Star Retro : เจาะชีวิตอดีตนางเอกหน้าหวาน กับบทบาท พันตรีหญิง โอ๋-ญดา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/293757

Star Retro : เจาะชีวิตอดีตนางเอกหน้าหวาน กับบทบาท พันตรีหญิง โอ๋-ญดา

Star Retro : เจาะชีวิตอดีตนางเอกหน้าหวาน กับบทบาท พันตรีหญิง โอ๋-ญดา

วันอาทิตย์ ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2560, 06.00 น.

หลังห่างหายจากวงการบันเทิงไปรับราชการทหารและมีชีวิตครอบครัว โอ๋-ญดา หรือ พันตรีหญิงญดา โชติชูตระกูล กลับมาให้แฟนๆ หายคิดถึงในฐานะ ผู้ประกาศข่าวช่อง 5แต่กว่าจะก้าวสู่หน้าที่นี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เบื้องหลังความสำเร็จของเธอคืออะไร สตาร์เรโทรสัปดาห์นี้พาตามติดชีวิตอดีตนางเอกหน้าหวานคนนี้กันค่ะ

งานหลักในปัจจุบัน

ตอนนี้โอ๋อ่านข่าวอยู่ที่ช่อง 5 ค่ะ อ่านช่วงข่าวเบรก แล้วก็ข่าวช่วงเที่ยงคืน ข่าวเด็ดภาคดึก แล้วก็มีทำรายการคุยข่าวสิบโมง ช่อง 5 วันจันทร์-วันศุกร์ (เวลา 09.50 น.) อันนี้ทำมาตลอดไม่ได้หยุดเลย เพียงแต่ว่าอาจจะมีช่วงหนึ่งที่พอดีว่าท้อง แล้วก็ต้องเลี้ยงลูก ก็เลยอาจจะไม่ค่อยได้เห็นกัน เพราะโอ๋เองก็ไม่ได้ออกไปไหนเลย ส่วนงานแสดงก็เพิ่งไปเล่นรับเชิญให้กับ หม่อมหลวงนรานุกูล ชุมพล เป็นละครภาพยนตร์เทิดพระเกียรติอิงประวัติศาสตร์แห่งชาติเรื่อง “ทหารกล้ากรุงศรีอยุธยา” ออกอากาศทางช่อง 5 และช่อง now ช่วงปลายปีนี้โอ๋เล่นเป็นคุณหมอ แล้วก็มีงานประจำคือรับราชการทหารค่ะ

บทบาทหน้าที่ของทหารหญิง

โอ๋เป็นทหาร พันตรีหญิง ช่วยราชการอยู่ที่กระทรวงกลาโหม เพราฉะนั้นปกติทุกวันโอ๋จะต้องเข้าไปที่ทำงาน ณ ตอนนี้หน้าที่คือ ดูในส่วนของงานเอกสาร แล้วก็ดูในเรื่องของข่าวบ้างนิดหน่อย ในแต่ละวันมีข่าวอะไรบ้าง จับประเด็นขึ้นมา ก็เป็นทหารมาประมาณ 11 ปี ได้แล้วค่ะ ถามว่าเป็นความใฝ่ฝันไหม ก็ไม่ได้คิดได้ฝันค่ะ แต่เป็นจังหวะที่พอดีว่าแม่อยากให้ทำงานประจำ เพราะ
ครอบครัวโอ๋เป็นข้าราชการ ก็เลยลองมาสมัครทหารดูแล้วตรงกับสาขาที่เขาต้องการพอดี ก็โอเค.ได้มาทำ โอ๋เริ่มจากการฝึกทหารก่อน พอฝึกปุ๊บสิ่งที่เราเห็นก็คือสิ่งที่เขาปลูกฝัง เราก็จะเริ่มมีวินัยมากขึ้น เริ่มมองเห็นอะไรมากขึ้น มองเห็นคุณค่าในหลายๆ สิ่งมากขึ้นฝึกในเรื่องของความรักต่อเพื่อนฝูง ทุกอย่างเลย ฝึกหมดความอดทน ฝึกในการทำให้ร่างกายแข็งแรง บางช่วงก็มาช่วยราชการช่อง 5 บ้าง กลับกรมฯ บ้าง ซึ่งช่อง 5 ก็เป็นอีกพาร์ทหนึ่งที่เป็นของกองทัพบกด้วย อยู่ในส่วนเดียวกันค่ะ ก็เลยมีโอกาสมาอ่านข่าวที่ช่อง 5 ฉะนั้นก็จะมีช่วงที่โอ๋หายไป ซึ่งไม่ได้หายไปไหนมารับราชการเป็นทหารนี่แหละค่ะ

เข้าสู่บทบาทของผู้ประกาศข่าว

อย่างที่บอกเริ่มต้นจากที่โอ๋มาช่วยราชการที่ช่อง 5 แล้วก็ลงมาบรรจุในตำแหน่งของผู้สื่อข่าว เป็นห้วงเวลา 1 ปี ช่วงนั้นก็ต้องไปทำข่าว ก่อนที่เราจะได้อ่าน ก็ต้องลงมือไปทำข่าวด้วย วิ่งออกกอง แรกๆ สมัยก่อนตัวผอมไง (หัวเราะ) เบียดเข้าไปก็ไม่ถึง โดนชนกระเด็นบ้าง พี่ๆ เขาก็น่ารักช่วยเหลือ วิ่งตามข่าวออกภาคสนาม ทำทุกอย่างตั้งแต่เริ่มต้นเลยค่ะ ตอนนั้นเหนื่อยนะ (หัวเราะร่วน) บางทีก็รู้สึกท้อ วันหยุดไม่มีเลย เพราะฉะนั้นโอ๋เข้าใจพี่ๆ นักข่าวทุกคนเลยนะ ชีวิตไม่มีวันหยุด คือตลอดเวลาแล้วยังแบบเข้าเวรอีก โอ้ย..วันหยุดฉันหายไปไหน พอจะหยุดเหมือนรู้ ข่าวใหม่มาอีกละ ก็ต้องตาม อยู่ในสถานการณ์ที่ตื่นเต้นตลอดเวลา ซึ่งตอนนั้นยังไม่แต่งงาน ก็เลยเรียกว่ายังมีไฟในการวิ่งตามข่าวอยู่ค่ะ (หัวเราะร่วน) ตอนนี้หมดละ นั่งอ่านอย่างเดียวแล้ว

ค่อยๆ เรียนรู้อย่างตั้งใจ

คือโดยระบบของทางช่อง ก็ต้องฝึกก่อน ออกไปทำข่าวให้ครบทุกสาย ฝึกเขียนข่าว โอ๋จะเขียนแล้วส่งวิทยุ ก็ต้องให้หลายๆ คนช่วย เพราะเราไม่เคยเขียน ไม่รู้จะเขียนยังไง พอจะเขียนก็ไม่เหมือนเราพูด เพราะถ้าเราจะพูดเราอ่านจับใจความแล้วพูดปุ๊บ แต่พอให้เขียน ไม่รู้จะเริ่มยังไง คือโอ๋เรียนนิเทศศาสตร์มาค่ะ แต่ไม่ได้เรียนด้านเขียนข่าว โอ๋เรียนโฆษณาก็เลยต้องมาเรียนรู้ใหม่ ให้พี่ๆ เขาช่วยแนะนำ

เทคนิคผู้ประกาศ

เบื้องต้นเลยนะคะคือการใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง อันนี้สำคัญมาก ทั้งในเรื่องของคำควบกล้ำ ร. เรือ ล. ลิง คือถ้าเกิดสมมุติว่าอยากที่จะเป็น เราควรที่จะฝึกพูดตรงนี้เอาไว้เยอะๆ และพูดให้ชิน เพราะว่าถ้ามันอยู่ในความเคยชินของเรา พอวันหนึ่งเราไปทำหน้าที่ตรงนั้นแล้ว มันก็จะง่าย ถ้าเราไม่คุ้นชินกับการพูดให้ถูกอักขระตั้งแต่ต้น พอไปทำ เราจะเกร็ง โอ๋เองก็ต้องฝึกนานเหมือนกันกว่าจะชิน

ย้อนวันวานกับบทบาทงานแสดง

จริงๆ แล้วโอ๋เริ่มจากการไปแคสติ้งโฆษณาแล้วพอได้ก็เริ่มมีงานเข้ามาเรื่อยๆ แล้วก็ทำจนรู้สึกว่า สนุกดีนะ แล้วก็มีความรูสึกว่าเป็นอีกอาชีพหนึ่งที่ทำให้เรามีความรับผิดชอบมากขึ้น มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น จากที่เราเคยขอเงินแม่ทุกวัน เราก็ไม่ต้องขอแล้ว เรามีรายได้เป็นของตัวเอง แล้วก็รู้สึกว่าเป็นความภาคภูมิใจอย่างหนึ่ง เหมือนกับมันฝึกให้เราโตขึ้นกว่าคนอื่น เพราะเราจะต้องเริ่มที่จะทำงานกับคนจำนวนมาก ตอนนั้นโอ๋อายุประมาณ 18 ปี ละครเรื่องแรกที่เล่นแบบเต็มตัวเรื่อง “คู่เขย คู่ขวัญ” ทางช่อง 7 ของค่ายดาราวิดีโอ แล้วก็มาเล่น “หนุ่มทิพย์” ช่อง 7 ตอนหลังก็มาเล่นให้ทางค่ายกันตนาค่ะ

ละครเรื่องแรก

เกร็งมากค่ะ เพราะทุกคนเก่งหมดเลย แล้วเราล่ะ ใหม่อยู่คนเดียว (หัเวราะ) แต่โชคดีที่บทไม่ต้องอะไรเยอะมาก เล่นเป็นนิ่งๆ หน่อย คาแร็กเตอร์เรียบร้อย ก็โอเคได้อยู่ เล่นไปก็รู้สึกว่าสนุกดี แต่ความรู้สึกครั้งแรกที่เราดูในทีวี.ในฐานะคนดูละคร เรามองว่าภาพนี้สวยมาก แต่ในความเป็นจริงพอไปถ่ายจริงไม่ใช่ ฉากป่าดูสวยงาม แต่เบื้องหลังจริงๆโอ้โห..สารพัดแมลงแต่พอได้ทำไปเรื่อยๆ ก็สนุกดีค่ะเป็นอะไรที่แปลกใหม่ที่เราจะต้องเจอตลอดเวลา ทุกอย่างจะไม่ซ้ำกัน มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาแล้วบทที่โอ๋ได้รับมักเรียบร้อย จะมีฉีกไปร้ายนิดหนึ่งเรื่อง “ดั่งสวรรค์สาป” ช่อง 7 ถามว่าชอบบทแบบไหนโอ๋ว่าเราเป็นนักแสดงเราก็เล่นได้ทุกบทนะมาบทไหนก็ว่ากันไปตามบทนั้นๆ

จับไมค์ร้องเพลงก็ทำได้

ร้องเพลงก็เคยทำค่ะ นานมากแล้ว 10 กว่าปีแล้ว คือเหมือนเขาเอาเพลงเก่ามาทำใหม่ ก็ไปร้องให้เขาเพลงหนึ่งเป็นฮิบฮอปหน่อยๆ แต่ถามว่างานอะไรในวงการที่ชอบก็คงเป็นงานแสดงละครค่ะ จนทุกวันนี้ก็บอกได้เลยว่ามีความสุขทุกครั้งที่ได้เป็นเล่นบทที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่ซ้ำกันเลย

ผลงานแจ้งเกิด

เรื่อง “คู่เขย คู่ขวัญ” คนจำเราได้ เราเองก็ดีใจนะคะ ว่ามีคนดูเราเล่นด้วยแหละ ก็จะรู้สึกดี ภูมิใจ ตลอดระยะเวลาที่เล่นละครอยู่ประมาณ 10 ปี มีคนทักทายตลอด บางทีเหมือนเขาจะจำไม่ได้นะ เพราะโอ๋แบบกระเซอะกระเซิง ใส่แว่น หน้าป้ามาก ปรากฏว่าจำได้ เขาบอกจำเสียงได้ เราก็แบบ โห..ขนาดนั้น ตกใจ (ยิ้ม) ขอบคุณมากๆ ค่ะ ที่ยังระลึกถึงกัน เจอก็ทักทายกัน ช่วงหลังๆ บางคนก็ถามว่าเมื่อไหร่จะเล่นละคร ก็อยากให้ติดตามผลงานกันไปเรื่อยๆ ค่ะ โอ๋มีอินสตาแกรม @yadaoh ติดตามกันได้ทางนั้นค่ะ

มองงานเบื้องหลัง

ก็มีคิดๆ นะคะ แต่ยังไม่รู้ว่าจะไปทางไหน ค่อยว่ากันอีกทีในอนาคต เพราะเราก็ยังมีงานหลัก คือเป็นทหารอยู่ จะขยับอะไรก็จะค่อนข้างยากนิดหนึ่ง แต่ก็มีทำบ้างเป็นสกู๊ป สารคดี เล็กๆ นิดหน่อย ไม่ได้เยอะ มีมาก็ทำค่ะ

ชีวิตครอบครัว

ตอนนี้มีลูกสาวคนเดียวค่ะ อายุ 2 ขวบครึ่ง ชื่อน้อง “น้องเรโกะ” ก็เป็นคุณแม่ที่ค่อนข้างดุนิดหนึ่ง(หัวเราะ) แต่ไม่ได้อยากจะดุนะคะ เราเป็นห่วงเขามากกว่า แล้วเด็กวัยนี้เป็นวัยที่อยากรู้อยากเห็น บางทีถ้าเขารู้สึกว่า ทำไมล่ะ เราก็จะให้เขารู้เอง พอเขารู้เองเขาจะเข้าใจ คราวหน้าเราเตือน เขาจะฟัง ใช้การพูดเลี้ยงด้วยเหตุผล ไม่ตีค่ะ มีการพูดคุยกัน มีการเรียนรู้จริงๆ โอ๋มีความรู้สึกว่า เราควรจะปล่อยเด็กไปตามธรรมชาติ อย่างเรโกะเขาจะเป็นแบบ อยากรู้อยากเห็น หยิบของมาชิ้นหนึ่งก็แกะจนเหลือเป็นชิ้นเล็กที่สุด โอ๋ก็จะปล่อยให้เขาทำ เพราะเป็นพัฒนาการของเขา

งานประจำ และ หน้าที่คุณแม่

เหนื่อยนะเพราะว่าโอ๋ให้นมลูกจนถึง 2 ขวบ เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพราะฉะนั้นจะค่อนข้างเหนื่อยกว่าคนอื่น เพราะเราต้องมีเวลาในการปั้มนม ก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก บวกกับโอ๋มีน้ำนมไม่ค่อยเยอะ ต้องทำยังไงให้ลูกเรามีนมกินได้ตลอด เราก็ต้องบำรุงร่างกายของเรา ฉะนั้นช่วงหนึ่งก็จะอ้วนมาก ก็กินวิตามิน แล้วก็ในเรื่องของการเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ แต่พอเลิกให้นมลูก ก็จะเริ่มควบคุมน้ำหนัก กลับมาเลือกทานอาหารลดแป้ง ลดอาหารเย็น

วางแผนอนาคตให้ลูก

ไม่วางอะไรเลยค่ะ ถึงเวลาให้เขาเลือกเองว่าเขาอยากจะทำอะไรมากกว่า บางที่สิ่งที่เราเลือกกับสิ่งที่เขาชอบอาจจะไม่เหมือนกัน ในความคิดของโอ๋ตอนนี้คือพยายามมองหาว่าเขาชอบอะไร แล้วค่อยสนับสนุนในสิ่งที่เขาชอบดีกว่า ตอนนี้ก็ยังไม่เห็นอะไรที่ชัดเจนเท่าไหร่ เพราะยังเด็กอยู่ค่ะ ค่อยๆ ดูไป

ให้เวลาสวีทกับสามี

ไม่ค่อยนะคะ ช่วงนี้ส่วนใหญ่เวลาจะเทลงไปที่ลูกหมดเลย ด้วยความที่เราอาจจะมีลูกยากด้วย พอมีปุ๊บก็เลยทุ่มไปให้ลูกหมดเลย ยอมรับเลยว่าหวงและห่วงมาก ลูกคนเดียว (ยิ้ม) เอ๊ะ..อันนี้จะไปแล้วป่วยติดเชื้อโรคหรือเปล่า ก็จะระวังไปหมด เล่นของเล่นรวมกับเด็กอื่นก็ต้องเช็ดมือนะ มีความกังวล ฉะนั้นโอ๋กับสามีเราจะอยู่กันด้วยความเข้าใจ โอ๋ว่าถ้าเราได้เพื่อนสนิทมากๆ คนหนึ่งเราก็จะคุยกันง่ายขึ้นโอ๋แต่งงาน 6 ปี สิ่งสำคัญในชีวิตคู่เลยก็คือการให้เกียรติซึ่งกันและกัน คือ เราอยู่ได้ทุกวันนี้เพราะเราเชื่อมั่นในตัวเขา เราให้เกียรติเขา เรารู้สึกว่า เออ..เรามีความเคารพซึ่งกันและกัน อยู่กันไม่ได้ทะเลาะกันชีวิตอยู่ไปเรื่อยๆ มีความสุข

แพลนชีวิตต่อจากนี้

รับราชการไปเรื่อยๆ ค่ะ ส่วนงานแสดงถ้ามีโอกาสได้เล่นละครอีกก็ยินดี ยังรักและคิดถึง คือพอเรานั่งอยู่บ้านเลี้ยงลูกดูละคร ก็แบบมีอารมณ์ว่าอยากจะเล่นอยู่เหมือนกัน มีความรู้สึกว่าไปเล่นบ้าง
ก็ดีนะ (ยิ้ม) ก็น่าจะสนุกดี

งานอดิเรกชวนหลงใหล

โอ๋เลี้ยงปลาคาร์ฟ แต่ก็ไม่ค่อยเหลือแล้วนะคะตายไปหลายตัวแล้ว (หัวเราะ) คือโอ๋เลี้ยงปลาคาร์ฟแต่ไม่ได้ละเอียดมากนะ เริ่มจากว่าปลาที่บ้านตายก็เลยไปหาซื้อแล้วมีเพื่อนทำฟาร์มปลา แล้วเราไปเห็นก็เลยชอบ ชื่อพันธุ์คาราชิ ซึ่งพอเรายื่นมือเราไปเขาจะมากินอาหารที่มือเรา ดูดนิ้วเรา มาเล่นกับเราก็เลยชอบ แล้วก็ขุดบ่อที่บ้านเป็นเรื่องเป็นราว สั่งทำบ่อบำบัดน้ำ เอาปลาคาร์ฟลง ตอนแรกลงไปประมาณ 10 ตัว ตอนนี้ตายไปหมดละ เหลือ 6 ตัวค่ะ เสียดายมาก แต่ไม่รู้จะทำยังไง คืออาจจะด้วยเขาติดเชื้อเพราะฝนตกตลอด หรืออะไรเราก็ไม่รู้ ก็เลี้ยงตัวที่เหลือต่อไป ส่วนเรื่องการเปลี่ยนน้ำทำความสะอาดบ่อก็เป็นหน้าที่สามีทำให้ เพราะเราสนับสนุนซึ่งกันและกัน (หัวเราะ)

อีกหนึ่งคนบันเทิงที่ไม่ต้องอิงกระแสข่าวหวือหวาเพื่อนำพาตัวเองให้โด่งดัง เพราะหลายคนก็ยังจำและคิดถึงเธอเสมอ “โอ๋-ญดา โชติชูตระกูล”

กุหลาบสีเงิน

Star Retro : ‘อี๊ด’ สำราญ ช่วยจำแนก รอเวลาทลายกำแพงความกล้า

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/292477

Star Retro : ‘อี๊ด’ สำราญ ช่วยจำแนก รอเวลาทลายกำแพงความกล้า

Star Retro : ‘อี๊ด’ สำราญ ช่วยจำแนก รอเวลาทลายกำแพงความกล้า

วันอาทิตย์ ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2560, 06.00 น.

ถือว่าเป็นนักดนตรีที่มีชื่อเสียงโด่งดัง แถมยังเป็นที่นิยมชมชอบของมิตรรักแฟนเพลงมาโดยตลอดซึ่งไม่มีใครไม่รู้จักกับ “อี๊ด วงฟลาย” หรือ “สำราญ ช่วยจำแนก” เจ้าของเอกลักษณ์ หัวโล้น แว่นตาดำ ผู้มีลีลาการร้องเฉพาะตัว วันนี้ในวัย 53 ปี อี๊ดยังมีพลังงานและเชื้อไฟร็อกที่เหลือล้น ตะลอนทัวร์คอนเสิร์ตร้องเพลงมอบความสุขให้แฟนๆ อย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับหน้าที่หัวหน้าครอบครัวที่ไม่มีขาดตกบกพร่อง เมื่อมีโอกาสพบเจอ จึงต้องขอจับเข่าเม้าท์ อัพเดทเรื่องราว

เส้นทางก้าวสู่ “อี๊ด ฟลาย”

ตอนนั้นเล่นอยู่ที่ Hollywood ผับ เป็นช่วงที่ปรับตัวเล่นเพลงที่เป็นสไตล์ร็อก แนวเพลงอัลเทอร์เนทีฟร็อกกำลังเข้ามาใหม่ๆ มีเพลงของ Green Day, Nirvana เพลงต่างๆ เหล่านั้น เราเอามาร้องแล้วก็เอามาเล่นกันก็เกิดเป็นเพอร์ฟอร์มขึ้นมา คือจะเห็นตัวตนเราชัดเจนเวลาเราเล่นดนตรีถ่ายทอดออกไป แล้วก็เกิดภาพๆ หนึ่งขึ้นมา ข่าวสารต่างๆ ก็ไปถึงคนทำธุรกิจเพลงในค่ายแกรมมี่ ซึ่งผู้ใหญ่ก็เข้ามาดู เสร็จแล้วก็เรียกไปคุยกัน และได้พบกับพี่เต๋อ (เรวัต พุทธินันทน์) แล้วก็เข้าสู่วงการเพลงจริงๆ จังๆ

ชอบดนตรีมาตั้งแต่เด็กๆ

ผมเริ่มเล่นดนตรีอาชีพตอนประมาณอายุ 19 ปี ตอนแรกเล่นดนตรีหลายชิ้น เริ่มเล่นกลอง คีย์บอร์ด แต่พอช่วงหลังๆ ทำวงก็ออกมาร้องนำ ผมเป็นคนที่ชอบฟังเพลงนะ ชอบร้องเพลงอยู่แล้ว เวลาเราฟังก็จะได้ยินเสียงกลอง ได้ยินจังหวะต่างๆ ก็เลยได้เล่นกลองเป็นไปด้วย การเป็นนักร้องจริงๆ เหนื่อยนะครับ เพราะนักร้องใช้แรงเต็มๆ อย่างเดียว ต้องดูแลตัวเอง ต้องแข็งแรงมากๆ ผมเองไม่เคยเรียนร้องเพลงเลยตั้งแต่ไหนแต่ไรเรียนรู้ด้วยการก๊อบปี้ เพลงสากลเพลงร็อก เพลงป๊อป ช่วงที่เรายังไม่ได้ออกอัลบั้มก็ก๊อบปี้คนอื่นมาตลอด แล้วช่วงหลังมีไปเรียนนิดหนึ่งเพื่อเอาความรู้ในภาคทฤษฎี (หัวเราะ)

เข้าสู่รูปแบบศิลปินเต็มขั้น

เราได้ทำงานที่เรารัก เราได้ใช้ทักษะที่เราได้เรียนรู้มาทั้งหมดที่ผ่านมาหลายๆ ปีในแนวเพลงทุกๆ แนวเราก็ปรับตัวเอามาใช้ในงาน เวลาบันทึกเสียง ทำเอ็มวี หรือทำอะไรก็ตาม กับพี่ๆ ผู้ใหญ่คนที่มีประสบการณ์ เราก็ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ต่างๆ เหล่านั้นมาเรื่อยๆ ชีวิตก็ดีขึ้น อย่างน้อยเราก็มีอาชีพที่มีคนรู้จักเรา พวกเราโชคดีนะ เพราะเวลาเราไปที่ไหนคนรอที่จะฟังเพลงเรา ไม่ต้องเรียกเขามาฟังเพลง แค่เราไปปรากฏตัวแล้วก็ร้องเพลงให้เขาฟัง แค่นั้นก็มีความสุข

แนวเพลงที่ถนัด

ก่อนหน้าผมก็ร้องเพลงร็อกเป็นหลักแต่ในช่วงที่ยังไม่ได้ออกอัลบั้มของตัวเอง เราร้องเพลงทุกแนวเลย สะเปะสะปะหาแนวถนัดของตัวเองไปเรื่อยๆ อยู่พักหนึ่ง จนรู้ว่า เฮ้ยจริงๆ แล้วเราชอบ “ร็อก” เราไม่จำเป็นที่จะต้องร้องไปวันๆ เพื่อตามใจคนฟัง แล้วเราไม่มีตัวตนฉะนั้นพอเราไม่มีตัวตนอาชีพนี้ก็จะไม่เกิดขึ้นกับเราอย่างยั่งยืน ก็เลยหันกลับมาสร้างสิ่งที่เราชอบดีกว่า ก่อนหน้านั้นก็คร่ำหวอดอยู่หลายที่ครับ ไม่ว่าจะเป็นในล็อบบี้โรงแรม ร้านอาหาร ผับ คือร้องเพลงหลากหลายมาก ทั้งเพลงไทย สากล ก็เลยได้มีโอกาสเลือกเพลงที่ชอบและปรับตัว ตอนนั้นก็เริ่มรู้แล้วว่าชอบเพลงแนวร็อกก็เลยพยายามทำและถ่ายทอดออกไปให้ได้มากที่สุดจนเกิดเป็นตัวตนเราขึ้นมา

อัลบั้มชุดแรกตอนวัยเลข 3

ตอนนั้นชุดแรกที่ออก ผมอายุ 31 ปี ซึ่งส่วนตัวไม่เคยคิดจะออกอัลบั้มใดๆ เลยนะ ใฝ่ฝันแค่ว่า เวลาเราได้เล่นดนตรีแล้วเรามีความสุขแค่นั้นเอง เป้าหมายสูงสุดทางดนตรีที่คิดไว้ตอนนั้นคือ ไม่มี ไม่ได้คิด แต่ว่าเส้นทางก็พาเราเดินไปเอง เพราะความรัก พอเรารักเราก็ทำเต็มที่

เลือดศิลปิน

มาเองตามเส้นทางนะผมว่า เมื่อเราทำๆ และทำในสิ่งที่เราชอบ แล้วเราก็พัฒนา ก็เป็นเส้นทางที่จะถูกขยายต่อของมันไปเองแหละ ซึ่งอัลบั้มแรกก็ทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรมากมาย ทำให้คนรู้จัก วงฟลาย จากเพลงใบไม้ ผมว่าสิ่งที่สื่อชัดเจนให้คนรู้จักวง ฟลาย ก็คือตัวเนื้อหาของเพลง ความเปรียบเทียบ เปรียบเปรย ภาษาของเพลงที่สวยงาม แล้วตัวตนเราแค่เป็นส่วนประกอบหนึ่งอยู่ตรงนั้น ทำให้คนก็จำภาพลักษณ์ของเราได้ แต่สำคัญที่สุดคือตัวเพลง ซึ่งหลักๆ ฟลาย มีอัลบั้มไม่ได้เยอะที่เห็นก็จะมี Fly 12 ปีก, Fly แมลงเพลง, Fly 2 K, Flyman และ Modifly ส่วนของผมเองก็จะมีอัลบั้มพิเศษเดี่ยวของตัวเองด้วย รวมไปถึงอัลบั้มเพลงประกอบละครอะไรต่างๆ บ้าง

ทรงผมกับภาพจำของแฟนๆ

ปกติไม่ได้เป็นแบบนี้นะ ช่วงแรกๆ ก่อนจะออกอัลบั้ม ไม่ได้โกนหัวมาก่อน ที่ได้ทรงนี้มาก็เพราะเป็นช่วงสกินเฮดดัง โปรโมเตอร์ก็แนะแนวมาว่าโกนหัวไหมเราก็เลยบอกว่าได้สิ แล้วก็ลองเทสต์ดู แล้วโอเคได้ ผมเองก็ไม่ติดอะไร หลังจากนั้นก็เป็นแบบนี้มาตลอด ผมไม่เคยคิดอยากจะมีผมเลยนะหลังจากนั้น (หัวเราะร่วน) ตอนนี้เราชินกับความเป็นตัวตนแบบนี้แล้วล่ะ

ยุคทองของ ฟลาย

อัลบั้มชุดแรกวงฟลายประสบความสำเร็จมากๆ เป็นวงดนตรีแนวใหม่ ได้รับรางวัลพระพิฆเนศทองพระราชทาน ด้วย ตอนนั้นได้ในเพลง ใบไม้ ซึ่งก็มีผู้ใหญ่ในค่ายแกรมมี่ พี่นิ่ม สีฟ้า เขียนเพลงใบไม้ ซึ่งก็ถามว่ารู้สึกอะไรกับความดังไหม ตอนนั้นไม่รู้สึกอะไรเลยนะ ไม่รู้ว่าตัวเองดัง แต่รู้สึกว่าเราได้ทำงานที่เรารัก แค่นั้นจริงๆ อาจจะเพราะว่าเราทำงานแบบที่เรารักมานานแล้ว ก่อนที่เราจะมีผลงานออกอัลบั้มเป็นศิลปินจริงๆ เคยทัวร์คอนเสิร์ตเยอะสุดวันหนึ่งก็ 2-3 งาน ก็จะเป็นช่วง Fly 2 K เพลง ชาวนากับงูเห่า ก็ค่อนข้างเหนื่อยเหมือนกันเพราะนักร้องต้องพักผ่อน เราใช้เสียงเยอะมากๆ คอจะระบม แต่ว่าเราก็ต้องจัดสรรตัวเอง

