กสม.ตรวจสอบสวนกล้วยจีนที่เชียงราย เร่งเก็บข้อมูลผลกระทบต่อชาวบ้าน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 26 มิ.ย. 2559 16:55

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/647701


คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ ลงพื้นที่ตรวจสวนกล้วยจีน อ.พญาเม็งราย จ.เชียงราย เก็บข้อมูลผลกระทบชาวบ้าน ยาฆ่าแมลง การใช้น้ำ พร้อมเรียกประชุมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องชี้แจง 27 มิ.ย.นี้

เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 59 นางเตือนใจ ดีเทศน์ กรรมการสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในฐานะประธานอนุกรรมการด้านสิทธิชุมชนและฐานทรัพยากร นำคณะอนุกรรมการฯ และนายกฤตชัย สุวรรณ์ ปลัดอำเภอพญาเม็งราย และตัวแทนนายอำเภอพญาเม็งราย เข้าตรวจสอบพื้นที่ปลูกสวนกล้วยของ ห้างหุ้นส่วนพญาเม็งรายการเกษตร จำกัด ต.เม็งราย อ.พญาเม็งราย จ.เชียงราย พื้นที่ 2,711 ไร่

สวนกล้วยจีน ที่เชียงราย

ทั้งนี้ พบนางวงเดือน คล้ายวิเชียร ผู้จัดการสวนกล้วย และนายทวนชัย หัวหน้าคนงาน โดย หจก.พญาเม็งรายการเกษตร มีทุนจดทะเบียนจำนวน 2 ล้านบาท และเงินลงทุน 30 ล้านบาท เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 59 โดยมีนายไพโรจน์ อาวัชนานุกูล และนายปรีชา แซ่ตั้ง เป็นกรรมการ เข้ารับช่วงต่อจาก บริษัท หงต๋าอินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ที่แจ้งเลิกกิจการ เมื่อ ก.พ. 59 ทำสัญญาเช่าพื้นที่ 9 ปี ต่อสัญญาเช่าทุก 3 ปี ในราคาไร่ละ 2,500 บาทต่อปี ขณะนี้ได้ขยายการปลูกจากเดิม 700 กว่าไร่ เป็น 1,000 พันไร่ มีลูกจ้าง 143 คน ค่าจ้างคนละ 300-500 บาท มีบริษัทชินเชี่ยง อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 59 เป็นผู้ส่งออกไปเมืองฉงชิ่ง ประเทศจีน

นางเตือนใจ กล่าวว่า คณะอนุกรรมการฯ ได้รับเรื่องร้องเรียนความเดือดร้อนของชาวบ้านจากสวนกล้วยแห่งนี้ ว่าแย่งสูบน้ำอิงไปใช้ และกังวลเรื่องการใช้สารพิษในสวนกล้วยแห่งนี้ จึงนำกรรมการเข้าตรวจสอบหาข้อมูล ไปร่วมการประชุมร่วมกับคณะกรรมการแก้ไขปัญหาที่ทางจังหวัดเชียงรายตั้งขึ้น ในวันที่ 27 มิ.ย. 59 ที่โรงแรมริมกก จ.เชียงราย

ด้าน ดร.อาภา หวังเกียรติ ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า ได้เข้ามาเก็บตัวอย่าง ดิน น้ำ ผลกล้วย สารเคมีฆ่าแมลง ฆ่าหญ้า ยาฆ่าปลวกเชื้อรา และฮอร์โมน เพื่อส่งตรวจพิสูจน์หาสารพิษ ซึ่งต้องรอผลการตรวจพิสูจน์ประมาณ 1 เดือน เพราะสารเคมียาฆ่าแมลงจะส่งไปตรวจพิสูจน์ที่ต่างประเทศ

 

จัดรูปที่ดิน วางระบบจัดส่งน้ำป้องกันภัยแล้งซ้ำซาก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 26 มิ.ย. 2559 15:40

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/647631


สำนักงานจัดรูปที่ดิน รุกพัฒนาระบบชลประทานในไร่นา เผยผลดำเนินการสำเร็จแล้ว 13 ล้านไร่ พร้อมเร่งผลักดันระบบน้ำและจัดรูปที่ดินที่ทันสมัย 3 รูปแบบ เน้นประสิทธิภาพการชลประทาน หวังบรรเทาความเดือดร้อนเกษตรทั่วประเทศ

วันนี้ (26 มิ.ย. 59) นายสิริวิชญ กลิ่นภักดี ผู้อำนวยการสำนักงานจัดรูปที่ดินกลาง เปิดเผยว่า เพื่อรองรับปัญหาขาดแคลนน้ำที่ใช้สำหรับหล่อเลี้ยงพื้นที่ไร่นา ซึ่งปัจจุบันมีพื้นที่ที่ได้รับการพัฒนาระบบชลประทานในไร่นาแล้วกว่า 13 ล้านไร่ ยังเหลือพื้นที่ ที่สามารถดำเนินการพัฒนาระบบชลประทานในไร่นาอีกจำนวนมาก สำนักงานจัดรูปที่ดินกลางจึงได้วางแนวทางในการแก้ไขปัญหาใหม่ เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ได้มากที่สุด

ด้วยการจัดระบบน้ำเพื่อเกษตรกรรม ซึ่งจะเป็นการจัดระบบน้ำที่ลัดเลาะตามแปลงที่นาตั้งแต่ต้นทางไปยังปลายทาง ซึ่งระบบแรกทำได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความร่วมมือของเกษตรกร สำหรับเนื้อที่ที่จะต้องหักไปใช้ทำคูส่งน้ำหรือท่อส่งน้ำ คูระบายน้ำ และทางลำเลียงในไร่นา อันเป็นสาธารณประโยชน์โดยประมาน 1-3 % ของพื้นที่ทั้งหมด ซึ่งจะสามารถกระจายน้ำได้ทั่วพื้นที่ 40-80% แต่ประสิทธิภาพการชลประทานยังคงอยู่ในระดับต่ำ 55-60% เพราะต้องส่งน้ำผ่านแปลงหนึ่งต่อไปยังแปลงถัดไป

