จพระนเรศวรมหาราช จนมาถึงรัชกาลที่ 9 ปัจจุบันเราตระหนักอยู่เสมอว่าประเทศชาติ ถ้าเกิดว่าไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ คนไทยไม่ได้อยู่สบายกันแบบนีเรียกว่าเสวยสุขดีกว่า อยู่เสวยสุขกันจนเหลิง พอเหลิงก็เกิดปัญหา ผมว่านิสัยคนไทยที่ประเทศชาติไม่เจริญลุล่วงไปได้ก็เพราะ 4 อย่างหนึ่งไม่ตรงเวลา สองไม่มีความรับผิดชอบสามขี้เกียจ สี่อิจฉาริษยา คุณจดไว้เลย คนไทยมีอยู่ 4 ข้อนี้ที่ประเทศชาติเป็นแบบนี้ ปกติเราต้องไปถึงไหนๆแล้ว แล้วกฎหมายบ้านเมืองเราไม่เข้มแข็ง ลูบหน้าปะจมูก อย่างลูกผมถ้าทำผิดอะไรนะ ผมไม่เคยไปขอร้องใคร ทั้งๆ ที่มีเพื่อนมีพวกเยอะแยะที่เขาอยากจะช่วยเหลือ

พระราชกรณียกิจของในหลวง ในรัชกาลที่ 9 ที่ติดตาตรึงใจ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯไปที่ทุรกันดารที่น้ำป่าไหลหลากพระองค์ท่านก็ยังไปถ้าน้ำป่าซัดมาตูมเดียวจะเกิดอะไรขึ้น แต่พระองค์ท่านยังไป ขับรถเองด้วย ดึกๆ ดื่นๆ ขับรถออกจากพระราชวังไปซุ่มดูตรงนั้นตรงนี้ ขนาดหมู่บ้านไวท์เฮาส์ที่รังสิตพระองค์ยังเสด็จไปนะสุดยอดแล้วครับ ไม่มีอีกแล้ว ซึ่งบางคนยังไม่รู้เลยแล้วที่พระองค์ท่านให้ชาวเขาเลิกปลูกฝิ่น อันนี้เป็นแนวพระราชดำริปรัชญาของพระองค์ท่านอย่างแท้จริง ท่านไปดูว่าชาวเขาทำอะไรกินกันอยู่กันยังไงบนเขาบนดอย เขาก็บอกพ่อหลวงว่าทำฝิ่น พระองค์ก็ทรงให้เลิกปลูกฝิ่นแล้วมาปลูกกาแฟแทน ดูสิว่าใครจะคิดได้ ไม่มีอะไรที่จะกล่าวพรรณนาถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านที่ให้กับพวกเราแล้ว (น้ำตาคลอ)สี่พันกว่าโครงการไม่มีใครทำได้ในโลกใบนี้อย่างฝนหลวง ท่านคิดได้ยังไง ก็ไม่รู้เหมือนกัน คือผมก็รู้เรื่องพระราชดำริของพระองค์ท่านเยอะเพราะว่าเราก็ 70 แล้วนะครับ เท่ากับที่พระองค์ท่านขึ้นครองราชย์พอดี

ความภาคภูมิใจในฐานะนักแสดง

ผมได้รับพระราชทานรางวัลพระสุรัสวดีหรือว่า ตุ๊กตาทอง ในฐานะนักแสดงชายสมทบยอดเยี่ยม ปี พ.ศ.2516 จาก ภาพยนตร์เรื่อง “ชู้” ของ “คุณเปี๊ยก โปสเตอร์” รับจากพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพระราชวังสวนจิตรลดา บรรยากาศในวันนั้น มีนักแสดงที่เข้ารับด้วยกัน 4 คน คือมีผม “เปียทิพย์คุ้มวงศ์”, “นาท ภูวนัย” และ “ภัทราวดี มีชูธน”เป็นวันที่รู้สึกตื่นเต้นมากที่สุดในชีวิต เพราะไม่เคยได้เข้าเฝ้าฯอย่างใกล้ชิดพระองค์ท่านมากขนาดนี้มาก่อน วินาทีที่พระหัตถ์พระองค์ท่านยื่นตุ๊กตาทองมาให้เราก็บรรยายไม่ถูกเลยสำหรับความรู้สึกตอนนั้น จุกอก อิ่มใจ แล้วพระองค์ท่านก็ตรัสชมว่าเก่งมาก (น้ำตาไหล) นึกถึงเมื่อไรก็อิ่มใจน้ำตาไหลตลอด แล้วทุกวันนี้ผมก็น้ำตาไหล เวลาดูทีวีเห็นข่าวต่างๆ เกี่ยวกับพระองค์ท่าน จนไม่ให้เด็กแม่บ้านเข้าไปในห้อง กลัวเขาเห็น ผมไม่ได้อายหรอก แต่ผมรู้สึกว่าผมไม่มีใครแล้ว ถ้าผมตายก็ไม่เสียดายชีวิตแล้วนะ ซึ่งพระองค์เสด็จฯพระราชทานรางวัลตุ๊กตาทองปีนั้นเป็นครั้งสุดท้ายด้วย รางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับการแสดงของวงการบันเทิงไทย คือรางวัลพระสุรัสวดีเท่านั้น ที่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้กับวงการแสดง ซึ่งก็มีไม่กี่คนที่รับพระราชทานจากพระหัตถ์ของพระองค์ท่าน ผมคือหนึ่งในนั้นที่เป็นความภาคภูมิใจของครอบครัวมากๆ พ่อแม่ผมท่านก็บอกเลยว่า “เป็นบุญของเอ็งลูกเอ๊ยเกิดสิบชาติร้อยชาติก็ไม่มีแล้ว” เพราะว่าบ้านผมพ่อแม่จะเทิดทูนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถอย่างสุดชีวิตและตอนที่เรียนวิชาวาดเขียนบังคับให้ผมวาดรูปในหลวงและพระราชินีผมก็วาดด้วยดินสอดำ ซึ่งทุกวันนี้รูปนั้นก็ยังอยู่นะแต่ว่าอยู่อีกบ้านนึง ชีวิตของเด็กคนหนึ่งซึ่งไม่น่าเป็นไปได้แต่มันก็เป็นไปแล้ว ซึ่งมันก็กลายเป็นเกียรติประวัติเป็นตำนาน นอกจากนี้ผมยังได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯพระองค์ท่านตอนที่เล่นหนังเรื่องสุริโยไท และตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่ศาลาเฉลิมกรุง ซึ่งวันนั้นมีนักแสดงมากมายได้เข้าแถวเฝ้าฯรับเสด็จ

ในบทบาทการเป็นนักการเมือง

ผมได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ สายแดง และพระองค์ท่านทรงมีพระราชกระแสรับสั่งมาในพระราชสาสน์ว่า ให้นักการเมืองทุกคนเป็นคนดี อย่าคดโกงบ้านเมือง อย่าให้คนไม่ดีปกครองบ้านเมือง พระองค์ทรงสอน ซึ่งมันก็จริงหมดเลยนะ ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ (พูดไม่ออกน้ำตาคลอและนิ่ง) ใครคิดดีก็ได้ดี ผมบอกตรงๆ เลย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ท่านศักดิ์สิทธิ์มากแล้วการที่ผมลงเล่นการเมืองจริงๆเราไม่ได้อยากเป็น สส. แต่ว่าคนที่มาชวนให้เป็นท่านมีบุญคุณกับผมมาก ตอนที่แต่งงานเราก็บอกกล่าวท่านด้วยปากเปล่า เย็นนี้พรุ่งนี้ท่านก็ไปร่วมงานเลยคือ “ท่านสมัคร สุนทรเวช” ผมเลยซึ้งตรงนี้ท่านชวนให้มาอยู่ด้วยกัน เราก็เลยลองดูไปลงสมัคร สส. แล้วชนะถล่มทลาย แม้ว่าจะเป็นเขตแถวบ้านตัวเอง แต่ถ้าเราเป็นคนชั่วเราก็คงจะไม่ได้หรอก ก็เลยได้เป็น สส. ในสมัยที่คุณสมัครเป็นนายกรัฐมนตรี ถือว่าเป็นการรับใช้ประชาชน ตอบแทนแผ่นดินตอบแทนคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่นอกเหนือจากการเป็นนักแสดง

อีกหนึ่งรางวัลแห่งความภาคภูมิใจ

รางวัลพ่อตัวอย่างแห่งชาติ ปี 2555 ก็เป็นอีกหนึ่งรางวัลที่ยังความภาคภูมิใจให้กับตัวผมเองและครอบครัว รางวัลพ่อดีเด่นนี้มีคนรับทั่วประเทศเยอะเหมือนกันนะ แต่ว่าปีนึงเขาคัดสรรคนที่สมบูรณ์จริงๆ หนึ่งจะต้องไม่มีเรื่องครอบครัวแตกแยก ผัวเดียวเมียเดียว เคยมีประวัติคดโกง หรือโกงกินไม่ได้ แล้วเราก็ได้รับรางวัลนี้มา ซึ่งผมเป็นคนแรกที่ได้รับและเป็นตัวอย่างในการกราบบังคมทูล รางวัลนี้แม้ว่าจะไม่ได้รับพระราชทานจากพระหัตถ์ของพระองค์ท่าน แต่ก็เป็นความภาคภูมิใจมากครับลูกๆ เขาก็ปลื้มใจ จะพาพ่อไปเลี้ยงด้วย แต่เราไม่เอา คือทำดีไม่จำเป็นต้องให้ใครเห็นหรอกทำอยู่อย่างนี้ปิดทองหลังพระ ในหลวงท่านไม่เห็นต้องไปประกาศเลยท่านทำอย่างเดียว คือถ้าเราเป็นคนดี เพชรอยู่ในน้ำคลำ ยังไงก็เป็นเพชร

ผมทำความดีมาตลอด แต่ไม่เคยต้องป่าวประกาศ ช่วยเหลือคนยากคนจน ร่วมกับชมรมน้ำใจไทยก็ทำมาหลายปีแล้ว ผมบอกหนังสือพิมพ์ให้เขาช่วยลงให้หน่อย เอาเบอร์โทรศัพท์ผมไป ใครเดือดร้อนยากจนออยากจะให้ช่วยเหลือก็บอกมา ก็มีคนแก่โทร.มา “คุณกรุงยายอยู่ฉะเชิงเทรา ปิ้งหมูย่างอยู่ป้ายรถเมล์ยายตาข้างซ้ายมองไม่เห็นแล้ว เพราะว่าปิ้งหมูมานานอยากได้ตังค์ไปตัดแว่นหน่อยได้รึป่าว” ผมก็ส่งไปให้ บางโรงเรียนกันดารไม่มีตะกร้อ ไม่มีอุปกรณ์กีฬาก็ส่งไปให้เขา ทั้งจากเงินส่วนตัวเองหรือว่าเพื่อนฝูงต้องการสมทบเท่าไหร่ก็รวมกันไปซื้อแล้วส่งไปรษณีย์ ใครไม่มีข้าวจะกินบอกเลยวันเดียวถึง ไม่มีใครเขามาหลอกหรอก เพราะว่าเราตรวจสอบก่อนตลอด ส่งลูกน้องไปดูเลยว่าจริงตามที่เขาว่ามาหรือเปล่า แต่พวกที่ขอเงินไปกินเหล้าเมายา เราก็จะไม่ให้ คือโครงการนี้ผมยังคงสานต่ออยู่เรื่อยๆ เป็นชมรมที่เราทำมาและมีเพื่อนๆ เป็นร้อยๆ คนที่ช่วยกัน แต่ไม่ใช่คนในวงการบันเทิงนะ ผมเป็นหัวเรือใหญ่ แล้วก็มีพวกพ่อค้าประชาชนผู้ที่มีแรงในการจะช่วย

พระราชดำรัสที่น้อมนำมาปฏิบัติ

ทุกวันนี้คนก็น้อมนำมาปฏิบัติกันเยอะมาก อย่างเรื่องที่ว่าใช้เสื้อผ้าปะแล้วปะอีกชุนแล้วชุนอีก มีเยอะมาก เราเองก็เป็นคนที่ไม่กินเหล้าไม่สำมะเลเทเมา แต่ว่าตอนวัยรุ่นก็ไม่ว่ากันนะครับ แต่ทุกวันนี้อยู่แบบเรียกว่าพอเพียง คือไม่หรูหรา กินข้าวราดแกงได้ เพราะนิสัยเราเป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ตอนเป็น สส. นั่งโต๊ะหลุยส์ในรัฐสภา มีอาหารจากร้านอาหารแพงๆ ส่งให้สส. รัฐมนตรีทานในห้องอาหารรัฐสภา เราก็ลงไปกินข้าวราดแกงที่ร้านใต้ถุนสภาจานนึง 30-40 บาทก็พอ เพราะเราคิดว่าวันนึงทุกคนก็ต้องมากินข้าวราดแกงอยู่ดี ไม่ต้องไปหรูหราอะไร เหมาะแล้วที่เขาสอนนักการเมืองแบบนี้ เป็นจริงตามที่ใครเขาพูด ผมไม่ได้เข้าข้าง คสช.หรือว่าใครนะแต่ผมว่าเขาทำดี เตือนสติคน

สิ่งที่ลูกๆ น้อมนำและปฏิบัติตามอย่าง

พอเห็นพ่อไหว้ในหลวงเขาก็ไหว้ตาม โดยที่เราไม่ต้องบอก อาจจะบอกสอนเขาในตอนที่เขาเด็กๆ แต่ว่าพอโตมามันก็ติดเป็นนิสัยของเขาไปแล้วครับ เขาจะไม่กล้าเอาเงินไปโยนเล่นไปวางไม่เป็นที่เป็นทางเด็ดขาด แล้วทานข้าวถ้าไม่หมดจานก็จะว่าเขา แม้กระทั่งคนงานพวกแม่บ้านต่างๆ ที่เวลาเขาตักข้าวให้เราแล้ว ข้าวที่ติดทัพพี เขาเอาไปวางทิ้ง ทั้งที่ข้าวสิบยี่สิบเม็ดที่ติดอยู่รวมแล้วเป็นครึ่งกระป๋องได้ เราก็เรียกเขามาดุเลย คุณทำกันแบบนี้ได้ยังไง ถ้าวันหลังคุณไม่ช่วยผมประหยัด ผมก็จะไม่ให้ข้าวคุณกิน แล้วไฟฟ้า น้ำอะไรต่างๆ ไม่ใช้ก็ต้องปิดดับให้หมด ผมจะสอนอย่างนี้

วันที่ 13 ตุลาคม

วันนั้นช็อก ทรุดไปเลย เพิ่งกลับมาจากงานฌาปนกิจศพ ขับรถมาก็หมดแรงแล้ว ทำอะไรไม่ถูกเลย อยู่บ้านก็ร้องไห้ตลอดอยู่ในมุมของตัวเองลูกเมียก็ร้อง ทุกคนต่างเสียใจแล้วลูกๆ เขาก็ไปที่สนามหลวงกัน สิ่งที่ผมจะทำได้ในช่วงนี้ คือจะนำพวงมาลัยมากราบที่พระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ท่าน กราบไหว้ทุกวัน ความรู้สึกของผมกับการสูญเสียครั้งนี้เหมือนความรู้สึกเมื่อครั้งที่เราสูญเสียพ่อแม่ที่จากไป อารมณ์เดียวกัน(น้ำตาคลอ) คนที่มันคิดว่าเฮ้ยจะเสียใจอะไรกันนัก ผมว่าคนนั้นมันไม่ใช่คนดีแล้วล่ะ มันคนบ้าที่คิดแบบนั้น ไปอยู่ที่อื่นเลย ไม่ต้องมาอยู่ที่นี่

ขอตั้งปณิธานสานต่องานของพ่อ

ทำความดี แค่นี้ก็พอแล้วครับ ทำตนเป็นคนดีช่วยเหลือประชาชนได้ช่วยเหลือ และอยากจะตอบแทนพระองค์อีกครั้ง คืออยากจะลงสมัครเลือกตั้ง สส.อีกครั้งนึง อยากจะรับใช้ประเทศชาติ แล้วก็ทำหน้าที่แทนพระองค์ประชาชนเดือดร้อน น้ำท่วม ฝนแล้งเราก็อยากจะไปช่วย ผมยังไหวอยู่ สบายมากไม่ต้องเป็นห่วง วันนึงช่วยไม่รู้กี่งาน ส่วนในฐานะนักแสดงเราก็ยังเล่นอยู่ยังคงสร้างความบันเทิงให้กับคนดูต่อไป นี่ก็มีติดต่อมาเรื่อยๆ สำหรับละครเทิดพระเกียรติ ซึ่งผมยินดีรับเล่นหมดเลยนะ แต่มีข้อแม้ว่าดูบทที่มันดีหน่อยละกัน ไม่ใช่ว่าให้ไปเล่นเป็นกำนันโกงกินบ้านเมืองไม่เอานะ บอกไว้เลยบทเจ้าพ่อเป็นเจ้าของโรงงานยาเสพติดอะไรไม่ดีๆ คือถ้ารับบทแบบนี้ป่านนี้ก็ไม่ได้นอนแล้ว ละครเทิดพระเกียรติเนี่ยให้เล่นเป็นตัวอะไรก็ได้ เราไม่เอาตังค์ด้วย เพียงแต่ว่าไม่เล่นเป็นผู้ร้ายเท่านั้นเอง จะต้องเป็นตัวที่สร้างสรรค์อีกสักพักนึงก็อยากจะบวชตลอดชีวิต เพราะว่าเราแก่แล้วไม่มีอะไรทำแล้วล่ะ เป็นนักแสดงก็พอแล้วการบวชนี้ถือเป็นการน้อมถวายแด่พระองค์ท่านในวาระสุดท้ายด้วย นี่ถ้าไม่ติดละครนะผมบวชไปแล้ว บวชสักระยะนึงแล้วก็สึก สุดท้ายของชีวิตคืออยากจะบวชตลอดชีวิต ลูกเมียไม่รู้เรื่องแต่คิดว่าเขาคงไม่ว่าหรอก ขัดคนบวชบาปนะนี่คือแผนชีวิตที่เราวางเอาไว้

กรุง ศรีวิไล กับ แอล และ เอิร์ธ (ลูกสาว-ลูกชาย) ร่วมแสดงละคร “ทิวลิปทอง”

ความในใจฝากถึงพี่น้องชาวไทย

ผมอยากให้ทุกคนอยู่กันแบบสงบเรียบร้อยไม่วุ่นวาย ให้ทุกคนรู้หน้าที่ใครหน้าที่มัน และเก็บพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจำใส่ไว้ในใจของพวกท่านทุกคนตอนนี้ ทุกคนรู้แล้วว่าไม่มีพ่อแล้วเป็นยังไง จำไว้ ถ้าเผื่อว่าไม่มีทุกรัชกาลประเทศชาติของเราจะเป็นยังไง ขอให้ใช้สมองที่ว่าแน่ๆ ย้อนกลับไปนึกถึงกันเอาเอง ว่าใครจะมาเป็นใหญ่ในแผ่นดินนี้ไม่ได้ ให้นึกกันชัดๆ แต่ถ้าพวกไหนสมองลิงก็แล้วแต่จะคิดครับ

และนี่คืออีกหนึ่งเสียงของศิลปินในรัชสมัยรัชกาลที่ 9 ผู้เป็นดั่งตำนานแห่งวงการบันเทิงไทย

กุหลาบสีเงิน

Star Retro : ด้วยพระบารมีปกเกล้าฯ ‘รอง เค้ามูลคดี’ น้อมนำพระราชดำริ ยึดหลักพอเพียงส่งต่อลูกหลาน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/243334

วันอาทิตย์ ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559, 06.00 น.
ในฐานะพสกนิกรที่เกิดในแผ่นดินของ “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช” นักแสดงอาวุโส “รอง เค้ามูลคดี”
เผยด้วยความปีติและซาบซึ้งในพระมาหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ พร้อมเล่าถึงช่วงเวลาที่สุดจะกลั้นน้ำตา เมื่อครั้งที่ได้เข้าเฝ้าฯทูลเกล้าฯถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 กับภาพที่เห็นอย่างเจนตา

