“เพกาเตี้ย” ต้นเพาะจากรากฝักใหญ่ยาวดก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 24 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/698823

โดย ธรรมชาติของต้นเพกาทั่วไปจะเกิดจากการเพาะด้วยเมล็ดและต้นจะ มีความสูงตั้งแต่ 5–13 เมตรขึ้นไป กว่าต้นจะมีดอกและติดฝักต้องใช้เวลาปลูกอยู่นานหลายปี จะเก็บฝักใช้ประโยชน์จากต้นได้ลำบากเนื่องจากต้นมีความสูงใหญ่นั่นเอง แต่ “เพกาเตี้ย” เป็นต้นที่เกิดจากการเอา “ราก” ของเพกาสายพันธุ์ที่มีต้นเตี้ยอยู่แล้วไปปักชำจนเกิดเป็นต้นใหม่ขึ้นมา แล้วนำไปปลูกต่อจนต้นโต สูงเต็มที่ไม่เกิน 2–4 เมตร สามารถมีดอกติดฝักดกเต็มต้นหลังปลูกแค่ 6–8 เดือนแค่นั้น เป็นเพกาพันธุ์เบามีดอกและติดฝักได้ง่ายแบบไม่ขาดต้นเกือบทั้งปี ฝักมีขนาดใหญ่ยาว ติดฝักเป็นพวงน่าชมยิ่ง จึงถูกตั้งชื่อว่า “เพกาเตี้ย” ดังกล่าว

เพกาเตี้ย หรือ OROXYLUM INDICUM (LINN.) KURZ. อยู่ในวงศ์ BIGNONIACEAE เป็นไม้ต้น สูงไม่เกิน 2-4 เมตร ใบประกอบ 2-3 ชั้น ออกตรงกันข้ามถี่บริเวณปลายยอด มีใบย่อย 3-7 ใบ เป็นรูปไข่ ปลายแหลมโคนสอบเว้าลึกและเบี้ยวเล็กน้อย ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบใกล้ปลายยอด และที่ปลายยอดดอกโคนเชื่อมกันเป็นหลอด รูปกรวย ปลายแยกเป็นกลีบดอก 5 กลีบ เป็นสีน้ำตาลคล้ำหรือสีแดงอมม่วง “ผล” หรือฝักแบนใหญ่และยาวคล้ายดาบ ติดฝักเป็นพวงห้อยลงน่าชมมาก มีเมล็ดรูปแบนจำนวนมาก ซึ่งเพกาทั่วไปจะมีดอกและติดฝักช่วงเดือน กรกฎาคม–สิงหาคม ของทุกปี และดอกจะบานเฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้น แต่ “เพกาเตี้ย” จะมีดอกติดฝักเรื่อยๆ ไม่ขาดต้นหรือเกือบทั้งปี เก็บฝักใช้ประโยชน์ได้ง่ายเพราะต้นเตี้ยนั่นเอง

ใคร ต้องการ “เพกาเตี้ย” ต้นแท้ ที่ขยายพันธุ์ด้วยระบบปักชำ ราก ตามที่ระบุข้างต้น ติดต่อ “คุณประภาส สุภาผล” 33/4 หมู่ 7 ต.ห้วยใหญ่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โทร.08–8533–2299 หรือไปซื้อที่งานเกษตรศรีราชาแฟร์ ม.เกษตรศาสตร์ ศรีราชา จ.ชลบุรี ตั้งอยู่ที่อ่าวอุดม ล็อก A35–36 บูธ “สวนประภาสไม้ผล” วันที่ 26 ส.ค.-4 ก.ย.59 ราคาสอบถามกันเอง เหมาะจะปลูกเก็บฝักกินในครัวเรือน หรือเก็บฝักขายได้คุ้มค่ามากครับ.

“นายเกษตร”

 

ปลาไหลเผือก ไวอากร้า-ซาไก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 24 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/699013

เอ่ยชื่อปลาไหลเผือก คนไทยร้อยทั้งร้อยเป็นนึกถึงปลาไหลผิวสีขาวนวล ที่ผู้คนต่างพากัน ไปลูบคลำ กราบไหว้ขอเลขเด็ดไปเสี่ยงโชค…แต่ “ปลาไหลเผือก” ในที่นี้ เป็นพืชสมุนไพรที่มีอยู่ในป่าของบ้านเรา สรรพคุณแทบไม่ต้องบรรยาย

ปี 2546 สหรัฐอเมริกา นำรากปลาไหลเผือกไปสกัดเอาสารสำคัญ ไปจดสิทธิบัตรใช้เป็นยารักษาอาการศีรษะล้านในผู้ชาย…ปี 2547 สหรัฐอเมริกา ได้สารสกัดจากรากปลาไหลเผือก จดสิทธิบัตรเป็นสารกระตุ้นฮอร์โมนเพศชาย ก่อนจะผลิตออกมาเป็นยาบำรุงทางเพศส่งกลับมาขายในบ้านเรา

