วช.เฟ้นหางานวิจัยภูมิภาค ทุ่มงบ 100 ล้านต่อยอดผลงาน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 10 ก.ค. 2559 13:40

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/659947


สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ เฟ้นหางานวิจัยภูมิภาค ทุ่มงบ 100 ล้าน เตรียมต่อยอดผลงาน เพื่อให้ใช้ได้จริง ตามนโยบายรัฐ …

สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานีและสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) จัดงานมหกรรมสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมเพื่อชุมชน ระดับภูมิภาคครั้งที่ 2 “สิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมเพื่อชุมชน” ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี เฟ้นหาผลงานเพื่อวิจัยต่อยอดใช้ได้จริง ตามนโยบายรัฐที่จัดสรรงบกว่า 100 ล้านบาท

นางสาวสุกัญญา ธีระกูรณ์เลิศ เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ เปิดเผยว่า วช. ได้ดำเนินการ การนำเสนอผลงาน ผลผลิต ผลิตภัณฑ์และนวัตกรรม ซึ่งเกิดจากการประดิษฐ์คิดค้นในเวทีสาธารณะ แล้วนำไปส่งเสริมและเผยแพร่ผลงาน เพื่อให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง พร้อมทั้งเฟ้นหาผลงาน ที่ชุมชนสามารถนำไปใช้แก้ปัญหา ใช้ประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในด้านต่างๆ ของประเทศได้ ตามนโยบายรัฐบาล ซึ่งได้มีการจัดสรรงบสำหรับการวิจัยต่อยอด 100 ล้านบาท

นอกจากการจัดเวทีนำเสนอผลงาน ผลผลิต ผลิตภัณฑ์และนวัตกรรม ซึ่งเกิดจากการประดิษฐ์คิดค้นในส่วนกลาง ณ กรุงเทพมหานคร วช. มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานีและหน่วยงานในเครือข่ายยังได้ร่วมกันจัดเวที “สิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมเพื่อชุมชน” พร้อมทั้งคัดสรรผลงานเด่นๆ เพื่อเตรียมพร้อมต่อยอด ส่งเสริมและเผยแพร่ ผลงานและนวัตกรรมที่เกิดจากการประดิษฐ์คิดค้นของนักประดิษฐ์ไทย ไปยังส่วนภูมิภาคเพื่อให้มีการนำไปใช้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม

สำหรับผลงานที่ได้รับคัดเลือกในครั้งนี้ นางสาวสุกัญญา บอกว่า แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ รางวัลข้อเสนอสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมสายอาชีวศึกษา ประเภทดีเด่น เตาชีวมวลแกลบ วิทยาลัยเทคนิคอุบลราชธานี, ดีมาก เครื่องกลเติมออกซิเจนให้น้ำแบบจานหมุน วิทยาลัยเทคนิคอุบลราชธานี, ดี อุปกรณ์แท่นยืนกายภาพบำบัด วิทยาลัยเทคนิคเดชอุดม

ส่วนกลุ่ม 2 เป็นรางวัลผลงานสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมประเภทดีเด่น ได้แก่ แผ่นรีดเย็นประหยัดพลังงานไฟฟ้า วิทยาลัยเทคนิคสกลนคร, ผลงานประเภทดีมาก เครื่องชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง ค่าดัชนีมวลกาย วิทยาลัยอาชีพปราสาท, ผลงานประเภทดี การออกแบบและเครื่องผลิตไขผึ้งแบบใช้หม้อดันประหยัดพลังงาน และเตาชีวมวลแกลบ วิทยาลัยเทคนิคอุบลราชธานี ผลงานประกาศเกียรติคุณ อุปกรณ์ตัดท่อประปา PVC วิทยาลัยเทคนิคอุบลราชธานี, ประกาศเกียรติคุณ รถกอล์ฟไฟฟ้าขับเคลื่อนอินดักชั่นมอเตอร์ระบบพลังงานหมุนเวียน วิทยาลัยเทคนิคอำนาจเจริฐ, ประกาศเกียรติคุณ หุ่นยนต์มือกลแขนกลเพื่อคนพิการ วิทยาลัยการอาชีพศรีบุญเรือง และรางวัลชมเชย ได้แก่ อุปกรณ์ถอดบูชพัดลม วิทยาลัยการอาชีพพุมพวง.

 

“มะม่วงนนท์ทิพย์” ดิบมันสุกเหมือนอกร่อง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 8 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/657111


มะม่วงชนิดนี้ มีกิ่งตอนวางขายมีป้ายชื่อและภาพถ่ายผลจริงจากต้นโชว์ให้ชมด้วย ซึ่งผู้ขายกิ่งตอนอธิบายว่า มะม่วงดังกล่าวเป็นสายพันธุ์ดั้งเดิมและนิยมปลูกเฉพาะถิ่นในแถบพื้นที่ จ.นนทบุรี มานานแล้ว ต่อมาจึงได้กระจายพันธุ์ปลูกไปเกือบทุกภาคของประเทศไทย ส่วนที่มาของชื่อ “มะม่วงนนท์ทิพย์” คนขายกิ่งตอนบอกว่าชื่อดั้งเดิมเรียกว่ามะม่วงอะไรไม่รู้ ทราบเพียงว่าผู้ขายกิ่งตอนในยุคแรกๆ หรือเจ้าของพันธุ์เรียกว่า “มะม่วงนนท์ทิพย์” ทำให้ผู้ขายกิ่งตอนในยุคต่อมาพากันเรียกชื่อดังกล่าวตามเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน

