เครื่องกะเทาะกะลา เพิ่มมูลค่า..ราชาถั่ว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 30 มิ.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/650492


แมคคาเดเมีย เจ้าของฉายา ราชาแห่งถั่ว เป็นพืชที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานเงินส่วนพระองค์ให้จัดซื้อต้นพันธุ์จากออสเตรเลีย ให้กรมวิชาการเกษตรคัดเลือกสายพันธุ์ที่ดี สามารถปลูกได้ดีในบ้านเรา โดยเฉพาะภาคเหนือ ที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 400 เมตรขึ้นไป จนวันนี้ได้กลายเป็นพืชที่มีอนาคตทางเศรษฐกิจอีกตัวหนึ่ง ทำให้เกษตรกรบนพื้นที่สูงขายได้ราคาสูงถึง กก.ละ 1,000 บาท

แต่จะต้องกะเทาะเปลือกที่มีความแข็งถึง 2 ชั้นออกไปให้ได้เสียก่อน

สุรเวทย์ กฤษณะเศรณี ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิศวกรรม กรมวิชาการเกษตร บอกว่า การกะเทาะเปลือกในอดีต เกษตรกรจะใช้วิธีค้อนทุบให้แตก ทำให้ได้เนื้อในเต็มเมล็ดไม่ถึง 50% ส่งผลให้ได้ราคาแค่ กก.ละ 500-600 บาท กรมวิชาการเกษตรจึงได้มอบให้ ดร.สนอง อมฤกษ์ ผอ. ศูนย์วิจัยเกษตรวิศวกรรมเชียงใหม่ เป็นหัวหน้าโครงการวิจัย ประดิษฐ์เครื่องกะเทาะกะลาแมคคาเดเมียแบบใช้แรงคน เมื่อปี 2553 เพราะเครื่องกะเทาะกะลาแมคคาเดเมียขนาดเล็กเหมาะ กับเกษตรกรรายย่อย ไม่มีที่ไหนทำมาก่อน จะมีก็เฉพาะเครื่องจักรขนาดใหญ่เหมาะกับอุตสาหกรรมเท่านั้น

การวิจัยผ่านไป 5 ปีประสบความสำเร็จจนนำไปทดสอบใช้ในพื้นที่ ได้ผลดี สามารถกะเทาะกะลา 2 ชั้นได้ภายในครั้งเดียว กะเทาะได้ 5 กิโลกรัมต่อชั่วโมง ได้เนื้อเต็มเม็ดมากกว่า 90% ทำให้เกษตรกรขายได้ราคาสูงถึง กก.ละ 1,200 บาท

เป็นเครื่องกะเทาะกะลาแบบใช้แรงคนประกอบด้วยใบมีด 2 ชุด ใบมีดด้านบนใช้กดอัดสำหรับกะเทาะกะลาส่วนบนให้แตก ใบมีดล่างจะอยู่กับที่รองรับแรงกดอัดเพื่อให้กะลาแยกออกจากกัน โดยชุดใบมีดได้มีการออกแบบให้มีความโค้งสามารถปรับขนาดให้เหมาะกับพันธุ์แมคคาเดเมียของบ้านเราที่มีอยู่ 3 สายพันธุ์ ผลมี 3 ขนาด ราคาอยู่ที่เครื่องละ 8,000 บาท

แต่สิ่งที่สำคัญ การกะเทาะให้ได้เนื้อในเต็มเม็ด จะต้องนำกะลามาอบด้วยอุณหภูมิ 50-55 ํc นาน 48 ชั่วโมง เพื่อให้เมล็ดในคลอนก่อนจะทำการกะเทาะ แต่ถ้าไม่มีเครื่องอบ สามารถใช้วิธีตากแดดหลายวันแทนได้ เกษตรกรสนใจติดต่อได้ที่ศูนย์วิจัยเกษตรวิศวกรรม จ.เชียงใหม่ หรือ 08-4378-9553.

 

ราคายางตก! ชาวสวนสุราษฎร์ฯ หันเลี้ยงกุ้งล็อบสเตอร์น้ำจืด สร้างรายได้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 29 มิ.ย. 2559 17:56

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/650511


ชาวสวนยางพารา จ.สุราษฎร์ธานี หันทำอาชีพเสริม เพาะเลี้ยงกุ้งล็อบสเตอร์น้ำจืด สร้างรายได้ทดแทนราคายางตกต่ำ เผย เป็นอีกหนึ่งทางเลือกแก่เกษตรกร ใช้ต้นทุนน้อย แต่รายได้งาม …

เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพรศักดิ์ ทองเฝือ อายุ 32 ปี เกษตรกรชาวสวนยางพารา พื้นที่หมู่ 2 ต.คลองชอุ่น อ.พนม จ.สุราษฎร์ธานี สร้างอาชีพเสริมโดยการเพาะเลี้ยงลูกกุ้งล็อบสเตอร์น้ำจืด ในบ่อปูนขนาด 1.5×3 เมตร ภายในห้องโถงของบ้านตนเอง ที่ได้ดัดแปลงบริเวณห้องนั่งเล่นส่วนหนึ่งของบ้าน เพื่อเพาะฟักกุ้งล็อบสเตอร์น้ำจืด ขายเป็นรายได้เสริม จากอาชีพดั้งเดิมคือการเป็นเกษตรกรชาวสวนยางพารา

นายพรศักดิ์ เล่าว่า ตนเองมีสวนยางพาราเพียง 5 ไร่ กรีดเลี้ยงชีพมาเป็นเวลานาน แต่ปัจจุบันรายได้ไม่เพียงพอ เนื่องจากฝนตก กรีดยางไม่ได้ จึงได้พยายามหาอาชีพเสริมเพื่อดูแลครอบครัว ด้วยการรับซื้อมะละกอส่งโรงงาน สร้างรายได้เสริมได้ส่วนหนึ่ง แต่ก็ยังมีเวลาเหลือจึงได้หาอาชีพเสริมเพิ่ม ด้วยการศึกษาผ่านเว็บไซต์ต่างๆ จนเจอการเลี้ยงกุ้งชนิดนี้ จึงได้ไปหาซื้อหนังสือมาอ่านเพิ่ม ประกอบกับพี่ชายมีการเลี้ยงในพื้นที่ริมแม่น้ำตาปีในเมืองสุราษฎร์ฯ จึงศึกษาและดัดแปลงภายในบ้านของตนเอง ที่อยู่ในพื้นที่สูงตัดภูเขา ให้กลายเป็นสถานที่เลี้ยง

