เกษตรฯ เร่งวิจัย สร้างไก่ประดู่หางดำเชียงใหม่ พันธุ์ไข่ดกป้อนตลาด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 11 มิ.ย. 2559 18:48

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/636770

 

กระทรวงเกษตรฯ เปิดผลงานวิจัย “ไก่ประดู่หางดำเชียงใหม่ สายพันธุ์ไข่ดก” ให้ไข่เพิ่มกว่า 30% โชว์ผลลูกไก่ลอตแรกแล้ว 2 พันตัว เล็งขยายผล สร้างทางเลือกใหม่แก่เกษตรกร ต่อยอดสู่การผลิตไข่ไก่ธรรมชาติ-ไข่ไก่อินทรีย์ ป้อนตลาดไฮเอนด์…

วันที่ 11 มิ.ย.59 พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยในโอกาสเป็นประธานแถลงผลงานวิจัย “ไก่ประดู่หางดำเชียงใหม่ สายพันธุ์ไข่ดก” ภายในพิธีเปิดงาน “9 ทศวรรษ บำรุงพันธุ์สัตว์ก้าวไกล ครั้งที่ 3” เปิดบ้านงานวิจัย นวัตกรรม และสัตว์พันธุ์ดีกรมปศุสัตว์ สู่การใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน 2559 ณ ศูนย์วิจัยและบำรุงพันธุ์สัตว์เชียงใหม่ อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ ว่า กระทรวงเกษตรฯ มีนโยบายผลักดันงานวิจัยเพื่อลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต ตรงตามความต้องการของตลาด รวมทั้งการวิจัยและพัฒนาพันธุ์ที่เหมาะสมทั้งด้านพืช ประมง และปศุสัตว์ เพื่อการพัฒนาการเกษตรให้ก้าวหน้าและเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรไทย ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศตามแผนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ.2555-2559) ยุทธศาสตร์ความเข้มแข็งภาคเกษตร ความมั่นคงของอาหารและพลังงานชีวภาพในระดับครัวเรือนและชุมชน

ในส่วนของกรมปศุสัตว์ จึงมีเป้าหมายการปรับปรุงและพัฒนาพันธุ์สัตว์ ที่เน้นงานวิจัยในการสร้างพันธุ์ใหม่ให้มีศักยภาพของพันธุ์ที่ดีขึ้นกว่าเดิม นำไปสู่การใช้ประโยชน์ และเป็นทางเลือกใหม่ของเกษตรกรไทย สามารถแข่งขันทางการตลาดได้ โดยในปี 2545-2550 กรมปศุสัตว์ ได้ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยพัฒนาพันธุ์ไก่พื้นเมืองแท้ 4 พันธุ์ ได้แก่ ไก่แดงสุราษฎร์ ไก่ชีท่าพระ ไก่เหลืองหางขาวกบินทร์บุรี ไก่ประดู่หางดำเชียงใหม่ เพื่อพัฒนาต่อยอดไก่พื้นเมืองทั้ง 4 สายพันธุ์และขยายผลไปยังเกษตรกรให้ได้รับประโยชน์มากที่สุด

ดังนั้น ในช่วงปี 2559-2564 กระทรวงเกษตรฯ มีแผนการพัฒนาพันธุ์ “ไก่ประดู่หางดำเชียงใหม่” เป็น “ไก่ประดู่หางดำเชียงใหม่ สายพันธุ์ไข่ดก” ซึ่งเป็นการสร้างสายพันธุ์ใหม่ที่ให้มีผลผลิตไข่ที่เพิ่มขึ้น 30% เนื่องจากไก่ประดู่หางดำเชียงใหม่ เป็นไก่พื้นเมืองไทยพันธุ์แท้ ทนทานต่อสภาพแวดล้อมและโรคระบาด และสามารถกินอาหารที่เกษตรกรหาได้ในท้องถิ่น มีอัตราการเจริญเติบโตที่ดี และให้ไข่ดกกว่าสายพันธุ์พื้นเมืองอื่นๆ ให้เนื้อที่มีคุณภาพที่ดีกว่าไก่เนื้อทางการค้า รสชาติอร่อย เป็นพันธุ์ที่ให้ไข่ดกที่สุด จึงถูกคัดเพื่อดำเนินโครงการนี้ โดยกำลังการผลิตลูกไก่ประดู่หางดำเชียงใหม่/ปี กรมปศุสัตว์ 900,000 ตัว พันธุ์แท้ 400,000 ตัว ลูกผสมฯ 500,000 ตัว ฟาร์มเครือข่ายของกรมปศุสัตว์ 1,500,000 ตัว พันธุ์แท้ 620,000 ตัว ลูกผสมฯ 800,000 ตัว ซึ่งได้ใช้เป็นลูกไก่แจกจ่ายช่วยเหลือเกษตรกรช่วงภัยแล้งปี 59 ด้วย


ด้าน นายสัตวแพทย์อยุทธ์ หรินทรานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่า ไก่ประดู่หางดำเชียงใหม่ จะเป็นอีกแหล่งโปรตีนที่ชุมชนได้รับ ซึ่งในอนาคตกรมปศุสัตว์ จะนำเข้าไปส่งเสริมให้โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ได้เลี้ยงเพื่อเป็นแหล่งโครงการอาหารกลางวันสำหรับเด็กนักเรียนในถิ่นทุรกันดาร ซึ่งแต่เดิมไก่ประดู่หางดำเชียงใหม่เป็นไก่ชน แต่จากการสังเกต พบว่าโตเร็ว ตัวเมียให้ไข่ดกเฉลี่ย 120 ฟอง/ตัว/ปี ซึ่งใกล้เคียงกับไก่ไข่ที่เกษตรกรนิยมเลี้ยงในปัจจุบัน