มะม่วงนนท์ทิพย์ มีชื่อวิทยาศาสตร์และมีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับมะม่วงทั่วไปทุกอย่าง เพียงแต่ “มะม่วงนนท์ทิพย์” จะมีข้อโดดเด่นเป็นพิเศษคือ สามารถมีดอกและติดผลดกเต็มต้นเกือบตลอดทั้งปีหรือที่นิยมเรียกกันว่า ทะวาย นั่นเอง รูปทรงของผลคล้ายคลึงกับผลมะม่วงอกร่องแต่ขนาดผลจะใหญ่กว่ามากอย่างชัดเจน และที่สำคัญถือเป็นข้อดีของ “มะม่วงนนท์ทิพย์” อีกอย่างได้แก่ ผลดิบหรือแก่ยังไม่ถึงสุก รสชาติจะมันปนหวานและเปรี้ยวเล็กน้อยกินเป็นมะม่วงมันเปล่าๆได้เลย หรือจะฝานจิ้มพริกเกลือป่นน้ำปลาหวานก็ได้อร่อยมาก

ผลสุกเนื้อในมีรสหวานหอมเหมือนกับเนื้อสุกของมะม่วงอกร่องทุกอย่าง เมล็ดลีบและบาง จึงให้เนื้อเยอะ เนื้อไม่เละ และไม่มีเสี้ยนเหมือนมะม่วงอกร่อง รับประทานกับข้าวเหนียวนึ่งสุกใหม่ๆ หรือกินกับข้าวเหนียวมูนดีมาก เป็นมะม่วงติดผลดกเป็นพวงเกือบตลอดทั้งปีตามที่กล่าวข้างต้น ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง และเสียบยอด กำลังเป็นที่นิยมปลูกในเวลานี้

มีกิ่งตอนของแท้ ที่ขยายพันธุ์ด้วยระบบเสียบยอดขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณแผง “คุณหลง” ตรงกันข้ามโครงการ 15 กับแผง “คุณเล็ก” ตรงกันข้ามโครงการ 16 ราคาสอบถามกันเอง เหมาะจะปลูกเพื่อเก็บผลกินในครัวเรือนหรือเก็บผลขายได้คุ้มค่ามาก เนื่องจากมีดอกและติดผลเกือบตลอดทั้งปีนั่นเองครับ.

“นายเกษตร”

 

ดาวเรือง “เทวี” ที่โคราช 5 เดือน 20 ไร่ได้เงินล้าน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 8 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/657179


“ก่อนหน้านี้ปลูกมันสำปะหลัง 20 ไร่ หารายได้พิเศษรับจ้างขนของไปส่งปากคลองตลาด แม่ค้าให้เมล็ดพันธุ์ดาวเรืองมาทดลองปลูก บอกปลูกไปเถอะรับซื้อหมด ให้ราคาดอกละไม่ต่ำกว่า 50 สต. ดูแล้วราคาดีกว่าปลูกมันฯ เลยเอามาลองปลูก 5 ไร่ เพราะกลัวถูกหลอก ปรากฏว่า ขายได้จริง แค่ 5 เดือน ได้ 5 แสน ดีกว่าปลูกมันฯ ได้เงินเยอะกว่า เร็วกว่า ไม่ต้องรอนานเป็นปี”

สุภิญโญ ใจมั่น อายุ 49 ปี เกษตรกร อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ผู้หันมาปลูกดาวเรืองตั้งแต่ปี 2554 พูดถึงการกล้าปรับเปลี่ยนการทำเกษตรไปปลูกพืชที่ทำรายได้ดีกว่าเก่า…แต่นั่นเป็นแค่เพียงปลูกดาวเรืองลูกผสมพันธุ์เก่า ที่ให้ผลผลิตแค่ต้นละ 30-50 ดอก กลีบดอกก็บาง ไม่กอดกัน ถือว่าคุ้มค่ากว่าปลูกพืชชนิดอื่น

แต่เมื่อมีพนักงานบริษัท อีสท์ เวสท์ ซีด มาหาถึงบ้าน นำเมล็ดพันธุ์ดาวเรืองลูกผสม “เทวี” พันธุ์ใหม่ล่าสุด มาให้ทดลองปลูก พร้อมการันตีจะได้ดอกขนาดจัมโบ้ มากกว่าต้นละ 50-60 ดอก พร้อมให้คำแนะนำขั้นตอนการปลูก จึงตัดสินใจเปลี่ยนมาปลูกดาวเรืองพันธุ์ใหม่ ก่อนจะทุ่มลงทุนไปทั้งหมด 20 ไร่