ความภูมิใจในวันนี้

ภูมิใจมาก และคนที่ผมระลึกถึงเสมอคือ พี่เต๋อ (เรวัต พุทธินันทน์) ที่ให้โอกาสวงพวกเรา วงนักดนตรีกลางคืน นักดนตรีภูธร ได้มีโอกาสมาทำงานที่ตัวเองรัก แล้วก็ได้เสนอผลงานนั้นออกสู่สาธารณชน พี่เต๋อเป็นคนแรกที่หยิบวงเหล่านี้มา วงแรกคือ วายน็อตเซเว่น(Y Not 7) และวงที่สอง คือ วงฟลาย (Fly) พี่เต๋อเป็นคนเปิดโอกาสให้กับพวกเรานักดนตรีที่แบบคือเล่นดนตรีไปวันๆ แต่พี่เต๋อเคยพูดไว้ว่า บุคคลเหล่านี้เขามีความตั้งใจที่จะเล่นดนตรี เวลาเอามาทำงานออกเทปมันจะง่าย และเขามีประสบการณ์ ผ่านอะไรมาเยอะโชกโชน เลยทำให้ง่ายที่จะจับมาสร้างงานให้เขา กับที่ต้องปั้นขึ้นมาใหม่กว่าจะใช้งานได้ กับพวกคนเหล่านี้ที่มีทักษะอยู่แล้ว แค่มาเติมอะไรบางอย่างที่เขาขาดไปเล็กๆ น้อยๆ แล้วให้โอกาสเขา ไม่จำเป็นที่จะต้องไปคัดรูปลักษณ์มา เพราะเพลงเป็นศิลปะ ผมก็เป็นหนึ่งคนที่ได้โอกาสจากพี่เต๋อ ได้มีอี๊ด ฟลาย ก็เพราะพี่เต๋อ

ช่วงชีวิตในวงการเพลงที่ลำบากใจ

ผมว่าเรื่องพวกนี้เป็นปกติอยู่แล้ว ในช่วงชีวิตหนึ่งของเรามีแน่นอน ช่วงที่เราพีคมากๆ ก็รับงานเยอะแยะ มีเงินมีทองเข้ามา แต่ถ้าวันหนึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลง มีคลื่นลูกใหม่เกิดขึ้นมาก็เป็นเรื่องปกติผมเองเข้าใจอยู่แล้วเป็นสัจธรรม

แรงบันดาลใจเวลาท้อถอย

ผมไม่ค่อยท้อนะเพราะผมเข้าใจ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป แต่ถ้าเกิดเรายังตั้งอยู่เราก็ใช้ชีวิตให้มีคุณค่าแล้วพอเรารู้สึกว่าชีวิตกำลังดาวดิ่งไม่ดีเลย แล้วต้องหาทางแก้ไขเดี๋ยวนั้นไม่ใช่ผม ผมคิดว่าอะไรก็ได้ที่สามารถทำให้ครอบครัว คนที่เรารัก มีความสุขได้ ไม่จำเป็นจะต้องมีเงินเยอะ ส่วนหนึ่งที่รู้สึกแบบนี้น่าจะมาจากการได้ไปทำงานเป็นจิตอาสาในงานของพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลที่ 9 ผมไปทำเป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ให้กับมูลนิธิพระดาบส ผมชอบเอาตัวเองไปอยู่ตรงนั้น ก็ทำมาแล้วเกือบ 10 ปี ทุกวันนี้ก็เป็นอยู่ หน้าที่คือช่วยในเรื่องของการเป็นประชาสัมพันธ์ให้หลายๆ คนรู้จักโครงการนี้ช่วยกันบริจาคเงินเข้ามา เพื่อช่วยเด็กที่ด้อยโอกาส

ทำงานอย่างมีความสุข

เวลาเราไปทำงานเป็นจิตอาสาช่วยเหลือคนอื่นแบบนี้ผมว่าอย่างน้อยเราได้เห็นมุมมองของการให้ในรูปแบบที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทำเป็นต้นแบบไว้ให้พวกเรามาโดยตลอด นี่คือการให้ที่แท้จริง เมื่อเรารู้จักการให้เวลาเราดาวน์หรือรู้สึกท้อแท้ใจก็จะน้อยลง ไม่มี เพราะคนอื่นก็ลำบากกว่าเราเยอะแยะ เราเห็นแล้ว คือเหมือนเป็นเชื้อเพลิง มีคนเคยบอกว่าเชื้อเพลิงที่แท้จริงในยามท้อแท้บางทีเราอยากไปหาให้คนอื่นช่วยให้กำลังใจเราหน่อย ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่ เชื้อเพลิงในตัวเรานี่แหละเหมือนกับว่าเฮ้ยวันนี้เราได้ไปช่วยเหลือตรงนี้ ตรงนั้นไว้นะ พอนึกทีไรก็มีพลังอะไรประมาณนี้

ขึ้นเวทีประกวดแข่งขันร้องเพลงครั้งแรก

พอรู้ว่าเป็นการกุศลก็ตอบรับทันทีเลยครับ คือเป็นโปรเจกท์พิเศษที่ทำเพื่อน้องๆ หูพิการ ของรายการ “Stage Fighter ตำนานหมู่สู้ฟัด” ของช่องGMM2 ซึ่งจริงๆ ผมเป็นคนที่ไม่เคยประกวดหรือแข่งขันร้องเพลงบนเวทีไหนเลย นี่ครั้งแรกที่มาถ่ายรายการแล้วต้องร้องเพลงที่ไม่ใช่ของตัวเองจำได้ว่าเพลงแรกที่ร้องก็คือ เพลง ฝากเลี้ยง เกร็งมากทำอะไรไม่ถูกเลย พะวงเนื้อร้องด้วย ทำนองก็อาจจะพอคุ้นเคยอยู่บ้าง แต่พอเราได้อยู่กับพี่ๆ น้องๆ ที่มาร่วมแข่งขันกันก็จะรู้สึกว่าสนุก พอทำงานไปหลายๆ เทปเรารู้สึกว่าไม่ใช่การแข่งขัน เป็นการแลกเปลี่ยนบางอย่างในตัวตนของแต่ละคนที่มีออกมาแสดงตัวตนออกมาผ่านบทเพลง ถ่ายทอดผ่านบทเพลงที่ไม่ใช่เพลงของเรา ตรงนี้แหละที่เป็นเสน่ห์สำคัญที่สุด อยากให้ดูและช่วยบริจาคกันเข้ามาช่วยน้องๆหูพิการกันเยอะๆ นะครับ เลขบัญชีก็นี่เลย บริษัท จีเอ็มเอ็มมีเดีย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ เลขที่032-472-223-7 ตั้งแต่วันนี้ถึง 10 พ.ย. 2560

วิชาที่ได้จากงานดนตรี

สอนให้เรารู้จักความเป็นสาธารณะ ซึ่งแน่นอนที่สุดเวลาเราไปเจอแฟนเพลง เราจะอยากอยู่เป็นส่วนตัวแต่ผมไม่คิดอย่างนั้นนะ ผมจะพยายามนึกภาพแรกไว้ตลอดเวลาว่า ในช่วงที่เราออกงานใหม่ๆ เราอยากให้ทุกคนมาฟังเพลงเรา เราอยากเห็นหน้าทุกคนว่าใครบ้างที่เห็นงานเรา ใครบ้างจะฟังเพลงเรา แต่พองานเรา Success แล้ว ทำไมเวลาเราไปเจอผู้คนแล้วจะต้องหนีเขาล่ะ นี่คือคนที่ปั้นและสนับสนุนเรามาตลอด ซึ่งก็คือคนดู แฟนเพลง นี่แหละ เมื่อไหร่ที่เราออกไปที่สาธารณะ เราต้องยินดีที่จะเปิดรับทุกคนที่จะเข้ามา คุณต้องสำนึกไว้ว่าคุณจะต้องให้แฟนๆ เพราะเขาให้เรามาก่อนอันนี้คือสิ่งที่สำนึกมาตลอด และเราก็ต้องรู้จักระวังตัวด้วย ทำอะไรต้องเป็นแบบอย่างที่เป็นด้านบวก จะทำอะไรก็ต้องคิด มีคนมองเราอยู่ แต่บางทีเราก็ลืมว่าเราเป็นคนสาธารณะ แต่ไม่ได้เป็นอุปสรรคหรือปัญหาในการใช้ชีวิตผมเลยนะ ผมเข้าใจ

ครอบครัวแฮปปี้

มีลูกสองคนครับ คนโตผู้ชายอายุ 23 ปี ส่วนคนเล็กผู้หญิงก็ย่าง 16 ปี ผมก็เป็นคุณพ่อที่เหมือนกับคนอื่นๆ แหละ ทำให้ดีที่สุด ผมเป็นคนไม่ค่อยพูด อยากให้ลูกได้รู้เอง แต่จริงๆ ไม่ได้นะ เราต้องสั่งสอนเขานะ ผมก็อยากให้ลูกๆ มีอนาคต ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นคนที่เรียนสูง มีหน้าที่การงานที่สูงส่ง แค่ขอให้มีความรับผิดชอบเอาตัวเองให้รอด และเป็นคนดีของสังคมพอ ส่วนบั้นปลายชีวิตผมเองก็ไปเรื่อยๆ อยู่ในวงการเพลง วงการดนตรี แต่สิ่งหนึ่งที่คิดไว้ก็คือไปปลูกผัก ปลูกหญ้า เพราะว่าเคยบอกตัวเองไว้ว่าจะไม่ตายในกรุงเทพฯ แน่นอน จะไปใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ เพราะผมชอบความเป็นธรรมชาติ คิดว่าอยากจะไปอยู่เชียงใหม่

ลูกไม้หล่นใต้ต้น

ผู้ชายคนโตเขาก็เห็นเรามาตั้งแต่เด็ก สมัยที่เราทัวร์คอนเสิร์ตเยอะๆ ก็ไม่ได้เชิงปลูกฝังเรื่องดนตรีให้นะ แต่ถ้าเขามาถามก็บอก แต่ตัวผมเรียนรู้มาด้วยตัวเอง ผมก็เลยคิดว่าอยากให้ลูกเรียนรู้ด้วยตัวเอง แต่ยุคหลังกับยุคก่อนต่างกัน ยุคก่อนทิศทางที่มันชักนำไปในทางที่ไม่ดีมีน้อย แต่ปัจจุบันค่อนข้างอันตราย

เป็นพ่อนักปั้นไหม

เส้นทางนี้ผมมองว่าต้อง Born to be ด้วยตัวเอง 50:50 จริงๆ ถ้าเขาไม่มีทักษะอะไรเลยเราจะดันยังไงก็ไม่ได้ ซึ่งแววต่างๆ เหล่านี้มันจะฉายออกมาเองซึ่งเขาก็มีนะก็ซึมซับจากเรามาบ้าง แต่ถามว่าจะพัฒนาไปถึงไหนเราไม่รู้ อยู่ที่ตัวเขาเอง ส่วนผู้หญิงเป็นคนเงียบๆ ชอบเรียนหนังสือมากกว่า สองคนสองสไตล์

บทบาทความเป็นพ่อของลูก

ตั้งแต่เด็กๆ ผมจะชอบพาลูกๆ ไปต่างจังหวัด แล้วชอบไปแจกของช่วยเหลือคนยากไร้ เพื่อที่จะปลูกฝังให้น้องๆ ได้ซึมซับ แต่ว่าในสังคมเมืองน่ากลัวมากๆ เพราะมีสิ่งที่จะดึงดูดเขาให้ไปในทิศทางที่ไม่ดีมีสูงมาก สิ่งที่เขาสั่งสมมาตั้งแต่เด็กๆ เขาอาจจะยังไม่จำเพราะเล็กเกินไป นี่ก็เป็นบทเรียนให้ผมอันหนึ่งนะ เวลาเพื่อนๆ หรือน้องๆ มีลูก ก็เลยอยากบอกจากประสบการณ์เราเองว่า ถ้าจะสอนให้ลูกจดจำอะไรบางอย่างต้องให้เขาอายุ 5-7 ขวบขึ้นไป เพราะบางคนพาไปตั้งแต่เด็กๆ เขายังไม่ซึมซับครับ เด็กจะเริ่มตั้งแต่ 4-5-6-7 ขวบ ต้องเริ่มทำสิ่งเป็นประโยชน์ แล้วสร้างภูมิคุ้มกันให้เด็กตั้งแต่ช่วงเวลานั้น แต่แน่นอนล่ะว่าเราเลี้ยงลูกเรารักประคบประหงม 3-4 ขวบแต่ถ้าจะเติมบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้เป็นภูมิคุ้มกันให้เขา ต้องเติมในช่วงเวลาที่เขาจำได้ เวลาเขาทำผิดเขาจะได้นึกออกมาเอ้ย พ่อเคยบอกตอนนี้ พ่อเคยพาไปที่นี่ตอนนั้น ให้เขาสะเทือนความรู้สึกแล้วเขาจะได้ฝังเข้าไปในจิตสำนึกเขาได้ ผมเองก็เคยเจอกับตัว บางทีลูกจำไม่ได้ว่าเราเคยสอนอะไรเขาไปบ้าง ฉะนั้นสิ่งสำคัญคือ เหตุการณ์ประทับใจ จะเป็นภูมิคุ้มกันที่ดี บางคนเวลาจะผิดทางไปก็มักจะนึกภาพตอนประทับใจอะไรสักอย่าง

มุมมองต่อวงการเพลงปัจจุบัน

ความแตกต่างในอดีตกับตอนนี้คือ ความหลากหลายของเพลง แนวเพลง มีมากขึ้น ไม่เหมือนในยุคของเราที่แนวเพลงที่คนฟังจริงๆ มี ป๊อป แดนซ์ ร็อก และอาจจะมีเร้กเก้ บ้าง แต่เดี๋ยวนี้มี ฮอพฮอพ อะไรต่างๆ นานา

เครียดกับสถานการณ์เพลงตอนนี้ไหม

ไม่เลยนะ ผมคิดว่าตัวตนของเรา งานของเรา ก็เป็นในแบบเรา ซึ่งไม่จำเป็นที่จะต้องไปเปลี่ยน หรือปรับอะไร แต่ถ้าเกิดว่าเปลี่ยนไปแล้วคนที่เคยเป็นแฟนเพลงเราอยู่ล่ะ เขาก็จะรู้สึกว่าทำไม เปลี่ยนไปเพื่ออะไร แค่เอาตัวตนคุณแล้วก็สร้างงานในแบบที่เขารู้สึกได้ แบบที่เขาเคยรู้สึก วันเวลายุคสมัยเปลี่ยนใหม่ แต่เราไม่จำเป็นจะต้องไปเปลี่ยนแนวอะไรหรอก ซึ่งหลักการแบบนี้ศิลปินในต่างประเทศเองก็ทำกันมา อย่างไมเคิล แจ๊กสันมีอัลบั้มกี่ชุดๆ ก็ยังเป็น ไมเคิล แจ๊กสัน ซึ่งจริงๆ แล้วแต่ละคนมีทิศทาง และเอกลักษณ์ในแนวของตัวเอง เราเพียงแค่เราสร้างงานแล้วก็สามารถถ่ายทอดงานต่างๆ ออกไปแล้วคนฟังได้รับประโยชน์ ได้สัมผัสความรู้สึกของงานเราแค่นั้นก็พอจบล่ะ

สิ่งที่อยากลองแต่ยังไม่มีโอกาส

ละคร หรือ หนัง ก็อยากเล่นสักครั้งหนึ่งนะตั้งแต่เด็กๆ ผมเป็นคนที่ดูหนังเยอะมาก ดูหนังตั้งแต่สมัยหนังจีนฟันดาบ พอโตมาก็ดูหนังฝรั่ง จริงๆ ถ้ามีโอกาสก็อยากจะเล่นหนังเล่นละครนะ แต่ก็กลัวว่าเราไม่ได้มาสายนี้โดยตรง ก็กลัวจะไปถ่วงกองถ่ายเขาเพราะเขาก็มีหลายส่วนที่เกี่ยวข้อง ไหนจะเรื่องของเวลาอีก กลัวว่าสิ่งที่เราไม่ชำนาญพอเราไปทำแล้วจะถ่วงคนอื่น ตัวเราเองจะทำไมได้ แต่ใจลึกๆ อยากทำสักครั้งหนึ่ง จะให้ผมแสดงเป็นบทอะไรก็ได้ ก็มีคนติดต่อมานะแต่ไม่กล้ารับ ก็พยายามฝ่าด่านกำแพงหนึ่งที่มันฝ่าไม่ได้สักที ตอนนี้ก็คิดอยู่เหมือนกันว่าเมื่อไหร่นะ (หัวเราะร่วน)

รอดูกันว่า อี๊ดจะฝ่ากำแพงความกลัว ออกมามีผลงานการแสดงให้เราได้ชมกันหรือไม่!?

กุหลาบสีเงิน

Star Retro : ผู้หญิงรวยเสียงหัวเราะ ‘อูม-วิยะดา’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/290756

Star Retro : ผู้หญิงรวยเสียงหัวเราะ ‘อูม-วิยะดา’

Star Retro : ผู้หญิงรวยเสียงหัวเราะ ‘อูม-วิยะดา’

วันอาทิตย์ ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2560, 06.00 น.

ผ่านร้อน ผ่านหนาว ใช้ชีวิตในวงการมาทุกรูปแบบ สำหรับนักแสดงรุ่นใหญ่ อูม-วิยะดา อุมารินทร์ที่ทุกวันนี้คนในวงการยกให้เป็น คุณแม่ ด้วยความที่ยังโลดแล่นอย่างแข็งแรง กับงานการแสดงที่มีต่อเนื่องในวัย 62 ปี อะไรที่ทำให้ “แม่อูม” ยังสนุกและมีความสุขกับเบื้องหน้าได้นานขนาดนี้ “สตาร์เรโทร” ฉบับนี้มีคำตอบแบบหมดเปลือก

เดินเข้าสู่เส้นทางสายมายา

ตอนแรกที่เข้ามาอยู่ในวงการบันเทิง คือไม่มีอะไรเลยค่ะ มาแต่ตัว เริ่มจากศูนย์ ไม่รู้จักกับใคร ไม่มีเงินไม่มีทอง ไม่มีอาชีพอะไรเลย ก็เข้ามาเรียนการแสดงกับท่านมุ้ย (หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล) ที่วังละโว้ ถ่ายหนังไปเรียนไป ตั้งแต่อายุ 17 ปี เล่นภาพยนตร์ เรื่อง “เทพธิดาโรงแรม” ของท่านมุ้ย เป็นเรื่องแรก ซึ่งก็ประสบความสำเร็จโด่งดังมาก ตอนนั้นเล่นในบทนางเอก หลังจากนั้นก็ได้มาเล่นเรื่อง “ทะเลเรืออิ่ม” และอีกหลายๆ เรื่อง จนมาโด่งดังอีกครั้งตอน “อีพริ้งคนเริงเมือง” เป็นละครช่อง 3 ประมาณ 60 กว่าตอน แต่ที่พีคสุดคือตอนเล่นบทนางร้าย เล่นเป็นเมียน้อยในเรื่อง “เมียหลวง” ซึ่งพอมาเล่นเป็นนางร้าย ปรากฏว่าสนุกกว่าบทนางเอกค่ะ (หัวเราะร่วน) แล้วหลังๆ เมื่อมาเล่นบทร้าย กลับมีงานเยอะกว่าการเล่นเป็นนางเอก

บทบาทที่หลงใหล

ดราม่า ร้องไห้ ชอบมาก อยากร้องไห้ เพราะว่าดาราสมัยนี้ทำไม่ค่อยได้ ร้องไห้ยาก แต่ว่านางเอกสมัยนี้ร้องไห้สวยนะ สั่งน้ำตาได้เลยจะเอาข้างซ้ายหรือขวาเก่งมาก เราก็จะบอกว่า เอ้ย..เราก็ทำเป็นนะ อยากจะเล่นแบบนั้น ฟีลแบบนั้นบ้าง หลังๆ ก็จะเล่นบ้าๆ บอๆ คือเขาอาจจะเห็นเราเป็นคนอารมณ์ดีก็เลยจะได้แต่บทประมาณนี้

ผลงานโดนใจ

ชอบเรื่อง “อีพริ้งคนเริงเมือง” เพราะว่าได้เล่นหลายบทบาทมาก ตั้งแต่เด็กๆ อินโนเซ้นท์ไม่รู้เรื่องเลย อยากมีสามี แล้วก็ไปมีสามี 7 คน ผจญภัยมาก (หัวเราะ) เป็นแบบอย่างให้ผู้หญิงลุกขึ้นมาสู้ สมัยก่อนผู้หญิงไม่สู้นะร้องไห้น่าสงสารตลอดเวลา แต่พริ้งพลิกคาแร็กเตอร์ให้ผู้หญิงเป็นนักสู้ทุกรูปแบบ เลยทำให้ผู้หญิงไทยก้าวมาจนถึงทุกวันนี้เลยด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้ (หัวเราะ) เพราะมีตัวอย่างอีพริ้งนี่แหละ

รางวัลชิ้นโบแดง

รางวัลมหกรรมหนังเอเชียแปซิฟิก เรื่อง“ทองพูน โคกโพ ราษฎรเต็มขั้น” เมื่อปี 2520 เล่นเป็นหมอนวด บทดีๆ ทั้งนั้น (หัวเราะ) ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิดมีหนังประกวด 16 ประเทศ พอเราได้รางวัลมาก็มีโอกาสได้ทำหน้าที่ผู้จัดละคร เลยเอาเรื่องที่เราได้รางวัลนี่แหละค่ะเรื่อง “ทองพูน โคกโพ ราษฎรเต็มขั้น” ทำเป็นละครฉายทางช่อง 7 ซึ่งพอเอามาทำเป็นละครก็ได้รางวัลอีก เป็นผู้จัดอยู่ประมาณ 3-4 เรื่อง ห้วงรักเหวลึก, ข้าวนอกนา, ตะวันตกดิน แล้วก็ ทองพูน โคกโพ ราษฎรเต็มขั้น ก็ได้ท่านมุ้ยมากำกับ เป็นงานที่สนุกนะคะ เล่นไป วิ่งเข้าฉาก วิ่งจ่ายเงิน วิ่งแต่งหน้า ทำทุกอย่างทุกหน้าที่ ซึ่งมาถึงวันนี้ถามว่าให้เป็นผู้จัดฯอีกไหม เหนื่อยนะ ยุคนี้คนดูทีวีในโทรศัพท์กันแล้ว เราก็ไม่รู้วันข้างหน้าจะเป็นยังไง ไม่รู้ว่าเราจะทำอะไรให้กับวงการได้บ้าง ทุกอย่างเป็นไปตามยุคสมัย เราก็ต้องปรับตัวและหาช่องทางใหม่ๆ

ทิ้งความดังไปอยู่อเมริกา

ตอนนั้นจำได้ว่าก่อนจะไปเมืองนอก เล่นเป็นนางร้ายพีคสุดๆ เลย มีละคร 20 กว่าเรื่อง ภาพยนตร์อีก 20 กว่าเรื่อง ถ่ายทุกวันเลย จนกระทั่งงานเริ่มซาๆ ลงบ้าง ก็เลยไปอยู่อเมริกา อยากไปอยู่เอง เพราะเราเบื่อบทที่ได้เล่นซ้ำๆ ซากๆ ยุคนั้นเล่นจนไม่มีอะไรจะเล่น พอเราหมดบทที่อยากจะเล่นแล้วก็ไป แล้วก็ไปอยู่ที่โน่นกับลูกชาย (คุณชายเอี่ยว-ม.ร.ว. มงคลชาย ยุคล) เราเองก็ไปเรียนหนังสือด้วย เรียนที่มหาวิทยาลัยยูซีแอลเอ สหรัฐอเมริกา อยู่กันตาประสาแม่ลูก ทำฟาร์มปลาทำโน่นนี่นั่น ใช้ชีวิตอยู่ที่โน่น 12 ปี ลูกจบไฮสคูลแล้วเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยยูซีแอลเอ เราแม่ลูกก็เรียนไปด้วยกันมีความสุขดีค่ะ

กลับมาดังอีกครั้ง

ยังไม่ทันออกจากอุโมงค์เครื่องบินเลย โทรศัพท์มาแล้ว กันตนาโทร.มาให้ไปเล่นเรื่อง“บิ๊กเสี่ย” ปี 2540 ซึ่งตอนที่กลับมาอายุ 45 ปี เลยได้เล่นเป็นแม่ (หัวเราะร่วน) มีอยู่พักหนึ่งปีที่แล้ว ได้เล่นเป็นแม่นม 5 เรื่อง ปีนี้ก็มีแม่นมหลุดมาอีกเรื่องหนึ่ง (หัวเราะ) แล้วเมื่อก่อนเคยถ่ายหนักนะ วันละ 4 เรื่อง เสื้อผ้าอยู่ในรถหมดเพราะเราเล่นได้ทุกช่อง ไม่มีสังกัด ไม่มีเหนื่อย สนุกมากไม่เคยว่างเป็นปีเลยนะ จะมีสมุดอยู่เล่มหนึ่งไว้จดงานของแต่ละปี ฉะนั้นแน่นอน หนัง-ละคร ที่ผ่านมาเอาเป็นว่าก่อนจะไปเมืองนอก ในระยะเวลา 10 กว่าปีเล่นประมาณ 300 เรื่อง แล้วก็มีละครอีกประมาณ200 เรื่อง รวมไปถึงละครเวที ก็เคยเล่นเรื่อง “พระนางจามเทวี จักรพรรดิณี ศรีหริภุญชัย” ซึ่งก็เล่นหลายรอบมาก ไปเล่นที่ลำพูน 10 กว่ารอบ ทัวร์ต่างจังหวัดด้วย จนกระทั่งมา 2-3 ปีหลัง ก็ได้เล่นเเป็นป้า เป็นย่า แต่จริงๆ จะเล่นบทไหนเราก็ดีใจนะ แค่ได้เล่นละคร เราชอบบรรยากาศกองถ่าย เราได้แต่งหน้าทำผม คุยกับคนโน้นคนนี้ ได้หัวเราะ

แฟนๆ จำได้หายเหนื่อย

ดีใจที่คนในวงการให้การต้อนรับ ทุกคนจำได้ คือเราถ่ายละครเยอะมากไม่รู้หรอกว่าเรื่องไหนออกอากาศก่อนหลัง เมื่อล่าสุดเดินๆ อยู่ มีคนมาด่าทำไมใจร้ายจัง ปากจัด เราก็งง เฮ้ย…วันนี้ใจดีนะ หัวเราะให้ฟังก็ได้ (หัวเราะร่วน) ใจดีนะ มาว่าฉันใจร้ายได้ไง เขาก็เลยบอกว่า ในละครเมื่อคืนนี้ ใจร้าย ตบตีหลานอยู่ได้กับลุง หื่น เราก็อ๋อ นึกออกแล้วว่าเรื่องอะไร “หลงไฟ” นี่เอง คือเราไม่รู้ไงว่าเรื่องนี้ออนแอร์แล้ว พอรู้ก็ไปหาย้อนหลังดูใหญ่เลย (หัวเราะ) ฟีดแบ๊กดีค่ะ เดินไปไหนคนดูเรื่องนี้ เราก็ยังคิดว่า เอ๊ะ..เราก็มีละครเรื่องอื่นออนแอร์อยู่พร้อมกันวันเดียวกัน กลายเป็น
ว่าคนติดเรื่องนี้

ย้อนเส้นทางชีวิตรัก

ตอนนั้นไปดูหนังเรื่อง “เขาชื่อกานต์” ของท่านมุ้ยที่ฉาย แล้วท่านนั่งอยู่หน้าโรง ท่านเห็นก็ถามว่าเราเป็นใคร แล้วท่านก็ส่งแมวมองไปตามตัวเรา ให้มาลองเทสต์เรื่อง “เทพธิดาโรงแรม” หลังจากนั้นความรักสุกงอมกลางกองถ่าย มีลูกตั้งแต่เล่นหนังเรื่องแรก “เทพธิดาโรงแรม” หนังฉายคลอดลูกพอดี ถ่ายไปท้องไป (หัวเราะร่วน) ทำงานด้วยกันก็รักกัน มีลูกด้วยกัน 1 คน คุณชายเอี่ยว ตอนนี้อายุ 42 ปี แล้วพอไม่รักกันก็เลิกกันไป แต่ก็ยังเป็นพ่อ เป็นแม่ของลูกอยู่ ช่วยกันดูแลลูก

ความลงตัวของลูกหลานที่แสนแฮปปี้

ลูกชายมีภรรยาแล้ว ซึ่งมีหลาน 4 คน แม่อูมก็เป็นคุณย่าแล้ว แฮปปี้ค่ะ ไม่เหงาเลย หลานๆ น่ารักทุกคน แต่ละคนมีคาแร็กเตอร์ของตัวเอง เป็นหลานสาว 3 คน หลานชาย 1 คน คนโตอายุ 23 ปี และ 19 ปีส่วนสองคนเล็ก อายุ 8 ปี กับ 6 ปี ฉะนั้นกิจกรรมยามว่างก็เลี้ยงหลานทั้งหมด 4 คน ส่วนลูกชายก็ไปอยู่ที่จังหวัดเลยไปทำสวน ทำนา ไปๆ มาๆ เขาก็ไปเล่นหนังให้หม่อมน้อยด้วยนะ เรื่อง “สุริโยไท” เป็นสมเด็จพระเพทราชา แล้วก็ช่วยท่านพ่ออยู่เบื้องหลังบ้าง

เรียนรู้การใช้ชีวิตครอบครัว

ก็มีทั้งลูกและหลาน ก็จะมีความรู้สึกว่า ใจเย็นดีที่สุด ยิ้มไว้ อะไรก็แล้วแต่ อย่าปรี๊ด วี๊ดร้อง อย่าสติแตกใส่กัน ไม่งั้นจะมีแต่ความรุนแรงในครอบครัว ถ้ามีเรื่องอะไรที่อดทนไม่ได้ แม่อูมก็จะวิ่งไปกรี๊ดในห้องคนเดียว แล้วก็ค่อยออกมา แต่เราจะไม่ทำให้เขาเห็นเราทำให้ตัวเราดูได้ (หัวเราะร่วน) ปลดปล่อยไป เราบอกลูกสะใภ้เสมอเลยว่า อย่าไปตะโกนใส่ลูก กระซิบข้างหูให้เขาได้ยินคนเดียว อย่าไปประจานเขา ถ้าเป็นความผิดเขาจะสำนึกมากกว่าที่เราไปตะโกนว่าด่าประจานเขา เราเองก็เหมือนกัน พยายามตั้งสติให้ดี อายุป่านนี้แล้ว 62 ปี ก็ต้องมีสติก็ยังไหว รับงานตลอดนะคะ ถ้าไม่มีงานสักอาทิตย์ก็เริ่มหงอยแล้ว จะพาลไปทะเลาะกับคนอื่น

