ประมงพัฒนาระบบ SCADA ควบคุมเลี้ยงปลาหนาแน่นสูง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 20 มิ.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/641893


เป็นความก้าวหน้าอีกขั้นของกรมประมง เมื่อสถาบันวิจัยการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง สงขลา ประสบความสำเร็จในการพัฒนาเทคโนโลยี SCADA SYSTEM มาใช้ในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำมีความหนาแน่นสูง ให้ผลผลิตมากและลดต้นทุน เพื่อให้การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของไทยอยู่ในลำดับต้นๆของโลก

“ความจริงแล้วระบบ SCADA ที่ย่อมาจาก Supervisory Control and Data Acquisition หรือการควบคุมกำกับดูแลและเก็บข้อมูลด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นเทคโนโลยีที่มีการใช้อยู่แล้วในอุตสาหกรรมการผลิตสมัยใหม่ มีตัวเซ็นเซอร์มาคอยตรวจวัดความผิดปกติในระบบการผลิต และแจ้งผลไปยังเครื่องควบคุมที่รวมศูนย์อยู่ในจุดเดียว ช่วยลดต้นทุนเรื่องแรงงาน และลดความผิดพลาดในกระบวนการผลิตได้มาก เพราะมีโปรแกรมชุดคำสั่งต่างๆ มาช่วยตัดสินใจแก้ปัญหาได้รวดเร็ว”

นายยงยุทธ ปรีดาลัมพะบุตร ผอ.สถาบัน วิจัยการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง สงขลา บอกว่า จากเดิมทีโรงเรือนเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของสถาบันฯ จะมีตัวเซ็นเซอร์ตรวจจับ วัดค่าอุณหภูมิ ค่าความเป็นกรด-ด่าง และค่าปริมาณออกซิเจนของน้ำในบ่อเพาะเลี้ยงของแต่ละบ่อ แต่ละโรงเรือนอยู่แล้ว แต่การจะรู้ว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นตรงบ่อไหน โรงเรือนไหน ต้องให้คนเดินไปตรวจดูเป็นระยะๆ บ่อไหนน้ำเย็นเกินไปก็ต้องเปิดฮีตเตอร์ให้ทำงาน บ่อไหนน้ำเริ่มไม่ดี ออกซิเจนมีน้อยก็ต้องให้คนคอยไปเปิดเครื่องเติมอากาศ

หลังจากเริ่มนำระบบ SCADA มาพัฒนาใช้ในสถาบันฯ ตั้งแต่ปี 2555…ไม่จำเป็นต้องให้คนไปเดินตรวจอีกต่อไป เพราะทุกสิ่งทุกอย่างจะไปแสดงผลโชว์ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ในห้องควบคุม และโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เขียนคำสั่งไว้ จะช่วยแก้ปัญหาของแต่ละบ่อได้ทันทีแบบอัตโนมัติ

“ตอนนี้เราพัฒนาโปรแกรมไปได้หลายส่วนแล้ว การปรับอุณหภูมิน้ำ การเพิ่มปริมาณออกซิเจนให้เหมาะสมกับสัตว์น้ำโดยอัตโนมัติโดยไม่ต้องมีคนช่วยสำเร็จแล้ว ส่วนปัญหาเรื่องค่าพีเอช ความเป็นกรดด่างของน้ำ ยังต้องใช้คนช่วย เพราะขณะนี้ยังไม่มีเครื่องมือช่วยเติมปูนขาวอัตโนมัติ ยังเป็นเรื่องที่ต้องพัฒนาต่อไป”

ไม่เพียงเท่านั้น ทางสถาบันฯยังคิดจะพัฒนาเรื่องการให้อาหารสัตว์น้ำ ไม่ให้แบบตามเวลากำหนด แต่จะพัฒนาไปถึง ขั้นให้อาหารได้ตาม ปริมาณความต้องการของปลาด้วย เพื่อปลาจะได้เติบโตอย่างรวดเร็วมากขึ้น

แม้การพัฒนาระบบจะยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ แต่จากการนำมาทดลองเลี้ยงปลากะพงขาวแบบหนาแน่นสูงในถังขนาด 35 ลบ.ม. จำนวน 8 ถัง ถังละ 2,000 ตัว…ปลากะพงขาวมีอัตรารอดสูง 90%

ในขณะที่การเลี้ยงทั่วๆไปในกระชังขนาด 50 ลบ.ม. เลี้ยง 500 ตัว มีอัตรารอดแค่ 60-70%…สนใจศึกษาเรียนรู้เพื่อนำไปใช้งาน ติดต่อได้ที่ สถาบันวิจัยการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง สงขลา 0-7431-1895.

ชาติชาย ศิริพัฒน์

 

แช่เมล็ดพันธุ์ข้าวด้วยเชื้อราไตรโคเดอร์มา ก่อนหว่าน ช่วยลดโรคถอดฝักดาบ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 18 มิ.ย. 2559 00:20

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/641094


เกษตร จ.พะเยา แนะชาวนานำเมล็ดพันธุ์ที่เก็บไว้เองควรแช่เชื้อราไตรโคเดอร์มา ก่อนหว่าน ช่วยลดการเกิดโรคถอดฝักดาบ แต่หากเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ซื้อจากศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าว จะมีการคลุกสารเคมีป้องกันเชื้อรามาก่อน

นายอุดมศักดิ์ คำมูล เกษตรจังหวัดพะเยา กล่าวว่า ในช่วงนี้เริ่มเข้าสู่ฤดูกาลผลิตใหม่ เกษตรกรจะทำแปลงกล้า ซึ่งหลังจากที่เกษตรกรแช่เมล็ดพันธุ์ข้าวตามสูตรแล้วแต่พื้นที่ เช่น แช่เมล็ดพันธุ์ด้วยน้ำ 3 คืน บก 2 คืน หรือ น้ำ 2 บก 1 เป็นต้น จากนั้นให้ยกมาแช่ในน้ำเชื้อราไตรโคเดอร์มาครึ่งชั่วโมง ในอัตราเชื้อราไตรโคเดอร์มา 1 กิโลกรัมต่อน้ำ 100 ลิตร เป็นการฆ่าเชื้อราที่ติดมากับเมล็ดพันธุ์ ลดการเกิดโรคถอดฝักดาบ (หลาว)