“การปลูกดาวเรืองในแต่ละฤดูไม่เหมือนกัน ฤดูหนาวปลูกห่างต่อต้น 30×30 ซม. เพื่อให้อบอุ่น ฤดูร้อน 40×40 ซม. ห่างกันหน่อย ส่วนหน้าฝนระยะห่าง 50×50 ซม. เพราะน้ำเยอะต้นใหญ่ เพาะกล้า 7-10 วัน ก่อนจะนำลงหลุมปลูก ต้องกำจัดจิ้งหรีดเพราะชอบกินต้นอ่อน การให้ปุ๋ยกลบโคนช่วงแรกเป็นสูตรเสมอ 15-15-15 อัตรา 20 กรัมต่อต้น การให้น้ำควรใช้ระบบน้ำหยดแม้จะลงทุนสูง แต่จะดีกว่าใช้สปริงเกอร์ เพราะดาวเรืองไม่ชอบน้ำมาก และน้ำยังค้างในกลีบดอก ทำให้ดอกลาย เกิดเป็นเชื้อรา ขายไม่ได้ราคา”

ในระยะเวลา 45-60 วันแรก ต้องระวังหนอนชอนใบ และหนอนเจาะสมอดอกดาวเรือง หากพ้นช่วงนี้ไปได้ ดาวเรืองจะให้ผลผลิตดอกโตเต็มที่พร้อมตัดได้แล้วประมาณ 2 วันต่อครั้ง หรือหนึ่งมีดจะได้ดอกประมาณ 140,000 ถึง 150,000 ดอก จากพื้นที่ปลูก 20 ไร่ ไร่ละ 3,000 ต้น สามารถตัดไปได้ถึง 2 เดือน ประมาณ 20 มีด

สุภิญโญ ยอมรับ ดาวเรืองสายพันธุ์เทวี ให้ดอกขนาดใหญ่มาก ทรงสวยเอามือบีบจะไม่ยุ่ยขาดง่าย ระหว่างการขนส่งดอกไม่ยุบตัว ไม่เหี่ยวเฉาง่าย ถูกใจตลาด ได้ราคาตั้งแต่ดอกละ 80 สต. ไปจนถึง 1.80 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดดอก ยิ่งช่วงวันพระ เข้าพรรษา และช่วงฤดูหนาวราคาถีบตัวสูงมาก มีพ่อค้าชาวต่างชาติมาสอบถาม เพื่อสั่งเป็นออเดอร์ส่งออก แต่มีของไม่พอขาย แค่ขายให้ลูกค้าประจำไม่พอแล้ว

ฤดูกาลที่แล้ว 5 เดือน ลงทุนไปไร่ละ 30,000 บาทหักค่าใช้จ่ายแล้ว เหลือกำไรไร่ละ 1 แสนบาท…20 ไร่ ได้แค่ 2 ล้านเอง.

ไชยรัตน์ ส้มฉุน

 

กรมส่งเสริมฯลุยฟิลด์เดย์ ถ่ายความรู้รับฤดูเพาะปลูก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 7 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/656361


ผลจากภัยแล้งที่ผ่านมา เกษตรกรได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างหนัก กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตรเข้ามาช่วยฟื้นฟูอาชีพ ด้วยการให้ความรู้ผ่านศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาผสมผสานกับภูมิปัญญาท้องถิ่น ในเดือนกรกฎาคมนี้ เนื่องจากมีความเหมาะสมในการถ่ายทอดความรู้และเตรียมความพร้อมแก่เกษตรกรมากที่สุด เพราะเป็นช่วงเริ่มต้นเตรียมการเพาะปลูกใหม่

นายคณิต ลิขิตวิทยาวุฒิ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า การจัดงานวัน ถ่ายทอดเทคโนโลยีและบริการการเกษตร (Field Day) เพื่อเริ่มต้นฤดูกาล ผลิตใหม่ ปี 2559 ในทุกพื้นที่ของศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร เป็นการน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและการทำการเกษตรทฤษฎีใหม่มายึดถือปฏิบัติและขยายผล จะทำให้การผลิตในฤดูกาลใหม่นี้ เป็นปีการผลิตที่สามารถสร้างผลตอบแทนให้กับเกษตรกรได้เป็นอย่างดี เพื่อให้เกษตรกรเริ่มต้นฤดูกาลผลิตอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

สำหรับการจัดฟิลด์เดย์ร่วมกับงานวันสาธิตภายใต้โครงการเพิ่มประสิทธิภาพอ้อยที่ศูนย์เรียนรู้ฯ อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก เป็นการถ่ายทอดความรู้ให้บริการแก่เกษตรกรในพื้นที่และ อำเภอใกล้เคียงให้ได้รับความรู้ ในการเพาะปลูกแบบลดความเสี่ยง สามารถลดต้นทุนในการทำนาข้าวจากเมล็ดพันธุ์ที่ดี ใช้ปุ๋ยให้เหมาะกับดินในแต่ละท้องที่ ผลิตยากำจัดศัตรูพืชแบบอินทรีย์ใช้เอง และเรียนรู้การปรับเปลี่ยนชนิดของพืชให้เหมาะสมกับพื้นที่ โดยเน้นการทำเกษตรกรรมตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง

