“แคนา” ดอกอร่อยใบร่มรื่น

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 5 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/654204


แคนา พบมีขึ้นตามธรรมชาติในป่าทั้งบนเขาสูง และพื้นที่ราบต่ำเกือบทุกภาคของประเทศ ไทย ซึ่งในยุคสมัยก่อนนิยมปลูกต้น “แคนา” ตามบ้านและหัวไร่ปลายนากันอย่างกว้างขวาง เนื่องจากดอกและใบจะมีสีสันเย็นตาให้ความร่มรื่นดีมาก โดยเฉพาะ ดอก “แคนา” จะมีกลิ่นหอมอ่อนๆ และเป็นอาหารปรุงรับประทานได้อร่อย และขายเป็นสินค้าได้ด้วย จึงทำให้ต้น “แคนา” มีคุณค่าน่าปลูกยิ่งขึ้น

แคนา หรือ DOLICHANDRONE SERRULATA (WALL.–ndash;EX DC.) SEEM. อยู่ในวงศ์ BIGNONIACEAE เป็นไม้ยืนต้น สูง 10-20 เมตร เป็นไม้ผลัดใบ แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มทรงกลม เปลือกต้นสีเทาแตกเป็นสะเก็ดทั่ว ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ปลายคี่ ออกเรียงสลับ หรือออกตรงกันข้าม มีใบย่อย 3-5-7 ใบ รูปไข่กลับแกมรูปรี ปลายแหลม โคนสอบ ขอบใบหยักเป็นฟันเลื่อยระหว่างกลางใบขึ้นไปจนถึงปลายใบ ใบเป็นสีเขียวอ่อน

ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆ หรือเป็นช่อตามซอกใบและปลายยอด ดอกเป็นสีขาว มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ตามที่กล่าวข้างต้น ดอกโคนเชื่อมกันเป็นหลอดทรงกลมยาว ปลายบานคล้ายปากแตร และแยกเป็นกลีบดอก 5 กลีบ ขอบกลีบดอกหยักเป็นคลื่น หรือย่นรุ่งริ่งอย่างชัดเจน มีเกสรตัวผู้ 3-5 อัน ดอกมีขนาดใหญ่ เมื่อดอกบานจะร่วงลงสู่พื้นทันที ทำให้ใต้โคนต้นเกลื่อนด้วยสีขาวของดอกเต็มไปหมด ซึ่งดอกดังกล่าว สามารถเก็บใส่ตะกร้าเป็นอาหารย่างไฟอ่อนๆ หรือลวกจิ้มน้ำพริกปรุงแกงส้ม มีรสขมเจือปนเล็กน้อยรับประทานอร่อยมาก “ผล” เป็นฝักยาวมีเมล็ด ดอกออกช่วงฤดูร้อนทุกปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง ในทางสมุนไพร ดอกกินเป็นยาขับเสมหะ ผายลม เนื้อไม้ต้มน้ำดื่มแก้ท้องร่วง รากต้มน้ำดื่มแก้ริดสีดวงทวารได้

มีต้นขาย ทั้งต้นขนาดเล็กและขนาดใหญ่ทั่วไปที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวน จตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ ราคาสอบถามกันเองครับ.

“นายเกษตร”

 

โรคพริกหน้าฝน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย สะ-เล-เต 5 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/654199


ฤดูฝนความชุ่มฉ่ำมาเยือน โรคเชื้อราถามหา เตือนเกษตรกรผู้ปลูกพริก ทั้งหลายให้เตรียมรับมือการระบาดของ โรครากโคนเน่า และ โรคกุ้งแห้ง หรือแอนแทรคโนสจากเชื้อรา พบได้ทุกระยะการเจริญเติบโตของพริก

โรคกุ้งแห้ง มักพบอาการบนผลพริกที่เริ่มสุกหรือผลพริกก่อนจะเปลี่ยนสี เริ่มแรกมีแผลจุดช้ำสีน้ำตาลบุ๋มยุบตัวลึกลงเล็กน้อยในผิวผลพริก ต่อมาแผลขยายออกเป็นวงรีหรือวงกลมซ้อนกันเป็นชั้นๆ ถ้าอากาศชื้นบริเวณแผลจะมีเมือกเยิ้มสีส้มอ่อนๆ

แต่หากแสดงอาการที่ผลอ่อนจะทำให้ผลพริกโค้งงอบิดเบี้ยวลักษณะคล้ายกุ้งแห้ง เชื้อราก่อโรคกุ้งแห้งสามารถติดไปกับเมล็ดได้…ถ้าเกษตรกรต้องการเก็บเมล็ดพริกไว้ทำพันธุ์ กรมวิชาการเกษตร แนะให้เลือกเก็บเฉพาะผลที่ปลอดโรค การปลูกไม่ควรปลูกต้นพริกให้ชิดกันเกินไป เพราะจะทำให้เกิดความชื้นสูง อากาศไม่ถ่ายเท ที่สำคัญยังทำให้เชื้อราแพร่กระจายเกิดการระบาดได้อย่างรวดเร็ว