อย่างไรก็ตาม หากเป็นเมล็ดพันธุ์ที่มาจากศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าว ที่มาจากกลุ่ม หรือบริษัทที่คลุกสารเคมีมาก่อน ไม่ควรแช่เชื้อราไตรโคเดอร์มา เพราะสารเคมีจะไปทำลายเชื้อราไตรโคเดอร์มา กรณีนี้แนะนำให้เกษตรกรหว่านกล้าไปก่อนจนกล้าสูง 10–15 เซนติเมตร แล้วค่อยใช้เชื้อราโตรโคเดอร์มาฉีดพ่น ในอัตรา 1 กิโลกรัมต่อน้ำ 100 ลิตร

นอกจากนั้น สามารถใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มาฉีดพ่นแปลงข้าวในทุกระยะของการเจริญเติบโต หากใช้ป้องกันอัตรา 1 กิโลกรัมต่อน้ำ 100–200 ลิตร แต่ถ้าใช้เป็นการกำจัดโรค แล้วแต่ความรุนแรงของการเกิดโรค อัตราการใช้อาจเป็น 1 กิโลกรัมต่อน้ำ 20–50 ลิตร อัตราการใช้ดังกล่าวเป็นเชื้อสด ถ้าเป็นเชื้อสำเร็จรูปให้ดูตามอัตราการใช้ข้างบรรจุภัณฑ์

นายอุดมศักดิ์ กล่าวเตือนว่า เชื้อราไตรโคเดอร์มาเป็นเชื้อราที่ไปฆ่า หรือทำลายเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคเท่านั้น ไม่สามารถฆ่าแมลง หรือเชื้อสาเหตุอื่นที่ทำให้เกิดโรคได้ หากเกษตรกรมีข้อสงสัยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ กลุ่มอารักขาพืช สำนักงานเกษตรจังหวัดพะเยา โทร. 054-887-050-1 หรือสำนักงานเกษตรอำเภอใกล้บ้านท่านทุกวันเวลาราชการ

 

เกษตรกร ส.ป.ก. ป้ายแดง ปลูกผักผสมกบดิ่งพสุธา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 17 มิ.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/639999


จบวิศวะทำงานบริษัทฝรั่ง ตำแหน่งงานดีเป็นหัวหน้ากินเงินเดือนกว่าครึ่งแสน แต่ชีวิตการเป็นลูกจ้าง ต่อให้ขยันแค่ไหน ไม่มีทางได้เป็นเจ้าของกิจการ…ทั้งๆที่ไม่มีความรู้การทำเกษตรสักนิดเดียว แต่นายภูดิศ หาญสวัสดิ์ ชาวตำบลบ้านหัน อ.โนนศิลา จ.ขอนแก่น ตัดสินใจลาออก นำเงินเก็บทั้งหมดเข้าสู่วิถีเกษตรมือใหม่ในพื้นที่ทำกิน 3 ไร่ ในเขต ส.ป.ก.ขอนแก่น ที่แม่ยายแบ่งให้ทดลองทำกิน

ระยะแรกหาความรู้จากโซเชียล แต่ไม่ค่อยเข้าใจ เลยเข้าไปขอความช่วยเหลือจาก ผอ.สัมฤทธิ์ ผาณิบุศย์ ปฏิรูปที่ดินขอนแก่น นอกจากให้คำแนะนำ ยังพาไปดูงานเกษตรกรรายที่ประสบความสำเร็จในพื้นที่

“จากพื้นที่โล่ง หลังวางผังระบบปรับพื้นที่ เอาปุ๋ยคอกมาใส่หน้าดินไถกลบ เตรียมแบ่งปลูกผักอายุสั้น พร้อมสำรวจตลาดนัดหมู่บ้าน เลือกปลูกผักที่คนในชุมชนนิยมกินมากที่สุด ด้วยเป็นเกษตรกรมือใหม่เลยจดบันทึกรายละเอียดการปลูกผักและการเลี้ยงสัตว์ทุกขั้นตอนไว้เป็นข้อมูลให้รู้สภาพอากาศแบบไหน ฤดูไหนมีปัญหาต่อสัตว์เลี้ยงและพืชผัก ฤดูใดทำได้ดี สินค้ามีราคา”

ผลจากการบันทึก ภูดิศ บอก ทำให้เขารู้ช่วงไหนควรปลูกพืชผักชนิดใด ถ้าเป็นเลี้ยงปลาดุกต้องได้ไซส์ 6-7 ตัว/กก. ตัวใหญ่เกินคนกินไม่ชอบ ต่างกับคนภาคกลางต้องขนาด 3 ตัว/กก. เลยจุดประกายให้เลี้ยงปลาดุก เพราะต้นทุนต่ำ ใช้เวลาเลี้ยงไม่นาน ได้เงินเร็ว ทำควบคู่กับเลี้ยงกบนา…ขายปลาหมด จับกบขายได้ต่อ

บ่อกบจะสร้างขนาด 3×2.5×1 เมตร นำพ่อแม่พันธุ์กบ 15 คู่ ปล่อยให้เข้าหากันช่วงยามเย็นตะวันโพล้เพล้ ช่วงค่ำปล่อยน้ำสปริงเกอร์ลงบ่อ เอาน้ำแข็งยูนิตใส่ 8 ถุง/บ่อ หลอกกบ หน้าฝนสภาพอากาศเย็น แค่คืนเดียวกบจะผสมพันธุ์ รุ่งเช้าจับพ่อพันธุ์แยก ปล่อยให้แม่พันธุ์วางไข่ ออกลูก แต่ปล่อยลูกกบมากเกินทำให้แน่นเลยสร้างบ่อขนาดเท่าเดิมอีก 4 บ่อ สำหรับแยกกบขนาดใกล้เคียงให้อยู่ด้วยกัน

