‘นมวัวแดง’ บุกตลาดกัมพูชา 4 เมืองหลัก ตั้งเป้ายอดส่งออก 700 ล้าน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 13 ก.ค. 2559 19:50

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/662886


อ.ส.ค.จัดโรดโชว์ส่งเสริมการขาย ภายใต้กิจกรรม “Milk On the Road in Cambodia Season2” บุกตลาด “โยเกิร์ตพร้อมดื่ม” 4 เมืองหลักของประเทศกัมพูชา วางเป้ายอดส่งออกกว่า 700 ล้านบาท ผอ.วัวแดง เผย นมสตรอเบอร์รี่ ถูกใจหนุ่ม สาวเจนใหม่มากสุด …

เมื่อวันที่ 13 ก.ค. 59 ดร.ณรงค์ฤทธิ์ วงศ์สุวรรณ ผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) เปิดเผยว่า  เพื่อขยายตลาดน้ำนมโคไทย ล่าสุด อ.ส.ค.ลุยเปิดตลาดในประเทศกัมพูชา พร้อมกันนี้ได้ส่งทีมเจ้าหน้าที่แผนกการค้าระหว่างประเทศร่วมกับตัวแทนจำหน่ายนมไทย-เดนมาร์คในกัมพูชา จัดโรดโชว์ส่งเสริมการขาย ประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์โยเกิร์ตพร้อมดื่ม ยู.เอช.ที. ไทย-เดนมาร์ค ในพื้นที่ 4 เมืองหลักของกัมพูชา ได้แก่ พนมเปญ พระตะบอง ศรีโสภณ และเสียมเรียบ

“ครั้งนี้ถือเป็นการจัดกิจกรรมปีที่ 2  เพื่อส่งเสริมการขาย “Milk On the Road in Cambodia Season2”  ให้กลุ่มผู้บริโภคชาวกัมพูชารู้จักนมวัวแดงให้มากขึ้น ซึ่งนมที่นำไปส่งเสริม เป็นนมกลุ่ม ยู.เอช.ที. ผสมคอลลาเจน 4 รส ได้แก่ รสส้ม สตรอเบอร์รี่ สับปะรด และรสเลมอน โดยกลุ่มเป้าหมายจะเป็นวัยรุ่น นักศึกษา กลุ่มวัยทำงาน รวมถึงร้านขายปลีกต่างๆ ซึ่งจะช่วยรักษาและเพิ่มส่วนแบ่งตลาด นมไทย-เดนมาร์ค ในกัมพูชามากขึ้น”

สำหรับปี 2559 ดร.ณรงค์ฤทธิ์  กล่าวว่า อ.ส.ค.ได้ตั้งเป้าผลักดันส่งออกผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์คไปยังกัมพูชา มูลค่ากว่า 700 ล้านบาท คิดเป็น 78% ของเป้าหมายส่งออกตลาดอาเซียน เช่น ลาว และพม่า รวมมูลค่า 900 ล้านบาท ซึ่งแผนการรุกตลาด อ.ส.ค.ได้ร่วมกับตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์คในกัมพูชา ประชาสัมพันธ์กิจกรรมและคาราวานจำหน่ายสินค้า ไปยังเขตพื้นที่ต่างๆ ตามตลาด สถานศึกษา ซูปเปอร์มาร์เก็ต และแหล่งชุมชน

ขณะเดียวกันยังจัดโปรโมชั่นสินค้าและจำหน่ายผลิตภัณฑ์นม ยู.เอช.ที. ควบคู่กับโยเกิร์ตพร้อมดื่มไทย-เดนมาร์ค ซึ่งผู้บริโภคในกัมพูชาให้การตอบรับดีมาก โดยผลิตภัณฑ์โยเกิร์ตพร้อมดื่มที่ได้รับความนิยมสูงสุด คือ รสสตรอเบอร์รี่ รองลงมาเป็นรสสับปะรด ส่วนนม ยู.เอช.ที. กลุ่มเจเนอรัล มิลค์ (General Milk) ที่มียอดขายสูงสุด คือ รสหวาน คิดเป็น 90% รองลงมา เป็นรสช็อกโกแลต

อย่างไรก็ตาม นอกจากการลุยเปิดตลาดกัมพูชา อ.ส.ค.ยังมุ่งเปิดตลาดใหม่ไปยังยังลาวและพม่า ซึ่งมีแนวโน้มว่าเป็นตลาดที่มีโอกาสเติบสูงมาก

34 ปี…อ่างฯแม่แคม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย สะ-เล-เต 13 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/661486


ให้พิจารณาวางโครงการและก่อสร้างอ่างเก็บน้ำในลำน้ำสาขาต่างๆ ของแม่น้ำยม เพื่อจัดหาน้ำให้ราษฎรหมู่บ้านต่างๆในเขต อ.สอง และ อ.เมือง จ.แพร่ สามารถมีน้ำทำการเพาะปลูกได้ทั้งในฤดูฝน-ฤดูแล้ง และน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคตลอดทั้งปี…พระราชดำริ พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ครั้งเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดฝายปลาผา ต.สวนเขื่อน อ.เมือง จ.แพร่ เมื่อปี 2525