หัวใจชุ่มชื่น

ความรักก็ไม่มีอะไรหวือหวา กิ๊กๆ กั๊กๆ ก็มีมา คนโน้นก็มาจีบ คนนี้ก็มาจีบ ตอนนี้ก็ยังมีอยู่ ยิ่งสมัยนี้มีไลน์ก็จะไลน์มาสวัสดี ฮัลโหล เราก็ไม่ได้สนใจแล้ว ซึ่งก็มีถึงขนาดมาขอเป็นแฟนนะ เป็นคนเก่าคนแก่ที่เคยรู้จักกัน หลงรักมานานแล้วก็มี เป็นแฟนกันไหมแก่ๆ กันแล้ว เราก็จะบอกว่าไม่พร้อม ไม่เอาหรอก อยู่คนเดียวดีกว่า ไม่อยากมีปัญหา เป็นเพื่อนคุยกันแบบนี้แหละดีแล้ว อยากไปเที่ยว กินข้าว เต้นรำ ก็ทำไป

มุมมองของวงการบันเทิง

สมัยนี้รายได้ดีมากค่ะ สมัยก่อนละครที่เราเล่นเรื่องแรกค่าตัว 2,000 บาทต่อหนึ่งตอน ถ้าเป็นตอนนี้ก็ 10 เท่า พระเอก-นางเอกก็เพิ่มเยอะมาก ตอนนั้นกลับมาจากเมืองนอกใหม่ๆ ถามเรื่องค่าตัวเท่าไหร่เราบอกเลยรับ 2,500 เขาก็ตกใจ แล้วเขาก็บอกว่าตอนนี้เป็นหมื่นแล้ว เราก็เลยแบบว่า เท่าไหร่ก็เอา (หัวเราะ)

วงการบันเทิงให้อะไรบ้าง

นอกจากจะให้อาชีพเราถาวรแล้ว คือทุกคนไม่ลืมเรียกให้เรามีงานเล่นอยู่ตลอดเวลา เราก็มีความรู้สึกว่าเมื่อเราเป็นคนในวงการบันเทิงแล้ว แน่นอนมีคนจับตามองเราอยู่ ฉะนั้นเราก็ต้องทำตัวให้ดียิ่งขึ้น อย่างตอนที่อยู่อเมริกาก็จะทำตัวบ้าๆ บอๆ ม้วนผมใส่ชุดนอนไปเดินห้าง เราทำได้นะ แต่พอมาอยู่เมืองไทยเราเป็นคนของประชาชน เราทำไม่ได้ แล้วเราก็มีลูกมีหลาน คนก็เรียกแม่กันทั้งประเทศ เราก็เลยต้องบังคับตัวเองให้เป็นคนดี (หัวเราะ) ทั้งที่บางทีก็อยากจะสติแตกบ้างก็มี อยากจะปรี๊ดบ้าง ก็ต้องคุมสติไว้ แต่ก็ดีนะคะ ทำให้เราควบคุมสติได้ เวลาอยู่กองถ่ายไม่ไปทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อน เสียใจ แล้วจะมองหน้ากันไม่ติดเปล่าๆ

ถ้าไม่ทำงานในวงการ

มีบ้านอยู่ที่จังหวัดเลยค่ะ คงจะไปปลูกผัก เลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ ปลูกข้าวตามประสา เพราะที่เลยอากาศดีมาก มีโอกาสก็จะบินกลับไปอยู่บ่อยๆ

บั้นปลายชีวิต

เล่นละครไปเรื่อยๆ ค่ะ จะให้เล่นอะไรก็รับหมด เป็นหมอผีก็เอา (หัวเราะ) พอเราแก่ตัวไป ถ้ามีคาแร็กเตอร์ไหนที่เหมาะกับเราก็รับ เพราะว่าคนมีอายุส่วนมาก ก็จะจำอะไรไม่ค่อยได้

สิ่งที่อยากแนะเด็กรุ่นใหม่

ตอนนี้แม่รู้สึกว่าดาราเป็นขั้นเทพ เราต้องไปเอาใจ หาโน่นนี่นั่นให้กิน ต้องเอาใจสารพัด ถ้าเป็นผู้จัด บางคนขุดมาจากที่นอน สมองก็ไม่ได้เอามา บทก็ไม่ท่อง คือบทไม่เคยอ่าน ไม่ค่อยทำการบ้าน มาอ่านหน้าเซต พอเราแสดงร่วมด้วยก็ไม่มีรีแอ๊กชั่น เราด่าเองยังแบบ เฮ้ย..นี่เราด่าคุณอยู่นะ ทำหน้าเหมือนคนโดนด่าหน่อยสิต้องบอกเขาอย่างนี้ แม่อยากให้เราทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดในวินาทีนี้ เตรียมตัวให้ดีที่สุดก่อนที่จะเข้ามาลุยงานตรงนี้ ส่วนหลังจากเลิกงานแล้วอยู่ที่นิสัยใจคอ กิจวัตรประจำวัน ยังไงก็อยากให้ทำดีไว้เยอะๆ เพราะว่าเราไม่รู้หรอกว่าวันหนึ่งเราจะเป็นยังไง

ประสบการณ์ชีวิตของผู้ใหญ่ คือหนังสือเรียนชั้นเอก ที่ อูม-วิยะดา อุมารินทร์ ไม่เคยคิดเก็บ แต่อยากส่งต่อถึงเด็กๆ ให้ได้เรียนรู้ทำความเข้าใจ

กุหลาบสีเงิน

Star Retro : ‘ตุ่ม-ประทุม มิตรภักดี’ จาก ‘นางกุลา’ ในตำนาน สู้บทบาท.. ผู้กำกับละคร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/289559

Star Retro : ‘ตุ่ม-ประทุม มิตรภักดี’ จาก ‘นางกุลา’ ในตำนาน สู้บทบาท.. ผู้กำกับละคร

Star Retro : ‘ตุ่ม-ประทุม มิตรภักดี’ จาก ‘นางกุลา’ ในตำนาน สู้บทบาท.. ผู้กำกับละคร

วันอาทิตย์ ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2560, 06.00 น.

คุ้นหน้าคุ้นตาทางหน้าจอ 7 สี จากบทบาทการแสดงในละครหลายๆ เรื่องของค่ายดีด้า สำหรับ “ประทุม มิตรภักดี” แต่บางคนอาจจะยังไม่ทราบว่าเธอผู้นี้คือผู้กำกับการแสดง ที่ฝากฝีมือการกำกับละครมาแล้วหลายต่อหลายเรื่อง จากงานเบื้องหน้าเป็นประสบการณ์ไปสู่งานเบื้องหลัง กับชีวิตวันนี้ที่เธอพร้อมบอกเล่าให้เราได้ฟัง

เริ่มต้นเข้าวงการเลยนี่คือจำความไม่ได้ ด้วยความที่คุณพ่อ (ประพัศ มิตรภักดี)และคุณแม่ (อุทัย ร่มรื่น) ของเราเป็นนักแสดงรุ่นเก่าและเป็นที่ปรึกษาให้กับ “คุณลุงหรั่ง” (ไพรัช สังวริบุตร) คุณลุงก็จะพูดว่าเราติดตามพ่อแม่ไปเรียกว่าโตในกองถ่าย คุณลุงหรั่งเลยเล่าประวัติเราว่าเล่นละครตั้งแต่อยู่ในท้องแม่เพราะว่าแม่เราเล่นละครในขณะที่ท้องเรา พอเกิดมาก็ถูกเอาไปเลี้ยงที่กองถ่าย คุณพ่อไปเล่นละครก็ผูกผ้าขาวม้ากับรถกองถ่ายแล้วแกว่งลูกไปด้วย คนในกองก็ช่วยกันเลี้ยงเรา “อาน้อย”(กเก่งทุกทาง)ซึ่งเป็นศิลปกรรมรุ่นดึกดำบรรพ์ของดาราฟิล์ม สมัยนั้นยังไม่มีดาราวิดีโอ อาน้อยก็จะเป็นคนเลี้ยงคนนั้นเลี้ยงทีคนนี้เลี้ยงที รวมไปถึง“ป้าใหญ่” แม่ของ “พี่ตุ๋ย-มนฤดี” แล้วก็ “พี่เม้า” พอโตมาจำความได้มั่งไม่ได้มั่งก็คือเล่นเรื่อง “ขุนแผน” บทอะไรเราก็เล่นหมด เป็นนางวันทองตอนเด็กคู่กับ “พี่ลอร์ด” (สยม สังวริบุตร) วิ่งไล่กันไปมาลุงหรั่งก็จะคอยเอาไม้เรียวไล่ตี เล่นละครมาเรื่อยๆ จนโต

บทบาทแจ้งเกิดในฐานะนักแสดง

เรื่อง “สางเขียว” ซึ่งเป็นละครผี เราไม่คิดว่าเราจะได้รับบทอย่างนั้นเลยนะคะ คือ “พี่ติ๋ม” (เพ็ญลักษณ์ อุดมสิน) โทร.มาหาแล้วบอกว่าลุงหรั่งให้มาเล่นเป็นนางช้อย เราก็เอออะไรก็เล่นไป คือเรายังเด็กก็อยากหาเงินช่วยที่บ้าน เขามีให้ถ่ายไตเติ้ลด้วยนะ แล้วได้ตังค์ไหม (หัวเราะ) คือถามเลย พอไปเล่นวันแรกตายเลยเราก็งงถ่ายไตเติ้ลด้วยแล้วทำไมมาวันแรกตาย สรุปคือเล่นเป็นผีสมัยก่อนนักแสดงจะไม่ได้บทก็เลยไม่รู้ว่าบทเราจะเป็นยังไงต่อไป สรุปคือไม่ได้เป็นตัวเดินเรื่องนะคะแต่เป็นตัววิ่งค่ะวิ่งมันทั้งเรื่องเลย เพราะว่าเป็นผีดิบ ซึ่งพ่อเราในเรื่องเป็นหมอผีก็เลยช่วยชีวิตเราที่โดนผีสางเขียวดูดเลือด แต่ว่าไม่ตายก็เลยกลายเป็นครึ่งผีครึ่งคน แล้วเราก็ต้องไปรักผู้ชายคนนึงตามวิ่งบอกรักผู้ชายคนนั้นทั้งเรื่อง คนก็เลยจำได้ หัวฟูใส่กางเกงขาสั้น

ร้ายจนคนดูอินนอกจอ

พอแจ้งเกิดจากช้อยก็มาเล่นเรื่อง “โสนน้อยเรือนงาม” เป็นเรื่องที่สองก็ดังอีกสมัยนั้นเรายังไม่มีโทรศัพท์ ลุงหรั่งก็ให้ป้าของพี่ลอร์ดโทร.ไปให้เรามาเล่นเป็นนางกุลา เล่นได้อยู่แล้วเพราะเราก็ไม่สวย (ยิ้ม) แล้วจะมีคนพากย์เสียงให้ เราเล่นใหญ่อยู่แล้ว ก็ดังเป็นที่รู้จักของคนดูจนเดินตลาดไม่ได้ค่ะคนเอามะนาวปาหัว ตกใจมากคือหันไปทุกคนนิ่งหมดเลย เราก็ไม่โกรธนะเรารู้ว่าเราเป็นนักแสดงแต่กลัวเพราะว่าเราก็ยังเด็กอยู่อายุสิบกว่าปีเอง กลับบ้านไปบอกแม่ว่าไม่ไปเดินตลาดแล้วนะโดนมะนาวปาหัวมา หลังจากนั้นก็เลยไม่เดินตลาดพักนึงและอีกเหตุการณ์คือไปโชว์ตัวที่เชียงคานคนอื่นเข้าขึ้นเวทีกันก็ปกติ แต่พอพิธีกรบอกว่าขอเชิญดาวร้ายนางกุลาเท่านั้นแหละ คนข้างล่างก็ปาก้อนหินขึ้นมาจนไฟสปอตไลต์แตกเราก็ตกใจทหารต้องเข้ามาป้องกัน ถึงเขาจะอธิบายว่านั่นเป็นการแสดงแต่คนเขาก็ไม่ฟัง รู้สึกกลัวมากตอนนั้น มีคนเดียวที่ไม่ได้ขึ้นโชว์เขาเลยต้อนเราขึ้นรถตู้และพากลับที่พัก ซึ่งเราก็ร้องไห้เลยนะ มันเหมือนมีองครักษ์มาป้องเรา นั่นเป็นฟีดแบ๊กของการเล่นละครที่คนอินมากที่สุด จนเดินตลาดไม่ได้อีกนาน และเวลานั่งรถเมล์ไปไหนเราก็พยายามกดหน้าลงนะไม่ให้คนเห็น

ขโมยซีนจนแจ้งเกิดอีกครั้ง

เล่นละครมาเรื่อยๆ มารุ่นหลังที่คนดูชอบก็มี “บ่วงหงส์” เป็นการกลับมาสร้างชื่อเสียง อีกครั้ง แต่ก็ต้องขอบคุณคนที่ในยุครุ่นเราที่จดจำกันได้ในบทนางกุลาแล้วก็นางช้อย คือจะเป็นที่ขนานนามเลยว่าอีช้อย อีกุลาตลอด (หัวเราะ) มาเล่นเป็นหนูแดงในบ่วงหงส์คนก็ยังจำได้ว่าเป็นนางกุลา เขาก็บอกว่าจำเราได้เราหายไปนานเลยซึ่งก็อยากจะบอกว่าจริงๆ แล้วเราไม่ได้หายไปไหนคือเราเป็นคนเบื้องหลัง และเล่นเป็นตัวนางกำนันพี่เลี้ยง ก่อนหน้านั้นที่เล่นเป็นนางสนมนางกำนันเราเล่นเป็นคนดีนะ พอมาแจ้งเกิดโสนน้อยเรือนงามตั้งแต่นั้นถูกวางให้เป็นตัวร้ายตลอดเลย (หัวเราะ) แล้วก็ได้กลับมาเล่นเป็นคนดีในบ่วงหงส์คือตัวนี้มันต้องใสซื่อเป็นตัวตาม“พี่ท็อป- ดารณีนุช” เราก็เลยเติมอะไรเข้าไปเดินชนนุ่นชนนี่แล้วพี่ท็อปเขาก็ส่งให้เราด้วยก็เลยกลายเป็นตัวขโมยซีนเลยได้กลับมาอีกครั้งคนก็เรียกว่าหนูแดง

ชีวิตที่ต้องสู้

เดิมทีเราเป็นนักแสดงซึ่งชีวิตเรารู้ว่าการอยู่กองเขาทำอะไรกันบ้าง บางวันไม่ได้กลับบ้าน พี่ลอร์ดก็ให้มาทำเบื้องหลังแต่เราไม่ทำ พอไม่ทำเราก็ห่างหายไปมีอยู่ช่วงหนึ่งเรารู้สึกว่าเราต้องหาเงินแล้ว บ้านเราไม่ได้ร่ำรวยอะไรแม่เป็นแม่ค้ามีงานแสดงก็ไปเล่น พ่อก็เป็นศิลปินเล่นลิเกทำขวัญ เป็นอาจารย์สอนหนังสือ แต่รักอาชีพศิลปิน เราเองถามว่าใจชอบทางนี้ไหมมันเหมือนเป็นสายเลือดค่ะไม่ต้องบอกก็ทำ บางทีคุณพ่อไปเล่นลิเกเราก็ออกไปรำ เราเป็นคนความจำดีเขาสอนรำเราไปยืนดูแป๊บเดียวเราจำได้มารำให้พ่อดูพ่อก็ตกใจว่าลูกรำได้โดยที่ไม่มีใครสอน ตั้งแต่นั้นมาพ่อเขาก็เลยจับเราสอนรำเลยได้อาชีพเพิ่มมาอีกอย่างก็ทำมาเรื่อยๆ แล้วพออาชีพนี้เริ่มห่าง ก็ได้ไปช่วยแม่ทำเสื้อผ้าที่กองถ่าย ก็แอบนอนหลับใต้เก้าอี้บ้างหลังจากนั้นก็มีบริษัทดาราวิดีโอ เราก็ไปสมัครงานด้วยความที่เราเรียนไม่จบเกเรตั้งแต่เด็ก ไปทำงานเป็นแม่บ้านแต่ด้วยความที่รายได้มันน้อยไม่พอจุนเจือครอบครัวเราก็เลยไปเป็นนักร้องตามคาเฟ่เสียงไม่ค่อยดีแต่อาศัยที่เราช่างจำนรรจามีลูกล่อลูกชนทำควบคู่ไปกับการเป็นแม่บ้าน ถ้ามีละครเราก็ไปเล่น ทำมันทุกอาชีพจนกระทั่งไม่ไหว ก็เลยเกอีกพ่อแม่เลยตัดหางปล่อยวัด เลยไปทำงานโรงงานเย็บผ้าอยู่พักนึงกลางคืนก็ไปร้องเพลง เล่นลิเกด้วยนะเป็นตัวออกแขก ชีวิตก็จะเป็นแบบนี้ค่ะ

เข้าสู่งานเบื้องหลังแบบไม่ทันตั้งตัว

จนกระทั่งวันหนึ่งพี่ลอร์ดให้มาทำหนังเจ้า (ละครพื้นบ้าน จักรๆวงศ์ๆ) พอดีฝ่ายเสื้อผ้าเขาออกเลยให้เรามาทำ ด้วยความที่เราคลุกคลีมาตั้งแต่เด็กเรื่องเสื้อผ้าเครื่องนุ่งโจงห่มสไบเราก็ทำได้ แต่ว่าเราก็ไม่ทำอีกดื้อ จนกระทั่งวันนึงพี่ลอร์ดบอกว่าให้เอามาเล่นละครก็เลยได้กลับมาเล่นละครอีกครั้งเรื่อง “มาลัยทอง” เป็นเรื่องแรกของ “กบ-สุวนันท์” กับ “เงาะ-กชกร” ไปถ่ายอุดรธานี
สามวัน เราก็รู้สึกว่าเออ…ไม่เป็นไรเราไปในฐานะนักแสดงก็ลั้ลลาของเราได้ คือเล่นเป็นนางกำนันซึ่งสามตอนก็ตายเพราะว่าโดนฆ่าแต่ไปถึงปุ๊บพี่ลอร์ดโยนบทให้เลยให้เราทำคอนตินิว เราก็ตกใจไหนบอกว่าให้มาเล่นละครหนีไม่ได้แล้วสามวันจะกลับยังไง ก็เลยจำเป็นต้องทำ ซึ่งก็ต้องกราบขอบพระคุณพี่ลอร์ดที่ทำให้มีชีวิตทุกวันนี้เพราะว่าเราได้เริ่มทำงานเบื้องหลังแบบจริงจังจากเรื่องนี้ คือทำเสื้อผ้า คอนตินิว สอนแอ๊กติ้งด้วย แต่เราไม่รู้สึกว่ามันยากลำบากนะเพราะเราเจอมาหมดแล้ว และเราเป็นคนที่นิสัยชอบเผือกชอบช่วยเหลือคนอื่น เงาะมาเรื่องแรกเขาเสียงเหน่อและเพิ่งลงมาจากเวทีนางงาม เขาร้องกรี๊ดไม่ได้คือต้องเจองูแล้วกรี๊ด เราซึ่งเล่นเป็นนางกำนันอยู่แล้วก็เลยหลบอยู่โขดหินและทำเสียงกรี๊ดให้เงาะ เป็นฉากที่ต้องฝืนเล่นแต่ทุกคนชอบขำและเชื่อว่าเงาะกรี๊ดได้เหมือนเป็นการซิงค์เสียงกัน พอหลุดจากเงาะกรี๊ดเราก็โผล่ออกมาจากโขดหินแสดงบทของเราต่อไป(หัวเราะ) นี่คือความลับ เป็นเสียงแรกที่เราได้ซิงค์ และได้พากย์ตัวการ์ตูนในละครต่างๆ ส่วนมากจะได้พากย์เป็นสิงสาราสัตว์ ตัวเด่นๆ ก็มี คางคกและนกแก้วใน “อุทัยเทวี” ที่ “หนิง-ปณิตา” เล่น รวมทั้งออกแบบท่าเต้นให้กับตัว น้องจ้า ในการ์ตูนจ๊ะทิงจา ใส่ชุดมาสคอตเต้นก็ดังอีก

สู่บทบาทการเป็นผู้กำกับการแสดง

งานกำกับเรื่องแรกแทบจำไม่ได้เลยค่ะคือก็ช่วยทำมาหลายเรื่องทำหนังเจ้าควบคู่ไปกับ “ป๊ะ”(ช้าง-ณพธันกรณ์)“เกราะเพชรเจ็ดสี” “เกราะกายสิทธิ์” “ดาบเจ็ดสีมณีเจ็ดแสง” “ลูกที่ถูกลืม” ซึ่งมี “เอ-ไชยา” เล่นเป็นพระเอก ก็ถือเป็นเรื่องที่สร้างชื่อเสียงให้กับเราและเอ เพราะเป็นเรื่องของพ่อเขา ดังมากเรตติ้งอันดับหนึ่งเลยค่ะตอนนั้นนอกจากจะกำกับแล้วพี่ลอร์ดก็ยังให้มาทำสวิชชิ่งอีก ซึ่งยากมากก็ได้รับการฝึกจากพี่ลอร์ดกว่าจะเป็นได้ก็หลังแทบแอ่น งานกำกับอีกเรื่องที่ท้าทายคือเรื่อง “7 พระกาฬ”ซึ่งเป็นการกำกับคนเดียว เป็นละครหลังข่าวด้วยทั้งทำสวิชชิ่งและกำกับ สมัยก่อนผู้กำกับกับสวิชชิ่งจะต้องทำควบคู่กันไป หลังจากนั้นก็ได้รับมอบหมายงานกำกับมาให้เรื่อยๆ ทั้งกำกับเดี่ยวและกำกับร่วม เรื่องที่ทำให้มีชื่อเสียงคนรู้จักมากก็คือ“ธิดาวานร”, “เพลงรักเพลงลำ”, “อกธรณี” ทั้ง 2 เวอร์ชั่นและเวอร์ชั่นล่าสุดที่เพิ่งได้รับรางวัลพิฆเนศวร สาขาละครสร้างสรรค์ดีเด่นปัจจุบันก็มีกำกับอยู่สองเรื่องคือ “เพชรร้อยรัก” กับ “พ่อมดเจ้าเสน่ห์” คือกำกับร่วมทั้งสองเรื่อง

ศึกษาการกำกับจากรุ่นพี่ในค่าย

เป็นผู้กำกับหญิงคนแรกของดาราวิดีโอ สมัยก่อนยังไม่มีดีด้าค่ะ แรกๆ ที่ได้รับหน้าที่ให้มากำกับก็มีความรู้สึกประหม่าบ้างเหมือนกัน เรากลัวพลาดแต่คือพี่ลอร์ดเขาก็ไม่ได้ปล่อย พี่ทุกคนก็ไม่ได้ปล่อยเรา จะมีพี่ผู้กำกับในค่ายท่านอื่นๆ คอยให้คำแนะนำและช่วยเหลือตลอด เหมือนเราไม่ได้คิดคนเดียว เพียงแต่ว่าเราอยากได้อย่างนี้เขาก็จะให้เราคิด แต่เรื่องมุมภาพเราไม่เก่งเพราะว่าเราไม่ได้เป็นตากล้องเหมือนพี่ผู้กำกับท่านอื่น ได้วิชาจากพี่ที่เขาเห็นเราเอ็นดูเรามาตั้งแต่เด็ก สมัยก่อน “พี่เป๊ะ” (จรูญ ธรรมศิลป์) เราก็ไปอาศัยกินข้าวที่บ้านเขา “พี่นพ” (มานพ สัมมาบัติ) ก็มาบอกเลยไม่รู้สึกว่าเราเป็นคนนอกเขายินดีที่จะสอน พอพี่ลอร์ดมาตั้งดีด้าเราก็ได้มาอยู่ที่นี่ เราเปรียบเหมือนเป็นคนสามบริษัท แรกเลยคืออยู่ดาราวิดีโอ แล้วก็สามเศียร ปัจจุบันก็มาอยู่ดีด้ากับพี่ลอร์ด

ผู้กำกับสายดราม่า

ไม่มีเรื่องในใจที่อยากทำ ก็แล้วแต่ว่าพี่ลอร์ดจะให้กำกับค่ะ คืองานทุกเรื่องที่ได้รับโอกาสมาพี่ลอร์ดก็จะเข้ามาคุยกับเราว่าอยากได้ประมาณไหน และส่วนมากก็จะได้กำกับละครแนวน้ำเน่าค่ะ (หัวเราะ) อย่าพูดว่าดราม่าเลยเรียกน้ำเน่าดีกว่า อาจจะเป็นเพราะว่าเราเป็นผู้หญิงเลยเหมาะกับเรื่องราวอะไรแบบนี้ อย่างเรื่อง “วีรบุรุษกองขยะ” ก็ได้กำกับ “พี่ดาว” (ดวงดาว จารุจินดา) ที่เล่นเป็นแม่ของพระเอก เป็นชาวบ้านธรรมดามีสามีขี้เมา ซึ่งทุนชีวิตบ้านเรามีเท่านี้เราก็เลยได้ซึมซับประสบการณ์ชีวิตจริงมา และพี่ดาวก็สงสัยว่าทำไมเขาต้องทำถึงขนาดนี้ชีวิตจริงมันมีเหรอ เราก็บอกว่ามีจริงผัวซ้อมเมียกลับมาบ้านเห็นเมียกินข้าวก่อนก็โดนตบแล้ว ผัวเมาแล้วอ้วกเมียต้องมานั่งเช็ดอ้วกลูกก็คอยปลุกเรียกให้พ่อตื่น พี่ดาวยังแซวเลยว่าชีวิตเราหรือเปล่าเนี่ย(หัวเราะ) มันคือความโชคดีที่เรื่องบางเรื่องมันมาตรงกับสิ่งแวดล้อมที่เราเป็นอยู่ เรียกว่าเป็นบุญด้วยนะคะ

แสดงควบคู่กำกับ

แล้วแต่นายค่ะว่าจะให้เราเล่นอะไร ถ้าเห็นว่าเราเล่นอะไรได้เราก็จะเป็นตัวๆ นั้นให้ได้ ซึ่งล่าสุดไปเล่น“โซ่เสน่หา” และเล่นเป็นคุณหญิงคุณนายซึ่งมันไม่เหมาะกับเราถ้าให้เราเล่นเป็นแม่ค้าปากตลาดเนี่ยมันยังคล่องกว่า ก็ต้องขอบคุณ “พี่แอ๊ว” ที่ปั้นให้ซะจนสามารถขึ้นมาเป็นคุณหญิงคุณนายได้ เขาเชื่อมั่นในตัวเราแต่เราไม่เชื่อมั่นในสังขารตัวเองเลย แต่พวกช่างพอเขาแต่งเราสวยแล้วเขาก็ภูมิใจนะ ในวัย 53 ผ่านเรื่องราวชีวิตและการทำงานมาเยอะมากและคุ้มค่านะคะ บางทียังบอกกับหลานๆ เลยว่ายายใช้ชีวิตคุ้มมากอย่างขึ้น ฮ. ใน 7 พระกาฬ ก็เคยมาแล้วเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตซึ่งตอนนั้นไม่มีใครขึ้นเลย เป็นครั้งแรกที่ทำงานกับพระเอกบู๊ พระเอก 7 คน ละครฟอร์มใหญ่แล้วเขาไว้ใจให้เราทำก็เอาไงเอากัน ขึ้น ฮ. ไปกำกับนักแสดงเลยค่ะ ชีวิตเราคุ้มมากแล้วค่ะแต่บางทีก็อยากกลับไปอยู่เบื้องหน้าบ้างเพราะว่าคิดถึงเราก็รักการแสดงนะ งานกำกับเราทำได้ตามที่พี่ลอร์ดมอบหมายมาแต่งานแสดงเรายังมีบทบาทที่อยากจะเล่นอยู่คืออยากลองเล่นดราม่าบ้าง ไม่เคยได้เล่นดราม่ากับเขาเลยได้แต่เล่นร้ายแว้ดๆ ติงต๊อง อยากร้องไห้บ้างเพราะว่าชีวิตจริงเราก็ดราม่าซึ่งเราก็คงไม่ต้องทำเวลาเยอะหรอกในการร้องไห้ งานกำกับก็เหนื่อยแต่เราคลุกคลีมานานเราก็เลยไม่ลำบากมาก ก็อยู่ที่บุพเพสันนิวาส ชะตาชีวิตที่ขีดให้เราก็แล้วกันนะคะว่าจะให้เราไปทางไหน เราอยู่ตรงนี้เราก็ทำให้ดีที่สุดสู้ตรงนี้ ทำแล้วไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ตราบที่ยังมีลมหายใจ และจะหาสิ่งใหม่เข้ามาในชีวิตตลอดวิ่งหนีเพราะว่ามันมีคลื่นลูกใหม่ที่พร้อมจะถาโถมเราตลอดเวลา ไม่ได้ทำตัวให้สูงแต่คือทำตัวให้พัฒนาไปเรื่อยๆ เรายังไม่ได้มีอะไรเพียบพร้อมไปทุกอย่างเราไม่ได้ร่ำรวยโดยพื้นฐานเกิดมาเราไม่ได้คาบช้อนเงินช้อนทองเราดิ้นรนด้วยตัวของเราเองทุกวันนี้เราก็ยังดิ้นรนค่ะ

บ้านหลังใหญ่ที่อบอุ่น

คลุกคลีอยู่ชายคาบ้านลุงหรั่งมาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ แต่การทำงานเราทำมาประมาณสามสิบกว่าปีเกือบสี่สิบ ไม่ไปไหนแล้วค่ะ ที่นี่คือบ้านเป็นครอบครัวใหญ่ที่เราไม่รู้จะพูดยังไงให้ชีวิตให้การกำเนิดผู้หญิงคนนี้ขึ้นมา ทีแรกพอเป็นผู้กำกับขึ้นมาคุณพ่อยังมีชีวิตอยู่เราก็กลับไปบอกพ่อนะว่าได้เป็นผู้กำกับแล้วพ่อก็ดีใจ พ่อเสียตอนที่กำกับเรื่อง “ดาบเจ็ดสีมณีเจ็ดแสง” ทุกคนก็เข้ามาโอบอุ้มเราหมดเลย แม้ว่าจะไม่มีคุณพ่อแล้ว ครอบครัวเราเหมือนเกิดมาคู่กัน เราเกิดมาเราก็เห็นพี่ลอร์ด ลุงหรั่งก็เหมือนพ่อเรา

ท้ายนี้ก็อยากจะกราบขอบพระคุณแฟนๆ ที่ติดตามผลงานมาตั้งแต่เริ่มออกไข่ จนทุกวันนี้คนทักแต่นางกุลาก็ดีใจนะคะที่ทุกคนจำได้ ส่วนคนรุ่นใหม่ก็จะทักว่าหนูแดง เจอกันก็เข้ามาทักได้ ส่วนบทบาทการเป็นผู้กำกับหลังๆ คนเริ่มรู้แล้วค่ะ เพราะว่ามีนักข่าวมาสัมภาษณ์ได้ออกทีวีบ่อย ก็รู้สึกว่าดีใจนะคะ ที่ทุกคนไม่ได้ลืมเลือนเราไป ขอบคุณสำหรับกำลังใจค่ะ

แม้ชีวิตจะเป๋ไปบ้าง ขลุกขลักไปบ้าง แต่ด้วยโอกาสที่มีผู้มอบให้ และเธอก็ไม่ยอมให้มันหลุดมือไป จนวันนี้โอกาสนั้นได้นำพาเธอให้มาสู่ความสำเร็จ กับบทบาทที่ทุกคนยอมรับ

กุหลาบเงิน

Star Retro : เปิดตัวตนขุ่นแม่ ‘ต้อม-ไกรวิทย์ พุ่มสุโข’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/288276

Star Retro : เปิดตัวตนขุ่นแม่ ‘ต้อม-ไกรวิทย์ พุ่มสุโข’

Star Retro : เปิดตัวตนขุ่นแม่ ‘ต้อม-ไกรวิทย์ พุ่มสุโข’

วันอาทิตย์ ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

สตาร์เรโทรสัปดาห์นี้ หยิบความเปลี่ยนแปลงที่ผันแปรของ ต้อม-ไกรวิทย์ พุ่มสุโข มาเปิดเผย ศิลปินผู้มีความหลากหลายในบทบาทอาชีพ รวมถึงสาเหตุที่เธอตั้งใจ ไม่เสริม ไม่ตัด เพราะรักความอ่อนหวาน สวยงาม แต่ไม่ได้อยากกลายร่างเป็น ผู้หญิง!?