ต้องบอกผมเกิดในแผ่นดินของในหลวงรัชกาลที่ 9 พอดีเลย คือเกิดปี 2490 พอเริ่มโต 7-8 ขวบ ก็เห็นพระองค์ท่านทรงงานแล้ว เราเป็นนักเรียน เขาก็จะให้ไปชมภาพยนตร์ส่วนพระองค์ที่โรงภาพยนตร์เฉลิมกรุง เราก็ได้เห็นพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่านมากมาย ก็รู้สึกว่าโอ้โห ท่านทำได้ขนาดนี้เลยหรือ คือรู้สึกทึ่งและชื่นชมในพระบารมีของท่านมาก แล้วยิ่งต่อมาเราโตขึ้นบางวันทำงานเรารู้สึกว่าอยากพัก แต่พอเรานึกถึงพระองค์ท่านไม่เคยได้พักเลย เราเลยมีความคิดว่าท่านคือเทพที่ลงมาจุติให้บำบัดทุกข์บำรุงสุขของประชาราษฎรจริงๆ เราไม่เคยได้ยินเลยว่าท่านท้อท่านเหนื่อย แต่เมื่อท่านคิดจะทำอะไรแล้ว ท่านจะต้องทำให้สำเร็จ เพื่อลูกๆ ของท่านนั่นก็คือประชาชนของพระองค์ (ครอบครัวปลูกฝังอย่างไร ?) สิ่งนี้ไม่ต้องปลูกฝังเลยครับ เราซึมซับเอง เราเห็นพ่อแม่ปู่ย่าตายายทุกคนรักเทิดทูนในหลวงมาก และจากที่เราได้ดูภาพยนตร์ส่วนพระองค์ เราก็นึกแล้วว่าท่านเก่งเหลือเกิน เราไม่ได้เศษเสี้ยวหนึ่งธุลีพระบาทเลย ความที่ท่านอดทนไม่ย่อท้อ ทำทุกอย่างเพื่อประเทศชาติเพื่อประชาชน อย่างบางพื้นที่เช่นบนเขาบนดอยที่ชาวเขาปลูกฝิ่น คนก็ติดฝิ่นสูบฝิ่นตัวเหลืองกัน พระองค์ท่านก็คิดค้นวิธีว่าจะทำอย่างไรให้เขาเลิกปลูกฝิ่น ทรงบุกน้ำลุยป่านำลูกท้อพันธุ์ที่ดีไปให้ปลูก แทนการปลูกฝิ่น รวมทั้งพืชอื่นๆ ทั้งที่จริงๆ พระองค์ท่านไม่จำเป็นที่จะต้องไปเองก็ได้ ท่านสั่งก็ได้ แต่ไม่เลย ทุกอย่างที่ท่านทำจะต้องลงไปดูด้วยตัวเอง ว่าสำเร็จไหม เขาอยู่กันได้ไหม แล้วก็พยายามเอาหลักเศรษฐกิจพอเพียงเข้าไปบอก และอีกหนึ่งพระราชดำริที่รู้สึกทึ่งมากก็คือโครงการช่างหัวมัน ซึ่งพื้นที่ตรงนั้นปลูกอะไรก็พัง แต่พระองค์ท่านคิดหาวิธีปรับดินจนสามารถทำเกษตรกรรมสร้างรายได้ให้กับประชาชนได้ แต่ตำหนักที่ทรงงานของพระองค์ท่าน กลับเป็นบ้านไม้ใต้ถุนสูง ข้างล่างจอดรถเก่าๆ นาฬิกาของพระองค์ท่านเรือนละไม่กี่ร้อยบาท ท่านเป็นตัวอย่างให้เราทั้งหมด แล้วเราจะมาดิ้นรนกันทำไม โดยเฉพาะอาชีพนักแสดงเป็นอาชีพที่น่ากลัวมาก ใครจะการันตีได้ว่าคุณจะมีงานตลอดชีวิต เพราะฉะนั้นคุณต้องพอเพียง ต้องยึดพระราชดำรัสของพระองค์ท่าน

ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯชื่นชมพระบารมีอยู่เนืองๆ

ผมได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯพระองค์ท่านอยู่หลายครั้งมาก ที่พระราชวังสวนจิตรลดาก็ไม่รู้กี่ครั้ง แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมน้ำตาไหลเลย วันนั้นผมเข้าเฝ้าฯทูลเกล้าฯถวายเงินร้านดารากาชาด ซึ่งเขาสลับกันเป็นประธาน ปีนั้นเราเป็นประธาน บรรยากาศในวันนั้นคือทุกคนก็เข้าแถวกันหมดมีตัวแทนจากหน่วยงานนั้นหน่วยงานนี้มากมายพอสมควร แล้วพอใกล้เวลาที่พระองค์ท่านเสด็จฯออกเจ้าหน้าที่ก็มาแจ้งว่าให้ “คุณปทุมวดี” ทำหน้าที่นางสองพระโอษฐ์ คุณทุมยืนตาค้างช็อกไปเลย คือเราเข้าไปทูลเกล้าฯท่านก็ประทับยืน คุณทุมนั่งอยู่ติดพระองค์ท่านเลย เราก็นึกเลยว่าคุณทุมจะถือได้ไหมพานของชำร่วยที่ท่านจะประทานให้กับทุกคน แล้วเชื่อไหมครับว่ายืนตั้งแถวกันเนี่ย ได้ยินกันทั้งห้องเลย พานมันดัง คุณทุมนั่งมือสั่นเสียงพานกระทบกับของชำร่วย น้ำตาก็ไหลด้วยความปีติ เราก็ถือว่านี่คือความเป็นสิริมงคลของทั้งคุณทุมเอง ผมและรวมไปถึงครอบครัวด้วย เป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอย่างหาที่สุดมิได้ ชาตินี้ชีวิตนี้ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว หยิบภาพถ่ายภาพนี้ขึ้นมาดูทีไร น้ำตาไหลทุกครั้ง (น้ำตาคลอเบ้า) เจ้าหน้าที่ที่ส่งรูปนี้มาให้เราได้บอกกับคุณทุมว่า เก็บรูปนี้ไว้ให้ดีนะ เพราะว่ายังไม่เคยมีใครที่สามีเข้าไปทูลเกล้าฯถวาย แล้วภรรยานั่งข้างพระองค์ ส่งของให้พระองค์ท่าน แล้วถ่ายทีเดียวติดทั้งสามีภรรยา พอหลังจากที่พระองค์ท่านประชวร เราก็ไม่ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯถวายงานแล้ว แต่ว่าทุกครั้งที่ไปไหนก็ตามแต่ที่ลงนามถวายพระพร ผมเขียนหมด เดินเข้าห้างเราก็พนมมือไหว้พระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ท่าน แล้วก็นั่งเขียน อย่างตอนนี้ก็ยังเขียนอยู่ ขนาดว่าเมื่อวานเพิ่งจะเขียนไป วันนี้ไปก็เขียนอีก คือที่โรงพยาบาลที่เราไปเยี่ยมคุณทุม เขาก็จะมีสมุดไว้ให้ลงนามแสดงความไว้อาลัย เราก็เขียนมาสองวันติดกัน ยามก็มองเลยว่าจะเขียนอะไรทุกวัน แต่คือไม่รู้นะเราอยากจะถวายท่าน

ห้วงเวลาปานดวงใจจะขาด

คือเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม เป็นการนัดหมายล่วงหน้ากันมาเป็นเดือนแล้วว่าเช้าวันนั้นผมจะต้องไปอ่านพระราชประวัติของพระองค์ท่านเป็นสารคดีตั้งแต่พระองค์ท่านเริ่มประสูติ จนกระทั่งครองราชย์และมาถึงปัจจุบัน บ่ายโมงกว่าก็เริ่มได้รับข่าว แต่เราก็อ่านไปเรื่อยๆ บ่ายสองกว่าเพื่อนก็แจ้งข่าวมา แต่เราก็ไม่เชื่อ ก็อ่านสารคดีทำหน้าที่ของเราไปเรื่อย กะว่างานจะต้องเสร็จสี่โมงเย็น ปรากฏว่าพอเขาออกแถลงการณ์งานที่จะเสร็จสี่โมง สามทุ่มถึงเสร็จ อ่านไปร้องไห้ไป(น้ำตาคลอ) ทุกวันนี้แค่นั่งอยู่แล้วนึกถึงพระองค์ท่านภาพที่เห็นพระองค์ท่านกับสมเด็จพระราชินี ท่านหวานมาก คือขอพูดแบบภาษาชาวบ้านนะครับผมขออนุญาต ชาวบ้านยังทำไม่ได้แบบนี้ ท่านหอมแก้มกัน ดูแล้วเรารู้สึกซาบซึ้งเหลือเกิน ผมถือว่าครั้งนี้เป็นการอ่านสารคดีที่ทรมานใจที่สุด แต่เราก็ยินดีจะทำ เมื่อวานซืนยังขอเขาไปแก้ในบางช่วง เพราะรู้ว่าเสียงเราสั่น

สิ่งที่น้อมถวายในฐานะนักแสดง

ผมมีโอกาสได้แสดงละครเฉลิมพระเกียรติเพื่อถวายพระองค์ท่านอยู่หลายครั้งมาก คือเขาก็จะนำพระราชดำริแต่ละโครงการของพระองค์ท่านมาทำ แล้วเราก็ได้ไปแสดงเป็นตัวนำ รวมทั้งละครเพลงเฉลิมพระเกียรติ “ไกลกังวล มิวสิคัล ออน เดอะ บีช” ผมดีใจและภูมิใจมากที่ได้ร่วมแสดง เป็นละครที่สนุก มีสาระ เพลงเพราะ เหนือสิ่งอื่นใดคือทำให้ผมได้รู้จักความรักที่ยิ่งใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่วันแรกที่ไปซ้อมเพลง บอกตามตรงว่าผมเครียดมาก ด้วยความที่ผมไม่ได้เป็นนักร้อง ร้องเพลงไม่เก่ง เลยทำให้รู้สึกว่ายากมาก ท้อและเกือบถอดใจ แต่พอผมนึกถึงภาพวังไกลกังวลเห็นภาพพระองค์ท่านแว่บเข้ามาเท่านั้นแหละ ผมรู้สึกมีพลังอย่างประหลาด จึงตัดสินใจสู้ ตั้งใจว่าจะแสดงและร้องเพลงอย่างสุดความสามารถ และล่าสุดเพิ่งจะได้รับการติดต่อมาจากทาง “คุณบอย-ถกลเกียรติ” ให้ไปร่วมแสดงในละครเทิดพระเกียรติ “เราเกิดในรัชกาลที่ ๙ เดอะ ซีรี่ส์”ซึ่งมี “โตโน่-ภาคิน” แสดงด้วย เราพร้อมที่จะแสดงถวายท่านโดยไม่คิดค่าตัวเลย ในเรื่องคือผมเล่นเป็น หลวงลุง จะต้องไปกล้อนผมด้วยซึ่งเรายอม เพราะว่าอยากทำอะไรก็ได้เพื่อถวายพระองค์ท่าน

ด้วยพระบารมีปกเกล้าฯ ชาวไทย

เราต้องมาคิดนะว่าที่เรามาอยู่สุขสบายกันทุกวันนี้ ทำไมน้ำถึงไม่ท่วมกันจะเป็นจะตาย ก็เพราะโครงการแก้มลิงของพระองค์ท่านถนนที่รถติด ท่านทรงพระประชวรต้องประทับที่โรงพยาบาลศิริราชแทนที่ท่านจะพัก แต่ท่านก็มายืนส่องกล้องดู และคิดหาวิธีแก้ปัญหา หลายๆ โครงการที่เป็นพระราชดำริของพระองค์ท่าน แล้วมีคนนำไปสานต่อ ท่านคือผู้ปิดทองหลังพระตัวจริง ไม่มีใครรู้ บางคนคิดว่านักการเมืองคนนั้นคนนี้เป็นคนสร้าง แต่หารู้ไม่ว่าพระองค์ท่านคือผู้ดำริ ชีวิตผมอยู่มาปีนี้ 70 ปีแล้ว เท่ากับที่พระองค์ท่านทรงครองราชย์ ถามว่าชีวิตเราเคยทุกข์ยากอะไรไหม ทุกคนมันก็ต้องมีบ้าง แต่ว่าช่วงเป็นสุขเยอะกว่าช่วงทุกข์ แล้วถามว่าเราสุขได้เพราะอะไร ก็เพราะเราเกิดในแผ่นดินของพระองค์ท่าน ตอบได้เต็มปากเลยว่าเราเป็นสุขได้ทุกวันนี้เพราะบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวคุ้มครองป้องกันให้เราทุกอย่าง ท่านสร้างทุกอย่างให้ประชาชน สร้างแม้กระทั่งรายได้

น้อมนำหลักคำสอนมาปฏิบัติ

สิ่งที่ผมยึดคือเรื่องรู้รักสามัคคี ซึ่งจะยึดถือตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว คือผมไม่เคยทะเลาะกับใครนะ อยู่กับเพื่อนแบบไม่แบ่งแยกสีเสื้อว่าใครจะสีไหน แล้วเราก็กินเลี้ยงพูดคุยกันอย่างมีความสุข ผมบอกว่าผมอยู่ตรงไหนไม่ได้เพราะทุกฝั่งเพื่อนผมหมด อยู่ตรงกลางดีที่สุด และทุกอย่างอยู่ที่ใจเรา ทุกคนปรารถนาดีต่อประเทศชาติทั้งนั้น เพียงแต่อุดมการณ์มันผิดกัน แม้วันนี้จะไม่มีพ่อแล้ว เราก็เดินตามรอยพระองค์ท่าน แค่นี้ก็พอ ใครก็ตามในแผ่นดินไทยเดินตามรอยพระองค์ท่าน ตามพื้นดินของเรา ตามแนวพระราชดำรัสที่พระองค์ท่านบอกไว้ รับรองไม่อดตาย อย่างตัวผมเองทุกวันนี้ก็คือไม่มีอะไรมาก ไม่มีทางที่จะเจอผมตามที่เที่ยวต่างๆแน่นอน ชีวิตผมมีอยู่ที่กองถ่าย แล้วก็ไปเยี่ยมคุณทุมที่โรงพยาบาล ที่หรูหราไม่มีไม่เอา เมื่อก่อนอยู่บ้านหลังเก่าคนเข้า-ออก 24 ชั่วโมง ประตูบ้านไม่เคยปิด ข้าวไม่เคยขาดหม้อ มันก็ได้หนึ่งคือความรักสามัคคี แต่มันก็หมด ตอนหลังเลยมาคิดว่าเศรษฐกิจพอเพียงตามอย่างพระองค์ท่านนี่คือดีที่สุด เมื่อก่อนเราคิดแค่รู้รักสามัคคีให้ทุกคนมาเจอะเจอกัน แต่เราไม่ได้นึกถึงว่าเศรษฐกิจพอเพียง เพราะตอนนั้นมีความคิดว่าเดี๋ยวเราก็ต้องมีละคร มีอยู่วันหนึ่งนั่งสวดมนต์แล้วก็นั่งสมาธิเสร็จ เราก็นั่งอยู่ในห้องพระ แล้วแว๊บขึ้นมาว่าทำไมเราถึงคิดแบบนั้น ทำไมเราไม่คิดถึงวันที่เราจะไม่มีงานบ้าง ก็เลยเปลี่ยนความคิดตั้งแต่วันนั้น จากนี้ไปฉันจะเลิกเที่ยวจะอยู่บ้าน ใครอยากเจอก็มาหาที่บ้านหรือถ้าอยากทานอะไรก็ไปร้านอาหาร เพราะที่บ้านไม่มีใคร มีแต่พี่เลี้ยงน้องพรีม ไม่เอาไม่ให้ใครเหนื่อย ไปร้านอาหารแต่รัศมีต้องแถวบ้าน ผมเป็นคนง่ายๆ ทานตรงไหนก็ได้ ข้างถนนก็ได้ ทุกวันนี้ไม่ใช่อยู่เพื่อกิน แต่กินเพื่ออยู่

สิ่งที่สืบทอดมาถึงรุ่นหลาน

ทุกวันนี้น้องพรีมลูกสาวของยุ้ย (ปัทมวรรณเค้ามูลคดี) เวลาไปไหนเขาจะมีสมุดของเขาและเขียน “น้องพรีมรักในหลวง” ไม่มีใครสอนเขานะ ซึ่งเราก็มองว่าถ้าหากครอบครัวเป็นแบบอย่างที่ดี เด็กเขาจะซึมซับไปเรื่อยๆ แล้วเราค่อยอธิบายให้เขาฟังว่าทำไมคุณตารักในหลวง ทำไมคุณตารักพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ คนไทยโชคดีที่สุดในโลกแล้ว โชคดีที่เกิดมาเป็นคนไทย ตั้งแต่ปฐมบรมกษัตริย์ของเราที่เลือกตรงนี้เป็นเมือง ซึ่งประเทศอื่นเขาเจอภัยธรรมชาติมากมาย ประเทศเราก็เจอบ้างแต่ว่าหนักๆ ไม่มี น้ำท่วมก็มีบ้างซึ่งมันก็เกิดจากการเก็บกักน้ำที่เดี๋ยวมันก็แก้ไขได้

รางวัลแห่งความภาคภูมิใจ

ผมได้รับรางวัลพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อยู่หลายรางวัลครับแต่ว่ายังไม่เคยได้มีโอกาสรับพระราชทานจากพระหัตถ์ของพระองค์ท่าน คือจะได้รับประทานจากองคมนตรีที่เป็นตัวแทนของพระองค์ท่าน รวมทั้งรางวัลพ่อดีเด่นแห่งชาติ รางวัลผู้ใช้ภาษาไทยดีเด่น 2 ปีซ้อน ทุกรางวัลเป็นที่ภาคภูมิใจมาก และผมภูมิใจในภาษาไทยที่เป็นภาษาประจำชาติของเรามาก เนื่องจากเป็นภาษาที่สละสลวย ก็อยากให้เด็กๆ หันมาใช้ภาษาไทยกันให้ถูกต้องเราต้องแข็งแรงในภาษาของเราก่อนส่วนภาษาอื่นก็เรียนรู้ได้ เป็นความสามารถของคุณแต่ไม่อยากให้ทิ้งภาษาไทย

ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป

คำนี้ที่เขาพูดกันขึ้นมาก็เนื่องจากว่า จะหาพระเจ้าแผ่นดินที่ไหนในโลกนี้ไม่มีอีกแล้ว พระเจ้าแผ่นดินที่ให้ฉันทุกอย่าง ให้ในสิ่งที่ฉันไม่คาดคิด พระองค์ก็ทรงพระราชทานมา ทุกอย่างประชาชนรับรู้ด้วยสามัญสำนึกว่าเพราะฉันอยู่อย่างสุขสบายได้ทุกวันนี้ก็เพราะพระองค์ท่าน เพราะฉะนั้นฉันจะขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป เกิดชาติไหนขอให้ได้อยู่กับพระองค์ท่าน นี่คือความปลื้มปีติ ความรัก คือไม่มีประเทศไหนที่คนรักพระมหากษัตริย์เท่าประเทศไทย บางคนอาจจะบอกว่าไม่รักพ่อ ซึ่งจิตใจของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ขอให้รู้ว่าทุกวันนี้ที่เราอยู่สุขสบายเพราะว่าพระองค์ท่าน และพระองค์ท่านก็ไม่เคยบอกเลยว่าให้คนไทยทั้งชาติมารักพระองค์ท่าน (น้ำเสียงหนักแน่น) แต่พระองค์ท่านมีพระราชดำรัสว่าให้คนไทยรักกัน แล้วทำไมเราไม่รักกัน ถามว่าทุกวันนี้พระองค์ท่านเคยไปทำร้ายใครไหม ไปทำให้ใครเดือดร้อนไหม คุณไม่รักพระองค์ท่านเพราะอะไร ถ้าคุณไม่รักท่าน คุณลองออกไปอยู่ประเทศอื่นสิว่าคุณจะสุขสบายแบบนี้ไหม ผมไม่ได้ไล่นะ เอาไว้ให้ลองออกไปอยู่ประเทศอื่นสักพักแล้วคุณมานั่งนึกดูว่าประเทศที่คุณไปอยู่ใหม่มันมีความสุขเท่ากับอยู่ประเทศที่คุณอยู่ตั้งแต่อ้อนแต่ออกไหม

กุหลาบสีเงิน

Star Retro : ใต้ร่มพระบารมี เมื่อครั้ง ‘นาท ภูวนัย’ มีโอกาสถวายงานรับใช้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/241294

วันอาทิตย์ ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

นักแสดงรุ่นใหญ่อดีตพระเอกขวัญใจประชาชน “นาท ภูวนัย” เป็นอีกหนึ่งบุคคลที่ได้มีโอกาสรับใช้สนองคุณแผ่นดินในฐานะข้าราชการ แม้ในวันที่เกษียณราชการแล้ว เขายังคงความภาคภูมิใจอยู่มิคลาย หลายครั้งที่ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯถวายงาน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ นับเป็นสิ่งสูงสุดของชีวิตและครอบครัวภูวนัย

นาท เล่าถึงความปลาบปลื้มอย่างหาที่สุดมิได้ของตนเองว่า ครั้งแรกในชีวิตที่ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือเมื่อตอนที่เล่นหนัง “แม่ศรีไพร”แล้วท่านเสด็จฯทอดพระเนตรที่โรงภาพยนตร์เฉลิมกรุงซึ่งเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่ผมเล่น และเพิ่งได้รับราชการเป็นปลัดอำเภอครั้งแรกได้ 4 เดือน (ทำ 2 หน้าที่ในเวลาเดียวกัน ?) ครับคือตอนที่สอบปลัดนั้น ผมไม่รู้หรอกว่าผมจะติดหรือไม่ติด แต่ว่าได้เป็นพระเอกหนังแล้ว ตอนหลังได้เป็นปลัดที่อำเภอสามโคก ปทุมธานี ถามว่าแบ่งเวลาอย่างไร คือวันเสาร์-อาทิตย์ ผมจะถ่ายหนัง ถ้าวันธรรมดาก็ลาเอา เพราะว่า 1 ปีลาได้ 60 วัน นอกนั้นคือตั้งใจทำงานให้ดี และอีกอย่างคือเราเป็นพระเอกหนัง เราสามารถช่วยงานราชการได้เยอะเลย อย่างเช่นถ้าในอำเภอจัดงาน หนังที่นำมาฉายก็จะฟรี