จากวันนั้นถึงวันนี้ 34 ปี ลุ่มน้ำยมยังคงมีปัญหาท่วมแล้งซ้ำซาก เพราะไม่มีแหล่งกักเก็บน้ำได้มากพอ ทั้งที่มีปริมาณน้ำท่าเฉลี่ยปีละ 4,129 ล้าน ลบ.ม. แต่เก็บได้แค่ 406 ล้าน ลบ.ม. ที่ผ่านมาแม้จะมีความพยายามพัฒนาแหล่งกักเก็บน้ำขนาดใหญ่ในพื้นที่ต้นน้ำยม แต่ถูกต่อต้านอย่างรุนแรง โครงการเลยถูกเก็บเข้าลิ้นชัก

เมื่อการพัฒนาแหล่งเก็บน้ำขนาดใหญ่เกิดยาก กรมชลประทาน จึงปรับแผนในการพัฒนาแหล่งน้ำใหม่ ให้ความสำคัญกับแหล่งน้ำขนาดกลางในลุ่มน้ำสาขามากขึ้น ตามแนวพระราช ดำริที่ทรงให้พิจารณาวางโครงการและก่อสร้าง อ่างเก็บน้ำในลำน้ำสาขาต่างๆของแม่น้ำยม

และการศึกษาเบื้องต้น ลุ่มน้ำยมมีจุดที่เหมาะสมสำหรับการสร้างอ่างเก็บน้ำได้ถึง 50 แห่ง แต่เมื่อพิจารณาศักยภาพที่จะสามารถก่อสร้างได้ มีแค่ 22 แห่ง

“ทั้ง 22 แห่ง กักเก็บน้ำได้ประมาณ 380 ล้าน ลบ.ม. ถือว่าไม่มากนัก เพราะรวมกับของเก่าแล้ว เก็บน้ำได้แค่ 19% ของปริมาณน้ำท่าลุ่มน้ำยมเท่านั้น ถึงจะน้อยแต่ก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย และในการจะพิจารณาสร้างอ่างเก็บน้ำ กรมชลประทานจะพิจารณาสร้างเฉพาะที่ประชาชนในพื้นที่ร้องขอ ไม่มีการต่อต้าน ดีกว่าที่จะรอโครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ที่มีการต่อต้านสูง ซึ่งไม่รู้ว่าจะก่อสร้างได้หรือไม่” ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าว

โครงการอ่างเก็บน้ำแม่แคม อันเนื่องมาจากพระราชดำริ เป็น 1 ใน 22 แห่งที่มีความเป็นไปได้สูงที่จะก่อสร้างในเร็วๆนี้ เพราะประชาชนร้องขอ ไม่ต่อต้านและรอคอยมายาวนาน ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (IEE) คาดว่าน่าจะสามารถเริ่มก่อสร้างได้ในปี 2561 และเมื่อแล้วเสร็จ สามารถกักเก็บน้ำได้ประมาณปี 2564.

สะ–เล–เต

 

“มะม่วงกระสวย” สุกอร่อยกับที่มาของชื่อ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 13 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/661482


มะม่วงชนิดนี้ เป็นพันธุ์โบราณที่นิยมปลูกเฉพาะถิ่นในแถบจังหวัดภาคกลางมาช้านานแล้ว โดยส่วนใหญ่ จะปลูกเพื่อเก็บผลกินในครัวเรือนเท่านั้น เนื่องจากรูปทรงของผลดูไม่สวยงามนัก จึงไม่นิยมปลูกเพื่อเก็บผลขายเชิงพาณิชย์ และไม่นิยมปลูกกระจายไปทั่วทุกภาคของประเทศไทย เช่น มะม่วงพันธุ์ดังๆ ในปัจจุบัน ส่วนรสชาติเฉพาะพันธุ์ ของ “มะม่วงกระสวย” จะหวานหอม รับประทานอร่อยเป็นที่ถูกปากถูกคอของคนในยุคสมัยก่อนมาก

มะม่วงกระสวย มีชื่อวิทยาศาสตร์และมีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับมะม่วงทั่วไปทุกอย่าง คือ อยู่ในวงศ์ ANACARDIACEAE เป็นไม้ยืนต้น สูงตั้งแต่ 10-15 เมตรขึ้นไป แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มกลมหนาแน่น ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเวียนสลับถี่บริเวณปลายกิ่ง ใบเป็นรูปใบหอก ปลายแหลม โคนมน ขอบใบเรียบ เนื้อใบค่อนข้างหนา ใบมีขนาดเล็กคล้ายกับใบของมะม่วงอกร่องมาก สีเขียวสด ใบดกให้ร่มเงาดีมาก