มีการจัดสถานีถ่ายทอดความรู้ 7 สถานี ได้แก่ สถานีที่ 1 การปรับเปลี่ยนการปลูกข้าว, สถานีที่ 2 การเลี้ยงสัตว์น้ำเพื่อเสริมสร้างรายได้, สถานีที่ 3 ระบบการตลาด/ขึ้นทะเบียนชาวไร่อ้อย/ ระบบอ้อยโรงงาน, สถานีที่ 4 การจัดการดินและปุ๋ย, สถานีที่ 5 การป้องกันกำจัดศัตรูอ้อย, สถานีที่ 6 การเลี้ยงสัตว์เพื่อเสริมสร้างรายได้ และ สถานีที่ 7 การทำแปลงอ้อยปลอดโรคใบขาว โดยมีเกษตรกรจากอำเภอบางระกำและพื้นที่ใกล้เคียงเข้าร่วมรับการถ่ายทอดความรู้และบริการการเกษตร 300 คน.

 

“จาก” กับประโยชน์น่ารู้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 7 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/656084


คนส่วนใหญ่ จะรู้จักเฉพาะลูกจากที่ทำสำเร็จวางขายคู่กับน้ำแข็งไสใส่น้ำเชื่อมเพิ่มน้ำแดงและนมสดราดลงไป รับประทานช่วงฤดูร้อน หวานอร่อยชื่นใจดีมาก แต่น้อยคนนักจะรู้ว่าต้น “จาก” เป็นอย่างไร และมีประโยชน์อื่นอีกมากมายคือ ผลอ่อนผ่าเอาเนื้อในมีลักษณะเหมือนลูกชิดจีนกินเป็นผักใช้แกงจืดได้ ส่วนหัวของผลอ่อนมีรสหวานกินได้เช่นกัน แต่ถ้าแก่จัดรสชาติจะฝาดกินไม่ได้ หากนำเนื้อในผลไปเชื่อมให้มีรสหวานนิยมรับประทานกันอย่างแพร่หลาย เรียกว่า “ลูกจาก” เหมือนลูกชิดจีนทุกอย่าง ทำให้บางคนเข้าใจผิดเรียก “ลูกจาก” เป็นลูกชิดก็มี ใบอ่อนที่แทงขึ้นจากหน่อลอกตากแดดใช้มวนบุหรี่สูบได้ เรียกว่าบุหรี่ใบจาก สมัยก่อนนิยมกันมาก ใบแก่ตัดเย็บติดกันเป็นตับๆ ใช้มุงหลังคาบ้านดีมาก งวงหรือจั่นต้น “จาก” ตัดแล้วใช้ภาชนะรองเอาน้ำหวาน เรียกว่า “น้ำตาลจาก” งวงหรือจั่นจาก ทุบให้แตกเป็นฝอยๆ ทำเป็น แส้ปัดยุงหรือแมลงวัน สะโพกจาก (กาบใหญ่) ตากแห้งเป็นฟืนจุดไฟแรงและดีมาก

จาก หรือ NIPA FRUTICANS, WURMB อยู่ในวงศ์ PALMAE เป็นไม้ยืนต้น มีลำต้นหรือเหง้าใต้ดิน แตกต้นเป็นกอใหญ่ ก้านใบโผล่ขึ้นเหนือดิน ใบเป็นใบประกอบแบนขนนก ออกตรงกันข้ามเหมือนกับใบมะพร้าว ใต้ใบมีปื้นสีขาวนวลคล้ายแป้ง เป็นไม้ชอบขึ้นตามริมแม่น้ำลำคลองที่มีน้ำทะเลท่วมถึงหรือที่ลุ่มใกล้ทะเลและป่าชายเลน ดอกออกเป็นช่อ ดอกตัวผู้เป็นสีเหลือง มีก้านดอกยาวสีน้ำตาล ดอกตัวเมียเป็นช่อกลม ก้านช่อดอกสั้น “ผล” เป็นทะลายขนาดใหญ่ เป็นผลรวมมีผลย่อยจำนวนมากเรียงกันหนาแน่น รูปทรงกลม ก้านผลมีหนามแหลมสั้น ผลย่อยเมื่อแก่จัดเปลือกเป็นสีน้ำตาลชัดเจน เนื้อในผลเป็นสีขาวเรียกว่า “ลูกจาก” นำไปเชื่อมรสชาติหวานรับประทานอร่อยมาก ขยายพันธุ์ด้วยหน่อ ทางสมุนไพร ใบปรุงเป็นยาแก้ลมต่างๆ ขับเสมหะดับพิษทั้งปวง น้ำตาลจาก สมานริดสีดวงทวารได้ เคยมีต้นขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ แต่ปัจจุบันไม่พบแล้วครับ.