หากสำรวจพบพริกแสดงอาการโรค ควรเก็บผลพริกเป็นโรคออกจากแปลงไปเผาทำลายนอกแปลงปลูกทันที…หากเริ่มพบการระบาดให้ฉีดพ่นด้วยสารป้องกันกำจัดเชื้อรา อะซอกซีสโตรบิน 25% เอสซี อัตรา 5-10 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ สารแมนโคเซบ 75% ดับเบิ้ลยูจี อัตรา 50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ สารโพรคอลราซ 45% อีซี อัตรา 20-30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร และพ่นทุก 7-10 วัน

โรครากเน่าโคนเน่า มักเกิดในระยะพริกโตเต็มที่ ช่วงออกดอกติดผล อาการเริ่มแรกจะมีใบเหลืองและร่วง หากระบาดรุนแรง ต้นพริกจะเหี่ยวและยืนต้นตาย…โคนต้นจะพบเชื้อราเส้นใยสีขาวรวมเป็นก้อนกลมจากนั้นจะเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีน้ำตาลดำคล้ายเมล็ดผักกาด (ราเม็ดผักกาด)

หากเริ่มพบระบาดให้รีบถอนต้นพริกและเก็บเศษซากพืชส่วนที่เป็นโรคออกจากแปลงไปเผาทำลายนอกแปลงปลูกทันที และใช้สารป้องกันกำจัดเชื้อรา อีไตรไดอะโซล 24% อีซี อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ สารควินโตซีน 75% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 30 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ราดบริเวณโคนต้น หรือดินในหลุมที่ขุดเอาดินเก่าออกแล้ว

และหลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิต ใส่ปูนขาวปรับสภาพดินก่อนปลูกพืชฤดูถัดไป…แต่แปลงที่มีการระบาดรุนแรงควรปลูกพืชชนิดอื่นสลับหมุนเวียนอย่างน้อย 5 ปี.

สะ-เล-เต

 

เกษตรกรละแม ใช้สารซุปเปอร์ พด.3 แก้โรคราก-โคนเน่า ต้นทุเรียนได้สำเร็จ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 5 ก.ค. 2559 01:14

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/654717


ชาวสวนทุเรียน อ.ละแม จ.ชุมพร นำสารซุปเปอร์ พด.3 แก้โรครากเน่า โคนเน่า และซุปเปอร์ พด.7 แก้หนอนและแมลง ของกรมพัฒนาที่ดินไปใช้ เผยช่วยลดต้นทุน และสุขภาพดีเพราะปลอดจากสารเคมี

เมื่อวันที่ 4 ก.ค.59 นางจินตนา ชัยยวรรณาการ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นางณัฐิยา หิรัญวัฒน์ศิริ ผู้อำนวยการ ก.พ.ร. นำข้าราชการ พร้อมคณะลงพื้นที่ อ.ละแม จ.ชุมพร ตรวจประเมินรางวัลการบริหารภาครัฐดีเด่น ประจำปีงบประมาณ 2559 ประเภทรางวัลนวัตกรรมการบริการที่เป็นเลิศที่กรมพัฒนาที่ดินส่งเข้าประกวด โดยมีนายวนิพงศ์ มณีน้อย นายอำเภอละแม และนายบุญโชค พรหมประทีป เกษตรกรต้นแบบที่นำสารซุปเปอร์ พด.3 ของกรมพัฒนาที่ดินไปใช้แก้โรครากเน่า โคนเน่า ต้นทุเรียนในสวนได้สำเร็จ ให้การต้อนรับพร้อมนำลงดูพื้นที่

นายบุญโชค กล่าวว่า ทำสวนทุเรียนมาหลายสิบปี ปัญหาที่ชาวสวนทุเรียนส่วนใหญ่กลัวกันมากที่สุดก็คือโรครากเน่า โคนเน่า เพราะจะทำให้ต้นทุเรียนยืนต้นตาย สวนของตนก็มีปัญหาไม่ต่างจากสวนอื่น ใช้สารเคมีหลายชนิด แต่ก็ไม่สามารถหยุดการตายของทุเรียนในสวนได้ ทำให้เสียเงินไปเป็นจำนวนมาก จึงคิดว่าจะตัดต้นทุเรียนทิ้ง จนมีเจ้าหน้าที่สำนักงานพัฒนาที่ดินชุมพรมาแนะนำให้ใช้สารซุปเปอร์ พด.3 แก้โรครากเน่า โคนเน่า และซุปเปอร์ พด.7 แก้หนอนและแมลง มาให้ทดลองใช้

ทั้งนี้ตนได้ใช้สารดังกล่าวฉีดลงที่พื้นดิน โคนต้น และลำต้น ในช่วงแรกยอมรับว่าไม่เชื่อว่าสารชีวภาพดังกล่าวจะแก้ปัญหาได้ เพราะขนาดใช้สารเคมีที่มีราคาแพงยังแก้ไม่ได้เลย แต่ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกจึงทดลองใช้ดูอย่างจริงจังเมื่อปี 2552 ประมาณ 3 ปี จึงเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน ต้นทุเรียนมีความสมบูรณ์มาก โรครากเน่า โคนเน่า ในทุเรียนหายเองโดยธรรมชาติ และยังลดต้นทุน อีกทั้งสุขภาพดีเพราะปลอดจากสารเคมี ปัจจุบันใช้สารซุปเปอร์ พด.3 และซุปเปอร์ พด.7 มาแล้ว 7 ปี และสามารถแก้ไขปัญหาโรครากเน่าโคนเน่าในสวนทุเรียนได้สำเร็จ