“กบนา บางตัวนิสัยอันธพาลไล่กัดตัวอื่น ตัวไหนเป็นแผลจะกระโดดไปทั่วบ่อ นอกจากทำให้ตัวอื่นๆแตกตื่นยังเสี่ยงทำให้เกิดโรคระบาด การคัดออกเป็นวิธีดีสุด จะเอาไปทิ้งก็เสียดาย จะขายแค่ตัวสองตัวไม่มีใครซื้อ เลยควักไส้ทำกบตากแห้งหวังเก็บไว้กินเอง”

แต่นานวันเข้ากบตากแห้งเริ่มมาก จากมีไม่กี่ขีดไม่กี่ตัวเพิ่มเป็นกิโลฯ ทดลองขายในหมู่บ้าน ปรากฏว่าขายได้ราคาดี กก.ละ 1,000 บาท…เริ่มเห็นลู่ทางทำกินใหม่ กบสดขายได้แค่ 100 บาท แต่เอามาตากแห้ง ใช้กบแค่ 5 กก. แต่ขายได้หลักพัน ราคาดี กำไรเท่าตัว

เลยทำให้วันนี้ ภูดิศ เกษตรกรมือใหม่ มีรายได้จากขายกบตากแห้งส่งร้านอาหารทำเมนูดิ่งพสุธาเดือนละ 20,000 บาท และเก็บผักสวนครัวอีก 30,000 บาท สนใจเอาแบบอย่าง ติดต่อสอบถามได้ที่ 08-2704-5683.

เพ็ญพิชญา เตียว

 

ถุงฉนวนกันร้อนห่อชมพู่ เพิ่มกรอบ รสหวาน เร่งสี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 16 มิ.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/639284


แม้บ้านเราจะมีการใช้ถุงพลาสติกห่อชมพู่เพื่อป้องกันแมลงและช่วยให้ผิวผลสีเข้มมาช้านาน แต่ด้วยสภาพอากาศบ้านเราร้อนชื้น การห่อชมพู่มักมีปัญหาเกิดการเน่าใน เพราะถุงพลาสติกที่ใช้มีการคายน้ำไม่ดีพอ เพื่อพัฒนาชมพู่ให้มีคุณภาพ นายไตรเทพ เจริญพานิชสันติ นักศึกษาภาควิชาเทคโนโลยีการเกษตร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จึงคิดค้นพัฒนาถุงห่อผลไม้แบบ Active Bag เพื่อสร้างโอกาสและทางเลือกให้กับสินค้ารองรับตลาด premium โดยมี รศ.วรภัทร ลัคนทินวงศ์ ผอ.สถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นอาจารย์ ที่ปรึกษา

การคิดค้นเริ่มแรก นำถุงพลาสติกสีขาวขุ่น, เขียว, ดำและสีฟ้า มาทดลองห่อ ปรากฏว่ายังมีปัญหาเหมือนถุงพลาสติกที่เกษตรกรใช้ จึงเปลี่ยนมาใช้วัสดุกันร้อน เพราะกระบวน การสร้างสีผลไม้ต้องควบคุมอุณหภูมิกลางวัน และกลางคืนไม่ให้ต่างกันเกิน 10 ํ C ถึงจะช่วยให้สีผลเข้มขึ้น

โดยนำฉนวนกันความร้อนชนิดโฟมหนา 2 มิลลิเมตร มาตัดเย็บเป็นถุงขนาด 11×12 นิ้ว ด้านบน เย็บผ้าตีนตุ๊กแก เพื่อให้สามารถพับติดได้ง่าย (ต้นทุน 2-6 บาทต่อใบ) สามารถห่อชมพู่ 4 ลูกต่อช่อ ส่วนก้นถุงใช้เชือกด้ายดิบขนาดเส้น 2 มม. ร้อยไว้ด้านในปล่อยปลายเชือกออกมาด้านนอก ยาวด้านละ 5 นิ้ว ทำหน้าที่ดูดซับ ระบายน้ำออกจากถุง เพราะใช้วิธีเจาะรู หรือตัดก้นถุงระบายน้ำ จะทำให้เพลี้ย แมลงเข้าไปภายในได้

ผลการทดลองตั้งแต่กลางปี 2558 ในสวนชมพู่ที่ผ่านการรับรอง GAP เปรียบเทียบกับการห่อด้วยถุงพลาสติกที่เกษตรกรใช้ ปรากฏว่า ชมพู่ที่ห่อด้วยถุงฉนวนกันความร้อนมีผิวมันวาว สีแดงสดเข้มสม่ำเสมอ เมื่อนำไปวัดด้วยเครื่องวัดความแน่นเนื้อ พบว่าความกรอบอยู่ที่ 66.7 N/CMz วัดความหวานได้ 13 บริกซ์ ในขณะที่ชมพู่ห่อด้วยพลาสติก มีความแน่นเนื้อแค่เพียง 56.9 N/CMz ส่วนความหวาน 10.5 บริกซ์แค่นั้น

แม้การห่อด้วยถุงฉนวนต้นทุนจะสูงกว่าถุงพลาสติกทั่วไป แต่สามารถนำมาล้างผึ่งให้แห้ง หากดูแลดี สามารถนำกลับมาใช้ได้นานถึง 10 ปี และก่อนนำไปใช้ควรฉีดพ่นสารกันเชื้อรา ฉีดเคลือบด้านใน เป็นวิธีที่ช่วยให้เจ้าของสวนไม่ต้องฉีดพ่นยากันเชื้อรา เพลี้ยแป้ง แมลงหวี่และแมลงวันทอง.