ดังนั้น กรมปศุสัตว์ จึงมุ่งเป้าที่จะวิจัยปรับปรุงพันธุ์ โดยแยกเป็น 2 ประเภท คือ เลี้ยงเพื่อเป็นไก่เนื้อ และเลี้ยงเป็นไก่ไข่ ซึ่งจะทำให้เกษตรกรมีทางเลือกมากยิ่งขึ้น เพราะไก่ประดู่หางดำเชียงใหม่ ทนต่อสภาพอากาศบ้านเรา เลี้ยงง่าย ใช้วัตถุอาหารในพื้นที่ได้ อย่างหญ้าแพงโกล่า ซึ่งช่วยลดความเครียด ทำให้ไม่ต้องใช้ทุนการเลี้ยงที่สูงมากเกินไป ซึ่งขณะนี้ได้นำไปวิจัยทดสอบเลี้ยง ในจังหวัด ขอนแก่น สุรินทร์ ลำพูน เชียงราย แม่ฮ่องสอน

สำหรับระยะเวลาการวิจัย ทางกรมได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจากสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) สวก. โดยเร่ิมตั้งแต่ปี 2559-2563 ในงบประมาณจากสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร 6.4 ล้านบาท โดยได้กำหนดเป้าหมายสร้างฝูงพันธุ์ไก่พื้นเมืองประดู่หางดำเชียงใหม่ที่ให้ไข่ดกเพิ่มขึ้นอีก 30% ในเวลา 5 ปี เลี้ยงได้ในรูปแบบฟาร์ม หรือ ตามการจัดการโดยเกษตรกรรายย่อย (ระบบหมู่บ้าน) โดยเป้าหมายในระบบฟาร์ม เพิ่มจาก 147 ฟอง/ตัว/ปี เป็น 191 ฟอง/ตัว/ปี ระบบหมู่บ้าน เพิ่มจาก 90 ฟอง/ตัว/ปี เป็น 117 ฟอง/ตัว/ปี


ด้าน นางพรรณพิมล ชัญญานุวัตร ผอ.สวก. เผยว่า เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางนโยบายของกระทรวงเกษตรฯ ในการลดต้นทุนให้เกษตรกร โดยการปรับใช้กับเกษตรทฤษฎีใหม่ ที่จะเป็นทางเลือกใหม่ให้เกษตรกรรายย่อย สวก. จึงได้ให้การสนับสนุนทุน ส่งเสริมผลงานวิจัยไก่ประดู่หางดำเชียงใหม่ สายพันธุ์ไข่ดก ครั้งนี้ ซึ่งนอกจากจะลดการนำเข้าพันธุ์ไก่จากต่างประเทศแล้ว ยังเป็นแหล่งอาหารโปรตีนที่ดีในครัวเรือนของเกษตรกร เพิ่มการใช้อาหารที่เป็นวัตถุดิบในท้องถิ่นไม่ต้องจัดซื้อ เป็นพื้นฐานในการสร้างไข่ไก่ธรรมชาติ และไข่ไก่อินทรีย์ เพื่อรองรับตลาดระดับสูงต่อไป นำไปสู่รายได้ที่มีความยั่งยืนในชนบทตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงและเกิดความเข้มแข็งของชุมชนมากขึ้นในอนาคต.

 

น้ำหมักชีวภาพสูตรพลิกโลก งอกเร็ว ต้านโรค เพิ่มผลผลิต

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 10 มิ.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/635192

 

น้ำหมักชีวภาพดีอย่างไร ดีจริงแค่ไหน แทบไม่มีหน่วยงานใดศึกษาแบบวิทยาศาสตร์…เลยเป็นช่องทางให้มีการอวดอ้างสรรพคุณ จริงบ้าง ยกเมฆบ้าง สุดท้ายเกษตรกรกลายเป็นเหยื่อ

แต่วันนี้มีน้ำหมักชีวภาพสูตรสำเร็จ วิจัยแล้วโดยทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน…ได้น้ำหมักสูตรเสมือนครอบจักรวาล อุดมไปด้วยจุลินทรีย์ ช่วยเมล็ดงอกดี โตวันโตคืน แถมต้านทานโรค เหมาะกับพืชทุกชนิด โดยเฉพาะผักสวนครัว


“จากการทดสอบน้ำหมักชีวภาพสูตรต่างๆที่ได้รับความนิยมจากเกษตรกรทั่วประเทศ เมื่อนำมาทดสอบประสิทธิภาพ ในสภาวะการทดลองแบบควบคุม เราพบน้ำหมักชีวภาพสูตรหนึ่ง มีคุณสมบัติเด่น มีประสิทธิภาพมากที่สุดเหมาะที่เกษตรกรนำมาใช้ได้จริง”