นางจินตนา ชัยยวรรณาการ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า จากความสำเร็จดังกล่าวกรมพัฒนาที่ดินได้ส่งเสริมให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ในชุมชน และกรมพัฒนาที่ดิน ได้ส่งผลงานเข้าประกวด รางวัลการบริหารภาครัฐแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ประจำปีงบประมาณ 2559 ประเภทรางวัลนวัตกรรมการบริการที่เป็นเลิศ ส่วนจะได้รางวัลหรือไม่ขึ้นอยู่กับการคัดเลือกของคณะกรรมการ แต่สิ่งที่น่าภูมิใจที่สุดคือ กรมพัฒนาที่ดินสามารถแก้ไขปัญหาให้เกษตรกรชาวสวนทุเรียนได้

 

ค้านเก็บค่าเชือดไก่แพง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย สะ-เล-เต 4 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/653517


วันออกหวยที่ผ่านมา 9 สมาคมผู้ผลิตสัตว์ปีกและผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย เข้ายื่นหนังสือต่อ นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ คัดค้าน (ร่าง) พ.ร.บ.ควบคุมการฆ่าสัตว์เพื่อการจำหน่ายเนื้อสัตว์ พ.ศ….. กังวลว่า จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมไก่เนื้อและทำให้ไม่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้

พ.ร.บ.ควบคุมการฆ่าสัตว์เพื่อการจำหน่ายเนื้อสัตว์ที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของ สนช. เป็นกฎหมายที่ทำขึ้นมาเพื่อต้องการยกระดับโรงฆ่าสัตว์ในประเทศให้มีมาตรฐานมากขึ้น เพื่อคนไทยจะได้บริโภคเนื้อสัตว์ที่ถูกสุขลักษณะอนามัย ห่างไกลเชื้อโรคมากขึ้น และเพื่อให้สินค้าปศุสัตว์ที่ขายในประเทศมีมาตรฐานเดียวกับการส่งออก…จะได้ไม่มีคำว่า สองมาตรฐาน

ถือเป็นเรื่องดีสำหรับคนไทย…ตามหลักการนี้ 9 สมาคมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง

แต่ที่คัดค้านมีเพียงประเด็นเดียว การเก็บค่าอากรฆ่าสัตว์ปีก ไก่ เป็ด หรือห่าน ที่กำหนดไว้ตัวละ 2 บาท และค่าธรรมเนียมการรับรองให้จำหน่ายเนื้อสัตว์อีกตัวละ 2 บาท รวมเป็นตัวละ 4 บาท

เนื่องจากกฎหมายปัจจุบัน ที่ออกมาตั้งแต่ปี 2535 ได้กำหนดอากรการฆ่าสัตว์ไว้ที่ตัวละ 10 สต. และในทางปฏิบัติก็ไม่ได้มีการเก็บค่าอากรแต่อย่างใด เนื่องจากมีการออกประกาศกระทรวงมหาดไทย ให้ยกเว้นการจัดเก็บ เพื่อส่งเสริมการส่งออกและจูงใจให้ผู้ประกอบการรายย่อยนำสัตว์ปีกเข้าเชือดในโรงฆ่าที่ได้มาตรฐาน

หลายคนอาจจะมองว่า ทางการขึ้นค่าเชือดมาแค่ 4 บาท จะเดือดร้อนอะไรกันนักหนา…แต่ถ้าไปเทียบกับค่าเชือดสัตว์ชนิดอื่น แล้วจะตกใจว่า ทำไมค่าเชือดไก่ถึงได้แพงนัก

โคเนื้อน้ำหนักมากกว่าไก่เป็นพันเท่า กฎหมายปัจจุบันคิดที่ตัวละ 12 บาท…กฎหมายที่จะออกใหม่ ค่าอากรบวกค่าธรรมเนียมรวมแล้วตัวละ 40 บาท เท่ากับอัตราใหม่แพงขึ้น 233%

ส่วนไก่ ตามกฎหมายเก็บแค่ตัวละ 10 สต. ของใหม่ 4 บาท เท่ากับขึ้นราคาไปถึง 3,900%

ที่สำคัญ 4 บาทถึงจะเล็กน้อย แต่อย่าลืมว่า เราส่งออกไก่ปีละ 24 ล้านตัว ค่าเชือดไก่แพงขึ้น ต้นทุนไก่ไทยย่อมแพงตาม แล้วเราจะขายแข่งกับเขาได้ไหม ถ้าสู้ไม่ได้ คนเลี้ยงไก่ลดลง คนปลูกพืชอาหารสัตว์จะได้รับผลกระทบเป็นลูกโซ่ครบวงจรเท่านั้นเอง

ฉะนั้นอย่าคิดแต่จะกอบโกยเงินทองให้เทศบาล อบต. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างเดียว.