ดอก ออกเป็นช่อกระจะที่ปลายยอด แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยขนาดเล็กจำนวนมาก ดอกเป็นสีขาวหรือสีขาวนวลออกเหลืองอ่อนๆ ดอกมีกลิ่นหอม “ผล” รูปกลมรีและยาว ทรงผลดูไม่สวยงามนัก คล้ายรูปกระสวยสำหรับทอผ้าบ้านโบราณ จึงเป็นที่มาของชื่อว่า “มะม่วงกระสวย” ดังกล่าว และเรียกกันเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน เมล็ดบางและลีบ ผลดิบสีเขียว เนื้อกรอบเปรี้ยวปนและหวานเล็กน้อย ผลสุกเป็นสีเหลืองอมส้ม อาจมีสีม่วงบ้างเป็นบางผล รสชาติหวานหอม คล้ายเนื้อสุกของมะม่วงอกร่องเขียวทั่วไปทุกอย่าง มีเสี้ยนน้อย สมัยก่อนนิยมกินกับข้าวเหนียวนึ่งร้อนๆ หรือกินกับข้าวเหนียวมูนอร่อยไม่แพ้มะม่วงอกร่องเขียวแต่อย่างใด ติดผลดกปีละครั้งตามฤดูกาล ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง และเสียบยอด

ปัจจุบันไม่พบมีกิ่งตอนแท้วางขาย ใครต้องการต้องติดต่อผู้ค้าไม้ผลตามแผงต่างๆ ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ที่เปิดขายเฉพาะไม้ดอกไม้ผลอย่างเดียวทุกวันพุธ-พฤหัสฯ ให้จัดหาให้ ส่วนจะเป็นต้นแท้หรือเทียมต้องเสี่ยงดู ราคาตกลงกันเองครับ.

“นายเกษตร”

 

เลี้ยงปลาทองในบ่อดิน ทำง่ายทุนน้อยรายได้ดี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 13 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/661739


“จบมหาวิทยาลัยตั้งใจจะทำงานรับราชการ แต่ทางบ้านอยากให้สืบทอดกิจการ เลยมาเลี้ยงปลาทองในบ่อดิน ทำไปทำมาสนุก อยากจะหยุดพักวันไหนก็ทำได้ เพราะเป็นนายตัวเอง รายได้ดีมีพ่อค้ามารับซื้อถึงฟาร์ม เลยขยายกิจการเปิดหน้าร้านขายเองด้วย”

ณัฐวุฒิ ฉิมพลี คนหนุ่มวัย 40 เจ้าของกิจการ ลุงบุญนำฟาร์มปลาทอง หมู่ 7 ต.โพรงมะเดื่อ อ.เมือง จ.นครปฐม บอกถึงวิธีการเลี้ยงปลาทองลงในบ่อดินให้ได้ผลและได้ราคา… ต้องเริ่มจากหาพ่อแม่พันธุ์ที่ตลาดนิยม มีทั้ง พันธุ์ออรันดา, ริวกิ้น, มัวร์, เกล็ดแก้ว, สิงห์ญี่ปุ่น, สิงห์จีน, สิงห์ตันโจ, เรโทรริวกิ้น
พ่อแม่พันธุ์ต้องมีอายุ 5 เดือนขึ้นไป นำมาขังเลี้ยงเดี่ยวๆในตู้ หรือวงบ่อซีเมนต์

เมื่อตัวเมียอวัยวะเพศบวมอูม นำพ่อพันธุ์ที่จะผสมมาเลี้ยงคู่ในกะละมัง (กะละมังสีฟ้าจะสังเกตเห็นไข่ง่ายกว่าสีดำ) ทิ้งไว้ประมาณ 2 วัน จะได้ไข่ประมาณ 500-5,000 ฟอง แล้ว แต่ความสมบูรณ์ของแม่พันธุ์ จะมีอัตรารอดประมาณ 80%

เมื่อในกะละมังมีไข่ ให้ย้ายแม่พันธุ์ออกไปทันที ไม่เช่นนั้นแม่จะกินไข่ตัวเอง ส่วนตัวผู้ยังคงให้อยู่ในกะละมังต่อไป ประมาณ 7 วัน เพื่อคอยฉีดน้ำเชื้อ จนไข่ทั้งหมดฟักออกมาเป็นตัว ถึงค่อยแยกพ่อพันธุ์ออกไป

จากนั้นเตรียมการเรื่องบ่อดิน…ก่อนจะนำน้ำเข้าบ่อ ต้องกรองสัตว์น้ำชนิดอื่นออกไปให้หมด แล้วปรับสภาพน้ำด้วยการใส่ปุ๋ยยูเรีย สูตร 46-0-0 อัตรา 2 กก.ต่อบ่อดินขนาด 400 ตร.ม. น้ำลึกไม่เกิน 1 เมตร เพื่อเพิ่มปริมาณธาตุอาหารในพื้นบ่อ ทิ้งไว้ 2 วัน ถึงจะนำลูกปลาอายุ 2 สัปดาห์ ปล่อยลงบ่อ ในอัตราไม่เกิน 5,000-7,000 ตัว