“นายเกษตร”

 

GMO : NGO…อนาคตกะมโน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย สะ-เล-เต 7 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/656101


บ้านเราร่าง พ.ร.บ.ความปลอดภัยทางชีวภาพ ถูกดองต่อไปอย่างไม่มีกำหนด ส่งผลให้งานวิจัยพัฒนาพืชจีเอ็มโอยังคงถูกเก็บเข้าลิ้นชัก ในขณะที่เทคโนโลยีของโลกเดินหน้าต่อไปไม่หยุดยั้ง…ปีที่แล้วมีการวิจัยพืชจีเอ็มใหม่สำเร็จอีกกว่า 85 ชนิด อยู่ระหว่างการทดสอบภาคสนามทั่วโลก

พืชวิจัยใหม่จะกระทบต่อไทยหรือไม่แค่ไหนเป็นอีกประเด็น…แต่ที่แน่ๆ พืชเหล่านี้รวมเอาลักษณะต้านทานสารกำจัดวัชพืช ต้านทานศัตรูพืช รวมถึงภัยอื่นๆ จากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศโลก

ข้าวสีทอง (Golden Rice) กำลังทดสอบภาคสนามในฟิลิปปินส์และบังกลาเทศ เพื่อให้มีลักษณะพิเศษช่วยป้องกันการเสียชีวิตที่ไม่น่าเกิดขึ้นในเด็ก

ข้าวหอมมะลิไทย ไรซ์เบอรี่ สินเหล็ก สังข์หยด อาจต้องเจอคู่แข่งสำคัญ…ยิ่งหากเขาวิจัยสามารถ นำสารที่ให้คุณสมบัติเด่นของข้าวแต่ละชนิด แต่ละพันธุ์มารวมกันได้…ข้าวไทย ชาวนาไทย ได้หนาวๆร้อนๆ เป็นแน่

กล้วยคุณภาพโภชนาการสูง ถั่ว cowpea ต้านทานศัตรูพืช และข้าวโพดจีเอ็ม (WEMA) เตรียมส่งเสริมให้ปลูกในแอฟริกาในปี 2017 …ต่อไปสินค้าเกษตรของไทยจะเป็นอย่างไร หากยังไม่ขยับตัดสินใจทำอะไรเสียที

ยังไม่รวมสัตว์ ไก่ และปลาแซลมอน ที่จะเกิดตามมาอีก

ความเปลี่ยนแปลงในเทคโนโลยีจีเอ็มโอ จะกระทบต่อภาคเกษตรไทยหรือไม่ เพราะทุกวันนี้ เราทุกคนล้วนได้บริโภคพืชจีเอ็มโอมาแล้วทั้งสิ้น ไม่ว่าจะทางตรงก็ทางอ้อม จากวัตถุดิบอาหารสัตว์ ข้าวโพด ถั่วเหลืองนำเข้า ไม่เว้นแม้แต่เครื่องนุ่งห่ม ที่ผลิตจากฝ้ายนำเข้า ฝ้ายจีเอ็ม

ที่ผ่านมาบ้านเรายังไม่ให้ปลูกพืชจีเอ็มโอ จะบอกว่าเสียโอกาสเสียทีเดียวคงไม่ได้ เพราะยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนทั้งฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายต่อต้าน

แต่ที่แน่ๆ เกษตรกรไทยโอดครวญ ปีนี้แล้งแสนสาหัส หากปีอื่นๆ เป็นอย่างนี้อีก มีแต่ตายกับตาย…จึงมีข้อเรียกร้องเสนอผ่านเวที สมาพันธ์เกษตรปลอดภัย มั่นคง ยั่งยืนแห่งชาติ (สกช.) ขอให้กลับมาพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ความปลอดภัยทางชีวภาพอีกครั้ง

ตั้งความหวังเผื่ออนาคตเกิดแล้งอย่างนี้อีก ยังได้ปลูกข้าวโพดถั่วเหลือง ทนแล้งทนโรคบ้าง…แทนที่จะนำเข้า ทำเองจะดีกว่ามั้ย เพราะยังไงก็เจอจีเอ็มโอเหมือนกัน.

สะ–เล–เต

 

เกลียดตัวกินไข่…จีเอ็มโอ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย สะ-เล-เต 6 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/655042


20 ปีแล้ว…ที่เราได้รู้จักพืชเทคโนชีวภาพ จีเอ็มโอ แม้หลายประเทศทั่วโลกมีท่าทีเป็นบวกมากขึ้น แต่มิอาจทำให้ไทยเปลี่ยนท่าทีไปจากเดิม

ตั้งแต่แรกเริ่ม ปี 2539 มีพื้นที่ปลูกพืชจีเอ็มโอ 10.6 ล้านไร่ ปัจจุบันมีปลูก 12,500 ล้านไร่ เพิ่มขึ้นกว่า 1,000 เท่า…มี 28 ประเทศทั่วโลก สนับสนุนให้เกษตรกรในประเทศปลูกพืชจีเอ็มโอ ยังไม่นับพวกทดลองปลูก และแอบปลูกอีกหลายประเทศ โดยพืชหลักๆ มีถั่วเหลือง ข้าวโพด ฝ้าย และคาโนล่า (พืชน้ำมัน)

ข้อมูลการวิเคราะห์ล่าสุด โดยกลุ่มนักวิชาการยุโรปเมื่อปี 2557 ระบุว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา พืชจีเอ็มโอทำเงินให้เกษตรกรไปแล้วไม่น้อยกว่า 5.25 ล้านล้านบาท ช่วยบรรเทาความยากจนในประเทศกำลังพัฒนาและด้อยพัฒนากว่า 65 ล้านคน คิดเป็น 90% ของประเทศที่ปลูกพืชจีเอ็มโอ ช่วยเพิ่มผลผลิต 22% ลดการใช้สารกำจัดศัตรูพืชประมาณ 584 ล้าน กก. หรือ 37%