สำหรับเหตุการณ์ในวันนั้น พระองค์ท่านทอดพระเนตรหนังจนจบ พอเสด็จลง ท่านก็ตรัสถามผมว่า“ขี่ช้างเหนื่อยไหม?” เพราะว่าในเรื่องเราจะต้องขี้ช้างตลอด ผมก็ตอบว่า “ไม่เหนื่อยพระเจ้าข้า” (หัวเราะ) ตามจริงต้องพระพุทธเจ้าข้า แต่เรารีบตอบ แล้วท่านก็เสด็จไปที่คุณวิจิตร คุณาวุฒิ และชมว่า “หนังดีนะ เพลงดี วิวดีคงทำเงินนะ” ซึ่งปรากฏว่ารายได้ตอนนั้น 3 ล้านบาทในสมัยนั้นถือว่าสูงมาก

ครั้งที่ 2 ผมได้รำถวายหน้าพระที่นั่ง ซึ่งเรียกว่า รำเหย่ย คือการรำเถิดเทิงแบบโบราณ ซึ่งตอนนั้นรู้สึกว่าเป็นสมาคมผู้สื่อข่าวบันเทิงจัด แล้วก็หาเงินให้กับทหารชายแดน พระองค์ก็ทอดพระเนตรมีนักแสดงหลายคนมากที่รำในวันนั้น และได้รับพระราชทานของที่ระลึกจากพระหัตถ์ของพระองค์ท่าน

ครั้งที่ 3 คือรับพระราชทานรางวัลพระสุรัสวดีหรือ ตุ๊กตาทอง เมื่อปี 2517 จากภาพยนตร์เรื่อง “ไม่มีสวรรค์สำหรับคุณ” ตุ๊กตาทองถือเป็นความสูงสุดเต็มเปี่ยมของนักแสดงสมัยนั้นแล้ว เพราะว่าสมัยก่อนไม่มีโรงเรียนไม่มีแอ๊กติ้งโค้ช การแสดงของเราเกิดจากตัวเราเองเหมือนพรสวรรค์ และพรแสวงที่ประกอบกัน ภาพตอนที่เข้ารับพระราชทานรางวัลหายไปแล้ว ผมรู้สึกเสียดายมาก

น้อมนำพระราชดำรัสของพระองค์ท่านมาปฏิบัติ

ผมทำงานรับราชการไปตามขั้นตอน จนกระทั่งได้เลื่อนขั้นเป็นนายอำเภอพระยืน จังหวัดขอนแก่น เมื่อปี 2529 บางคนบอกว่าข้าราชการเป็นผู้รับใช้ประชาชน แต่จริงๆ ข้าราชการ มาจากคำว่า ข้ารัชกาล กล่าวคือข้ารับใช้ในหลวง ซึ่งเป็นผู้บริการบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชนแทนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งพระราชดำรัสและพระราชดำริของพระองค์ท่านมีมากมาย ซึ่งผมก็ได้น้อมนำสิ่งเหล่านั้นมาปรับใช้ อย่างภาคอีสานชาวบ้านก็มาร้องเรียนว่าน้ำแล้ง เราก็ต้องคิดหาวิธีช่วยเหลือชาวบ้าน ซึ่งผมจำได้ว่าพระองค์ท่านทรงคิดแยกที่ดินแปลงหนึ่งทำเกษตร คือมีปลูกข้าว ทำบ่อน้ำ ปลูกบ้านทำผักสวนครัว ซึ่งการที่ท่านแยก ก็คือไร่นาสวนผสม สรุปคือท่านจัดโซนนิ่งให้มันเป็นระบบ เราก็นำมาปรับใช้กับชาวบ้านที่ทอผ้าไหม เลี้ยงไหมปลูกหม่อน

ต่อมาผมได้ย้ายไปที่อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่พระองค์ท่านเสด็จฯ เหล่านายอำเภอก็มาถวายพานพุ่มรวมทั้งทรัพยากรที่มีในท้องถิ่น เหล่าข้าราชการประชาชนก็มีฟ้อนรำถวาย ภรรยาผม (นิตยา คชหิรัญ) ก็ฟ้อนด้วย พอถึงคิวนายอำเภอเดิน ซึ่งเชียงใหม่มี 10 กว่าอำเภอ พอถึงอำเภอพร้าว นาท ภูวนัย ประชาชนลุกฮือกันเลย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ทรงยกกล้องขึ้นมาถ่าย เราก็นั่งลงถวายบังคม พระราชินีทรงตรัสถามว่าเราคือใคร นางสนองพระโอษฐ์ก็ตอบว่า นาท ภูวนัย เพคะ เท่านั้นเองพระองค์ท่านก็ทรงพระสรวล (ความรู้สึกตอนนั้น ?) อย่าลืมว่านักแสดงเราเขินไม่เป็นหรอก เราเคยที่อยู่ๆไปวิ่งร้องไห้ในตลาดมาแล้ว ถ้าเรียกศัพท์เราก็คือหน้าด้านแล้ว แต่มีอย่างเดียวคือ ประหม่าต่อหน้าพระพักตร์ แต่ด้วยว่าผมเคยพบพระองค์ท่านมาบ่อยครั้ง ก็เลยทำให้ลดความประหม่าลงไปเยอะ หลังจากนั้นผมไปเป็นนายอำเภอบางเลน และเป็นนายอำเภอบางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา ท่านเสด็จฯไปที่วัดหลวงพ่อโสธร เราก็ได้ไปเฝ้าฯรับเสด็จด้วย แต่ว่าอยู่ไกลๆ ภรรยาผมได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯถวายขนมเปี๊ยะ ซึ่งเป็นขนมเปี๊ยะที่ใหญ่ที่สุดในโลกให้กับพระองค์ท่าน

ได้ถวายงานจนถึงวาระเกษียณราชการ

คือครั้งแรกที่รับราชการเป็นปลัด 4 เดือน ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯพระองค์ท่าน นั่นคือเป็นข้าราชการครั้งแรก แล้วพอจะเกษียณได้ไปอยู่ประจวบฯ โดยเป็นรองผู้ว่าฯ ซึ่งก็ไม่ได้คิดว่าจะอยู่ที่นี่จนเกษียณ ก็ได้รับใช้พระองค์ท่าน โดยเป็นรองผู้ว่าฯที่ดูแลเขตหัวหิน ปราณบุรี กุยบุรี สามร้อยยอดและมีหน้าที่ดูแลศูนย์เฝ้าฯรับเสด็จ เหมือนเป็นศูนย์บัญชาการ เป็นรองผู้ว่าฯประจำฝ่ายวังไกลกังวล หนึ่งคือเข้าเฝ้าฯถวายงานพระองค์ท่าน เดือนหนึ่งต้องแบ่งกันคนละอาทิตย์ จันทร์ถึงศุกร์จะเข้าเวร พอ 3 โมงเย็นต้องลงศาลากลาง แล้วเปลี่ยนเครื่องแบบ 4 โมงขึ้นรถ 5 โมงถึงวัง เข้าไปเซ็นชื่อรายงานตัวนั่งรอจนกระทั่งพระองค์ท่านเสด็จลง บางวันพระองค์ท่านก็เสด็จฯรอบวังไกลกังวล บางวันก็เสด็จกายภาพ เราก็ยืนถวายงาน ซึ่งจะมี 4 คน คือ ผู้ว่าฯ ศาล ทหาร ตำรวจ และผู้รอเฝ้าฯรับเสด็จซึ่งเป็นข้าราชการต่างๆ อีกมากมาย ท่านทรงสนพระทัยสิ่งรอบตัวนะ อย่างตอนที่มีไข้หวัดนกระบาดเขาก็จับไก่จับนกออกไปหมด ท่านทรงมีรับสั่งว่านกไก่หายไปไหนหมด และวันหนึ่งเราเห็นท่านกำลังทรงกล้องถ่ายเราก็เลยถามข้าราชบริพารว่าท่านทรงถ่ายอะไร ปรากฏว่าท่านทรงถ่ายรูปตุ๊กแก เพราะพระองค์ท่านเคยได้ยินเสียงตุ๊กแกที่วังตั้งแต่เด็ก แต่อยู่ๆกลับไม่ได้ยินเสียงมันร้อง คือพระองค์ท่านรักษาความเป็นธรรมชาติระบบนิเวศน์ และเหมือนว่าพระองค์ท่านสอนเราให้รักษาอะไรเดิมๆ เอาไว้ จารีตประเพณีให้ไว้เหมือนเดิม

พระราชกระแสรับสั่งเมื่อครั้งเข้าเฝ้าฯถวายงาน

มีหลายครั้งที่พระองค์ท่านทรงสร้างรอยยิ้มให้กับข้าราชบริพาร มีครั้งนึงผมกับผู้ว่าฯประสงค์ พิทูรกิจจา ยืนอยู่ที่ท้ายรถพระที่นั่งทะเบียน 9119 ผู้ว่าฯประสงค์ก็บอกว่า 91 19 มันออกนี่นางวดนี้ แล้วท่านเสด็จฯจากไหนมาไม่ทราบ ท่านมายืนแล้วรับสั่งถามว่า “ซื้อหรือเปล่า” ผู้ว่าฯประสงค์ก็ตอบว่า ไม่ทันซื้อพระพุทธเจ้าข้า ท่านก็ตรัสว่า “แล้วมันจะได้ตังค์ยังไง” เรานึกในใจว่าท่านรู้ได้อย่างไรว่าเรามอง เราพูดอะไรกันอยู่ และมีอีกเรื่องหนึ่งคือ คุณข้าวโพดเทียนสุนัขทรงเลี้ยงหนีจากวังไป 2 วัน ตอนนั้นท่านเสด็จฯมากรุงเทพฯ เราก็ตามหากันวุ่นเลย สองร้อยกว่าคน ตำรวจ ทหาร อส. แต่ไม่เจอ ปรากฏว่าชาวบ้านจับไว้ แล้วโทรศัพท์มาบอกก็ไปรับกลับเข้ามา ต่อมาอีกวันหนึ่งพระองค์ท่านก็จะเสด็จฯเข้ากรุงเทพฯ คุณข้าวโพดเทียนก็มาส่งเสด็จด้วยเราก็ยืนอยู่เหมือนท่านรู้ ท่านทรงพระดำเนินตรงมาที่เราเลยนะ แล้วตรัสว่า “เนี่ย เขาออกไปนอกวังมา 2 วัน เขาไปหาประสบการณ์” เราก็นึก เอ๊ะ ท่านพูดแสดงว่าท่านทรงรู้และท่านผู้หญิงเกนหลงเคยเล่าว่าเวลาทรงพระดำเนินไปนู่นไปนี่ ท่านจะมีเรื่องคิดตลอด พอมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นท่านก็จะคิดแล้วว่าท่านจะต้องลงไปดูด้วยพระองค์เองไหม แต่ท่านก็ทันโลกนะ อย่างเช่นวันพุธท่านจะทอดพระเนตรฟอร์มูล่าวัน ท่านโปรดชูมัคเกอร์ นักแข่ง ท่านจะทอดพระเนตรตลอด

เรื่องเล่าจากโต๊ะเสวย

ความปลาบปลื้มอีกเรื่องหนึ่ง คือนอกจากเฝ้าฯรับเสด็จแล้ว ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ผมยังมีโอกาสได้ร่วมโต๊ะเสวยกับสมเด็จพระบรมราชินีนาถ บางครั้งก็ได้ร่วมโต๊ะกับพระบรมวงศานุวงศ์ แต่กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะมีเพียงท่านเจ้าเมืองเท่านั้นที่มีโอกาส ทุกครั้งก็จะเห็นแต่แววพระเนตรที่มีแต่ความเมตตา อาหารที่ทรงเลี้ยงดูเหล่าข้าราชการที่เข้าเฝ้าฯในตอนเย็น ณ พระราชวังไกลกังวล ก็จะมี 2 ชนิดคือไทยกับต่างประเทศ ใครใคร่ทานสิ่งใดก็ตามชอบ ผมได้สอบถามที่ห้องเครื่องว่าพระองค์ท่านเสวยอะไร ก็ได้รับคำตอบมาว่าเรากินแบบไหนพระองค์ท่านก็เสวยแบบนั้น ท่านไม่ได้เสวยอะไรที่พิเศษแปลกไปจากเราเลยจริงๆ แต่พวกที่ชอบมโนพูดมาก ไม่รู้จักพระองค์ท่านจริงๆ พูดเลอะเทอะเนี่ย ไม่รู้อย่าพูดดีกว่า เราไม่อยากพูดอะไรมาก ไม่ใช่ว่าเราอยู่ใกล้ชิดพระองค์ท่านแล้วเป็นแบบนี้นะแต่เพราะเราเห็นพระองค์ท่านเป็นแบบนี้จริงๆ ท่านทรงงานตั้งแต่ผมอายุได้ 7 วัน เกิดมาชีวิตเราก็เห็นพระองค์ท่านทรงงานตลอด แต่คนที่ไม่เข้าใจในพระองค์ท่านก็จะมโนภาพไปต่างๆ นานา ทำว่าเป็นผู้รู้ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่เคยพบเหตุการณ์อย่างผมเลย พวกคุณทำอะไรกันบ้างในแต่ละวัน

สืบสานตระกูลข้าราชการ

ที่ผมมาเป็นข้าราชการ อาจจะเป็นเหมือนการสืบทอดต่อกันมาด้วย เพราะว่าผมเห็นมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก ปู่ย่าตาทวดเป็นข้าราชการกันหมด เราก็คิดว่าอาชีพนี้คงจะเป็นอาชีพของเราแหละ อีกอย่างเรารักที่จะเป็นข้าราชการอยู่แล้ว แต่ตอนเด็กๆ อยากเป็นทหารมาก โดยเฉพาะทหารเรือพอดีว่าได้ดูหนังเรื่องทหารเสือกรมหลวงชุมพร แล้วชอบ เลยเป็นแรงบันดาลใจที่อยากจะเป็นทหารเรือ แต่ตอนมาสอบเกิดฝีขึ้นในหู สอบพละไม่ได้ เลยไม่ได้เป็น แต่ก็ยังไม่หมดหวังพ่อก็บอกว่าเป็นตำรวจก็แล้วกัน แต่พอดูแล้วคงจะต้องเปลี่ยนใจแล้วล่ะ เพราะว่าเราเป็นคนที่ตรงเกินไป ยอมหักไม่ยอมงอ คุณพ่อก็เลยบอกว่าต้องเป็นฝ่ายปกครอง ซึ่งอ่อนหน่อย ก็เลยให้เราเลือกเรียนฝ่ายปกครอง ส่งให้ไปเรียนปริญญาตรีที่ฟิลิปปินส์และต่อโทที่อเมริกา

ยังคงมุ่งมั่นที่จะรับราชการ

ตั้งใจที่อยากจะรับใช้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอยู่แล้ว คือเป็นอะไรก็ได้ ทหาร ตำรวจ คือเราเป็นข้ารัชกาลส่วนนักแสดงพอได้เป็นนายอำเภอก็เลิกแสดงเลย เพราะหน้าที่ผมต้องไปแสดงที่อำเภอ ไม่ได้มาแสดงที่หน้าจอหนังแล้ว ตอนนั้นอายุประมาณสามสิบกว่า ซึ่งก็กำลังดังพอสมควร ออกซะก่อนที่จะตก นอกจากนี้ผมก็ยังมีโอกาสได้มาแสดงภาพยนตร์เรื่องสุริโยไท ที่เป็นความภาคภูมิใจ เพราะว่าก่อนที่จะได้เล่น ท่านมุ้ย (หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิมยุคล) ต้องเสนอชื่อเข้าไปให้สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ดูว่าใครจะได้เล่นเป็นพ่อของพระสุริโยไท ตอนนั้นท่านมุ้ยหาคนเล่นไม่ได้ จนกระทั่ง เอก-สรพงศ์ บอกว่าท่านมุ้ยอยากพบผม อยากให้มาเล่นเป็นพ่อของพระสุริโยไท ผมก็ตอบตกลงเล่นเลย ท่านมุ้ยก็ทำหนังสือขอกรม ซึ่งตอนนั้นเราเป็นนายอำเภออยู่ที่ชัยภูมิ คืออะไรที่เกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ เราก็ยินดีที่จะถวายการรับใช้

พระราชดำรัสที่น้อมนำมาใช้ในชีวิต

ผมถ่ายทอดอยู่เรื่อยๆ นะ แล้วคือเด็กๆ สมัยนี้เขาก็ติดตามพระราชกรณียกิจ ฟังโอวาทของพระองค์ท่าน เราก็ได้บอกลูกๆ ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านทรงตรากตรำพระวรกาย เดินลุยโคลนอะไรต่างๆ นั่งลงกับพื้น ท่านทรงเป็นกษัตริย์ที่ติดดิน ลูกๆ ผมเขาเป็นลูกปลัด เป็นลูกนายอำเภอที่ติดดิน ดังนั้นพอเราแนะนิดนึงเขาก็เข้าใจ และเขาเห็นเราทำงานตลอด

ในวันที่ไม่ได้ถวายงานรับใช้พระองค์ท่านแล้ว

สิ่งไหนที่ทำได้ก็จะทำ คือพระองค์ท่านตรัสว่าให้ทำดี เราก็ทำไป อย่างเช่นถ้าเรามีเวลาว่างแล้วเรามีโอกาสไปเจอใครเราก็แนะนำไป อย่างเราอยู่ในวงราชการมีพี่ๆ น้องๆถามเราก็แนะนำกันไป แล้วพอไปเจอชาวบ้านชาวช่องก็นึกเอาพระราชดำริของพระองค์ท่านไปบอกต่อ ประการที่สำคัญ คือเราทำทุกอย่างด้วยความดีก็แล้วกัน เหมือนที่ถวายพระองค์ท่านทุกวัน ถึงแม้ว่าเราไม่ได้ทำดีมาก แต่ก็อย่าทำเลวก็แล้วกัน แค่นี้ถือเป็นการตอบแทนพระองค์ท่านแล้ว

สิ่งที่อยากบอกกับพี่น้องชาวไทย

ถ้าจะบอกมีหลายคำพูดนะ คือพี่น้องเราเป็นผู้ที่โชคดีที่สุดแล้วที่ได้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้คุณก็คิดเองแล้วกัน สิ่งที่คุณเห็นที่พระองค์ท่านทำ ดีขนาดไหนพระองค์ท่านไม่เคยถือพระองค์ พระองค์ท่านไม่เคยทำให้คนอื่นช้ำใจ พระองค์ท่านไม่เคยแกล้งใคร คนจะตายจะติดคุกถูกแขวนคอ ท่านยังให้อภัยโทษเลย ท่านไม่ได้ทำให้เราเจ็บแค้นเลยนะ ดังนั้นคนที่เลวก็ช่างมัน แต่คนที่ยังดีอยู่จงนึกเถอะว่าไม่มีใครโชคดีเท่าประเทศเราหรอก เราเคยได้ยินเสมอที่พูดถึงพระราชดำรัสของพระองค์ท่าน เราไม่เคยได้ยินว่าให้ทุกคนรักพระองค์ท่าน แต่ท่านตรัสว่าให้ทุกคนรักกัน

ธ สถิตในดวงใจนิรันดร์

ในปีพ.ศ. 2511 พระองค์ท่านเสด็จรับช้างเผือกพระเศวตสุรคชาธาร ที่ทางจังหวัดยะลาน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวาย คุณพ่อคุณแม่ผมก็ได้ร่วมถวายด้วย พระองค์ท่านก็ได้มอบ “พระสมเด็จกำลังแผ่นดิน” หรือเราเรียกกันสั้นๆ ว่า “สมเด็จจิตรลดา” ให้คุณพ่อกับคุณแม่ผมและตกทอดมาถึงผม ซึ่งมีแค่สองพันกว่าองค์ สำหรับผมสิ่งนี้เหมือนเป็นตัวแทนในหลวง เสมือนว่าพระองค์ท่านอยู่กับเราเสมอ และจะมีเงินที่พกไว้ในกระเป๋าเสื้อด้านซ้ายท่านอยู่ที่ใจเราเสมอ พระอยู่กลางหว่างอก ผมเคยถามคนในวังว่ารักในหลวงแค่ไหน ก็ตอบกันว่าสุดชีวิต ข้าราชการเราเนี่ยตายแทนได้เลย แล้วกระเป๋าตังค์อยู่ไหน เขาก็ควักออกมา แต่สำหรับผมแล้วตลอดชีวิตผมไม่เคยพกกระเป๋าตังค์แต่รูปในหลวงอยู่ที่หัวใจผม (ตาแดงก่ำน้ำตาซึม) พับแบงค์ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อตลอด แล้วเราก็ไม่เคยนำแบงค์ใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง อยู่อย่างนี้ตั้งแต่เป็นหนุ่ม เสื้อทุกตัวจะมีกระเป๋าเสื้อ แล้วพอเราเก็บไว้แบบนี้เหมือนว่าเป็นเอทีเอ็มของลูกๆ ใครอยากจะหยิบขอซื้ออะไรก็ง่าย

ห้วงเวลาดุจฟ้าฟาดลงกลางใจ

พอได้รับโทรศัพท์ ทุกอย่างเงียบหมด ใจเราหวิว วันนั้นผมทำยาอยู่ คือเขาบอกว่าให้นึ่งมังคุด 20 นาทีแล้วมากินวันละลูก จะหายเจ็บเข่า เราก็นึ่งมังคุดไว้ พอเดินมาเจอภรรยานั่งร้องไห้ และก็ได้ทราบจากภรรยาอีกที แต่ผมตอนนั้นร้องไม่ออก ไม่มีน้ำตาเลย แต่อยู่ๆ ก็เดินไปกวาดหน้าบ้าน ไปเช็ดรถ สมองทำอะไรไม่ถูก นั่งดูนู่นดูนี่ แล้วสักพักภรรยาก็ถามว่าต้มอะไรไว้ในครัว ซึ้งไหม้หมดแล้ว (น้ำตาคลอเสียงสั่นเครือ) ทั้งที่เราเคยผ่านเหตุการณ์ตื่นเต้นมาเยอะแต่สิ่งนี้ เราไม่เคยเจอ ตอนที่พ่อผมเสีย ผมกำลังแสดงละคร เขาโทรศัพท์มาบอก เรายืนนิ่งพักนึง แล้วไปแสดงต่อจนจบ พอจบแล้วร้องไห้ ตอนแม่ผมเสีย ก็เป็นนายอำเภออยู่พระยืน ก็ช็อกนิดนึง ยืนร้องไห้แล้วก็หยุด ขับรถมากรุงเทพเลย แต่ไม่เคยมึนตื้อ สำหรับครั้งนี้คือไปเลยไม่เคยเป็น ตอนแรกก็คิดว่าเพราะเราแกหรือเปล่า แต่ว่าทำไมเราจำเรื่องราวได้ล่ะ หรือจะเป็นเพราะว่าเราใกล้ชิดพระองค์ท่าน ก่อนเกษียณ จนกระทั่งเกษียณ นั่นคือความช็อกที่สุดครับ

กุหลาบสีเงิน

Star Retro : ชีวิตผลิกผันจากช่างกล สู่นักร้องชื่อดัง ‘โอ ชัยรัตน์ เทียบเทียม’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/239164

วันอาทิตย์ ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

แม้เวลาจะผ่านมาเกือบ 40 ปี แล้วแต่เชื่อว่าหลายคนคงจำเพลงดังอย่าง สุขาอยู่หนใด, เธอที่รักชูวับ ชูวับ กับเสียงร้องของผู้ชายคนนี้ได้เป็นอย่างดีโอ-ชัยรัตน์ เทียบเทียม นักร้องหนุ่มหล่อเสียงดีผู้มีเอกลักษณ์กับกีตาร์โปร่งคู่ใจ เรียกว่าน้อยคนนักจะรู้เรื่องราวชีวิตของโอ เพราะที่ผ่านมาโอไม่ค่อยเปิดเผยชีวิตต่อสาธารณะเท่าไหร่ ฉะนั้นวันนี้ สตาร์เรโทร มีโอกาสเจอตัวจึงขออัพเดทชีวิตทั้งอดีตและปัจจุบัน รวมไปถึงโปรเจกท์์ใหม่ของเขามาให้แฟนเพลงได้หายคิดถึงกัน รับรองมีเซอร์ไพรส์หลายเรื่อง!!