ส่วนคนไทยหาได้น้อยคนนักที่จะรู้จัก…ต้นปลาไหลเผือก

“ต้นปลาไหลเผือก เป็นพืชในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีในไทย ลาว เขมร พม่า มาเลเซีย คนไทยโบราณใช้เป็นยารักษาโรคมาลาเรีย โรคฝีในท้อง และบำรุงร่างกาย ส่วนมาเลเซียเรียกกันว่า กัตตงอาลี หรือไม้เท้าอาลี เป็นยากระตุ้นความแข็งแกร่งของร่างกายสำหรับนักรบ”

ณิชาพล บัวทอง นักวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้-ชุมพร บอกว่า สรรพคุณทางเพศที่สหรัฐอเมริกานำไปจดสิทธิบัตรบ้านเรารู้จักมาเป็นร้อยปี พอๆกับที่รู้จักคนป่าซาไก ในป่าแถบ จ.ยะลา

นักสำรวจตั้งข้อสงสัยซาไกอาศัยอยู่ในป่าได้อย่างไร ไม่เจ็บป่วย แถมมีลูกมีหลานเป็นพรวน ได้คำเฉลย…ซาไกนำรากปลาไหลเผือกมาฝนต้มกินกับน้ำและผสมกับน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอนไว้กินเป็นยารักษาโรค

ครั้นเวลาผ่านมาถึงยุคนักวิจัยอเมริกันการันตีทำยาโด๊ปได้ ราคาซื้อขายกันในตลาดสูงถึงต้นละ 300-500 บาท แต่ขายเป็นรากแก่น กก.ละ 3,000 บาท… ต้นปลาไหลเผือกในป่า จึงถูกขุดออกมาขาย กลายเป็นพันธุ์ไม้หายากและเกือบสูญพันธุ์

“เรามองว่าถ้านำมาศึกษาพัฒนาให้ปลูกในเชิงพาณิชย์ได้ นอกจากจะช่วยอนุรักษ์ต้นปลาไหลเผือกให้คงอยู่ ยังจะช่วยสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรได้ จึงนำต้นพันธุ์จากป่าในพื้นที่ จ.ชุมพร มาปลูกไว้ในโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช อันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี”

ณิชาพล บอกว่า จากการศึกษามานาน 6 ปี ขณะนี้เราสามารถขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อได้แล้ว ได้ต้นปลาไหลเผือกที่มีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนต้นแม่ และให้ผลผลิตรากมีคุณภาพดีไม่ต่างจากต้นปลาไหลเผือกที่ขึ้นในป่าธรรมชาติ และสามารถให้เกษตรกรในพื้นที่นำไปปลูกเพื่อสร้างรายได้เสริม สนใจติดต่อได้ที่ มหาวิทยาลัย แม่โจ้-ชุมพร 08-2426-6077

แต่ข้อสำคัญ ก่อนจะปลูกควรศึกษาหาความรู้ ให้ดีก่อน เพราะต้องการแบบสร้างบรรยากาศให้ใกล้เคียงป่าธรรมชาติ และต้องมีไม้พี่เลี้ยงอยู่ร่วมกัน ไม่สามารถปลูกเดี่ยวๆเหมือนการปลูกพืชทั่วไปได้.

ไชยรัตน์ ส้มฉุน

 

รู้จัก ‘มะเดื่อฝรั่ง’ ปลูกง่าย ขายดี ไร้คู่แข่ง เกษตรกรสงขลาทดลองแล้ว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 23 ส.ค. 2559 19:40

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/699443

เกษตรกรใน จ.สงขลา สนใจรวมกลุ่มปลูกมะเดื่อฝรั่งแบบปลอดสารพิษ ในเชิงพาณิชย์แล้ว เผยวิธีการปลูกไม่ยุ่งยาก ดูแลง่าย ในสภาพอากาศเมืองไทยให้ผลผลิตเร็ว จำหน่ายได้ในราคาสูง ที่สำคัญไร้คู่แข่งทางการตลาด เป็นที่รู้จักในระดับสากล

เมื่อวันที่ 23 ส.ค. 59 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มะเดื่อฝรั่ง หรือ Figs เป็นผลไม้ที่ผู้คนส่วนใหญ่อาจจะยังไม่รู้จัก แต่สำหรับในตลาดต่างประเทศ มะเดื่อฝรั่ง นับเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ชนิดหนึ่งให้คุณค่าทางอาหารสูงสุดติดอับดับ 1 ใน 10 ของโลก และยังมีสรรพคุณทางยาอีกมากมาย กำลังเป็นที่นิยมของกลุ่มคนรักสุขภาพ และมีราคาแพงมาก เกษตรใน จ.สงขลา จึงหันมารวมกลุ่มกันทดลองปลูกพืชชนิดนี้ในเชิงพาณิชย์ ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ในอนาคต