ส่วนแบบที่ 2 งานจัดรูปที่ดินกึ่งสมบูรณ์แบบ (Extensive) เป็นการจัดรูปที่ดินแบบบางส่วน โดยจัดทำคูส่งน้ำ คูระบายน้ำ และทางลำเลียงในไร่นา ลัดเลาะแนวเขตแปลงไปถึงทุกแปลงหรือเกือบทุกแปลง ทำให้ทุกแปลงได้รับน้ำและระบายน้ำได้โดยตรง พื้นที่ที่หักเพื่อใช้ทำคูส่งน้ำ คูระบายน้ำ และทางลำเลียงในไร่นาอันเป็นสาธารณประโยชน์โดยประมาน 4% ของพื้นที่ทั้งหมด  สามารถกระจายน้ำได้ทั่วพื้นที่ 90-95% ทำให้ประสิทธิภาพการชลประทานเพิ่มขึ้นเป็น 70% และมีการออกโฉนดใหม่โดยตัดเนื้อที่ทำคูส่งน้ำ คูระบายน้ำ และทางลำเลียงออก

ส่วนแบบสุดท้าย เป็นงานจัดรูปที่ดินสมบูรณ์แบบ (Intensive) ซึ่งรูปแปลงจะถูกจัดระเบียบใหม่ให้การกระจายน้ำเข้าแปลง การระบายน้ำโดยตรง และเส้นทางลำเลียง ที่มีการปรับระดับพื้นที่ตามความเหมาะสม โดยใช้เนื้อที่ที่หักไปทำคูส่งน้ำ คูระบาย และทางลำเลียงในไร่นาอันเป็นสาธารณประโยชน์ประมาน 5% แต่ไม่เกิน 7% และจะสามารถกระจายน้ำได้ทั่วพื้นที่ 100% มีประสิทธิภาพการชลประทานสูงขึ้นประมาณ 75% ซึ่งหากพื้นที่สำหรับทำการเกษตรนั้นได้รับการจัดระบบน้ำ และจัดรูปที่ดินให้เหมาะสมกับพื้นที่นั้นๆ จะสามารถช่วยเหลือและป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาภัยแล้งซ้ำซากที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปีได้อย่างแน่นอน.

 

ประมงเพาะพันธุ์สเตอร์เจียน ได้คาเวียร์ ‘ดอยดำ’ กิโลละห้าหมื่น

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 24 มิ.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/645361


นับตั้งแต่ปี 2548 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระราชทานเงินจำนวน 400,000 บาท ให้กรมประมงดำเนินการหาแนวทางพัฒนาการปลาสเตอร์เจียนบนพื้นที่สูง เพื่อส่งเสริมให้ประชาชน และชาวเขาเผ่าต่างๆ ได้มีอาชีพเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่เหมาะสมกับภูมิอากาศบนเขาที่หนาวเย็น

ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดเชียงใหม่ได้น้อมนำพระราชดำริด้วยการจัดซื้อไข่ปลาสเตอร์เจียนที่ผ่านการผสมพันธุ์ด้วยน้ำเชื้อ ทั้งจากสหพันธ์ สาธารณรัฐเยอรมนี และรัสเซีย มาทำการเพาะฟักที่หน่วยวิจัยประมงบนพื้นที่สูงดอยอินทนนท์ จนได้ลูกปลามาอนุบาล และทดลองเลี้ยงในพื้นที่โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ตามพระราชดำริดอยดำ อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่

วันเวลาที่ผ่านมา ไข่ปลาสเตอร์เจียนที่ซื้อมาได้เติบโตเป็นพ่อแม่พันธุ์ มีขนาดหนักกว่า 10 กก. อยู่ในช่วงวัยเจริญพันธุ์ พร้อมจะผสมพันธุ์ออกลูกออกหลาน ปีที่ผ่านมา ศูนย์วิจัยฯ ประสบความสำเร็จในการเพาะขยายพันธุ์ ด้วยวิธีฉีดฮอร์โมนผสมเทียมได้เป็นครั้งแรกได้ลูกปลาจำนวน 4,260 ตัว

ไม่เพียงได้ไข่มาฟูมฟักให้เป็นลูกปลาสเตอร์เจียนรุ่นใหม่เท่านั้นยังได้ไข่ปลาสเตอร์เจียนมาผ่านขบวนการหมักกับเกลือ เพื่อมาทำเป็นไข่ปลาคาเวียร์ อาหารหรูเฟ่ยอดนิยมของบรรดาผู้มีอันจะกินอีกด้วย

ใส่กระปุกขนาด 100 กรัม ส่งจำหน่ายผ่านทางร้านค้ามูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในราคากระปุกละ 5,000 บาท

คาเวียร์ดอยดำ ราคากิโลกรัมละ 50,000 บาท!!!

“การเลี้ยงปลาสเตอร์เจียนต้องใช้เวลานาน 8-10 ปี ถึงจะสามารถผลิตไข่ได้ แต่หลังจากผสมพันธุ์แล้วกว่าจะได้ไข่ปลามาทำไข่คาเวียร์ที่เป็นสีดำ และมีรสชาติเป็นที่ต้องการของตลาดไฮโซต้องใช้เวลาประมาณ 2 ปี และปลาแต่ละตัวจะให้ไข่ได้มากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับขนาดของตัวปลา แต่ส่วนใหญ่แล้วจะให้ไข่ประมาณ 10% ของน้ำหนักตัว ถ้าปลาหนัก 10 กก. จะได้ไข่ประมาณ 1 กก.”