ให้อาหารจำพวกไรแดง บ่อละ 1 กก. ก่อน 8 โมงเช้า เพราะไรแดงถูกแดดเผาจะตาย ช่วงบ่ายแก่ๆให้อาหารเม็ดประเภทไฮเกรด ปั้นเป็นก้อนใส่ตะแกรงที่ทำเป็นทุ่นลอยไว้ในบ่อ หากปลากินไม่หมดใน 1-2 ชั่วโมง ควรตักออกเพราะทำให้น้ำเสีย…สัปดาห์ที่ 6 เปลี่ยนเป็นอาหารเม็ด (อาหารเลี้ยงลูกกบ) วันละครั้ง ภายใน 1 ชั่วโมง ปลากินไม่หมดให้ตักออก แต่ถ้าหมดให้เพิ่มปริมาณ เพราะแต่ละวัน ปลาจะกินอาหารไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ

ในช่วงที่ฝนตกชุก น้ำจะมีไนโตรเจนสูง ควรปรับสภาพน้ำโดยใช้เกลือเม็ด 2 กิโลครึ่งต่อ 1 บ่อ สาดไปให้ทั่วบ่อ สังเกตมีปลาลอยตัวหัวพลิกไปมาหรือไม่ ถ้ามี ให้รีบตักมาแยกเลี้ยงไว้ในบ่อซีเมนต์เพื่อฟื้นตัว และใช้ปั๊มอากาศช่วย

“เลี้ยงไปเรื่อยๆจนปลามีขนาดตั้งแต่ 1-2 นิ้ว สามารถขายได้ตัวละ 1 บาท ขนาด 3-5 นิ้ว ขายตัวละ 5 บาท ถ้าโตกว่า 5 นิ้ว ตัวละ 100 บาทขึ้นไป ยิ่งได้สีสันสวย รูปทรงดี ตรงตามความต้องการลูกค้า ราคาอาจจะสูงขึ้นไปเป็นหลักพัน หลักหมื่นเลยทีเดียว”

ในพื้นที่ 3 ไร่กว่าๆ ณัฐวุฒิ มีบ่อเลี้ยง 14 บ่อ กับอีก 1 บ่ออนุบาล มีต้นทุนการเลี้ยงปีละ 20,000 บาทต่อบ่อ หักลบแล้วเหลือกำไรบ่อละ 50,000 บาท (ไม่รวมค่าพ่อแม่พันธุ์ราคาหลักหมื่นบาทที่เก็บไว้)

รวมแล้วกำไรปีละ 7 แสนบาทเท่านั้น…สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 08-5180-9468.

ไชยรัตน์ ส้มฉุน

 

ผลถ่ายทอดความรู้…สู้แล้ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย สะ-เล-เต 12 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/660589


นายโอฬาร พิทักษ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เผยผลการดำเนินการโครงการอบรมเพื่อเพิ่มผลิตภาพการผลิตของเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งปี 2558/59 ในพื้นที่ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร 882 ศูนย์ ที่ได้เสร็จสิ้นไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

การสำรวจของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ที่ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่เพื่อประเมินผลเกษตรกรที่เข้ารับการฝึกอบรม 484 ราย ในพื้นที่ 12 จังหวัด จากศูนย์เรียนรู้ฯ 17 แห่ง พบว่า โครงการอบรมถ่ายทอดความรู้ ช่วยเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรร้อยละ 67.80 โดยทำให้มีรายได้เพิ่มจากอาชีพเสริมครัวเรือนเฉลี่ยเดือนละ 475 บาท

ทำให้เกษตรกรมีความรู้ความเข้าใจในการขับเคลื่อนประเทศตามแนวทางประชารัฐร้อยละ 14.06 …ช่วยให้เกษตรกรมีแนวคิดในการนำความรู้ที่ได้รับไปถ่ายทอดให้กับคนในชุมชนร้อยละ 85.16…มีเกษตรกรได้นำแนวคิดนี้เข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาแล้วร้อยละ 65.85

สำหรับเป้าหมายเพื่อบรรเทาผลกระทบจากภัยแล้ง ให้เกษตรกรสามารถดำรงชีพได้ในช่วงวิกฤติและสร้างโอกาสปรับโครงสร้างการผลิตให้เหมาะสมกับภูมิสังคมและตลาดสินค้าเกษตรกร พบว่าช่วยให้เกษตรกรมีแนวคิดปรับโครงสร้างการผลิตจากกิจกรรมเดิมเป็นกิจกรรมใหม่ร้อยละ 75.41

มีแนวคิดเปลี่ยนจากการทำนาเป็นปลูกพืชใช้น้ำน้อยร้อยละ 46.74 และมีเกษตรกรได้นำความรู้และแนวคิดไปสู่การปฏิบัติแล้วร้อยละ 43.20

ส่วนที่ยังไม่ปฏิบัติ เนื่องจากรอฤดูกาลผลิตและยังไม่มีความพร้อมด้านวัตถุดิบ วัสดุอุปกรณ์

นอกจากนี้ การถ่ายทอดความรู้ยังทำให้เกษตรกรผู้เข้ารับการอบรมในบางแห่งมีการรวมตัวกันอย่างไม่เป็นทางการ เพื่อแก้ไขปัญหาการผลิตและการตลาดร่วมกัน เช่น เลี้ยงไก่พื้นเมืองร่วมกันเพื่อเป็นอาชีพเสริม และขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาแนวทางเพื่อที่จะนำไปวางแผนในการรวมกลุ่มให้เหนียวแน่นยิ่งขึ้นต่อไป

ดังนั้น เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างเกษตรกรภายในรุ่นอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน นายโอฬาร จึงขอให้เจ้าหน้าที่ในระดับพื้นที่หมั่นลงพื้นที่ด้วยการเยี่ยมเยียน เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์อันดีระหว่างเกษตรกรกับเจ้าหน้าที่ สร้างขวัญกำลังใจให้เกษตรกร ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการดำเนินงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมทั้งเป็นการพัฒนาภาคการเกษตรของประเทศไทย.