จุดเริ่มต้นในวงการบันเทิงยุคแรกๆ

ผมเป็นนักเรียนช่างกล จบช่างยนต์มา กะว่าจะไปทำงานเกี่ยวกับช่างยนต์ แต่ไปๆ มาๆ เพื่อนก็ชวนไปร้องเพลง เพราะบังเอิญว่าผมเล่นกีตาร์ได้ด้วย เลยไปร้องเพลง แล้วเผอิญคุณเอ๋-ไพโรจน์ สังวริบุตร ซึ่งเขาได้มาเล่นภาพยนตร์กับพี่เปี๊ยก โปสเตอร์ เรื่องวัยอลวน เลยดึงผมไปร้องเพลงในภาพยนตร์ ผมก็ไปทำเพลงให้เขา ร้องเพลงให้เขา ไม่ได้คิดว่าเพลงจะโด่งดังอะไร ทำเล่นๆ เพลงนั้นคือ สุขาอยู่หนใด และ เพลง น่ารัก ปรากฏว่าหนังดัง เพลงดัง ก็เลยทำภาค 2 เรื่อง รักอุตลุด ก็เขียนเพลงให้เขาสามเพลง ชูวับๆ แล้วก็เพลง รักน้อรักไม่จริง แล้วก็ทำเพลง ระทมรัก ปรากฏว่าดังเปรี้ยงทั้ง 3 เพลงเลยกลายเป็นนักร้องไม่รู้ตัว ชีวิตเราเปลี่ยนไปเลยคราวนี้จากการที่ตั้งใจจะเป็นช่าง กลายเป็นนักร้อง (หัวเราะ)ก็เลยมาสายดนตรียาวเลย ทำอัลบั้ม ร้องเพลงมาเรื่อยๆ

อัลบั้มแรกในชีวิต

ชื่อว่าชุด ยับ (ยับในทรวงเขาลวงอก) เพลงแจ้งเกิดก็เป็นเพลงจากภาพยนตร์ซึ่งเขาเอาไปรวมเป็นอัลบั้มเพลงจากภาพยนตร์ อย่างเช่น เพลงสุขาอยู่หนใดเธอที่รัก ชูวับๆ เพลงยักษ์ ก็เป็นเพลงที่ทุกคนรู้จักหมดในตอนนั้น และดังมาก อัลบั้มต่างๆ ก็มีทั้งรวมเพลงภาพยนตร์ ละคร แล้วก็มีอัลบั้มชุดชัยรัตน์ 80 แล้วก็ชุด มหา’ลัยเดียวกัน มีออกมาประมาณ 10 ชุด เล่นดนตรีไปเรื่อยๆ อยู่ในวงการเพลงมาเกือบ 30 ปี เริ่มรู้สึกเบื่อเลยไปทำงาน ขายบ้าน ขายที่ดิน อสังหาริมทรัพย์เปิดบริษัทขึ้นมา ล้มลุกคลุกคลานอยู่ประมาณ 3-4 ปี ได้กำไรบ้าง ขาดทุน เจ๊งบ้าง ก็ถือว่าเราได้ประสบการณ์ พอเรารู้แล้วว่าจะต้องทำยังไงแบบไหนก็เลยมาจับธุรกิจเปิดพื้นที่ให้เช่า ตอนแรกไปขายของท้ายรถก่อน เพื่อเก็บความรู้ทดลองแนวทาง ซึ่งก็เห็นผลและทำให้เราคิดว่าจะต้องทำยังไงต่อไป เพื่อขยาย ได้ไอเดียตอนไปทำกับซีคอนสแควร์ (อาชีพหลักในปัจจุบัน?) ทำอพาร์ตเม้นท์ให้เช่าครับ คือก็เหมือนเราซื้อมาขายไป ตอนนี้กำลังทำกันอยู่ เพิ่งขายที่หลักสี่ไป แล้วไปซื้อที่ปากน้ำมีประมาณไม่ถึง 100 ห้อง คือผมเป็นคนเมเนจฯเป็นธุรกิจครอบครัว มีลูกน้องดูแลครับ

ช่วงชีวิตที่ดังเปรี้ยงสุดๆ

ปีพ.ศ.2520 เพราะภาพยนตร์ฉายปี พ.ศ. 2519 พอปี พ.ศ.2520 ก็เลยเป็นปีของเรา ดังที่สุดเลย ในประเทศไม่มีใครไม่รู้จักเพลงสุขาอยู่หนใด เพราะว่าภาพยนตร์ฉายทั่วประเทศ วิทยุก็เปิดโดยที่ไม่ต้องเสียเงิน เขาเอาแผ่นไปเปิดทั่วประเทศและเปิดเป็นเดือนๆ ช่วงนั้นออกทีวีถี่มาก อาทิตย์ละครั้งสองครั้ง พอวัยอลวนจบ ก็ทำ รักอุตลุด ขึ้นมา เรื่องนี้ยิ่งดังเปรี้ยงขึ้นไปอีก ออกทีวีถี่มาก คนก็จำได้ว่านี่คือ ชัยรัตน์ เทียบเทียมพีคสุดช่วงนั้นครับ

ดังปุ๊บชีวิตเปลี่ยน

จากที่ไปไหนไม่มีใครรู้จักคนก็รู้จักมากขึ้น คนให้เกียรติเรามากขึ้นเพราะเราก็เป็นศิลปินที่ดัง คือตอนนั้นโอ้โหได้ไปทั่วประเทศเลย ได้ไปเที่ยว ร้องเพลงสนุกสนานมาก เจอแฟนเพลงตลอดเวลา ถือเป็นกำไรชีวิตมากๆได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดก็จะมีความสุขมากเลยนะ ผมไปทั่วทุกจังหวัด สนุกมาก คนอื่นอาจจะทำไม่ได้แบบเรายกตัวอย่างนักร้องสมัยนี้ก็ไม่สามารถที่จะมานั่งร้องเพลงให้คุณฟังในทุกๆ วันได้เพราะเวลาที่เขาดังแล้ว ก็จะมีเฉพาะเวลาที่เป็นโชว์พิเศษ เป็นคอนเสิร์ต อาจจะเดือนละครั้ง สองเดือนครั้ง ไม่โชว์บ่อย แต่สมัยก่อนเราไปทุกอาทิตย์ ทุกเดือน ตะลอนๆ

เริ่มเล่นหนัง เล่นละคร

ละครเรื่องแรกที่เล่น เล่นกับทางช่อง 3 เรื่อง ดงมนุษย์ ทองประกายแสด คลื่นเสน่หา คนเริงเมือง แล้วก็ไปเล่นที่ช่อง 9 นิดหน่อยแล้วก็หยุดไป มีเล่นหนังเรื่อง นักรักรุ่นกระเตาะ เพลงรักเพื่อเธอ นางฟ้าท่าเรือ ซึ่งก็อาศัยว่าเราร้องเพลงได้ก็ร้องเพลงประกอบหนังไปด้วย เล่นหนังร้องเพลงอยู่ในวงการเกือบ 40 กว่าปี แต่พอหลังๆ เริ่มอยู่เบื้องหลัง เช่น เขียนเพลง แต่ไม่ค่อยร้องเพลง

มีเลือดศิลปินอยู่เต็มเปี่ยม

คุณแม่ผมเป็นนางละครเก่าครับ พอมีสายเลือดศิลปิน เราก็ชอบร้องเพลงสากล เพลงลูกทุ่ง เพลงลูกกรุง ฟังมาตั้งแต่เด็กๆ ก็จะฝังหูมาโดยตลอด แบบที่เราไม่ได้ซ้อม พอมาวันหนึ่งที่เราจะต้องมาร้องเพลงพวกนี้ก็เลยร้องได้เลย แม่ก็เป็นศิลปินอยู่แล้ว ส่วนคุณพ่อเป็นทหารเรือ เอาจริงๆ นะเขาก็เหมือนหล่อหลอมให้เราอยู่ในแวดวงตรงนี้ แต่ในบ้านไม่ค่อยมีใครฟังเพลงนะนอกจากผมคนเดียว ผมมีพี่น้อง 4 คน ผมเป็นคนโตมีน้องชาย 1 คน และน้องสาวอีก 2 คน และน้องสาวคนที่สามเป็นคนที่ร้องเพลง รักหนอรัก (สภาภรณ์เทียบเทียม) ในภาพยนตร์เรื่อง รักอุตลุด

ขึ้นเวทีคอนเสิร์ตล่าสุด

เป็นคอนเสิร์ตของมูลนิธิของฟ้าหญิงอุบลรัตน์ คอนเสิร์ตการกุศล ผมก็จะเป็นเจ้าประจำแหละ คือเวลามีคอนเสิร์ตอะไรแบบนี้ผู้ใหญ่ก็จะเรียกเรา เพราะว่าโชคดีอีกอย่างคือ ผมร้องเพลงลูกกรุงเป็น ซึ่งจริงๆ ผมร้องเพลงเป็นทุกแนวนะ ลูกทุ่ง สตริง สากล ตอนเด็กๆ ร้องเพลงสากลนั่นคือจุดเริ่มต้น ผมร้องเพลงสากลมาก่อน เพลงเดอะ บีทเทิลส์, เอลวิส เพรสลีย์ แล้วก็ร้องมาตั้งแต่ยุคซิกตี้เลย เราก็โตขึ้นมาพร้อมกับแวดวงตรงนี้ มีเพื่อนไปร้องเพลงก็ขึ้นไปร้องแจมกับเขา เพลงยุคซิกตี้ ก็เลยชอบ แล้วตอนหลังมาร้องเพลงไทยซึ่งไม่เคยคิดเลยว่าจะมาร้องเพลงไทย เพราะก่อนที่จะมาร้องเพลงในวัยอลวนก็ยังร้องเพลงสากลมาตลอด เล่นในผับ บาร์ ร้องสากลตลอด

ตัดสินใจเลิกร้องเพลงประจำ

ประมาณ 10 กว่าปีแล้วครับ คือไม่ร้องประจำเลย เมื่อก่อนจะมีร้องตามคาเฟ่ ผับ โรงแรมต่างๆก็จะร้องตลอด ตอนหลังมาคิดได้ว่าเออถ้าเราจะมาร้องแบบนี้ตลอดไปไม่ได้แล้วล่ะ คลื่นลูกเก่ากำลังโรยราไป คลื่นลูกใหม่กำลังมา จะเห็นว่ามีนักดนตรีวัยรุ่นเยอะแยะเต็มไปหมดเลยที่ขึ้นมา ก็เลยถอยและคิดว่าเราไปทำธุรกิจอย่างอื่นดีกว่า ซึ่งจริงๆ ผมทำธุรกิจมาตลอดนะในช่วงเวลาที่ผ่านมา 20-30 ปี ก็ล้มลุกคลุกคลานมาตลอดในวงการอสังหาริมทรัพย์ ขายพื้นที่ให้เช่าทำมาประมาณ 10 กว่าปี คือตอนนั้นก็ทำควบคู่กันไปกับการร้องเพลงทำเพลง แต่เราไม่ได้คิดว่าจะขายเป็นล่ำเป็นสัน แต่ก็จะทำอะไรที่เกี่ยวกับการซื้อ-ขายแบบนี้ตลอดเวลา ผมทำมาตั้งแต่คลองถมซีคอนฯ สมัยก่อนโน้น10 กว่าปีที่แล้ว มาทำที่พาราไดร์ เสรีเซ็นเตอร์เก่ามีที่มาบุญครองด้วยซึ่งก็ทำมาประมาณ 10 กว่าปีเพิ่งเลิกไปเมื่อสองปีกว่านี่เอง ส่วนตอนนี้ทำที่เมกบางนาทำเล็กๆ ครับ พื้นที่ให้เช่า สินค้าก็จะเป็นไทยๆ ทำเล่นๆ ไม่ได้ซีเรียสอะไร

ล้มลุกคลุกคลาน ธุรกิจเจ๊ง

เมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้วผมมีชีวิตที่ตกต่ำคือหมายความว่าเราทำบริษัทตอนนั้นเลิกร้องเพลงพอเลิกก็ทำบริษัทอสังหาริมทรัพย์ปรากฏว่าเจ๊ง ทำไปกี่บริษัทก็เจ๊งหมด เหมือนกับว่าเป็นช่วงดาวน์ของเราจริงๆ นะ เพราะเราก็มีช่วงดังสูงสุดมาแล้ว ตอนมีชื่อเสียงแล้วหลังจากนั้นก็ค่อยๆ ต่ำลงมาเรื่อยๆผมคิดว่าชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน ก็ตกต่ำอยู่ช่วงหนึ่งเราก็ต้องทำใจ ตอนนั้นสารพัดทั้งค่าบ้าน ค่ารถ ค่าอะไรต่างๆ นานา ที่ต้องผ่อนเกิดวิกฤติ แต่เราก็มาฟื้นเพราะเราสู้ แฟนก็สู้ด้วย เราไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา มาฟื้นคืนชีพก็ตอนปีพ.ศ.2540 จากการทำพื้นที่ให้เช่า คือกลับกลายเป็นว่าช่วงที่เขาวิกฤติกัน เรามาโผล่ตรงนั้นพอดีเลยจำได้เลยช่วงนั้นเราสวนทางกับคนอื่น จนถึงตอนนี้ก็สบายแล้ว แต่พอเราย้อนคิดไปในอดีตก็ยังแปลกใจนะว่าเราผ่านช่วงนั้นมาได้ยังไง เอ๊ะเรามาถึงตรงนี้วันนี้ได้ยังไง (หัวเราะ) กว่าจะฟื้นตัวก็ต้องใช้เวลากว่า 10 ปีไม่ง่ายเหมือนกันครับ

ยาวิเศษยามเหนื่อยท้อเจอปัญหา

ผมเป็นคนชอบทำบุญ ชอบสวดมนต์ คือเราจะตกต่ำหรือดีอะไรก็ตามเราจะไม่ทิ้งตรงนี้ เราจะทำบุญมาตลอดตั้งแต่เราไม่มีอะไร มีน้อยทำน้อย แล้วก็สวดมนต์ตรงนั้นแหละที่ทำให้เรามีปัญญา เพราะเหมือนเวลาที่พอเราจะตกก็จะมีคนช้อนเราขึ้นมา ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีมากมาย แต่ก็ทำให้เรามีกำลังใจที่จะสู้ ยายผมเป็นคนที่ถือศีลมากๆ สวดมนต์ทุกวัน ไปวัดก็จะพาผมไปด้วย ก็จะซึมซับตรงนี้ พอโตพอเจอปัญหาหรือวิกฤติก็จะนั่งสวดมนต์ นั่งสมาธิ ถึงแม้จะไม่ได้มากมายอะไรก็แค่ขอให้ใจเรานิ่งสักแป๊บทำให้เรามีปัญญาให้เราสู้กับปัญหา

ครอบครัวสุดที่รัก

ผมมีความสุขที่ได้มีครอบครัวในแบบวันนี้เพราะทำให้เราอยู่ในกรอบของการได้ดูแลชีวิตและใช้ชีวิตได้อย่างประชาชนทั่วไป คือผมไม่ได้คิดว่าการที่ผมมีครอบครัวจะทำให้ผมต้องถูกลดทอนความสุขของชีวิตไป เวลาผมมีงานเขาก็ให้โอกาสผม ไปไหนก็ได้ เป็นครอบครัวที่เราเข้าใจกัน

ลูกชายเลือดศิลปิน

เรียกว่าเจริญรอยตามผมเลยครับ เป็นนักดนตรี จริงๆ แล้วเขาจบที่มหาวิทยาลัยมหิดล ด้านดนตรี คือตั้งแต่เขาเกิดมาก็จะเปิดเพลงให้เขาฟังตลอด เพลงแจ๊ส คลาสสิก ทุกแนว เลี้ยงเขาด้วยเพลงจริงๆ (หัวเราะ) เวลาขับรถไปส่งตอนเด็กๆ ก็เปิดเพลงให้ฟังเขาก็จะซึมซับไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่งเขาก็ชอบเพลงโดยที่เราไม่ต้องบอกว่าให้ชอบแนวนี้หรือแนวไหน เขาก็ชอบเข้าสายเลือดและเขาก็เลยมุ่งมั่นว่าอยากจะเล่นดนตรี ก็ให้เล่นและส่งเรียนเปียโนตั้งแต่อายุ 10 ขวบ หาครูเก่งๆ มาสอนทั้งครูไทยครูฝรั่ง พอเล่นได้ เขาก็ดีใจ จนปัจจุบันนี้เขายึดอาชีพนี้หากินเลย คือเล่น เปียโน เขาจะเล่นเดี่ยวคนเดียวที่โรงแรมพลาซ่า แอทธินี กรุงเทพฯ แล้วก็โรงแรมเชอราตัน สลับเปลี่ยนกันทุกวันให้แขกฝรั่งฟังเวลาเขาเล่นดนตรีได้แบบนี้คนเป็นพ่อก็มีความสุขมากๆ ครับ เห็นแล้วก็ดีใจด้วยที่เขามีความสุขกับการเล่นดนตรี แต่ไม่ค่อยได้ไปดูเขาเล่นนะเพราะเขาจะเขิน ก็เลยจะปล่อยให้เขาเล่นเป็นตัวของตัวเอง มีแอบไปดูบ้างเป็นครั้งคราว (หัวเราะ)

บั้นปลายชีวิต

ก็คงจะดำเนินชีวิตแบบนี้ไปเรื่อยๆ คือเราได้มีเพื่อนที่ดี มีครอบครัวที่ดี แล้วก็ไปเที่ยวตามต่างจังหวัดที่เราอยากไปแค่นั้นแหละ

บนถนนสายเสียงเพลงให้อะไรบ้าง

ประสบการณ์ชีวิต เพราะเป็นชีวิตจริงๆ ที่เราไปเจอมามีทั้งสุข สมหวัง ทุกข์ก็มี เหมือนกับละชีวิตทั่วๆ ไป แต่อันนี้คือประสบการณ์จริง ซึ่งทำให้เราได้รู้ว่าชีวิตของเราที่ผ่านมานะเป็นยังไง แต่ของผมถือว่าโชคดีมากที่เจอแต่คนดีๆ เจอเพื่อนที่เป็นกัลยาณมิตร แฟนเพลงที่น่ารัก ผิดหวังนี่แทบจะไม่มีเลย เพราะอีกอย่างหนึ่งเราเป็นคนที่แบบว่าอะไรก็ได้ ทนได้ทุกอย่าง สบายๆ ชิลล์ๆ เจอใครก็สนุกสนาน คิดบวก แล้วก็คิดว่าชีวิตนี้เราโชคดีนะที่เราได้เดินมาบนถนนสายบันเทิง เราได้ร้องเพลงให้คนฟัง แล้วคนฟังเขาก็มีความสุขกับเรา แค่นี้แหละเราพอใจแล้ว