วันนี้ของ ต้อม-ไกรวิทย์

งานหลักที่ทำอยู่ตอนนี้คือ ร้านทำผม “สุโข ซาลอน” มีอยู่สามสาขา คือที่ เดอะสตรีท รัชดา, เอสพลานาด รัชดา แล้วก็ที่ มหาวิทยาลัยหอการค้า ดูแล 3 สาขานี้ ชีวิตก็แทบจะหมดเวลาแล้ว (หัวเราะ) แต่งานที่มีความสุขและอยากทำมาก คืองานที่เกี่ยวกับออนไลน์ ไลฟ์สด ที่กำลังเริ่ม คือเป็นชื่อรายการว่า “คุยกับ ต้อมไกรวิทย์” ตอนแรกที่คุยกันคือเป็นเรื่องของบิวตี้ แต่ด้วยความที่เรามีประสบการณ์ชีวิตเยอะ เขาเลยอยากให้คนที่เข้ามาคุย มาดูรายการ เข้ามาแชร์เรื่องชีวิตด้วย ซึ่งเราก็ชอบ มีความรู้สึกว่าการได้คุยได้แชร์กันมันทำให้เปิดโลกทัศน์ แล้วเราก็เหมือนตามเหตุการณ์ปัจจุบัน และสิ่งสำคัญที่สุดคือเราได้ฟังปัญหาของคนอื่น เราจะรู้สึกแข็งแรง อีกหน่อยก็จะทำหน้าเพจให้คนอินบอกซ์เข้ามาคุยปัญหา เรื่องเพศ เรื่องความเจ็บป่วยทางจิตทางใจ ที่เราเผชิญอยู่ แล้วก็เรื่องชีวิตด้วย เรารู้สึกสนุก เพราะเราทำงานเกี่ยวกับเรื่องความสวยงาม ซึ่งความสวยงามมันช่วยคนในเรื่องใจได้ ตอนนี้ตัวเองเผชิญเรื่องสุขภาพเยอะ ไม่ได้เป็นอะไรหนัก คือเราจะป่วยทางใจ มันเกิดจากปัญหาที่เราเจอมาในชีวิต แล้วเราก็ดันมาเปลี่ยนสภาพเพศอีก มันก็เหมือนอะไรที่สังคมยุคปัจจุบัน ไม่ใช่ว่าเราเป็นกูรูผู้รอบรู้นะ แต่เราอยากมีพื้นที่ในการแชร์ เราอาจจะไม่ได้ชี้ทางแก้ให้เขาได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่การได้ระบายออกมา หรือการได้รับฟัง ได้บอกอะไรกลับไปบ้าง เขาอาจจะเป็นไกด์ในชีวิต ส่วนงานร้องเพลง ซึ่งเป็นงานที่เรารักก็จะมีงานโชว์บ้างประปราย เพราะว่ามีความสุข แต่ว่าตอนนี้เน้นมาทำคอนเสิร์ต อยากทำเต็มรูปแบบ แล้วเราก็ได้สร้างงานเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับสังคม คือทำให้กับมูลนิธิมะเร็งที่โรงพยาบาลรามาธิบดีเป็นหลัก เราจัดปีละครั้ง ปีนี้เป็นปีที่ 3 แล้ว แต่ที่ผ่านมาอาจจะไม่ค่อยมีข่าว จะทำในวงจำกัดเล็กๆ ไม่เน้นออกสื่อมากเหมือนปีนี้ ประกอบกับว่าสื่อก็ให้ความสนใจตรงที่ว่าด้วยเราเปลี่ยนแปลงไป เขาเชิญเราไป เขาก็ได้สีสันของเขาด้วย

ความพิเศษของคอนเสิร์ต “ขุ่นแม่ขอร้อง”

คอนเสิร์ตจะมีขึ้นวันอาทิตย์นี้ 27 สิงหาคมที่ศาลาเฉลิมกรุง ซึ่งต้อมกับ “พี่มัม ลาโคนิคส์” เคยมีโอกาสทำงานด้วยกันมานานแล้ว แต่ว่าครั้งนี้เรากับเขาเป็นสปีชีส์เดียวกันอย่างชัดเจน (หัวเราะ) การครีเอทอะไรมันเลยสนุกมาก แต่ครั้งแรกที่คุยกันไว้คอนเซ็ปต์มี 3 คน คือต้อม พี่มัม พี่เจิน (เจินเจิน บุญสูงเนิน) แต่พอดีพี่เจินยังดูแลเรื่องสุขภาพอยู่ ก็ไม่สะดวก แต่ด้วยประเพณีของเรา เราต้องทำ เพราะว่าเราตั้งใจจะทำคอนเสิร์ตครั้งนี้ เพื่ออยากจะส่งบุญให้น้องสาวที่เพิ่งเสียไป เขาก็ช่วยคิดงานมาตั้งแต่ต้น แล้วเราก็เชิญเพื่อนๆมาร่วมอีก ไม่ได้ตั้งใจจะเชิญแขกรับเชิญเยอะขนาดนี้แต่พอทุกคนรู้ เขาก็อยากจะร่วมด้วย น่ารักมาก “ตุ๊กกี้ชิงร้อยฯ” ก็ขนกองทัพมาเลย คอนเสิร์ตก็เลยอลังเข้าไปอีก

เมื่อสองขุ่นแม่เสียงทรงพลังมาเจอกัน

เป็นครั้งแรกที่ต้อมจะร้องเพลงโดยใช้เสียงผู้หญิง เลยต้องทำการบ้านหนักมาก จะมีทั้งเพลงสากลและเพลงไทยที่เป็นเพลงผู้หญิงทั้งในยุคปัจจุบันและอดีต ทีนี้มันจะเหนื่อยมาก ก็ต้องไปเทรนด์เรื่องวอยซ์กับ“ครูโรจน์” (รุ่งโรจน์ ดุลลาพันธ์) หนักมาก เพราะว่าการที่เราจะต้องใช้เสียงสอง เทคนิคมันเยอะมาก แล้วต้องประคองให้มันได้สองรอบ เอาเรื่องอยู่นะ

ปลื้มใจแค่ไหนกับงานครั้งนี้

ปลื้มแรกคือปลื้มที่ผู้ใหญ่โดยเฉพาะ “พี่แขก” (นฤมล ล้อมทอง) ที่เป็นผู้จัดการของศาลาเฉลิมกรุง คือพอโทร.ไปปรึกษาท่านปุ๊บ ท่านไฟเขียวเลย แต่เนื่องจากว่าท่านมีค่าใช้จ่าย ก็เลยตกลงกันว่าท่านขายบัตรได้เท่าไหร่ก็เอาเข้าหลวงไป แต่ในส่วนของเราก็จะหาสปอนเซอร์ที่เป็นเหมือนเจ้าประจำที่ร่วมบริจาคกับเรามา คือเราไม่ซีเรียส ต่อจะให้ได้แสนสองแสนเงินจะเข้าเต็มจำนวนไม่มีการหักค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น แค่นี้ก็แฮปปี้แล้ว ส่วนปลื้มที่สองคือเพื่อนๆ ซึ่งเราต้องยอมรับเลยว่าเขารักเราเขาเป็นกัลยาณมิตรจริงๆ อย่างทีมงานก็เป็นน้องๆ ที่รู้จักกันตั้งแต่สมัยอยู่แคนาดาด้วยกัน พอรู้ว่าเราจะทำบุญ ก็เข้ามาช่วย ตอนนี้หลังเวทีที่นับๆ ยังไม่รวมวงดนตรีก็เกือบจะห้าสิบคนแล้ว ที่จะมาช่วยงาน

ย้อนวันวานเสน่ห์เสียงเพลงที่หลงใหล

เริ่มมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะว่าพ่อ-แม่ชอบฟังเพลง พี่ชาย น้องชาย เล่นดนตรี เราก็คุลกคลีตีโมงอยู่ตรงนั้นมาตั้งแต่เด็ก แต่เราเป็นคนที่ตอนเรียนต้องเรียน ถึงตอนทำงานต้องทำงาน ชีวิตมีวินัยมาก เหมือนเป็นความรับผิดชอบของตัวเอง เป็นคนไม่ค่อยผ่อนกับความคิด จริงจังกับทุกเรื่อง และชอบไปจริงจังกับเรื่องคนอื่นด้วย ของญาติ ของพี่น้อง ไม่ค่อยปล่อยให้มันล่องลอย ไม่ค่อยสบายตัว การร้องเพลงมันเลยช่วย เริ่มร้องเพลงจริงจังตอนเริ่มประกวดสยามกลการ อายุประมาณ 20 แล้วก็ทำเพลงเรื่อยมาอยู่ในวงการ ใช้ชีวิตเป็นผู้ชายปกติร้องเพลงก็เป็นสไตล์เมโทรเนี้ยบๆ แต่งตัวแบบเป็นเกย์แหละเราไม่ได้ปิด แต่เราก็ไม่ได้ลุกขึ้นมาพูดว่า เราเป็นเกย์มันเป็นไปไม่ได้ เขาไม่ได้ยอมรับอะไรขนาดนั้น แต่เราก็ไม่ได้ปิดอะไร ใช้ชีวิตปกติ แล้วนักข่าวสมัยก่อนกับสมัยนี้ต่างกัน การมีชื่อเสียงของเราในสมัยก่อน ถ้าเป็นแบบปัจจุบัน เราคงโดนควักทะลุทะลวงไปแล้ว

หลากหลายบทบาทอาชีพที่รัก

คือการเป็นนักแสดง เล่นละครส่วนใหญ่จะเล่นเป็นตัวร้าย เป็นแมงดา เป็นหัวหน้าโหดๆ แต่ว่าเป็นโหดในคราบผู้ดี หรือว่าเป็นเพื่อนพระเอก ด้วยภาพของตัวละคร ก็ต้องดีใจที่คนเขาเชื่ออย่างนั้น เราเล่นเราก็ไม่ฝืนนะ ชอบมาก เล่นละครไม่ได้เยอะมาก แต่ก็ไม่ได้น้อย แล้วพอถึงจุดหนึ่งที่อิ่มตัวมาก และก็มีแฟนแล้วด้วย เลยตัดสินใจว่าจะไปใช้ชีวิตเมืองนอก หยุดทุกอย่างเป็นจังหวะที่หายยาวเลย ตอนที่ยังรับงานอยู่ จะมีทั้งงานร้องเพลง แล้วก็เล่นละคร ชอบทั้งสองอย่าง แต่งานเพลงรักมาก สนุก ส่วนการทำผม อันนี้เป็นความชอบส่วนตัว แต่ว่าที่ได้ไปทำจริงจังคือตอนที่ไปอยู่แคนาดา ไปเรียนเป็นคอสฟูลสเกล แล้วก็เปิดร้านอยู่ที่นู่น 10 ปี คือเป็นบ้านแฟนที่เราไปอยู่ แล้วก็กลับมา คือเราคุยกับคุณแม่ทุกวัน อยู่ๆท่านก็ถามว่าเมื่อไหร่จะกลับมา เราก็มีความรู้สึกว่า แม่เป็นคนแข็งแรงนะ แต่ทำไมถามแบบนี้รู้สึกมีเซ้นส์ แม่ไม่สบายหรือเปล่า แต่แม่ก็บอกว่าไม่ คือถ้าเรากลับมาใช้ชีวิตที่เมืองไทยก็ดี เราก็เป็นคนที่พร้อมอยู่แล้ว โอเค..ขอเวลา 2 อาทิตย์ เคลียร์ทุกอย่าง แล้วก็บอกแฟนว่าเราจะกลับเมืองไทย แฟนก็แล้วแต่เราเลย คือเขาเป็นคนที่ตามใจเรามากเกินไป จนทุกวันนี้มีความรู้สึกว่าเธอไม่น่าตามใจฉันนะ (หัวเราะ) แต่เราก็ต้องดีใจที่เราได้กลับมา และทำหน้าที่ลูก ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เพอร์เฟกท์มาก แต่เราก็ทำเต็มที่จนวินาทีสุดท้ายจนส่งแม่จากไปต่อหน้าต่อตา พอคุณแม่ไม่อยู่ เรารู้สึกว่าเรื่องใหญ่ เคว้งมาก คุณพ่อก็เป็นโรคหัวใจอีก แต่หมอเก่งจนตอนนี้คุณพ่อก็ดีขึ้น แข็งแรง ก็เป็นไปตามภาวะ เพราะท่านก็ 81 แล้ว

ประสบการณ์ชีวิตที่พร้อมจะแชร์

ล่าสุดไปออกรายการหนึ่งมา แล้วเราบอกว่าเราพอใจกับสิ่งที่เป็นทุกวันนี้ คือเราไม่ได้ทำศัลยกรรม ทำหน้าอก ตัดอะไร เราไม่ได้อยากเป็นผู้หญิง แล้วพิธีกรถามว่างั้นพี่ต้อมเป็นอะไร เป็นพันธุ์ใหม่เหรอ ก็เลยบอกเขาว่า ก็แล้วแต่ เพราะว่าในโลกนี้ มันไม่ได้มีคำนิยามอะไรที่ชัดเจนอยู่แล้วในเรื่องของสภาพเพศเราชอบความอ่อนหวาน ชอบความสวยงาม ชอบรองเท้าส้นสูง แต่เราไม่ได้อยากเป็นผู้หญิง ไม่อยากมีหน้าอก เพราะเรารู้สึกว่ามันเกะกะ เราไม่ได้อยากไปเสริมไปตัดอะไรให้เจ็บตัว มีน้องคนหนึ่งเขาบอกว่า ฟังที่เราพูดแล้วรู้สึกดีจังเลย เพราะเขากำลังคิดว่าจะไปทำหน้าอก การที่เราไปทำอะไรแบบนั้นมันเหนื่อยมากเลยนะ กับร่างกาย กับใจ ทำมาแล้วจะได้อย่างที่เราต้องการหรือเปล่าเราต้องยอมรับสภาพว่าเราเกิดมากับความเป็นผู้ชายการที่เราจะลุกมาเปลี่ยนอะไร งานมันเยอะมาก สำหรับตัวเองเรารู้สึกว่า ณ วันนี้เราไม่ได้อยากได้ เราไม่พร้อม เราจะเสียใจกับความเจ็บปวดที่จะเกิดขึ้นหรือ โดยสภาพเรารู้ตัวว่าสนุกกับตัวเราเองแบบนี้ได้ แต่วันหนึ่งที่เนื้อหนังมังสาเราเหี่ยวย่น ฮอร์โมนที่มันต้องไปตามสภาพความหยาบกร้านที่มันจะเกิดขึ้น เรารับสภาพตัวเองได้ไหม ถ้าอีก 10-20 ปี เราส่องกระจกแล้ว เราไม่ได้เป็นยายแก่ๆ เราเป็นตาแก่ๆ แต่อยู่ในสภาพยายมันไม่มีทางดูดี นี่คือสิ่งที่เผชิญอยู่ทางด้านจิต คนก็เลยจะบอกเราว่าให้อยู่กับปัจจุบัน แต่เราเป็นคนที่ไม่คิดเรื่องวันนี้ จะคิดเรื่องพรุ่งนี้ เรื่องคนข้างๆ จนพะวงไปหมด พอเราเริ่มแก่มันต่อเนื่องไปหมด แม่เสีย พ่อป่วย น้องสาวเสีย แล้วจะอะไรอีก จะกลัวมาก กลัวคนที่เรารัก ตัวเราเองจะมีอะไรไหม

สภาวะชีวิตคู่

มีแฟนที่ดีมาก อยู่กันมา 20 ปีแล้ว เขาก็ยังเสมอต้นเสมอปลาย เราก็โชคดี แล้วเราทำงานหนักมาตลอดจนไม่ค่อยได้มีเวลาที่จะมีความสุขกับเขาเลยอยากจะใช้ชีวิตแบบมีความสุขกับคนที่เรารักบ้าง พอเราเริ่มมีอาการป่วย เราเลยต่อต้านตัวเองว่าไม่นะ เราไม่อยากเป็นแต่พอจะลุกขึ้นเตรียมตัวทำงานให้น้อยลง ไปพักผ่อนใช้เวลากับแฟนให้มากขึ้น เขาก็มามีปัญหาต้องไปดูแลแม่เลี้ยงเขา ซึ่งป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ตอนนี้เราก็เลยเหมือนห่างกัน แต่ความรักเราก็ไม่ได้ห่างเรากังวลไปเองว่าอนาคตเราจะยังไง พอเราตั้งสติได้แล้วเราก็จะเป็นฝ่ายไปบอกเขาว่าไม่เป็นไร นี่แหละ..คือหน้าที่ที่สมบูรณ์ของการเป็นมนุษย์ เขาต้องกลับไปทำหน้าที่ของเขาก่อน ไม่ใช่ว่าเราเลิกกัน เราต้องซัพพอร์ตเขา ให้เขารู้สึกดีกับการที่ไปทำอะไรตรงนั้น ไม่ให้เขาห่วงหน้าพะวงหลัง

หลักในการใช้ชีวิตคู่

เราไม่อยากให้เขาทำอะไรเราก็อย่าทำอย่างนั้น แค่นี้ คือเราไม่อยากให้เขามีชู้ เราก็อย่ามีชู้ ต้องซื่อสัตย์ต่อกัน แล้วแฟนเป็นคนที่หัวโบราณมาก เขาจะระมัดระวังในการออกไปข้างนอก เราจะไม่รุ่มร่ามไม่จูงมือกัน เขาเป็นแบบนั้นเอง ไม่เคยปิด แต่ว่าไม่เคยเปิดเผยออกสื่อที่ไหนเลย เขาไม่ให้ จนมีคนมาถามต้อมว่าพูดเองเออเองหรือเปล่าว่ามีแฟน เพราะว่าไม่เคยเห็น แต่เขาก็ไป-มาเข้าร้านนั่งกินข้าวด้วยกันไปช็อปปิ้ง (ตัวเราต้องการที่จะเปิดไหม?) เราเฉยๆ เราก็เคารพ ต้องให้เกียรติเขาอย่าลืมว่าการที่เขาจะมาเป็นแฟนเรา ซึ่งตั้งนานมาแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะว่าเราเป็นบุคคลสาธารณะไม่เคยปิดว่ามีแฟน แต่ถามว่าต้องลุกขึ้นมาประกาศให้โลกรู้ไหม เราก็ไม่ได้มีความจำเป็น

ความเป็นตัวตนที่พร้อมเปิด

มันค่อยเป็นค่อยไป เริ่มต้นจากผมร่วงเยอะเลยต้องไปปลูกผม พอกลับมาจากเมืองนอกก็ไปปลูกผมที่เชียงใหม่ น้องที่แนะนำเขาเป็นสาวประเภทสอง พอผมขึ้นเราก็แบบจะไว้ผมทรงนั้นทรงนี้เพื่อความสะใจ พอผมยาวก็ต้องเปลี่ยนการแต่งตัวให้มันเข้า ไม่ได้คิดว่าไว้ผมเพื่อที่จะแต่งหญิง คือไว้เพราะว่าอยากไว้ผมยาว แล้วพอเรามาเป็นช่างผม เราก็เล่นกับผมได้เยอะแยะมาก แรกๆ จะแต่งตัวติสๆ ทุกวันนี้ก็ยังติสอยู่นะ แต่ว่าที่มันมาบู้มก็คือส้นสูง เพราะว่าส้นสูงคือสัญลักษณ์ของเพศหญิง วันที่ซื้อรองเท้าส้นสูงคู่แรก มีความรู้สึกว่าเดินผ่านร้านแล้วมันดึงดูดมาก เอาละ..เป็นไงเป็นกัน แต่คำถามแรกคือเราจะใส่ส้นสูงไปทำไม เพราะเราก็ไม่ได้เตี้ย แต่ในเมื่อใจมันบอกว่าใส่ก็ใส่ไหม ไม่ต้องคิดเยอะก็เลยซื้อละกัน (ยิ้ม) แต่ที่สำคัญมันจะมีเบอร์ให้เราไหม สรุปว่ามี เราเป็นคนเท้าไม่ใหญ่ ทุกวันนี้คือสามารถเข้าไปซื้อเกือบจะได้ทุกแบรนด์

ครั้งแรกกับการใส่ส้นสูงต่อหน้าสาธารณชน

เขิน ไม่ค่อยมั่น (ยิ้ม) พอได้ใส่ส้นสูงจริงๆมันเดินยากและเมื่อยนะ แล้วเป็นคนที่ถ้าสูงแล้ว ต้องสูงสุด ไม่งั้น ไม่รู้จะใส่ไปเพื่ออะไร แต่ในชีวิตประจำวัน เราก็ไม่ได้ใส่ส้นสูงตลอด ถ้าวันไหนที่ไม่ได้อัดรายการก็ไม่แต่ง อย่างมากแค่ทาปาก มันเหนื่อย ถ้าเราต้องแต่งตัวตลอด การตัดสินใจเปลี่ยนแปลงตัวเอง เราไม่ได้มีคำตอบในใจว่าจะเป็นผู้หญิง คำตอบของเราคือฉันจะดูละมุน ฉันจะดูหวานๆ ซอฟๆ ฉันจะอยู่บนความเหมาะเจาะพอดี ต้อมมีความเชื่ออย่างหนึ่งว่าเป็นอะไรก็ได้ แต่เป็นแล้วต้องไม่น่าเกลียด ต้องมีมารยาท ไม่ทำตัวเป็นจุดเด่น ทำให้คนเขาหมั่นไส้ จะดำรงชีวิตแบบสบายตัว หลักการของเรามีเท่านี้ การแต่งตัวก็ชอบอะไรที่มันมีคาแร็กเตอร์ เป็นกางเกงกระโปรงซะส่วนใหญ่ ถ้าเป็นกระโปรงเลยจะใส่เฉพาะขึ้นโชว์บนเวทีเท่านั้น บางคนอาจจะมองว่าแล้วจะครึ่งๆ กลางๆ ไปทำไม เราก็ถามว่าคุณเอาอะไรวัด เพราะผู้หญิงเขาก็ไม่ได้ใส่กระโปรงกันทุกวัน เราไม่ได้มีคำตอบว่าเราจะต้องมีสะโพกจะต้องใส่ยกทรง เพราะชีวิตประจำวัน เราก็ไม่ได้ใส่ เราก็แบนๆ ของเราแบบนี้ สบาย เราไม่ได้อยากเป็นผู้หญิงที่มันสมบูรณ์แบบขนาดนั้น เพราะถ้าอยากเป็น เราก็ไปทำแล้วแต่นี่เราไม่ได้ทำศัลยกรรมอะไรเลยสักอย่าง เราแฮปปี้กับตรงนี้ คนที่เขาจะไม่รู้สึกแฮปปี้กับเรา ว่าน่าเกลียด เราก็ต้องยอมรับ มีคนชมว่าสวย เราก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า เราไม่รู้จะเรียกตัวเองว่าสวยได้ยังไงในเมื่อทุกครั้งที่มองกระจก เราก็รู้สึกว่าเราแค่แต่งหน้าแต่งตาเพื่อจะให้ดูอ่อนหวานที่สุด แต่ไม่สามารถเป็นผู้หญิงได้ด้วยโครงหน้า ด้วยสรีระ ดังนั้นเราก็พอใจในสิ่งที่เราเป็น ณ วันนี้ แต่ในเมื่อที่เราเลือกจะอยู่ตรงนี้ งานเรายังต้องอาศัยประชาชน ความนิยมจากเขา เราก็ต้องยอมรับ ถ้าเขาจะว่า แต่ถามว่ามันจะบั่นทอนกำลังใจชีวิตไหม เราเป็นแบบนี้เราก็ต้องเตรียมรับสภาพแล้วล่ะ เราก็ยังยืนยันตลอดเวลาว่าเราไม่ได้ผิดปกติ เราแค่รู้สึกแตกต่างจากกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ เราก็เลยจะทำในสิ่งที่ใจเราบอกว่าใช่

ความรักความผูกพันกับวงการบันเทิง

ถ้าโชคดีได้กลับมายืนในวงการบันเทิงอีกครั้งหนึ่ง ก็คงมีอะไรดีๆ เข้ามาในชีวิตเยอะ เพราะมีความสุขกับงานบันเทิงมาก แต่ว่าการจะได้กลับมายืนอย่างเต็มภาคภูมิ ต้องขึ้นอยู่กับสังคม ที่จะยอมรับเรา หรือเขาเห็นอะไรบางอย่างในตัวเรา จนสามารถเอาเรากลับมาหน้าจอได้อีกครั้ง แต่ถ้าเขาไม่เห็น เราก็ต้องยอมรับมัน นี่ก็ยังแอบคิดเลยนะว่าพอเสร็จคอนเสิร์ตแล้ว เราจะมีงานต่อไหมนะ แต่เราก็เตรียมใจรับมัน คนรุ่นใหม่เราห่างมานานเขาไม่รู้จักเรา ในความเป็นตรงนี้ แต่เขารู้จักเราในการเป็นช่างผม เราก็ถือว่าตรงนั้นเป็นอาชีพหลักในการเลี้ยงชีพ แต่อาชีพเสริมที่จะเกิดขึ้น การที่ได้ไปโชว์ไปร้องเพลงเพิ่ม หรือได้เล่นละคร เมื่อมีบทบาทที่เหมาะเจาะ ซึ่งนั้นจะเป็นงานเสริมสำหรับชีวิต แต่เราไม่รู้ว่าวันหนึ่งมันจะกลับมาเป็นงานหลักหรือเปล่า เพราะว่าเรารักวงการบันเทิง รักอาชีพร้องเพลง เราเกิดมาจากตรงนี้ แต่การกลับเข้ามาเราต้องอยู่เป็นในที่ที่เหมาะสม เราต้องมองคุณค่าที่เรามี ความเหมาะเจาะในตัวเอง ไม่ว่าจะทำอะไรต้องอยู่แบบมีเกียรติในอาชีพนั้นๆ พระเอก-นางเอกยังลง เรา ณ วันนี้เป็น ขุ่นแม่…แล้วอ่ะ เราอยู่แบบขุ่นแม่ที่เขาต้องนับถือด้วย บางคำวิจารณ์มันก็เป็นมุมสะท้อนให้เรา

ถ้าอยากตัดผมกับ “ต้อม-ไกรวิทย์”

ไม่ยากค่ะ ต้อมก็อยู่สองร้านเป็นหลักคือที่เอสพลานาด กับเดอะสตรีท เพียงแต่ว่าอาจจะต้องนัดหมายก่อน เรามีลูกน้องเยอะแยะ แล้วก็เก่ง เราก็อยากให้มาทำกับลูกน้อง เพื่อเราจะได้มีเวลาบริหารเทรนลูกน้อง ถ้าเขาอยากทำกับเราจริงๆ เราก็รับค่ะ ไม่ได้หยิ่ง ไม่ได้คิวทองขนาดนั้น(ยิ้ม)

สำหรับแฟนๆ ก็ขอบคุณสำหรับการให้กำลังใจที่น่ารักสม่ำเสมอ แล้วก็คอมเม้นต์อย่างตรงไปตรงมา เราแฮปปี้ที่จะฟังมาก คำตอบของต้อมที่มีอยู่ง่ายๆ อย่างเดียวคือคิดว่าทุกคนคงจะเลือกทำให้ตัวเองมีความสุขมากที่สุดภายใต้ระยะเวลาที่เหลืออยู่ แต่ความรับผิดชอบของเราที่มีต่อแฟนคลับทั้งหลาย เราพยายามให้มันอยู่ในความพอดี ถ้าขัดหูขัดตามาก ก็ต้องขออภัย แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณกำลังใจ ขอบคุณสำหรับการติดตาม ไม่ว่าเราจะทำอะไรเราก็หวังแค่ว่าอยากให้เขามีความสุขไปกับเราด้วย

สุขใดเล่า ไม่เท่า “สุขใจ” และสิ่งนั้นกำลังเป็น “ยาใจ” ที่สำคัญของ ต้อม-ไกรวิทย์ พุ่มสุโข

กุหลาบสีเงิน

Star Retro : ‘บอย-พีรพล’ ยังคงลุยงานบันเทิงเต็มสูบ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/286990

Star Retro : ‘บอย-พีรพล’ ยังคงลุยงานบันเทิงเต็มสูบ

Star Retro : ‘บอย-พีรพล’ ยังคงลุยงานบันเทิงเต็มสูบ

วันอาทิตย์ ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

คลุกคลีและคร่ำหวอดอยู่ในวงการบันเทิงมาตั้งแต่วัยเยาว์ แม้ช่วงหลังจะไม่ค่อยได้เห็น บอย-พีรพล จันทรากาศ ทางเบื้องหน้าสักเท่าไหร่ แต่นั่นเพราะเขาหันไปจับงานเบื้องหลังอย่างทุ่มเท เรียกว่าทำทุกหน้าที่ด้วยใจรัก ผ่านอุปสรรคมานับไม่ถ้วน!!