ขณะนี้ ดำเนินการเลี้ยงกุ้งล็อบสเตอร์มาแล้ว 4 เดือน ในช่วง 1-2 เดือนแรก จะเป็นการเพาะพันธ์ุตามธรรมชาติในบ่อซิเมนต์ ก่อนจะนำตัวที่ไข่มาฟักในกะละมังสีดำขนาดใหญ่ และรอให้ลูกกุ้งออกจากตัวแม่ และเติบโตเป็นเวลา 7 วัน ก็มีราคาขายอยู่ที่ตัวละ 7 บาท โดยแม่กุ้งหนึ่งตัวขนาด 4 นิ้ว จะให้ลูกกุ้งประมาณ 300-400 ตัวเลยทีเดียว ซึ่งจะสามารถเริ่มขายในช่วงเดือนที่ 3 ของการเลี้ยง

นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินการลงขายผ่านเฟซบุ๊ก และเสนอขายแก่กลุ่มเกษตรกรที่ต้องการเลี้ยงขุนเป็นกุ้งเนื้อที่มีราคาขาย ขนาด 10 ตัวต่อกิโลกรัม มีราคากว่า 1,000 บาทต่อกิโลกรัม และ 5 ตัวต่อกิโลกรัม ราคากว่า 2,000 บาทต่อกิโลกรัม

สำหรับต้นทุน มีค่าทำบ่อซิเมนต์ ระบบออกซิเจนอย่างง่าย ถังฟัก และแม่พันธุ์จำนวน 35 คู่ ในราคาคู่ละ 900 บาท น้ำก็ใช้จากแหล่งน้ำในบ่อน้ำตื้น เปลี่ยนถ่ายเดือนละ 2 ครั้ง ขณะที่ ต้นทุนอาหารกุ้งใช้เพียง 100 บาท ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา แต่ก็สามารถขายลูกกุ้งในช่วงเดือนที่ 3-4 ไปแล้ว ประมาณ 30,000-40,000 บาท เฉลี่ยประมาณเดือนละ 20,000 บาท สามารถสร้างรายได้ให้กับครอบครัวได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ การเลี้ยงกุ้งถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกใหม่ให้กับเกษตรกรชาวสวนยาง ที่สามารถเลี้ยงได้ทุกที่ ตั้งแต่พื้นที่ราบลุ่มริมแม่น้ำ จนถึงที่ราบสูงติดภูเขา

 

เกษตรกรนากุ้งสงขลา ถมดิน 10 ไร่ ปลูกกล้วยหอมทองปลอดสาร ส่งขายญี่ปุ่น

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 29 มิ.ย. 2559 12:30

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/650326


เกษตรกรนากุ้งสงขลา ใช้ดินเลนถมพื้นที่ 10 ไร่ ทดลองปลูกกล้วยหอมทองปลอดสารพิษกว่า 3 พันต้น ชุดแรกเริ่มทยอยออกผลผลิต หลังปลูกมา 7 เดือน เผย บริษัทจากญี่ปุ่นที่รับซื้อผลผลิต เดินทางมาตกลงกับเกษตรกรเรียบร้อยแล้ว …

เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายประเสริฐ หนูเอียด อายุ 55 ปี ชาว ต.ปากแตระ อ.ระโนด จ.สงขลา เกษตรกรชาวนากุ้ง ในพื้นที่ อ.ระโนด ซึ่งมีประสบการณ์ในการเลี้ยงกุ้งมานานกว่า 20 ปี และเป็นรุ่นที่บุกเบิกการเลี้ยงกุ้งใน อ.ระโนด มาจนถึงปัจจุบัน ได้ใช้พื้นที่บ่อกุ้งของตนเอง 10 ไร่ นำดินเลนที่ดูดจากบ่อกุ้งมาถมที่ทำการทดลองปลูกกล้วยหอมทองปลอดสารพิษ เพื่อการส่งออก กว่า 3 พันต้น ส่งขายให้กับเอเย่นต์ที่ประเทศญี่ปุ่น โดยเข้ารวมกลุ่มเป็นสมาชิกกับคุณจิระวัฒน์ ภักดี ประธานกลุ่มพืชผักปลอดสารพิษตำบลปากแตระ อำเภอระโนด ซึ่งในขณะนี้ กล้วยหอมทอง ชุดแรกของคุณประเสริฐ หนูเอียด เริ่มออกปลีและออกผลผลิต หลังปลูกมาแล้ว 7 เดือน กว่า 3 พันต้น โดยใช้เวลาปลูกประมาณ 9 เดือน จะเริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตกล้วยหอมทอง ส่งไปขายที่ประเทศญี่ปุ่น ในงวดแรกประมาณปลายเดือนกรกฎาคม 2559 นี้

ทั้งนี้ มีสมาชิกในกลุ่มมาช่วยกันดูแล หลังกล้วยแต่ละเครือเจริญเติบโตครบกำหนด จะต้องห่อเครือเพื่อป้องกันแมลงมาเจาะกล้วย ส่วนของระบบน้ำได้ทำการเจาะน้ำบาดาลสูบขึ้นมา โดยใช้ระบบสปริงเกอร์ ฉีดพ่นวันละ 2 เวลา ช่วงเช้ากับช่วงเย็น และเมื่อวันที่ 17 มิ.ย. ที่ผ่านมา บริษัทจากประเทศญี่ปุ่นที่รับซื้อผลผลิตกล้วยหอมทอง ได้เดินทางมาพบกับ สมาชิกกลุ่มสหกรณ์ทั่วทั้ง จ.สงขลา เพื่อยืนยันและสร้างความมั่นใจให้กับสมาชิกฯ โดยราคารับซื้อจากต้น อยู่ที่ กิโลกรัมละ 15 บาท ราคาประกันอยู่ที่ กิโลกรัมละ 10 บาท