สะ-เล-เต

 

“มะละกอสีทองไทย” กับที่มาพันธุ์ดิบสุกอร่อย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 12 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/660577


ปกติ มะละกอสีทองพันธุ์ดั้งเดิม มีถิ่นกำเนิด จากรัฐฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา มีลักษณะประจำพันธุ์คือสีของผลเป็นสีเหลืองทองโดยธรรมชาติสวยงามน่าชมมาก แต่จะติดผลไม่ดกนัก ขนาดของผลเล็กและสั้นไม่ยาวใหญ่เหมือนกับผลของมะละกอทั่วไป แต่ละผลจะมีเมล็ดน้อยหรือทั้งต้นไม่มีเมล็ดเลย ในประเทศไทยมีผู้นำเอาเมล็ดมาขยายพันธุ์ปลูกนานกว่าสิบปีแล้ว และได้พยายามเก็บเอาเมล็ดที่ได้ขยายพันธุ์ปลูกในประเทศไทยบ้านเราจนต้นโต มีดอกและติดผล

ปรากฏว่า ขนาดของผลแตกต่างกว่าผลมะละกอสีทองจากฮาวายอย่างชัดเจนคือ ผลใหญ่และยาวกว่าเยอะ ติดผลดกเต็มต้น สีสันของผลเป็นสีเหลืองทองน่าชมยิ่ง เนื้อดิบสุกรับประทานอร่อยเช่นเดิมทุกอย่าง ที่สำคัญทุกๆผล จะมีเมล็ดจำนวนมาก ทำให้ผู้ปลูกสามารถเก็บเอาผลสุกผ่าเก็บเมล็ดไปขยายพันธุ์ได้แบบต่อเนื่อง ไม่เหมือนมะละกอสีทองดั้งเดิมที่มีเมล็ดน้อยหรือนิยมเรียกว่า “หวงเมล็ด” โดยใน 1 ต้นจะมี 1-2 ผลเท่านั้นที่จะให้เมล็ดได้ไม่เกิน 5-7 เมล็ด จึงเชื่อว่า เป็นมะละกอสีทองใหม่ที่กลายพันธุ์เกิดในประเทศไทยอย่างแน่นอน เลยตั้งชื่อว่า “มะละกอสีทองไทย” ดังกล่าว

มะละกอสีทองไทย หรือ CARICA PAPAYA LINN. อยู่ในวงศ์ CARICACEAE มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับมะละกอทั่วไปทุกอย่าง เพียงแต่ “มะละกอสีทองไทย” เป็นสายพันธุ์ที่เกิดในประเทศไทย ติดผลดกไม่ขาดต้น และผลมีขนาดใหญ่ยาวกว่ามะละกอสีทองจากฮาวาย อเมริกา อย่างชัดเจน แต่ละผลจะมีเมล็ดเยอะ หรือ ไม่ “หวงเมล็ด” ด้วย รสชาติของ “มะละกอสีทองไทย” ผลดิบและผลสุกรับประทานอร่อยไม่แพ้พันธุ์ดั้งเดิมทุกอย่าง สีสันของผลสวย ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด

มีเมล็ดและต้นแท้ของ “มะละกอสีทองไทย” ขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ 17 แผง “นายดาบสมพร เปรมจิต” โทร.08-6605-4945 ราคาสอบถามกันเองครับ.

“นายเกษตร”

 

กรมหม่อนไหมเตือนภัย เพร็บบริน..มันมากับฝน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 12 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/660899


จากเดิมราคาเส้นไหม 4 เกรด ที่เคยซื้อขายกันอยู่ที่ กก.ละ 600-1,200 บาท ปัจจุบันราคาเส้นไหมพื้นบ้านได้ขยับขึ้นไปมาก เส้นไหม 1 ราคา กก.ละ 1,561-1,825 บาท, เส้นไหม 2 กก.ละ 1,230-1,385 บาท, เส้นไหมหลืบ 794-877 บาท และไหมแลง ราคา 764-843 บาท ดึงดูดเกษตรกรหันมาเลี้ยงไหมกันมากขึ้น ส่งผลให้เกิดปัญหาปริมาณไข่ไหมไม่เพียงพอต่อความต้องการ

นายอภัย สุทธิสังข์ อธิบดีกรมหม่อนไหม เผยว่า ที่ผ่านมาแม้กรมหม่อนไหมจะส่งเสริมให้เกษตรกรผลิตแผ่นไข่ไหม และปลูกแปลงหม่อนมาตลอด แต่ยังประสบปัญหาไข่ไหมไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในช่วงเปลี่ยนฤดูเข้าหน้าฝน สภาพอากาศมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ใน 1 วัน มีทั้งร้อน ฝน อุณหภูมิเปลี่ยน ความชื้นสูง ทำให้เกิดเชื้อโรค หนอนไหมอ่อนแอและตาย ผลผลิตรังไหมที่ได้มีคุณภาพต่ำ