 

โซนนิ่งเปลี่ยนข้าวปลูกเนเปียร์ กำไรเพิ่ม 3,500%

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 15 มิ.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/638578


แปลงนาเมื่อวันวาน – แปลงหญ้าเนเปียร์ในวันนี้

แม้โครงการโซนนิ่งให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนการปลูกพืชให้เหมาะสมกับพื้นที่ จะอยู่ในระยะตั้งไข่ แต่โครงการที่กรมพัฒนาที่ดินได้ทำนำร่องในพื้นที่ อ.สอยดาว จ.จันทบุรี มาตั้งแต่กลางปี 2558…แค่ปีเดียว เห็นผลทันตา เกษตรกรได้กำไรเพิ่มมากกว่าทำนา 35 เท่าตัว

“อำเภอสอยดาวมีพื้นที่เป็นนาข้าวประมาณ 2,400 ไร่ จากการสำรวจเราพบว่า มีพื้นที่ไม่เหมาะสม 350 ไร่ ปลูกข้าวได้ผลผลิตแค่ไร่ละ 300-400 กก. เนื่องจากคุณภาพดินไม่เหมาะ ชั้นดินตื้น และเป็นดินทราย นอกจากนั้นยังเป็นพื้นที่ค่อนข้างแห้งแล้ง มีฝนทิ้งช่วงนาน 6 เดือน ปริมาณน้ำฝนน้อย มีเพียง 1,700 มม.ต่อปี ต้องมีน้ำฝน 2,000 มม. ขึ้นไปถึงจะเหมาะ และสภาพพื้นที่ยังมีความลาดเท นากักน้ำไม่ค่อยอยู่อีกต่างหาก”

นายปรีชา โหนแหยม ผอ.สถานีพัฒนาที่ดินจันทบุรี ชี้ให้เห็นถึงเหตุผลถึงความไม่เหมาะสม เพื่อชักชวนให้เกษตรกรเปลี่ยนมาทำอย่างอื่นที่เหมาะสมมากกว่า…อ้อย เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่เหมาะสมกับสภาพดินและฝนฟ้า แต่ด้วยไม่เหมาะสมในเรื่องตลาด โรงงานหีบอ้อยอยู่ไกล 50 กม.

ขณะเดียวกันพืชอีกชนิดที่เหมาะเช่นกัน หญ้าเนเปียร์ ตลาดอยู่ใกล้ไม่เกิน 10 กม. มีสหกรณ์โคนมสอยดาวต้องการหญ้าเนเปียร์ไปเป็นอาหารโคนม 2,500 ตัว ตลอดเวลา

สภาพพื้นที่เหมาะสม มีตลาดรองรับ การขนส่งโลจิสติกส์สะดวก…หญ้าเนเปียร์จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด จากการทำประชาคมร่วมกับเกษตรกร…เริ่มแรกมีเกษตรกรอาสาทำโครงการนำร่องโซนนิ่ง 9 ราย พื้นที่ 60 ไร่

“ก่อนหน้านี้ทำนา 21 ไร่ ปีหนึ่งทำนา 4 เดือน เหลือกำไรอย่างเก่งไร่ละ 700-800 บาท แต่ส่วนใหญ่มักจะขาดทุน กรมพัฒนาที่ดินมาชวนทำโซนนิ่ง ได้มาสำรวจพื้นที่บอกว่า ถ้าจะทำให้ดินเหมาะกับปลูกข้าวได้ เราต้องลงทุนหลายอย่าง ต้องปรับที่ใหม่ ต้องปรับปรุงดินเอาอย่างอื่นมาใส่ เพราะดินที่นี่เป็นกรดสูง และต้องขุดหาแหล่งน้ำเพิ่มมาเลี้ยงนาข้าวด้วยถึงจะได้ผลผลิตสูง คิดไปคิดมาแล้วต้นทุนมันสูงไป เลยตัดสินใจทดลองเปลี่ยนมาปลูกหญ้าเนเปียร์ดู เจียดที่นาทดลองทำแค่ 10 ไร่ก่อน”

นายเสนาะ จูทัย หมอดินอาสาและผู้ใหญ่บ้าน ม.5 ต.ทุ่งขนาน อ.สอยดาว จ.จันทบุรี หนึ่งในเกษตรกรรุ่นนำร่อง เล่าว่า หลังจากปลูกไปได้แค่ 2 เดือน เนเปียร์รุ่นแรกพร้อมให้ตัดขายส่งให้สหกรณ์ ได้ผลผลิตไร่ละ 5 ตัน ในราคาตันละ 1,000 บาท…2 เดือนถัดมา ตัดได้อีก ผลผลิตรุ่น 2 ได้หญ้าเพิ่มเป็นไร่ละ 8 ตัน รายได้เลยเพิ่มมาเป็นไร่ละ 8,000 บาท คิดหัก ต้นทุนแล้ว ยังเหลือกำไร 5,600 บาทต่อไร่

หญ้าเนเปียร์ปลูกหนเดียวอยู่ได้ 6-7 ปี ตัดขายได้ทุก 2 เดือน ปีหนึ่งตัดได้ 5-6 ครั้ง อย่างน้อยๆ ปีหนึ่งได้กำไรไร่ละ 28,000 บาท…ทำนาปลูกข้าวได้ปีละหน กำไรอย่างเก่งไร่ละ 700-800 บาท

กำไรเพิ่มขึ้นเห็นๆ 3,500%…เลยมีเกษตรกรเข้าร่วมโซนนิ่งเพิ่มจาก 9 เป็น 22 ราย พื้นที่ 210 ไร่ เกือบเต็มพื้นที่ไม่เหมาะสม 350 ไร่.

ชาติชาย ศิริพัฒน์

 

SACICT ดันงานหัตถศิลป์โกอินเตอร์ พัดสานใบกะพ้อ ครองใจชาวปลาดิบ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 14 มิ.ย. 2559 20:03

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/638556


ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ ยกผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรมไทย คัดเลือกจาก 15 แห่ง อวดชิ้นงานหัตถกรรมแดนปลาดิบ หวังสร้างรายได้คืนสู่ชุมชนไทย เผย ปีนี้งานจักสานหางอวน หมวก กระเป๋า ใบกะพ้อ ได้รับความสนใจ …

วันที่ 14 มิ.ย.59 นางอัมพวัน พิชาลัย ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ กล่าวว่า การดำเนินงานทุกโครงการเน้นการสร้างรายได้สู่ชุมชนศิลปหัตถกรรม ควบคู่ไปกับการรักษาภูมิปัญญาหัตถกรรมพื้นถิ่นให้คงอยู่นั้น ภายใต้โครงการพัฒนาศิลปหัตถกรรมเพื่อความยั่งยืน หรือ “Sustainable Crafts” ซึ่งทำงานร่วมกับนักออกแบบและชุมชนหัตถกรรม 15 ชุมชน นำชิ้นงานฝีมือที่คงความเป็นไทย ใช้วัสดุในพื้นที่และยังเน้นความเป็นธรรมชาติ นำออกเจาะตลาดญี่ปุ่นในงาน Interior Lifestyle Tokyo 2016 ซึ่งในงานนี้มี Buyer สนใจเข้ามาเจรจากว่า 180 ราย จาก 29 ประเทศ