นายประเสริฐ เปิดเผยว่า สำหรับแรงบันดาลใจที่หันมาปลูกกล้วยหอมทอง เพราะว่าพื้นที่ซึ่งเป็นนากุ้งร้าง จึงเอาดินจากบ่อกุ้งที่เป็นดินเลนมาถมที่ทำการปลูกกล้วยหอมทองเป็นอาชีพเสริม ทางด้านการเกษตร เพื่อทดลองดูว่าดินเลนซึ่งมีสภาพเป็นดินเค็มหลังถูกชะล้างจากน้ำฝนและทิ้งร้างมานานจนไม่มีความเค็มแล้ว สามารถปลูกกล้วยได้หรือไม่ ผลปรากฏว่า กล้วยหอมทองชุดแรกได้ผลเจริญเติบโตดี ทยอยออกปลีและออกลูกแล้วกว่า 40 ต้น และเตรียมจะขยายพื้นที่ปลูกเพิ่ม และอยากหันมาทำการเกษตรเป็นอาชีพเสริมไว้ให้ลูกหลานในอนาคตข้างหน้า

ราคายางดิ่ง! ชาวสวนสตูลหันเพาะกุ้งก้ามแดงขาย โกยรายได้นับหมื่นต่อเดือน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 29 มิ.ย. 2559 10:55

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/650241


ชาวสวนยาง อ.ทุ่งหว้า จ.สตูล ทนสภาพราคายางดิ่งลงไม่ไหว หันศึกษาการเลี้ยงกุ้งก้ามแดง ก่อนเพาะพันธุ์จำหน่าย ตัวโตตกกิโลละ 1,500 บาท สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ …

วันที่ 29 มิ.ย.59 มีรายงานว่า ชาวบ้าน อ.ทุ่งหว้า จ.สตูล เลี้ยงกุ้งก้ามแดงหรือล็อบสเตอร์น้ำจืด เพื่อเป็นอาชีพเสริมขายทางอินเทอร์เน็ต จนรายได้ดีกลายเป็นอาชีพหลัก พร้อมขยายพันธุ์สู่สัตว์เศรษฐกิจตัวใหม่

นายชัน เก้าเอี้ยน อายุ 40 ปี ชาวบ้านเลขที่ 47/2 หมู่ 5 ต.ทุ่งหว้า อ.ทุ่งหว้า จ.สตูล ตัดสินใจเลี้ยงกุ้งก้ามแดง หรือล็อบสเตอร์น้ำจืดเมื่อต้นปี 58 หลังทนสภาพราคายางดิ่งลงอย่างต่อเนื่องไม่ไหว มองว่า หากมีอาชีพทำสวนยางอย่างเดียวไม่สามารถเลี้ยงครอบครัวได้เหมือนก่อน จากที่เป็นคนที่ชอบเลี้ยงสัตว์อยู่แล้ว จึงศึกษาการเลี้ยงกุ้งก้ามแดงทางอินเทอร์เน็ต และสั่งซื้อมาเลี้ยงไว้ขายเป็นรายได้เสริม และเมื่อเลี้ยงแล้ว จึงทดลองผลิตพ่อแม่พันธุ์และเพาะพันธุ์เอง ก็ได้ผล เพราะกุ้งก้ามแดงเลี้ยงง่าย มีโรคน้อย โดยเลี้ยงไว้รอบๆ บ้านใส่ในโอ่ง ในกาละมัง ในบ่อซีเมนต์และเลี้ยงในบ่อดิน จนขณะนี้ มีพ่อแม่พันธุ์กว่า 500 ตัว และลูกพันธุ์ อีกกว่า 6,000 ตัว

นายชัน กล่าวว่า กุ้งก้ามแดงเลี้ยงในบ่อดิน จะเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดี จากนั้นก็จะนำมาใส่ในบ่อซีเมนต์ปิดฝาเพื่อให้มืด กุ้งชนิดนี้ชอบน้ำสะอาดและไม่ชอบสารเคมีทุกชนิด ก่อนจะนำมาพักในบ่อซีเมนต์ 4-5 วัน กุ้งก็จะสีฟ้าสวย ก้ามแดงชัดเจนสามารถส่งขายเป็นพ่อแม่พันธุ์ ขนาด 5 นิ้ว คู่ละ 550 บาท หากเป็นลูกพันธุ์ขนาด 1 นิ้ว อยู่ที่ตัวละ 12-15 บาท และขนาด 1 เซนติเมตร ตัวละ 5-6 บาท โดยตลาดมาจากทั่วประเทศ ทั้งนี้ หากเป็นตัวเล็ก ถ้าส่งไกลก็จะแพ็กใส่ถุงเล็กๆ แล้วส่งทางไปรษณีย์ แต่หากใกล้ๆ เช่น หาดใหญ่–สงขลา ก็จะใส่รวมกันถุงใหญ่และใส่ลังโฟมอีกชั้นหนึ่ง

ส่วนวิธีการเลี้ยงนั้น จะให้อาหารกุ้งวันละ 2 ครั้ง กุ้งก้ามแดงกินสัตว์เป็นอาหาร ซึ่งต้องระวังการกินกันเอง จึงต้องใส่สแลงและท่อพีวีซีลงไปให้มันได้ซ่อนตัวด้วย ขณะที่ การเพาะพันธุ์จะผสมพันธุ์กันเองภายในบ่อ 20 วัน จะดูหากกุ้งไข่ตัวเมียจะงอหางปิดไข่ไว้ใต้ท้อง ต้องแยกออกมาเพื่อให้วางไข่และออกเป็นตัวประมาณ 30 วัน ปีหนึ่งสามารถเพาะพันธุ์ได้ 4-5 รุ่น หากจำหน่ายขนาดตัวโต จะตกกิโลกรัมละ 1,500 บาท ซึ่งที่เลี้ยงไว้ยังไม่เพียงพอต่อการเลี้ยงขายเนื้อได้ เนื่องจากเพาะเป็นลูกพันธุ์และแม่พันธุ์ขาย ก็มีออเดอร์สั่งซื้อไม่เพียงพอแล้ว เพราะในแต่ละเดือนสามารถผลิตขายได้เพียงเดือนละ 3-4 พันตัว สำหรับลูกกุ้งเท่านั้น