สะ–เล–เต

 

ข้าวฮาง..บ่อสวรรค์ ประชารัฐด้วยจิตสำนึก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 4 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/653596


ทำเกษตรแบบปฐมภูมิ ปลูกข้าวขายเป็นข้าวเปลือกให้โรงสี ชาวนายากจะลืมตาอ้าปากได้

แต่ด้วยแนวคิดประชารัฐก่อเกิดแบบธรรมชาติ นำการแปรรูปภูมิปัญญาดั้งเดิมของธุรกิจชุมชนอิสระบ่อสวรรค์ อ.เมือง จ.อุดรธานี ผู้ผลิตข้าวฮาง หรือข้าวกล้องเพาะงอก มาประสานกับชาวนา โดยมีภาครัฐ กรมการพัฒนาชุมชนสนับสนุน…วันนี้ข้าวฮางแต่ดั้งเดิมพัฒนาไปไกลกว่าที่คิด

มีทั้งข้าวฮางหอมมะลิ 105,หอมมะลิแดง,ไรซ์เบอรี่,ข้าวเหนียว กข.6,ข้าวฮาง 18 สายพันธุ์,ข้างฮางบดชงดื่ม,โจ๊กข้างฮาง,จมูกข้าวฮางหอมชงดื่ม 3  สายพันธุ์,จมูกข้าวฮางผสมงาดำถั่วดำชงดื่มและจมูกข้าวฮางผสมถั่วเหลืองหมามุ่ย ชงดื่ม…อาหารภูมิปัญญาชาวนาอีสานที่อุดมไปด้วย กาบา (GABA) ช่วยลดความดันโลหิต ลดอาการความจำเสื่อม ลดน้ำหนัก ผิวพรรณดี ชะลอแก่ แก้เครียดทำให้อารมณ์ดี นอนหลับสบาย

“ครอบครัวเราทำข้าวฮางมาตั้งแต่รุ่นปู่ทวด ทำนาเอง ข้าวส่วนหนึ่งขายโรงสี แบ่งบางส่วนเก็บไว้ทำข้าวฮางกินเอง แต่พอมาถึงรุ่นพ่อผมไม่มีใครทำ เพราะเข้ามาทำงาน ทำธุรกิจในกรุงเทพฯกันหมด สิบปีก่อนพ่อกลับมาอยู่อุดรฯ กระแสรักสุขภาพ อาหารเพื่อสุขภาพกำลังมาแรง พ่อคิดถึงข้าวฮาง เลยรื้อฟื้นการทำขึ้นมาใหม่ ไม่ได้ตั้งใจทำจริงจัง แค่ทำไว้กินเองกับแจกให้กับคนรู้จักที่รักสุขภาพ นำไปถวายพระได้ฉันเท่านั้น ปรากฏว่าได้ผลดี ใครได้กินติดใจ เลยเป็นผลิตภัณฑ์ขึ้นมา เพื่อคนอื่นๆจะได้บริโภคอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีได้ด้วย

ปี 51 สมัครเข้าเป็นสินค้าโอทอป กรมการพัฒนาชุมชนพาไปออกงาน ได้รับความสนใจ ปี 53 เราได้เป็นสินค้าโอทอประดับ 3 ดาว ตอนนี้ 5 ดาวแล้ว เพราะสินค้าของเราเป็นข้าวกล้องเพาะงอกออแกนิก ใช้กรรมวิธีผลิตแบบโบราณ เอาข้าวเปลือกมาเพาะงอก ไม่ใช่เอาข้าวกะเทาะเปลือก มาเพาะงอกเหมือนบางเจ้าที่ทำกัน”

จักรพงษ์ วิเศษพันธ์พงศ์ ทายาทรุ่นที่ 2 เจ้าของธุรกิจชุมชนบ่อสวรรค์ เล่าให้ฟังว่า หลังจากได้เป็นสินค้าโอทอป 5 ดาว มีโอกาสร่วมงานแสดงสินค้ามากขึ้น ยอดจำหน่ายสูงขึ้น เกินกำลังผลิตจะทำไหว เพราะมีที่นาแค่ 12 ไร่ ได้ข้าวแค่ปีละ 5 ตัน แต่ความต้องการของผู้บริโภคมีมากกว่าหลายเท่า…ต้องชักชวนเพื่อนชาวนามาร่วมกันผลิตข้าวเปลือกทำข้าวฮาง น่าจะเป็นหนทางช่วยชาวนาในพื้นที่มีรายได้ดีกว่าปลูกขายให้โรงสี

“เราต้องการช่วยชาวนาที่ขยัน มีความตั้งใจผลิตสินค้าคุณภาพให้ผู้บริโภคจริงๆ ต้องทำนาแบบ GAP ได้ และสามารถพัฒนาตัวเองให้ได้ใบรับรองการทำเกษตรแบบออแกนิก เพราะเป้าหมายของเราไม่ได้ผลิตแค่ขายในประเทศ ตั้งใจจะเอาข้าวฮางของเราออกไปสู่ตลาดต่างประเทศให้ได้ ต้องเข้มงวดเรื่องนี้เป็นพิเศษ เพื่อให้สินค้าได้รับการยอมรับ กรมการพัฒนาชุมชนได้ให้การสนับสนุน มาช่วยอบรมเรื่องการพัฒนาสินค้าและทำตลาด”

การเริ่มต้นแบบค่อยเป็นค่อยไปของธุรกิจชุมชนอิสระบ่อสวรรค์ ได้เพื่อนชาวนาเพิ่ม 10 ราย พื้นที่นา 100 ไร่ ได้ผลผลิตข้าวฮางเพิ่ม 30 ตัน…จะได้ราคาประกันข้าวเปลือกสูงกว่าตลาด 25%

ชาวนาจะเป็นสุขแค่ไหน ไม่ต้องบรรยาย เพราะวันนี้มีชาวนาเข้าคิวขอร่วมทำกันเป็นทิวแถว…นี่แหละผลลัพธ์ของประชารัฐธรรมชาติ อันเกิดจากจิตใต้สำนึกต้องการให้คนปลูก-คนขาย-คนซื้อ มีความสุข ร่วมกัน.