นายวิศณุพร รัตนตรัยวงศ์ ผอ.ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดเชียงใหม่ กองวิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด บอกว่า ความสำเร็จที่เกิดขึ้น ทำให้มั่นใจได้ว่าในอนาคตจะสามารถถ่ายทอดเทคโนโลยีการเลี้ยงปลาชนิดนี้ไปสู่เกษตรกรได้ แต่ในขั้นนี้ยังไม่สามารถ จะส่งเสริมให้เลี้ยงในประเทศได้ เนื่อง จากมีข้อจำกัด ต้องเลี้ยงในพื้นที่สูง น้ำที่ใช้เลี้ยงต้องเย็น มีอุณหภูมิไม่เกิน 20 ํ C และต้องลงทุนสูง

แต่กระนั้นความสำเร็จที่กรมประมงทำมานั้น เป็นสิ่งยืนยันได้ว่า การเลี้ยงปลาสเตอร์เจียนทำเป็นไข่คาเวียร์ คนไทยทำได้ และสามารถพัฒนาเป็นสัตว์เศรษฐกิจสร้างรายได้ให้กับประเทศได้.

ไชยรัตน์ ส้มฉุน

 

ชาวกระบี่ตั้งศูนย์เกษตร ปลูกผักตัดยอดขาย รายได้กว่าวันละ 300 บาท

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 24 มิ.ย. 2559 00:35

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/645729


ชาวบ้าน อ.เขาพนม จ.กระบี่ ตั้งศูนย์เรียนรู้เทพพนมฟาร์ม แบ่งที่ให้ชาวบ้านปลูกผักตัดยอดเช่น จิก ชะอม สร้างรายได้ให้กับครอบครัวไม่ต่ำกว่า 300 บาทต่อวัน ขณะที่เจ้าหน้าที่รัฐสานต่อโครงการเพื่อลดการนำเข้าผักจากต่างถิ่น

เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. 59 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวบ้านในพื้นที่หมู่ 5 บ้านคอกวัว ต.เขาพนม อ.เขาพนม จ.กระบี่ จำนวนกว่า 50 ครอบครัว ได้รวมกลุ่มกันเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่สาธารณะ เนื้อที่กว่า 500 ไร่ ที่อำเภอเขาพนมได้จัดให้เป็นศูนย์เรียนรู้เทพพนมฟาร์ม โดยทางชาวบ้านจัดแบ่งพื้นที่ให้รายละ 1 ไร่ และจัดทำพื้นที่ส่วนกลาง เพื่อสร้างป่าชุมชน ในจำนวนนี้ ได้มีการปลูกผักตัดยอด เช่น มะม่วงหิมพานต์ จิก ชะอม ส้มป่อย และมันปู ซึ่งหลังจากปลูกมา 1 ปี ขณะนี้เริ่มให้ผลผลิต สามารถตัดยอดส่งขายในท้องตลาด ทั้งอำเภอเขาพนม เหนือคลอง และเมืองกระบี่ สร้างรายได้ให้กับชาวบ้านรายละไม่ต่ำกว่า 300 บาทต่อวัน

ปลูกผักตัดยอดขาเช่น ชะอม ส้มป่อย ขายสร้างรายได้วันละ 200-300 บาท

นายอนุรักษ์ สุดสาย ปลัดอาวุโส อำเภอเขาพนม กล่าวว่า ชาวบ้านที่เข้ามาใช้พื้นที่ปลูกผัก และช่วยสร้างป่าชุมชนในศูนย์เรียนรู้โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เทพพนมฟาร์ม ได้รวมกลุ่มกันปลูก ขณะนี้ได้ปลูกผักตัดยอด ซึ่งมีหลากหลายชนิด โดยจะตัดมารวมกัน แล้วมีพ่อค้าแม่ค้ามารับซื้อเพื่อนำไปจำหน่ายต่อในท้องตลาด ซึ่งสามารถผลิตได้เป็นอันดับ 1 ในจังหวัดกระบี่ แต่ละวันจะมีผักแต่ละชนิดไม่ต่ำกว่า 30-50 กิโลกรัม ซึ่งเป็นผักปลอดสารพิษ ใช้แนวทางเกษตรอินทรีย์ ทำให้ผู้บริโภคเชื่อมั่นว่ามีความปลอดภัย เป็นที่ต้องการของตลาด แต่ก็ยังไม่เพียงพอ

นอกจากนี้ชาวบ้านยังได้ปลูกผักตัดยอดไว้ที่บ้านก็นำมารวมกลุ่มกับของศูนย์เรียนรู้เพื่อนำไปจำหน่ายยังตลาด ถือว่าสร้างรายได้เป็นรายได้เสริมที่มั่นคงอีกทางหนึ่ง โดยชาวบ้านแต่ละรายจะมีผักไม่เท่ากันแล้วแต่การปลูก ซึ่งบางรายสามารถตัดยอดผักได้วันละ 10 กิโลกรัม ทุกประเภทจำหน่ายในราคากิโลกรัมละ 40 บาท มีรายได้ไม่ต่ำกว่า 300-400 บาททุกวัน

ทั้งนี้ในอนาคต ทางอำเภอต้องการให้ชาวบ้านที่มีความประสงค์ จะเข้าร่วมโครงการ ก็สามารถปลูกได้ที่บ้านแล้วนำมารวมกลุ่ม เพื่อลดการนำเข้าผักจากต่างจังหวัดที่ยังมีจำนวนมาก และจังหวัดกระบี่ เป็นจังหวัดท่องเที่ยว ที่มีผู้มาเยือนปีละนับล้านคน การบริโภคผักจึงมีสูงตามไปด้วย

 

ลาดกระบังวิจัยแหนมปลอดภัย ลดพยาธิไร้ท้องร่วงเพิ่มภูมิคุ้มกัน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 23 มิ.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/644454