หวนกลับมาจับงานเพลงอีกครั้ง

กำลังคิดว่าจะเอาเพลงเก่าๆ ที่เราคิดว่ายังไพเราะอยู่เอามาเปลี่ยนดนตรี แล้วก็มีเพลงใหม่เสริมเข้าไปบ้าง ซึ่งเป็นเพลงที่เราเขียนให้กับนักร้องคนอื่น เอากลับมาร้องเอง คือเหมือนจะทำเป็นรวมอัลบั้มพิเศษขึ้นมา ร้องคนเดียวและอาจจะมีเกสต์ที่เป็นเพื่อนๆ กันมาแจมบ้าง ก็ทำขึ้นเพื่อไม่ให้เหงา ทำให้กับแฟนๆ ที่คิดถึง ส่วนคอนเสิร์ตก็มีเรื่อยๆ ครับ แล้วแต่ใครจะเชิญไปร้องไปขึ้นเวทีอะไรต่างๆ นานา ไปได้หมดครับ ถ้าติดต่อเข้ามายินดีมากๆ ครับ ตามผับมีคนติดต่อให้ไปร้องประจำก็มีเยอะแยะเลย แต่ผมไม่รับ เพราะผมไม่ได้ต้องการว่าจะต้องไปร้องเพลงหาเงินแล้ว คือพูดง่ายๆ ว่าชีวิตเราก็ไม่ได้เดือดร้อน ถ้ามีคนชวนไปเล่นฟรีผมก็ไปนะ ขอให้มีใจอยาก แต่ตอนนี้ยังไม่มีใจอยากไง อยากทำอย่างอื่นก่อนตอนนี้ถามว่ามีไหมก็มีแต่ไม่มากมายอะไร เพราะเราก็เลยจุดอิ่มมาแล้ว

กิจกรรมยามว่างที่หลงใหล

ตีกอล์ฟ ครับ มีเพื่อนๆ ที่เป็นนักร้อง นักแต่งเพลงนักดนตรี เล่นกอล์ฟด้วย ก็ไปเล่นไปตีด้วยกันเหมือนเป็นอีกหนึ่งกีฬาทางเลือกให้เรามีกิจกรรมทำ เพลงก็ร้องบ้าง ไม่ร้องบ้าง

สุขภาพร่างกายในวัย 62

ตอนนี้รักษาสุขภาพอย่างสุดๆ ตื่นเช้ามาก็ดื่มน้ำผัก ผลไม้ปั่นทุกวัน เอ็กเซอร์ไซส์ ควบคุมเรื่องอาหารการกิน เราจะไม่กินอะไรที่ไม่มีประโยชน์กับร่างกายทานผัก ปลา เพื่อให้ร่างกายได้รับสิ่งดีๆ เข้าไป เพราะปกติก็เป็นคนที่ชอบออกกำลังกายอยู่แล้วถ้ามีเวลาโรคภัยไข้เจ็บก็มีแค่ไขมันในเส้นเลือดเป็นเพราะอาหารก็พยายามควบคุมอยู่

หลักในการดำเนินชีวิต

เราพยายามอย่าประมาท ผมกลัวที่สุดก็คือ กลัวความจน เพราะว่าเราเคยจนมาแล้ว เรากลัวว่าเราจะกลับไปเหมือนเดิม เพราะว่าเวลาที่เราได้เงินมาก็จะพยายามเก็บเป็นสัดส่วน เก็บ ช่วยเหลือสังคมทำบุญ คือทุกเดือนจะต้องไปทำบุญหนึ่งครั้งตรงป่อเต็กตึ๊ง บริจาคเงินซื้อข้าวสาร ซื้อโรงศพ ทำมาตั้งแต่ 30-40 ปีแล้วนะตั้งแต่ผมไม่มีอะไรเลยเพราะผมก็อยากช่วยเขา โอเคเรามีน้อยช่วยน้อย

คำแนะนำจากรุ่นพี่สู่รุ่นน้องศิลปินสมัยใหม่

อยากให้ทำตัวอย่าไปหวือหวามากนัก วงการนี้มาแล้วดับเร็วนะ ถ้าเราทำตัวดีอยู่ในศีลในธรรมอยู่ในกรอบที่ดีก็จะทำให้เราอยู่ได้นาน และอย่ามัวเมาในอบายมุขทั้งหลาย อันนี้สำคัญทั้งเรื่องยาเสพติดเรื่องผู้หญิง พยายามให้พอดีๆ อย่าไปล้ำเส้นใครเขาให้ดูรุ่นพี่ที่อยู่นานๆ อย่างผมก็จะดูรุ่นพี่ก็คือ พี่ต้อย- เศรษฐา ศิระฉายา คนนี้เขาเป็นไอดอลผมตั้งแต่ผมเป็นนักเรียนเลยนะ เขาทำตัวให้คนเคารพดีมาก มีโอกาสก็ช่วยเหลือน้องๆ ที่ตกต่ำ

ผลงานใหม่เร็วๆ นี้ได้ดูแน่นอน

เป็นรายการเกี่ยวกับการตีกอล์ฟ ชื่อว่า Hole In One ออนแอร์ประมาณเดือนตุลาคมนี้ ทางช่องอัมรินทร์ทีวี วันอาทิตย์ เวลาประมาณ 23.00 น.ทำร่วมกับน้องคนที่รู้จักในรายการเขาชวนไปทำ เราก็เป็นคนชอบตีกอล์ฟด้วยก็เลยตกลงทำ ด้านผลงานเพลงเดี๋ยวผมจะทำเพลงสักชุดหนึ่งออกมาเร็วๆ นี้แหละ กำลังรวบรวมเพลง พยายามทำอยู่นะครับ อาจจะมีทั้งเพลงเก่าและเพลงใหม่ผสมกัน ส่วนละครถ้ามีติดต่อให้ไปเล่นก็รับครับ เพราะคำว่าศิลปินในตัวเรานี่ทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว

อีกไม่นานเกินรอ เราคงได้ฟังเพลงเพราะๆ ที่หายากทั้งเพลงเก่าเพลงใหม่จากเสียงต้นฉบับจริงๆ กันแบบเต็มอิ่ม แต่ในระหว่างที่รอผลงานเพลง หันไปดูโอตีกอล์ฟทางช่องอัมรินทร์ทีวีกันไปพลางๆ นะจ๊ะแฟนจ๋า

ใบพร้าว

Star Retro : โชคสองชั้น ‘เด็บบี้’ ตั้งครรภ์ พร้อมแต่ง!?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/238047

วันอาทิตย์ ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

หลังจากที่นักร้องสาวขาแดนซ์ “เดบาร่าห์ ซี” หรือ เด็บบี้ บาซู ออกมาประกาศว่าจะควงแขนสามี “เดวิด สเตลี” เข้าสู่ประตูวิวาห์ในเดือนตุลาคมนี้ แต่จู่ๆ เด็บบี้ ก็ออกมาเซอร์ไพรส์แฟนๆ อีกครั้งโดยเผยว่ากำลังตั้งครรภ์ลูกสาวตัวน้อยได้ 3 เดือนแล้ว สตาร์เรโทรสัปดาห์นี้จึงขอนำทุกท่านร่วมย้อนวันวานความรัก และชีวิตของสาวเก่งคนนี้

“ตอนนี้ท้องได้ 3 เดือนแล้วค่ะ ได้ลูกสาว (ยิ้ม) ร่างกายแข็งแรงปลอดภัยดี ก็แอบเห่อเหมือนกันตั้งชื่อเล่นๆ ไว้บ้างแล้วแต่ว่ายังไม่ได้สรุป ส่วนงานแต่งที่วางแพลนไว้คงจะต้องเลื่อนไปก่อน เพราะว่าไม่อยากจะเครียดหรือว่ากังวลอะไร มันอาจจะมีผลกับลูก จริงๆ ไม่ได้ปิดบังอะไรนะคะ ตอนที่แถลงข่าวว่ากำลังจะแต่งงานนั้นคือยังไม่ทราบด้วยว่าท้องแล้ว เพราะตรวจมันก็ยังไม่ขึ้น ตอนที่ไปถ่ายภาพพรีเวดดิ้งก็ยังไม่รู้ หนูยังดื่มไวน์ กระโดดน้ำเล่นสนุกสนานอยู่เลย พอมาทราบก็ตกใจเหมือนกันกลัวว่าน้องจะเป็นอะไรหรือเปล่า พอผ่านช่วง 3 เดือนแรกมาได้ก็หายห่วงค่ะ สามารถออกกำลังกายหรือว่าเต้นได้ปกติ แต่อาจจะเต้นหนักไม่ได้เหมือนเมื่อก่อน เดวิดเขาก็ดีใจค่ะ ครอบครัวหนูก็ดีใจเห่อหลานเหมือนกัน”

สามีกับครอบครัวเรา

ครอบครัวหนูรักเอ็นดูเขานะคะ เวลาหนูไม่อยู่เขาก็สามารถอยู่กับครอบครัวเราได้ทั้งที่แอลเอและที่เมืองไทยกับคุณตา-คุณยายเรา เขาก็เข้ากับท่านได้ เขาเอาใจผู้ใหญ่เก่ง และคุณยายก็จะสอนเขาด้วย เขาดูแลหนูดีมากถึงขั้นว่าใส่รองเท้าถอดรองเท้าให้คอยพยุงตลอดเวลา ยิ่งพอรู้ว่าเรากำลังจะมีน้องนะคะ เขาก็ยิ่งเป็นห่วง เพราะว่าจริงๆ เราก็อยากจะมีมานานแล้ว พยายามมาประมาณ 8 เดือนแล้ว ด้วยอายุเราก็เยอะแล้วก็กลัวว่าจะมีลูกยาก พอมาติดก็รู้สึกดีใจและโชคดีที่ถ่ายละครใกล้ปิดกล้องแล้วไม่งั้นอาจจะลำบากค่ะ

เส้นทางความรัก

เจอกันตอนแรกหนูไม่ได้ชอบเขาเลยนะคะ เขาเป็นคนที่ตามจีบเราก่อนค่ะ และเขาเป็นเพื่อนของเพื่อนหนูอีกที เจอกันที่เมืองไทยนี่แหละค่ะ จริงๆ เราก็ไม่ได้มีสเปกว่าจะต้องเป็นฝรั่ง (หัวเราะ) แต่ว่าพอรู้จักกันไปเขาเป็นคนที่เข้าใจเราและเอาเราอยู่ (เขาทราบไหมว่าเราเป็นนักร้องดัง ?)แรกๆ ก็ไม่ทราบค่ะ แต่ว่าพอคบกันไปเป็นเพื่อนกันไป เพื่อนๆ เราก็จะมีบอกเขา พอเขาเห็นผลงานของเรา เขาก็ชอบดูค่ะ เขาสนับสนุนในศิลปะทุกอย่างของเรา เขาก็แอบตกใจบ้างเวลาที่เพื่อนๆ เปิดภาพคอนเสิร์ตเก่าๆ ให้ดูแล้วมีแฟนๆ กรี๊ดเราแบบนี้

ความรู้สึกที่มีผู้ชายมาคุกเข่าขอแต่งงาน

เราคบกันได้ประมาณปีกว่า ก็รู้สึกว่าคนนี้น่าจะใช่สำหรับเราแล้วล่ะ พอตกลงเป็นแฟนกันแล้ว งานเขาก็ต้องย้ายกลับไปที่แอลเอหนูก็เลยต้องไปกับเขาด้วย แต่ก็คือไปๆ กลับๆ เพราะว่าเรายังรับงานที่นี่อยู่ วันที่เขาขอแต่งงานเซอร์ไพรส์สุดๆ ค่ะ (ยิ้มตาวาว) เพราะเขาบอกว่าจะมาอีกอาทิตย์นึงแต่อยู่ๆ เขาก็มาก่อน แล้วเพื่อนเราก็เหมือนจะรู้เห็นเป็นใจกับเขาคือหลอกพาเราไปบนดาดฟ้าคอนโด แล้วเขาก็โผล่มาดีดกีตาร์ร้องเพลงและคุกเข่าขอเราแต่งงาน เป็นเมเม้นท์ที่ไม่เคยคิดมาก่อนหนูเป็นผู้หญิงที่ไม่ค่อยได้ซีเรียสกับเรื่องตรงนี้ ไม่เคยคิดว่าจะมีผู้ชายมาคุกเข่าขอแต่งงานแต่พอมีแล้วก็รู้สึกปลื้มค่ะที่เขาอุตส่าห์ตั้งใจทำเพื่อเรา

แพลนชีวิตหลังจากนี้

ก็ยังไม่ทิ้งวงการบันเทิงหรอกค่ะ จะยังคงบินกลับไปกลับมาระหว่างเมืองไทยกับอเมริกา จริงๆ หนูก็เป็นแบบนั้นอยู่แล้วนะคะ เพราะว่าคุณตาคุณยายก็อายุมากแล้ว หนูจะต้องกลับมาดูแลท่าน ถ้ามีงานตัวไหนที่เรารู้สึกว่ามันตรงกับตัวเราและในช่วงเวลานั้นเราพอที่จะไหวก็ยินดีรับค่ะยังไม่ทิ้งแน่นอนไปไหนไกลไม่ได้หรอกค่ะ งานที่ทำอยู่ในตอนนี้ก็คือมีถ่ายละครเรื่องเสน่หามายา ก่อนนี้มีโปรเจกท์ dance with guru สอนเต้นในยูทูบที่ทำร่วมกับพี่ผี ไฮแจ็ค เป็นกูรูด้านการเต้นหลายๆ คน มารวมกันและทำวีดีโอลงยูทูบ เวลามีอะไรพี่ผีก็จะโทร.มาปรึกษาเหมือนกัน แต่พอมีน้องก็เลยจะพักไป หลังจากนี้ก็คือจะรอให้ละครปิดกล้อง แล้วก็จะบินกลับไปที่แอลเอเพื่อรอน้องคลอดค่ะ เรื่องงานแต่งงานคงต้องเลื่อนไปหลังคลอดเลยค่ะ

ความผูกพันกับวงบาซู

สำหรับพี่โจอี้ พี่กำปั้นก็เหมือนพี่น้องกันเลยค่ะ เพราะว่าหนูเป็นคนไม่มีพี่น้องโตมาเป็นลูกคนเดียว เลยเหมือนว่าเรามีพี่ชาย 2 คนที่คอยดูแล มีพี่ชายคนโตและพี่ชายคนกลางแต่บางทีพี่ชายคนโต พี่โจ ก็จะเหมือนเด็กน้อยเลยค่ะ (หัวเราะ) แม้ว่าเราจะไม่มีวงบาซูแล้วแต่ว่าความผูกพันของเรา 3 คนพี่น้องก็ยังอยู่ ยังมีพบปะพูดคุยทานข้าวกันเรื่อยๆ ล่าสุดก็เพิ่งเจอกันพาเบบี้ในท้องไปหาคุณลุง(หัวเราะ) พาหลานสาวไปอวดลุงๆ ค่ะ พี่กำปั้นบอกว่าอยากจะมีครอบครัวนานแล้ว แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่มีเลย ดูสิคะน้องแซงหน้าไปก่อนแล้วตามให้ทันนะคะลุงปั้น

ย้อนวันวานก่อนจะมาเป็นศิลปินกลุ่มแดนซ์ขวัญใจวัยทีนยุค 90

เด็บบี้เป็นเด็กเนิร์สค่ะ เรียนหนังสือใส่แว่นบ้างถอดบ้างแต่ว่าก็จะเดินถือหนังสือตลอดเวลา ค่อนข้างเป็นหนอนหนังสือ ชอบเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ชีวะ เคมี อะไรแบบนี้ แต่ว่าเป็นเด็กที่ชอบร้องเพลงมาก ชอบการแสดง จนกระทั่งวันนึงเพื่อนของคุณแม่เขามาได้ยินเพลงที่เราร้องและอัดเสียงไว้ ก็เลยส่งเข้าไปที่อาร์เอส เราก็เลยโดนเรียกเข้าไปแคส ก็เข้าไปแบบเนิร์สๆ ของเรานี่แหละค่ะ (แนวเพลงที่ชอบ ?) สมัยก่อนจะร้องเพลงแนว Classical เป็นแนวละครเวที ซึ่งเป็นคนละแบบกับที่เราออกเทปเลย เฮียเป็นคนเคาะเลยว่าอยากให้มาเป็นนักร้อง หนูก็ไม่รู้ว่าเฮียเขาเห็นแววเรายังไงนะคะ แต่คือส่งไปไม่นานนะเขาก็เรียกให้เข้ามาร้องเพลงเลย ตอนแรกที่มาอัดเสียงหนูร้องไห้เลย เพราะว่าร้องไม่ได้ ตกใจตื่นไมค์ และด้วยตัวเพลงมันต่างจากที่เราเคยร้องเราก็ต้องปรับเสียงฝึกฝนใหม่ แต่ว่าก็ใช้เวลาไม่นานเลยค่ะไม่ถึงเดือนก็ได้ออกเทปเลย ได้ไปเจอกับพี่โจอี้ พี่กำปั้น เรียกว่าเราก็เป็นน้องเด็กสุดในกลุ่ม พี่โจอี้อายุห่างกันหลายปีเลยค่ะ เกือบ 15 ปี ส่วนพี่กำปั้นประมาณ 5 ปี ช่วงแรกก็เครียดเหมือนกันเพราะว่าเป็นงานที่ยากจะต้องทั้งร้องทั้งเต้น เรื่องการเต้นพี่โจอี้จะมีพื้นฐานมาก่อนเขาก็จะช่วยกันคิดกับเพื่อนอีกคนนึง แล้วก็จะมีพี่ ผี ไฮแจ็ค เข้ามาจัดให้ทุกอย่างลงตัวในเวลาอันรวดเร็ว เป็นการออกเทปแบบสายฟ้าแล่บ

รับมือกับความปังในฐานะนักร้องอย่างไร

เป็นอะไรที่แปลกนะคะ เพราะว่าเราไม่เคยคิดว่าเราจะมายืนตรงจุดนี้ แต่ว่าเราก็ทำตัวปกติเหมือนเดิม เวลาทำงานก็เต็มที่ เวลาไปเรียนก็คือเรียน เพียงแต่ว่าจะมีน้องๆ ที่เข้ามาทักทายคอยให้กำลังใจมีคนรู้จักเรามากขึ้น จนกระทั่งมีงานเข้ามาเยอะๆ ก็เลยจำเป็นต้องดร็อปเรียน เพราะว่ามันไม่ไหวจริงๆ เด็บบี้เป็นคนที่ชอบการแสดงอยู่แล้วค่ะ ชอบบันเทิง เต้น ร้อง ก็เลยรู้สึกว่ามันคือสิ่งที่ไม่ได้ขัดอะไรกับตัวเราก็ทำไปเรื่อยๆ ในแต่ละอัลบั้มเพลงที่ออกมาเราก็มีส่วนร่วมในการเสนอไอเดีย ร่วมเขียนเนื้อร้อง การ Improvise ส่วนใหญ่จะเขียนเนื้อร้องที่เป็นภาษาอังกฤษ และมีคิดออกแบบท่าเต้น Choreography พอเราได้ทำไปเรื่อยๆ เราก็จะมีการคิดต่อยอดไปเรื่อยๆ

เพลงที่ประทับใจ

ชอบเพลง “โธ่เอ๊ย” เพราะว่าด้วยดนตรีที่เป็นการผสมผสานกับดนตรีไทย ซึ่งเป็นอะไรที่แปลกและไม่เคยมีใครทำมาก่อน ตอนนั้นคือถือว่าเป็นอะไรที่แปลกใหม่มากๆ และเนื้อร้องก็โดนด้วย ส่วนเพลง “เพียงจำไว้” จังหวะมันจะโยกๆ ค่ะสนุกและมีความเป็นเร็กเก้

หวนสู่จอแก้วอีกครั้ง

กลับมาเล่นละครอีกครั้งในรอบ 7 ปีเลยค่ะที่ไม่ได้เล่นละคร อย่างเรื่องเสน่หามายา ที่มาเล่นเรื่องนี้ได้ก็ต้องขอบคุณ “พี่ต้น-นุษาร ทรรศนะพายัค” ซึ่งเราเจอกันตอนไปออกรายการน้องรักนักร้อง พี่เขาก็เลยติดต่อมาและชวนให้มาเล่นเรื่องนี้ ตอนแรกก็แอบคิดหนักเหมือนกัน เพราะว่าเราอยู่เมืองนอกด้วยจะยังไงดี จะบินกลับไปกลับมาเพื่อถ่ายละครยังไง แต่ว่าพอมาอ่านบทและตัวละครแล้วรู้สึกว่าเป็นอะไรที่ท้าทายเรามากไม่เคยเล่นร้ายมาก่อน ชอบบทเป็นบทที่ร้ายลึกจอมวางแผนออกแนวโรคจิตด้วยค่ะ เพราะนางจะมโนไปเองว่าพระเอกชอบเรา ต้องมีถึงเนื้อถึงตัว “พี่เคลลี่” และต้องมีปะทะกับ “พี่แอน-สิเรียม” การบ้านหนักเลยค่ะ เพราะว่าพี่แอนสวยมากแล้วสายตาจิกนี่คือมาเต็มๆ น้องตกใจค่ะ และแอบเกรงใจฐานะผู้จัดของพี่แอน (หัวเราะ) แต่จริงๆ เราก็เล่นต้องสู้ให้เต็มที่ค่ะ แล้วยิ่งพอรู้ว่ากำลังมีน้องก็ยิ่งต้องระวังตัวเป็นพี่เศษ พี่ๆในกองถ่ายก็ช่วยเซฟให้ กลัวพลาดเพราะว่ามันค่อนข้างโหดพอสมควรคือจะต้องมีตบตีผลักกันเอาน้ำสาด ยิ่งช่วงหลังๆก็จะยิ่งดุเด็ดกันมากขึ้นเลยจะเล่นให้แรงทางอารมณ์มากกว่า