กรรมวิธีผลิตต้องทำอย่างไร รศ.ดร.จุรีย์รัตน์ ลีสมิทธิ์ คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน อธิบาย ก่อนอื่น เตรียมส่วนประกอบ…ฝรั่ง 64 กก. มะละกอ 8 กก. แตงไทย 8 กก. กากน้ำตาล 20 กก. น้ำ 20 ลิตร สารเร่ง (พด.2) 2 ซอง


หั่นฝรั่ง มะละกอ และแตงไทย ให้เป็นชิ้นเล็ก ใส่ถังหมักขนาด 120 ลิตร ละลายกากน้ำตาลในน้ำสะอาด 20 ลิตร ใส่ พด.2 คนให้เข้ากัน เทส่วนผสมทั้งหมดใส่ถังหมัก ปิดฝาถังให้แน่น เปิดฝาคนทุกๆ 3 วัน เมื่อครบ 45 วัน นำมากรองด้วยผ้ามุ้งสีฟ้า เอาเฉพาะน้ำ…จะได้น้ำหมักชีวภาพ 100 ลิตร


จากการทดลองในต้นหอม ผักชี ผักกาดหอม พริก ใช้น้ำสกัดชีวภาพเข้มข้นผสมน้ำ ในอัตรา 1:500…นำเมล็ดพันธุ์มาแช่ในน้ำหมักเมล็ดงอกเร็วขึ้น 20-30% รากยาวกว่า ต้นกล้ายาวกว่าการงอกแบบธรรมดา…เมื่อนำต้นกล้าลงปลูก นำน้ำหมักผสมน้ำในอัตราเดียวกัน รดพืชทุกสัปดาห์จนกระทั่งเก็บเกี่ยว พบว่าให้ผลผลิตสูงขึ้น 15-30% เมื่อเทียบกับการปลูกแบบเดิม


รศ.ดร.จุรีย์รัตน์ ให้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ว่า น้ำหมักชีวภาพสามารถเร่งโต เพิ่มผลผลิตในพืชน่าจะเกิดจากการผสมของวัตถุดิบทำให้เกิดจุลินทรีย์กลุ่มสร้างสารส่งเสริมการเจริญเติบโต เช่น Indol-3-acetic acid (IAA), จิบเบอเรลลิน, ออกซิน, ไซโตไคนิน …จิบเบอเรลลินซึมเข้าเมล็ด กระตุ้นการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีทำให้งอกเร็ว รากยาว ต้นใหญ่สมบูรณ์ ส่วนไซโตไคนินจะกระตุ้นการแบ่งเซลล์ ขยายขนาดเซลล์เมล็ด ทำให้ยิ่งงอกเร็วขึ้นอีก


ส่วนให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น มาจากการทำงานร่วมกันของกลุ่มจุลินทรีย์ที่ย่อยสลายโมเลกุลสารอินทรีย์ให้เล็กลง จนมาอยู่ในรูปธาตุอาหารที่พืชนำไปใช้ประโยชน์ได้ เป็นการเพิ่มสารอาหารให้พืช…ส่วนออกซิน, จิบเบอเรลลิน, ไซโตไคนิน ช่วยสร้างสารกระตุ้นการเจริญเติบโต แถมยังได้ไรโซเบียม อะโชโตแบคเตอร์ มาช่วยตรึงไนโตรเจน ทำให้พืชได้ปุ๋ยไนโตรเจนเต็มที่


ขณะเดียวกัน น้ำหมักสูตรนี้ยังทำให้เกิดจุลินทรีย์บางชนิด มาช่วยกำจัดจุลินทรีย์ก่อโรคพืชไปพร้อมกัน.

ไกรวัฒน์ วีนิล

 

กรมชลฯ ปลื้ม ระบบกระจายน้ำไร่นา ‘ลำสำลาย’ โดนใจเกษตรกรชาวปักธงชัย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 9 มิ.ย. 2559 15:11

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/635210

 

กรมชลประทาน ปลื้ม ระบบกระจายน้ำในไร่นาโครงการอ่างเก็บน้ำลำสำลาย โดนใจเกษตรกรชาวปักธงชัย เผย ได้ใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยเพิ่มโอกาสผลิตสินค้าเกษตรป้อนตลาด สร้างรายได้หล่อเลี้ยงชีพ วางเป้าทำคูส่งน้ำครอบคลุมพื้นที่กว่า 17,200 ไร่ …

วันที่ 9 มิ.ย.59 นายสิริวิชญ กลิ่นภักดี ผู้อำนวยการสำนักงานจัดรูปที่ดินกลาง กรมชลประทาน เปิดเผยว่า การพัฒนาระบบกระจายน้ำในไร่นา ในพื้นที่โครงการอ่างเก็บน้ำลำสำลาย อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา เป็นหนึ่งโครงการของสำนักงานจัดรูปที่ดินกลางที่จัดระบบน้ำ เพื่อเกษตรกรรมประสบผลสำเร็จและเห็นผลเป็นรูปธรรมชัดเจน ซึ่งโครงการฯ ดังกล่าว อยู่ภายใต้โครงการปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการน้ำของโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำพระเพลิงเพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วม เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2557 โดยได้ปรับปรุงคูน้ำเดิมซึ่งเป็นเหมืองดิน และก่อสร้างเป็นคูส่งน้ำรูปสี่เหลี่ยมคางหมู และคูส่งน้ำแบบ U-Shape ซึ่งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการกระจายน้ำจากอ่างเก็บน้ำลำสำลายไปสู่ไร่นาของเกษตรกรในพื้นที่ได้สูงขึ้นกว่า 5,050 ไร่ มีเกษตรกรได้รับประโยชน์ ประมาณ 300 ราย