จากปัญหาอาหารหมักของไทย เช่น แหนม ไส้กรอกอีสาน หม่ำ ขนมจีน เมื่อรับประทานเข้าไปอาจมีความเสี่ยงต่อโรคต่างๆมากมาย เพราะในอาหารเหล่านี้ปะปนไปด้วยเชื้อโรคต่างๆ อาทิ เชื้อ Listeria monocytogenes ที่ทำให้เกิดโรคไข้สมองอักเสบ หรือการแท้งลูกในสตรีมีครรภ์ เชื้อ Staphylococcus aureus ทำให้คนเกิดโรคอาหารเป็นพิษ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง อาการผื่นขึ้นผิวหนัง และเชื้อซัลโมเนลลาที่ทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษ ทำให้อุจจาระร่วง ท้องเสีย

รศ.ดร.อดิศร เสวตวิวัฒน์ คณะ อุตสาหกรรมเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) เผยว่า เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ทีมวิจัยของ สจล. จึงได้ศึกษาทดลองหาวิธีกำจัดเชื้อที่ก่อให้เกิดปัญหาในอาหารหมัก พบว่า ในอาหารหมักไม่เพียงจะมีเชื้อที่ก่อให้เกิดโรคเท่านั้น ยังมีเชื้ออีกกลุ่มหนึ่ง เป็นเชื้อที่ดี มีประโยชน์ และยังช่วยกำจัดเชื้อไม่ดีได้ด้วย และเพราะมีเชื้อตัวนี้จึงเป็นเหตุให้ผู้บริโภคป่วยด้วยเชื้อไม่ดีไม่มาก

“เชื้อดีที่ว่านั่นคือ แบคทีเรียแลคติก เป็นเชื้อมีฤทธิ์เป็นกรด ทำให้อาหารหมักมีรสเปรี้ยวนั่นเอง แต่เป็นที่น่าเสียดาย การหมักแบบธรรมชาตินั้นก่อให้เกิดเชื้อตัวนี้ไม่มาก ทางทีมวิจัยจึงต้องมาศึกษาหาวิธีเพิ่มปริมาณแบคทีเรียแลคติก โดยขยายเชื้อแล้วนำไปเติมในอาหารหมัก และทดลองใช้กับการผลิตแหนม ปรากฏว่า นอกจากจะช่วยให้แหนมมีรสเปรี้ยวเร็วกว่าเดิมจาก 3-4 วัน เป็นไม่เกิน 2 วันแล้ว ยังกำจัดเชื้อก่อโรคได้ 100% และรสเปรี้ยวที่เกิดขึ้นเร็ว ยังมีส่วนลดจำนวนพยาธิตัวจี๊ด ตืดหมู หรือตืดวัว ที่ติดมากับเนื้อได้ด้วย”

รศ.ดร.อดิศร บอกอีกว่า ที่สำคัญการเพิ่มปริมาณแบคทีเรียแลคติก 1 ซีซี ต่อแหนม 1 กก. ยังทำให้แหนมเกิดแบคทีเรียโพรไบโอติกที่ก่อให้เกิดประโยชน์กับลำไส้มนุษย์และช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันได้ด้วย แม้จะบริโภคแหนมดิบ โดยไม่ต้องผ่านความร้อนก็ตามและจากผลงานดังกล่าว มีโรงงานผลิตแหนม บ.สุทธิลักษณ์ อินโนฟู้ด จำกัด ผู้ผลิตแหนมดอนเมือง ให้ความสนใจนำไปผลิตเป็นสินค้า ถือเป็นแหนมเจ้าแรกของประเทศ ที่ปลอดภัยจากโรคทางเดินอาหารอย่างแท้จริง และ สจล. ได้เตรียมขยายผลวิจัยต่อยอดไปยังพืชผักผลไม้อย่างอื่น เพื่อเพิ่มช่องทางให้อาหารหมักของไทยกลายเป็นสินค้านำเข้าที่ต่างประเทศมั่นใจในความปลอดภัย.

 

ชาวเพชรบูรณ์ ทิ้งหอมแดง มาปลูกดอกดาวเรือง รายได้ 6 แสนบาทต่อเดือน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 22 มิ.ย. 2559 22:05

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/644532


เกษตรกรชาวเพชรบูรณ์ หันมาปลูกดอกดาวเรืองส่งขายแทนหอมแดง รับรายได้ประมาณ 600,000 บาทต่อเดือน ล่าสุด เตรียมเคลียร์พื้นที่ปลูกเพิ่มอีก รับหน้าท่องเที่ยวช่วงฤดูหนาว

ดอกดาวเรืองสามารถสร้างรายได้เดือนละ 6 แสนบาท

เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 59 นางชฎาภรณ์ ตรีพิทักษ์ อายุ 36 ปี เกษตรกรในพื้นที่หมู่ 8 ต.บ้านโภชน์ อ.หนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์ เปิดเผยว่า เมื่อก่อนตนปลูกหอมแดงเป็นหลัก แต่ต่อมาประสบกับปัญหาขาดทุนมาโดยตลอด จึงมองหาพืชที่สามารถทำรายได้ให้ตลอดทั้งปี ประกอบกับตนชอบปลูกดอกไม้อยู่แล้วจึงคิดว่าการปลูกดอกดาวเรืองขายน่าจะเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่ง จึงได้ทำการศึกษาและสอบถามจากผู้รู้ รวมถึงช่องทางการตลาด รวมทั้งเดินทางไปดูงานพื้นที่ที่มีการปลูกตามจังหวัดต่างๆ