เตรียมใจรับกระแสกับบทบาทนี้

เตรียมเลยค่ะนี่ “น้องเหมียว” ผู้จัดการที่ดูแลเด็บบี้ เขาก็เตรียมหมวกกับน็อกเอาไว้แล้วค่ะ เผื่อว่าเปลือกทุเรียนจะมาแถวนี้ แต่ไม่เป็นไรค่ะหนูเต้นได้เดี๋ยวเต้นหลบเอา (หัวเราะ) คือมันเป็นเรื่องสมมุตินะคะถ้าเราทำออกมาแล้วคนดูเกลียดได้จริงๆ ก็ถือว่าเป็นความสำเร็จ แต่เชื่อว่าหลายคนจะเข้าใจค่ะว่ามันเป็นการแสดง เพราะตัวจริงเป็นคนนิสัยดีมาก

บทบาทการเป็นอาจารย์

ได้มีโอกาสไปเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยหัวเฉียวค่ะ สอนเด็กปี 3- ปี 4 ซึ่งตอนนี้เขาก็จบกันไปหมดแล้วล่ะ แต่ว่าก็ยังมีติดต่อคุยไลน์ทักทายกันบ้าง บางคนก็ตามอินสตาแกรม ตามเฟส เพราะว่าช่วงนี้หยุดสอนแล้วคือไม่ค่อยมีเวลา และต้องไปต่างประเทศบ่อยๆ ก็ยังไม่ทราบว่าจะได้กลับไปสอนอีกหรือเปล่า ตอนที่เป็นอาจารย์สนุกมากนะคะ จะมีแบบให้เราเห็นให้ดูตลอดลูกศิษย์น่ารักทุกคนค่ะไม่มีก้าวร้าวเลยเพียงแต่ว่าจะหยอกล้อกัน เราก็ไม่ค่อยถือสาเท่าไหร่ สิ่งที่ได้จากการเป็นอาจารย์ สิ่งที่ได้ก็คงจะเป็นการศึกษา ปกติเราเป็นนักเรียนเราก็จะรับมาโดยตลอด แต่ว่าพอเราได้มาเป็นอาจารย์เราก็เป็นฝ่ายให้ และเวลาที่จะให้เราก็จะต้องมีวิธีการถ่ายทอด เพราะฉะนั้นเราจะได้ในส่วนของการสื่อสาร และเป็นการสื่อสารที่คนละรูปแบบกับการร้องเพลงและเล่นละครได้ประสบการณ์จากตรงนี้มาประมาณ 2 ปีกว่าค่ะ ไม่เคยคิดเลยว่าจะมาเป็นอาจารย์ หรือว่าไปสอนใคร แต่พอมีโอกาสได้ลองทำก็รู้สึกแฮปปี้เป็นอะไรที่สนุกเป็นประสบการณ์ที่ดี

สิ่งที่ภาคภูมิใจที่สุด

ก็คงจะเป็นบาซูนี่แหละค่ะ ภูมิใจในความเป็นทีมของเราเพราะหนูรู้สึกว่าเราเป็นทีมที่ไม่เหมือนใครมีเอกลักษณ์ของตัวเองที่สูงมากๆ แล้วเราไม่ใช่เป็นทีมที่ต่อหน้าสื่อแต่เบื้องหลังเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน เราเป็นมากกว่าเพื่อนร่วมงานแต่คือครอบครัวและพี่น้องหนูถือว่าเราโชคดีด้วยค่ะที่เราเกิดมาในยุคที่เป็น Golden Age ของดนตรี จริงๆ ช่วงของเราก็เกือบจะปลายๆ ท้ายๆ แล้ว เพราะก่อนหน้าเราก็มี “ทาทา” “ลิฟท์-ออย” “แร็พเตอร์”ศิลปินที่ออกมาในตอนนั้นคำว่าศิลปินมีความศักดิ์สิทธิ์มาก มันคือการที่เราเป็นตัวจริงเป็นซูเปอร์สตาร์ แต่ว่าทุกวันนี้หนูว่าวงการดนตรีมันอาจจะซบเซาลงไปนิดนึง ซึ่งมันก็คือความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ค่ะ และด้วยอะไรหลายๆ อย่างด้วยเทคโนโลยีความที่ทุกวันนี้ศิลปินออกมาเยอะมากจนกระทั่งคนบริโภคเลือกไม่ถูกว่าจะฟังอะไรดี เวลาไปไหนแล้วได้ยินเพลงบาซูจะรู้สึกแอบปลื้มเป็นธรรมดาเพราะว่าหลายๆ เพลงในยุคนั้นมันมีความเป็นอมตะอยู่ ก็ฝากขอบคุณแฟนๆ บาซูแฟนๆ เด็บบี้นะคะที่คอยให้กำลังใจกันมาตั้งแต่นานมากๆ คอยทั้งเป็นกำลังใจและเฝ้าดูผลงานและทั้งชีวิตส่วนตัวของเราด้วย เราก็รู้สึกว่าเหมือนโตมาด้วยกัน ขอบคุณที่รักกันนานๆ ถ้ามีโอกาสบาซูคงจะได้กลับมารวมตัวกันสร้างสรรค์ผลงานให้ทุกคนได้ฟังกันอีก เพราะว่าพวกเราไม่ไปไหนแน่นอน ก่อนหน้านี้ก็มีคุยกันไว้บ้าง แต่ว่าตอนนี้คงจะต้องพักไว้ก่อนขอไปมีน้องสร้างครอบครัวสักพักนะคะ แล้วกลับมาเจอกัน ในส่วนของคอนเสิร์ตใหญ่ก็น่าจะมีโอกาสได้เจอกันค่ะ

คำว่าครอบครัวสำหรับเด็บบี้ กำลังจะสมบูรณ์แบบในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ และไม่แน่ว่าอาจจะมีเด็กหญิงตัวน้อยๆที่รักในการเต้นมาประดับวงการในอนาคตก็เป็นไปได้

 

Star Retro : เมื่อ‘ฟอร์เอฟเวอร์’ กลับมารวมตัว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/236914

วันอาทิตย์ ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2559, 06.00 น.

ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับ คอนเสิร์ต THE PALACE AND THE ORIGINALS ที่เรียกว่าได้สร้างความประทับใจให้กับแฟนเพลงอย่างเต็มอิ่มกับกลิ่นอายดนตรียุค 80 และหนึ่งในแขกรับเชิญที่ต้องบอกว่าพิเศษมากๆ หลายคนรอคอยที่จะได้เห็นพวกเขาบนเวทีคอนเสิร์ตอีกครั้ง หลังจากแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเองนั่นคือ วงฟอร์เอฟเวอร์ โดยครั้งนี้พวกเขากลับมารวมตัวแบบครบวงไม่ว่าจะเป็น ชา-ปรีชา ศิริบุญส่ง, กอล์ฟ-สมบุญ โชติหิรัญพาณิชย์, อั้น-สหพล จุลวงศ์, ดำ-วิรุฬ สกุลทรัพย์ไพศาล, จืด-มนตรี ชุติสิระ, โรจน์-นิโรจน์ วงศ์ไชยชุติกร, จุ่น-สุทธิชัย เทวพิทักษ์ และ เก๋-นิฤทธิ์ มณีจำนง โชว์เพลงฮิตย้อนวันวานไปพร้อมกับแฟนเพลงอย่างอบอุ่น

ฟอร์เอฟเวอร์ รวมตัวกันได้

ไม่ใช่เรื่องง่าย

กอล์ฟ : เป็นเรื่องที่มหัศจรรย์มากเพราะจริงๆ แล้วการรวมตัวแต่ละครั้งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ เคยมีคนถามผมตั้งแต่ก่อนหน้าที่เขาจะเริ่มมีการรวมตัวของศิลปินเก่าๆ ว่า วง Forever (ฟอร์เอฟเวอร์) จะรวมตัวกันเมื่อไหร่ ตอนนั้นก็บอกไปว่าคงยาก โอกาสนี่แทบจะไม่มีเลย ดำ (วิรุฬ สกุลทรัพย์ไพศาล) อยู่ออสเตรเลีย อั้น (สหพล จุลวงศ์) ทำงานอยู่ญี่ปุ่น ซึ่งไม่มีทางที่จะได้มาพบกันเพราะทุกคนมีงานทำ ปรีชา(ปรีชาศิริบุญส่ง) โรจน์ (นิโรจน์ วงศ์ไชยชุติกร) ทำงาน จุ่น (สุทธิชัย เทวพิทักษ์) เล่นดนตรีอยู่พัทยา ก็บอกเพื่อนว่าคงไม่มีเวลาหรอก คงไม่ได้เจอกัน โอกาสที่จะเป็นไปได้น้อยมาก คือแต่ละคนจะว่างไม่ตรงกันไม่ใช่เรื่องง่ายนะที่จะรวมกันได้ ครั้งนี้ผมถึงมองว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์และเป็นวงเดียวที่ครบ คนเก่าหมดไม่มีคนใหม่เลย

อั้น : ดีใจเพราะพวกเราก็ห่างหายกันไปหลายปีมาก แต่ก็ยังมีการติดต่อกันอยู่นะครับ สำหรับครั้งนี้ก็ได้มีโอกาสมาเล่นดนตรีให้แฟนเพลงได้ฟังอีกครั้งหนึ่งจากที่เขาเคยติดตามฟังเพลงของเรามาตั้งแต่เมื่อ 20-30 ปีก่อน ตอนนี้ทุกคนก็คงจะโตขึ้นแล้วก็ไปมีครอบครัวกัน คราวนี้ได้เล่นกันในอีกฟีลหนึ่งล่ะไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เป็นสมัยหนุ่มๆ สาวๆ วัยรุ่น คอนเสิร์ตครั้งนี้ผมดีใจและมีความสุขมากครับ ได้เจอเพื่อนครบ ได้เล่นด้วยกัน

ชา : จริงๆ แล้วผมไม่ได้คิดว่าจะกลับมาเล่นดนตรีเลยนะหลังจากเลิกจากวง ฟอร์เอฟเวอร์ (Forever) แต่ว่าครั้งนี้ผมรู้สึกว่าน่าสนใจและน่าจะสนุกก็เลยตัดสินใจลองกลับมาเล่นอีกสักครั้ง เพราะว่าผมเป็นคนที่เลิกแล้วเลิกจริงๆ เลิกไป 20 กว่าปีที่รวมกันไม่ได้ ก็ผมนี่แหละไม่ได้ไปเล่น (หัวเราะ) แต่ครั้งนี้จากที่ดูคอนเซ็ปต์งานตอนที่เขามาเสนอผมก็คิดว่าน่าจะสนุก มีความน่าสนใจ รวมทั้งมีวงพี่ๆ วงแมคอินทอช ด้วยก็เลยตัดสินใจกลับมาเล่นอีกครั้ง

ดำ : ชีวิตผมปีหน้า 50 แล้วนะ เรียกว่าครึ่งหนึ่งของชีวิตก็อยู่กับพวกนี้ อยู่ตั้งแต่ผมเด็กมากๆ ถ้าจำไม่ผิดผมอยู่ ม.1 อายุ 13 ปี แล้วผมก็เล่นดนตรีกับปรีชา ก็ไปเล่นกันจนกระทั่งเป็นไข้เลือดออก เพราะว่าเราเล่นดนตรีกลางคืน กลางวันเรานอนก็เลยโดนยุงลายกัด ก็เรียกว่าครั้งนี้พิเศษมากๆ ที่เราได้กลับมาทำในสิ่งที่เราชอบเรารักหรืออาจจะเรียกว่าทำได้ดีที่สุดก็ได้กับเพื่อนกลุ่มเดิมทุกคน แล้วทุกคนก็กลับมาพร้อมกับความรู้สึกเดียวกันก็คือ สนุก มีความสุข ที่ได้มารวมเล่นด้วยกันอีกครั้ง

โรจน์ : รู้สึกดีที่ว่าได้กลับมาเจอเพื่อนๆ ทุกคนแล้วก็ทำให้เราได้คิดหวนถึงความหลังที่แบบเราเคยทำร่วมกันมาแล้วมีความสุขกัน มีความสนุกสนานก็ยังคงกลับมา เหมือนได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง มีความสุขเหมือนเวลาเพิ่งผ่านไป

เก๋ : ดีใจครับที่ได้มารวมตัวกันพวกเราฟอร์เอฟเวอร์ (Forever) 8 คน ไม่นึกไม่ฝันว่าได้มาเล่นด้วยกัน เพราะว่าก็ห่างหายไป 25 ปี เพราะต่างคนก็ต่างทำงานกัน ต่างคนต่างทำหน้าที่คือตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่ามารวมกันได้ยังไง แต่ก็ดีใจที่ได้มารวมกันพร้อมหน้าพร้อมตาครับ

จืด : ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 25 ปี เพราะว่าเราเลิกวงกันไปตอนนั้นประมาณปี 2533-2534 เพราะฉะนั้นคอนเสิร์ตครั้งล่าสุดที่พวกเราเล่นด้วยกันก็ประมาณ 30 ปีที่แล้ว จำได้ว่าเล่นกันที่เชียงใหม่ แล้วกลับมาเล่นในคลับสักพักก็แยกย้ายกันไป ครั้งนี้ก็เหมือนกับมาสนุกสนานกันอีกครั้งหนึ่ง รวมกันเล่นๆ ถ้าติดใจสนุกสนานก็อาจจะมีเรื่อยๆ ไม่แน่รอติดตามกันต่อไปครับ ดูฟีดแบ๊กก่อนครับ

เอกลักษณ์เด่นของวงฟอร์เอฟเวอร์ (Forever)

ชา : ฟอร์เอฟเวอร์ (Forever) มีคอนเซ็ปต์เฉพาะคือ ฟังเพลงปุ๊บรู้ปั๊บว่าเป็น ฟอร์เอฟเวอร์ เรามีคาแร็กเตอร์ของเรา ผมคิดว่าแฟนเพลงที่เขาเคยชอบเราพอขึ้นเพลงนี้ปุ๊บเขารู้เลยว่า ฟอร์เอฟเวอร์ เพลงป๊ะ ป๊าม๊ะ ม๊า รู้ละว่าเป็นฟอร์เอฟเวอร์ เพลงความหวังหลังรอยยิ้ม เพลงหัวใจเธอมีหรือเปล่า พอพูดชื่อเพลงปุ๊บคุณจะรู้เลยว่านี่คือ ฟอร์เอฟเวอร์ ขนาดว่าผมเลิกทำดนตรีไปเกือบ 20 ปี อยู่ในวงการอีเว้นท์ทำแสง สี เสียง ทำ LED กับวงการมอเตอร์โชว์ คนยังถามผมอยู่ทุกวันเลยจะกลับไปเล่นไหม แสดงว่าเราก็มีแฟนเพลงที่เป็นของเราจริงๆ

แฟนเพลงรุ่นใหม่ที่เกิดขึ้นในยุคสมัยนี้

กอล์ฟ : ผมมีแฟนเพลงคนหนึ่งน้องเขาเรียนอยู่ ม.เกษตรฯ มาหาผมที่บ้านตามจนเจอว่าอยู่ที่ไหน เขาบอกว่าเป็นแฟนเพลงของวง Forever ผมงงมากเพราะเขาเป็นนักศึกษาอยู่ปี 1 ผมก็ถามว่าทำไมชอบเพลงของพวกเรา น้องเขาก็บอกว่าได้ฟังแล้วชอบ
ชอบเพลงยุคผม เขารู้หมดนะว่าในวงมีใครบ้าง เกิดเมื่อไหร่เรียนที่ไหน รู้หมดเลยมีกี่อัลบั้ม ออกมาแล้วกี่ชุด ใครร้องเพลงอะไร เป็นเรื่องแปลกมาก ผมงงมากผมรู้สึกดีใจและภูมิใจนะที่เด็กรุ่นใหม่ยังฟังเพลงแนวนี้ได้ก็ต้องขอบคุณพ่อแม่ที่เขาฟังแล้วทำให้เด็กๆ เขาได้ฟังด้วย แต่อย่างเพลงยุคนี้ก็เป็นไปตามยุคสมัยจะบอกว่ายุคไหนดีกว่ากันก็ไม่ได้ดนตรีก็มีการเปลี่ยนแปลงและเจริญเติบโตเป็นไปตามปกติของโลกอยู่แล้ว แต่ถ้าถึงเวลามันก็จะย้อนกลับมาเองเป็นวัฏจักรครับ

โรจน์ : ที่เคยสัมผัสนะเขาบอกว่าฟังแล้วชอบ ซึ่งตอนแรกเขาไม่รู้ว่าเราเป็นใครอะไรยังไง แต่พอเขาเห็นเขาก็ชื่นชมว่ายังทำเพลงได้สมัยใหม่อยู่เลย เราได้ยินก็มีความภาคภูมิใจนะว่าเพลงเราก็ไม่ได้ล้าสมัย

อั้น : ดีใจครับ คือประสบการณ์ตรงนี้เคยเจอกันมาแล้ว ตอนยังไม่ได้รวมตัวกัน มีน้องคนหนึ่งเจอกันในอินเตอร์เนต เขาเกิดไม่ทันพวกผมหรอกแต่ว่าเขารู้จักพวกผมทุกเพลงเลย เราก็ทึ่งและดีใจที่มีคนฟังเพลงของเราในยุคสมัยที่ยังไม่มีฮิปฮอป ไม่มีอะไรเลย แต่ในยุคนี้เขายังกลับมาฟัง มีแฟนเพลงเกิดใหม่ขึ้นมาถึงแม้จะเป็นส่วนน้อยๆ เราก็ดีใจ

คอนเสิร์ตล่าสุด

กับความพิเศษที่สัมผัสได้บนเวที

ดำ : เรียกว่าครบวงแบบนี้ก็เกิน 25 ปี แล้วไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน ความพิเศษที่รอทุกคนและเป็นสิ่งที่ผมก็รอเช่นเดียวกันก็คือการขึ้นไปยืนบนเวทีด้วยกัน 8 คน แล้วก็เล่นดนตรีด้วยกันอีกครั้งพวกเราจะรู้สึกกันเองซึ่งอธิบายยาก คือเราได้กลับมาเล่นดนตรี เล่นเพลงด้วยกันที่เราเคยเล่นกันมาก่อนเป็นอะไรที่ เออ…มันพาเรากลับไปถึงวันที่เรายังเป็นเด็กได้จริงๆ ความรู้สึกเป็นแบบนั้น มีความรู้สึกที่ดีๆ ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่เราผ่านมาด้วยกันก็ผุดขึ้นมาหมด สิ่งที่แฟนเพลงคนดูจะได้เห็นคือการที่พวกเราขึ้นไปบนเวทีเล่นดนตรีไปด้วยกัน 8 คน น่าจะเป็นอะไรที่ไม่เกิดขึ้นง่ายๆ รวมไปถึงบทเพลงต่างๆ ของฟอร์เอฟเวอร์ ที่ไม่ได้ถูกเล่นโดยวงของ ฟอร์เอฟเวอร์ เองมาแล้ว 20 กว่าปี วันนั้นพวกเราก็ได้โชว์อีกครั้งแบบเต็มวงจริงๆ และที่สำคัญคอนเสิร์ตครั้งนี้ผมเองก็ตั้งใจกลับมาจากออสเตรเลีย เพื่อขึ้นโชว์กับเพื่อนในวงตามกระแสเรียกร้องจากแฟนๆ เพลง เต็มที่ทุกเพลงครับ สนุกและมีความสุขมาก ถือเป็นความทรงจำดีๆ เลยก็ว่าได้สำหรับคอนเสิร์ตในครั้งนี้ของพวกเรา ฟอร์เอฟเวอร์

จืด : มีความรู้สึกดีมากๆ ครับ เพราะพวกเราแยกย้ายกันไปทำธุรกิจส่วนตัวกันพักใหญ่แล้ว พอได้กลับมาก็มีความรู้สึกเดิมๆ เก่าๆ กลับมา โอเครู้สึกดี ตื่นเต้นที่ได้กลับมาร้องเพลงอีกครั้งเพราะว่าพวกเราไม่ได้เล่นกันนานมาก ฉะนั้นได้มารวมตัวกันทั้งทีก็ตื่นเต้น
ครับ ถ้ามีเกิดขึ้นบ่อยๆ ได้ก็ดีนะ