“สภาพอากาศที่แปรปรวน มีผลต่อสุขภาพตัวหนอนไหมและตัวบี้ (ผีเสื้อไหม) สุ่มเสี่ยงต่อการติดโรคเพร็บบรินได้ง่าย ถ้าหนอนไหมวัยแก่หรือ ตัวบี้ ได้รับเชื้อเข้าทางปากจะไม่ตาย สามารถเจริญเติบโตต่อไปได้จนเป็นผีเสื้อวางไข่ แต่ไข่ที่ออกมามีเชื้อโรคเพร็บบรินแฝงอยู่ เมื่อฟักออกมาตัวหนอนจะตายภายใน 4-5 วัน”

เพื่อป้องกันการระบาดของโรคเพร็บบรินในระยะนี้ นายอภัย เตือนเกษตรกรให้เฝ้าระวัง อย่าให้พื้นที่เลี้ยงหนอนไหมมีละอองฝนสาดถึง หากอุณหภูมิลดลง อากาศเย็นมีความชื้นมากเกิน ให้นำเตาถ่านที่มีไฟอ่อนๆ ปราศจากควันไฟ มาวางไว้ภายในช่วยปรับอุณหภูมิ และใช้ปูนขาวโรยในภาชนะที่เลี้ยงไหมอายุ 5 วัน

ที่สำคัญห้ามนำใบหม่อนที่มีความชื้นจากน้ำฝน หรือน้ำค้าง มาเลี้ยงหนอนไหมโดยเด็ดขาด

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้มีแผ่นไข่ไหมเพียงพอกับความต้องการของเกษตรกร นายอภัย บอกว่า กรมหม่อนไหมได้เร่งให้ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติจังหวัดต่างๆ ผลิตแผ่นไข่ไหมให้มีปริมาณเพียงพอ โดยปี 2559 มีเป้าหมายจะผลิตให้ได้ 171,400 แผ่น แต่ขณะนี้ผลิตได้เพียง 84,437 แผ่น เนื่องจากติดปัญหางบประมาณที่ได้รับ มีการถูกตัดปรับลดลงทุกปี.

 

CRISPR เทคนิคใหม่ NON-GMO

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย สะ-เล-เต 11 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/659852


ขณะที่บ้านเรายังตัดสินใจไม่ได้จะเอายังไงกับเทคโนโลยีจีเอ็มโอ วันเวลาที่ผ่านไป จากเป็นหนึ่งในผู้นำ ไทยได้กลายเป็นผู้ตามและล้าหลัง เพราะเทคโนโลยีดัดแปลงพันธุกรรมพืชได้พัฒนาไปไม่รอใคร เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกและภาวะประชากรล้นโลก จนผลิตอาหารได้ไม่เพียงพอ

วันนี้ความก้าว หน้าของเทคโนโลยีปรับปรุงพันธุกรรมพืช ได้ก้าวล้ำ ก้าวข้ามจีเอ็มโอขึ้นไปอีกระดับ ด้วยการปรับปรุงพืช พันธุ์ใหม่ (NBT) โดยการตรวจแก้พันธุกรรมในระดับจีโนม หรือแก้ส่วนประกอบของดีเอ็นเอพืชที่เกี่ยวกับการถ่ายทอดพันธุกรรม ซึ่งอยู่ในโครโมโซมของสิ่งมีชีวิต

ที่เรียกว่า…genome-edited CRISPR technology

เป็นเทคโนโลยีช่วยปรับแก้ยีนด้อยของพืช ให้กลายเป็นพันธุ์ปกติ (non-transgenic plants)

แปลเป็นภาษาชาวบ้าน เขาจะแก้ยีนด้อยหรือดีเอ็นเอของพืชแต่ละชนิดที่เป็นตัวปัญหา เช่น ข้าวชนิดนี้มียีนที่ก่อให้เกิดโรค จะตัดยีนส่วนนี้ทิ้ง แล้วสังเคราะห์ยีนที่ต้านโรคเพิ่มเข้าไปแทน

โดยพืชที่ถูกแก้ไขยีน ยังคงเติบโตขยายพันธุ์ต่อไปได้ ไม่ต่างจากพืชทั่วไปต่างจากพืชจีเอ็มโอที่เอายีนของจุลินทรีย์หรือพืชชนิดอื่นใส่เข้าไปในพืชอีกชนิดหนึ่ง เพื่อหวังเพิ่มผลผลิต ป้องกันโรค แมลง หรือทนแล้ง