กุ้งชนิดนี้ นอกจากสีสันสวยงามแล้ว สามารถเลี้ยงเพื่อความสวยงามเพลิดเพลิน และเป็นกุ้งที่เลิศรสยอดนิยมของคนทั่วโลกที่รู้จักกันเป็นอย่างดี และเป็นกุ้งที่มีรสชาติอร่อยที่สุดในกลุ่มกุ้งแม่น้ำด้วยกัน กุ้งชนิดนี้เข้ามาในเมืองไทยและทดลองเลี้ยงอยู่ที่โครงการหลวงดอยอินทนนท์ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ นานแล้ว เป็นพระมหากรุณาธิคุณที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเห็นความสำคัญและนำเข้ามาศึกษาเพาะเลี้ยงจนเกิดองค์ความรู้การเลี้ยงกุ้งชนิดนี้ในเมืองไทย โดยตลาดยังคงต้องการอีกจำนวนมาก คาดว่า ใน 2-3 ปี กุ้งชนิดนี้ยังคงโตได้อีกอย่างต่อเนื่อง

 

ประกันภัยข้าว…เฝ้าระวังเคลม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย สะ-เล-เต 29 มิ.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/649154


เป็นเรื่องใหม่ที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อนุมัติโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2559 รัฐบาลจะควักจ่ายเงินค่าประกันภัยให้ชาวนา 2,000 กว่าล้าน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ควักจ่ายให้อีก 1,200 ล้านบาท

ถ้าเป็นลูกค้า ธ.ก.ส. ชาวนาไม่ต้องจ่ายเบี้ยประกันแม้แต่บาทเดียว… แต่ถ้าเป็นชาวนาทั่วไป อยากจะทำประกัน ต้องจ่ายเบี้ยเอง ไร่ละ 40 บาท ที่เหลือรัฐออกให้ไร่ละ 67.43 บาท

แม้จะไม่ใช่เรื่องใหม่ระดับแกะกล่อง เพราะมีการทำโครงการประกันภัยพืชผลทางการเกษตรมาหลายปีแล้ว…แต่นี่ถือเป็นครั้งแรกที่มีการประกันภัยในพื้นที่มากถึง 30 ล้านไร่ จากนาข้าวทั้งประเทศ 62 ล้านไร่

ปีที่แล้วก็ทำ แต่แค่ 1.5 ล้านไร่…พื้นที่น้อย บริษัทประกันภัยคิดเบี้ยประกันแพง ไร่ละ 120-480 บาท ขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่เสี่ยงมากเสี่ยงน้อย เสี่ยงน้อยเบี้ยประกันถูก เสี่ยงเสียหายง่ายเบี้ยประกันแพง

ส่วนการจ่ายเบี้ยประกัน ปีที่แล้วชาวนาต้องควักด้วย ไร่ละ 60-100 บาท ตามสภาพความเสี่ยง ส่วนที่เหลือรัฐจ่ายให้หมด แต่ถ้าเป็นลูกค้า ธ.ก.ส. ชาวนาจะจ่ายน้อยลงไร่ละ 10 บาท ธ.ก.ส.ช่วยออก 10 บาท

ปีที่แล้ว ทำประกันแค่ 1.5 ไร่ รัฐควักจ่ายไปหลายร้อยล้าน…ปีนี้ เบี้ยประกันคิดเหมารวมไร่ละ 107.43 บาท รัฐต้องจ่ายเพิ่ม 4–5 เท่าตัว แต่ได้พื้นที่เพิ่มเป็น 20 เท่า เพื่อชาวนาถือว่าคุ้ม

ถ้ามองในแง่ ทำให้ชาวนาได้เห็นเป็นตัวอย่าง ทำประกันแล้วดีอย่างไร เพื่อปีต่อๆไป ชาวนาจะได้คิดทำกันเอง…ถ้าไม่ติดนิสัยแบมือขอ รอรัฐจ่ายให้ท่าเดียว ไปเสียก่อน

แต่กระนั้นสิ่งที่ต้องดำเนินการให้สอดคล้องกัน เพื่อให้โครงการบรรลุผลได้จริง รัฐต้องให้ความสำคัญกับการเคลมประกันด้วย นาข้าวเสียหายประกันจ่ายให้จริงแค่ไหน จะเบี้ยวซึ่งหน้าเหมือนประกันภัยอย่างอื่นไหม ที่สำคัญผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งมีหน้าที่ประกาศเขตภัยพิบัติ ต้องติวเข้มกันหน่อย

จะประกาศภัยพิบัติได้ขนาดไหน เพราะไม่ประกาศ ชาวบ้านอดได้เงินประกัน เป็นปัญหามานักต่อนักแล้ว…อย่าให้เกิดขึ้นอีกเชียว ไม่อย่างนั้น เป้าหมายลึกของโครงการพังครืนแน่.

สะ-เล-เต

 

“มะยงชิดท่าอิฐ” ปลูกกินขายราคาดี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 29 มิ.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/649146


ผู้อ่านจำนวนมาก อยากทราบว่า “มะยงชิดท่าอิฐ” เป็นอย่างไร ซึ่งมะยงชิดดังกล่าว นิยมปลูกกันแพร่หลายตั้งแต่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์และ

จัดเป็นมะปรางชนิดหนึ่งที่เกิดจากการกลายพันธุ์จนมีผลขนาดใหญ่ขึ้น เนื้อหนา เมล็ดเล็ก รสชาติหวานนำมีรสเปรี้ยวเจือปนเล็กน้อย วัดความหวานได้ประมาณ 17.1 องศาบริกซ์ โดยในสมัยนั้นนิยมเรียกว่า “มะปรางเสวย” มีแหล่งที่ปลูกในท้องที่ ต.ท่าอิฐ อ.เมือง จ.นนทบุรี จากนั้นจึงได้กระจายพันธุ์ปลูกไปในแถบพื้นที่ใกล้เคียงเช่น ต.บางขุนนนท์ อ.บางกอกน้อย ฝั่งธนบุรี ได้รับความนิยมจากผู้ปลูกและผู้รับประทานอย่างกว้างขวางเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน ในชื่อ “มะยงชิดท่าอิฐ” ดังกล่าว