“ปีนี้ผลงานที่ได้รับความสนใจ เป็นงานจักสานหางอวน ซึ่งนำมาทำเป็นหมวก กระเป๋า ใบกะพ้อ จักสานใช้สำหรับแขวนผ้าขนหนู ให้ยาว เครื่องจักสานไม้ไผ่ ซึ่งมาจากรูปแบบแนวการทำกรงนกเป็นแม่แบบ นำมาทำเครื่องจักสานล้อมกระถางใส่ต้นไม้ ผลิตภัณฑ์ผ้าย้อมคราม เอามาเย็บ แปรรูปเป็นอุปกรณ์เครื่องเรือน ของใช้สำนักงาน และกระดาษจากฟางข้าว ซึ่งผลิตภัณฑ์ชิ้นงานทุกอย่างยังคงเน้นความเป็นธรรมชาติ รักษ์โลก ไม่มีเคมีผสม รูปแบบยังเน้นความคงเดิม แอบแฝงวิวัฒนาการโมเดิร์นใส่เข้าไป โดยบริษัท The Cover Nippon ผู้จำหน่ายสินค้าหัตถกรรม Lifestyle ชื่อดังของญี่ปุ่น เข้ามาคัดเลือกเพื่อนำไปจำหน่ายที่ร้านในกรุงโตเกียว และร้านสาขาที่นิวยอร์ก”

ผู้อำนวยการ ศศป. กล่าวต่อว่า แม้เทคโนโลยีก้าวหน้า โลกดิจิทัลจะเติบโตไม่หยุดนิ่ง และประเทศญี่ปุ่นถือว่ามีความโดดเด่นในเรื่องนี้ไม่เป็นสองรองใคร แต่ประชาชนพลเมืองยังคงปลูกฝังความเป็นชาตินิยมไว้ตั้งแต่รุ่นลูกหลาน ทำให้ทุกวันนี้ยังคงมีหัตถกรรมแบบดั้งเดิม แทรกซึมการดำรงชีวิตในวิถีวัฒนธรรม มีให้เห็นอยู่อย่างคุ้นตา งานหัตถกรรมหลายสาขายังมีการส่งต่อกันมาหลายรุ่น เช่น ธุรกิจงานเครื่องปั้นดินเผา จาก OHI Chozaemon Ware ในจังหวัดอิชิกาวะ มีการส่งต่อและพัฒนาการดำเนินงานกันถึงรุ่นที่ 11 เรียกได้ว่าเกิน 400 ปีมาแล้ว

ดังนั้น ศศป. จึงมองว่าตลาดญี่ปุ่น ยังคงน่าสนใจที่จะนำชิ้นงานฝีมือจากไทยเข้าไปเจาะตลาด หากประชาชนเปิดใจให้การยอมรับแล้ว ที่นี่จะกลายเป็นตลาดใหญ่ที่มั่นคง อย่างใบกะพ้อ ซึ่งนำมาเผยโฉมให้ชาวญี่ปุ่นได้รู้จัก แม้เวลาจะผ่านล่วงเลยมา 4 ปี แต่ยังคงได้รับความนิยมไม่เสื่อมถอย ส่วนหนึ่งเพราะชาวญี่ปุ่นซึ่งเป็นตลาดใหญ่ กว่าจะให้การยอมรับต้องใช้ความละเอียดพิถีพิถันกันเนิ่นนาน แต่เมื่อเปิดใจรับแล้ว จะหลงเสน่ห์ช้ินงานอย่างไม่ยอมเปลี่ยนใจ และกลายเป็นตลาดหลักที่มีความมั่นคง สามารถสร้างรายได้ให้กลับคืนสู่ชุมชนชาวไทยได้อย่างแน่นอน

 

พบแมลงวันผลไม้หลังขาว ผสมพันธุ์เก่งกว่าพันธุ์ปกติ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 14 มิ.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/637788


แมลงวันผลไม้หลังขาว

นักวิจัยจากสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สทน. ค้นพบแมลงวันผลไม้หลังขาว สามารถนำมาฉายรังสี ช่วยแก้ปัญหาแมลงวันผลไม้ได้ดีกว่าแมลงวันผลไม้ทั่วไปหลังสีเหลือง

นายคนิต ลิขิตวิทยาวุฒิ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยภายหลังการลงนามบันทึกความร่วมมือทางวิชาการกับ สทน. ในด้านการสนับสนุนเครื่องมือและอุปกรณ์วิจัยที่เป็นมาตรฐานสากลเพื่อนำไปใช้ประโยชน์แก่เกษตรกรไทยว่า กลุ่มวิจัยและพัฒนานิวเคลียร์ สทน. ได้ศึกษาแมลงวันผลไม้หลายชนิด ค้นพบแมลงวันผลไม้หลังขาว พันธุ์ที่หายากในธรรมชาติ แต่มีคุณสมบัติผสมพันธุ์เก่งกว่าสายพันธุ์อื่นๆ จึงนำมาเพาะเลี้ยงก่อนเข้าสู่กระบวนการฉายรังสี ในระยะดักแด้ด้วยเครื่องฉายรังสีแกมมา ที่ปริมาณรังสี 90 เกรย์ เพื่อให้เป็นหมัน

แมลงวันผลไม้หลังเหลือง

ผลปรากฏว่า แมลงวันผลไม้หลังขาวตัวเต็มวัยที่ออกมาจากดักแด้ เป็นหมันอย่างสมบูรณ์ทั้งสองเพศ โดยตัวผู้จะเกิดอาการน้ำเชื้อฝ่อไปเลย ส่วนตัวเมียจะไม่มีรังไข่ และเมื่อตัวผู้ที่เป็นหมันผสมพันธุ์กับตัวเมียพันธุ์อื่นๆ จะทำให้การวางไข่น้อยลง และไข่จะไม่ฟักออกมาเป็นตัว กลายเป็นไข่ฝ่อ ส่วนตัวเมียที่เป็นหมัน เมื่อไปผสมพันธุ์กับตัวผู้พันธุ์อื่น จะไม่มีการวางไข่และหลัง จากผสมพันธุ์เสร็จจะมีอายุได้ไม่นานจะตายไป