ในปี 2559 นี้ โครงการฯ ได้จัดทำคูส่งน้ำแบบ U Shape เพิ่มเติม จำนวน 1,526 ไร่ สามารถกระจายน้ำสู่แปลงเพาะปลูกของเกษตรกรได้อีก ประมาณ 100 ราย

อย่างไรก็ตาม สำนักงานจัดรูปที่ดินกลาง ได้มีแผนเร่งดำเนินการจัดระบบกระจายน้ำในไร่นา ให้ครอบคลุมพื้นที่โครงการ จำนวน 17,200 ไร่ ภายในปี 2564 ซึ่งคาดว่า จะเอื้อประโยชน์ต่อเกษตรกรในพื้นที่ 2-3 ตำบลของอำเภอปักธงชัย ได้จำนวนมากโดยเฉพาะตำบลตะคุ และตำบลตะขบ เป็นต้น

“นอกจากเพิ่มประสิทธิภาพการกระจายน้ำไปสู่ไร่นาได้สูงขึ้นแล้ว คูส่งน้ำที่สร้างใหม่นี้ ยังสามารถส่งน้ำไปยังพื้นที่เป้าหมายได้รวดเร็ว ช่วยประหยัดน้ำต้นทุนและลดการสูญเสียน้ำที่มีค่อนข้างจำกัดในช่วงหน้าแล้ง และสามารถนำน้ำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่าและเต็มประสิทธิภาพ ทั้งยังเพิ่มโอกาสในการผลิตสินค้าเกษตรป้อนตลาด และทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันยังช่วยส่งน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคให้กับประชาชนในพื้นที่ด้วย”

ด้าน นายเทิดธรรม สุวรรณวัฒน์ ผู้อำนวยการโครงการปฏิบัติการจัดระบบน้ำ เพื่อเกษตรกรรมที่ 8 กรมชลประทาน กล่าวเพิ่มเติมว่า ภายหลังโครงการปฏิบัติการจัดระบบน้ำฯที่ 8 ได้พัฒนาระบบกระจายน้ำจากอ่างเก็บน้ำลำสำลายไปสู่ไร่นาของเกษตรกรในพื้นที่ ทำให้เกษตรกรมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทำเกษตรจากเดิมที่ทำนาปรังในช่วงฤดูแล้ง หันมาทำเกษตรแบบผสมผสาน ทำไร่นาสวนผสม สวนมะนาว สวนดาวเรือง ปลูกข้าวโพด พืชผัก และปลูกมะพร้าวน้ำหอม เป็นต้น

ขณะนี้ มีเกษตรกรหลายรายประสบความสำเร็จ และมีรายได้เพิ่มขึ้น เช่น นายเริงชัย โทสันเทียะ เป็นเกษตรกรในพื้นที่โครงการฯ ได้หันมาทำเกษตรผสมผสานตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยแบ่งพื้นที่ที่มี 10 ไร่ ปลูกมะนาว ประมาณ 4 ไร่ ที่เหลือปลูกกล้วย มะเขือ และพืชสวนอื่นๆ ร่วมด้วย ตั้งใจทำเพียง 11 เดือน ก็ประสบความสำเร็จ มะนาวเริ่มให้ผลผลิตแล้ว และมีผลผลิตพืชผักส่งจำหน่ายทุกวัน ทำให้มีรายได้วันละ 300-400 บาท หรือประมาณ 10,000-15,000 บาท/เดือน ถือเป็นรายได้ที่ดีมาก

 

ผักเหลียงปลอดสารพิษ รายได้เสริมในสวนปาล์ม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 9 มิ.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/634487

 

เบื่อชีวิตตำรวจจึงลาออกจากราชการ ด.ต.สมนึก โมราศิลป์ เข้าโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด หันมาทำสวนปาล์มน้ำมันในเนื้อที่ 100 ไร่ ที่บ้านห้วยปลิง หมู่ 7 ต.ราชกรูด อ.เมือง จ.ระนอง ระหว่างปาล์มน้ำมันยังไม่ให้ผลผลิต 3 ปียังไม่มีรายได้อะไร เกษตรจังหวัดระนองมาแนะนำให้ปลูกเป็นพืชชนิดอื่นแซมสวนปาล์มเพื่อไว้กิน และเสริมรายได้ให้อีกทางหนึ่ง จึงมองไปที่ผักเหลียง พืชผักพื้นบ้าน เพราะทุกวันนี้ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว เนื่อง จากรสชาติอร่อย ทั้งยังปลอดภัยไม่ต้องใช้สารเคมีเพราะไม่มีแมลงรบกวน


กรมส่งเสริมการเกษตรได้สนับสนุนต้นพันธุ์ผักเหลียง พร้อมแนะวิธีการปลูกผักเหลียงจะต้องอยู่ระหว่างต้นปาล์มน้ำมัน ส่วนช่องว่างระหว่างแถวปาล์มเว้นไว้ เพื่อจะเป็นพื้นที่ว่างให้รถแทรกเตอร์ผ่านเข้า-ออก ไปเก็บผลผลิตปาล์ม และใส่ปุ๋ย เพราะผักเหลียงเป็นพืชชอบขึ้นอยู่ในที่ร่ม ดินร่วนซุย มีความอุดมสมบูรณ์ และต้องมีฝนตกชุกต่อเนื่อง จึงเหมาะสำหรับพื้นที่ภาคใต้ที่มีฝนตกชุกตลอดปี