ทั้งนี้ นายสมชาย จันทะสะระ อายุ 44 ปี เกษตรกรในชุมชนป่ากล้วย บ้านฉลุง หมู่ 7 ต.ฉลุง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ได้ลงทุนซื้อต้นพันธุ์มะเดื่อฝรั่ง จากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ในราคาต้นละ 500 บาท จำนวน 40 ต้น ทดลองปลูกรวมกับผลไม้ท้องถิ่นชนิดอื่นๆ ในแปลงเดียวกัน ปลูกแบบเกษตรอินทรีย์ หรือ ปลอดสารพิษ โดยเว้นระยะห่างกันต้นละประมาณ 2 เมตร หลังปลูกมา 3 เดือน เริ่มให้ผลผลิตมะเดื่อฝรั่งในรุ่นแรก ซึ่งผลผลิตจะโตเต็มที่ช่วง 6-8 เดือนขึ้นไป

นายสมชาย บอกว่า มะเดื่อฝรั่งยังมีอายุยืนยาวไม่ต้องปลูกหลายครั้ง เป็นผลไม้ชนิดใหม่ที่มีคนนิยมปลูกกันน้อยมากในประเทศไทย ขณะนี้ ตนได้รวมกลุ่มกับเพื่อน 10 คน ทดลองปลูกเป็นแห่งแรกในพื้นที่ภาคใต้ วิธีปลูกก็ไม่ยุ่งยาก จะปลูกในที่โล่งแจ้งหรือปลูกในบ่อซีเมนต์ก็ได้ ไม่แตกต่างจากผลไม้ชนิดอื่นๆ ใส่ปุ๋ยหมักที่ทำขึ้นเองเดือนละครั้ง รดน้ำสม่ำเสมอ

ส่วนวิธีป้องกันโรคแมลงให้ใช้ถุงห่อผลผลิตเพื่อป้องกันหนอนเจาะ และเชื้อราสนิม ซึ่งราคาขายจะขายในราคาประกันกิโลกรัมละ 120 บาท และเป็นการขายกันในกลุ่มที่ปลูกมะเดื่อฝรั่ง แต่หากราคาขายในท้องตลาดที่นำเข้ามาจากต่างประเทศจะอยู่ที่กิโลกรัมละ 300-700 บาท และได้เริ่มตอนกิ่งพันธุ์เองเพื่อขยายพื้นที่การปลูกเพิ่มขึ้น เพราะเชื่อว่าในอนาคตมะเดื่อฝรั่งจะเป็นผลไม้ที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่า

 

สหกรณ์ส่งเสริมอาชีพคู่ตลาด ท่าม่วงเมินข้าวปลูกกล้วยหอม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 23 ส.ค. 2559 05:15

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/697963

จากนโยบายลดพื้นที่ปลูกข้าวของภาครัฐ ไม่ให้เกษตรกรได้รับผลกระทบ ดร.วิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เผยว่า ที่ผ่านมาได้ให้สหกรณ์แต่ละแห่งทำการรวบรวมบัญชีของสมาชิก เพื่อให้รู้สถานะทางการเงินเป็นอย่างไร สามารถวิเคราะห์ปัญหา ป้องกันความเสี่ยงการเกิดหนี้สินระยะยาว เพื่อจะได้ส่งเสริมอาชีพเป็นทางเลือกให้กับสมาชิกตามนโยบาย ก่อนส่งเสริมอาชีพต้องศึกษาเรื่องราคากับตลาดรับซื้อควบคู่กันไป

“สหกรณ์ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี เป็นอีกแห่งที่สมาชิกส่วนใหญ่อาชีพทำนาข้าว แต่ช่วง 2-3 ปี สมาชิกหลายรายเริ่มมีหนี้สินคงค้าง ยอดเงินกู้เพิ่มมากขึ้น หากปล่อยให้ทำนาต่อไปอาจจะกลายเป็นปัญหาตามมา การปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ เป็นอาชีพแรกที่สหกรณ์ท่าม่วงคิดส่งเสริม แต่การสร้างโรงเรือน และวางระบบต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างสูง ตลาดรับซื้อผลผลิตมีน้อย จึงเปลี่ยนมาศึกษาการปลูกกล้วยหอมทอง ตามคำแนะนำสหกรณ์การเกษตรบ้านลาด จ.เพชรบุรี เนื่องจากมีข้อตกลง หากสมาชิก สามารถปลูกกล้วยหอมทองได้คุณภาพมาตรฐานตามที่กำหนด สหกรณ์บ้านลาดฯจะรับซื้อผลผลิตทั้งหมดในราคาประกัน”

อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์กล่าวอีกว่า หลังจากศึกษาความเป็นไปได้และ พาสมาชิกไปดูงาน มีผู้สนใจไม่กี่ราย เพราะชาวบ้านไม่กล้าปรับเปลี่ยนอะไร ง่ายๆ ต้องเห็นตัวอย่างที่ทำไปแล้วดี ถึงจะยอมเปลี่ยน ช่วงแรกจึงทำให้สหกรณ์ท่าม่วงมีสมาชิกสหกรณ์กล้าเปลี่ยนจากนามาทำสวนกล้วย 15 คน แต่ได้รับ ผลสำเร็จด้วยดี