แค่ปี 2557 ปีเดียว ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 27,000 ล้าน กก. หรือเท่ากับเอารถยนต์ออกจากถนน 12 ล้านคัน

ลดความต้องการปัจจัยการผลิตจากภาย นอกเกือบ 100% เนื่องจาก จีเอ็มโอช่วยให้พืชมีภูมิป้องกันตนเอง ช่วยอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ เพราะได้ผลผลิตเพิ่มไม่ต้องเพิ่มพื้นที่ปลูก ไม่ต้องบุกรุกป่าเพิ่ม

เพิ่มกำไรสุทธิให้เกษตรกร 68% เพิ่มผลผลิตรวมประมาณ 515 ล้านตัน ในขณะที่ปลูกพืชทั่วไปแบบเดิมกว่าจะได้ผลผลิตเท่านี้ ต้องใช้พื้นที่เพิ่ม 950 ล้านไร่

เป็นข้อมูลอีกด้านที่ถูกเปิดเผยในเวทีแถลงข่าว พืชจีเอ็มโอ : ทางเลือกที่จะอยู่รอดของเกษตรกรไทย โดย สมาพันธ์เกษตรปลอดภัย มั่นคง ยั่งยืนแห่งชาติ (สกป.) เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

แต่กระนั้นฝ่ายต่อต้านยังคงชี้ให้เห็นถึงข้อด้อยและอันตรายมาตลอด ขณะที่ฝ่ายสนับสนุนพยายามรวบรวมข้อมูลใหม่มานำเสนอสังคมอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นข้อโต้แย้งที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ แม้กระทั่ง ครม. อำนาจพิเศษ ยังต้องถอย…ดองร่าง พ.ร.บ.ความปลอดภัยทางชีวภาพ ด้วยเหตุผลยังไม่ถึงเวลาอันควร

ในขณะที่เพื่อนบ้านหันไปใช้บริการจีเอ็มโอกันหมดแล้ว…ถึงเวลาหรือยังที่ไทยต้องกล้าตัดสินใจ หรือจะยังคงดำรงตนแบบ เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง ไม่ปลูกเอง แต่ซื้อเขากินอยู่เช่นเดิม.

สะ–เล–เต

 

“จำปาสีทอง” กับที่มาพันธุ์สวยหอม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 6 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/655074


จำปาชนิดนี้ เกิดจากการนำเอาเมล็ดของจำปาสายพันธุ์พื้นเมืองของไทยจำนวนหลายเมล็ดไปเพาะเป็นต้นกล้า แล้วแยกปลูกเลี้ยงจนโตมีดอกและติดผล ปรากฏว่าลักษณะดอกใหญ่และดีกว่าดอกจำปาสายพันธุ์พื้นเมืองหรือพันธุ์แม่อย่าง ชัดเจน จึงคัดเอาต้นดีที่สุดไปปลูกเลี้ยงและขยายพันธุ์ปลูกทดสอบความนิ่งของสายพันธุ์อยู่หลายวิธีจนมั่นใจได้ว่า เป็นจำปาพันธุ์ใหม่ที่กลายพันธุ์ถาวรแล้วแน่นอน เนื่องจากยังเหมือนเดิมทุกอย่าง เลยตั้งชื่อว่า “จำปาสีทอง” ดังกล่าว พร้อมขยายพันธุ์ออกขายได้รับความนิยมจากผู้ปลูกอย่างแพร่หลายในเวลานี้

จำปาสีทอง อยู่ในวงศ์ MAGNOLIACEAE มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เป็นไม้ยืนต้นสูง 10-20 เมตร แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มแน่น ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเวียนสลับรูปรี รูปไข่หรือรูปไข่แคบ ปลายใบแหลม หรือเป็นติ่งแหลม โคนกลมมน หรือแหลม ใบมีขนาดใหญ่ สีเขียวสด เวลามีใบดกจะหนาทึบให้ร่มเงาดีมาก

ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆตามซอกใบเกือบทุกซอกใบ มีกลีบดอก 12-15 กลีบ เรียงซ้อนกันหลายชั้น กลีบด้านนอกสด จะมีขนาดใหญ่และยาวกว่ากลีบที่อยู่ชั้นถัดไปตามลำดับ ปลายกลีบดอกแหลม เนื้อกลีบดอกหนากว่าเนื้อของกลีบดอกจำปาทั่วไปเยอะ ดอกตูมเป็นรูปกระสวย เมื่อดอกบานเต็มที่จะมีขนาดใหญ่ กว่าดอกจำปาทั่วไป 2 เท่า มีเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียเยอะ สีของกลีบดอกเป็นสีเหลืองเข้มหรือสีเหลืองทอง ดอกจะมีกลิ่นหอมแรงในช่วงเช้า พอตกบ่ายกลิ่นหอมจะจางลง เวลามีดอกดกและดอกบานพร้อมกันทั้งต้น จะดูสวยงามอร่ามตาและสิ่งกลิ่นหอมตอนเช้าตรู่เป็นที่ชื่นใจยิ่ง “ผล” เป็นกลุ่ม มีผลย่อยจำนวนมาก ผลย่อยเป็นรูปค่อนข้างกลมและแข็ง ผิวผลสีน้ำตาลอ่อน มีแต้มหรือจุดด่างสีขาว มีเมล็ดจำนวนมาก ดอกออกตลอดทั้งปี ขยายพันธุ์ทั่วไปด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง และเสียบยอด

ปัจจุบันมีกิ่งตอนวางขายทั่วไปที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ ราคาอยู่ที่ขนาดของต้น เหมาะจะปลูกประดับในบริเวณบ้านมากครับ.