ด.ต.สมนึก บอกว่า การปลูกผักเหลียงไม่ยุ่งยาก นำต้นพันธุ์ลงปลูกระหว่างแถวของต้นปาล์ม โดยให้มีระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 1 เมตร ขุดหลุมให้ลึก 30 ซม.แล้วรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอก จากนั้นวางต้นพันธุ์ในหลุมที่ขุดแล้วกลบดินแต่พอแน่น รดน้ำให้ชุ่มใช้ไม้หลักปักผูกเชือกป้องกันลม ควรปลูกในช่วงต้นฤดูฝนจะช่วยให้ไม่เสียค่าแรงงานในการรดน้ำ การให้ปุ๋ยแบ่งใส่ 2 ครั้ง ต้นฤดูฝนและปลายฤดูฝน โรยปุ๋ยคอกให้รอบโคนต้นอัตราต้นละครึ่ง กก. ส่วนการบังคับให้ผักเหลียงแตกยอดอ่อนเร็วขึ้น ต้องหมั่นตัดแต่งกิ่งเป็นประจำ และควรตัดลำต้นไม่ให้สูงเกินมือเอื้อมจะสะดวกต่อการเก็บยอด หากฝนทิ้งช่วงประมาณ 3 วัน ให้รดน้ำ 1 ครั้ง ผักเหลียงจะเติบโตและเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุ 2 ปีขึ้นไป


วันนี้สวนปาล์มของ ด.ต.สมนึก ปลูกผักเหลียงแล้วกว่า 3,000 ต้น เริ่มเก็บยอดอ่อนไปขายได้แล้วครั้งละ 500 กำ ขายในพื้นที่กำละ 10 บาท เดือนละ 2 ครั้ง ทำให้มีรายได้เสริมในสวนปาล์มเดือนละ 10,000 บาทเป็นอย่างน้อย กลายเป็นค่าปุ๋ยให้ปาล์มน้ำมันได้อีกทางหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีรายได้จากการขายกิ่งพันธุ์ที่ตอนไว้กิ่งละ 18 บาท ส่วนกิ่งลงปลูกในถุงดำไว้แล้วถุงละ25 บาท ในแต่ละเดือนขายกิ่งพันธุ์มีรายได้เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 5,000 บาท เป็นอีกช่องทางเสริมรายได้จากปาล์มน้ำมัน.

 

ยังสมาร์ทฟาร์มเมอร์ ขายข้าวตันละ 8 หมื่นบาท

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 8 มิ.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/633800

 

“จบวิศวะอุตสาหกรรม เป็นผู้จัดการโรงงานเงินเดือน 60,000 บาท ค่าใช้จ่ายสูง ค่าเช่าบ้าน ค่าผ่อนรถ จิปาถะ เงินเดือนไม่เหลือเก็บ แต่พอได้ไปดูโครงการเกษตรพอเพียง ได้ข้อคิดหากลดต้นทุนทำนาได้ ถึงแม้ข้าวจะราคาตก ไม่มีคำว่าขาดทุนแน่ จึงตัดสินใจกลับชัยนาท ทำนาบนที่ดินกว่า 20 ไร่”

ปรีดาธพันธุ์ จันทร์เรือง อายุ 40 ปี อดีตผู้จัดการโรงงาน ปัจจุบันยังสมาร์ทฟาร์มเมอร์ ต.ท่าชัย อ.เมืองชัยนาท บอกว่า ตอนกลับมาใหม่ๆ พ่อแม่ก็งง มีเงินเดือนสูง ออกมาทำไม แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร…จึงขอแบ่งพื้นที่มาทำนาแค่ 4 ไร่ ปลูกข้าวไรซ์เบอรี่ กับข้าวสินเหล็กอย่างละ 1 ไร่ และข้าวหอมมะลิ 105 อีก 2 ไร่


ลดต้นทุนด้วยการไม่ใช้สารเคมี ใช้แต่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก โรคแมลงแก้ด้วยเชื้อราบิเวอร์เรียกับไตรโคเดอร์มา ได้ผลผลิตเฉลี่ยไร่ละ 900 กก.

วาดฝันไว้สวยหรูตั้งราคาขายไรซ์เบอรี่ กก.ละ 120 บาท สินเหล็ก กก.ละ 100 บาท หอมมะลิ 105 กก.ละ 60 บาท

“ผลผลิตออกมาช่วงแรกเอาข้าวไปขายตามตลาดนัด ราคาไม่ได้ตามเป้า ได้เท่ากับข้าวทั่วไป ไม่ค่อยมีคนซื้อเพราะแพง แต่เมื่อมาคิดว่า ข้าวของเราไม่ได้ใส่ปุ๋ยเคมี ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ทำไมเราต้องเอาของดีไปวางขายรวมกับข้าวคนอื่น เลยสมัครเป็นสมาชิกยังสมาร์ทฟาร์มเมอร์ของกรมส่งเสริมการเกษตร ได้รับการแนะนำให้รวมกลุ่มกันอีกหลายคน เลยมาตั้งเป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชนส่งเสริมกสิกรรมไร้สารพิษเมืองชัยนาท ขายข้าวผ่านอินเตอร์เน็ต และขายผ่านโครงการผูกปิ่นโตข้าว กลุ่มจิตอาสาที่เข้ามาช่วยเหลือชาวนา ทำมา 2 ปีกว่า มีออเดอร์สั่งเข้ามามากจนไม่พอขาย โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิ วันนี้ต้องปลูกเพิ่มเป็น 10 กว่าไร่ ผลผลิตออกมาเท่าไหร่ไม่พอขาย เพราะโครงการผูกปิ่นโตข้าวมาช่วยด้านการตลาดติดต่อลูกค้าให้เรา และแนะนำให้ควบคุมปริมาณผลผลิต ปลูกเท่าที่ตลาดต้องการเท่านั้น”