นายชาตรี ศรีอุดมเดชสกุล หนึ่งในสมาชิกสหกรณ์ท่าม่วงที่กล้าเปลี่ยนอาชีพ บอกว่า เดิมทำนา 50 ไร่ ขายข้าวได้ตันละ 14,000 บาท แต่ระยะหลังได้แค่ 5,000-6,000 บาท หักต้นทุนแทบไม่เหลือ ถ้าเปลี่ยนที่นามาปลูกกล้วย ได้ราคาประกัน กก.ละ 15-17 บาท มีการเชื่อมโยงระหว่างสหกรณ์กับสหกรณ์และผู้ผลิต มีแผนด้านการตลาด แผนการผลิต คิดแล้วแทบไม่มีความเสี่ยง การปลูกกล้วยแม้จะเป็นอาชีพใหม่ ยังไม่มีความรู้ ความชำนาญ จึงปรับพื้นที่ 10 ไร่ ซื้อหน่อกล้วยจากบ้านลาดมาปลูกไร่ละ 400 ต้น ทางสหกรณ์ส่งเจ้าหน้าที่มาคอยให้คำแนะนำตลอดเวลา ตั้งแต่การปลูก ใส่ปุ๋ย การห่อเครือกล้วยเพื่อป้องกันไม่ให้ผิวมีตำหนิ ปรากฏว่าปลูกกล้วยหอมทองทำรายได้ให้ต้นละ 235 บาท ไร่ละ 94,000 บาท หักต้นทุน 30,000 บาท ยังเหลือกำไรไร่ละ 6 หมื่นกว่าบาท ดีกว่าทำนาอย่างชัดเจน ส่งผลให้สมาชิกปลูกกล้วยหอมเพิ่มจาก 15 ราย เป็น 52 ราย.

 

“มะม่วงน้ำดอกไม้สีม่วง” ดกไม่ขาดต้นหวานอร่อย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 23 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/697759

มะม่วงชนิดนี้ เกิดจากการเขี่ยเกสรผสมระหว่าง มะม่วงน้ำดอกไม้เบอร์ 4 ปากน้ำ กับมะม่วงจากประเทศไต้หวันชื่อ “หงจู” โดยฝีมือคนไทยจากศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร ต.มหาสวัสดิ์ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี จากนั้นก็นำเอาเมล็ดที่ได้จากผลสุกเกิดจากการเขี่ยเกสรดังกล่าวไปเพาะเป็นต้นกล้าแล้วแยกต้นปลูกเลี้ยงจนต้นโตมีดอกและติดผลจำนวนหลายต้น ปรากฏว่าแต่ละต้นติดผลดกมาก และมีลักษณะเด่นประจำพันธุ์คือ รูปทรงของผลจะเหมือนกับผลของมะม่วงน้ำดอกไม้หรือมะม่วงน้ำดอกไม้เบอร์ 4 ปากน้ำที่เป็นพันธุ์พ่อทุกอย่าง ส่วนสีของผล ไม่เป็นสีเขียวเหมือนกับสีของมะม่วงน้ำดอกไม้ทั่วไป แต่กลับเป็นสีม่วงเข้มตั้งแต่ติดผลขนาดเล็ก จนกระทั่งผลแก่และสุกเหมือนกับสีของมะม่วง “หงจู” ที่ใช้เป็นพันธุ์แม่ทุกอย่าง และสีจะเข้มกว่าด้วยน่าชมมาก ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร เชื่อว่าเป็นมะม่วงกลายพันธุ์ที่เกิดในประเทศไทย ได้ปลูกทดสอบความนิ่งของสายพันธุ์อยู่เป็นเวลานานและหลายวิธีทุกอย่างยังคงที่ จึงตั้งชื่อว่า “มะม่วงน้ำดอกไม้สีม่วง” ดังกล่าว พร้อมขยายพันธุ์ตอนกิ่งออกวางขายให้ผู้สนใจซื้อไปปลูกได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน นานกว่า 4-5 ปีแล้ว

มะม่วงน้ำดอกไม้สีม่วง มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับมะม่วงทั่วไปทุกอย่าง ผลโตเต็มที่มีน้ำหนัก เฉลี่ยระหว่าง 0.8-1.2 กิโลกรัมต่อผล ผลดิบ เนื้อผลมีรสเปรี้ยวไม่จัดนัก ผลสุกเนื้อเป็นสีเหลืองเข้ม ละเอียด ไม่เละแม้สุกงอม ไม่มีเสี้ยนและเมล็ดเล็กลีบบาง รสชาติหวาน มีกลิ่นหอมเฉพาะตัวรับประทานกับข้าวเหนียวมูน ข้าวเหนียวนึ่งสุกใหม่ๆอร่อยไม่แพ้มะม่วงสุกอกร่องแต่อย่างใด ติดผลดกเต็มต้นเรื่อยๆเกือบทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดกับตอนกิ่ง

ใคร ต้องการกิ่งตอนแท้ติดต่อ “สวนวิรัชไม้ผล” 130 หมู่ 6 ต.ท้อแท้ อ.วัดโบสถ์ จ.พิษณุโลก โทร.08-4989-1998, 08-9706-1431 หรือที่งานมหัศจรรย์พันธุ์ไม้ เอ็มซีซีฮอลล์ ชั้น 4 เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน กทม. บริเวณโซน ซี 33 บูธ “สวนวิรัชไม้ผล” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 ส.ค.-4 ก.ย.59 ราคาสอบถามกันเองครับ.