เรื่องนี้กำลังเป็นที่ถกเถียงกันว่า การปรับแก้ยีนพืชจะเข้าข่ายจีเอ็มโอหรือไม่…แต่ที่แน่ๆ สหรัฐอเมริกา แคนาดา สวีเดน อาร์เจนตินา ประเทศที่มีความก้าวหน้าในเรื่องพันธุกรรม ไม่จัดเทคโนโลยีนี้เป็นจีเอ็มโอ และมีแนวโน้มจะเป็นที่ยอมรับในวงกว้างมากขึ้น และพืช genome-edited CRISPR ที่กำลังพัฒนา ได้แก่ ถั่วเหลือง, ข้าวโพด, ข้าวสาลี, ข้าว, มันฝรั่ง, มะเขือเทศ, ถั่วลิสง

นี่คือความเป็นไปที่กำลังเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ส่วนบ้านเราแค่เรื่องจีเอ็มโอยังยากจะขยับขับเคลื่อนอะไรได้ ถ้าเทคโนโลยีใหม่ถูกยอมรับมากขึ้น ไทยเราคงต้องเดินตามหลัง กินฝุ่นไปเรื่อยๆ

เรื่องฝันไกลจะเป็นครัวโลก…คงทำได้แค่ซ่อมหลังคาครัวให้รอดฝนพ้นแดดไปก่อนก็แล้วกัน.

สะ–เล–เต

 

“พริกขี้หนู” กับวิธีแก้ไอกรน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 11 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/659856


สูตรดังกล่าว ให้เอา “พริกขี้หนู” สด 7 เม็ด หัวหอมแดงสด ปอกเปลือก 6 หัว ขิงแก่สด ตัดยาว 10 ซม. 1 ท่อน และ ใบแมงลัก สด 1 ขยุ้มมือ ทุกอย่างล้างน้ำให้สะอาดทุบเฉพาะหัวหอมแดง ขิง และ “พริกขี้หนู” พอบุบแล้วนำทั้งหมด รวมทั้งใบแมงลักต้มกับน้ำประมาณ 1 ลิตรจนเดือด 5 นาที แล้ว ยกลงดื่มขณะอุ่น 1 แก้วก่อนนอนทุกวัน อาการไอกรนส่งเสียงดังเป็นที่รำคาญกับคนนอนใกล้ๆ จะค่อยๆ เสียงเบาลง และต้มดื่มเรื่อยๆ อาจหายได้ไม่อันตรายอะไร

พริกขี้หนู หรือ CAPSICUM FRUTESCENS LINN. ชื่อสามัญ BIRD CHILLI อยู่ในวงศ์ SOLANACEAE มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมจากประเทศอเมริกาเขตร้อน แล้วกระจายพันธุ์ปลูกในเขตร้อนไปทั่วโลก ประโยชน์ “พริกขี้หนู” มีรสเผ็ดร้อน นิยมรับประทานเป็นอาหาร สรรพคุณทางสมุนไพร ช่วยเจริญอาหาร ใช้เข้ายาสมุนไพรอื่นช่วยลดอาการปวดบวม แก้ปวดข้ออักเสบได้

ครับ หนังสือ “สมุนไพรไม้ดอกไม้ประดับหายาก” เล่มที่ 5 ของ “นายเกษตร” พิมพ์จำกัดหมดแล้วหมดเลย ไม่วางขายที่ไหน ราคาเล่มละ 600 บาท บวกค่าส่งกลับเล่มละ 30 บาท ส่งธนาณัติซื้อสั่งจ่าย “คุณนงลักษณ์ ศรีอัชรานนท์” ตู้ ปณ.48 ปณ.สามแยกลาดพร้าว กทม.10901 หรือสอบถามผลิตภัณฑ์สมุนไพร น้ำมัน 12 ประดง ใช้ภายนอกฆ่าเชื้อสมานแผลแก้เริม งูสวัด สะเก็ดเงิน และแพ้เหงื่อ, ยาแก้รีดสีดวงจมูกแคปซูล แก้น้ำมูกไหลมีกลิ่นเหม็น, ครีมโลดทนง รักษาสิวฝ้า รูขุมขนตีบลง, โลชั่นบำรุงผิว, แชมพูสูตร 5 ชนิด ขจัดรังแคบำรุงรากผม, ข่อยขัดรักแร้ ดับกลิ่นเต่ารักแร้หายดำคล้ำ, น้ำมันงาบริสุทธิ์ ทาผิว หมักผม, น้ำมันทาแก้ปวดข้อรูมาตอย, ดีบัวแคปซูล ขยายหลอดเลือดไปเลี้ยงสมองหัวใจ, ตรีผลาแคปซูล ลดไขมันในเส้นเลือด ลดไตรกลีเซอไรด์, ยาต้มคลายเส้นไม้เฒ่าอาลี แก้ปวดเมื่อย แก้เกาต์ ลดเบาหวาน, คอลลาเจนบริสุทธิ์เป็นผง ทาหน้าช่วยให้ผิวหน้ากระชับ, เพชรสังฆาตแคปซูล แก้รีดสีดวงทวาร, ยาบำรุงไต แคปซูล ไม่ใช่รักษาไต, ยาลดเบาหวานแคปซูล และอื่นๆ โทร.0-2275-2692 ครับ.