ชีวิตในวงการบันเทิงที่เป็นภาพจำ

ตั้งแต่สมัยเล่นหนังเรื่อง “โก๊ะจ๋า ป่านะโก๊ะ” เล่นกับ แอน ทองประสม กลุ่มเดียวกัน เป็นเด็กนักแสดงกลุ่มนิวคิดส์ จากค่ายไฟว์สตาร์ เริ่มเล่นหนังก่อน แล้วก็มาละคร จนมาออกเทป ตามสเต็ป คนก็จะจำได้ทั้งในภาพของนักร้องและนักแสดง แต่ส่วนใหญ่จริงๆ ที่จำกันได้ก็น่าจะในลักษณะว่า บอยกลุ่มแก๊งเดียวกับ แอน ทองประสม, แจ๊บ-เพ็ญเพ็ชร,สายฟ้า เศรษฐบุตร, นัท มีเรีย

เส้นทางสายนักร้อง

คือสมัยก่อนจะเป็นสูตรสำเร็จ ดาราก็ต้องมาเป็นนักร้อง เราก็โอเคนักร้องก็ได้ ถามว่าใจรักไหมก็เฉยๆ (ยิ้ม) ทำได้ก็ทำ ตอนนั้นออกมา 1 อัลบั้มถ้วนชื่อ Game Boy เพลง ไม้กันหมา เพลงแค่วันผ่านของ คีตา มิวสิค ก็ทำคลุกคลีอยู่ประมาณปีหนึ่ง ตอนนั้นออกอัลบั้มพร้อมกับ ฝันดี ฝันเด่น พี่อ๊อฟ-พงษ์พัฒน์ก็ไปทัวร์คอนเสิร์ตกัน ได้ทำอะไรๆ สนุกดี แต่อย่างที่บอกเราไม่ค่อยถนัดร้องเพลง ก็จะตื่นเต้นตลอดเวลา มีร้องผิดบ้างก็เป็นเรื่องปกติ ซึ่งพอมาเป็นนักร้องก็มีคนรู้จักเยอะขึ้นนะ แต่ถ้าถามว่าตัวเองชอบอะไรที่สุดก็บอกเลยว่า “นักแสดง” เพราะจริงๆ โดยส่วนตัวไม่ได้เป็นคนชอบร้องเพลง

ผลงานการแสดงที่หลากหลาย

เล่นละครมาตั้งแต่เด็กๆ ผมอยู่มาทุกค่าย ตั้งแต่ กันตนา ดาราวิดีโอ แล้วก็มาช่อง 3 ไปเล่นทุกช่อง รู้จักทุกค่าย บทที่ได้รับก็จะเป็นตัวร้าย ก็โอเคนะถ้าเป็นการแสดงเราชอบ เพียงแต่ว่าถ้าให้เล่นตลกมากๆ ก็จะไม่ถนัด เรื่องล่าสุดที่เล่นไว้ คือ “ใต้ร่มเงารัก”ของ พี่นิด-อรพรรณ เล่นกับ ติ๊ก-กัญญารัตน์ แต่ที่ชอบและสนุกดี คือชอบ เรื่อง “เงิน เงิน” ตอนนั้นไปเล่นเป็นลิเก เขาจะตาม ไชยา มิตรชัย แต่คิวไม่ได้ก็เลยให้เราไปเล่น เราก็ได้ไปเล่นมั่วๆ เป็นลิเก ได้ทั้งร้องทั้งรำ (ยิ้ม)

ผันตัวเองสู่เบื้องหลัง

พอถึงจุดหนึ่งในการแสดงของเราแล้ว ก็จะมีความรู้สึกว่า เอ๊ะ..เราน่าจะมองหาลู่ทางอื่นดูบ้าง เราจะทำอะไรได้ เริ่มต้นเป็นแอ๊กติ้งโค้ช ผู้ช่วยฯ โปรดิวเซอร์ ผู้จัด ส่วนผู้กำกับ ตอนนี้ก็กำลังดูๆ อยู่ มีคนยุยงส่งเสริมอยู่ เดี๋ยวลองดู ถ้าวันหนึ่งได้เป็นก็ลองดูว่าจะไหวไหม (หัวเราะ)

หน้าที่แอ๊กติ้งโค้ช

ในการเป็นแอ๊กติ้งโค้ช เป็นครู สำหรับผม สิ่งสำคัญที่สุดของนักแสดง คือ เราได้แค่แนะแนวแนะนำ ชี้ เรียบเรียงความคิด ลำดับเหตุการณ์ให้เขา แต่ว่าสิ่งที่เขาจะทำได้หรือไม่ได้ สำคัญที่สุดอยู่ที่ประสบการณ์ แอ๊กติ้งโค้ชไม่ใช่เทวดา ถ้าคนนี้ยังเล่นไม่ได้ ยังตื่นเต้น ทำยังไงก็ไม่มีทางดีขึ้นก็อาจจะดีขึ้นนิดหน่อย แต่อยู่ดีๆ ไม่มีทางที่เราจะไปปลุกเสกให้เขาเก่งขึ้นไปในทันที ไม่มีทางแน่นอน“ประสบการณ์”เท่านั้นที่ดีกว่าแอ๊กติ้งโค้ช เอาเป็นว่าสมัยก่อนเห็นดาราเล่นไม่เก่ง พอเล่นไปสัก 5 ปี 10 ปีก็เล่นเก่งขึ้นกันทั้งนั้นแหละ เพราะเขาเล่นทุกวันก็เกิดความคุ้นชิน ได้รับการฝึกฝน สมาธิก็มี ไม่ตื่นเต้น ก็เก่งฉะนั้นประสบการณ์สำคัญสุด เราก็ช่วยได้ประมาณหนึ่ง

ลูกศิษย์ครูบอย

แอฟ-ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ ใน จำเลยรัก ถือว่าเป็นเรื่องมาสเตอร์พีทของผมด้วย สำหรับการเป็นแอ๊กติ้งโค้ช แล้วก็มีทำให้ พิตต้า ณ พัทลุง, แทค-ภรัณยู โรจนวุฒิธรรม, ปอ-ทฤษฎี สหวงษ์ ก็จะแอ๊กติ้งโค้ชตามเรื่องที่เขาเล่น ซึ่งพอได้มาเป็นแอ๊กติ้งโค้ชก็ชอบนะ เพราะว่าได้สอน ได้ปลุกปั้นได้ลุ้น เหนื่อยนะบางทีเพราะต้องลุ้นว่าเขาจะเล่นยังไงคือลุ้นทุกฉากแทบจะเล่นเอง กลัวเขาเล่นไม่ได้ฉากร้องไห้ก็แทบจะร้องไห้ก่อนเขาอีก แต่พอเขาประสบความสำเร็จ เราก็ดีใจ หรืออย่างนักแสดงรุ่นใหม่ที่ไปแอ๊กติ้งโค้ชให้เขาแล้วเราเห็นว่าเป็นคนมีพรสวรรค์ เล่นได้หลากหลาย กลมกล่อม คือ แมท- ภีรนีย์ คงไทย

ค่อยๆ ไต่ระดับความยากของงาน

พอเป็นแอ๊กติ้งโค้ชเสร็จ ต่อมาก็ลองเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ เรื่องแรกคือ “กิ่งแก้วกาฝาก” หลังจากนั้นก็จะเป็นโปรดิวเซอร์คุมกอง ทำเรื่อง “แหม่มแก้มแดง”และหลังจากนั้นถึงมาเป็นผู้จัดละครแบบเต็มตัวด้วยความที่เราคลุกคลีอยู่กับตรงนี้มาตั้งแต่เด็กๆ ก็เหมือนว่าคนเราถนัดตรงไหนก็อยู่กับตรงนั้น ตอนนี้ถ้าจะให้เราไปทำอย่างอื่นก็คงเป็นการเริ่มจากศูนย์ แต่งานในวงการบันเทิงเราก็อยู่กันมาสักพักแล้วเพื่อนๆ ก็เริ่มทำเบื้องหลังกันหมด ผมก็เลยเริ่มทำบ้าง

ก้าวสู่ความท้าทายกับงานเบื้องหลัง

ตอนนี้ผมว่าเบื้องหน้าสบายกว่านะ (หัวเราะร่วน) เพราะเบื้องหน้าเราจะรับผิดชอบแต่กับตัวเองฉันตั้งใจ ดูบท อ่านบท รับผิดชอบตัวเอง ไม่มีเข้าฉากก็นอน ฝนจะตกแดดจะออกก็ไม่เกี่ยวกับฉัน แต่พอเรามาเป็นผู้จัด เราก็ต้องรับผิดชอบทั้งหมด ดูทุกอย่าง ถามว่ายากไหม ยากนะ แต่ก็คือสายงานที่เราสนุกดี แต่ว่าก็จะเหนื่อยกับการที่จะต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าในทุกๆ วัน เพราะการที่เราจะมาคุมคน 50-80 คนในหนึ่งวันให้อยู่รวมกัน โดยที่ไม่มีปัญหาเลย เป็นไปได้ยากมาก ฉะนั้นหน้าที่ของผู้จัดคือหน้าที่ของการแก้ปัญหาให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีในแต่ละวัน ให้งานโดยรวม ภาพรวมผ่านไปได้ด้วยดี ในแต่ละวัน เพราะทุกอย่างสามารถเกิดได้ตลอด

ประเดิมงานผู้จัดหน้าใหม่

ตอนนี้ทำมาแล้ว 4 ปี เรื่องแรกเลยคือนางกลางไฟ ทางช่อง ทรูโฟร์ยู จะเป็นเรื่องแรงหน่อย แซ่บๆ ล่าสุดทำ ซิทคอมเรื่อง รับแซ่บ MYBOSS เป็นละครซิทคอมโรแมนติก-คอเมดี้ นำแสดงโดยธนา สุทธิกมล, ศิริลักษณ์ ผ่องโชค เป็นเรื่องน่ารักไม่เครียด สบายๆ ผมมีบริษัทเป็นของตัวเอง ชื่อ กู๊ดบอยเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด ก็เป็นบริษัททำละครค่อยๆ ทำกันไป ถึงเวลาก็ค่อยขยับขยาย ส่วนเรื่องต่อไปที่จะทำก็กำลังเสนอขายทางช่องต่างๆ อยู่ รอเวลาที่เหมาะสม

สีสันของงานบันเทิง

ผมชอบวงการนี้ที่ว่า มันไม่จำเจ ไม่ซ้ำซาก เราเจอคนใหม่ๆ ได้เรียนรู้คน ศึกษาคนไปเรื่อยๆ ไม่เหมือนคนทำงานออฟฟิศ เจอแต่หน้าเดิมๆ สิ่งที่เจอในแต่ละวันก็เจอเหมือนเดิม แต่ถ้าเราเป็นคนในวงการบันเทิงเราจะเจอเปลี่ยนใหม่ไปเรื่อยๆ พรุ่งนี้
ไปอีกโลเกชั่น มะรืนไปอีกที่หนึ่ง จบเรื่องนี้ไปเจอเรื่องโน้นคนทำงานใหม่ๆ ทีมใหม่ รู้จักคนมากขึ้นได้ศึกษาคนได้เรียนรู้คน จะเจอเพื่อนใหม่คนนี้ดี คนนี้ไม่ดี เรียกว่าเป็นสีสันของชีวิตที่ไม่น่าเบื่อ

ช่วงลำบากของชีวิต

ก็ไม่เท่าไหร่นะครับ ผ่านมาได้เรื่อยๆ ผมเป็นคนไม่ค่อยคิดอะไรมาก เป็นคนชิลมาก (หัวเราะร่วน) เราก็ยอมรับได้ในสิ่งที่เกิดทั้งหมด อะไรจะเกิด มีปัญหาอะไรก็แก้ไป ถ้าผ่านไม่ได้อยู่ในสถานะที่แย่หน่อยก็ทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น คนเรามีวันที่ตก ก็ต้องมีวันที่ขึ้น ถ้าเราตั้งใจมีความพยายามยอมรับความเป็นจริงจบ ถ้าอยู่กับตัวเองได้นะ วันหนึ่งใช้เงินกี่บาท 100 บาท ก็อยู่ได้แล้วนะ มีที่นอนมีงาน มีเงิน ไม่มีหนี้สิน เที่ยวฟุ่มเฟือยเราก็ผ่านมาแล้ว ถ้าตอนนี้เราจะใช้เงินแค่นี้ อยู่แค่นี้ได้ก็ดีไม่เห็นมีอะไร คนลำบากกว่าเรามีตั้งเยอะ อยู่ที่วิธีคิด
ของแต่ละคน

เวลาท้อใจมีปัญหา

คุยกับเพื่อน พ่อเสียแล้ว กับแม่ก็จะไม่คอยบอกเพราะเราเป็นคนไม่ค่อยพูดอะไรกับครอบครัวไม่อยากให้เขารับรู้ปัญหาของเรา ถ้ามีสิ่งดีๆ ก็จะบอกให้เขาดีใจ แต่ถ้าสิ่งไหนไม่ดีบอกไปเขาเสียใจก็ไม่บอก เราก็แก้ปัญหาไป เมื่อไหร่ดีก็ค่อยกลับมาบอกเขา (หัวเราะ) คือเขาก็รู้ด้วยแหละว่าเราเป็นคนไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยแสดงออกให้เขาเห็น ผมเองมีพี่น้อง 4 คน พี่สาวเป็นแอร์โฮสเตส สายการบินคาเธ่ย์ พี่สาวอีกคนช่วยที่กองถ่ายนี่แหละ อีกคนทำงานที่โรงเรียนนานาชาติ ผมเป็นลูกคนที่ 3

ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว

เป็นคนง่ายๆ บ้านๆ สบายๆ อาหารก็ชอบกินที่อร่อย อาหารจานเดียว เป็นคนชอบกินข้าวกะเพรา ข้าวมันไก่ ข้าวขาหมู ก๋วยเตี๋ยว ก็อยากจะหาแต่ร้านอร่อยๆ กิน ร้านเก๋ๆ ฟิวชั่นหน่อยๆ ไม่ชอบ แต่ถ้าเพื่อนชวนก็ไปได้ คือปกติชีวิตจะชอบกินง่ายๆ สบายๆ แบบนี้มากกว่า

ความผูกพันกับแก๊งเพื่อนซี้ปึ้ก

เราสนิทกันมาตั้งแต่เด็กๆ อย่างกับ แอนทองประสม ตอน โก๊ะจ๋าฯ ก็อยู่ด้วยกันเป็นเดือนๆ ถ่ายละคร ไม่มีการสื่อสารไม่มีอะไรใดๆ เอาเป็นว่าเด็กโก๊ะฯ คือเด็กเดนตาย ต้องไปถ่ายทำอยู่ด้วยกันเป็นเดือนได้ กินนอนด้วยกันตลอดเวลา เราก็เลยผูกพันกัน แต่ก็จะมีไลน์กลุ่มกันนะ นานๆ เจอกันทีซึ่งตอนนี้ก็เป็นผู้จัดกันไปเกือบหมดแล้ว อย่างที่บอกเหมือนสูตรสำเร็จนะ พอเราผ่านมาทุกหน้าที่ ก็ถือว่าจุดสูงสุดของการอยู่เบื้องหลังการทำละคร คือการเป็นผู้จัดนี่แหละ

เพื่อนคู่คิดคนรู้ใจ

ตอนนี้โสด ชินกับการอยู่คนเดียว อยู่กับเพื่อนๆ น้องๆ ไปไหนมีเฮกันไป มีเพื่อนก็สนุกแล้วจบแล้ว ทุกวันนี้เรายังมองเลยเห็นน้องๆ ที่มีความรักเวลาอินมากๆ เราก็ยังจะแบบ อือหือ อินอะไรกันหนักหนา (หัวเราะ) สุดท้ายเราก็รักตัวเราเองมากที่สุด บางทีก็จะชอบมองอะไรแบบนี้ ใครที่อกหักก็มาระบายกับเรา ซึ่งเราก็จะบอกเขาว่าไม่ต้องเสียใจเลยเวลาผ่าน ทุกอย่างผ่าน เอาเป็นว่าให้อีกเดือนหนึ่งจะชินเฉยๆ ไปเอง สบาย ลืมกันไป ส่วนความรักของตัวเองก็ไม่มี อยู่อย่างนี้แหละสนุกดี มีหลานๆ ไม่ได้มีเป้าหมายอะไร สนุกที่จะอยู่คนเดียว

บั้นปลายชีวิต

อยากเปิดร้านอาหาร ร้านกาแฟ กึ่ง บาร์ ชิลๆริมบึง ก็กำลังชวนเพื่อนๆ อยู่ ด้วยความที่ผมเป็นคนชอบทำอาหาร วันๆ ทำแต่อาหาร ให้คนโน้นชิม คนนี้ชิม เพื่อนๆ ชิม เขาบอกอร่อย เราก็ภูมิใจ (ยิ้ม) ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารไทย

เมนูที่คนชอบฝีมือบอย

พะโล้, ต้มจับฉ่าย, หมูทอดพริก, เนื้อทอดพริกคือเราเอาหมู เอาเนื้อไปหมักกับพริกป่น แล้วก็เอาขึ้นมาทอด พอทำเสร็จทุกคนจะชื่นชมชอบกิน อร่อย นักแสดงหลายๆ คนชอบ เราก็โอเคเดี๋ยวจะทำขาย (หัวเราะ) คือเวลาอยู่กองถ่ายชอบทำกับข้าวให้นักแสดงกิน อยากให้นักแสดงเขาได้กินอะไรอร่อยๆ สิ่งที่ดีๆ เวลาอยู่กองก็จะทำกับข้าวเป็นหลัก หน้าที่ผู้จัดเป็นรอง (หัวเราะร่วน)

สุขภาพร่างกาย

จริงๆ สมควรแก่เวลาที่ต้องตรวจแล้วล่ะ แต่ยังไม่ได้ไปเลย (หัวเราะ) เพราะเราก็ยังแข็งแรงดีไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง มีอย่างเดียวที่คิดตอนนี้คือกำลังจะลดน้ำหนักเพราะอ้วนขึ้นเยอะมาก (หัวเราะร่วน)

เจ้าพ่อโปรเจกท์

อยากจะทำคือ เสื้อโปโล เป็นแบรนด์ของตัวเองทำไว้แล้วล่ะ เดี๋ยวบอก ถ้าทุกอย่างพร้อม และลงตัวก็เร็วๆ นี้ พยายามออกแบบโลโก้อยู่ ลองดูว่าแบรนด์จะดัง เสื้อจะโอเคไหม ทำครบวงจรเลย ลองดูสักตั้งว่าจะเป็นยังไง (หัวเราะ) แล้วก็มีทำบ้านถ่ายละครเป็นบ้านทรงไทย บ้านเรือนไทย คือเราลงทุนเองเพื่อให้คนมาเช่าถ่ายละคร ตอนนี้ก็มุ่งมั่นจะสร้างบ้าน ซื้อของตกแต่ง อยู่ที่วัชรพล เริ่มมีมาถ่ายทำบ้างแล้ว เป็นของทางเวิร์คพ้อยท์ เราก็เปิดให้เขาเช่าถ่ายทำกัน เป็นบ้านหลังเดียว ข้างในมีครบทุกอย่าง ค่อยๆ ขยับขยายตามกำลังของเรา ถือเป็นอีกหนึ่งอาชีพ (ยิ้ม)

แนะนำเด็กรุ่นใหม่

อย่างแรกเลยนะตั้งใจทำงานในหน้าที่ของตัวเองที่ได้รับมอบหมาย เช่น ตัวเองเป็นนักแสดงจะต้องมีวินัย ตรงเวลา ทำการบ้านก่อนออกกองถ่าย เวลาอยู่กองถ่ายในเมื่อเป็นเวลาของกองถ่ายก็ต้องให้เวลากับกองถ่าย ไม่ใช่มากองก็เล่นโทรศัพท์ ไม่สนใจ พอเรียกไปเข้าฉากถ่ายทำ ก็เล่นไม่ได้ ท่องไม่ได้เพราะติดโทรศัพท์ นักแสดงผู้ใหญ่เขาเล่นด้วยก็ต้องเกรงใจเขา ไม่ใช่ว่าไม่สนใจฉันดังแล้ว เราก็เลยอยากให้ตั้งใจกันมากกว่านี้ เพราะเรารับผิดชอบแค่เราเองคนเดียว ทำงานของตัวเองให้สำเร็จให้ดี ทุกอย่างก็จะผ่านพ้นไปได้ด้วยดีเราก็จะได้ดีไปด้วย เจอผู้ใหญ่ก็ต้องมีสัมมาคารวะ รับผิดชอบในงานของตัวเอง ไม่เป็นปัญหาให้ใครในกอง ตั้งใจ อ่านบทท่องบทเล่นได้ คือถ้าผู้ใหญ่เห็นว่าเราตั้งใจ เล่นไม่ได้เขาไม่ว่า แต่ส่วนใหญ่เขาจะเห็นที่ไม่ตั้งใจแล้วเล่นไม่ได้นี่แหละที่จะโดน คือต้องทำการบ้านรับผิดชอบแค่ตัวเองให้ดี

และนี่คือ อดีต-ปัจจุบัน และ อนาคต ของคนบันเทิงที่ชื่อ บอย-พีรพล จันทรากาศ

กุหลาบสีเงิน

Star Retro : ‘ต๋อย-วิชัย’ หวนรำลึก 50 ปี พิ้งค์แพนเตอร์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/285861

Star Retro : ‘ต๋อย-วิชัย’ หวนรำลึก 50 ปี พิ้งค์แพนเตอร์

Star Retro : ‘ต๋อย-วิชัย’ หวนรำลึก 50 ปี พิ้งค์แพนเตอร์

วันอาทิตย์ ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

โลดแล่นบนเส้นทางดนตรีที่หลากหลาย อะไรทำให้ ต๋อย-วิชัย ปุญญะยันต์ ผู้ก่อตั้งวงพิ้งค์แพนเตอร์ สมัครใจที่จะยึดอาชีพนี้เป็นหลัก และยืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่ง สตาร์เรทโทรสัปดาห์นี้ขอพาย้อนรำลึกความทรงจำสุดประทับใจของ หนึ่งในตำนานศิลปินไทย ต๋อย-วิชัย ปุญญะยันต์

เมื่อดนตรีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

ผมเริ่มเล่นดนตรีตั้งแต่อายุ 16 หัดกีตาร์ตั้งแต่อายุ 10 ขวบ หัดเล่นมาเรื่อยๆ พอเรียนมัธยมจบก็เรียนต่อสายพาณิชย์ เราก็ตั้งวงดนตรีเล็กๆ ของเราขึ้นมา เล่นกันเองกับเพื่อนๆ สมัยนักเรียน และมีไปเล่นตามงานสนุกๆ กันตามประสา มีอยู่วันหนึ่งวง “Silver sand (ซิลเวอร์แซนด์)” ต้องไปเล่นต่างจังหวัด เขาก็หาวงเด็กๆ ไปเล่นแทน ที่ไนท์คลับที่เขาเล่นประจำอยู่ วงผมก็เข้าไปเล่นแทน ซึ่งเล่นดีไม่ดีไม่รู้ เอาไปแทนก่อน(หัวเราะ) ตอนนั้นใช้ชื่อวงว่า “ลักกี้เซเว่น” คือเป็นวงเด็กๆ ต้องจับหัดกันทีละคน แล้วก็มารวมเล่นกันเป็นวง ตอนนั้นสนุกมาก พอวงซิลเวอร์แซนด์ กลับมาจากเล่นต่างจังหวัด ตอนนั้นไนท์คลับเลิกตีสอง เขาก็เอาของไปเก็บที่บาร์ แล้วก็มานั่งดู คือเขาก็เห็นเราจากตอนนั้น

ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ

วันที่ “วงซิลเวอร์แซนด์” ชวนผมไปร่วมวง ก็คือเมื่อปี พ.ศ. 2510 ตอนนั้นผมอายุเพิ่ง 16 ขวบเองเพราะอาจารย์วิรัช อยู่ถาวร หนึ่งในสมาชิกของวง นิ้วหัก ซึ่งเป็นมือโซโล่ของวงซิลเวอร์แซนด์ที่ดังมาก ในสมัยนั้น แล้วหัวหน้าวงก็เห็นว่าผมเล่นกีตาร์ได้ จากที่เขาได้เห็นในไนท์คลับวันนั้น เขาก็ให้เราไปเล่นแทน ซึ่งตอนนั้น ตกใจมาก เพราะเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เรียนด้วยทำงานด้วย และเกร็งด้วย เราเด็กสุดในวง แต่ก็โอเคไม่เป็นไร เพราะเขาบอกว่าไปแทนเฉยๆ สามเดือนนิ้วแกก็คงหายหักแล้วล่ะ ก็ไปแทน แต่พออาจารย์วิรัชนิ้วหาย เขาก็ไม่ยอมให้ออก ไม่ปล่อยผมไป

เข้าสู่วงการดนตรีเต็มตัว

ช่วงนั้นผมกำลังจะเข้าเรียนพาณิชย์ ก็ต้องถามพ่อ-แม่ก่อน สุดท้าย..โอเคเล่น เพราะก็เล่นไม่ไกลบ้าน เล่นแถวสะพานควาย บ้านอยู่สี่แยกตึกชัยก็เรียนด้วย เล่นดนตรีไปด้วย เรียนเที่ยง เลิกทุ่ม สามทุ่มไปทำงานที่บาร์ แล้วเลิกตีสอง วันรุ่งขึ้นก็ทำบัญชี ตอนนั้นเรียนบัญชี ถือเป็นช่วงที่เหนื่อยแต่ก็สนุก เล่นไปเรื่อยๆ

ภาคภูมิใจที่สุดในชีวิต

พอเล่นมาถึงปี พ.ศ. 2512 “วงซิลเวอร์แซนด์”ประกวดแข่งกับ “วงดิอิมพอสซิเบิ้ล” แล้ว วงดิอิมพอสซิเบิ้ล ได้ที่หนึ่ง วงซิลเวอร์แซนด์ ได้ที่สอง คือเมื่อก่อนวงซิลเวอร์แซนด์ เข้าประกวดจะได้ที่หนึ่งตลอดนะ พอผมเข้าไปเล่นด้วยได้ที่สองเลย (หัวเราะ)แต่วงดิอิมพอสซิเบิ้ล เขาเล่นดีมาก แล้วในปีพ.ศ.2512 ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จฯมาทอดพระเนตรรอบที่พระราชทานรางวัลด้วยพระองค์เอง ที่สวนอัมพรวงที่เข้ารอบสุดท้าย 5 วง จึงได้เล่นถวาย แล้วกรรมการก็ตัดสินตอนนั้น ใครได้ก็รู้เลย เหมือนประกวดนางงามผมก็โอเคเราได้ที่สอง แต่เขาก็จะมีให้รางวัลนักดนตรีที่ได้ที่หนึ่งแต่ละสาขา โดยไม่สนใจว่าวงไหนที่ 1 ที่ 2ผมได้กีตาร์คอร์ดยอดเยี่ยม คือสมัยก่อนเขาดูกันละเอียดแต่ละคนเลยนะ ผมคิดว่าดีนะครับ ครั้งนี้เขาจะมีแยก กีตาร์คอร์ดยอดเยี่ยม กีตาร์โซโล่ยอดเยี่ยม นักร้องยอดเยี่ยม คือทำให้นักดนตรีมีกำลังใจ ผมโชคดีที่ได้รับพระราชทานจากในหลวงรัชกาลที่ 9 ในวันนั้น วันที่ 31 ก.ค. ปี 2512 ตอนนั้นเพิ่งเล่นดนตรีอาชีพมา 2 ปี น่าจะอายุ 18 ปี แล้วได้รางวัลนี้ ถือว่าเป็นรางวัลที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตการเป็นนักดนตรีของผม ซึ่งตอนนั้นเราก็ภูมิใจนะยิ่งพอมาวันนี้ ยิ่งภูมิใจเข้าไปใหญ่ เพราะว่าจากวันนั้นท่านก็ไม่ได้เสด็จฯไปพระราชทานกับใครอีก ตอนนั้นน่าจะได้รับกันประมาณไม่ถึง10 คน แล้วจากวันนั้นมา เราก็มีรูปติดที่บ้านจนถึงวันนี้ 48 ปี (วันนั้นกับวันนี้ 31 ก.ค. พอดีเป๊ะเลยที่เราคุยกัน)

สะสมประสบการณ์

ผมทำงานอยู่กับวงซิลเวอร์แซนด์ ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด กว่า 11 ปี จน วงซิลเวอร์แซนด์แยกกัน ผมก็มาตั้งวง “Pink Panther (พิ้งค์แพนเตอร์)”ทำโน่นทำนี่ เล่นไนท์คลับ และตามที่ต่างๆ จนกระทั่งตัวเองเรียบเรียงเสียงประสาน ทำอะไรต่างๆ นานา ทำให้นักร้อง จันทนีย์ อุนากูล, วินัย พันธุรักษ์, สุชาติชวางกูร, วงชาตรี, วงคาราวาน ทำหมดเลย แฮมเมอร์ฯลฯ คือทำเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับบริษัท อีเอ็มไอ(EMI) ซึ่งก่อนหน้านี่เป็นค่ายที่ใหญ่ที่สุด ช่วงนั้นผมถือว่าเป็นช่วงท่องยุทธจักรในวงการดนตรี หนักหนาและเยอะมากๆ