“นายเกษตร”

 

ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์พืชแม่โจ้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย สะ-เล-เต 23 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/697778

ทั้งๆที่บ้านเราถูกจัดเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ มีพันธุ์ไม้มากมายหลายชนิดหลายสายพันธุ์ที่มีประโยชน์สารพัด ทั้งด้านการแพทย์ โภชนาการ และไม้ประดับ ที่เกษตรกรสามารถนำมา ทำเป็นอาชีพได้เป็นอย่างดี ถ้าหากมีการส่งเสริมได้อย่างครบวงจร

แต่เป็นที่น่าเสียดายทุกวันนี้การทำเกษตรกรรมของคนไทย ยังยึดติดอยู่กับการปลูกพืชเพียงไม่กี่ชนิด ที่สำคัญยังปลูกแบบแห่ตามกัน สุดท้ายนอกจากความหลากหลายของสินค้ายังไม่มี สินค้าเกษตรที่ปลูกออกมายังล้นตลาด เกษตรกรกลายเป็นหนี้เป็นสินมากมาย

มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จึงได้ตั้ง ศูนย์อนุรักษ์พันธุกรรมพืช รวบรวมพันธุ์พืชเพื่อสนองพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ภายใต้โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชฯ มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 3 แห่ง ที่ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่, อ.ร้องกวาง จ.แพร่ และ อ.ละแม จ.ชุมพร

เริ่มตั้งแต่การจัดทำข้อมูลพื้นฐานของพันธุ์พืช ศึกษาลักษณะทางพฤกษศาสตร์และข้อมูลที่เกี่ยวข้อง การพัฒนาและปรับปรุงพันธุ์ การขยายพันธุ์ เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ จัดสร้างแหล่งรวบรวมพันธุ์ไม้ไทยพันธุ์แท้ขึ้นและเผยแพร่ผลการดำเนินงานพัฒนาต่อยอดหัวข้อวิจัยให้กับประชาชนทั่วไป

โดย ม.แม่โจ้ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ เน้นงานรวบรวมอนุรักษ์พันธุกรรม ไม้ผลเศรษฐกิจที่โดดเด่น คือ ลำไยพันธุ์อีดอ, มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง 3 ยุค และพันธุ์ไม้ป่าหายาก เช่น ว่านนกคุ้มไฟ กล้วยไม้เอื้ยงดอยคำ ที่นับวันจะถูกลักลอบขโมยออกไปจากป่าธรรมชาติเกือบจะสูญพันธุ์

ม.แม่โจ้ อ.ร้องกวาง จ.แพร่ มีโครงการทดสอบการเจริญเติบโตของพันธุ์พืชท้องถิ่น เช่น มะเกี๋ยง มะกิ้ง น้อยหน่าเครือ ต้นตีนฮุ้งดอย งิ้วป่า สมอภิเพก เสี้ยว มะค่าแต้ ขี้เหล็ก และ สะเดา ส่วน ม.แม่โจ้ อ.ละแม จ.ชุมพร รวบรวม พันธุ์หยีทะเล พืชล้มลุกคล้ายถั่วที่พัฒนาแล้วทำเป็นพืชพลังงานได้ในอนาคต และ ต้นปลาไหลเผือก เป็นต้น

ทั้งนี้ ม.แม่โจ้ ต้องการเน้นให้เกิดการอนุรักษ์พันธุ์พืช และการใช้ประโยชน์ตามนโยบายของโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชฯ และผลผลิตที่ได้จากการวิจัยจะขยายพันธุ์ไม้เพื่อแจกจ่ายให้เกษตรกรนำไปทดลองปลูกเป็นการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้ครอบครัว สนใจสอบถามได้ที่ 0-5387-3032.

สะ–เล–เต

 

“ตะไคร้แกง” แก้ขี้หลงขี้ลืมอัลไซเมอร์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 22 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/696938

สูตรดังกล่าว ให้เอา “ตะไคร้แกง” สด รวมรากใบ 2 ต้นหั่นเป็นท่อน ใบเตยหอมสด 3 ใบหั่นเหมือนกัน กับ มะตูมแห้ง 3 แว่นปิ้งไฟพอหอม และ เกสรดอกบัวหลวง สด 1 ขยุ้มมือ ทั้งหมดล้างน้ำให้สะอาดต้มรวมกันกับน้ำ 1-1.5 ลิตร จนเดือดหรือเนื้อมะตูมแห้งบาน ดื่มครั้งละ 1 แก้วก่อนหรือหลังอาหารหรือตอนไหนก็ได้ ต้มดื่มจนยาจืดแล้วเอาตัวยาต้มใหม่ดื่มต่อ 1 เดือน แล้วหยุด จะช่วยให้ไม่ขี้หลงขี้ลืมหรือเป็นอัลไซเมอร์ได้ เว้น 1 เดือนต้มดื่มต่อไม่อันตรายอะไร