ทั้งนี้ ในพื้นที่ของตนสามารถปลูกหอมแดงได้ 400 กิโลกรัมต่อที่ดิน 1 ไร่ ซึ่งได้ปลูกหอมแดงทั้งหมด 20 ไร่ หรือประมาณ 8,000 กิโลกรัม ส่งขายกิโลกรัมละ 40-50 บาท รายได้รวมจะอยู่ที่ 400,000 บาท ซึ่งใน 1 ปีจะสามารถปลูกหอมแดงได้ 1–2 ครั้ง สำหรับการปลูกดอกดาวเรืองจำนวน 20 ไร่ จะส่งขายได้ครั้งละ 20,000 บาท โดยจะเก็บทุกๆ 3 วัน ซึ่งต้นดาวเรืองจะเก็บดอกได้นานประมาณ 2–3 เดือน ทั้งนี้ ทำรายได้จากการขายดาวเรืองได้เดือนละ 600,000 บาท ซึ่งดาวเรืองจะปลูกได้ดีทั้งในฤดูฝนและฤดูหนาว

นางชฎาภรณ์ กล่าวว่า ตนเริ่มปลูกดาวเรืองเพียงแค่ 1 ไร่ เนื่องจากยังไม่มั่นใจ โดยที่ผ่านมาเคยได้ยินปัญหาเกี่ยวกับการปลูกดาวเรืองอยู่บ้าง แต่เมื่อมาปลูกเองก็ไม่พบปัญหาเหล่านั้น เพียงแต่ต้องหมั่นดูแลอย่างต่อเนื่อง จากนั้นจึงได้ขยายพื้นที่ปลูกเป็น 5 ไร่ 10 ไร่ และ 20 ไร่ ตามลำดับ และกำลังจะขยายพื้นที่ปลูกต่อไปอีกในรุ่นต่อไป

สำหรับรุ่นที่กำลังปลูกนี้เริ่มกำลังออกดอก เก็บไปแล้ว 2 ครั้งโดย 3 วันเก็บครั้ง และหากดูแลดีๆ ก็จะสามารถเก็บได้ไปอีกประมาณ 2 เดือน ซึ่งช่วงนี้อยู่ในช่วงเทศกาลเข้าพรรษาพอดี ราคาจะดีมากเพราะเป็นที่ต้องการของตลาด และนำไปส่งที่ตลาดสี่มุมเมือง ซึ่งก็จะมีลูกค้าประจำอยู่แล้ว จึงทำให้ไม่ต้องห่วงในเรื่องการตลาด

นางชฎาภรณ์ กล่าวต่อว่า หากหมดรุ่นนี้ก็จะหยุดพักดินไว้โดยการปลูกปอเทือง และไถกลบเพื่อให้เป็นปุ๋ย และจะลงมือปลูกต้นดาวเรืองอีกครั้งในช่วงฤดูหนาว เนื่องจากในช่วงฤดูหนาวจะดูแลค่อนข้างง่าย และมีระยะเวลาในการเก็บดอกยาวนานกว่าหน้าฝน อีกทั้ง จะมีการขยายพื้นที่ออกไปอีก ทำให้พื้นที่บริเวณนี้เหลืองสะพรั่งต้อนรับเทศกาลท่องเที่ยวของจังหวัดเพชรบูรณ์ โดยในปีที่ผ่านมาได้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวชมจำนวนมาก

 

ต้นแบบเกษตรกรรุ่นใหม่ 1 ไร่..สร้างกำไรกว่าที่คิด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 22 มิ.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/643337


ด้วยแรงบันดาลใจของผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ต้องการสื่อให้คนทั่วไปเห็นว่า “คนรุ่นใหม่ก็มีหัวใจรักษ์เกษตร” อาชีพเกษตรกรรมไม่ใช่ อาชีพต่ำต้อย พื้นที่เล็กๆ ถ้ามีปัญญาจะสามารถสร้างรายได้เลี้ยงครอบครัวอย่างยั่งยืนได้…เลยแปลงที่ดิน 1 ไร่ มาพัฒนาการทำเกษตรแบบผสมผสาน ไว้เป็นต้นแบบแปลงสาธิต รองรับเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่จะกลับมาทำเกษตรในบ้านเกิด

“เมื่อก่อนทำพืชเชิงเดี่ยว ปลูกมะละกอ 15 ไร่ แต่ขาดทุนจากไวรัสในปี 57 เลยยกพื้นที่ให้ญาติๆ ปลูกข้าวและแตงไทย เข็ดขยาดกับพืชเชิงเดี่ยว หันมาทำเกษตรผสมผสานบนที่ดิน 1 ไร่ เพราะต้องการแสดงให้คนอื่น โดยเฉพาะคนจนเห็นว่า คนรุ่นใหม่ไม่ใช่มีแต่กินเที่ยวไปวันๆ แต่สามารถสร้างรายได้อย่างยั่งยืนในพื้นที่แค่ 1 ไร่ จากการทำเกษตรโดยใช้พื้นที่ทุกตารางนิ้วให้เกิดประโยชน์สูงสุด”

ฤทัยรัตน์ สุวรรณเจริญ พนักงานราชการ กรมวิชาการเกษตร ผู้ใช้เวลาว่างพัฒนาพื้นที่ 1 ไร่ ใน ต.วังธง อ.เมืองแพร่ ให้กลายเป็นแหล่งทำกินอย่างยั่งยืน…ก่อนอื่นต้องมีหัวใจรักษ์เกษตร พัฒนาพื้นที่อย่างค่อยเป็นค่อยไป เริ่มจากเขียนผังว่าจะทำอะไร วางแผนการตลาด ทำสิ่งแปลกใหม่ที่ผู้บริโภคต้องการ ที่สำคัญงานที่ทำต้องเหมาะกับตัวเอง ไม่ทำอะไรเกินตัว

ส่วนจุดเริ่มต้นอย่างเป็นรูปธรรม ฤทัยรัตน์ เล่าว่า เริ่มจากสร้างโรงเรือนอย่างง่าย ขนาด 4.5×16 ม. เพื่อปลูกสตรอเบอรี่ 1,000 ต้น ขุดสระน้ำ 1 งาน เป็นทั้งที่เก็บน้ำ เลี้ยงปลานิล ปลาบ้า ปลายี่สก ประมาณ 15,000 ตัว ให้แกลบ ผักบุ้งที่ปลูกในบ่อเศษ แตงไทยที่แตกเป็นอาหาร ริมบ่อและพื้นที่ว่างปลูกผักสวนครัว