ปรีดาธพันธุ์ ขยายความถึงการขายข้าวให้ได้ราคาดี เราต้องทำให้ผู้ซื้อ ผู้บริโภคเขาเห็นจริงๆ ในแต่ละปีเราปลูกข้าวเพียง 2 รอบ นาปีปลูกข้าว หอมมะลิ ส่วนนาปรังปลูกข้าวไรซ์เบอรี่กับข้าวสินเหล็ก ได้ผลผลิตมาเท่าไหร่ จะเก็บไว้ที่ไหน ต้องจดบันทึกไว้ ให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ จากนั้นถ่ายรูปพร้อมส่งข้อมูลทั้งหมดให้โครงการผูกปิ่นโตข้าว ซึ่งเป็นผู้รวบรวมรายชื่อลูกค้า ติดต่อผู้ซื้อให้กับเรา โดยให้ลูกค้าโอนเงินมาเข้าบัญชีก่อน

ข้าวทุกพันธุ์ขายในราคา กก.ละ 80 บาท หรือตันละ 80,000 บาท พร้อมค่าจัดส่ง…แต่ละเดือนจะมีออเดอร์อย่างน้อย 600-1,000 กก.


“นอกจากนี้ การขายทางอินเตอร์เน็ตยังทำให้เรามีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติอีกด้วย สนใจมาเที่ยวชม ร่วมปลูกข้าวกับพวกเราแบบโฮมสเตย์ และเมื่อถึงเวลาเกี่ยวข้าว เขาก็พากันกลับมาเกี่ยวข้าวกลับไปกินที่บ้านกันเป็นจำนวนมาก ยิ่งทำให้ลูกค้ารายใหม่แบบนี้เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จนไม่ต้องนำข้าวไปขายตามตลาดอีกแล้ว”

และในฐานะประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนส่งเสริม กสิกรรมไร้สารพิษเมืองชัยนาท ฝากเตือนเพื่อนชาวนาที่สนใจทำนาแบบนี้…พึงระลึกไว้ว่าจะต้องรักษาคุณภาพข้าวให้ดี ไม่โลภมาก อย่าไปเอาข้าวที่อื่นมาหลอกขายผู้บริโภค ต้องเป็นข้าวที่ปลูกในแปลงของเราจริงๆ การทำนาแบบนี้ถึงจะไปรอด…อยากเรียนรู้ศึกษาเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ติดต่อได้ที่ 08-9675-7606.

ไชยรัตน์ ส้มฉุน

 

ชาวนาที่อ่างทอง ไม่รอน้ำแม้เข้าหน้าฝน หันปลูกกล้วยหอมสร้างรายได้แทน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 7 มิ.ย. 2559 22:10

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/633866

 

ชาวนาใน จ.อ่างทอง หนีนาแล้งหันมาปลูก กล้วยหอมทอง และกระเจี๊ยบ แทนการทำนาปี แม้เข้าหน้าฝน แต่ยังไม่มีน้ำทำนา หวั่นหากรอปลูกข้าวอาจต้องขาดทุน

วันที่ 7 มิถุนายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แม้เริ่มเข้าฤดูฝนอย่างเป็นทางการ แต่ปริมาณของน้ำฝนที่ตกลงมานั้นยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของเกษตรกร ในพื้นที่ จ.อ่างทอง โดยน้ำในคลองชลประทานส่วนใหญ่ยังแห้งขอดคลองอยู่ ส่งผลให้เกษตรกรที่ต้องการปลูกข้าวนาปีบางราย ยังคงต้องพึ่งพาอาศัยขุดเจาะบ่อบาดาล เพื่อนำน้ำใต้ดินสูบขึ้นมาทำนาแทน


ทั้งนี้ พบว่าเกษตรกรบางรายจำเป็นต้องหยุดทำนาปีและหันมาปลูกพืชใช้น้ำน้อยชนิดอื่นอย่างเช่น กล้วยหอมทอง กระเจี๊ยบ ส่งขายแทน เพราะเกรงว่าหากจะต้องรอให้ฝนตกลงมาจนกว่าจะมีน้ำเพียงพอในการทำนาจะทำให้ล่าช้าในการเก็บเกี่ยวผลผลิต และเสี่ยงต่อการขาดทุน