ตะไคร้แกง หรือ CYMBOPOGON CITATUS อยู่ในวงศ์ GRAMINAE ทั้งต้นรักษาโรคหอบหืด ขับปัสสาวะ หัวสดตำทาแก้กลากเกลื้อน ใบสดต้มน้ำดื่มลดความดันโลหิตได้ดีระดับหนึ่ง รากสดต้มน้ำดื่มแก้เบื่ออาหาร หรือคั่วไฟพอเหลืองชงกับน้ำร้อนดื่มเป็นยาขับนิ่วเพิ่งเริ่มเป็นใหม่ๆ ได้ดีมาก นิยมใช้กันมาแต่โบราณแล้ว

ครับ หนังสือ “สมุนไพรไม้ดอกไม้ประดับหายาก” เล่มที่ 5 ของ “นายเกษตร” ไม่วางขายที่ไหนหมดแล้วหมดเลย ราคาเล่มละ 600 บาท บวกค่าส่งกลับเล่มละ 30 บาท ส่งธนาณัติซื้อสั่งจ่าย “คุณนงลักษณ์ ศรีอัชรานนท์” ตู้ ปณ.48 ปณ.สามแยกลาดพร้าว กทม. 10901 หรือสอบถามผลิตภัณฑ์สมุนไพร ตรีผลาแคปซูล ลดไขมันในเส้นเลือด ลดไตรกลีเซอไรด์, ดีบัวแคปซูล ช่วยขยายหลอดเลือดไปเลี้ยงสมอง หัวใจ, ว่านชักมดลูกแคปซูล ช่วยให้มดลูกกระชับ ดับกลิ่นเหม็นแก้คาวปลาในสตรี แก้ต่อมลูกหมากอักเสบ ไส้เลื่อนในบุรุษ, กระเทียมโทนแคปซูล ผสมสมุนไพรหลายอย่างแก้หอบหืด แก้ถุงลมโป่งพอง, ยาลดเบาหวานแคปซูล ทำจากสมุนไพรกว่า 4 ชนิด, ยาบำรุงไตแคปซูล ไม่ใช่ รักษาไต, ยาต้มคลายเส้นไม้เท้าเฒ่าอาลี แก้ปวดเมื่อย แก้เกาต์ ลดเบาหวาน, คอลลาเจนบริสุทธิ์ เป็นผงทาหน้าช่วยให้ผิวหน้ากระชับ น้ำมัน 12 ประดง ใช้ภายนอกฆ่าเชื้อสมานแผล แก้เริม งูสวัด สะเก็ดเงินแพ้เหงื่อ, ยาริดสีดวงจมูกแคปซูล แก้น้ำมูกไหลมีกลิ่นเหม็น, ครีมโลดทนง รักษาสิวฝ้ารูขุมขนตีบลง, แห้วหมูแคปซูล ลดความดันโลหิต, เพชรสังฆาตแคปซูล แก้ริดสีดวงทวาร และอื่นๆ โทร.0-2275-2692 ครับ.

“นายเกษตร”

 

ผลกู้แล้ง…ได้กำไรมากกว่าเงิน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย สะ-เล-เต 22 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/696934

แล้งที่ผ่านมา รัฐบาลมีนโยบายให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ โดยมอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตรร่วมกับกระทรวงมหาดไทย สำรวจความต้องการของชุมชน เพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้งตามมาตรการที่ 4 โครงการตามแผนพัฒนาอาชีพเกษตรกรตามความต้องการของชุมชนเพื่อบรรเทาภัยแล้ง ปี 2558/59

นายโอฬาร พิทักษ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร แจ้งผลการดำเนินงานในเชิงปริมาณ มีโครงการที่กลุ่มเกษตรกรดำเนินการได้รับการอนุมัติ 8,106 โครงการ มีเกษตรกรได้รับประโยชน์ 2.3 ล้านราย เกษตรกรได้รับการจ้างแรงงาน 452,092 ราย เกิดรายได้จากการจ้างแรงงาน 1,356.28 ล้านบาท

ผลการดำเนินงานในเชิงคุณภาพ โครงการกลุ่มพืชใช้น้ำน้อย 542 โครงการ เพื่อทดแทนการทำนาปรังได้ 63,000 ไร่ และเกิดการปรับปรุงพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรในชุมชน 2,150 แห่ง…ถือเป็นการเปิดโอกาสให้เกษตรกรได้ปรับเปลี่ยนอาชีพ โดยคำนึงถึงแผนการบริหารโซนนิ่งที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด

พื้นที่มีน้ำน้อย ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืชใช้น้ำน้อย เพาะเห็ด ปลูกไม้ดอก พืชสมุนไพร พืชตระกูลถั่ว แทนทำนาปรัง…พื้นที่มีน้ำเพียงพอ มีการจัดการแหล่งน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด…พื้นที่ไม่มีน้ำ ส่งเสริมให้มีการทำเกษตรอื่นๆ เลี้ยงสัตว์ ผลิตปุ๋ยหมัก ทำลานตาก โรงสีชุมชน รวมทั้งอาชีพนอกภาคเกษตร ทอผ้า ทอกระจูด ผลิตเครื่องแกง ทำผลิตภัณฑ์จากไม้ไผ่ จ้างแรงงานขุดลอกคลองส่งน้ำเข้าไร่นา เพื่อสร้างอาชีพและรายได้