มะยงชิดท่าอิฐ อยู่ในวงศ์ ANACARDIA CEAE มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เป็นไม้ยืนต้น สูง 5-10 เมตร ใบออกตรงกันข้าม รูปรีแกมรูปไข่กลับ ปลายและโคนใบแหลม เนื้อใบค่อนข้างหนาและแข็ง สีเขียวสดและเป็นมัน ใบดกให้ร่มเงาดีมาก

ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบใกล้ปลายยอด กลีบดอกเป็นสีขาวหรือสีขาวนวล “ผล” รูปไข่ค่อนข้างยาวและรี ผลโตเต็มที่ประมาณไข่เป็ด มีน้ำหนักเฉลี่ยระหว่าง 10-15 ผลต่อ 1 กิโลกรัม ผลสุกเป็นสีเหลือง เนื้อในเยอะเนื่องจากเมล็ดเล็ก เนื้อสุกเป็นสีเหลืองอมส้ม รสชาติหวานปนเปรี้ยวเล็กน้อย ไม่มีเสี้ยนและไม่มียางขม รับประทานอร่อยมาก สามารถเก็บผลไว้ได้นานหลายวันโดยผลไม่ช้ำหรือเนื้อเละแต่อย่างใด ติดผลดกเต็มต้นปีละครั้งตามฤดูกาล ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง และเสียบยอด หลังปลูกมีดอกติดผลโตเท่าปลายนิ้วก้อยใส่ปุ๋ย 13-13-21 พร้อมฉีดพ่นสารสะเดาป้องกันโรคแมลง เมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตให้ปฏิบัติเหมือนเดิม จะทำให้ “มะยงชิดท่าอิฐ” ติดผลดกเช่นเดิม

มีกิ่งตอนแท้ขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ โครงการ 11 แผง “คุณหมู” หรือ “สวนวิภูวดี” โทร.08-1861-6644 และที่งานเกษตร จ.ปราจีนบุรี ตั้งแต่วันที่ 24 มิ.ย.-3 ก.ค.59 ราคาสอบถามกันเองครับ.

“นายเกษตร”

 

ปลานวลจันทร์ทะเล หนึ่งเดียวในพระราชกระแสรับสั่ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 29 มิ.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/649497


นวลจันทร์ทะเล…ไม่เพียงจะเป็นปลาประจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ยังเป็นปลาเศรษฐกิจของหลายประเทศ จีน เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ไต้หวัน…แต่คนไทยแทบไม่รู้จัก ไม่นิยมรับประทาน ทั้งที่รสชาติไม่แพ้ปลากะพงขาว ปลาซาบะ โดย เฉพาะความมันต้องยกนิ้วให้

และที่ไม่ค่อยรู้กัน “นวลจันทร์ทะเล” ถือเป็นปลาชนิดแรกและชนิดเดียว ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชกระแสรับสั่งให้กรมประมงเพาะพันธุ์ เพื่อส่งเสริมให้เป็นปลาเศรษฐกิจ มาตั้งแต่ปี 2508 หลังมกุฎราช กุมารประเทศญี่ปุ่นได้ทูลเกล้าฯถวาย ปลานิล เมื่อ 25 มี.ค. 2508

26 เม.ย. 2508 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรลูกปลานวลจันทร์ทะเล ที่สถานีประมงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จับจากทะเลมาเลี้ยงไว้ในบ่อดิน (ปัจจุบัน ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งประจวบคีรีขันธ์)

“ทรงมีกระแสรับสั่ง ให้กรมประมงทำการศึกษาขยายพันธุ์ปลานวลจันทร์ จึงได้มีการนำปลาส่วนหนึ่งไปทดลองเลี้ยงในอ่างเก็บน้ำเขาเต่า อ.หัวหิน โครงการพระราชดำริ โครงการแรกที่ได้สร้างเมื่อปี 2506”

นายธเนศ พุ่มทอง ผอ.ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งประจวบคีรีขันธ์ เล่าว่า แต่ด้วยขณะนั้นความก้าวหน้าด้านวิชาการประมงของไทยยังไม่ดีพอ ปลาที่เอาไปปล่อย ไม่รู้หายไปไหนหมด ชาวบ้านก็ไม่ให้ความสนใจ พลอยทำให้การเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ซาตามไปด้วย…กระทั่ง 4 ธ.ค.2544 พระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสถึงเรื่องปลานวลจันทร์อีกครั้ง

ศูนย์วิจัยฯรื้อฟื้นโครงการขึ้นมาใหม่ คราวนี้ไม่เหมือนก่อน เพราะองค์ความรู้มีเครื่องไม้เครื่องมือทันสมัยมากกว่า…นำปลาที่เลี้ยงไว้มาผสมเทียมเป็นผลสำเร็จ นำลูกพันธุ์ไปเลี้ยงในแหล่งน้ำเพื่อศึกษา จนได้องค์ความรู้มากพอ ปี 2553 เริ่มถ่ายทอดความรู้ให้เกษตรกร จัดฝึกอบรมหลักสูตรการเลี้ยงปลานวลจันทร์

“แต่เลี้ยงแล้ว ไม่รู้จะเอาไปขายใคร ไม่มีใครอยากกิน เนื่องจากก้างเยอะ เราต้องส่งคนไปเรียนวิธีแกะก้างปลาและแปรรูปที่ฟิลิปปินส์ เขาเชี่ยวชาญเรื่องนี้ เพราะเป็นปลาประจำประเทศ ประชาชนนิยมบริโภคมาก”