น.ส.นิภาวรรณ ปรมาธิกุล รอง ผอ.สทน. กล่าวเสริมว่า จากการนำแมลงวันผลไม้หลังขาวที่ผ่านการฉายแสงให้เป็นหมันไปปล่อยสู่ธรรมชาติ ผลสำรวจในพื้นที่เขตจัดการแมลงวันผลไม้ พบว่า สามารถลดอัตราแมลงวันผลไม้พันธุ์ปกติได้เกือบหมด ส่งผลให้ผลผลิตของเกษตรกรเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 80 โดยเปรียบเทียบจากก่อนดำเนินโครงการ

และจากการปล่อยแมลงวันเหล่านี้ในพื้นที่ ต.ตรอกนอง อ.ขลุง จ.จันทบุรี แล้วออกสำรวจในระยะเวลาต่อมา พบว่า จำนวนแมลงวันผลไม้ที่สร้างความเสียหายให้กับสวนผลไม้ลดลงไปถึง 96.02% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนการควบคุม หากเกษตรกรพื้นที่ไหนต้องการแมลงวันหมัน ติดต่อเจ้าหน้าที่เกษตรใกล้บ้าน ทาง สทน. พร้อมให้นำไปปล่อยได้แล้วทั่วประเทศ.

 

พระวัดดังอรัญฯ คิดวิธีปลูกคอนโดต้นอ่อนทานตะวันแค่ 5 วันเก็บผลผลิตได้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 13 มิ.ย. 2559 15:20

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/637875


พัฒนาต่อยอดงานเกษตรไม่สิ้นสุด เจ้าอาวาสวัดบี.กริม อ.อรัญประเทศ คิดค้นวิธีปลูกต้นอ่อนทานตะวันแบบคอนโดด้วยขุยมะพร้าวใช้เวลาเพียง 5 วันเก็บผลผลิตได้ พร้อมนำร่องแจกเป็นวัตถุดิบทำอาหารกลางวันให้เด็กร.ร.บี.กริม รับประทาน

จากกรณีพระอธิการพิเศษ วีระปัญโญ เจ้าอาวาสวัดบี.กริม ต.คลองทับจันทร์ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ได้คิดค้นวิธีปลูกมะนาวไร้ดินจนประสบผลสำเร็จ โดยมี หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 12 เข้าสนับสนุนและเปิดเป็นศูนย์เรียนรู้ และมีชาวบ้านจำนวนมากเดินทางเข้ามาศึกษาการปลูกมะนาวเป็นจำนวนมาก (สุดทึ่ง! พระวัดดังอรัญฯ คิดวิธีปลูกมะนาวไร้ดิน-ใช้กะปิตอนกิ่ง ให้ลูกดก )

ล่าสุดพระอธิการพิเศษ วีระปัญโญ ได้พัฒนาวิธีปลูกต้นอ่อนทานตะวัน โดยนำของเหลือใช้จากการปลูกมะนาวไร้ดินมาพัฒนาเป็นการต่อยอดและใช้เวลาปลูกระยะสั้นเพียง 5 วัน ก็สามารถนำต้นอ่อนทานตะวันมาบริโภคได้

สำหรับวิธีการปลูกต้นอ่อนทานตะวันให้ได้ผลผลิตเร็ว และปลอดภัยปราศจากสารเคมี ให้นำเอาชั้นพลาสติกที่มีลิ้นชัก 4 ชั้นซ้อนกัน เป็นภาชนะในการปลูกโดยนำลิ้นชักมาเจาะรูที่พื้นประมาณสัก 10 รู เพื่อให้สามารถระบายน้ำไม่ให้ขังในลิ้นชักได้ จากนั้นนำเอาเมล็ดทานตะวัน ไปแช่น้ำไว้ประมาณ 6 ชม.จากนั้นนำออกมาห่อด้วยผ้าสะอาดพักไว้ 1 คืน พอรุ่งเช้านำขุยมะพร้าวที่เหลือจากการนำมาใช้ตอนกิ่งมะนาว มาร่อนในตะแกรงพลาสติกแล้วนำเฉพาะขุยมะพร้าวที่ร่อนแล้วมาแช่ในน้ำทิ้งไว้ 1 คืนเช่นกัน จากนั้นนำมาเทในลิ้นชักที่เจาะรูแล้วเกลี่ยให้เสมอกัน ความหนาประมาณ 1-2 นิ้ว

จากนั้นนำเมล็ดทานตะวันที่ห่อไว้ในผ้าสะอาดนำมาโรยบนขุยมะพร้าวแช่น้ำในลิ้นชักให้ทั่วแล้วจึงนำขุยมะพร้าวแช่น้ำมาโรยทับปิดหน้าอีกครั้งเพียงบางๆ แล้วปิดลิ้นชักให้แน่นแล้วนำไปเก็บไว้ในที่ร่ม โดยใช้สเปรย์ฉีดน้ำพ่นเช้า-เย็น โดยไม่ต้องใส่ปุ๋ยหรือสารเคมีใดๆ รอเพียงแค่ 5 วันเมื่อเปิดออกมาจะได้ต้นทานตะวันงอกสีขาวอมเหลืองสวยงามยาวประมาณ 10-12 ซม.จากนั้นนำลิ้นชักที่มีทานตะวันงอกขึ้นเต็มกระบะมาผึ่งแดดประมาณ 10 นาที ต้นทานตะวันงอกที่เป็นสีขาวอมเหลืองจะกลายเป็นสีเขียวอ่อน น่ารับประทาน จึงใช้กรรไกรตัดที่โคนต้นนำมาล้างน้ำสะอาดนำไปบริโภคได้ทันที