“นอกจากจะสร้างอาชีพและรายได้ให้กับคนในชุมชน ผลสัมฤทธิ์ที่ได้มากกว่าเชิงปริมาณและคุณภาพ คือ หลักการการบริหารจัดการโครงการ ในอดีตเราอาจมีโครงการไปบอกให้ชาวบ้านทำโน่นนี่ กับโครงการที่เราไปทำให้เอง แต่โครงการนี้ ชาวบ้านคิด ชาวบ้านทำเอง บนพื้นฐานความต้องการของชุมชนที่มีความแตกต่างเป็นรูปแบบที่น่าสนใจ เป็นโครงการที่นำไปสู่ความสุขของคน และที่ยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใด เป็นการช่วยสร้างความรักความสามัคคีให้กับคนในท้องถิ่น ฉะนั้นการทำงานโครงการพัฒนาชุมชน ภาครัฐจะต้องส่งเสริมกระบวนการคิดให้คนในชุมชนได้ลงมือแก้ปัญหาร่วมกันเพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้ในอีกหลายๆเรื่อง ให้เป็นห่วงโซ่คล้องกันไปจึงจะเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน” นายโอฬารพูดสรุปถึงกำไรที่แท้จริงของโครง-การแก้ภัยแล้ง…ในวิกฤติมีโอกาสเสมอ.

สะ–เล–เต

 

จากตำนานบ้านวังส้มซ่า สู่สปาชุมชนเมืองสองแคว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 22 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/697053

ไม่ใช่เรื่องง่ายที่แนวคิดอนุรักษ์ต้นไม้ประจำถิ่น จะพลิกกระแสกลายมาเป็นผลิตภัณฑ์ชุมชนระดับพรีเมียม ยกระดับก้าวสู่สปาหมู่บ้าน และที่ยากยิ่งกว่า คือการซึมซับแนวคิดเดียวกันสู่คนในท้องถิ่น…สิ่งเหล่านี้เกิดจากความมุ่งมั่นของเด็กสาวตัวเล็กๆคนหนึ่งที่ฝันไกลและไปได้ถึง

“เมื่อก่อนที่นี่มีส้มซ่าขึ้นมากมาย จนเป็นที่มาของชื่อหมู่บ้านวังส้มซ่า ชาวบ้านนิยมนำผลมากิน เพราะช่วยให้สดชื่น หายเหนื่อย แถมยังใช้สระผม ขัดมือ ขัดเท้าให้สะอาด ลดความแห้ง หยาบกร้านได้ด้วย ผิวส้มซ่าสูดดมแก้วิงเวียน แต่มาระยะหลังชาวบ้านหันไปปลูกพืชเศรษฐกิจ ทำให้ต้นส้มซ่าค่อยๆหายไป จนเหลือต้นส้มซ่าดั้งเดิมแค่ต้นเดียว ชาวบ้านจึงมารวมตัวกันอนุรักษ์ต้นส้มซ่าตั้งแต่นั้นมา”

วรัญญา หอมธูป สาววัย 27 หนึ่งในผู้ริเริ่มให้ชาวบ้านเกิดจิตสำนึกอนุรักษ์พืชท้องถิ่น อ.ท่าโพธิ์ อ.เมือง จ.พิษณุโลก เล่าว่า หลังเรียนจบมาไม่นาน ปี 2554 มีโอกาสได้ทำตามฝันตั้งแต่เด็กในการอนุรักษ์ส้มซ่า…เริ่มต้นตอนกิ่งส้มซ่าต้นเดียวที่เหลือให้ชาวบ้านไปปลูกบ้านละต้น และปลูกตามที่สาธารณะ…จนตอนนี้มองไปทางไหนก็เห็นแต่ต้นส้มซ่า…กลับมาเป็นหมู่บ้านวังส้มซ่าดังเดิมและได้มีการรวมตัวกันจัดตั้ง กลุ่มวิสาหกิจชุมชนพัฒนาผลิตภัณฑ์ทรัพยากรชีวภาพเพื่อเศรษฐกิจชุมชนบ้านวังส้มซ่า ระดมทุนจากชาวบ้านในชุมชน สร้างโรงผลิตและแปรรูปส้มซ่า โดยได้รับการสนับสนุนหลายด้านจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี, สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ, สำนักงานพัฒนาชุมชน อำเภอเมืองพิษณุโลก, อบต.ท่าโพธิ์ และมหาวิทยาลัยนเรศวร

“เราส่งเสริมให้ทุกบ้านปลูกส้มซ่า เพื่อนำใบและผลมาขายให้กับกลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ เพื่อทำการแปรรูป ระยะแรกเริ่มต้นด้วยสบู่และแชมพูเหมือนกลุ่มอื่น เราจ้างชาวบ้านในท้องถิ่น ก่อนจะพัฒนามาสู่ผลิตภัณฑ์สปาและเครื่องสำอาง 14 ผลิตภัณฑ์ ในแบรนด์ ส้มซ่า, อนงค์ทิพย์ และ บานาน่าสปา มีทั้งขายตรงและผ่านสื่อโซเชียล จนกลายเป็นที่ยอมรับของผู้ใช้ทั้งไทยและต่างประเทศ ทำให้จากเดิมที่ชาวบ้านแต่ละครัวเรือนเคยมีรายได้จากภาคเกษตรแค่เดือนละ 5,000-6,000 บาท เพิ่มขึ้นมาเป็น 10,000-12,000 บาท”