ความสัมพันธ์ของ ฟอร์เอฟเวอร์

ที่เป็นมากกว่าวงดนตรี

กอล์ฟ : เหมือนมีใจเดียวกัน มีความรู้สึกเดียวกัน เพราะพวกผมเริ่มมาจากเด็กนักเรียนที่เล่นดนตรีกันจนไม่มีตังค์จะทานข้าวกัน ไปเล่นดนตรีมีตังค์กันคนละ 5 บาท ไหนจะค่ารถกลับบ้าน ค่ากิน ก็ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาเป็นความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งอธิบายยากนะ

โรจน์ : โทร.คุยกันบ่อยมาก นอกจากดำเท่านั้นที่อยู่เมืองนอก แต่พอเขากลับมาก็นัดทานข้าว ทุกคนติดต่อกันตลอดแต่ก็อาจจะไม่เหมือนสมัยก่อนเท่าไหร่ทุกคนมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ

จากใจ วงฟอร์เอฟเวอร์ (Forever) ถึง วงเดอะ พาเลซ (The Palace)

ชา : เดอะ พาเลซ คือการรวมของวงต่างๆ มาเป็นอีกคอนเซ็ปต์หนึ่งนะครับ แต่วงฟอร์เอฟเวอร์เป็นวงที่เป็นออริจินัล ฉะนั้นถ้าจะฟังเพลงจริงๆ ต้องฟังออริจินัล แต่วง เดอะ พาเลซ ก็เป็นวงที่มีสีสัน เป็นการรวมดาว รวมฮิตมากกว่า คนละคอนเซ็ปต์แต่ของฟอร์เอฟเวอร์เองถ้าไม่ใช่พวกผมจริงๆก็ไม่ใช่ไง เพราะวงผมเป็นวงที่เริ่มมาตั้งแต่เด็กๆ คือพวกเราโตมาด้วยกัน อยู่มาด้วยกันและไม่ได้เปลี่ยนตัวนักดนตรีเลย

กอล์ฟ : ถือว่าเป็นวงที่จุดประกายให้หลายๆ วงเริ่มจะมารวมตัวกัน ทำดนตรีเก่าๆ ซ้อมกัน เล่นกัน เป็นเรื่องที่ดีเลยสำหรับผมเพราะทำให้หลายๆ อย่างย้อนกลับมาเหมือนเดิมได้ ตอนยุคสมัยผมที่เคยเล่นกันแบบนี้

จืด : ก็ดีครับ ฟีดแบ๊กกลับมาดี ทำให้รู้ว่าคนที่มีเหมือนกับว่ามีอายุในระดับหนึ่งแล้วก็จะนึกความรู้สึกเก่าๆ พอไปเห็นว่าคนที่อยากจะฟังเพลงเก่าๆ โดยนักร้องเก่ามันยังมีอยู่เยอะนะ ผมคิดว่าคอนเสิร์ตครั้งนี้แฟนเพลงเก่าๆ ของ ฟอร์เอฟเวอร์ น่าจะได้รับความรู้สึกดีๆ ที่พวกเราตั้งใจกลับมาเล่นกันแบบครบทุกคนเลยเพื่อแฟนๆ เพราะแฟนเพลงเขาก็อยากจะดูเราในวันที่โตขึ้น มีหน้าที่การงานดีขึ้นหมดแล้ว เขาก็จะได้ดูด้วยความรู้สึกที่ดี

ดำ : ก็ต้องขอบคุณ เดอะ พาเลซ ถ้าไม่มีการรวมตัวของ เดอะ พาเลซ ก็จะไม่มีแรงบันดาลใจให้ใครสักคนคิดว่า เฮ้ยน่าจะลองไปตามหาวงเก่าๆที่เป็นต้นทางของ เดอะ พาเลซ ฉะนั้นก็ต้องขอบคุณที่ เดอะ พาเลซ เข้ามาสร้างกระแสตรงนี้ให้คนได้นึกถึงวงต้นฉบับอย่างพวกผม

โรจน์ : มีความรู้สึกดีกับทุกคนเป็นพี่ เป็นเพื่อน รักใคร่กันอยู่แล้วเดอะ พาเลซ เขาเชิญฟอร์เอฟเวอร์มาก็ภาคภูมิใจที่ได้รับเชิญมา

อั้น : ดีครับ เพราะว่าทุกคนเคยเห็นหน้าเห็นตากันหมดเลย พอเราหลุดจากตรงนั้นเมื่อ 25 ปีที่แล้ว พอวันนี้ได้กลับมาเจอหน้าพี่ๆ เพื่อนๆก็เฮฮาทักทายสวัสดี เหมือนเป็นสายเลือดศิลปินที่เราอยู่ด้วยกันมา เป็นครอบครัวเดียวกันในอาชีพและแนวทางเดียวกัน

ความภาคภูมิใจ

กับการเป็นวงในตำนานของเมืองไทย

ชา : ภูมิใจที่ครั้งหนึ่งได้ทำงานที่ตัวเองชอบและสนุกกับมัน และงานที่เราทำก็สร้างอะไรเยอะแยะ สร้างมูลค่าเพิ่มทางด้านธุรกิจ ด้านดนตรี สมัยก่อนคุยกับเพื่อนๆ ในวง ผมบอกว่าธุรกิจดนตรีเป็นร้อยล้านนะทุกคนอาจจะมองว่าเฮ้ยผมเพี้ยนหรือเปล่าหรือไม่เชื่อผม สมัยก่อน ฟอร์เอฟเวอร์ ไปเล่นคอนเสิร์ตครั้งหนึ่งน่ะเรียกค่าตัวเป็นแสนแล้ววงอื่นๆ ล่ะ มิวสิคบิสสิเนส เป็นอะไรที่อยู่ในหัวใจทุกคนคือยังไงคนก็ต้องร้องเพลง คนเองก็ชอบดนตรี แต่เรามองมันออกหรือเปล่าว่ามันใหญ่ขนาดไหน เราจะทำอะไรกับมันได้ ในสิบกว่าปีที่ผมเป็นหัวหน้าวงมาน่ะผมก็พยายามขายคอนเซ็ปต์ ขายวง สิ่งที่เรามีจุดเด่นเพื่อให้แฟนเพลงได้จดจำและมีความสุขกับผลงานเพลงที่เราสร้างสรรค์กันขึ้นมา

นี่แหละ “ฟอร์เอฟเวอร์” (Forever)วงดนตรีออริจินัล เพลงสตริงยุค 80 ในตำนานอย่างแท้จริง เพราะถึงแม้พวกเขาจะห่างหายจากงานดนตรีไปนาน แต่การกลับมาอีกครั้งก็สร้างความสุขและความทรงจำที่ดีๆ มากมายให้แฟนเพลงได้ประทับใจบนเวทีคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกในรอบเกือบ 30 ปี!!

Star Retro : เทิดทูนไว้เหนือเกล้าฯ อัษฎาวุธ เหลืองสุนทร กับบทบาท ‘พระมหาชนก’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/lady/242314

วันอาทิตย์ ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

“อัษฎาวุธ เหลืองสุนทร” จากเด็กต่างจังหวัด ผู้เคยได้ชื่นชมพระบารมีอยู่ไกลๆ นึกฝันว่าสักครั้ง อยากที่จะได้ชื่นชมพระบารมี “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช” ใกล้ๆ จวบจนเมื่อเขาได้มีโอกาสแสดง “พระมหาชนก” มหานาฏกรรมเฉลิมพระเกียรติ สิ่งนี้กลายเป็นความภาคภูมิใจสูงสุดของชีวิตที่มิอาจลืม และได้น้อมนำคำสอนของพระองค์ท่านมาปฏิบัติ รวมถึงถ่ายทอดสู่ทายาทให้เจริญรอยตาม

ในหลวงในความทรงจำ

ท่านเหมือนเทวดามาโปรด เพราะว่าผมเป็นเด็กต่างจังหวัดเป็นเด็กใต้ บ้านอยู่พัทลุง แต่ว่ามียายอยู่ที่นราธิวาส เลยเหมือนว่าได้อยู่ใกล้โครงการพระราชดำริ อาจจะได้มีโอกาสเฝ้าฯรับเสด็จในหลวงมากกว่าเด็กในกรุงเทพฯ เพราะว่าเราอยู่ในที่ลำบาก ซึ่งเวลาที่พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินผ่าน ชาวบ้านจะมาตั้งแถวรอเฝ้าฯรับเสด็จ ผมก็มีโอกาสได้ชะเง้อชะแง้มองดูบ้างตามประสาเด็ก อยากเห็นในหลวงตัวจริง จากที่เห็นแต่ในทีวี. หรือในรูปพระราชกรณียกิจต่างๆ ที่นำเสนอผ่านข่าวในพระราชสำนักมาอย่างยาวนาน ที่ที่พระองค์ท่านมา แปลว่าที่นั่นลำบาก พระองค์ท่านมาแก้ไขปัญหาให้ หรือว่าแก้ไปแล้วก็มาทอดพระเนตรว่าทำได้ตามที่ท่านรับสั่งไหม เสด็จฯมาเพราะมีเหตุผล ผมก็เลยมีโอกาสได้เข้าเฝ้าฯรับเสด็จท่านในหลายๆ ครั้ง แต่ว่ายังไม่ได้มีโอกาสเข้าไปถวายงานอย่างใกล้ชิด

ฝันเล็กๆ ของเด็กหนุ่มต่างจังหวัด

จากที่เราเห็นชาวบ้านที่เขาเป็นตัวแทนเข้าไปรับพระราชทานของ หรือว่าทูลเกล้าฯถวายสิ่งของให้พระองค์ท่าน เราในฐานะคนไทยคนหนึ่งก็เคยฝันว่าอยากจะมีโอกาสแบบนั้นบ้าง อยากจะรับเสด็จพระองค์ท่านใกล้ๆ บ้าง ซึ่งก็เป็นตอนโตเลยครับ เมื่อครั้งที่สำเร็จการศึกษา และได้รับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์ของพระองค์ท่าน แต่ปีก่อนหน้านั้นจะมีช่วงที่พระองค์ท่านประชวรเลยไม่ได้เสด็จฯมาพระราชทานปริญญาบัตร แต่ว่าพอมาปีผม พระองค์กลับมาพระราชทาน ก็ถือว่าเป็นบุญของเรา อีกครั้งก็คือมีโอกาสได้แสดงละครหน้าพระพักตร์เมื่อปี 2539 เรียกว่าการแสดงแสงสี เสียง “เฉลิมขวัญนพบุรี 700 ปี นครเชียงใหม่” เพื่อฉลอง 700 ปีจังหวัดเชียงใหม่ เราก็ได้เล่นเป็น 1 ใน 3 กษัตริย์ ซึ่งในวันนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถเสด็จฯด้วยขณะที่ทั้ง 2 พระองค์ทอดพระเนตร ผมตั้งใจเล่นมาก ไม่ได้รู้สึกประหม่าเลยเพราะว่าเราก็ซ้อมกันมาอย่างดี แต่ก็ต้องตั้งใจทำให้ดีเพราะว่าทำเพื่อถวายพระองค์ มีความสุขมากครับ และจำได้ว่าพอทั้ง 2 พระองค์เสด็จฯกลับ เราก็ได้มาตั้งแถวรอส่งเสด็จฯด้วย เรียกว่าได้มีโอกาสถวายงานรับใช้ในฐานะนักแสดง ภูมิใจเป็นอย่างมากครับ

ความภาคภูมิใจสูงสุดในชีวิต

เมื่อปี 2549 ผมได้แสดง “พระมหาชนก” มหานาฏกรรมเฉลิมพระเกียรติ ซึ่งเป็นบทพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสที่พระองค์ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี เป็นละครเวทีที่เล่นสดวันละ 2 รอบ ที่อิมแพคอารีน่า เมืองทองธานี ซึ่งเล่นต่อกันเป็นสัปดาห์ ก็ค่อนข้างยากในการที่จะหาใครว่าง อย่างผมก็ถ่ายละครกับทาง บริษัท ดีด้า อยู่ด้วยในตอนนั้น แต่พอเขาติดต่อมา ผมรับเลย โดยที่ยังไม่ทันเคลียร์คิว ระหว่างซ้อม ก็พยายามหาวิธีต่างๆ เพื่อให้เข้าถึงบทได้อย่างลึกซึ้ง เพราะว่าพระมหาชนกเป็นทศชาติของพระพุทธเจ้า และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงปรับและสอดแทรกความเป็นปัจจุบันเข้าไป อ่านแล้วเหมือนเป็นเรื่องราวของพระองค์ท่าน เราก็คิดว่าจะทำยังไงดีที่จะเป็นพระมหาชนก ที่ดูมีสง่าราศีของพระราชา ราศีพระพุทธเจ้า เรื่องบุญญาธิการเราสร้างกันไม่ได้ ให้เราร้องไห้สั่งน้ำตา หรือบู๊เราทำได้ แต่จะทำยังไงให้เราดูสมบทบาท จะไปอัพเกรดตัวเองก็ไม่ได้ สุดท้ายผมเลือกที่จะถือศีลกินเจตลอดตั้งแต่การซ้อมจนถึงเล่นจบรอบสุดท้าย ตอนนั้นรู้สึกสบายใจและตัวเบา การแสดงผ่านพ้นไปได้ด้วยดีทุกรอบ คนดูเต็มทุกรอบ และมีการเพิ่มรอบด้วย ผมเองก็ต้องไปขอทาง “พี่ลอร์ด” (สยม สังวริบุตร) อีกครั้ง เพราะว่าเราได้บอกเขาไปแล้วว่าเราจะแสดงจบวันนี้ แล้วจะได้เริ่มถ่ายทำละครต่อ ซึ่งพอเราไปปรึกษาทางพี่ลอร์ดก็อนุญาต เขาก็ไปถ่ายทำในส่วนของคนอื่นก่อน และให้เราไปเล่นเพื่อถวายในหลวง ผมรู้สึกว่าถ้าไม่
ได้ทุกคนช่วย คนดูก็จะไม่ได้ดูกันขนาดนี้ หลายคนมาจากต่างจังหวัด แต่ด้วยความอุตสาหะด้วยความรักในหลวง เหมารถนั่งรถบัสกันมาดู เราเองก็รู้สึกปลื้มใจแทนพระองค์ท่าน แล้วเชื่อไหมครับว่าก่อนการแสดงจะมีเพลงสรรเสริญพระบารมี ผมแอบยืนร้องไห้ในความมืดทุกรอบ เพราะว่าในความมืดคนดูเขามองไม่เห็นเรา แต่เราเห็นคนดู เรารู้สึกว่าทำไมคนไทยถึงรักพระองค์มากขนาดนี้นะ เขาไม่ได้มาดูเพราะความสนุกนะ แต่เขามาดูบุญบารมีของในหลวงที่ถูกถ่ายทอดเป็นละครออกมา ผมถือว่าการแสดงพระมหาชนกเป็นความภูมิใจสูงสุดของชีวิตแล้วนะ เพราะว่าเราไม่ได้มีกันบ่อยๆ และพระราชนิพนธ์เรื่องนี้พระองค์ท่านหวงแหนมาก

แม้จะบาดเจ็บแต่ก็แสดงต่อจนจบ

ตอนนั้นเป็นการแสดงปีที่ 2 ครับ คือปีแรกแสดงจบ ผมก็กลับไปถ่ายละครเหมือนเดิม แต่ปีต่อมามีคนเรียกร้อง เพราะว่าคนยังไม่ได้ดูกันอีกเยอะ ทางรัฐบาลก็เลยจัด “พ.ศ.พอเพียง” สัญจร ให้ชมฟรี เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา ในปี 2550 ครั้งนี้จะเป็นการไปแสดงตามต่างจังหวัดทุกภาค ซึ่งผมประสบอุบัติเหตุไหล่หลุดระหว่างการแสดงที่เชียงใหม่ แต่ก็พยายามเล่นจนจบ เพราะไม่อยากให้คนดูผิดหวัง แล้วเขาก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นการแสดงยังคงดำเนินต่อไป ถึงจะเจ็บพอสมควรแต่ผมไม่อยากให้คนดูกลับบ้านไปแบบคาใจ หรือว่าไม่อิ่ม พอแสดงจบ ปิดม่านลง รถพยาบาลก็มารับไปโรงพยาบาลเลย หมอบอกให้งดใช้แขน แต่ว่าการแสดงยังมีอีกจะให้ใครมาเล่นแทน ก็ไม่ได้ เลยต่อรองกับหมอว่าเราจะไม่ยกมือข้างที่ไหล่หลุดคือเราไม่อยากให้คนดูมาดูแล้วรู้สึกว่า อัษฎาวุธไปไหน จากเหตุการณ์นั้นทำให้ผมรู้สึกซาบซึ้งมากยิ่งขึ้นนะครับ คือผมเข้าใจคำว่าความเพียรคืออะไร ความยากลำบากคืออะไร การเอาชนะความยากลำบากเป็นยังไง ว่ายน้ำไปก็เจ็บไหล่ไป แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือความปลาบปลื้มใจอย่างที่สุด

สืบสานพระราชปณิธานในฐานะนักแสดง

ผมได้มีโอกาสแสดงละครเทิดพระเกียรติ อย่างเรื่องแรก คือเรื่อง “ยายหนูลูกพ่อ” เป็นละครเทิดพระเกียรติช่วงเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นวันพ่อ แต่ว่าอาจจะไม่ได้พูดถึงพระองค์โดยตรง เนื้อหาพูดถึงความสัมพันธ์ของพ่อและลูก ที่แม้จะไม่ได้สายเลือดเดียวกัน ส่วนอีกเรื่องเป็นละครอิงประวัติศาสตร์เรื่อง “ฟ้าใหม่” ผมเป็นตัวละครในยุคช่วงเปลี่ยนรัชกาล เหมือนคนเขียนเขาต้องการจะเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ แต่ก็กลัวว่าคนจะเบื่อ เลยเล่าเรื่องความรักเข้าไปด้วย ผมเล่นเป็น “เจ้าฟ้ากุ้ง” ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งบทบาทที่ทำให้คนไทยได้เห็นเรื่องราวของประวัติศาสตร์ชาติไทย ซึ่งนอกจากฟีดแบ๊กทางบ้านจะดีแล้ว ยังมีอีกหนึ่งกำลังใจจากคนในวังที่ผมรู้จักมากระซิบบอกว่าเรื่องนี้สมเด็จพระราชินีได้ดูนะ และท่านตรัสชมว่าบทเจ้าฟ้ากุ้งไม่เคยเห็นในเวอร์ชั่นนี้มาก่อน ผมรู้สึกปลื้มใจดีใจ ที่ได้ทราบว่างานทุกงานผ่านพระเนตรของพระองค์ท่านเสมอ

ในฐานะผู้กำกับและผู้สร้างละคร

ละครทุกเรื่องของ บริษัท ดูมันดี เราพยายามจะใส่เรื่องราวของพระราชกรณียกิจ โครงการของในหลวง แอบสอดแทรกเข้าไปให้คนดูรู้ว่าเรารักในหลวงแค่ไหน อย่างเรื่อง “รักคุณเท่าช้าง” ในเรื่องก็จะมีเผ่าภูโชและมี “เขตต์ ฐานทัพ” เล่นเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่มาตามสืบเรื่องราวของพ่อ เพราะว่าพ่อตายในป่า ใครฆ่าก็ไม่รู้โดยมีหลักฐานที่เกี่ยวกับเผ่าภูโช และคนในเผ่านี้ก็มีโอกาสได้มาเรียนได้รับการศึกษา รู้ว่าพระราชาของคนในเมืองสอนอะไรบ้าง เขาก็เลยจะนำเรื่องราวนั้นมาบอกเล่าคนในเผ่าว่าความเมตตาของในหลวงที่มีต่อคนไทยเป็นยังไง ละครเราไม่ได้เป็นละครเทิดพระเกียรติโดยตรง แต่ว่าจะเป็นการบอกเล่าผ่านปากของตัวละคร พอเรามีโอกาสเราก็อยากจะบอกให้โลกได้รู้ว่าในหลวงรักคนไทยแค่ไหน จริงๆ ผมทำละคร คอนเซ็ปต์ของบริษัทไม่ใช่เพื่อความบันเทิงอย่างเดียว แต่พยายามจะทำละครที่ให้ทั้งความสนุก แง่คิด คำสอนอะไรต่างๆ ซึ่งมีหลายคำสอนที่มาจากในหลวง ตลอดชีวิตที่เรารับรู้เราซึมซับจากการมองจากการเห็น การฟัง แม้ว่าวันนี้พระองค์ท่านจะไม่อยู่แล้ว แต่ว่าคำสอนของพระองค์ท่านจะยังคงอยู่กับเราตลอดไปด้วยความที่ตัวผมเองจบครุศาสตร์ เพราะฉะนั้นจะมีอารมณ์ความเป็นครูอยู่ในการใช้ชีวิตการคิดงานการทำงาน ฉะนั้นพอเรามีโอกาสได้ทำละคร เราก็พยายามจะสอนคนผ่านละคร ถือเป็นความโชคดีของเราที่ได้มาทำ
ละครสอนคนทีเป็นล้านๆคน ในฐานะคนทำละคร เรามีหน้าที่ทำให้คนเห็นว่าผิดถูกชั่วดีทำแล้วจะได้อะไร สัมมาอาชีพเรา ที่พอจะตอบสนองกับสิ่งที่พระองค์ท่านอยากจะบอกคนในบ้านของท่าน นี่คือในมุมของผมนะครับ