นอกจากนั้น ยังมีโรงเรือนปลูกมะเดื่อฝรั่งขนาด 8×16 ม. เพื่อตอนกิ่งพันธุ์ไว้ขาย เพาะพันธุ์มะละกอตามออเดอร์ที่ได้ พื้นที่ว่าง 4.5×6 ม. เพาะไส้เดือนขาย และนำมูลมาทำปุ๋ย โรงเรือนทำผักไฮโดรโปนิกแบบประหยัดต้นทุนขนาด 4.5×19 ม. ส่วนพื้นที่ว่างริมบ้าน เลี้ยงกุ้งก้ามแดงในกะละมัง บ่อผ้าใบ ขนาด 8×9 ม. ทดลองเลี้ยงกุ้งขาว และเตรียมทำโรงเรือนเลี้ยงไก่ไข่

“พื้นที่แค่ 1 ไร่ ต้องเซตให้ลงตัวที่สุด คุ้มที่สุด ทำอะไรง่ายๆ ้านๆ ใช้วัตถุดิบในพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ใช้ขี้วัวทำปุ๋ยคอก เศษใบไม้ทำปุ๋ยหมัก ใช้มูลไส้เดือนบำรุงพืชผัก ใช้สารเคมีเท่าที่จำเป็น ทุกอย่างต้องลงมือทำเองเพื่อประหยัดต้นทุนและเปลี่ยนพฤติกรรมกินอยู่ให้ง่าย อยู่กับธรรมชาติให้มากที่สุด ทำความเหน็ดเหนื่อยให้เป็นความสนุก อดทน และศรัทธาในแนวทางพอเพียง”

คนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยอยากกลับบ้านเกิด กลับไปหาครอบครัว แต่ก็ไม่รู้จะทำอะไร แถมกลัวความล้มเหลวจากการเกษตร ฉะนั้นแปลงต้นแบบของ ฤทัยรัตน์ น่าจะเป็นโมเดลให้กับคนกลุ่มนี้ได้เป็นอย่างดี…เพราะที่ทำมาแล้ว ใช้พื้นที่ยังไม่เต็ม 1 ไร่ แค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น แต่ทำรายได้ให้ปีละกว่าแสนบาทแล้ว.

กรวัฒน์ วีนิล

 

ยุบสหกรณ์เน่า 787 แห่ง มูลหนี้เสียหาย 3,824 ล้าน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 21 มิ.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/642417


ดร.วิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เผยถึงผลการเฝ้าติดตามการดำเนินงานสหกรณ์ประเภทต่างๆ พบว่า มีสหกรณ์ที่มีข้อบกพร่องทางการเงิน 318 แห่ง กับสหกรณ์ที่ไม่ผ่านเกณฑ์การมีส่วนร่วม ขาดเสถียรภาพทางการเงิน มีการปล่อยเงินกู้มากกว่าเงินทุนที่มีอยู่ และการขาดการควบคุมภายในอีก 469 แห่ง ทั้งหมดนี้ไม่นับรวมสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน หากปี 2560 สหกรณ์ทั้ง 787 แห่ง ยังไม่สามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้ ต้องถูกยุบอย่างแน่นอน ซึ่งมีมูลค่าหนี้โดยรวมประมาณ 3,824 ล้านบาท

อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์กล่าวอีกว่าหลัง จากยุบสหกรณ์ทั้งหมดแล้ว จะต้องมีการพิจารณาว่าสหกรณ์ใดสามารถควบรวมได้ ทางกรมฯจะให้สมาชิกรวมตัวขึ้นมาใหม่ อย่างกลุ่มไหนเคยเป็นสหกรณ์ร้านค้า แต่มีความถนัดเรื่องการเกษตรมากกว่า จะให้คนกลุ่มนี้รวมตัวจัดตั้งขึ้นเป็นสหกรณ์การเกษตร เพื่อให้ตรงกับความ ต้องการและความถนัดของสมาชิก และการจัดตั้งกลุ่มขึ้นในขั้นแรกจะพิจารณาว่าควรตั้งเป็นกลุ่มเกษตร หรือจัดตั้งเป็นสหกรณ์การเกษตรโดยจะพิจารณาจากความพร้อมของสมาชิก

“เราไม่กลัวว่าสมาชิกกลุ่มนี้จะกลับมาสร้างปัญหาอีก เพราะกรมส่งเสริมสหกรณ์จะเฝ้าติดตามเป็นพี่เลี้ยง ให้ความรู้ คำแนะนำ และเข้าไปวางระบบสหกรณ์ให้ชัดเจน พร้อมทั้งฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ โดยสหกรณ์การเกษตรยังเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างรายได้ ดังนั้นในปี 2559-2560 ทางกรมฯ จะมุ่งสร้างสหกรณ์การเกษตรระดับอำเภอ ให้มีความเข้มแข็ง และยกระดับให้เป็นสหกรณ์ตัวอย่างอำเภอละ 1 แห่ง เหตุผลที่มุ่งไปสหกรณ์การเกษตร เพราะสมาชิกเป็นเกษตรกร ได้เรียนรู้แล้วว่า การรวมกลุ่มซื้อจัดหาปัจจัย ขาย ผลผลิตผ่านสหกรณ์ สามารถสร้างความเชื่อมั่น ให้ผู้ซื้อได้ดีกว่า การให้เกษตรกร แต่ละคนวิ่งหาตลาดกันเอง นอกจากจะไม่ถูกกดราคาขาย ฐานการตลาดยังมีความมั่นคงในระยะยาว”

ดร.วิณะโรจน์ เผยการตรวจสอบข้อมูลล่าสุดพบว่า ขณะนี้เรามีสหกรณ์การเกษตรระดับอำเภอเข้มแข็ง 666 แห่ง ส่วนสหกรณ์ที่เหลือ อีก 211 แห่ง กรมฯจะเข้าไปดูแลให้คำแนะนำเพื่อยกระดับให้เป็นสหกรณ์เข้มแข็งให้เสร็จภายในปี 2560.