เปิดซิงอัลบั้มแรก

ผมมีโอกาสได้ทำเพลงเป็นอัลบั้มขึ้นมาผู้บริหาร อีเอ็มไอ ชื่อ คุณประมาณ บุษกร เป็นผู้ที่พูดมาเลยคำหนึ่ง “ต๋อย ไหนๆ ทำให้คนอื่นแล้ว ต๋อยทำให้วงต๋อยบ้าง แล้วก็ร้องเพลงได้ไม่ใช่เหรอ” ก็เลยเกิดอัลบั้ม “รักฉันนั้นเพื่อเธอ” ขึ้นมา เป็นชุดแรก จากวันนั้นถึงวันนี้วงพิ้งค์แพนเตอร์เดินทางมายาวนานกว่า 38 ปี ก็ยังมีคนรู้จัก เราก็ดีใจว่าเรายังเล่นดนตรีอยู่ วงพิ้งค์แพนเตอร์ก็ยังอยู่จนทุกวันนี้ ไม่ได้ไปไหน ป่วยบ้าง ดูแลกันในระดับหนึ่ง ครอบครัวก็ดูแลกันไป เสียชีวิตกันไปก็มี จนกระทั่งวันนี้ผมในฐานะหัวหน้าวง ก็ยังครองความเป็นวงที่ไม่เคยแตก ถึงป่วย ตาย เราก็หาคนมาช่วยเล่นไม่ได้หาคนเก่ง แต่หาคนชอบ เคมีเดียวกับเราแต่ก็ไม่เคยไล่ใครออกนะ นอกจากว่าบางคนที่เขาไม่สะดวกทำ ก็ให้เขาหยุดไปเท่านั้นเอง

เพลงดังติดหู

มีเพลงที่ถือว่าดังมากๆ ก็คือเพลง “รักฉันนั้นเพื่อเธอ” “รอยเท้าบนผืนทราย” เป็นเพลงที่คนก็ยังร้องอยู่จนทุกวันนี้ แล้วก็มีทำงานให้กับคนอื่นๆ เยอะมาก แล้วผมจะหนักไปทางเรียบเรียงเสียงประสาน ทำนองก็มีแต่งเยอะ แต่เรียบเรียงเสียงประสานเป็นหลายๆ พันเพลง ถ้าเป็นแต่งเนื้อร้องผมไม่ค่อยมีเวลาแต่ง และผมก็เชื่อในความเป็นพรสวรรค์ของคนแต่งเนื้อเพลง เพราะฉะนั้นถอยหลังไป 10-20 ปีที่ผ่านมา ผมทำอยู่เบื้องหลังมาตลอด แล้วก็เล่นหากินไปด้วย สนุกครับ ก็เลยเหมือนกับเรามีเรื่องราวในชีวิตเยอะ

ถ่ายทอดความทรงจำผ่านเวทีคอนเสิร์ต

เรากำลังจะมีคอนเสิร์ต “พิ้งค์แพนเตอร์50 ปี ดนตรีและความฝัน” 50 ปีที่ผ่านมา เรามีเรื่องเล่าเยอะแน่นอน ไม่ใช่มีแค่เพลงพิ้งค์แพนเตอร์อย่างเดียวแต่เรามีทุกอย่างเลย ไม่ว่าจะเป็น เพลงฝรั่ง เพลงชาโดว์สมัยก่อน คือเอาคนที่ได้รางวัลพร้อมเราในวันนั้น ตามกลับมาเล่น อาจารย์วิรัช อาจารย์วินัย และผมวิชัย คำนำหน้า “วิ” เหมือนกันหมด แล้วก็นักร้องที่เราจะให้มาร้องกับวง ก็คงไม่มีใครจะเหมาะสมเท่ากับ พี่ต้อย-เศรษฐา ศิระฉายา แต่ให้พี่ต้อยมาในอีกรูปแบบหนึ่ง แฟนๆ น่าจะแปลกใจ เพราะพี่ต้อยแกยังบอกเลยว่า “เฮ้ย..คอนเสิร์ตนี้สนุกดีเว้ย” นอกจากนี้ พี่ต้อยก็จะได้ร้องเพลงดังๆ ของพี่ต้อยเอง ที่คนเรียกร้อง อย่าง “เป็นไปไม่ได้, เพลิงทะเล” อะไรประมาณนี้ มีหลายรูปแบบ ในขณะเดียวกันในส่วนของ วงพิ้งค์แพนเตอร์ ก็มีเพลงฮิตๆ ของเราทุกเพลงที่เอามาเล่น เชิญศิลปินที่เราทำงานให้มาร่วมด้วย แต่เชิญมาเยอะไม่ได้ครับ เพราะแพง (หัวเราะ)

ความพิเศษของคอนเสิร์ตครั้งนี้

เราทำเพื่อเป็นการส่งเสด็จ เราน้อมใจถวายเพลงที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ เป็น ไฮท์ไลท์ เพลงแรกคือ เพลง “ความฝันอันสูงสุด” แล้วในช่วงที่ก่อนจะจบคอนเสิร์ต ผมก็ได้แต่งเพลงหนึ่งเป็นการถวายอาลัยให้กับพระองค์ท่านด้วย เล่นในงานนี้โดยเฉพาะ ชื่อเพลง “ร่มไม้ที่หายไป” คือผมเศร้ามาก ผมแต่งจากความรู้สึกลึกๆ เพราะว่าเรามีรูปท่านพระราชทานรางวัลเราอยู่ตรงนั้นผ่านมาก็กว่า 48 ปีที่แล้ว ตอนนั้นผมก็เด็กมากจำได้ว่าเดินเข้าไปก้มกราบที่พระบาทท่าน ปลายนิ้วมือยังสัมผัสปลายพระบาทพระองค์ท่านเลย ผมจำได้หมดก็เลยแต่งเพลงนี้ขึ้นมาใส่ไว้ตอนจบโชว์ ซึ่งเป็นเพลงที่ค่อนข้างฟังแล้วเศร้า นอกจากนี้ก็จะมีความหลากหลายมากในคอนเสิร์ตครั้งนี้ที่ผมก็พยายามจะนำทุกอย่างที่สามารถหยิบจับมารวมกันอย่างละนิดอย่างละหน่อย เล่าเรื่องราวชีวิตเราผ่านคอนเสิร์ตครั้งนี้ ภายในเวลาไม่เกิน 3 ชั่วโมง อยากจะเชิญชวนมาดูกันครับ

เพราะรักจึงจัดไม่เคยขาด

เป็นคอนเสิร์ตที่จัดมาหลายปีแล้ว ซึ่งปีนี้ก็เป็นปีที่ 9 ครั้งนี้จะพิเศษหน่อย คือผมทำงานอาชีพเกี่ยวกับดนตรีมา 50 ปีแล้ว คอนเสิร์ตผมก็จัดเอง ไม่เคยมีใครมาขอให้จัด เพราะเขาไม่ได้เห็นว่าเราเป็นตัวขาย แต่เราอยากจะจัด เพราะว่าเราคือนักดนตรีอาชีพจริงๆ แล้วก็ภูมิใจกับอาชีพนี้เป็นอย่างมากไม่เคยมีความรู้สึกว่าทำแล้วไม่รวยเท่าคนโน้นคนนี้ แต่เรากลับมีความรู้สึกว่าเรามีพรสวรรค์กับงานที่เราทำ และสามารถทำได้ โดยไม่ได้ร่ำเรียนมาจากเมืองนอกที่ไหน ไม่มีดีกรีการันตีอะไร ทุกอย่างเกิดจากตัวเราเองทั้งหมด เริ่มจากแกะเพลงเองมาตั้งแต่เด็ก 10 ขวบ หัดกีตาร์เองโดยไม่มีวิดีโอสอน ใช้หูฟังแล้วแกะเพลง จนกระทั่งไม่ต้องจับเครื่องดนตรีก็ฟังออกมาได้ สามารถเขียนเป็นโน้ตได้ ซึ่งตรงนี้เราภูมิใจในอาชีพนี้ ถึงจัดมาตลอด อยากให้มาดูกันในวันที่ 24 สิงหาคมนี้ ที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย รอบหนึ่งทุ่มตรงรอบเดียว ซื้อบัตรได้ที่ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ครับ แขกรับเชิญก็จะมี สุชาติ ชวางกูร, ต้อย-เศรษฐา ศิระฉายา, วินัย พันธุรักษ์, วิรัช อยู่ถาวร แล้วก็ Orchestra วงใหญ่ 30กว่าชิ้นครับ

โอกาสสร้างชีวิต

โชคดีที่มีคนให้โอกาส คนอย่างผมบอกได้เลยว่า เพราะคนให้โอกาส อาจจะเป็นเพราะว่าเราทำบุญมา เคยให้โอกาสคนมาตั้งแต่ปางไหนก็ไม่รู้ แต่ว่ามีคนให้โอกาสเรา นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด จริงๆ ก็เริ่มจากคุณพ่อ-คุณแม่ที่ให้โอกาสเราเล่นดนตรีด้วยนะ

ด้านครอบครัว

ผมเป็นลูกคนสุดท้าย คุณพ่อ-คุณแม่เล่นดนตรีไทยได้ แต่ก็ไม่ได้เป็นอาชีพนะ คุณแม่ดีดจะเข้ คุณพ่อสีไวโอลิน ได้บ้าง ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ปลูกฝัง หล่อหลอมเรา ให้รักในการเล่นดนตรี แล้วคนสมัยโบราณเขาเล่นดนตรีไทยกันนะ จำได้เด็กๆ เขาจะนัดมาเล่นกันเป็นวงดนตรีไทยเยอะมาก แต่จำไม่ได้ว่ามีเครื่องดนตรีอะไรบ้าง ฉะนั้นเสียงดนตรีไทยก็จะอยู่ในหัว เพราะคุณพ่อท่านโตในวังบูรพามา ท่านเป็นลูกมหาดเล็กในวังบูรพา ฉะนั้นเรื่องดนตรีก็เลยฝังอยู่ในตัวเรามาโดยตลอด ลูกๆ ก็ชอบกันทุกคน แต่คนที่มีอาชีพเป็นนักดนตรีก็คือผมคนเดียว พี่ๆ ก็จะเล่นดนตรีบ้างสนุกๆ

ลูกไม้หล่นใต้ต้น

ผมมีลูกชายคนเดียว ก็ทำงานเป็นมิวสิกไดเร็กเตอร์ด้านโฆษณา ตอนที่เขาโตขึ้นมา ผมก็ทำเพลงโฆษณา ซึ่งทำเยอะมาก 2,000-3,000 เพลง เขาก็ซึบซับ แล้วอีกอย่างผมก็จับลูกมาร้องเพลงโฆษณาตั้งแต่ยังเด็กๆ (หัวเราะ) จนตอนนี้เขาอายุ 36 ปี มี บริษัทคือ แพนเตอร์ ออดิโอ วิชั่น จำกัด ซึ่งบริษัทนี้ก็เกือบจะ 30 กว่าปีแล้ว อย่างโฆษณาที่ดังมากๆ ก็คือ เพลง “รักไม่รู้ดับ” เพลงโฆษณาบัตรเครดิต เคทีซี น่าจะคุ้นกันครับ

เสียงดนตรีของ วิชัย ปุญญะยันต์ ได้ช่วยกล่อมเกลาจิตใจคนฟังมาหลายยุค ผ่านเวลา 50 ปีเขาไม่เคยคิดจะหยุด เพราะย้ำว่า…ดนตรีช่วยจุดประกายชีวิต ให้เดินหน้า…

กุหลาบสีเงิน

Star Retro : ‘สุชีลา ธนภูวไนย’ มือปั้น พระ-นาง และละครดัง นับร้อยเรื่อง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/284606

Star Retro : ‘สุชีลา ธนภูวไนย’ มือปั้น พระ-นาง และละครดัง นับร้อยเรื่อง

Star Retro : ‘สุชีลา ธนภูวไนย’ มือปั้น พระ-นาง และละครดัง นับร้อยเรื่อง

วันอาทิตย์ ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

หนึ่งในผู้อยู่เบื้องหลังผลงานคุณภาพมากมายของ ค่ายกันตนา ในยุคของ “คุณพ่อประดิษฐ์กัลย์จาฤก” แน่นอนว่าต้องยกให้กับ “สุชีลา ธนภูวไนย”หรือชื่อปัจจุบัน “ศรีพัชรินทร์ ธนภูวไนย” พี่สุหรือแม่สุ ที่เหล่านักแสดงต่างเรียกขาน แม้ว่าวันนี้จะไม่ได้อยู่ใต้ชายคาบ้านหลังเดิม แต่เธอยังคงสานต่องานละครที่รัก สตาร์เรโทรสัปดาห์นี้จึงขอพาย้อนวันวาน ทำความรู้จักผู้หญิงเก่งท่านนี้

บทบาทหน้าที่ในปัจจุบัน

ทำละครอยู่กับค่าย นีโน่ บราเดอร์ส ค่ะ ต้องขอเท้าความก่อนว่า เมื่อก่อนเราเป็นคนปั้น “นีโน่” (เมทนีบุรณศิริ) ครั้งแรกที่ไปเจอโน่ในโฆษณาเหล้าชนิดหนึ่ง แล้วก็เห็นว่าเหมาะกับละครของเรา หลังจากเรื่องนั้นก็ดังเลย แล้วตอนนี้ โน่ เขามาทำละครเป็นผู้จัด เริ่มจากทำละครเย็น พอขยับมาทำละครหลังข่าว เขาก็ชวนเรามา ตอนนั้นเพิ่งทำเรื่อง “ห้องหุ่น” ของกันตนา เอฟโวลูชั่นจบพอดี น้องโน่ก็บอกว่าไหนๆ ก็ปั้นผมมาแล้ว ก็ช่วยให้น้องไปต่ออีกได้ไหม เราก็เห็นว่าน้องไม่มีใคร ก็มาช่วยในตำแหน่ง executive producer ดูเรื่องการเงิน เป็น MD แล้วก็เป็น producer หาทีมงานเข้ามาทำ “พริ้งคนเริงเมือง”เซตทีมงาน ใครพอจะรู้จักก็ชักชวนกันมา แล้วก็ออกกอง นั่งอยู่ข้างหลัง “พี่บุ๋ม” (รัญญา ศิยานนท์) และล่าสุดกับละครเรื่อง “ระบำมาร” ที่เพิ่งเปิดกล้องไปค่ะ

ร่วมงานกับนีโน่ในอีกรูปแบบ

รู้สึกดีนะคะ เพราะว่าโน่เป็นคนน่ารักอยู่แล้ว “น้องหนิง”(ปณิตา ธรรมวัฒนะ) ก็เหมือนเป็นลูกสาว เพราะเรามีแต่ลูกชายสองคน เขาก็จะดูแลเราในเรื่องอาหารการกิน โน่เป็นคนที่คอยให้คำปรึกษา และที่อยากจะบอกคือเฟอร์นิเจอร์ส่วนมากในเรื่อง จะมีช่วงหนึ่งที่พี่สุกับพี่โน่ไปลงมือแต่งฉากเอง (ยิ้ม) เป็นพร็อบแมน คือร่วมงานกับโน่แล้วดีค่ะ เหมือนแท็กทีม ไม่ได้แยกว่าอันนี้หน้าที่ใครจะช่วยกัน น้องหนิงก็จะแผนกเสบียง ความอบอุ่นที่รู้สึกได้เป็นครอบครัวไม่เล็กแล้วก็ไม่ใหญ่ แต่ความอบอุ่นมีครบ เหนื่อยนะ แต่สุขใจ แล้วข้อสำคัญ เราสามารถที่จะพูดตรงๆ แล้วก็เตือนกันได้ เราจะบอกเสมอว่าเราไม่ใช่คนเก่ง ถึงแม้จะทำอะไรดี แต่คนเรามีด้านมืดด้านขาว ไม่ใช่ว่าอายุมากที่สุดแล้ว จะเตือนไม่ได้บอกไม่ได้ ทุกคนจะยอมรับในความคิดของกันและกัน แล้วเอามาจอยกัน แล้วเอาสิ่งที่ถูกแก้ไขแล้วออกมาทำงาน อันนี้คือสิ่งที่แฮปปี้ที่สุด

ด้วยประสบการณ์ที่สะสมมายาวนาน

ทำทั้งหนังและละครตั้งแต่ปี 2523 จนถึงตอนนี้ก็ประมาณ 37 ปี ตอนนั้นแต่งงานเร็ว อายุ 20 กว่าๆ เรียนจบก็แต่งเลย (กับอดีตสามี จาฤก กัลย์จาฤก) แต่เอาจริงๆ เลยนะคะ เราไม่ได้มีใจมาทางด้านบันเทิงแต่แรกเพราะเรียนด้านบัญชีมา คุณแม่เป็นเจ้าของปั๊มน้ำมันอยู่บางพลัด พอกลับจากมหาวิทยาลัยก็จะเช็คสต๊อกให้แม่ จดหัวจ่ายตัวเลข ว่าวันนี้ขายไปเท่าไหร่ เสาร์-อาทิตย์ก็ไปตีเทนนิส ชอบบัญชีด้วย แต่พอแต่งงานก็เปลี่ยนชีวิต เคยนอนตื่นสาย ก็ต้องตื่นตี 5 แต่ข้อดีของเราคือชอบอ่านหนังสือนิยายตั้งแต่อยู่มหาวิทยาลัย นั่งอ่านจนตี 1 ตี 2 จนแม่บอกว่านอนได้แล้ว ก็เลยเหมือนจะมีเรื่องราวความเป็นละครอยู่ในหัวอยู่แล้ว

ก้าวสู่สะใภ้กันตนา

เริ่มแรกที่ได้ทำคือ เล่นละคร เล่นเป็นนางเอก ช่อง 5 เล่นสดไม่มีเทป ละครเรื่อง “บ้า” ซึ่งก็บ้าจริงๆ (หัวเราะ) คือ “คุณพ่อประดิษฐ์ กัลย์จาฤก” เล่นด้วย มี “แม่แดง” (รัตนาภรณ์ อินทรกำแหง) พระเอกคนแรกของพี่คือ “เอก-ธเนศ วรากุลนุเคราะห์”ในเรื่องเราเข้าไปอยู่บ้านแล้วไม่รู้ว่าในบ้านเป็นคนบ้าหมด ที่ได้เป็นนางเอก เพราะคุณพ่อบอกว่าหน้าตาดี ตอนนั้นการแสดงก็ไม่ได้เรียน ซึ่งยากสุดๆ ก็เลยจะรักคุณพ่อประดิษฐ์มาก เท่ากับคุณพ่อเราเลยค่ะ เพราะว่าเป็นครูเป็นอาจารย์คนแรกที่สอนเรา (ร้องไห้) แล้วก็เอาเราไปเล่นละคร พอจบแล้ว คุณพ่อจะให้เล่นอีก เราก็แบบไม่ชอบเลย เราจะเห็นเบื้องหลัง เขาทำงานกัน มีปัญหาเขาจัดการ เราชอบได้แก้ปัญหา ได้ใช้สมองแบบว่าได้วิ่งแก้ปัญหา กลายเป็นว่าเราชอบเบื้องหลังตรงนั้นมากกว่า (คุณพ่อประดิษฐ์อนุญาตไหม ?) เอาจริงๆ ตอนที่ยังไม่ได้แต่งงาน เวลาคุณพ่อประดิษฐ์ไปที่ปั๊มน้ำมันไปล้างรถ ท่านก็จะจีบเรากับคุณแม่ เพื่อขอให้มาเล่นละคร แล้วลูกชาย (จาฤก กัลย์จาฤก) ก็ไปด้วย เราก็เอ๊ะทำไมมาล้างรถบ่อยจัง กลับจากตีเทนนิสก็มาเจอ ตอนนั้นไม่รู้ว่าท่านมาชวนเราไปเล่นละคร

เริ่มงานเบื้องหลัง กับทุกตำแหน่ง

ตอนนั้นน้องๆ ทุกคนยังเรียนหนังสือกันอยู่เราเข้าไปงานแรกเลยคือไปอัดละครวิทยุกับคุณพ่อ แต่ทำนิดหน่อยค่ะ เรื่องระฆังผี, ตุ๊กแกผี ตอนนั้นวงการทีวีก็เริ่มเปลี่ยน สื่อดิจิตอลเริ่มมาไม่ต้องไปถ่ายแบบสดๆ แล้วมีการอัดเทปเบต้า แล้วก็จะมีโปรเจกท์กับทางช่อง 5 คุณพ่อก็เลยฝึกเราตั้งแต่นั้นว่าต้องมาทำละคร การทำละครก็จะมีหาสถานที่ หาตัวแสดง ทำคิว นัดตัวแสดง จ่ายเงิน ทำหมดเลยในเรื่องเดียว หาโฆษณาเองด้วยค่ะ เพราะต้องซื้อเวลาสถานี ก็ต้องหาค่าโฆษณามาจุนเจือ เราเข้าใจนะเพราะว่าคุณพ่อจะสอนให้เราแบบว่า จากคุณหนูนอนตื่นสาย แต่บังเอิญคุณพ่อก็เป็นคนที่ให้กำลังใจเราเสมอ อันไหนไม่ได้ก็จะช่วย อันไหนจะต้องแก้ปัญหาแบบไหนยังไง เราก็โอเค จำได้ ตอนนั้นถ่ายบาปบริสุทธิ์ ไปถ่ายที่โรงเรียน เราร้องไห้หนักมาก กลัวว่าจะไม่ได้ถ่ายอีก เพราะเวลาตัวประกอบตัวหลักเข้าห้องน้ำไป ก็จะทิ้งทิชชู่ไว้ เราต้องไปคอยเก็บ เก็บไปร้องไห้ไป เพราะกลัวว่าถ้าเขามาเห็นสภาพแบบนี้ เดี๋ยวเขาไม่ให้ถ่ายอีก เก็บกวาดทุกสิ่งอย่าง น้ำตาร่วงไป หยิบไป พอเก็บเสร็จล้างหน้าล้างตาออกมาก็หาย รู้สึกว่าท้อบ้างกับภาระหน้าที่ที่รับผิดชอบ ถือว่าฝึกความอดทนเราได้ดีมากเลย พอน้องทุกคนเรียนจบคุณพ่อประดิษฐ์ก็เริ่มกระจายงานให้ แล้วก็จ้างคนมามากขึ้น พูดได้เลยว่าสมัยก่อนจะไม่ค่อยมีบุคลากรด้านนี้เยอะ ก็เลยเลือกคนในครอบครัวกันก่อน

จุดเริ่มต้นการเป็นแมวมอง

เมื่อก่อนมีละครเรื่อง “สวนทางเถื่อน” เราก็จะมีความรู้สึกว่าตอนนั้นนิเทศศาสตร์เป็นอะไรที่เฟื่องฟูก็จะไปนั่งใต้ต้นไม้คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองไปว่าเออคนนี้สวยนะ แต่รูปร่างไม่ดีคนนี้รูปร่างดี หน้าไม่สวย แต่มีคนหนึ่งเดินมา “น้องแหวน”(ฐิติมา สุตสุนทร) นางจะปลดกระดุมเม็ดหนึ่ง สะดุดตาปึ้งใช่เลย ก็เลยเข้าไปคุยว่าอยากเล่นละครไหม เข้าไปแนะนำตัวว่าพี่มาจากกันตนา แล้วตอนนั้นดาราไม่ค่อยจะมี ก็ต้องหากันแบบนี้ น้องแหวนเล่นละครที่ช่อง 5 ก่อนถึงไปเป็นนักร้อง ก่อนหน้านั้นก็เคยปั้น “จอนนี่ แอนโฟเน่”ไปเจอเขาตอนเป็นนักร้องวงแกรนด์เอ็กซ์ เราเห็นเขา โอ้โห..โคตรหล่อเลย แต่ร้องเพลงก็พอได้ (หัวเราะ) แต่ฉันอยากใช้ความหล่อของเธอมาแสดงละคร น่าจะเหมาะ น่าจะรุ่ง ก็เลยชวนเขามาเล่น เรื่องแรกเลย“บ้านทรายทอง” เป็นแบบตอนสั้นๆ จบในตอน เล่นเป็นชายกลาง เป็นคุณชายหล่อมากใส่สูท เรียกชายหันแต่คอเล่นเป็นหุ่นยนต์มาก (หัวเราะร่วน) แต่พอสอนพอบอกเขาแล้ว เขาเป็นคนที่เรียนรู้เร็วนะคะ มีความพัฒนาไวมาก หลังจากนั้นก็พาจอนนี่ไปเรียนการแสดง 20 ชั่วโมงแล้วเขาก็ไปได้อย่างรวดเร็ว ต่อมาจะให้มาเล่นเรื่อง“ผู้การเรือเร่” นางเอกก็ไม่มี ก็ไปเจอ “แอน-นิออนอิรสา” ในหนังสือวัยน่ารัก เราก็คิดว่าน่าจะเหมาะสมกันมาก สมัยนั้นยังไม่มีคู่ขวัญลูกครึ่ง พอมาประกบคู่กันก็ดังเลย ก็เป็นความภูมิใจของเรา และกันตนาก็เป็นเหมือนโรงเรียนสร้างคนให้เป็นดารานักแสดง หลังจากนั้นก็ไปเรื่อยๆ (ยิ้ม) นั่งซุ่มตรงนั้นตรงนี้เป็นแมวมองเพื่อหาเด็กเข้าสังกัด “โชคชัย เจริญสุข” ก็มาเล่นละครก่อนได้ไปเป็นนักร้อง “โก้-คุณากร เกิดพันธุ์”, “ไก่-สุปราณี”,“แคทรียา อิงลิช”, “แอน ทองประสม”, “สายฟ้า เศรษฐบุตร”,“แจ๊บ-เพ็ญเพ็ชร เพ็ญกุล”,“เหมียว-ชไมพร จตุรภุช”,“น้ำฝน-บุณฑริก ทัสนารมย์”, “ต้น-ตระการ พันธุมเลิศรุจี”,“แก้ว-กวินนา” และอีกมากมาย

รวมผลงานที่ทำมา และที่ประทับใจ

เป็น 100 กว่าเรื่องค่ะ เพราะทำเป็นโปรไฟล์ไว้ว่าปีนี้ทำเรื่องอะไรบ้าง แล้วในเรื่องหนึ่งก็ไม่ได้ทำแค่ตำแหน่งเดียว ในช่วงแรก ซึ่งคนยังไม่มีนะคะ เป็นคนเดียว และทำทุกหน้าที่ เรื่องที่ประทับใจ ก็มีหลายเรื่องเช่น “สุสานคนเป็น” รุ่นแรกเลย “อนุสรณ์ เดชะปัญญา”,“เมตตา รุ่งรัตน์” ถ่ายเช้ายันเช้า “ทายาทอสูร” รุ่น “เหมียว-ชไมพร” ซึ่งเล่นดีมาก ก็ประทับใจทุกเรื่องนะ เพราะเราทุ่มเททำด้วยใจทั้งหมด อย่าง “ห้องหุ่น” เวอร์ชั่นล่าสุดก็อยู่กันตี 2 ตี 3 ในป่าในดงก็ประทับใจ อยู่ในวงการบันเทิงเกือบๆ 40 ปี ทำละครรีเมคที่ตัวเองเคยทำมาแล้ว 3-4 รอบ “สุสานคนเป็น” 3 รอบแล้วนะคะ ทำกับทางกันตนาอยู่ 20 ปี หลังจากนั้นก็ไม่ได้หายไปไหน ยังอยู่ในแวดวง มาทำกับบริษัทของลูกชาย “เต๊นท์” (กัลป์ กัลย์จาฤก) บริษัทกันตนา โมชั่น พิคเจอร์ส ซึ่งลูกก็จะเป็นบอสเรา บางทีจะเถียงกับลูก แต่สรุปจบเราจะไม่โกรธกันข้ามวัน ลูกก็จะบอกว่าจะเถียงกันทำไมให้เหนื่อย แล้วก็มานั่งคุยกันด้วยเหตุผล พอเราบอกไปเขาก็เข้าใจ ลูกเราทันสมัยเราก็ขอบคุณเขา ที่เราอยู่ในยุคของลูก เราก็จะได้ความรู้ที่ทันสมัย ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นของแต่ละยุค จะไม่โบราณไม่ยึดติดกับเดิมๆ ต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคดิจิตอลที่ตอนนี้ไปไหนต่อไหนแล้ว

ปลูกฝังงานบันเทิงให้ลูกๆอย่างไร

“เต้” (ปิยะรัฐ กัลย์จาฤก) กับ เต๊นท์เหมือนเขาถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กๆ อย่างที่บอก น้องเต้ไปกองถ่ายกับเราตั้งแต่เล็กอยู่แล้ว ถ้าเราไม่เอาไปเอง คุณปู่ก็จะหอบเอาไป ทุกคนผูกพันตั้งแต่เกิด เพียงแค่ว่าเขาจะมาด้านไหน มุมไหนของงาน อย่างน้องเต้คนโตก็ทำ The Face Thailand เขาออกแนวต่างประเทศ เจรจาอะไรก็จะสำเร็จไปกับคุณพ่อของลูก ส่วนคนเล็กก็จะติสท์นิดนึง
ทำหนังก็จะขอดาร์คไว้ก่อน จนบางทีเราบอกว่า เต๊นท์เอาตังค์บ้างก็ได้นะลูก (ยิ้ม) เอาใจวัยรุ่นบ้าง

ความภูมิใจในฐานะคุณแม่

มากค่ะ ตอนนี้ได้เห็นเขาเติบโตแล้วก็สบายใจ ไม่ต้องมาเป็นแบ๊กอัพ เขาก็สามารถอยู่ได้ด้วยความสามารถและตัวของเขาเอง อันนี้ไม่ได้อวยนะคะ จากเล็กๆแล้วเขาก็เติบโตมาเป็นสเต็ป คนโตอยู่ในระดับผู้บริหารแล้ว คนเล็กก็จะอยู่ในส่วนบริหาร กันตนา โมชั่น พิคเจอร์สที่แยกออกมา เป็นตัวลูก เขาก็บริหารได้ดี หาเงินมาเลี้ยงลูกน้องเดือนหนึ่งก็หลายแสน และเขามีครอบครัวที่สมบูรณ์ มีลูกที่น่ารัก ไม่ห่วงแล้วค่ะตอนนี้ ชิลมากคุณแม่ก็เป็นฟรีแลนด์รับจ๊อบได้นะคะ (หัวเราะ) ทำให้คนอื่น และทำงานให้ลูกได้ด้วยเช่นกัน