พระอธิการพิเศษวีระปัญโญ กล่าวอีกว่า ต้นอ่อนทานตะวันเป็นผักที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์มาก ทั้งเรื่องบำรุงสมอง บำรุงกระดูก ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ ป้องกันโรคหัวใจ ป้องกันมะเร็ง และลดคอเลสเตอรอล เพราะต้นอ่อนทานตะวันหรือทานตะวันงอกเป็นแหล่งไขมันชนิดดีต่อร่างกาย มีใยอาหารที่มีประโยชน์ต่อการขับถ่าย เป็นแหล่งโปรตีน ทั้งธาตุเหล็กและแคลเซียม เพราะมีทั้งวิตามินบี 1, บี 6 , โอเมก้า 3, โอเมก้า 6 และโอเมก้า 9 เพราะประโยชน์เหล่านี้จึงพยายามคิดค้นวิธีการปลูกและพัฒนาเพื่อต่อยอดให้ชาวบ้านในพื้นที่สามารถนำไปเป็นแนวทางทำอาชีพเสริมได้ โดยเฉพาะผู้ที่รักสุขภาพจะชื่นชอบเป็นอย่างมาก

ขณะเดียวกันทางวัดบี.กริม ได้ปลูกต้นอ่อนทานตะวันในลิ้นชัก 4 ชั้นจนชาวบ้านเรียกโจษขานกันว่า “คอนโดทานตะวันงอก” โดยได้ปลูกแล้วนำต้นอ่อนทานตะวันไปมอบให้ น.ส.รัชณีวรรณ ช้างวงศ์ ผู้อำนวย การ ร.ร.บี.กริม เพื่อนำไปประกอบเป็นอาหารกลางวัน ให้เด็กนักเรียนชั้นอนุบาลโรงเรียนบี.กริม ได้กินกันทุกวัน ในโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อยแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นโครงการสนับสนุนให้เด็กกินผัก และเป็นโครงการของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

“หากชาวบ้านหรือหน่วยงานราชการใดต้องการศึกษาเรียนรู้วิธีการปลูกก็สามารถเดินทางมาเรียนรู้ได้ที่วัดบี.กริม ต.คลองทับจันทร์ อ.อรัญประเทศฯ โดยเจ้าอาวาสจะเป็นผู้สอนให้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น” พระอธิการพิเศษวีระปัญโญ กล่าว

 

‘เหี่ยวกล้วย’ ระบาด 3 อ. ในยะลา สั่งห้ามย้ายหน่อ ป้องขยายวง!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 13 มิ.ย. 2559 12:30

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/637700


(ภาพจาก : เกษตรกรสวนกล้วยหิน จ.ยะลา)

“โรคเหี่ยวกล้วย” ระบาดสวนกล้วยไข่ จ.ยะลา หนัก! เสียหายกว่า 3 อ. เกษตรกรบางรายต้องโค่นทิ้งทั้งสวน ขณะที่เกษตรจังหวัดเร่งลงพื้นที่สำรวจความเสียหาย และห้ามเคลื่อนย้ายหน่อกล้วย เกรงจะขยายวงกว้าง พร้อมลงพื้นที่ทำความเข้าใจกับ ปชช. …

จากกรณี เกษตรกรในพื้นที่ อ.ธารโต อ.บันนังสตา และ อ.เบตง จ.ยะลา แจ้งว่าขณะนี้ มีโรคระบาดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เรียกว่า “โรคเหี่ยวกล้วย” ระบาดหนักในสวนกล้วยหิน โดยโรค “เหี่ยวกล้วย” ที่ว่า เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ที่จะเข้าไปทำลายระบบท่อเลี้ยงส่งน้ำในต้นกล้วย ทำให้กล้วยยืนต้นตาย ใบเหลือง และผลลีบไม่สมบูรณ์ เนื้อของกล้วยจะเป็นสีดำ ซึ่งสาเหตุเบื้องต้น พบว่าโรคดังกล่าวระบาดในแถบพื้นที่ประเทศมาเลเซีย และขยายวงกว้างเข้าสู่ อ.เบตง จ.ยะลา สันนิษฐานว่า พ่อค้าที่นำกล้วยหินจาก อ.เบตง จ.ยะลา ไปขายในฝั่งประเทศมาเลเซียได้ใช้วัสดุ เช่น มีด ในการตัดแบ่งเครือของกล้วย ขณะนำไปขาย ทำให้เกิดการติดเชื้อ และขยายวงกว้างสู่พื้นที่สวนกล้วยหิน กล้วยน้ำว้า ในหลายอำเภอของ จ.ยะลา เกษตรกรบางรายตัดสินใจโค่นต้นกล้วยทิ้งทั้งสวน เนื่องจากประสบปัญหาโรค “เหี่ยวกล้วย” ระบาดอย่างหนัก

ล่าสุดเมื่อวันที่ 13 มิ.ย. 59 นายโชคดี วิรุณกาญจน์ เกษตรจังหวัดยะลา เปิดเผยว่า หลังพบการแพร่ระบาดของโรคเหี่ยวกล้วย มีการประสานไปยังศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านอารักขาพืช จ.สงขลา เพื่อลงพื้นที่ตรวจสอบและเก็บเชื้อตัวอย่างไปตรวจสอบก็พบว่า เชื้อที่แพร่กระจาย เรียกว่า “โรคเหี่ยวกล้วย” ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรีย ที่ยังไม่เคยพบในพื้นที่ โดยเริ่มการระบาดมาจากพื้นที่ อ.เบตง จ.ยะลา จากนั้นเชื้อได้แพร่กระจายสู่ อ.ธารโต และ อ.บันนังสตา เบื้องต้นพบว่า มีพื้นที่สวนกล้วยหินได้รับความเสียหายไปกว่า 1 พันไร่ จากทั้งหมดกว่า 7 พันไร่