ชาติชาย ศิริพัฒน์

 

“หญ้าดอกขาว” กับวิธีแก้ปวดข้ออักเสบ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 4 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/653521


ข้ออักเสบ โดยเฉพาะบริเวณข้อเข่าปวด เริ่มมีอาการใหม่ๆ ในทางสมุนไพร ให้เอา “หญ้าดอกขาว” ทั้งต้นรวมรากแบบสดหนัก 3 ขีด กับต้น หญ้าลูกใต้ใบ ชนิดสดเช่นเดียวกัน รวมรากหนัก 3 ขีด ล้างน้ำให้สะอาดต้มรวมกันกับน้ำมากหน่อยจนเดือด 10-15 นาที ดื่มครั้งละ 3 ส่วน 4 แก้ว ก่อนอาหารเช้าเย็น ต้มดื่มจนยาจืด 1-2 อาทิตย์อาการที่เป็นจะดีขึ้นและหายได้ในที่สุด สามารถต้มดื่มได้เรื่อยๆ ได้ผลดีระดับหนึ่ง นิยมใช้มาแต่โบราณแล้ว

หญ้าดอกขาว หรือ LERNONIA CINERIA LIME อยู่ในวงศ์ COMPOSITAE มีขึ้นตามที่รกร้างข้างทางทั่วไป ดอกเป็นสีม่วงคล้ายดอกดาวเรืองขนาดเล็ก เมื่อดอกแก่และบานจะเปลี่ยนเป็นสีขาว ต้นสูงเต็มที่ประมาณ 1 ฟุต ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด สรรพคุณเฉพาะ ทั้งต้นรวมรากต้มน้ำดื่มแก้ปวดท้อง ท้องอืดเฟ้อ ใบสดตำปิดแผล ตำผสมน้ำนมคั้นบีบเอาน้ำหยอดตาแก้ตาแดง ทั้งต้นตำพอกแก้นมคัดในสตรีดีมาก

ครับ หนังสือ “สมุนไพรไม้ดอกไม้ประดับหายาก” เล่มที่ 5 ของ “นายเกษตร” พิมพ์จำกัดหมดแล้วหมดเลย ไม่วางขายที่ไหน ราคาเล่มละ 600 บาท บวกค่าส่งกลับเล่มละ 30 บาท ส่งธนาณัติซื้อสั่งจ่าย “คุณนงลักษณ์ ศรีอัชรานนท์” ตู้ ปณ.48 ปณ.สามแยกลาดพร้าว กทม.10901 หรือสอบถามผลิตภัณฑ์สมุนไพร น้ำมันทาแก้ปวดข้อรูมาตอย, แชมพูสูตร 5 ชนิด ขจัดรังแค บำรุงรากผม, สเปรย์ฉีดบำรุงรากผม, น้ำมันงาบริสุทธิ์ ทาผิวหมักผม, ยาห้ารากแคปซูล ป้องกันหวัด, ว่านชักมดลูกแคปซูล แก้คาวปลากลิ่นเหม็นในสตรี แก้ต่อมลูกหมากอักเสบ และไส้เลื่อนในบุรุษ ครีมโลดทนง รักษาสิวฝ้า รูขุมขนตีบลง, ดีบัวแคปซูล ขยายหลอดเลือดไปเลี้ยงสมองหัวใจ, ตรีผลาแคปซูล ลดไขมันในเส้นเลือด ลดไตรกลีเซอไรด์, น้ำมัน 12 ประดง ใช้ภายนอกฆ่าเชื้อสมานแผล แก้เริม งูสวัด สะเก็ดเงินและแพ้เหงื่อ, ยารีดสีดวงจมูกแคปซูล แก้น้ำมูกมีกลิ่นเหม็น, ยาต้มคลายเส้นไม้เท้าเฒ่าอาลีแก้ปวดเมื่อย แก้เกาต์ ลดเบาหวาน, คอลลาเจนบริสุทธิ์ เป็นผงทาหน้าช่วยให้ผิวหน้ากระชับและอื่นๆ โทร.0-2275-2692 ครับ.

“นายเกษตร”

 

“จำปีแดงพันธุ์ใหม่” เป็นไม้พุ่มดอกใหญ่สวยหอม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 1 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/651299


ปกติ ไม้ในสกุลจำปีต้น จะสูงใหญ่ 7–10 เมตรขึ้น แต่ “จำปีแดงพันธุ์ใหม่” ที่พบมีกิ่งตอนวางขายมีภาพถ่ายของดอกจริงโชว์ให้ชมด้วยนี้ ผู้ขายยืนยันว่า เป็นไม้พุ่มโดยธรรมชาติของสายพันธุ์ไม่ใช่ไม้ยืนต้นเช่นจำปีทั่วไป ต้นสูงเต็มที่ไม่เกิน 4 เมตร ผู้ขายบอกต่อว่าสามารถปลูกลงกระถางขนาดใหญ่แล้วตัดแต่งกิ่งให้ต้นสูงเพียง 2 เมตร รดน้ำบำรุงปุ๋ยสม่ำเสมอ จะมีดอกดกสีสันของดอกสวยงามและส่งกลิ่นหอมเป็นที่ชื่นใจได้ทั้งปีเหมือนกับปลูกลงดินทุกอย่าง