บทบาทการเป็นคุณย่า

มีหลานชายค่ะ 2 คน “น้องตน” กับ “น้องตู” ย่าก็จะค่อนข้างหลงหลาน (หัวเราะ) ถ้าทำงานอยู่แถวรัชดา มีเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ก็จะวิ่งจากออฟฟิศไปเล่นกับหลาน แล้วก็วิ่งกลับเข้ามาใหม่ เขาเริ่มพูดแล้ว เวลาเฟสไทม์มา ก็จะขอขนมในโทรศัพท์ ย่าขอขนมปัง เขาชอบทานขนมปังไส้กรอก เราก็จะซื้อไปฝาก ชื่นใจค่ะต่อให้งานค้างอะไร ก็จะซื้อขนมวิ่งเอาไปให้หลาน นี่คือความสุขของคนเป็นย่า คือถามว่าใช้ชีวิตคุ้มหรือยังบอกเลยว่าคุ้มมากๆ (เน้นเสียง) ถ้าตอนนี้จะต้องเป็นอะไรไม่เสียดายเลย กับการทำงานที่อเมซิ่งจริงๆ มันแบบโอ้ยเหนื่อยกับงานแต่มีความสุข มันมาหยุดในกระแสเลือดเรา เหมือนกับว่าคุณพ่อประดิษฐ์ท่านปลูกฝัง แล้วเราได้มาเต็มๆ เป็นสิ่งที่เรารักไปเลย สำหรับงานเบื้องหลัง ฉะนั้นถ้าใครมาถามว่าเรารักใครมาก ต่อจากพ่อเราก็คือ คุณพ่อประดิษฐ์ (น้ำตาคลอ)

ยังคงสร้างสรรค์งานเบื้องหลังต่อไป

ทำไปเรื่อยๆ แต่ลูกบางทีเขาเห็นเราเหนื่อย เขาก็บอกว่าแม่จะทำทำไม หยุดได้แล้วไหม เราก็จะแบบว่า ไม่ กลัวสมองฝ่อ
ประมาณว่าเป็นคนแก่ที่ทำอะไรไม่ได้ น้ำลายยืดจำอะไรไม่ได้ ตอนนี้เราก็อายุ 62 ปีแล้ว แต่ก็ต้องใช้สมองนะคะถึงจะ Alert ตัดต่ออะไรยังไง เอาตรงไหน ไม่เอาตรงไหน คือโชคดีที่ว่าเราอยู่กับโพสของอันโน้น ก็เลยรู้กระบวนการ รู้การตัดต่อ ช่องก็คอนเน็กกับเราตลอด ขอไฮไลท์ ไฟล์เสียงอันนี้ไม่ได้ คือด้วยความที่เรามีประสบการณ์รู้ทุกสิ่งอย่าง พอใครมีอะไรก็จะเรียกปรึกษาหาเรา รวมทั้งทางช่องด้วย ก็คงทำงานในวงการเบื้องหลังไปเรื่อยๆ ทำอะไรได้ก็ทำ มีหลายที่ อยากจะให้ไปทำ แต่เราก็ยังไม่ไป เพราะอยู่บริษัทนี้นีโน่บราเดอร์ส อบอุ่นจริงๆ เป็นครอบครัวที่ไม่ใหญ่มากสามารถดูแลใจซึ่งกันและกันได้จริงๆ นะคะ อันนี้สำคัญ อย่างองค์กรใหญ่ๆ มันไม่อบอุ่นนะ บางทีคุยกันยาก เป็นขั้นตอนกว่าจะไปถึง แต่อันนี้แป๊บเดียวรู้เรื่อง

ด้านสุขภาพร่างกาย

บอกเลยว่าไม่ได้ทานอะไรพิเศษ ลูกก็แอบเป็นห่วงว่าทำไมแม่นอนดึก บางทีอยู่ห้องตัดต่อถึงตี 3 วิ่งไปห้องเสียงอีก กว่าจะเสร็จออกมาฟ้าสาง กลับบ้านไม่ถูกเลยค่ะ หนักมาก2 อาทิตย์แรก ก่อนที่ “พริ้งคนเริงเมือง”ออนแอร์ 7 โมงกลับบ้าน พักผ่อนไม่ค่อยเต็มที่ แต่เราก็ชินนะ เราไม่อยากให้งานออกไปไม่ดี ผู้จัดน้องหนิงกับน้องโน่ เขาตั้งใจขนาดนี้แล้ว เราก็ต้องดับเบิ้ล ตอนนี้ก็เริ่มงานเรื่องใหม่ “ระบำมาร” ต่อเลย

มุมชีวิตที่สงบ

คือจะชอบไปปฏิบัติธรรมค่ะ จะมีช่วงที่ปิดละครแล้วเราก็ขอ 7 วันไปปฏิบัติเลยค่ะ ปิดโทรศัพท์ ละทางโลกทั้งหมด อย่างเช่น วัดป่ามะไฟ จ.ปราจีนบุรี มีแต่ต้นไม้ ป่า เขา เป็นที่ให้เราไปชาร์จแบต บางทีเราไปเจออะไรมา เราอยากจะปรี๊ด ทำไมๆ ต้องมีคำถามอยู่ตลอด บางทีโกรธเขาไม่ได้ ก็ต้องใช้วิธีเดินออกไปก่อน แล้วพูดว่า เฮ้ย..มันไม่ใช่ความผิดเขาหรือเปล่า ทำไมเราไม่แก้ที่ตัวเรา ก่อนวันที่ถ่ายละครจะไปทุกครั้ง การมีธรรมะก็ดีนะคะ เราคุยกับตัวเองได้ เดินออกไปก่อน อาจจะเป็นกิโลก็ได้ แล้วก็ต้องหันมาดูตัวเอง ขากลับหายปรี๊ดเดินกลับมาร้อนแดดตอนเดินไปไม่รู้เลยว่ามันร้อน(หัวเราะ)นี่แหละธรรม เอามาใช้ในการทำงาน หรือการดำเนินชีวิตได้นะคะ จนบางทีหนิงยังบอกเลย ทำไมไม่เป็นแบบแม่สุคนเก่าที่ลุยเลย เราก็แบบไม่ลูก ทำให้เราเสียสติ จริตที่ออกมาก็ไม่งาม แถมมันผิดศีล 5 ไม่รู้นะ การรักษาศีล 5 ในความเชื่อคือทำไม่ต้องครบทุกข้อ แต่อะไรละได้ก็ละมีช่วงหนึ่งที่แบบโกนศีรษะเข้าวัด อันนั้นสุขใจที่สุด ได้บวชชีเลย 9 วัน ถ้าไม่ติดเรื่องงานก็อาจจะยาวเลย สักเดือนหนึ่งคือมันสงบจริงๆ ตื่นตี 3 ทำวัตรเช้า เดินสมาธิ ทำสมาธิ เสร็จ บ่ายสมาธิ เย็น ทำวัตรเย็น จนหมดภารกิจ

ความในใจถึงกันตนา คุณพ่อประดิษฐ์-คุณแม่สมสุข กัลย์จาฤก

ก็ต้องขอบคุณนะคะ คุณพ่อประดิษฐ์ คุณแม่สมสุข เป็นที่สุด ถ้าเราจะได้เกิดหรือไม่ได้เกิดในวงการตรงนี้ ท่านก็ปั้นเรามา เฉกเช่นเดียวกับที่เราปั้นดารา เราเกิดในวงการได้ แล้วก็รู้ว่ามันเป็นมหาวิทยาลัยชีวิต เจอผู้คนมากมายให้เราได้ศึกษา คือเป็นครูบาอาจารย์คนแรกของเราที่ประสิทธิ์ประสาทวิชานี้ในด้านของการทำบันเทิง ซึ่งเฉพาะตัวเราเอง คงหาที่ไหนไม่ได้ ก็ต้องขอบคุณนักแสดง ทีมงาน ที่ทำให้เราแกร่งขึ้น รู้อะไรมากขึ้น แล้วเราจะต้องพัฒนาตัวเราเองไปในแต่ละยุคสมัยให้ทัน เพราะเราก็อยู่ตั้งแต่สมัยเทคโนโลยีไม่ได้มีขนาดนี้ ก็ได้เห็นวิวัฒนาการความเปลี่ยนแปลงของวงการทีวีมาตลอด แล้วเราก็ต้องวิ่งตามเขาให้ทันด้วย ถามว่าล้ำไหมก็อาจจะไม่ได้ล้ำ ถ้าล้ำคงเป็นรุ่นลูกแล้วค่ะ(หัวเราะ) อย่างน้อยเราก็ไม่ตกเทรนด์ ทั้ง 2 ท่านมีพระคุณจริงๆ ที่อยู่ในครอบครัวนี้ ทุกวันนี้ก็ยังสำนึกในบุญคุณอยู่นะคะ ทุกครั้งที่เข้าไปหาหลานก็เข้าไปกราบสวัสดีคุณย่า ถึงคุณปู่ไม่อยู่ เทศกาลต่างๆ สงกรานต์ งานอะไรก็เอาพวงมาลัยไปกราบเท้า ขอบคุณที่ดูแลหลานอย่างดีทุกครั้งค่ะ

และนี่ก็คือเรื่องราวอีกแง่มุมชีวิต ที่น้อยคนนักจะรู้ ทีมข่าวบันเทิงแนวหน้า ต้องขอขอบพระคุณ คุณสุชีลาที่ให้เกียรติเปิดเผยเรื่องราวเหล่านี้ให้แฟนๆ ได้ทราบกันค่ะ

กุหลาบสีเงิน

Star Retro : นางร้ายในตำนาน ‘หมวย-สุภาภรณ์’ กับมุมหนึ่งที่ไม่ค่อยเปิดเผย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/283314

Star Retro : นางร้ายในตำนาน ‘หมวย-สุภาภรณ์’ กับมุมหนึ่งที่ไม่ค่อยเปิดเผย

Star Retro : นางร้ายในตำนาน ‘หมวย-สุภาภรณ์’ กับมุมหนึ่งที่ไม่ค่อยเปิดเผย

วันอาทิตย์ ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

จะบอกว่า แจ้งเกิดอีกครั้ง ก็คงไม่ผิด เพราะตอนนี้เด็กๆ วัยรุ่นพากันติดใจบท แม่มะนาว ของ “หมวย-สุภาภรณ์ คำนวณศิลป์” ในซีรี่ส์คลับฟรายเดย์ เซเลบ สตอรี่ ตอน ความสุข” (ช่อง GMM25) สตาร์เรโทรจึงได้โอกาส พา นางร้ายในตำนาน มาถามความ.. ย้อนเวลา.. หลังรีเวลความร้าย สร้างความฮือฮา(อีกครั้ง) ผ่านจอทีวี

ฟีดแบ๊กดีเกินคาด

แม่มะนาวไม่ได้คาดหวังว่าจะแรงแบบนี้นะ สาบานเลย แค่ละครออนแอร์ตอนเดียวกระแสโซเชียลดีมากๆ (หัวเราะ) ก่อนอื่นเราต้องยอมรับว่าเราเล่นบทแม่ ถ้าละครจะดังก็ต้องดังพระ-นาง หรือว่าดังตัวร้าย ตัวสอง แต่กลายเป็นว่า บทแม่ดัง หมวยก็งง การตอบรับเกินคาดมากๆ เบรกปุ๊บโทรศัพท์เข้าตลอด เฟซบุ๊ค ไอจี ตลอดเวลา แม่มะนาวนั่งไม่สุข ถือว่าเป็นบทที่พลิกให้คนจำเรา พูดถึงเรามากขึ้นอีกครั้งค่ะ ก็ต้องขอบคุณทาง “พี่ฉอด” (สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา) ที่ยังไว้ใจหมวย ให้หมวยได้รับใช้ เขาใช้ใครก็ได้สมัยนี้ ดารานักแสดงมีเยอะแยะ เขาก็ให้โอกาส เราก็ทำตามหน้าที่เต็มฝีมือของเรา ไม่ให้คนอื่นมาว่าได้ เล่นแล้วไม่มีมาตรฐาน หรือมาตรฐานตก เหมือนกับเราเอาเปรียบผู้จัด เอาเปรียบคนดู ก็ใส่เต็มที่ เขาโถมเท่าไหร่ก็ต้องใส่

เบื้องหลังบทแม่มะนาว

หมวยเล่นไปตามหน้าที่นักแสดง มีคนลงแซวในไอจีว่าเล่นเหมือนกับเขาให้สามล้าน (หัวเราะ) เราก็เล่นไปตามบท ไม่ได้คิดถึงว่าเป็นใคร เราตีตามบทว่าแม่มีความรักกับลูก ทำทุกอย่างเพื่อความสุขลูก แต่ดันเลือกทำไม่ถูกวิธี จะถูกหรือผิดก็ทำเพื่อให้ลูกเป็นซูเปอร์สตาร์ หมวยเล่นแล้วยังนั่งร้องไห้ออกมาจริงๆ เลยนะ (ยิ้ม) ตกใจ สงสาร ตัวแม่มะนาว เป็นตัวละครที่น่าสงสาร นานๆ หมวยจะสงสารตัวละครนะ ถ้าไม่มีอะไรจริงๆ แต่บทนี้เล่นไปแล้วน้ำตาไหลมาเอง ไหลไม่หยุด จนต้องขอคัท แล้วเดินไปนั่งร้องไห้ต่อ ไม่เครียดแต่สงสารเขา

กฏเกณฑ์การเลือกบท

บทดีเราก็รับ บทเรื่องไหนเราไม่ได้เป็นตัวเดินเรื่อง ไม่ได้เป็นตัวขมวดปมของเรื่อง ก็จะปล่อยผ่านไปค่ะ เพราะเราเล่นมาแล้วทุกบทบาท เลยจะเลือกบทที่มีอะไรมากขึ้น บทที่น่าสนใจ เราไม่ได้เย่อหยิ่งจองหองมาจากไหน เพราะว่าเรามีกินมีใช้มีทุกอย่างได้ก็เพราะเราเป็นนักแสดง เราไม่ได้รังเกียจ แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป ก็สอนให้เราเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างในวงการ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องมีการปรับปรุง ขนาดกล้องยังเป็น HD เลย เขาก็มีการปรับปรุงกันมาเรื่อยๆ เราก็ต้องปรับปรุงตามไปด้วย

พัฒนาการความร้าย

ที่ผ่านมาก็จะลุคร้ายดุดัน เราก็เล่นแบบสุดๆ ไม่มีอะไรมาขวางกั้นเรา เราเล่นตรงไปเลย อย่างในละครเรื่อง “เงินปากผี” ของช่อง 3 ที่ถ่ายทำจบไปแล้วรอออนแอร์ เป็นบทที่น่าสนใจนะคะ มีอะไรให้เล่น ต้องเล่นนิ่งๆ มีเรื่องราวอยู่ในใจ ก็มีเครียดนะ เพราะเราไม่เคยเล่นแบบนี้มาก่อน เราไม่รู้ว่าแบบไหนคือพอดี เพราะเราเคยเล่นแต่แบบสุดๆ มาตลอด เมื่อเล่นแบบนั้นไม่ได้ ก็ต้องเล่นอีกแบบหนึ่ง เป็นการพัฒนาเราว่าไม่ใช่เราจะเล่นแบบนั้นได้อย่างเดียวนะ เราก็เล่นแบบอื่นได้ มาเล่นในแบบที่คนไม่ค่อยได้เห็นบ้าง เป็นฝ่ายโดนกระทำบ้าง

วันวานที่น่าประทับใจ

หมวยอยู่ในวงการบันเทิงมาเกือบ 20 กว่าปีได้ค่ะ เริ่มจากละครเรื่อง “แม่หญิง” เวอร์ชั่น แอน-สิเรียม “พี่เลี้ยง” ต้อม (รชนีกร พันธุ์มณี) แล้วก็มา “วันนี้ที่รอคอย” พี่เบิร์ด (ธงไชย แมคอินไตย์) หลังจากนั้นก็มาเรื่อยๆ จนปัจจุบัน อย่างเรื่องแรกที่เล่นก็ไม่ได้ร้ายเลยนะ เรื่อง “แม่หญิง” เล่นเป็นน้องนางเอก เป็นคนดี แล้วมาพลิกร้ายตอนเรื่อง “วันนี้ที่รอคอย” แล้วก็ได้รางวัลเลย

ผู้ที่เห็นแววร้าย

คุณแดง-สุรางค์ เปรมปรีดิ์ ค่ะ เราก็ไม่รู้ว่าท่านคิดหรือเห็นอะไรนะคะ หมวยก็ไม่รู้ แต่พอมาเล่นร้าย ยากไหมก็ยากนะคะ เราต้องรู้แบ๊กกราวนด์เรื่องราวความเป็นมาของตัวละคร แล้วเราก็แจ้งเกิดจากบทร้ายและเล่นร้ายตลอดหลังจากนั้น มีทั้ง “มงกุฎดอกส้ม” เล่นเป็นภรรยาคนที่ 3 เรื่อง “คมพยาบาท” ก็เรื่อยมา หมวยจะไม่รับละครที่บทเราไม่ได้แสดงอะไรเลย เหมือนเป็นการเอาเปรียบคนดู “เบญจรงค์ 5 สี” อันนี้ก็เป็นคนดี ก็มีสลับร้ายดี วนกันไปเรื่อยๆ “แหวนทองเหลือง” ก็ไม่ร้ายกาจ จะดีหรือร้ายก็เล่นได้หมด เพียงแต่ว่าขอให้เป็นตัวสำคัญมีอะไรให้เราเล่น บางทีตัวร้ายก็ร้ายตลาดทั่วไปไม่มีอะไรให้เล่นไม่มีที่มาที่ไป ไม่มีเหตุผล

วันที่หลงรักการแสดง

ตั้งแต่แรกเลยก็ว่าได้ค่ะ เพราะถ้าเราไม่รัก เราก็เล่นไม่ได้ เชื่ออยู่อย่างหนึ่งนะว่าเราก็เหมือนทุกๆ อาชีพ เขาต้องรักอาชีพเขาก่อน เขาถึงทำได้ดี หมวยไม่ได้บอกว่าหมวยทำได้ดีเลิศประเสริฐศรี แต่ในระดับหนึ่งหมวยก็ถือว่าไม่เอาเปรียบคนดู

อาชีพในฝันที่อยากทำ

อยากเป็นผู้จัดละครค่ะ เพราะว่าเขามองเราแล้วเอาเราไปเล่น เราก็อยากจะมองคนอื่นแล้วเอาเขามาเล่นบ้างเหมือนกัน เป็นความฝันของเรา ตอนเด็กๆ หมวยอยากเป็นหมอ ก็เป็นแค่ความฝันของเด็กๆ อันนี้ก็เป็นอีกความฝันหนึ่งของคนแก่ๆ อย่างเรา (หัวเราะ) เป็นก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เสียใจ ก็ไปหาอย่างอื่นทำ รับจ้างเขาเล่นไปจนแก่ก็ไม่มีใครว่าเราหรอก ถ้าเรายังคงคุณภาพเราอยู่ได้

ผลงานประทับใจ ยกไว้ขึ้นหิ้ง

หลายเรื่องเลยค่ะ “วันนี้ที่รอคอย, มงกุฎดอกส้ม, คมพยาบาท, โนราห์” หมวยก็อยากขอบคุณที่แฟนๆ ติดตามและชื่นชอบ เราเล่นแล้วเขาไม่ลืมเรา คนยังไม่ลืมเรา ก็ดีใจแล้ว แฟนๆก็จำได้ บางทีก็เรียกชื่อในละคร ซึ่งหมวยเองก็แปลกใจนะว่า เอ๊ะ จำได้ด้วย เกิดทันกันเหรอ (หัวเราะ) เพราะว่าเราก็เล่นมาเป็นสิบๆ ปีแล้ว “ปอบผีฟ้า” ก็ชอบนะ เล่นเป็นสองตัวละคร มีอะไรให้เราเล่นเยอะแยะ สมัยนั้นที่เราเล่นเป็นตัวสองอยู่ก็จะสนุก

ความสำเร็จที่ยังตราตรึงใจ

เป็นความอิ่มเอิบใจแล้วก็เป็นเมมโมรี่ที่ดี ที่เราทำงานแล้วมีคนยอมรับเราค่อนข้างเยอะ ตอนนั้นจำได้ว่าเราไปไหนไม่สามารถลงรถได้ ไม่สามารถไปซื้อของได้ เพราะแฟนละครจะเอาทุเรียนมาตบเรา ที่ท่าน้ำนนท์นี่แหละ (หัวเราะ) อันนี้เรื่องจริง แล้วมีครั้งหนึ่งหมวยไปซื้อหมูปิ้งแล้วยืนนานมาก เขาก็ให้คนอื่นไปหมดแต่เขาไม่ขายให้เรา คือเขาอินมาก กลายเป็นว่าฟีดแบ๊กที่กลับมาทำให้เราดำรงชีวิตอยู่ยากนะ พูดกับเขาแล้วเขาไม่พูดด้วย เจอมาทุกรูปแบบค่ะ (ยิ้ม)

ผันตัวเองเป็นครูการแสดง

งานแสดงก็ยังรับแสดงนะคะ แต่ที่ทำเพิ่มมาคือ สอนการแสดงที่บ้านตัวเอง ไม่ได้รับเยอะอะไร สอนตัวต่อตัว คือจะพูดยังไงดี หมวยอยากให้มีตัวตายตัวแทน (ยิ้ม) เพิ่งเริ่มทำนะคะ ไม่รู้จะไปได้ดีแค่ไหน การที่เราเล่น กับการไปเป็นครูสอนไม่เหมือนกันนะ เราก็เอาประสบการณ์ตรงของเราที่ผ่านมาสอน ซึ่งหมวยก็ไม่รู้หมวยจะเป็นผู้ถ่ายทอดที่ดีหรือเปล่า ก็ต้องลองดู ไม่ตื่นเต้นอะไร แต่เราคิดว่าเราจะดันเด็กไปทางไหนให้เขาประสบความสำเร็จ เพราะว่าคนที่เขามาเรียน เขาก็มีความคาดหวัง แต่เราก็บอกกับเด็กทุกคนว่า เรียนกับเราสอนเต็มที่นะ แต่อยู่ที่คุณว่าจะสามารถตักตวงจากเราได้มากแค่ไหน เอาไปเลย ตอนนี้ที่สอนมีสองคนค่ะ เป็นเด็กอายุประมาณ 10 ขวบ ผู้ใหญ่ยังไม่มี

บางคนอาจจะมองว่าเป็นลูกหม้อช่อง7

เราโชคดีตรงที่ว่าเมื่อสมัยก่อน เรามีผู้ใหญ่เกื้อหนุนดูแล เราได้รับโอกาสถึงมี สุภาภรณ์ วันนี้ เราได้ฝึกมาเรื่อยๆ ตลอดเวลา มีความชำนาญการ เราเรียกตัวเองแบบนั้น ดูน่ารักดี หมวยว่านะคะ(ยิ้ม) หรือใครจะจำกัดนิยามอะไรก็ทำไป ถ้าคุณสบายใจก็ทำไป หมวยก็เป็นหมวยแบบนี้แหละ ได้รับโอกาสจากผู้ใหญ่ที่หยิบยื่นให้ เราก็น้อมรับอย่างเต็มใจ ถึงแม้ว่าสมัยก่อนจะทำงานเหนื่อย แต่นั่นคือความพร้อมใจสมัครใจของเรา ไม่มีใครบังคับเรา ตอนนี้เล่นได้ทุกช่อง ใครจ้างก็เล่นค่ะ

เมื่อต้องเล่นบท แม่

ตอนแรกไม่เข้าใจนะ ทำไม อะไร อย่างไร ต้องให้เวลา เพราะว่าเรายังไม่บรรลุ (หัวเราะ) เพราะฉะนั้นความเสียใจก็เข้ามาเร็ว เราต้องทำความเข้าใจ แต่ก่อนถ้าเราเล่นเป็นแม่ เรารู้สึกว่าเราแก่ บางทีช่วงนั้นก็จะไม่รับ แต่พอเรามาคิดโอเคคนเป็นแม่เขาก็อายุ 20 กว่าก็มี เขาก็เป็นแม่คน พอเราคิดได้ในตรงที่ว่าทุกอย่างก็เป็นเรื่องจริงนะ เราก็ไม่ทุกข์ ก็ต้องเป็นไปตามโลกวิวัฒนาการของมัน ตอนนี้หมวยเล่นละครด้วยความสบายใจ ไม่มีกังวลอะไร ใครจะมาบอกว่าเล่นเป็นแม่ เราก็จะบอกว่าโลกปัจจุบันจริงๆ ดูสิคะคนอายุ 20 กว่าเป็นแม่ก็มี เพราะฉะนั้นจะแปลกอะไรเมื่อคนอายุ 45 จะลุกขึ้นมาเป็นแม่

บทบาทที่ยังไม่เคยเล่นเลย และอยากเล่น

หมวยอยากจะเล่นเป็นคนใบ้ที่พูดไม่ได้ ยังไม่เคยเล่น เล่นยากนะ และยังไม่รู้เลยว่าชีวิตร่วงโรยมาขนาดนี้แล้วจะมีบทเป็นคนใบ้ให้เล่นไหม แล้วจะเล่นได้ดีไหม เพราะเป็นการสื่อสารโดยการใช้สายตา ใบหน้า โดยตรง ไม่รู้จะทำออกมาได้ดีไหม ก็รอ ถ้ามี
แต่เอาจริงๆ ก็คงจะอึดอัด เพราะหมวยเป็นคนพูดมาก(หัวเราะ)

อาชีพหลัก

ตลอดระยะเวลาที่หมวยเดินทางในวงการบันเทิง หมวยก็ต้องขอขอบคุณผู้ใหญ่ทุกท่านที่หยิบยื่นโอกาสให้ สุภาภรณ์ คำนวณศิลป์ หมวยขอบพระคุณ หมวยถือว่าเขาเห็นคุณค่าในตัวเรา แล้วก็ยังซาบซึ้งจนถึงทุกวันนี้ เพราะว่าถ้าไม่มีเขาในวันนั้นก็ไม่มีเราในวันนี้ แล้วก็จะไม่มีอาชีพนี้เกิดขึ้นในตัวเรา ตอนนี้พูดได้เต็มปากว่านักแสดงเป็นอาชีพหมวยค่ะ หมวยยังไม่มีอาชีพอื่น คุณครูก็ยังไม่รู้ว่าจะมีคนมาเรียนเพิ่มไหม (หัวเราะ) เป็นอนาคตที่เราไม่รู้ หมวยชอบอยู่กับปัจจุบัน เราเป็นนักแสดงก็แสดงไปตามหน้าที่เราค่ะ

ไลฟ์สไตล์วันว่าง

เลี้ยงหมา เล่นกับหมา แมว นอน พักผ่อนตามสไตล์ นอกจากแสดงกับเป็นครู ก็แน่นเต็ม 7 วัน เวลานอนยังไม่พอเลยค่ะ ไหนจะละคร แบ่งเวลาสอนอีก สอนอาทิตย์ละ 2 วัน วันละ 3 ชั่วโมง คือ ก็ดีที่เด็กเข้าใจในพื้นฐานอยู่แล้ว เด็กขัดกล่อมได้ง่ายไม่ต้องสีสันอะไรมากมาย

ชีวิตไม่เคยเหงา

ตอนนี้มีโอกาสให้เราทำอะไร เราก็ทำ เราอย่าไปฝัน อย่าไปทำให้ชีวิตไม่มีความสุข หมวยเป็นคนปฏิบัติธรรมนะคะ บวชทีเป็นเดือน สวดมนต์ทุกวัน ตอนเช้าถ้าไม่ได้ไปกองเช้ามาก ก็จะเจริญภาวนา แต่การที่เราทำอะไรแบบนี้ ไม่จำเป็นต้องบอกใครก็ได้นะ คือเราก็ทำของเราปกติ ทำมา10 ปีแล้ว ไม่ใช่เพิ่งทำแค่เราไม่ได้บอกใคร การที่เราจะเป็นนักแสดงที่ดีได้ เราต้องมีสมาธิ ถ้าสมาธิสั้นไม่ดี เราต้องควบคุมให้ได้ ธรรมะ ก็คือ ธรรมชาติ เรากำลังลอกเลียนแบบธรรมชาติอยู่ ทำให้เราตีบทได้ง่ายขึ้น เล่นได้ง่ายขึ้น ถ้าเราเข้าใจกับมัน ชีวิตหมวยใช้ทุกวันให้มีความสุข ทำให้ชีวิตตัวเองไม่ทุกข์ อันไหนทุกข์ก็วางไว้ก่อน อันไหนสุขก็อ๋อโอเค ไม่มีอะไรอยู่กับเรายาวนาน เดี๋ยวก็ดับไป ทั้งสุขและทุกข์มาพร้อมกัน ถ้ามองทุกข์ก็ทุกข์มาก ถ้าเรามองสุข โอ้ย..สุขเหลือเกิน แต่จริงๆ มันเกิดพร้อมกัน และจะดับไปพร้อมกัน ในโลกใบนี้ ไม่มีอะไรแน่

มุมนี้ที่ไม่ค่อยเปิดเผย

ไปปฏิบัติธรรมก็มีไปค่ะ ผมไม่ย้อม หน้าไม่แต่ง ไม่ต้องมีใครมาสนใจ ต่างคนต่างปฏิบัติไป เขาให้ทำอะไรก็ทำ ไปที่วัดเขาอิติสุคโต ของหลวงพ่อปรีชา วัดหนองซอ ที่เขาใหญ่ ไม่ได้ฟิกซ์ว่าจะไปกี่ครั้งต่อปี แต่ดูจังหวะ เหตุการณ์อันเหมาะสมเห็นแก่สมควรแล้วถึงไป ชีวิตสบายๆ อย่าไปกะเกณฑ์อะไร เราเข้าไปเพื่อเรียนรู้ธรรมะ มีพระมาเทศน์ทำให้เราเข้าใจมากขึ้น ทำให้เราดับทุกข์ได้เร็วกว่าคนอื่น เราถือว่าเราโชคดี กลับมาก็ลุยงานเต็มที่ โชคดีที่เรามีครูบาอาจารย์ดี กัลยานิมิตรที่ดี ถึงแม้ว่าเราจะเป็นคนพูดจาเสียงดัง อาจจะไม่เพราะ พูดจาตรงๆ เราคิดว่าเราไม่ได้ทำร้ายใคร

สุขภาพร่างกาย

อย่างที่ทราบว่าหมวยป่วย หมวยยอมเปิดเผยว่าเป็นโรคไบโพลาร์ดิสออเดอร์ ที่คล้ายๆ โรคซึมเศร้าเพราะหมวยอยากเป็นกำลังใจให้คนเป็นโรคนี้ด้วยกัน ไม่ใช่ว่าโรคนี้จะรักษาไม่หาย โรคนี้หายได้นะ ถ้าคุณดูแลตัวเองดีๆ คนที่เป็นโรคนี้หมวยว่าน่าสงสาร เขาไม่ได้อยากจะเป็น หมวยเองก็ไม่อยากจะเป็น คนที่อยู่ด้วยก็ต้องเข้าใจ ยาดีหมอดีคนรอบข้างต้องดี เราอยู่ในสังคมเราเลือกไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราผ่านตรงนั้นมาแล้วก็เลยเล่าเป็นวิทยาทานว่า คุณก็ต้องมีความหวังว่าคุณจะต้องหายเหมือนกันอย่าคิดว่าเราอยู่คนเดียวในโลก เรายังมีเพื่อนมีสิ่งดีๆ มากมาย เราก็เคยทำผิดพลาดมาแล้ว ก็อยากเป็นกำลังใจให้

หัวใจไม่ว่างแล้ว

หมวยมีความรักเหมือนกับทุกๆ คน เขาเป็นคนน่ารัก และคนดีคนหนึ่ง ชีวิตก็แฮปปี้สดใส แฟนหมวยเป็นผู้หญิง ชีวิตหมวยไม่ได้เป็นปกติเหมือนคนอื่นเขา แต่หมวยมองเป็นปกตินะ (ยิ้ม) เพราะฉะนั้นพอเราออกมาเป็นครอบครัว แน่นอนไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าก็มีทั้งทะเลาะกัน ความเห็นไม่ตรงกันไม่ได้หวานชื่นตลอดเวลา อย่าไปคิดว่าคนที่มีอาชีพนักแสดงแล้วจะเลอเลิศดีงาม ไม่เกิดขึ้นหรอก ในชีวิตจริงก็คือชีวิตจริง

ความในใจถึงแฟนๆ

ขอบคุณมากๆ นะคะที่ติดตามหมวยมาตั้งแต่แรก จนถึงวันนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นกำลังให้มา ผลงานที่ตอบรับออกมาที่ดี ก็ขอน้อมรับเอาไว้ จะพยายามพัฒนาฝีมือตัวเองไปเรื่อยๆ เพื่อให้ดูละครสนุก ถามว่าจะเห็นหมวยต่อๆ ไปหรือไม่ หมวยตอบไม่ได้นะคะ เป็นอนาคตมากเกินไป (ยิ้ม) แต่ถ้าเป็นปีสองปีนี้ก็ยังคงทำอยู่ ใจก็ยังอยากเล่นอยู่ ถ้ามีคนจ้าง ทุกอย่างขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายอย่างไม่ใช่เราคนเดียว

เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งนักแสดงคุณภาพที่จะเล่นบทไหนคนก็เชื่อ เพราะด้วยความใส่ใจในการแสดงไม่เอาเปรียบคนดู แฟนคลับถึงยังรักและชื่นชม หมวย-สุภาภรณ์ คำนวณศิลป์

Star Retro : ‘เคน-วิสรรค์ ฉัตรรังสิกุล’ เคยคิดละทางโลก แต่จังหวะชีวิต จัดสรรให้เป็นดารา!!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/lady/267828

Star Retro : ‘เคน-วิสรรค์ ฉัตรรังสิกุล’ เคยคิดละทางโลก แต่จังหวะชีวิต จัดสรรให้เป็นดารา!!