นางนริศรา กสิผล อายุ 45 ปี ชาวนารายหนี่งใน จ.อ่างทอง กล่าวว่า ตนเองมีพื้นที่ทำนาอยู่ประมาณ 50 ไร่ เมื่อฤดูแล้งที่ผ่านมาจำต้องปล่อยพื้นที่นาให้รกร้างว่างเปล่าเพราะไม่มีน้ำทำนา หลังจากที่ได้ลงทุนขุดเจาะบ่อบาดาล และใช้พื้นที่นา จำนวน 1 ไร่ ขุดบ่อสำหรับกักเก็บน้ำไว้ใช้ โดยได้สูบน้ำบาดาลลงไปพักไว้ในบ่อที่ขุด พร้อมกับปล่อยพันธุ์ปลาลงไปในบ่อ และใส่สารอีเอ็มเป็นการปรับสภาพน้ำ


จากนั้นตนเองจึงได้ทำการปรับพื้นที่นา จำนวน 50 ไร่ โดยขุดร่องน้ำระหว่างแปลงนาให้น้ำที่สูบมาใช้จากบ่อสามารถไหลไปหล่อเลี้ยงหน่อกล้วยหอมทองได้ทั่วถึง พร้อมได้นำหน่อพันธุ์กล้วยหอมทองที่ทางราชการแจกให้ จำนวน 2,000 หน่อ นำมาปลูกในพื้นที่นาโดยเว้นระยะพอประมาณ ซึ่งพื้นที่ระหว่างต้นที่เหลือก็จะสามารถนำกระเจี๊ยบพืชใช้น้ำน้อยมาปลูกขายสร้างรายได้เสริมอีกทางหนึ่งด้วย

ทั้งนี้กล้วยหอมทองที่ปลูกใช้เวลา 7 เดือน ก็จะสามารถขุดหน่อ และตัดใบนำไปขายได้ หากออกปลีก็สามารถที่จะตัดปลีนำไปขาย ส่วนเครือกล้วยหากว่าเกษตรกรอยู่ในกลุ่มก็จะนำไปขายให้กับกลุ่มในราคาเครือละ 150 บาท หากอยู่ในช่วงราคาดีจะอยู่ที่เครือละ 200-250 บาท


“ถ้าปีนี้ต้องลงทุนปลูกข้าวทำนา แต่ฝนตกลงมาน้อยต้นข้าวที่ปลูกไว้ก็จะแห้งเหี่ยวเฉาตาย แต่ถ้าฝนตกลงมาปริมาณมากก็จะทำให้น้ำท่วมต้นข้าวได้รับความเสียหายเพราะเก็บเกี่ยวไม่ทันเวลา จึงจำเป็นต้องหันมาปลูกพืชทดแทนการทำนาสร้างรายได้เลี้ยงครอบครัวกันต่อไป” นางนริศรา กล่าว

 

ประสิทธิ์’ สอนมวยรัฐ แก้ข้าวด้อยคุณภาพ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 7 มิ.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/633002

 

“หลายประเทศเริ่มเปลี่ยนมาผลิตข้าวคุณภาพส่งขายมากกว่าเน้นยอดส่งออก วันนี้หากไทยยังเน้นส่งออกข้าวให้ได้มากที่สุด โดยไม่ปรับเปลี่ยนพัฒนาคุณภาพข้าว เชื่อว่าอีกไม่นานเกิดปัญหาการกดราคารับซื้ออย่างแน่นอน”

นายประสิทธิ์ บุญเฉย นายกสมาคมชาวนาไทย มองว่า นับวันชาวนาไทยทำนามีต้นทุนสูงขึ้น ทำให้เราสู้กับประเทศเพื่อนบ้านไม่ได้ กลายเป็นปัญหาทำให้ส่งออกลดลง สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ ไม่ใช่มาจากข้าวประเทศเพื่อนบ้านดีกว่า แต่เป็นเพราะที่ผ่านมาภาครัฐมุ่งมั่นแต่จะขายข้าวให้ได้ราคาสูง ปลูกข้าวให้ได้ปริมาณมากๆ จนหลงลืมส่งเสริมให้ชาวนาพัฒนาคุณภาพข้าว ส่งผลให้มีปัญหาต้นทุนการผลิตสูงที่ชาวนาต้องแบกรับเต็มๆ ดังนั้นวันนี้ทั้งรัฐ ทั้งชาวนาต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ มุ่งผลิตข้าวเพื่อสุขภาพ ข้าวเป็นยา ซึ่งมีแนวโน้มเป็นที่ต้องการของกลุ่มผู้บริโภคมากขึ้นเรื่อยๆ

“ผลผลิตข้าวในประเทศมีมากเพียงพอกับความต้องการในบ้านและส่งออก แต่ข้าวที่มีคุณภาพดีจริงๆหาได้ยาก นับวันข้าวไทยคุณภาพจะแย่ลง โดยเฉพาะเรื่องกลิ่น ซึ่งเป็นเสน่ห์ เอกลักษณ์ เริ่มมีความหอมน้อยลง สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะว่าเมล็ดพันธุ์ข้าวด้อยคุณภาพ และส่วนหนึ่งมาจากการใช้สารเคมี-ใส่ปุ๋ย เพื่อเร่งให้ข้าวเติบโตงอกงามมากเกินไป การแก้ปัญหาภาครัฐต้องรณรงค์อย่างจริงจัง ให้เปลี่ยนพฤติกรรมการปลูกข้าว ลดปุ๋ย เคมี เก็บคัดเมล็ดพันธุ์ข้าวไว้ใช้เอง นอกจากช่วยลดต้นทุนแล้ว ยังทำให้ข้าวกลับมามีคุณภาพสู้กับตลาดเพื่อนบ้านได้อย่าง แน่นอน”