จำปีแดงพันธุ์ใหม่ เท่าที่ดูด้วยสายตาจากต้นที่วางขายพอระบุได้ว่า เป็นไม้อยู่ในวงศ์แม็กโนเลียทั่วไป ผู้ขายบอกว่าเป็นไม้นำเข้าจากต่างประเทศนานกว่า 5 ปีแล้ว เป็นไม้พุ่มสูง 4 เมตรตามที่ผู้ขายบอกตอนต้น ใบเดี่ยวออกสลับหนาแน่นช่วงปลายยอด ใบรูปใบหอกแกมขอบขนาน ปลายแหลมโคนสอบ เนื้อใบหนา ใบมีขนาดใหญ่ ขอบใบเรียบเป็นคลื่นเล็กน้อย สีเขียวสด

ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆ ตามซอกใบใกล้ปลายยอด มีกลีบดอก 8–12 กลีบ เรียงซ้อนกันหลายชั้น เนื้อกลีบดอกหนา เป็นสีแดงเข้มอมสีม่วงตลอดทั้งกลีบดอก ดอกขณะยังตูมเป็นรูปกระสวย ดอกมีขนาดใหญ่มาก มีเกสร 10-13 อัน ดอกมีกลิ่นหอมแรง เวลามีดอกดกและดอกบานพร้อมกันทั้งต้น สีสันของดอกจะดูเจิดจ้าสวยงามและส่งกลิ่นหอมเป็นที่ประทับใจมาก ดอกออกตลอดทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่ง ทาบกิ่ง และเสียบยอด ปลูกได้ในดินทั่วไปและ ปลูกเจริญเติบโตได้ดีทั้งในพื้นที่ราบต่ำและพื้นที่สูง เป็นไม้ไม่ชอบน้ำมากนัก รดน้ำวันละครั้งหรือวันเว้นวันได้ บำรุงปุ๋ยมูลสัตว์สลับกับใส่ปุ๋ยสูตร 16-16-16 ครึ่งเดือนครั้ง จะทำให้ต้น “จำปีแดงพันธุ์ใหม่” แข็งแรงมีดอกสีสันงดงามและส่งกลิ่นหอมไม่ขาดต้น

ปัจจุบันมีกิ่งตอนแท้ขาย ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ 11 แผง “คุณหมู” หรือ “สวนวิภูวดี” โทร.08–1861–6644 และที่งานเกษตรประจำปี จ.ปราจีนบุรี ตั้งแต่วันที่ 24 มิ.ย.-3 ก.ค.59 ราคาสอบถามกันเองครับ.

“นายเกษตร”

 

ปุ๋ยนาโน มทร.ธัญบุรี มาเลฯ ซื้อ..ไทยไม่สน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 1 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/651497


“ปุ๋ยนาโนของเราได้รับการพิสูจน์จากเกษตรกรมากว่า 3 ปีแล้ว ใช้ได้ผลดี เพิ่มผลผลิตทั้งข้าวและปาล์มน้ำมัน แม้แต่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียยังสนใจ ติดต่อขอซื้อไปใช้ในสวนปาล์ม 110,000 ตัน และยังเตรียมที่จะขอซื้อเอาไปใช้กับนาข้าวด้วย แต่เสียดายที่กำลังผลิตของเราไม่สามารถทำให้ได้”

ผศ.ดร.สุกาญจน์ รัตนเลิศนุสรณ์ นักวิจัยจากศูนย์ Research Center:Nano Micro organism for Agriculture สาขาวิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี บอกว่า ปุ๋ยนาโนที่มาเลเซียให้ความสนใจ จริงๆแล้วคือปุ๋ยชีวภาพ ที่ได้จากการศึกษาวิจัยความหลากหลายทางชีวภาพ จนพบจุลินทรีย์ 5 สายพันธุ์ ที่มีคุณสมบัติแตกต่างกันไป มีทั้งสายพันธุ์ที่สามารถย่อยสลายอินทรียวัตถุในดินให้เป็นปุ๋ยที่เหมาะกับต้นข้าว, ปาล์มน้ำมัน, ผักผลไม้ สายพันธุ์ที่ช่วยปรับปรุงสภาพดินให้เหมาะสมกับการปลูกพืช และสายพันธุ์ที่เป็นปฏิปักษ์กับจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคพืช

ทีมวิจัยจึงนำจุลินทรีย์ที่เก่งในเรื่องปรับปรุงดิน และแปรรูปอินทรียวัตถุให้เป็นปุ๋ย มาสกัดให้เป็นผง ผสมลงในปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก ปั้นเป็นเม็ดปุ๋ยเพื่อสะดวกในการใช้งานแทนปุ๋ยเคมี ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก…ส่วนจุลินทรีย์สายพันธุ์ที่ช่วยป้องกันโรคมาสกัดผสมลงไปในน้ำ เพื่อใช้ในการฉีดพ่นแทนการใช้สารเคมี