“นายเกษตร”

 

เกษตรยั่งยืนต้องเดินคู่การตลาด ปรัชญา..ปริญญาโททิ้งออฟฟิศลุยทุ่ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 11 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/659886


อาชีพเกษตรกรมักถูกสังคมมอง “ไร้เกียรติ ทำไปมีแต่จน เป็นชนชั้นล่าง” กลายเป็นที่มาของการทิ้งบ้านเกิดมาทำงานในเมือง คนรุ่นใหม่ไม่มีใครอยากจับอาชีพนี้ จนเกิดปัญหาสังคมตามมามากมาย…แต่ไม่ใช่กับ กัญภัคณัฐ แท่งทองหลาง สาวแกร่งเมืองย่าโม ดีกรีปริญญาโท ทิ้งอาชีพมนุษย์เงินเดือน มาจับจอบ จับเสียมทำนา

“เดิมก็เหมือนกับวัยรุ่นต่างจังหวัดทั่วไป เข้ามาเรียนต่อปริญญาที่กรุงเทพฯ จบแล้วทำงานด้านการตลาดพร้อมกับเรียนปริญญาโท ได้เงินเดือนกว่า 30,000 บาท ปี 54 เริ่มหันมาสนใจด้านการเกษตร เพราะมองว่าน่าจะกลับบ้านมาดูแลพ่อแม่ ทำกินในที่ดินตัวเอง จึงเริ่มสมัครเข้าอบรมด้านการเกษตรที่หน่วยงานต่างๆจัดขึ้น”

จนพบคำตอบ…การทำเกษตรให้ยั่งยืนต้องเดินไปคู่กับการตลาดกัญภัคณัฐ แท่งทองหลาง เกษตรกรรุ่นใหม่ อ.จักราช จ.นครราชสีมา เล่าว่า หลังเข้าอบรมเกษตร พอเพียง เริ่มทดลองปลูกข้าว 4 ไร่ แต่ด้วยเจอแล้งจัด ไม่มีเวลาดูแลเพราะยังทำงานไปด้วย จึงไม่ประสบความสำเร็จ จากนั้นเริ่มใช้เวลาทดลองทำตามที่อบรมมา พร้อมกับหาความรู้เพิ่มเติมจากสื่อต่างๆจนคิดว่า…รู้พอ

ปี 57 ลาออกจากงานมาทำเต็มตัว เพิ่มพื้นที่ปลูกเป็น 16 ไร่ ลงข้าวหอมมะลิ ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ปี 58 เข้าร่วมโครงการทายาทเกษตรกรมืออาชีพ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ทำให้ได้รู้เพิ่มขึ้น และรู้จักเพื่อนเกษตรกรในเครือข่ายมากมาย …เริ่มคิดพัฒนานำข้าวที่ปลูกเองมาแปรรูปเพิ่มมูลค่าเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ หมี่โคราช ข้าวบรรจุถุง ข้าวกล้อง เครื่องสำอางจากข้าว และทำเกษตรผสมผสาน ปลูกผักสวนครัว

ด้วยเรียนและเคยทำงานด้านการตลาดมาก่อน จึงรวบรวมข้าว ซื้อขาย แลกเปลี่ยนวัตถุดิบ พันธุ์ข้าว ผลผลิตกับเครือข่ายเพื่อนเกษตรกรรุ่นใหม่ที่เคยอบรมด้วยกัน ทำการตลาดเน้นจุดขายปลูกเอง สีเอง แปรรูปเอง ปลอดสารเคมี ทำแพ็กเกจจิ้งใส่แบรนด์ของตัวเอง จนตั้ง กลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรกรพัฒนาจักราช จำหน่ายผลิตภัณฑ์แปรรูปผ่านเฟซบุ๊ก เน้นออกงานกับภาครัฐ เพื่อหาเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายในแต่ละจังหวัด

“เราจะไม่ขายข้าวเปลือกเด็ดขาดเพราะได้ราคาต่ำ ต่อไปเกษตรกรต้องไม่ใช่เพียงแค่ปลูกแล้วขาย แต่ต้องแปรรูป ทำตลาด คิดเองเป็น วิจัย เจรจาการค้าเป็น และจำเป็นต้องเข้าถึงเทคโนโลยี เพื่อก้าวไปสู่เกษตรอุตสาหกรรม ลดการใช้แรงงานคน ที่สำคัญต้องมุ่งสู่การค้าขายผ่าน โลกโซเชียล ซึ่งเราก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ทำให้เป้าหมายต่อไป เราจะมุ่งสู่การเป็นศูนย์เรียนรู้”

แม้ตอนนี้จะมีรายได้ไม่มากเหมือนตอนกินเงินเดือน เพราะงานสร้างเครือข่ายการตลาดเพิ่งเริ่ม แต่เมื่อเทียบกับเกษตรกรเพื่อนบ้านที่ทำแค่ปลูกข้าว ขายเป็นข้าวเปลือกได้เงินแค่ กก.ละ 10-15 บาท…ต่างกับ กัญภัคณัฐ แปรรูปสี ทำการตลาดขายเอง ได้ราคา กก.ละ 40-45 บาท มูลค่าต่างกัน 3 เท่าตัว.

กรวัฒน์ วีนิล