ผอ.ธเนศ บอกว่า เมื่อได้ความรู้มาถ่ายทอดให้กับชาวบ้าน ปี 2556 จัดตั้งกลุ่มแปรรูปปลานวลจันทร์ทะเลบ้านคลองวาฬ ตามแนวพระราชดำริ รับปลาจากเกษตรกรมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ มีทั้งปลานวลจันทร์ทะเลถอดก้าง, ปลานวลจันทร์ทะเลแดดเดียว, ปลานวลจันทร์ทะเลรมควันก้างนิ่ม, ปลานวลจันทร์ทะเลหมักสูตรฟิลิปปินส์, ปลานวลจันทร์ทะเลต้มเค็ม, เบอร์เกอร์ปลานวลจันทร์ทะเล นอกจากนั้น เนื้อปลายังสามารถนำมาแปรรูปเป็นน้ำยาขนมจีน ไส้กรอก ลูกชิ้น ปลา กระป๋อง ได้สารพัด

ที่สำคัญเลี้ยงง่าย สามารถเลี้ยงร่วมกับกุ้งได้ เพราะเป็นปลาที่กินพืช ต้นทุนการเลี้ยงต่ำ ปลาหนัก 1 กก. มีต้นทุน 30 บาท ในขณะที่ปลากะพงขาวอยู่ที่ 50–60 บาท…สนใจสอบถามได้ที่ 0–3266–1398.

ชาติชาย ศิริพัฒน์

 

มกอช.เดินหน้าสร้างมาตรฐานข้าว เพิ่มความเชื่อมั่น ขยายโอกาสส่งออก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 29 มิ.ย. 2559 04:40

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/650037


เกษตรฯ สร้างความเชื่อมั่น ผลิตข้าวสารคุณภาพครบวงจร พร้อมขานรับนโยบายกระทรวงเกษตรฯ เร่งส่งเสริมมาตรฐานการผลิตข้าว Q สร้างความเชื่อมั่นผู้บริโภค ขยายโอกาสการส่งออกตลาดข้าวไทย

นางสาวดุจเดือน ศศะนาวิน เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ได้ประกาศใช้หลักเกณฑ์เฉพาะสำหรับการรับรองผลิตภัณฑ์ตามมาตรฐานสินค้าข้าว ครอบคลุมถึงการรับรองผลิตภัณฑ์ (product certification) ข้าวที่บรรจุในบรรจุภัณฑ์ ได้แก่ ข้าวขาว ข้าวกล้อง ข้าวกล้องงอก ตามมาตรฐานสินค้าเกษตร เรื่อง ข้าวหอมมะลิไทย (มกษ.4000) ข้าวหอมไทย (มกษ.4001) ข้าวกล้องงอก (มกษ.4003) และข้าว (มกษ.4004) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภค

โดยทุกขั้นตอนกระบวนการผลิตหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯได้ส่งเสริมให้มีการนำมาตรฐานสินค้าเกษตร (มกษ.) ไปใช้เป็นเกณฑ์ในการผลิตข้าวสารแบบครบวงจร อาทิ พันธุ์ข้าวคุณภาพ การเตรียมดิน การดูแลการเพาะปลูกข้าว ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการเพิ่มมูลค่าให้สินค้าข้าว เพื่อให้ข้าวเปลือกได้มาตรฐาน GAP ส่งต่อเข้าโรงสีข้าวที่ผ่านการรับรอง

“มาตรฐานหลักการปฏิบัติที่ดีสำหรับโรงสีข้าว (มกษ. 4403-2553) หรือ GMP โรงสีข้าว เป็นอีกหนึ่งมาตรฐานที่ครอบคลุม สุขลักษณะของสถานที่ผลิต และขั้นตอนทำงานของโรงสีข้าวตั้งแต่การรับซื้อข้าวเปลือก ซึ่งเน้นให้ทราบแหล่งที่มาของข้าวเปลือกทำให้สามารถทวนสอบได้ในกรณีที่มีปัญหา นอกจากนั้น การลดความชื้น การทำความสะอาด การกะเทาะเปลือก การขัดสี การคัดแยกคุณภาพ การบรรจุ การเก็บรักษาและขนส่ง ตลอดทุกขั้นตอนการทำงาน เพื่อสร้างความมั่นใจตลอดเส้นทางการผลิตข้าวสารคุณภาพ” นางสาวดุจเดือน กล่าว

ด้าน นางสาวอิงอร ปัญญากิจ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมมาตรฐาน สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ กล่าวว่า กระทรวงเกษตรมีนโยบายขยายพื้นที่การผลิตข้าวที่ได้มาตรฐานการยอมรับจากผู้บริโภค มกอช. พร้อมด้วยกรมการข้าวและกรมส่งเสริมการเกษตร จึงร่วมกันดำเนินการส่งเสริม ยกระดับมาตรฐานการปลูกข้าวชาวนาไทยในหลายๆ พื้นที่ เพื่อให้ข้าวสารทั้งที่บริโภค และส่งออก มีมาตรฐานเดียวกัน ตรงตามความต้องการของผู้บริโภค ร้านค้า ผู้นำเข้าต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันต่างมองหามาตรฐานการผลิตเพื่อให้ผู้บริโภคปลอดภัย

ทั้งนี้ การที่เรามีเครื่องหมายรับรอง นอกจากช่วยสร้างมูลค่า สร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค ยังสร้างโอกาสด้านการแข่งขัน ซึ่งทุกวันนี้เราต้องยอมรับกันว่าตลาดข้าวจากประเทศเพื่อนบ้าน นับวันจะมีการแข่งขันสูงมากขึ้น ดังนั้นการสร้างมาตรฐานตัว Q ที่ดูแลตั้งแต่การเพาะปลูกไปจนถึงกระบวนการสี การบรรจุถุงมายกระดับมาตรฐานข้าวไทย จะช่วยเพิ่มโอกาสการส่งออกได้มากขึ้น