พระราชกรณียกิจที่เห็นจนเจนตา

การที่พระองค์ท่านเสด็จฯเยี่ยมพสกนิกรในถิ่นทุรกันดาร ผมเองเคยไปแจกผ้าห่มไปแจกข้าวของช่วยเหลือคนน้ำท่วม บางทียังรู้สึกว่ายากเหนื่อย หรือไปในที่ที่รู้สึกว่ามันลึกมากแต่ว่ายังมีคนอาศัยอยู่อย่างเช่นชาวเขา ชาวชนเผ่า แต่เขาก็บอกว่าในหลวงเคยมาแล้ว ทุกที่ซึ่งเราไปแค่แว๊บๆ เรายังรู้สึกว่าลำบากมาก แต่ทุกตารางเมตรในประเทศไทย พระองค์เคยเสด็จฯแล้วทั้งสิ้น พระองค์ทรงรู้ว่ามีคนลำบากกว่า และรอพระองค์อยู่พระองค์จึงไป

พระราชดำรัสที่น้อมนำมาปฏิบัติ

มีหลายอย่างมากเลยครับ ทั้งเรื่องของความพากเพียร ซึ่งจำขึ้นใจเลยจากการที่เราประสบจากตัวเองในการแสดงพระมหาชนก และในความพากเพียรเราต้องมีสติปัญญาด้วย เจออุปสรรคต้องไม่ย่อท้อและสุขภาพพลานามัยต้องแข็งแรงสมบูรณ์ ต่อให้คุณฉลาดมาก ขยันมาก แต่ว่าคุณขี้โรคไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง ก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้น 3 อย่างต้องรวมกัน คือฉลาด มีสติปัญญา มีความรู้ ต้องมีร่างกายที่พร้อมด้วย แล้วพอเรามีความพากเพียรมันก็จะเกิดผล นี่แหละคือสิ่งที่พระมหาชนกในบทพระราชนิพนธ์ซ่อนไว้ และมีอีกพาร์ทหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องของต้นมะม่วง 2 ต้น ที่ต้นหนึ่งมีผลกับไม่มีผล ในอันเดิมก็คือประชาชนไปรุมทึ้งต้นที่มีผลจนพังเสียหาย และพระมหาชนกเวอร์ชั่นเก่า ก็ละไปนิพพาน ปล่อยให้ประชาชนลำบาก แต่พระมหาชนกเวอร์ชั่นของพระองค์ คือกลับมาดูแลประชาชน ให้ความรู้ว่าต้นที่มีผลจะดูแลยังไง ให้มีผลเก็บกินได้ยาวนาน ก็เหมือนกับประเทศไทยที่มีทรัพยากรเยอะ แต่ใช้อย่างเดียวไม่รู้จักรักษา ส่วนอีกต้นที่ไม่มีผลก็หาวิธี ซึ่งพระองค์ใช้วิชาการมาสอน มี 9 วิธีที่จะทำให้ต้นไม้สามารถออกผล คือตัดกิ่งทาบกิ่ง ต่อตากับต้นที่มีผล ซึ่งมันเทียบกับอาชีพอื่นๆได้ ไม่ใช่เฉพาะเกษตรกร มันไม่ใช่เรื่องของปาฏิหาริย์ แต่เป็นเรื่องของวิชาการวิทยาศาสตร์ และอีกหนึ่งอย่างคือเรื่องการทำความดี พระองค์บอกว่าการทำความดีมันยาก แต่ก็ต้องทำไม่งั้นสังคมก็จะมีแต่คนไม่ดี การทำเลวมันทำง่าย อยากทำ ทำปุ๊บเลวเลย แต่ว่าการทำความดีกว่าคนอื่นจะเห็นหรือว่ากว่าจะแสดงผลออกมา ต้องใช้เวลา บางความดีต้องทำเป็นปีๆ กว่าจะเห็นแต่ถ้าคุณไม่ทำก็จะไม่เห็นผลสักที เพราะฉะนั้นพระองค์จึงบอกว่า เริ่มต้นทำความดีเสียตั้งแต่วันนี้

สิ่งที่บอกกล่าวและถ่ายทอดสู่ลูก

ผมไม่ได้จัดครอสเปิดอบรมสอนเป็นข้อๆ นะครับ แต่ถ้าสถานการณ์ในชีวิต มีอะไรเข้ามาแล้วเราสามารถแทรกคำสอนเหล่านั้นได้ เราก็จะสอน อย่างเรื่องการทำความดี หรือว่าการยืนเคารพธงชาติ 8 โมงเช้า 6 โมงเย็นตรงนี้เป็นสิ่งที่เราเห็น บางทีเราก็ทำงานเพลินๆ เขาก็จะเตือนแล้วว่าเพลงชาติมาแล้ว เราก็จะต้องลุกขึ้นยืนพยายามทำให้เป็นนิสัย เวลาอยู่โรงเรียนเข้าแถวเขาก็ยืนเคารพธงชาติอยู่แล้ว แต่ตอนเย็นดูละครพอจะ 6 โมงเย็นเขาก็เตรียมตัวแล้ว และจะเตือนทุกคนในบ้านให้มายืนด้วยกัน (เห็นว่าน้องสิงห์ชอบทาน และสามารถปรุงอาหารซึ่งเป็นเมนูที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทาน ?) คือสืบเนื่องมาจากภรรยาผม (ผาณิต เจียรวิบูลยานนท์) เขาอยากให้ลูกดูแลตัวเองได้โดยที่ไม่ต้องมานั่งรอเราทำอาหาร ก็คิดว่าจะมีเมนูอะไรที่ทำแล้วง่ายมีประโยชน์ ก็เป็นเมนูไข่พระอาทิตย์ ซึ่งพระองค์ท่านมอบให้กับคนไทยโดยเป็นเมนูที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประกอบอาหารพระราชทานสมัยพระเทพฯ ยังทรงพระเยาว์ ซึ่งเป็นเมนูที่ทำง่ายและที่สำคัญคือเด็กๆก็ชอบ กินง่ายรวมทุกอย่างไว้ในนั้น แต่เขาก็จะมีการดัดแปลงใส่นู่นใส่นี่เพิ่มเติมเข้าไป ซึ่งพอทำเสร็จแล้วเขาก็กินหมดนะ ปกติเวลาเราทำให้หรือว่าซื้อมาให้กินก็มักจะกินไม่หมด แต่พอทำเองก็ต้องกินให้หมด และทำพอดีกิน รู้ว่าตัวเองชอบกินอะไรก็ต้องกินให้หมด เหมือนเป็นอุบายว่าสิ่งที่คุณทำคุณต้องรับผิดชอบ สิ่งที่คุณทำเลอะคุณก็ต้องเก็บกวาด จะบอกให้เขารู้คุณค่าของสิ่งของแต่ละอย่างที่กว่าเราจะหามาได้ครับ

ความภาคภูมิใจในฐานะคนไทย

สิ่งหนึ่งที่ไม่ต้องพูดอะไรเยอะและคนรับรู้ได้ไม่ใช่เฉพาะคนไทยแต่เป็นทั้งโลก รู้ว่าคนไทยรักในหลวงแค่ไหน และคำถามคือทำไมเราถึงรักในหลวง และจงรักภักดีกับพระองค์ท่านได้ถึงขนาดนี้ เพราะตลอด 70 ปี ที่พระองค์ท่านดูแลคนไทยมาท่านทรงงานหนักมาก เราทุกคนเห็น ไม่ว่าเราจะอยู่ในที่ที่พระองค์เสด็จฯไปช่วยเหลือหรือไม่ได้อยู่ เราก็จะเห็นในพระราชกรณียกิจทุกเมื่อเชื่อวัน ว่าเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราโชคดีแค่ไหนที่ได้เกิดเป็นคนไทย ที่มีพ่อคนเดียวกันที่ดูแลลูกได้ดีขนาดนี้ ลูกตีกันพระองค์ยังไม่ตำหนิใครเลยพระองค์ทรงเป็นกลาง

โดยส่วนตัวผมเคยเกเร แต่ไม่ได้ถึงขนาดว่าไปตีรันฟันแทงแค่โดดเรียนเราก็รู้สึกว่าเราเกเรแล้ว แต่พ่อผมกลับไม่พูดทั้งๆ ที่รู้ ตรงนั้นทำให้เรายิ่งรู้สึกผิด เราจะไม่ทำอีกแล้ว ซึ่งก็เหมือนกันนี่คือสิ่งที่พ่ออยากให้ลูกเข้าใจ โอเคคุณอาจจะใช้อารมณ์ก็เลยเกิดการทำร้ายกัน แต่พอเขาตายไปแล้วคุณอาจจะรู้สึกเสียใจในสิ่งที่คุณทำลงไป สำหรับบางคนมันเหมือนตกนรกทั้งเป็น อยากจะได้โอกาสในการแก้ตัว พระองค์ท่านก็ให้โอกาสถ้าเราเป็นเขาเราได้โอกาสนั้นเราจะไม่ทำความเลวอีกเลย เราจะทำแต่ความดี แต่ในอีกมุมหนึ่งถ้าคุณยังไม่เคยทำชั่ว คุณก็อย่าทำให้พ่อเสียใจอย่าเผลอให้ด้านมืดมาครอบงำ อย่าให้ความโลภมาบังคับให้คุณเลว เพราะว่าพ่อจะเสียใจ ท่านรักพวกเรามาก รักโดยไม่ลำเอียง ในฐานะลูก ในฐานะคนไทย อย่าตีกันเลย รักและสามัคคีกันจะดีกว่า ต่อให้ท่านไม่อยู่แล้วแต่ผมเชื่อว่าท่านอยู่บนสรวงสวรรค์และมองเราอยู่ครับ

กุหลาบสีเงิน

Star Retro : ‘แมคอินทอช’ รวมวง สนุกลืมวัย จัดเต็มเพลงโปรดในตำนาน วันวานยังหวานอยู่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/235798

วันอาทิตย์ ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2559, 06.00 น.

หลายคนคงได้โยกขยับ ร้องเพลงโปรด ตามศิลปินในดวงใจกันไปแล้วกับคอนเสิร์ตเดอะ พาเลซ แอนด์ ดิ ออริจินัล แน่นอนหนึ่งในแขกรับเชิญพิเศษบนเวทีกับเจ้าของเพลงดังวันวานยังหวานอยู่ อย่างวง “แมคอินทอช” อย่าง เหมียว-สมบัติ ขจรไชยกุล, ต้น-วงศกร รัศมิทัต,หนุ่ย-สมเกียรติ ชวนสมบูรณ์, หมู-กิติพันธ์ปุณกะบุตร, นิด-สุเมศ นาคสวัสดิ์ และ ปริ๊นซ์-มรุธา รัตนสัมพันธ์ ที่ขึ้นร้องโชว์กันแบบเต็มวง ให้แฟนเพลงได้ระลึกความหลัง ชนิดสร้างความสนุกสนานกันแบบลืมวัย แต่กว่าพวกเขาจะรวมตัวกันได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย ได้โอกาส “ทีมข่าวบันเทิงแนวหน้า” คลุกวงในถามความในใจมาฝากกัน

ความรู้สึกของการกลับมารวมวง

เหมียว: ดีใจเหมือนได้กลับบ้าน ตอนเป็นวัยรุ่นเด็กๆ ก็เพิ่งตั้งวง แมคอินทอช และเล่นด้วยกันตอนอายุ 20 พอมาตอนนี้เหมือนกับเรากำลังกลับมาบ้านที่เราเคยโตมาด้วยกัน ทุกคนเป็นทั้งเพื่อนพี่น้องกัน

ต้น: สนุกครับ เหมือนได้ย้อนวัยไปในยุคที่เราเป็นเด็กแล้วก็ได้เข้ามาในวง แมคอินทอชมาเล่นดนตรีด้วยกัน ซ้อมดนตรีกันอีกครั้ง ก็ได้คุยเล่นสนุกสนานกันเหมือนเดิม คอนเสิร์ตครั้งแรกที่เราได้กลับมารวมตัวกันคือ 30 ปีแมคอินทอชนั่นคือปีค.ศ. 2012 พอมาถึงครั้งนี้ก็ประมาณ 4 ปีผ่านมา แต่ในระหว่างนั้นก็มีบ้างประปรายอย่าง เช่นไปรวมกันเพื่อซ้อมแล้วไปออกรายการวันวานยังหวานอยู่เขาเชิญมาเราก็ไป และล่าสุดจริงๆ ก็คอนเสิร์ตครั้งนี้ครับ 4 กันยายน ที่ผ่านมาแต่หลังจากนี้ก็คงจะมีงานเรื่อยๆ เพราะก็มีคนถามมาเสมอ

หนุ่ย : ก็ต้องขอบใจต้น แมคอินทอชที่นำพวกเรากลับมาเป็นออริจินัลอีกครั้งหนึ่งในคอนเสิร์ตครั้งนี้ หลายๆ คนก็เป็นที่ชื่นชอบยอมรับ ก็ดีใจที่กลับมาได้เล่นดนตรีอีกครั้งหนึ่ง ตอนแรกคิดว่าจะเลิกไปแล้วนะ แต่จริงๆ แล้วก็ต้องกลับมาเล่นเพราะว่ามันอยู่ในสายเลือด ทุกครั้งที่สวมวิญญาณเล่นดนตรีก็ได้เลยนะ ถึงจะไม่คล่องตัวหรืออะไรก็ตามด้วยอายุเราที่มากขึ้นด้วย

หมู : เหมือนเราได้ย้อนชีวิตกลับไปตอนเด็กๆ ที่วันๆ เดี๋ยวก็ซ้อมดนตรี มีความสุขในการเล่นดนตรี สมัยในช่วงนั้นก็เรียนหนังสือไปด้วย ตอนนี้ก็สบายหน่อยไม่ต้องเรียนหนังสือแล้วชีวิตช่วงนี้ก็ค่อนข้างมีความสุขได้ทำอะไรเกี่ยวกับดนตรี

นิด : เหมือนเป็นการกลับมาเลี้ยงรุ่นได้เจอหน้ากัน น้องๆ พี่ๆ เพราะก็เจอกันมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว เคยทำงานมาด้วยกัน เล่นมาด้วยกัน ก็หวังว่าครั้งต่อไปจะมีอีกเรื่อยๆ

จุดเด่นของวง แมคอินทอช

หมู : แมคอินทอช เป็นวงที่เป็นมนุษย์นักคิด ชอบคิดชอบวางอะไรที่ไม่เหมือนชาวบ้านมีแนวเพลงเป็นสไตล์ป๊อปมิวสิก ตอนที่เราทำเพลงขึ้นมาก็ไม่ได้คิดว่าจะดังหรืออะไรนะ แต่เราอาศัยองค์ประกอบอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ตัว ไม่ว่าจะเป็นคนที่แต่งเพลง ทำมิวสิก ทุกคนที่ดูแลพวกเรา เรียกว่าเราเข้าสู่องค์ประกอบที่ครบ พอกลับมาครั้งนี้อีกทีก็ได้เล่นเพลงเก่าที่เราเล่นอยู่มีความรู้สึกต่างๆเกิดขึ้น อย่างผมเวลาเล่นเพลง วันวานยังหวานอยู่ จะขนลุกขึ้นในตัวเลย รู้สึกว่ามาแล้วพลัง วิญญาณศิลปินต่างๆ ยิ่งบอกว่าเป็นรูปแบบคอนเสิร์ตก็จะมีแรงฮึดมากเป็นพิเศษ เชื่อไหมครับว่าพลังจากเราสามารถส่งต่อและหยิบยื่นให้คนฟังได้นะ แล้วคนฟังก็จะรู้สึกทันทีและขนลุกตามทันที

ความรู้สึกที่สัมผัสได้บนเวทีคอนเสิร์ตเดอะ พาเลซ แอนด์ ดิ ออริจินัล

หมู: กลิ่นอายของดนตรีก็มีผสมทั้งเก่าและใหม่ การเล่นดนตรีจากจิตวิญญาณจริงๆที่เขาเรียกว่าความเป็น มิวสิคัล เรากลับมารวมตัวครั้งนี้ก็เหมือนเราได้กลับมาอยู่ในโลกของมิวสิคัลอีกครั้งหนึ่ง

ความผูกพันของสมาชิกในวงตอนนี้

ปริ๊นซ์ : เราเจอกันบ่อยอยู่แล้ว ไปทานข้าว เลี้ยงรุ่นกันบ่อยอยู่แล้ว แต่ความพิเศษครั้งนี้คือการได้กลับมาเล่นดนตรีให้แฟนเพลงดูอีกครั้งหนึ่ง กลิ่นอายเพลงยุคเก่าๆ ที่แฟนเพลงได้ซึบซับบนเวทีพร้อมกันกับพวกเรา “แมคอินทอช”

จากใจ วง แมคอินทอช ถึง วง เดอะ พาเลซ (The Palace)

หนุ่ย : บ้านเราอาจจะเป็นเรื่องที่แปลกใหม่เหมือนกันที่หลายๆ วงมารวมตัวกันแล้วก็ได้มีกิจกรรมในการเล่นดนตรีแบบนี้ เพราะถ้าเป็นเมืองนอกก็เป็นเรื่องปกตินะที่เขาก็ทำกันหลายวงที่กลับมารวมกันแบบนี้ อย่าง เดอะ พาเลซ เขาก็ได้รับการตอบรับจากแฟนเพลงที่เป็นยุคที่ย้อนไปสักประมาณ 20-30 ปี เขาก็ทำได้ดี เป็นเรื่องใหม่ๆ สำหรับบ้านเรา แต่ก็มีวงอื่นเขาได้รวมกันแต่ไม่ได้มีโอกาสออกคอนเสิร์ตแบบนี้ก็อาจจะเล่นไปตามสถานที่ต่างๆ บ้าง ส่วน เดอะ พาเลซ เขาก็กลับมาแบบบิ๊กบึ้มเลย

เหมียว : เป็นความแปลกใหม่ดีที่เขาเอาวงหลายๆ วงมารวมกันแล้วก็พอคนดูได้ดูก็จะเห็นความหลากหลาย เห็นพี่ต้นก็นึกถึง พี่เหมียวพี่หมู พี่ปริ๊นซ์ แมคอินทอช พี่เต้ย วงอินคา เป็นต้น ก็ทำให้เขาสามารถที่จะทวนความจำย้อนไปได้ว่าช่วงเวลานั้นเข้าทำอะไรอยู่ ผมว่าเป็นการขายความทรงจำนะ

นิด : รวมตัวกันได้สมบูรณ์แบบ แล้วก็เล่นดนตรีได้ดีมาก เพราะว่าการที่จะเป็น เดอะ พาเลซ ก็คือนักดนตรีที่มีฝีมือหมดของแต่ละวงมารวมกัน
ที่ทุกคนการันตีอยู่แล้วเพราะฉะนั้นออกมาดีแน่นอน

ฝากถึงศิลปินวงใหม่ๆ ในปัจจุบัน

เหมียว : การที่เราเล่นดนตรีเราเล่นดีอย่างเดียวไม่ได้ อย่างวงแมคอินทอช ถ้าไปเปรียบเทียบกับวงดนตรีอื่นๆ ไม่ได้เล่นดีเลยนะ เล่นอ่อนสู้เขาไม่ได้ด้วย แต่สิ่งหนึ่งที่คนไทยเขาให้ความนิยมก็คือการเป็นกันเองและการ อดทนกับน้องๆ แฟนคลับแฟนเพลง เรื่องมนุษยสัมพันธ์กับแฟนคลับผมถือว่าเรื่องนี้สำคัญมากนะ เช่น บางคนนะเล่นดีมาก กลับมีแฟนน้อยกว่าอีกวงที่เล่นไม่ดีแต่แฟนเพลงเยอะ ก็เป็นเรื่องที่น่าคิดนะว่า เราจะเล่นดีแล้วหยิ่งทะนงก็ไม่ได้เราจะต้องเอาใจแฟนๆ ด้วย อย่างสมัยนี้จะให้ผมแนะนำยังไงดีล่ะเพราะโลกเปลี่ยนไป กระแสไซเบอร์ ดิจิทัล ก็มีมากขึ้น จิตใจเด็กๆ รุ่นใหม่ๆ เขาก็มีวัฒนธรรมที่แตกต่างจากคนรุ่นเก่าๆ แต่ที่อยากจะสอนจริงๆ ก็ให้มองรุ่นพี่ๆ เขานิดหนึ่ง ไม่ใช่เอาแต่ใจตัว ต้องนึกถึงคนที่เราเป็นแฟนคลับเราด้วย

เทคนิคดีๆ แบบนี้วงรุ่นพี่แนะนำมานักดนตรีสมัยใหม่ควรเอาเป็นแบบอย่างไว้ด้วยสักข้อก็ไม่เสียหายอะไร เพราะอนาคตไม่มีอะไรแน่นอน ที่สำคัญอย่าหยุดพัฒนาผลงานและรักษาน้ำใจคนวงการเดียวกัน หรือแม้กระทั่งแฟนเพลงที่พวกเขาคอยสนับสนุนคุณ แล้วคุณจะเป็นที่ยอมรับของแฟนเพลงได้อย่างน่าภาคภูมิใจอย่างเช่นพี่ๆ วง “แมคอินทอช”