“นายเกษตร”

 

ธนาคารข้าวดอนเจดีย์ นำร่องสู้หนี้นอกระบบ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 6 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/655396


แม้วันนี้จะมีฝนโปรยปรายให้ชาวนาได้ปลูกข้าวกัน แต่ อ.ดอนเจดีย์ จ.สุพรรณบุรี กลับตรงกันข้าม กลางฤดูฝน ก็แล้ว นาข้าวยังคงแห้งแล้งเหมือนเดิม

ถ้าเป็นเมื่อก่อนเจออย่างนี้ รอเทวดากว่าฝนจะมา เงินหมด จะทำนาได้ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาลงทุน…แต่ปีนี้ไม่ได้เป็นอย่างนั้นอีกแล้ว

“ทำนา 10 ไร่ ได้กำไรแค่หมื่นเดียว ปีหนึ่งได้สองหมื่น แล้วจะพอใช้อะไรกัน ถึงเวลาทำนาแต่ละหนต้องไปกู้เถ้าแก่ ได้บ้างไม่ได้บ้าง บางปีกู้ไม่ได้ เพราะเถ้าแก่กลัวเราจะไม่ได้ข้าวพอใช้หนี้ แต่ปีนี้โชคดี สหกรณ์การเกษตรดอนเจดีย์ มีโครงการธนาคารข้าวให้เรากู้พันธุ์ข้าว ปุ๋ย น้ำมันรถไถ ไม่ต้องจ่ายดอกแพงเหมือนกู้เถ้าแก่”

นางทวีป สว่างศรี หนึ่งในสมาชิกสหกรณ์ดอนเจดีย์ พูดถึงสิ่งที่เปลี่ยนไป จากประสบการณ์ทำนา 40 ปี เพิ่งเคยเจอ ผิดกับเมื่อก่อน ถึงสหกรณ์จะให้กู้ได้แบบปลอดดอก ก็แค่หมื่นเดียว เอาไปซื้อเมล็ดพันธุ์ก็หมดแล้ว ปุ๋ย ยา ไม่ต้องพูดถึง…แต่นี่ได้ครบหมดเกือบทุกอย่าง

“จากปัญหาทุกฤดูกาลเพาะปลูก เกษตรกรต้องไปกู้หนี้นอกระบบมาเป็นทุนปลูกข้าว และถูกนายทุนคิดดอกเบี้ยราคาแพง พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ จึงได้ออกนโยบายให้กรมส่งเสริมสหกรณ์แก้ปัญหานี้ให้ชาวนา ดำเนินโครงการธนาคารข้าวและนำร่องที่ดอน–เจดีย์ เพราะเป็นพื้นที่มีปัญหาหนี้นอกระบบค่อนข้างมาก”

นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ บอกว่า โครงการนี้จะให้สมาชิกสหกรณ์การเกษตรกู้เป็นปัจจัยการผลิต ไม่ได้จ่ายให้เงินสดและอนุมัติเงินกู้ 60% ของรายได้เฉลี่ยในพื้นที่ทำกิน เกษตรกร แต่ละราย จะได้วงเงินกู้ไม่เกิน 150,000 บาท เพื่อไปกู้ยืมเมล็ดพันธุ์ข้าว แต่หากมีเมล็ดพันธุ์ข้าวแล้ว สามารถยืมเป็นปัจจัยการผลิตอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ย สารกำจัดศัตรูพืช น้ำมันรถไถนา รวมไปถึงของใช้ในชีวิตประจำวัน ข้าวสาร น้ำปลา ไข่ ได้หมดจากสหกรณ์ โดยมีระยะเวลาปลอดดอกเบี้ย 150 วัน

และเพื่อไม่ให้ชาวนาถูกโรงสี เถ้าแก่เงินกู้เอาเปรียบเหมือนที่ผ่านมา โครงการนี้สหกรณ์จะเข้ามาดูแลเรื่องรายได้หลังเกี่ยวข้าวด้วย รับซื้อข้าวเปลือกจากชาวนาในราคาธรรมใน 2 รูปแบบ

รับซื้อข้าวเปลือก ส่งสู่ตลาดกลางข้าวเปลือกของสหกรณ์ ในราคาตลาด และรับซื้อข้าวเปลือกในราคาเมล็ดพันธุ์ แต่ต้องเป็นข้าวที่เข้าเกณฑ์มาตรฐานเมล็ดพันธุ์ที่ดี ชาวนาถึงจะขายได้ในราคาเมล็ดพันธุ์