นายนัด อ่อนแก้ว ประธานวิสาหกิจชุมชนบ้านเขากลาง กล่าวว่า กลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านเขากลาง ถึงแม้ว่าจะเป็นกลุ่มวิสาหกิจที่มีสมาชิกไม่มาก โรงสีข้าวมีกำลังการผลิตเพียงประมาณ 12 ตันต่อวัน แต่สามารถนำมาตรฐานที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ มาใช้ทุกขั้นตอนในการปฏิบัติงาน ทั้งนี้ แรกเริ่มกลุ่มได้นำมาตรฐาน GAP มาใช้ในการปลูกข้าวสังข์หยดก่อน จากนั้นปี 2557 จึงมีการปรับปรุงระบบบริหารจัดการกระบวนการผลิตโรงสีข้าวให้ได้มาตรฐาน GMP มกษ. ซึ่งปัจจุบันวิสาหกิจชุมชนยังคงดำเนินการตามมาตรฐานสินค้าเกษตรในทุกๆ ด้านไว้ได้ ซึ่งการดำเนินงานตามมาตรฐานดังกล่าว นอกจากจะได้ข้าวสารคุณภาพ มีความปลอดภัย จำหน่ายได้มูลค่าแล้ว ยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิตได้อีกด้วย

ดังนั้น โรงสีอื่นๆ ของวิสาหกิจชุมชน สหกรณ์การเกษตร และผู้ประกอบการอื่นๆ ที่มีศักยภาพ และความพร้อม ควรจะนำมาตรฐานสินค้าเกษตร ไปปฏิบัติใช้ในการบริหารจัดการธุรกิจค้าข้าว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิตของวิสาหกิจชุมชน สหกรณ์การเกษตร และผู้ประกอบการ

อย่างไรก็ตามปัจจุบัน มีโรงสีข้าวหลายแห่ง นำมาตรฐานสินค้าเกษตร (มกษ.) ทั้ง GAP และ GMP ไปใช้เป็นส่วนหนึ่งในการบริหารจัดการธุรกิจของโรงสีข้าว เช่น โรงสีข้าวสหกรณ์การเกษตรพร้าว จำกัด อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ และโรงสีข้าวกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านเขากลาง ตำบลปันแต อำเภอควนขนุน ซึ่งเป็นโรงสีข้าวชุมชนขนาดเล็ก สนับสนุนให้เกษตรกรนำมาตรฐานสินค้าเกษตรที่เกี่ยวข้องไปใช้ในกระบวนการผลิตข้าวสังข์หยดและรับซื้อในราคาสูงกว่าราคาข้าวสังข์หยดทั่วไป เพื่อยกระดับคุณภาพข้าวสังข์หยด ตั้งแต่กระบวนการผลิตในไร่นา จนถึงกระบวนการแปรรูปข้าวเปลือกเป็นการเพิ่มมูลค่าและสร้างตราสินค้าผลิตภัณฑ์ของโรงสีข้าวให้เป็นที่รู้จักของผู้บริโภค.

 

เลี้ยงผึ้งในสวนปาล์ม 10 ลังปีละ 1.2 แสน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 28 มิ.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/648289


เลี้ยงผึ้งโพรงในสวนปาล์ม เป็นอีกหนึ่งอาชีพเสริมสร้างรายได้ให้ชาวสวนปาล์มน้ำมันบ้านละอุ่นใต้ อ.ละอุ่น จ.ระนอง ขายน้ำผึ้งได้ถึงปีละแสนบาท

นางวิรัตน์ ไชยช่วย ผอ.ศูนย์ส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตร ด้านแมลงเศรษฐกิจจังหวัดชุมพร ให้ความรู้เรื่องการเลี้ยงผึ้งโพรง จะอาศัยอยู่ตามโพรงไม้ หรือกิ่งไม้ ส่วนผึ้งเลี้ยงในลัง ในกล่องไม้ ที่คนสร้างขึ้นเพื่อความสะดวกในการเก็บน้ำผึ้ง ในรังผึ้งขนาดใหญ่อาจมีผึ้งถึง 50,000 ตัว มีผึ้งนางพญาตัวเดียวเป็นผู้ปกครองอาณาจักรรังผึ้ง มีอายุ 2-5 ปี มีผึ้งงานทำหน้าที่ทุกอย่างตั้งแต่ทำความสะอาด ซ่อมแซมรัง ป้องกันศัตรู หาอาหารให้ตัวอ่อน จะมีอายุ 2 เดือน ส่วนผึ้งตัวผู้จะมีหน้าที่ผสมพันธุ์เท่านั้น

ขั้นตอนการเลี้ยงผึ้ง ด้วยการล่อผึ้ง จัดหาโพรงเลี้ยงผึ้ง เช่น ลัง กล่อง กระป๋อง หรือแม้ กระทั่งตู้ลำโพงเก่าๆ สามารถนำมาเป็นโพรงเลี้ยงผึ้งได้ นำมาวางในจุดที่มีความร่มรื่น มีแหล่งน้ำและแหล่งอาหาร วางตั้งบนเสาเดี่ยวสูงจากพื้นดินประมาณ 1 ม. ใช้ผ้าชุบน้ำมันเครื่องพันไว้รอบเสาใต้แท่นวางกล่องเลี้ยง เพื่อป้องกันมด แมลงสาบ แมงมุม ปลวก และศัตรูอื่นๆไต่ขึ้นมารบกวนผึ้ง

จากนั้นให้นำไขผึ้งบริสุทธิ์ มาหลอมละลายทาที่ด้านในของกล่องไม้เลี้ยงผึ้ง เพื่อดับกลิ่นยางของไม้ และยังเป็นการช่วยกระตุ้นให้เกิดกลิ่นเรียกผึ้งมาทำรังในกล่องล่อผึ้ง เมื่อผึ้งมาอยู่และสร้างรวงผึ้ง หากต้องการจะขยายไปเลี้ยงในกล่องอื่นๆเพิ่มเติมทำได้ไม่ยาก เพราะผึ้งเป็นแมลงที่มีอัตราการแยกจากรังเดิมค่อนข้างสูง

สำหรับการบังคับให้ผึ้งเข้าไปอยู่กล่องใหม่ นางวิรัตน์ แนะให้ดูรังผึ้งที่สมบูรณ์ อายุรังผึ้งประมาณ 25-30 วัน ใช้เครื่องพ่นควันใส่รังผึ้งเบาๆ ใช้มีดตัดรวงผึ้ง นำมาวางทาบไว้กับคอนในกล่องเลี้ยง ถ้าพบนางพญาผึ้งให้จับใส่กลักนำไปขังเลี้ยงไว้กลางคอน 2 วัน แล้วค่อยปล่อยนางพญา