“ชนิดผลิตภัณฑ์หัวเชื้อจุลินทรีย์นาโนเราที่ผลิตออกมา มี 3 รูปแบบ หัวเชื้อจุลินทรีย์นาโน (ผง) หัวเชื้อจุลินทรีย์นาโน (เม็ด) สารสกัดน้ำจุลินทรีย์นาโน ที่มีคุณสมบัติเป็นทั้งอาหารเสริม ฮอร์โมน เอนไซม์ และควบคุมจุลินทรีย์ก่อโรค สำหรับพืช 3 ชนิด นั่นคือ ข้าว ปาล์มน้ำมัน และผักผลไม้”

และเมื่อนำไปทดลองกับนาข้าวของเกษตรกร ในพื้นที่ใกล้มหาวิทยาลัย ผศ.ดร.สุกาญจน์ เผยว่า จากที่มีต้นทุนค่าแรง ค่าปุ๋ยเคมีอยู่ที่ไร่ละ 4,500-6,000 บาท ได้ข้าว 500-600 กก. เมื่อนำปุ๋ยนาโนอัดเม็ดหว่านลงในแปลง ใช้สารสกัดจุลินทรีย์นาโนฉีดพ่นที่ลำต้น และใบ ทำให้ต้นข้าวเจริญเติบโตได้ดี ไม่เป็นโรค ต้นทุนลดเหลือแค่ 2,000-3,000 บาท ได้ข้าวเพิ่มมาเป็น 800-1,000 กก.

ปาล์มน้ำมันก็เช่นกัน การทดลองในพื้นที่ 20 ไร่ หมู่ 7 ต.บึงกาสาม อ.หนองเสือ จ.ปทุมธานี…จากเดิมเจ้าของสวนจะต้องซื้อปุ๋ยเคมีปีละ 50,000–60,000 บาท ได้ผลผลิต 10 ทะลายต่อต้นต่อปี…แต่เมื่อเปลี่ยนมาใช้ปุ๋ยนาโนเม็ดและใช้สารสกัดน้ำจุลินทรีย์ ฉีดพ่นลำต้น ต้นทุนค่าปุ๋ยลดเหลือปีละ 25,000 บาทต่อไร่ ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 16 ทะลายต่อต้นต่อปี

และจากที่เคยขายได้ไร่ละ 300,000 บาทต่อปี เพิ่มขึ้นเป็น 700,000 บาท

นี่เป็นนวัตกรรมปุ๋ยที่ได้ผลจริง และไม่ใช่เพิ่งมี เพิ่งเกิด ทำสำเร็จตั้งแต่ปี 2555 หน่วยงานรัฐบาลมาเลเซียรู้เห็น ทดลองเอามาใช้แล้ว 2 ปี เห็นผลจริงคราวนี้ เลยสั่งเป็นล่ำเป็นสัน…ส่วนไทยแลนด์ งั้นๆ ระบบราชการยังคงดำรงตนด้วยนโยบายตัวใครตัวมัน ไม่ใช่ผลงานตน ไม่รับรู้ไม่ส่งเสริม เมื่อไรเกษตรกรไทยจะไปรอด

สำหรับเกษตรกรที่อยากเอาตัวรอด ได้ปุ๋ยดีราคาถูก เพิ่มผลผลิต สอบถามที่ 08-9767-8569.

ไชยรัตน์ ส้มฉุน

 

นกแสกเพิ่มผลผลิตปาล์ม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย สะ-เล-เต 30 มิ.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/650331


ไปดูงานศูนย์การเรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตปาล์มน้ำมัน บ.คอกช้าง ต.กะเปอร์ อ.กะเปอร์ จ.ระนอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร โอฬาร พิทักษ์ พาไปดูวิธีเพิ่มผลผลิตปาล์มน้ำมันได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย…เพราะเลี้ยงนกแสกไว้กินหนู

หนูท้องขาว หรือหนูป่ามาเลย์ ทำความเสียหายให้แก่ผลผลิตปาล์มมากที่สุด เพราะกินทั้งช่อดอกปาล์ม ผลอ่อน ผลดิบ และผลสุก เรียกได้ว่าสวาปามทุกขั้นตอนการเติบโตของปาล์มน้ำมัน เจ้าของสวนพยายามปราบด้วยการใช้สารเคมี แต่มีผลกระทบกับหมา แมว และนก ที่ไปเอาซากหนูมากินพลอยตายไปด้วย

เกษตรกรที่แก้ปัญหาจนเป็นผลสำเร็จ คือ บรรจบ ขนอม ผู้ใหญ่บ้านคอกช้าง ร่วมกับ ดร. เกรียงศักดิ์ หามะฤทธิ์ นักวิชาการกรมวิชาการเกษตร ใช้วิธีเลี้ยงนกแสก ด้วยการจัดทำรังเทียมติดตั้งภายในสวนปาล์ม แล้วเอาตัวนกแสกเข้ามาอยู่อาศัยและขยายพันธุ์

จากเดิมได้ผลผลิตปาล์มน้ำมันเพียงปีละ 1–2 ตันต่อไร่…เพิ่มมาเป็น 3–5 ตัน

ก่อนเลี้ยงนกแสก ต้องให้เข้าใจก่อนว่า มันเป็นนกกลางคืน รัศมีการบินไกล 20 กม. กินหนูเป็นอาหาร ชอบล่าแบบลงมาเดินกับพื้น หรือเกาะอยู่บนทะลายปาล์ม รอคอยตะปบเหยื่อด้วยกรงเล็บที่แหลมคม มีอายุ 5-7 ปี การผสมพันธุ์ วางไข่และเลี้ยงลูกช่วง ก.ย.-ก.พ. ให้ลูกปีละ 2 ครอก ไข่ครั้งละ 5-7 ฟอง ฟักไข่ 30 วัน และช่วงที่ลูกยังเล็กๆ พ่อนกจะออกล่าเหยื่อนำมาป้อนให้แม่ และลูกนกทุกวัน