เมื่อมีการผลิต แปรรูป และขายอย่างครบวงจร ด้วยต้องการเพิ่มรายได้ให้คนในพื้นที่ รวมถึงให้ชาวบ้านมีอาชีพติดตัว ปีที่แล้วจึงมีการต่อยอด ทำธุรกิจสปาครบวงจร ใช้ผลิตภัณฑ์หลักมาจากส้มซ่า และสมุนไพรไทย ให้ชาวบ้านในชุมชนไปฝึกอบรมการนวดแผนโบราณ และเรียนรู้เรื่องต่างๆเกี่ยวกับ ธุรกิจสปาจากผู้มีประสบการณ์

วรัญญา ฝากข้อคิดสำหรับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ “โจทย์ที่ยากที่สุดของการทำธุรกิจสมัยนี้คือทำอย่างไรให้ผลิตภัณฑ์โดดเด่น แตกต่างจากท้องตลาดและมีความทันสมัย ควบคู่ไปกับการคงภูมิปัญญาท้องถิ่นไว้”…แต่สิ่งที่ยากกว่า คือการรวมใจของคนในท้องถิ่น ให้ก้าวเดินไปถึงฝั่งฝัน ได้พร้อมๆกัน.

กรวัฒน์ วีนิล

 

“ตันหยง” หอมช่วงวสันต์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 19 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/693821

ตันหยง

ผู้อ่าน จำนวนมากเข้าใจว่า “ตันหยง” เป็นไม้ไทยและเชื่อว่ามีถิ่นกำเนิดทางภาคใต้ของไทยด้วย เพราะชื่ออ่านแล้วน่าจะเป็นอย่างที่คิด แต่ความจริงแล้ว “ตันหยง” เป็นไม้ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมจากประเทศสหรัฐอเมริกาเขตร้อนทั่วไป ถูกนำเข้ามาปลูกและขยายพันธุ์ในบ้านเราตั้งแต่สมัยคุณปู่คุณย่าแล้ว จนทำให้กลายเป็นไม้ไทยไปโดยปริยาย มีชื่อเรียกในประเทศไทยว่า “ตันหยง” เรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน นิยมปลูกตามบ้านตามสวนสาธารณะอย่างแพร่หลาย มีลักษณะประจำพันธุ์คือ ดอกดกสวยงามน่าชมยิ่ง ดอกมีกลิ่นหอมแรง และจะหอมจัดจ้านเต็มที่ในช่วงฤดูฝน หรือยุคสมัยก่อนชอบเรียกว่าหอมช่วงฤดูวสันต์นั่นเอง

ตันหยง หรือ CAESALPINIA CORIARIA WILLD ชื่อสามัญ DIVI-DIVI อยู่ในวงศ์ LEGUMINOSAE เป็นไม้ยืนต้น สูง 5-10 เมตร ลำต้นเดี่ยว แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มกว้างรูปดอกเห็ด ใบเป็นใบประกอบขนนก ออกเรียงสลับ ใบย่อยขนาดเล็ก รูปขอบขนานแคบ ปลายมน ออกเป็นคู่ๆ ใบย่อยไม่มีก้านใบ สีเขียวสด

ดอก ออกเป็นช่อกระจุกตามซอกใบและปลายยอด แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยจำนวนมาก มีกลีบดอก 6 กลีบ เป็นสีขาวอมเขียว หรือ สีเขียวอมเหลืองอ่อน เมื่อดอกบานเต็มที่เส้นผ่าศูนย์กลาง 0.3-0.5 ซม. ดอกมีกลิ่นหอมแรงเป็นธรรมชาติ และจะมีกลิ่นหอมที่สุดในช่วงฤดูฝนหรือฤดูเหมันต์ ตามที่กล่าวข้างต้น เวลามีดอกดกและดอกบานพร้อมกัน จะส่งกลิ่นหอมฟุ้งกระจายทั่วบริเวณใกล้เคียงเป็นที่ชื่นใจมาก “ผล” เป็นฝักแบนและบิดงอ กว้างประมาณ 1.5 ซม. ยาวประมาณ 3.5 ซม.ภายในมีเมล็ด ดอกออกช่วงระหว่างเดือนมิถุนายนต่อเนื่องไปจนถึงเดือนกรกฎาคมของทุกปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง มีต้นขายทั่วไป ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ ราคาอยู่ที่ขนาดของต้น

ประโยชน์ เนื้อฝักของ “ตันหยง” มีสารพัด TANNIN 40-50 เปอร์เซ็นต์ตำละเอียด พอกแผลสดแผลเปื่อยให้แห้งได้ และนำไปย้อมหนังสัตว์ได้อีกด้วยครับ.

“นายเกษตร”