“ทั้งนี้ ทางสำนักงานเกษตรจังหวัดยะลา ได้ประสานไปยังสำนักงานเกษตรในพื้นที่ประสบภัยพบโรคระบาด ให้มีการชี้แจงทำความเข้าใจ รวมทั้งแนะนำวิธีการควบคุมให้กับเกษตรกรเจ้าของสวน ไม่ให้เชื้อโรคเกิดการแพร่กระจาย โดยงดการนำหน่อกล้วยหินออกจากพื้นที่ที่ติดเชื้อ เพื่อเป็นการควบคุมเบื้องต้น ไม่ให้เกิดการขยายแพร่เชื้อในวงกว้าง และแนะนำให้ใช้ปุ๋ยยูเรียไปบำรุง เพื่อเป็นการกำจัดเชื้อแบคทีเรีย โดยโรคดังกล่าวจะส่งผลกระทบให้ผลกล้วยแห้ง ลีบ และเนื้อกล้วยเป็นสีดำ ไม่สมบูรณ์ เพราะเชื้อแบคทีเรียจะเข้าไปทำลายกัดกินแป้งในผลกล้วย” เกษตรจังหวัดยะลา กล่าว

นายโชคดี ยังระบุอีกว่า หลังสำรวจความเสียหาย มีเกษตรกรยื่นขอความช่วยเหลือ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และทางจังหวัดชดเชยค่าเสียหายจากการแพร่ระบาดของโรคเหี่ยวกล้วย แต่เมื่อสำรวจข้อมูลแล้ว ความเสียหายจากโรคระบาดดังกล่าว ไม่เข้าสู่เกณฑ์ที่ได้กำหนดไว้ ทางภาครัฐจึงไม่สามารถจะชดเชยค่าเสียหายให้กับเกษตรกรได้ จึงได้ให้ทางสำนักงานเกษตรอำเภอ และผู้ใหญ่บ้าน อบต. ทำการชี้แจงกับเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบดังกล่าว.

 

หย่อนโครงแท่งคอนกรีต ธรรมชาติต่อเติมบ้านปะการัง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 13 มิ.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/637056


เรือบรรทุกโครงแท่งคอนกรีตทรงลูกเต๋าแล่นลอยลำมาจอดนิ่งสนิท บริเวณพิกัดละติจูด 07 องศา 07.276 ลิบดาเหนือ ลองจิจูด 100 องศา 46.063 ลิบดาตะวันออก…ที่เห็นลิบๆไปทางทิศตะวันตก 5.5 ไมล์ทะเล นั่นคือชายฝั่งบ้านปากจด ต.นาทับ อ.จะนะ จ.สงขลา

พนักงานบนเรือนำตะขอลวดสลิงมาเกี่ยวยึดโยง ค่อยๆทยอยหย่อนโครงแท่งคอนกรีตลง สู่ก้นทะเล ในระดับความลึกประมาณ 15 ม. เพื่อให้ธรรมชาติของท้องทะเลทำงาน สานต่อเติมโครงแท่งคอนกรีตให้กลายเป็นบ้าน เป็นหมู่บ้านปะการังแสนสุข ที่เหล่าสัตว์ทะเลจะเข้ามาอยู่อาศัย สร้างครอบครัว ขยายเผ่าพันธุ์ เพิ่มปริมาณสัตว์น้ำในท้องทะเลไทยให้กลับมาอุดมสมบูรณ์นี่เป็นภารกิจอีกครั้งที่ กรมประมง ร่วมกับ มูลนิธิทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ทำการส่งมอบปะการังเทียม จำนวน 2,280 แท่ง ไปจัดวางในพื้นที่ชายฝั่งทะเล เพื่อฟื้นฟูทรัพยากรน้ำให้เป็นแหล่งการทำประมงใกล้ฝั่ง สร้างอาชีพให้กับประชาชน 2,970 ครัวเรือน ในพื้นที่ 14 หมู่บ้านทั้งในเขต อ.จะนะ และ อ.เมือง จ.สงขลา ซึ่งมีผู้ทำอาชีพประมงพื้นบ้าน จำนวน 450 ลำ…หลังจากได้เข้ามาร่วมสนับสนุนมาตั้งแต่ปี 2555

นายมีศักดิ์ ภักดีคง รองอธิบดีกรมประมง เล่าว่า นับแต่ปี 2528-2558 กรมประมงได้น้อมนำแนวพระราชดำริ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ สร้างปะการังเทียมมาอย่างต่อเนื่อง โดยใช้งบประมาณปกติจัดสร้างไปแล้ว 443 แหล่ง เป็นปะการังเทียมแหล่งเล็ก 408 แหล่ง ปะการังเทียมแหล่งใหญ่ 35 แหล่ง ในพื้นที่ชายฝั่งทะเล 19 จังหวัด

สำหรับปีงบประมาณ 2559 กำลังดำเนินการจัดสร้างปะการังเทียมตามโครงการภายใต้แผนแม่บทการจัดการประมงทะเลไทย สร้างปะการังเทียมแหล่งเล็ก 13 แหล่ง ปะการังเทียมแหล่งใหญ่ 1 แหล่ง รวมเป็นงบประมาณ 49.4 ล้านบาท โดยใช้แท่งคอนกรีตขนาด 1.5 x 1.5 x 1.5 ลบ.ม. จำนวน 7,882 แท่ง

“การจัดวางปะการังเทียมในพื้นที่ชายฝั่งทะเล ประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ เพราะหลังจากวางแท่งคอนกรีตไปแล้ว 3-4 เดือนจะมีจำนวนสัตว์น้ำหลาก หลายพันธุ์เข้ามาอยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น ทำให้ชาวประมงพื้นบ้านมีรายได้เพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ที่สำคัญแท่งคอนกรีตปะการังเทียมยังป้องกันเรือขนาดใหญ่เข้ามารุกล้ำทำการประมงในพื้นที่ชายฝั่งได้อีกด้วย”

รองอธิบดีกรมประมง เผยตัวเลขผลสำรวจข้อมูลจับสัตว์น้ำหลังวางปะการังเทียม…การทำประมงใช้เบ็ดตกปลา จากที่เคยได้ลำละ 7,913 กก. เพิ่มเป็น 14,533 กก. การทำประมงเรืออวนลอยปลาทู จากที่เคยได้ปลาลำละ 20,800 กก. เพิ่มมาเป็น 37,000 กก.พิสูจน์ยืนยันการวางโครงแท่งคอนกรีต…ธรรมชาติต่อเติมสร้างบ้านให้สัตว์น้ำได้จริง.

ชาติชาย ศิริพัฒน์