 

กรมวิชาการเกษตร เปิดตัว 15 ผลงานวิจัยดีเด่นแห่งปี 2559

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 20 มิ.ย. 2559 23:09

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/642757


กรมวิชาการเกษตร จัดการประชุมวิชาการประจำปี ภายใต้แนวคิด “สานพลังประชารัฐ พัฒนาเกษตรไทย” เปิดตัว 15 ผลงานวิจัยดีเด่น แห่งปี 2559

วันที่ 20 มิถุนายน 2559 ที่โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ ซิตี้ จอมเทียน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี กรมวิชาการเกษตร จัดให้มีการประชุมวิชาการประจำปี เพื่อให้ผู้เข้าร่วมประชุม ซึ่งประกอบด้วย ผู้บริหาร ผู้เชี่ยวชาญ และนักวิจัยของกรมวิชาการเกษตร ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคจำนวนประมาณ 1,000 คน ได้รับทราบความก้าวหน้าเกี่ยวกับผลงานวิจัยเด่นของหน่วยงานภายใต้สังกัดกรมวิชาการเกษตร เพื่อให้นักวิจัยได้นำไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานภายในหน่วยงานต่อไป รวมทั้งเปิดโอกาสให้นักวิจัยได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ เพื่อเป็นการเพิ่มเครือข่ายในการทำงานวิจัยแบบบูรณาการ ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนางานวิจัยด้านการเกษตรต่อไปในอนาคต

นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า กรมวิชาการเกษตร เป็นหน่วยงานเดียวในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มีภารกิจเกี่ยวกับการศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านพืช และเครื่องจักรกลการเกษตร โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ได้พันธุ์พืชที่ให้ผลผลิตสูง คุณภาพดี ตรงตามความต้องการของตลาด ที่สำคัญช่วยลดต้นทุนการผลิตให้เกษตรกร รวมทั้งกระบวนการผลิตพืชดังกล่าว ต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วย ซึ่งที่ผ่านมา กรมวิชาการเกษตร มีผลงานวิจัยจำนวนมาก ที่ได้ถ่ายทอดไปสู่เกษตรกร และกลุ่มเป้าหมายได้นำไปใช้ประโยชน์อย่างต่อเนื่อง

นายสมชาย ชาญณรงค์กุล ยังกล่าวต่ออีกว่า สำหรับในปี 2559 นี้ กรมวิชาการเกษตรกำหนดจัดการประชุมวิชาการประจำปีภายใต้แนวคิด “สานพลังประชารัฐ พัฒนาเกษตรไทย” ซึ่งภายในการประชุมวิชาการทุกปี จะมีการมอบรางวัลให้แก่ผลงานวิจัยที่ได้รับคัดเลือกให้ได้รับรางวัลผลงานวิจัยดีเด่น โดยในปี 2559 นี้ โดย พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะเป็นผู้มอบรางวัลให้แก่นักวิจัยเจ้าของผลงานวิจัยดีเด่น รวมทั้งสิ้น 15 เรื่องด้วยกัน

 

รมว.เกษตรฯ ปลื้ม! คณะทูตานุทูตตอบรับดี หลังพาดูงานเกษตรไทย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 20 มิ.ย. 2559 18:15

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/642601


รมว.เกษตรและสหกรณ์ เผย ได้เสียงตอบรับดีจากคณะทูตานุทูตกว่า 30 ประเทศ หลัง พาชิมถึงสวน ศึกษาดูงานคุณภาพ มาตรฐาน ความปลอดภัยของสินค้าเกษตรและอาหารของไทย สังเกตใกล้ชิดไลน์การผลิต …

วันที่ 20 มิ.ย.59 พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ เผยภายหลังการเชิญคณะทูตานุทูตกว่า 30 ประเทศ ศึกษาดูงานคุณภาพ มาตรฐาน และความปลอดภัยของสินค้าเกษตรและอาหารของไทย ด้านพืช ประมง ปศุสัตว์ ว่า การเชิญคณะทูตานุทูตในครั้งนี้ นอกจากสร้างความเชื่อมั่นให้กับนานาประเทศแล้ว ยังเป็นการสร้างโอกาสให้ไทยเราสามารถขยายการค้า การส่งออกผลไม้ชนิดอื่นๆ ได้มากขึ้น ทั้งในประเทศที่ส่งออกแล้ว กับประเทศที่อยู่ในระหว่างการเจรจา ถึงระบบการผลิต การจัดการ ดูแล ตั้งแต่ต้นน้ำทั้งระบบการจัดการสวนผลไม้คุณภาพ มีการกำกับดูแลตามมาตรฐาน GMP รวมทั้งสินค้าปศุสัตว์แปรรูปไก่ปรุงสุก และอาหารทะเลสินค้าประมงต่าง ๆ ที่มีระบบการผลิต GAP ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับสากลที่ทั่วโลกให้การยอมรับ

คณะทูตานุทูตกว่า 30 ประเทศ ศึกษาดูงานคุณภาพ มาตรฐาน และความปลอดภัยของสินค้าเกษตรและอาหารของไทย