จากการตรวจดูเศษอาหารที่นกแสกสำรอกออกมาในบริเวณที่นกเกาะพักนอน พบว่า เป็นกระดูกหนูป่ามาเลย์เกือบ 100% นกแสก 1 ตัว จะกินหนูเฉลี่ยวันละ 1-2 ตัว หรือปีละ 350-700 ตัว คิดคำนวณแล้วหนูจำนวนนี้สามารถกัดกินผลปาล์มน้ำมันปีละ 1.1-2.5 ตันต่อไร่ต่อปี ก่อให้เกิดความเสียหายคิดเป็นมูลค่าปีละ 5,500-12,500 บาทต่อไร่ (คิดที่ราคาทะลายปาล์มสด กก.ละ 5 บาท)

หากเกษตรกรกำจัดหนูด้วยวิธีการใช้สารเคมี จะต้องใช้เงินและจ้างแรงงานวางยากำจัดหนูเฉลี่ยประมาณไร่ละ 1,000 บาทต่อปี

ในขณะที่เลี้ยงนกแสก 1 คู่ ใช้ทุนแค่ 1,000 บาทเท่ากัน แต่กำจัดหนูได้ 50 ไร่ นาน 7 ปี…ลงทุนครั้งเดียว กำจัดหนูได้ตลอดกาล เพราะมีลูกออกมาช่วยงานทุกปี.

สะ–เล–เต

 

“หมาก” แก้แผลเบาหวาน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 30 มิ.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/650332


คนที่เป็นโรคเบาหวานจะรู้ดีว่า หากเกิดแผลขึ้นตามร่างกาย จะรักษาให้แผลแห้งหายได้ยากมาก ซึ่งในทางสมุนไพรมีวิธีพอช่วยได้คือ ให้เอาผล “หมาก” ที่กินกับใบพลูแบบสด 1 ผลผ่า 4 ซีก เอาเนื้อด้วยต้มกับน้ำ 1 ลิตรจนเดือด 10 นาที ดื่มครั้งละครึ่งแก้วก่อนอาหาร 3 เวลา ต้มดื่ม 1 ผลต่อ 1 วัน น้ำมีรสฝาดจะช่วยสมานให้แผลของคนที่เป็นโรคเบาหวานแห้งหายได้ และยังช่วยลดน้ำตาลในเลือดหรือเบาหวานได้ด้วย

นอกจากนั้น เปลือกผลสดของผล “หมาก” ไม่เอาเนื้อผ่าเป็นซีกแล้วตัดขวางทุบปลายที่ตัดให้พอนิ่มใช้ถูฟันติดต่อกันบ่อยๆ 2-3 วัน ช่วยขจัดคราบหินปูนที่ติดฟันให้หมดได้ หากใครถูกน้ำกัดมือเท้าจนเป็นแผลให้เอาผล “หมาก” สดผ่า 4 ซีก ไม่เอาเนื้อทุบเปลือกผลให้บุบทาถูบริเวณถูกน้ำกัดมือเท้าจนเป็นแผลเรื่อยๆประมาณ 1 อาทิตย์ แผลและน้ำกัดมือเท้าจะแห้งหายได้อย่างเหลือเชื่อ

หมาก หรือ ARECA CATECHU LINN. อยู่ในวงศ์ ARECACEAE เป็นไม้ยืนต้นไม่มีแก่นและไม่แตกกิ่งก้าน ลำต้นตั้งตรงสูง 7-10 เมตร ใบออกช่วงปลายยอดเหมือนกับต้นมะพร้าว ดอกเป็นพวงสีขาว เรียกว่า “จั่นหมาก” ติดผลเป็นพวงรูปกลมรี ผลสดหรือเนื้อในตากแห้งแข็ง เรียกว่า “หมากสง” นิยมกินกับใบพลูทาด้วยปูนแก้ปากเหม็นได้ มีผลสดวางขายทั่วไป

สรรพคุณเฉพาะ รากสดแช่เหล้าขาว 40 ดีกรีดื่มครั้งละ 1 แก้วเป๊ก แก้ปวดเมื่อยเส้นเอ็น รากสดพอประมาณต้มน้ำดื่มครั้งละแก้ว แก้พิษร้อนภายใน สมานลำไส้ น้ำต้มจากรากสดดังกล่าวยังใช้อมขณะอุ่นเป็นยาแก้ปากเปื่อย ถอนพิษถูกสารปรอทในฟันได้ ใบสดกะตามต้องการใช้ในแต่ละครั้ง ต้มน้ำดื่มครั้งละ 1 แก้ว แก้ไข้ แก้หวัดได้ ใบสดต้มน้ำอาบแก้เม็ดผื่นคันตามตัวดีมาก ซึ่งในยุคสมัยก่อนนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายได้ผลดีระดับหนึ่งครับ.

“นายเกษตร”