หากไม่เจอตัวนางพญาก็ไม่เป็นไร แต่ต้องรอให้ผึ้งตัวที่สมบูรณ์ที่สุด เปลี่ยนรูปร่างขยายตัวขึ้นมาใหญ่โต จนกลายเป็นผึ้งนางพญาประจำรังใหม่ได้ ใช้เวลาไม่เกิน 7 วัน

ในการเลี้ยง 3 เดือน ชาวสวนปาล์มบ้านละอุ่นใต้ ได้น้ำผึ้งที่เลี้ยงไว้ในลัง ลังละ 8 ขวด หรือ 32 ขวดต่อปี ขายอยู่ที่ขวดละ 400 บาท เลี้ยงผึ้ง 10 ลัง เท่าปีหนึ่งจะมีรายได้เสริมอยู่ที่ปีละ 128,000 บาท.

 

รถหย่อนกล้า ‘ไอ้เคี้ยม’ ลุยนาหล่ม-ลาดชัน ฉลุย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 27 มิ.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/647546


2 ปีก่อนเปิดตัวรถปลูกข้าวแบบหย่อนกล้านาดำรุ่นแรก เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน…มาวันนี้ อ.ปัญญา เหล่าอนันต์ธนา ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายกิจการนิสิต ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ ได้พัฒนาเครื่องหย่อนกล้ามาแล้วถึง 15 รุ่น

รุ่นล่าสุด…ไอ้เคี้ยม พัฒนาให้ใช้งานได้ง่ายพ่วงติดท้ายรถไถนาเดินตามได้

“เครื่องหย่อนกล้ารุ่นแรก นำออกมาใช้งานในแปลงนาช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานดำนาได้ก็จริง แต่เป็นรถที่เหมาะกับพื้นที่นาขนาดใหญ่ แต่แปลงนาบ้านเรานั้นมีความแตกต่างกันมาก สภาพภูมิศาสตร์ก็ไม่เหมือนกัน แถมสภาพดินแต่ละพื้นที่ก็ไม่เหมือนกัน มีทั้งดินทราย ดินร่วน ดินเหลว นาหล่ม อย่างภาคเหนือกับอีสานนาแบ่งย่อยเป็นแปลงเล็ก นาขั้นบันได ซอยแปลงย่อยๆ ส่วนภาคกลางเป็นแปลงใหญ่น้ำท่วมซ้ำซาก สภาพดินเป็นหล่ม เครื่องหยอดข้าวรุ่นแรกๆ ทำงานได้ไม่ดี เสี่ยงต่อการติดหล่ม ทำงานลำบาก ขับเคลื่อนเดินหน้าไปได้ไม่ไกล ต้องบังคับรถให้วนกลับมาใหม่ แถมเครื่องหย่อนกล้าข้าวรุ่นแรกๆมีขนาดใหญ่ทำให้ต้องใช้พื้นที่กว้างสำหรับตีวงเลี้ยว กลายเป็นปัญหาทำงานล่าช้า”

จากปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่ อ.ปัญญา จึงต้องกลับมาคิดออกแบบปรับปรุงเครื่องหย่อนกล้า เพื่อให้ใช้งานได้ทุกสภาพพื้นที่ ทำงานรวดเร็ว และไม่เป็นภาระปัญหากับชาวนารายย่อย กระทั่งได้รุ่นล่าสุด สามารถนำไปติดตั้งบนรถไถนาแบบเดินตาม ที่สามารถลุยนาหล่ม ขึ้นคันนาในพื้นที่ลาดชันได้ และเลี้ยวกลับในมุมแคบๆได้ง่าย

สำหรับเครื่องหย่อนกล้ารุ่นล่าสุดนี้ ‘ไอ้เคี้ยม’ จะประกอบไปด้วยชั้นสำหรับใส่ถาดกล้าเป็นวงกลม 2 ชั้น แต่ละชั้นมี 12 แถว บรรจุถาดกล้าแถวละ 5 ถาด/(120 ถาดต่อการหย่อนกล้า 1 ครั้ง) ด้านท้ายฝั่งขวาคนขับติดตั้งเก้าอี้นั่งสำหรับคนนั่งเติมถาดกล้าใส่เครื่องคีบหย่อนกล้า ส่วนด้านซ้ายคนขับ มีช่องรองรับถาดกล้าเปล่าซึ่งเครื่องคีบจะดันส่งออกอัตโนมัติหลังกล้าข้าวหมดแล้ว

และจากการนำเครื่องหย่อนกล้าไอ้เคี้ยมไปทดสอบการใช้งานจริงในพื้นที่นาหลายจังหวัด มีทั้งชัยภูมิ, ขอนแก่น, ยโสธร, อุบลราชธานี, มหาสารคาม, ร้อยเอ็ด, อุดรธานี, แพร่, สุโขทัย, พิษณุโลก, อุทัยธานี, นครปฐม, เพชรบุรี และปทุมธานี

การทำงานของรถหย่อนกล้าที่มีหน้ากว้าง 2.5 เมตร สามารถหย่อนกล้าข้าวได้แถวละ 10 กอ แต่ละกอห่าง 25×25 ซม. พื้นที่ 1 ไร่ ใช้เวลาหย่อนกล้า 40 นาที และหลังจากหย่อนกล้าไปแล้ว 2 วัน ต้นกล้าฟื้นตัวได้อย่างเร็ว ดีกว่าใช้แรงงานคนที่ต้องใช้ถึง 8 คนต่อวันถึงจะดำนาได้ 1 ไร่

ชาวนาผู้สนใจไปหาดูชมได้ในงาน “เพื่อนพึ่ง (ภาฯ) เกษตรแฟร์” ที่จัดขึ้นไปจนถึงวันที่ 3 ก.ค.นี้ ณ สำนักพิพิธภัณฑ์และวัฒนธรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน หรือติดต่อได้ที่ 08-1927-0098.

เพ็ญพิชญา เตียว