“การไปพาคณะทูตานุทูต ไปชิมผลไม้ถึงสวน และสังเกตดูไลน์การผลิตสินค้าแปรรูปในครั้งนี้ ประกอบไปด้วย เอกอัครราชทูต อุปทูต 14 คน และผู้แทนสถานเอกอัครราชทูต (อัครราชทูตที่ปรึกษา/ เลขานุการเอก) 18 คน รวม 32 คน จาก 27 ประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา อินโดนีเซีย เวียดนาม เป็นต้น ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศนำเข้ารายใหญ่ ขณะที่กลุ่มประเทศตลาดใหม่ ได้แก่ รัสเซีย บราซิล กลุ่มประเทศแอฟริกา กลุ่มประเทศอเมริกาใต้ กลุ่มประเทศเอเชียใต้ ซึ่งกระทรวงฯในฐานะดูแลด้านการเกษตรของประเทศโดยตรง หวังว่าจะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ช่วยขยายตลาดส่งออกของสินค้าเกษตรไทยในอนาคต เพราะทุกวันนี้โลกโซเชียลมีอิทธิพลและเคลื่อนไหวเร็วมาก แค่เพียงคำพูดปากต่อปาก การแชร์ภาพส่งต่อ ถือว่าเป็นความสำเร็จในการรุกตลาดไปอีกขั้น”

ทั้งนี้ คณะทูตานุทูต ที่ร่วมเดินทางในครั้ง ต่างเอ่ยปากเป็นเสียงเดียวกันว่า รู้สึกยินดีและดีใจเป็นอย่างมากที่ได้มีโอกาสชิมผลไม้และอาหารแปรรูปถึงแหล่งผลิต และยอมรับว่าผลไม้และ อาหารแปรรูปของไทย ถือว่ามีคุณภาพไม่เป็นสองรองใคร

มร.เหวียน ตัด ถั่น (H.E. Mr. Nguyen Tat Thanh) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามประจำประเทศไทย หนึ่งในคณะทูตจากประเทศเวียดนาม เผยว่า ประเทศเวียดนามยังขาดประสบการณ์ด้านการแปรรูป โดยเฉพาะในเรื่องขั้นตอนมาตรการรับรองการส่งออก ที่ยังต้องเรียนรู้เรื่องดังกล่าวจากไทย และจากการสังเกตเฝ้าติดตามการเพาะปลูกข้าว วันนี้ยอมรับว่าข้าวไทยมีคุณภาพมาตรฐาน โดยที่เวียดนามยังต้องศึกษากระบวนการเพาะปลูกข้าวจากไทยอีกหลายๆ เพราะอาหารการกินไทย กับเวียดนามต้องยอมรับว่าวันนี้มีความคล้ายคลึงกัน

ขณะที่ มร.เรย์ แซนเทลล่า ผู้ช่วยที่ปรึกษาฝ่ายการเกษตร กระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา สถานทูตอเมริกา ประจำประเทศไทย บอกว่า รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับเชิญมาทริปนี้ การที่รัฐบาลไทยผลักดันคุณภาพกระบวนการผลิตสินค้าเกษตร และให้ความสำคัญในเรื่องความปลอดภัยอาหารนับเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะทุกวันนี้แม้เทคโนโลยีจะก้าวหน้าเพียงใด แต่ผู้ที่ตัดสินใจว่าใช่หรือไม่คือผู้บริโภค ซึ่งจะเป็นผู้ตัดสินใจเอง โดยเฉพาะสินค้าแปรรูปปศุสัตว์ วันนี้ยอมรับว่าไทยมีเทคโนโลยีแปรรูปที่ปลอดภัย มีความทันสมัยมากๆ ส่งผลให้สินค้าที่ออกสู่ตลาดได้มาตรฐาน นานาประเทศให้การยอมรับ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรัฐบาลมีการศึกษา รวบรวมข้อมูล และเน้นผู้บริโภคเป็นหลัก

ด้าน มร.คีริลล์ มีไฮโลวิช บาร์สกี (H.E. Mr. Kirill Mikhailovich Barsky) เอกอัครราชทูตสหพันธรัฐรัสเซียประจำประเทศไทย สถานทูตรัสเซีย บอกว่า การร่วมทริปครั้งนี้ ทำให้ได้มีโอกาสมาเห็นมาตรฐานสินค้าเกษตร โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตสินค้า และไม่ใช่ครั้งแรกที่เข้ามาเยี่ยมชมที่ผ่านมามีโอกาสไปดูโรงงานแปรรูปเนื้อไก่ที่นครราชสีมาทั้งของ ซีพี ดูและวิทยาศาสตร์ ของ บ.เบทาโกร ทำให้รู้สึกได้ว่าสินค้าไทยมีมาตรฐานการผลิต จึงไม่แปลกใจว่าวันนี้สินค้าเกษตรไทยจึงมีสถิติการส่งออกที่ค่อนข้างมาก ซึ่งวันนี้รัสเซียเป็นตลาดที่ค่อนข้างใหญ่มาก มีประชากรประมาณ 145 ล้านคน ถ้ารวมในเครือรัสเซียเก่า คาซัคสถาน จะมีประชากรประมาณ 185 ล้านคน

ดังนั้น ตลาดจึงกว้าง ประชากรมีความต้องการสินค้าอุปโภคแตกต่างกันไป โดยก่อนหน้านี้ ซีพี กรุ๊ป ได้เข้าไปทำธุรกิจกับรัสเซียมานานกว่า 10 ปี มีการเข้าไปทำฟาร์มไก่ ฟาร์มหมู โรงงานแปรรูปเนื้อสัตว์ที่รัสเซีย เพื่อผลิตสินค้าแปรรูปสำหรับส่งไปขายทั่วประเทศ และเมื่อเร็วๆ นี้ นายกรัฐมนตรีไทยได้เดินทางไปรัสเซีย เพื่อทำ MOU ร่วมกันมีมูลค่าโดยรวม 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อย่างไรก็ตามประเทศรัสเซียยินดีต้อนรับนักธุรกิจไทยที่ต้องการค้าขายกับรัสเซีย และยินดีต้อนรับนักลงทุนไทย ไม่ว่าจะเป็นบริษัทใดๆ ก็ตาม โดยสามารถขอคำแนะนำเรื่องการลงทุนกับทางสถานทูตรัสเซียประจำประเทศไทย