สำหรับเงินขายข้าวให้กับสหกรณ์ ส่วนหนึ่งถูกนำไปหักใช้หนี้กู้ยืมซื้อปัจจัยการผลิต ส่วนที่เหลือสมาชิกสามารถฝากไว้กับสหกรณ์ ในระยะเวลา 90 วัน หากไม่มีการเบิกจ่ายจะได้ดอกเบี้ยอัตราพิเศษ โดยเงินส่วนนี้จะเก็บไว้ให้เกษตรกรได้ใช้เป็นทุนหมุนเวียนปลูกข้าวในฤดูถัดไป

อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ตั้งความหวังว่า หากโครงการนำร่องนี้ ได้ผลดี ช่วยให้ชาวนาหลุดพ้นจากบ่วงหนี้นอกระบบได้และช่วยให้มีรายได้มากขึ้นเหมือนที่ตั้งใจไว้ จะนำผลของโครงการนี้ไปขยายสู่พื้นที่อื่นๆต่อไป.

เพ็ญพิชญา เตียว

 

เลี้ยงไรแดงข้างเล้าหมู ต้นทุนต่ำ..ราคาไม่แกว่ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 5 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/654361


โกเมน เมียวนวม หนุ่มวัย 36 ปี หมู่ 6 ต.วังตะกู อ.เมือง นครปฐม ตั้งความหวังเช่าที่ดิน 5 ไร่ ข้างฟาร์มหมูไว้เลี้ยงวัว แต่ที่ดินมีบ่อน้ำ 2 บ่อ เจ้าของที่ใช้บำบัดน้ำเสียจากฟาร์มหมู ความฝันเลยต้องเปลี่ยนไปตามสภาพ ทำเลอย่างนี้เลี้ยงไรแดงน่าจะดีกว่า…แถบนี้มีฟาร์มเลี้ยงปลาหลายแห่ง ฟาร์มปลากัด ปลาทอง ปลาสวยงาม เลี้ยงไรแดงมีตลาดรับซื้อขายได้แน่

ได้ผลดัง คาด 1 สัปดาห์ มีไรแดงให้ตักขาย 12,000 บาท…ดีกว่าเลี้ยงวัวนาน 3 ปี

แต่การเลี้ยงขั้นแรก โกเมน บอกว่า ต้องใช้เวลา 2 สัปดาห์ถึงมีไรแดงให้ตักขายได้ เพราะต้องเริ่มด้วยการทำความสะอาดบ่อ กำจัดวัชพืชและปลาทั้งหลายที่จะมากินไรแดง จากนั้นทิ้งไว้ 2 วัน เอาน้ำเข้าบ่อแต่ต้องกรองไม่ให้ปลาติดเข้ามา ตามด้วยใส่มูลหมูหรือมูลสัตว์ชนิดอื่น ในอัตรา 80 กก. ต่อบ่อขนาด 800 ตร.ม. ทิ้งไว้ 3 วัน น้ำเริ่มมีสีเขียว ให้เติมเชื้อไรแดง 2 กก. ตรงกลางบ่อ ภายใน 4-7 วัน ไรแดงจะเพิ่มปริมาณมากขึ้นให้จับขายได้

วิธีการเก็บไรแดง โกเมน แนะนำ ควรทำในช่วงเช้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้นจะได้ปริมาณมาก ไรแดงจะไม่ถูกแดดเผาจนตาย และจะช่วยให้เราตักไรแดงได้นานประมาณ 1 สัปดาห์

และเมื่อไรแดงเริ่มลดปริมาณลงให้ถ่ายน้ำออก 1 ใน 3 ทิ้งไว้ 2 วัน เติมน้ำให้เท่าเดิม เติมมูลสัตว์ 40 กก.ต่อบ่อ 800 ตร.ม. รอไปอีก 2-3 วัน ไรแดงจะเพิ่มจำนวน ให้เก็บขายได้อีก 7 วัน เมื่อไรแดงเริ่มมีน้อยลง ให้ปล่อยน้ำ เติมน้ำใหม่ เติมมูลสัตว์อีกรอบ และเมื่อขายได้ 3 รอบให้ล้างบ่อเริ่มต้นเลี้ยงใหม่

หลักสำคัญในการเลี้ยงไรแดง โกเมน บอกว่า ต้องมีบ่อไว้เลี้ยง 2 บ่อ เพื่อเวลาบ่อใดบ่อหนึ่งมีปัญหาจะมีอีกบ่อคอยช่วยรักษาลูกค้าเจ้าประจำ และมีสินค้าหมุนเวียนส่งขายได้ทุกวัน ถ้าเลี้ยงบ่อเดียว มีปัญหาขึ้นมาจะไม่มีของส่ง เราจะเสียลูกค้าทันที

ส่วนเรื่องราคาปัจจุบันอยู่ที่ กก.ละ 30 บาท ราคาคงที่ มีแต่ขยับขึ้น บ่อขนาด 800 ตร.ม. 1 บ่อ ในหน้าร้อนจะเก็บได้วันละ 70-80 กก. หน้าหนาวลดลงเหลือ 30-40 กก. รายได้จะมากขนาดไหนคิดคำนวณกันเอง สนใจจะลองไปทำเอง สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 08-3310-3007.