Star Retro : ‘เคน-วิสรรค์ ฉัตรรังสิกุล’ เคยคิดละทางโลก แต่จังหวะชีวิต จัดสรรให้เป็นดารา!!

วันอาทิตย์ ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2560, 06.00 น.

จากความฝันของเด็กชายวัย 8 ขวบ ที่เหมือนจะริบหรี่ แต่แล้วโชคชะตาก็นำพาให้เขาได้เข้ามาสานฝัน จนที่สุดเขาได้ยึดสิ่งนี้เป็นอาชีพมากว่า 30 ปี แต่กว่าที่เส้นทางสายละครจะยาวนานและมั่นคง เขาต้องฟันฝ่ากับอะไรมาบ้าง วันนี้เราจะมาร่วมย้อนวันวานความสำเร็จไปกับนักแสดงมากฝีมือ “เคน-วิสรรค์ ฉัตรรังสิกุล”

“ช่วงนี้อาจจะรับงานแสดงน้อยลง คือถ้าย้อนกลับไปสู่อดีตสู่ความสุขในการเล่นละครจากครั้งหนึ่งเริ่มต้นด้วยการเล่นละครเวที เล่นละครทีวี. แล้วมันก็กลายเป็นอาชีพ แล้วพอเป็นอาชีพเราก็จำเป็นที่จะต้องรับชอบไม่ชอบ ดีไม่ดี ผมจะไม่ปฏิเสธ ตั้งหน้าตั้งตาเล่น แต่ ณ ปัจจุบันรู้สึกว่าเราไม่ได้มีอาชีพนี้อีกต่อไปแล้วเราเกษียณแล้ว เราก็รับเฉพาะคนที่รู้จักมักคุ้นกันมันค่อยๆ เริ่มมาเรื่อยๆ เมื่อ 3-4 ปีมานี่เอง คือจากที่เมื่อก่อนใครโทร.มาเรารับทั้งนั้น ถามว่ายังรักการแสดงอยู่ไหม คือยังรักเหมือนเดิม แต่ด้วยอายุอานามเราปีนี้ก็69 แล้ว”

ย้อนวันวานกว่าจะมาถึงวันนี้ ?

ผมเข้าวงการมาตอนที่อายุมากแล้วด้วยนะ คือเมื่อปี 2530 จำแม่นเลย เริ่มงานแสดงกับ สองแปดการละครจากการเล่นละครเวที แต่ต้องบอกว่าโดยส่วนตัวแล้วผมเป็นคนที่รักงานแสดงมาตั้งแต่เด็ก ชอบและรักการแสดง แต่ว่าไม่เคยมีโอกาสได้เล่น อยากเล่นละครตั้งแต่ตอน 8 ขวบ แต่ว่าเพิ่งมีโอกาสได้เล่นตอนอายุ 38คือด้วยคนสมัยก่อนเราต้องเข้าใจนะว่าถ้าเผื่อเราไม่มีญาติโยมอยู่ในวงการละคร เราไม่มีทางหรอก เราก็ได้แต่ดูละครในทีวี. ได้แต่เก็บความฝันนั้นไว้ แล้วก็ได้แต่อหังการในใจว่าทำไมเด็กสมัยก่อน มันเล่นละครกันไม่เป็นเลย ถ้าเป็นเรานะเราจะต้องเล่นแบบนี้ๆ พอเราพูดไปก็โดนคนว่า “เออเอ็งน่ะเก่ง เล่นจริง เล่นได้เหรอ”คนจะเหยียดมากกว่าส่งเสริม

จากวิกฤติสู่โอกาสที่รอคอย ?

จนกระทั่งอายุ 38 บอกได้เลยว่าชีวิตมันผันแปรคือตอนนั้นผมทำงานรับเหมาประมูลงานราชการตอนที่เราประมูลเหรียญนึงมัน 25 บาท แต่ว่าหลังประมูลเสร็จจะส่งของ เหรียญนึง 50 บาท ก็เข้าตัวด้วยความโง่เราไม่ยอมเจ๊ง พยายามเคลียร์หนี้จบทุกอย่างในชีวิตหนี้เกลี้ยงหมด เหลือบ้านอยู่หลังเดียว ตั้งใจว่าจะขายบ้านเก็บเงินไว้ก้อนนึง แล้วไปบวช เหมือนว่าแพ้กับชีวิตจะละทางโลกบวชตลอดชีวิต แต่ปรากฏว่ามันก็มีเหตุเป็นไปทำให้ไม่ได้บวช มันเป็นช่วงเข้าพรรษาออกพรรษาแล้วเราก็ไปเจอประกาศในหนังสือพิมพ์ว่ารับสมัครชายวัยกลางคนที่ไม่มีประสบการณ์เล่นละครเวที (ตาวาว) ถ้าเขาบอกว่าเอาประสบการณ์ เราก็คงจะไม่มีสิทธิ์ แต่พอเขาบอกว่าต้องการคนที่ไม่มีประสบการณ์ แล้วชายวัยกลางคนด้วย ผมนี่แหละ ก็เดินทางไปเลยที่สถาบันเกอเธ่ ถนนพระอาทิตย์ เขาให้ไปซ้อมและคัดตัวที่นั่น ด้วยความโชคดีที่ประตูมันเป็นประตูทึบ แต่เปิดเข้าไปตกใจเลย คนเยอะมาก ทุกคนหันมามองเรา ถ้าเผื่อว่าตรงนั้นเป็นกระจกใสชีวิตผมไม่ได้มาอยู่ตรงนี้แน่ เราคงไม่กล้าที่จะไปแข่งกับใครเขาหรอก แต่เมื่อเราเข้าไปแล้วเราก็ถอยไม่ได้ ทั้งห้องมีแต่เด็ก ชายวัยกลางคนอย่างที่เขาต้องการรู้สึกว่าจะมีอยู่อีก 2 คนเองมั้ง แล้วหลังจากนั้นเขาก็เอาบทมาให้อ่าน เราก็รับมา พอถึงเวลาไปลองเล่น เราก็ไม่กล้ามองหน้าใครเลย และอาศัยที่เราชอบเล่นชอบแสดงใช้เสียงบ้างอะไรบ้าง เราก็อ่านบทไปพออ่านเสร็จปุ๊บ “คุณรัศมี เผ่าเหลืองทอง” ก็บอกว่า “น่าสนใจมากค่ะ ยังไงเราจะติดต่อไปนะคะ”เราก็แอบหวังนิดๆ ว่าเขาจะติดต่อกลับมา เราคิดว่าตอนอ่านบทเราก็ทำได้ดีพอสมควร อีกอย่างคือคุณสมบัติเราก็ค่อนข้างตรงกับที่เขาต้องการ เราน่าจะเข้ารอบบ้างล่ะ

เมื่อความฝันที่รอคอยนั้นมาถึง ?

ประมาณ 4-5 วัน เขาก็ติดต่อกลับมา และนัดเจอที่เกอเธ่ ความรู้สึกตอนนั้นคือดีใจมาก เราไม่ได้บอกใคร คือมีพี่สาวรู้แค่คนเดียว เพราะว่าเราให้เบอร์โทรศัพท์บ้านพี่สาวไว้ หลังจากนั้นก็ไปซ้อม เขาก็ลองให้เล่นดู เล่นสองบทสามฉาก ซ้อมอยู่หกเดือน ซ้อมทุกวันตั้งแต่สิบโมงเช้ายันเย็น เพื่อที่จะขึ้นสามฉาก กับละครเวทีเรื่องกาลิเลโอ บทเราคืออกมาไม่เยอะแต่ว่าก็มีความสำคัญพอสมควร ซึ่งมีอยู่ฉากนึงที่เราต้องโดนกดดันโดนเกลี้ยกล่อม แค่ฉากนั้นเรายืนฟังเฉยๆ ไม่ได้พูดอะไรเลยนะ ซ้อมเฉพาะเราอยู่เป็นเดือนๆ เพราะว่าเขาต้องการสื่ออารมณ์ให้ได้ว่าเราโดนกดดันเราโดนบีบ แล้วเชื่อไหมว่าฉากที่ไม่ได้พูดเนี่ย เล่นไม่ผ่าน เขาก็เลยจับเราแยกซ้อม จับไปมัดให้แน่นเลย และให้เราจำความรู้สึกที่โดนมัดเอาไว้ ว่ามันคือความรู้สึกเดียวกันกับที่เราโดนบีบคั้น พอเราซ้อมจนเราเข้าใจและเล่นจนกระทั่งจบโปรดักชั่น ไปเล่นต่างจังหวัดเชียงใหม่ ขอนแก่น ด้วยเป็นปีเลย หนึ่งปีที่ผมอยู่กับละครเวที เรื่องกาลิเลโอ ไม่ได้ทำมาหากินอะไรเลย ซึ่งถ้าเป็นชีวิตปัจจุบันมันคงทำไม่ได้หรอก แต่เพราะจังหวะชีวิตที่จัดสรรให้เรา แล้วพอละครเวทีจบมันก็เลยหน้าบวชไปแล้ว

เสียงชื่นชมจากงานแรก ?

หนึ่งปีที่ได้อยู่ตรงนั้นเราชอบนะ แต่ก็คิดว่าคงจะเป็นโอกาสสุดท้ายในชีวิตเรา เรามีโอกาสแค่นั้น เล่นละครเวทีเราเล่นด้วยความสุข พอเล่นเสร็จเขาก็สลายตัวเขาไม่ทำอีกแล้ว เราก็เลยคิดว่าคงไม่มีใครมาชวนเราไปเล่นอีกมั้ง แต่ว่ากำลังใจอย่างหนึ่งก็คือ วันสุดท้ายที่จบโปรดักชั่นมีกินเลี้ยงกัน “คุณหง่าว” (ยุทธนา มุกดาสนิท)ซึ่งเป็นที่ปรึกษาในโปรดักชั่นนั้นเขาได้พูดว่าประทับใจหลายอย่าง และที่ประทับใจเขามากที่สุดก็คือผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ แล้วเขาก็ชี้มาก็ที่ผม เขาบอกว่าเป็นคนที่มาจากไหนก็ไม่รู้ ไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับการละครเลย แล้วเข้าสู่วัยโรยราแล้ว อยู่ๆ เขาก็ลุกขึ้นมาเล่นละครได้อย่างวิเศษ นอกจากคุณหง่าวแล้ว “หม่อมน้อย” (หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล) ก็ประทับใจในตัวเรา คือหม่อมน้อยถามคุณหง่าวว่าเราคือใคร คุณหง่าวก็ตอบว่าคนทางบ้านมาสมัคร แต่หม่อมน้อยไม่เชื่อคิดว่าผมจบวิชาการมาจากเมืองนอก

ละครเวทีเรื่องกาลิเลโอถือว่าประสบความสำเร็จมากในยุคนั้น หลังจากนั้นผมก็มีโอกาสได้เล่นละครเวทีมาเรื่อยๆ ประมาณสิบกว่าเรื่องเป็นโปรดักชั่นที่ใหญ่บ้างเล็กบ้าง แล้วยุคนั้นถือเป็นยุคทองของละครเวที อย่างเรื่องลูกคุณหลวงก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ดังและประสบความสำเร็จมาก เราเองถือว่าโชคดีที่มีโอกาสได้ร่วมในโปรดักชั่นดีๆ ละครเขาดังเราก็เลยพลอยมีชื่อเสียงไปด้วย

ก้าวสู่แวดวงละครโทรทัศน์?

ความรู้สึกของผมที่ได้เล่นโปรดักชั่นนี้ มันเหมือนว่า “มาเจอไม้งามเมื่อยามขวานบิ่น” หมายความว่ามาเจอโอกาสดีเมื่อเราหมดโอกาสแล้ว นี่คือสิ่งที่ผมรักที่สุดและได้ทำซึ่งคิดไม่ผิด แต่ว่าวัยเราร่วงโรยแล้ว ถ้าเรามาเจอตอนหนุ่มกว่านี้ก็คงจะดี แต่หลังจากนั้นไม่กี่เดือนทางเจเอสแอลก็เปิดแคสติ้งเรื่องเทวดาตกสวรรค์เป็นละครทีวี. และเขาต้องการเอาคนใหม่ๆ รุ่นน้องที่เล่นละครเวทีด้วยกันเขาได้ข่าวก็เอามาบอกเราชักชวนกันไป ครั้งนี้รู้สึกสบายใจได้ไม่ได้ไม่เป็นไรก็เลยไปลองเล่นดูปรากฏว่าก็ไปถูกใจ “คุณจิก” (ประภาส ชลศรานนท์) คาแร็กเตอร์ของเราคือเป็นวัยกลางคนที่ยังไม่มีครอบครัวอยู่บ้านคนเดียวมีหนังสือเป็นเพื่อน มองทุกอย่างเป็นความถูกต้องมีคุณธรรมซึ่งตอนนั้นผมอยู่คนเดียว เรียกว่าคาแร็กเตอร์คล้ายกับเรา เป็นละครที่ดังมากในยุคนั้นประสบความสำเร็จและแจ้งเกิดผมเลยด้วยวัย 39 เกือบจะ 40 หลังจากนั้นก็มีงานละครอื่นเข้ามาเรื่อยๆ

จากที่คิดเสมอว่าคงไม่มีโอกาสทางการแสดงอีกแล้ว ?

ก็ยังคิดอยู่นะว่าเดี๋ยวงานก็คงจะหมดไป แต่ที่ไหนได้ก็เล่นมาจน 30 ปี ส่วนหนึ่งตอนนั้นอาจจะเป็นเพราะว่าเราเข้ามาใหม่แล้วค่าตัวถูกเราเล่นได้หมด เล่นเป็นพ่อหนุ่มพ่อแก่ เป็นพี่ชายของพระเอกนางเอก คนจนคนรวยก็ได้ เป็นคาแร็กเตอร์กลมๆ เป็นตำรวจเป็นผู้พิพากษา หลากหลายมาก บทยังไม่ได้โดนอะไรครอบก็เลยเล่นได้หลากหลาย ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะจังหวะชีวิต
พอปีถัดมาก็ไม่ได้บวชเล่นละครมาเรื่อยๆ จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้บวชเลย (หัวเราะ) พอไม่ได้บวชก็เลยหันเหมาใช้ชีวิตแบบฆราวาส มาแต่งงานมีครอบครัวในช่วงที่งานยังไม่มากและเรายังไม่คิดว่าจะยึดเป็นอาชีพนะ คิดอยู่ตลอดเวลาว่าเดี๋ยวก็คงจะไม่มีใครจ้างเรา

คืองานศิลปะคือความภาคภูมิใจ ?

ทางครอบครัวเขาก็ไม่ได้ว่าอะไรแต่ลึกๆ แม่ไม่ได้ชอบ ความรู้สึกของแม่คนโบราณคืออยากให้ลูกตื่นเช้ามาผูกไทไปทำงาน จะทำอาชีพอะไรก็แล้วแต่แค่ขอให้ผูกไทไปทำงาน นักแสดงคนโบราณจะคิดว่าเป็นอาชีพเต้นกินรำกิน แต่ผมกลับภาคภูมิใจนะเพราะว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนจะทำได้ เราก็มองว่ามันเป็นศิลปะ แล้วลึกๆ เรามีความอหังการว่ามันไม่ได้ทำได้ทุกคน เขาก็ไม่ได้อับอายขายหน้าอะไรมากมาย แค่เขารู้สึกว่าผิดหวังเล็กๆ

แม้ไม่ได้บอร์นทูบีแต่ก็ทำมันอย่างเต็มความสามารถ ?

คือคนสมัยผมคนที่จะเป็นดาราได้ต้องตัวสูงใหญ่ล่ำหล่ออย่าง “มิตร ชัยบัญชา” แต่เราหน้าตี๋ผอมไม่เข้ากับเทรนด์สมัยนั้นเรารู้สึกว่าเราไม่ได้เกิดมาแบบบอร์นทูบีสตาร์ แล้วศิลปะการแสดงคนก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก แต่เมื่อมีโอกาสทำเราก็ตั้งใจทำออกมาให้มันดีที่สุด การแสดงไม่เคยไปร่ำเรียนที่ไหนแต่ว่าสิ่งหนึ่งที่เราเล่นได้ก็เพราะว่าตอนสมัยเด็กแม่จะไม่ยอมให้ไปเล่นกับลูกชาวบ้านเขา อยู่ในบ้านก็เล่นคนเดียวบางทีก็เล่นกับพี่ชาย ส่วนใหญ่จะเล่นคนเดียว ซึ่งมันต้องมีการสมมติตัวเองเป็นคนนั้นคนนี้ (หัวเราะ) แล้วจะรู้สึกว่าตัวเองเล่นได้ เล่นเป็นทั้งผู้ร้ายพระเอกเล่นแล้วก็สงสารตัวเองด้วยความอ่อนไหว จะเอาไม้ขัดหม้อข้าวของแม่มาสมมติว่าเป็นดาบกายสิทธิ์ เรียกว่าผมเริ่มการแสดงมาด้วยจินตนาการของตัวเองตั้งแต่ในวัยเด็ก

ชีวิตครอบครัวที่เรียบง่าย ?

ภรรยา (ดวงกมล ฉัตรรังสิกุล) เป็นพยาบาล ชีวิตเขาเรียบง่ายเรียนจบเป็นพยาบาลอยู่ที่รามาฯแล้วก็มาแต่งงานกับผม ตอนที่เราแต่งงานกันเขาก็เป็นพยาบาลส่วนผมก็เป็นนักแสดง อาชีพเขาวันๆ ไม่ได้เจอใครเจอคนไข้กับญาติคนไข้ แต่ที่มาเจอผมก็คือแม่เขาไปวัดแล้วเจอกับผม และตอนหลังเห็นว่าผมไม่บวชแล้วก็เลยพาไปแนะนำให้รู้จักกัน เรามีลูกด้วยกันคนเดียวเป็นลูกสาว (เพียงออ ฉัตรรังสิกุล) อายุ 28 แล้ว ถ้าถามว่าเขามีใจที่อยากจะเข้ามาทำงานในวงการเหมือนเราบ้างไหมก็พอจะมีบ้างสมัยเด็กๆ แต่ไม่ได้มากมาย แต่ผมยอมรับว่าผมเลี้ยงเขาผิดเหมือนกันนะคือปล่อยตามใจเขาด้วยความที่เขาเป็นลูกคนเดียว แต่เขาก็ไม่ใช่เด็กเกเรอะไรเพียงแต่เขามีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงเกินไป เขาเรียนเอกจีนอาชีพเขาคือเป็นล่ามเป็นพวกแปลภาษาซึ่งก็คือเอาตัวรอดได้

ความรู้สึกของลูกสาวกับอาชีพของคุณพ่อ ?

เขาเขินที่พ่อเป็นดารา อย่างตอนเขาเด็กๆ เวลาที่เดินไปไหนมาไหนแล้วมีคนชี้เขาก็จะรู้สึกไม่ชอบเขินที่คนมาทักเขารู้สึกว่าถ้าคนอยากจะรู้จักเขาก็น่าจะรู้จักเพราะความเป็นเขา ไม่ใช่ว่าเพราะลูกดารา ซึ่งเราก็จะพยายามบอกเขาว่าที่พ่อมีอาชีพตรงนี้ได้ก็เพราะว่าประชาชนถ้าเขาไม่รักไม่ชื่นชมเรา เราก็ไม่มีอาชีพนี้นะ เขาก็บอกว่าไม่ได้ว่าอะไรเพียงแค่เขาอยากให้มีความเป็นส่วนตัว

บทบาทที่ คนจดจำภาพของ “เคน-วิสรรค์” ?

คนไม่ได้จำจากบทอะไรเพราะว่าเราไม่เคยได้เล่นอะไรที่เด่นมาก แต่คนจะจำคาแร็กเตอร์ว่านี่ไงคนนี้ที่ชอบเล่นเป็นพ่อ คนนี้ที่ชอบเล่นเป็นคนจีน ซึ่งผมก็บอกเขาไปว่าเปล่าหรอกไม่ได้ชอบเล่นเป็นพ่อ ผมชอบเป็นพระเอก (หัวเราะ) คนจะคุ้นเคยว่าเราเป็นคนอารมณ์ดีถ้าต้องเล่นเป็นตัวร้ายก็จะต้องมีหนวดหน่อย แต่ไม่รู้เป็นไงส่วนมากก็เล่นเป็นคนดี ผมชอบเล่นบทแบบที่มันลึกๆดราม่าคนที่สูญเสียผู้เสียสละ แสดงออกมาจากข้างในเยอะๆ เล่นแล้วรู้สึกสะใจเล่นแล้วอิ่ม แต่ประเภทที่ว่าแรงๆ เล่นเป็นพ่อใจร้ายตีตบลูกคนจะชอบมากแต่เราเล่นแล้วเราไม่ชอบเลยรู้สึกว่ามันเฟค เราเล่นแค่ภายนอกแต่ข้างในโหวง

กับบทบาทการเป็นผู้เขียนบทละครโทรทัศน์ ?

เคยเขียนให้กับกันตนา ซึ่งเป็นพวกซีรี่ส์จบในตอน ส่วนละครยาวจะมีหลายที่ เขียนไปประมาณ 7-8 เรื่องจุดเริ่มต้นคือจริงๆ แล้วผมเป็นคนชอบเขียนแล้วก็เคยเขียนหนังสือเขียนเรื่องสั้นมาบ้าง จนได้ลองเขียนบทละคร ซึ่งคนรุ่นเก่าอย่าง “อารุจน์
รณภพ” “ป๊ะดุลย์” (อดุลย์ ดุลยรัตน์) หรือว่า “พ่ออี๊ด” (สุประวัติ ปัทมสูต) เขาบอกว่าชอบ เหมือนว่าเราเขียนออกมาแล้วเราเข้าใจคนรุ่นเดียวกันมองทางกันออก ตั้งแต่เขียนบทมาเขียนให้พ่ออี๊ดผมมีความสุขที่สุด หมายความว่าเขาก็ชอบแล้วเขาเอาบทผมไปทำให้ดีขึ้น อย่างเรื่องพล นิกร กิมหงวน ตอนนั้นทำให้กับทีวีธันเดอร์ คือเราเล่นตลกแต่ว่าเรามีแทรกดราม่าที่มันลึกเข้าไปด้วย ก็เขียนบทอยู่พักนึงแต่ว่าตอนหลังมันเครียดนานๆ ทิ้งไปไม่ได้เขียนเราก็คิดว่ามันเอาท์แล้วล่ะ แนวคิดแบบเราคงจะไม่เหมาะกับยุคนี้ ก็เรียกว่าไม่ล้มเหลวไม่ประสบความสำเร็จ คนที่ชอบก็มีคนที่ไม่ชอบก็มี ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ผมชอบและทำพอได้ เรื่องที่เขียนแล้วภูมิใจที่สุดคือ คุณแจ๋วกะเพราไก่คุณชายไข่ดาว ได้รับคำชื่นชมจาก “คุณแม่สมสุข กัลย์จาฤก” และหลายคนมาก เรตติ้งละครก็ดีด้วย เป็นละครที่เขียนมาแล้วเรตติ้งดีที่สุด เรื่องทานตะวัน สะพานรักสารสิน ขายตรงส่งรัก ก็ภูมิใจนะแต่พอยุคสมัยเปลี่ยนไปแนวคิดเราเปลี่ยน และถ้าเราจะเขียนจริงๆ คงจะยึดทั้งสองอาชีพไม่ได้หรอก เราก็ถือว่างานแสดงเป็นอาชีพเรา งานเขียนบทต้องใช้เวลาเยอะมันไม่ใช่ง่ายๆ ต้องคิดจนสมองแตกเลย มุขซ้ำก็ไม่ได้

กับผู้จัดที่คุ้นเคย?

ต้องบอกว่าผมร่วมงานกับกันตนาบ่อยนะ ทั้งเขียนบทและฐานะนักแสดง คือหลังจากที่ผมเล่นละครของเจเอสแอลแล้วละครเรื่องที่สองในชีวิตก็เล่นให้กับกันตนา ต้องถือว่ากันตนามีบุญคุณกับผม “ตุ๊กตา” (จิตรลดา กัลย์จาฤก) เขาเคยพูดว่าเวลาที่เขามีปัญหา
อะไรหาคนเล่นไม่ได้ถ้าเผื่อขอความช่วยเหลือจากพี่วิสรรค์แล้วพี่วิสรรค์ไม่เคยปฏิเสธเลย เราก็สำนึกในบุญคุณเขานะกันตนาบทเล็กบทน้อยบทใหญ่เขาก็เรียกเราตลอด และจุดนึงที่เป็นความภูมิใจก็คือเวลาที่มีบทต้องพูดยาวๆ ก็ต้องพี่วิสรรค์ หรือว่าทาง “คุณบอย” (ถกลเกียรติ วีรวรรณ) ซึ่งเราก็เล่นกับเขามานาน ผมเคยเล่นเรื่องคู่ชื่นชุลมุน เป็นละครที่ลงตัวมากบทลงตัวกลมกลืนมาก แต่เรื่องแรกที่ผมได้ร่วมงานกับคุณบอยคือรักในรอยแค้น ซึ่งเป็นละครเรื่องแรกของเอ็กแซ็กท์ แล้วผมเป็นคนแรกที่เข้าฉากละครของเขาและก็ยังได้ร่วมงานกันมาเรื่อยๆ ล่าสุดก็ในเรื่อง ล่า ที่กำลังถ่ายทำอยู่ สำหรับผลงานตอนนี้ก็มีเรื่อง สื่อสองโลก ที่ออกอากาศอยู่และที่ถ่ายทำอีกเรื่องคือหงส์เหนือมังกร ตอนนี้ความจำก็ยังแม่นอยู่แต่ไม่รับรองว่าถึงเมื่อไหร่ (หัวเราะ) นักแสดงตราบใดที่ยังจำบทได้ก็เล่นได้ และยังจะเล่นไปเรื่อยๆ ตราบใดที่เขายังจ้างเราอยู่ ทุกวันนี้คนที่จ้างก็คือคนที่เราคุ้นเคยที่เคยทำงานด้วยกันมา

แง่คิดดีๆ สำหรับนักแสดงรุ่นใหม่ ?

ทำงานต้องมีวินัยอย่าลืมว่าเราไม่ใช่คนคนเดียวแต่มีอีก 50-60 ชีวิตในกอง ถ้าเราเกเรไปมันก็จะส่งผลสะท้อนถึงทุกคนด้วยเราทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุดมันก็จะดีด้วยกันทุกฝ่าย นี่คือสิ่งที่อยากฝากให้นักแสดงรุ่นใหม่ที่เข้ามานะครับ คือตรงนี้มันเข้ามายาก เป็นอาชีพที่ดีมากสบายเงินดีรักษาไว้ให้ดีที่สุดแล้วก็ต้องเอื้อเฟื้อทุกคนด้วย แล้วประการที่สองเรื่องการดูแลตัวเองเมื่อมีรายได้แล้วต้องเก็บ อย่าคิดว่าเราจะมีรายได้อย่างนี้ไปตลอด ผมคิดเสมอว่าเมื่อเราเล่นเรื่องนี้แล้วนี่คือเรื่องสุดท้ายของเราแล้วนะ พรุ่งนี้จะมีคนจ้างเราหรือเปล่าเราไม่รู้อาจจะไม่มีก็ได้ กินอยู่อย่างประหยัด ทำงานประหนึ่งว่านี่คืองานสุดท้ายแล้วต้องเต็มที่ เราไม่ได้
หลอกตัวเองนะแต่เราคิดอย่างนั้นจริงๆ

 

 

กุหลาบสีเงิน