เพื่อให้ข้าวไทยกลิ่นหอมไม่แพ้ชาติใดในโลก ประสิทธิ์ แนะชาวนาไทยต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเพาะปลูก ลดการซื้อเมล็ดพันธุ์-ปุ๋ย และพึ่งเคมีให้น้อยที่สุด มุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพข้าวอย่างจริงจัง และต้องบริหารจัดการพื้นที่ปลูกข้าวใหม่ ด้วยการแบ่งพื้นที่เพาะปลูกครึ่งหนึ่งทำนาปลูกข้าว ส่วนที่เหลือเปลี่ยนมาปลูกพืชอายุสั้น เพื่อทำให้มีรายได้เข้ามาชดเชยตลอดเวลา ตั้งแต่ก่อนเริ่มฤดูเพาะปลูกกระทั่งช่วงเก็บเกี่ยวข้าว หากปีไหนข้าวราคาถูกยังมีพืชผัก ผลไม้ ช่วยชดเชยรายได้ส่วนที่ขาดหายไป.

 

เกษตรเมืองลับแล แจง ‘เอทีฟอน’ สารเคมีเร่งผลไม้สุก ใน 3 วัน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 6 มิ.ย. 2559 19:45

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/633040

 

เกษตรกร จ.อุตรดิตถ์ แจง “เอทีฟอน” สารเคมีเร่งสุก โดยนำมาทาที่ขั้วผลไม้ จะเกิดการแตกตัวปล่อยแก๊สเอทิลีน ซึ่งเป็นตัวทำให้ผลไม้สุก เหมือนการบ่ม จากนั้นนำมาผึ่งหรือวางเรียงกันภายใน 3 วัน…

เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 59 นายอำนาจ ปาลาศ เกษตรจังหวัดอุตรดิตถ์ เปิดเผยว่า ตามที่มีข่าวลงในโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับเอทีฟอน ซึ่งเป็นสารเคมีในการเร่งสุก สร้างความตื่นตระหนกให้กับโลกโซเชียล และมีการแชร์กันอย่างแพร่หลายนั้น ปกติจะเป็นของเหลว เมื่อนำมาผสมน้ำให้เจือจางแล้วจุ่มผล หรือทาที่ขั้วผลไม้ก็จะเร่งการสุก ถ้าสารนี้อยู่ในสภาพที่ไม่ใช่กรด จะเกิดการแตกตัวปล่อยแก๊สเอทิลีนออกมา แต่ถ้าอยู่ในสารละลายกรดก็จะคงตัว ดังนั้น สารเข้มข้นของเอทีฟอนจึงใช้กรดเป็นตัวทำละลาย พอถึงเวลาจะเอามาผสมน้ำทำให้ความเป็นกรดลดลง และเอทีฟอนก็จะเริ่มแตกตัวปล่อยแก๊สเอทิลีนออกมา เอทิลีน คือตัวการที่ทำให้ผลไม้สุก เหมือนการบ่มด้วยแก๊สเอทิลีนโดยตรง อย่างเช่น การบ่มมะม่วง กล้วย หรือทุเรียน ครั้งละมากๆ ก็อาจทำได้โดยการละลายเอทีฟอนในน้ำตามความเข้มข้นที่กำหนด แล้วจุ่มผลลงในสารละลายดังกล่าว จากนั้นยกขึ้นโดยไม่ต้องแช่ไว้ นำมาผึ่งหรือวางกองเรียงกัน ผลไม้นั้นจะเริ่มสุกภายใน 3 วัน หลังจากนั้นจะสุกสม่ำเสมอพร้อมกัน

ด้าน นายอำนาจ กล่าวเพิ่มว่า สำหรับทุเรียนในพื้นที่ จ.อุตรดิตถ์ มีการใช้สารเอทีฟอนโดยนำสารตัวนี้มาละลายกับน้ำ จากนั้นผสมกับขมิ้นชัน แล้วนำมาทาที่หัวขั้วทุเรียนที่แก่เพื่อเร่งให้ทุเรียนสุกพร้อมกัน

 

สุดทึ่ง! พระวัดดังอรัญฯ คิดวิธีปลูกมะนาวไร้ดิน-ใช้กะปิตอนกิ่ง ให้ลูกดก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 6 มิ.ย. 2559 14:41

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/632882

 

สุดทึ่งสมภารวัดดังอรัญฯ คิดค้นปลูกมะนาวไร้ดิน นำเศษวัชพืชผสมกับปุ๋ยหมักใช้แทน ขึ้นงามได้ผลเร็วเพียง 10 เดือนก็ออกดอก ยังมีสูตรเด็ดไล่ศัตรูพืช และวิธีตอนกิ่งโดยใช้กะปิ ขณะที่ทหารพรานที่ 12 เข้าไปศึกษา จ่อเปิดศูนย์ฯสอนประชาชน…


ผลมะนาวที่ปลูกโดยไม่ใช้ดิน

เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. พระอธิการพิเศษ วีระปัญโญ เจ้าอาวาสวัดบี.กรีม ม.8 ต.คลองทับจันทร์ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เผยถึงที่มาที่ไปของการปลูกมะนาวไร้ดินนี้ว่า เริ่มมาจากการเป็นผู้ที่ชื่นชอบการปลูกต้นไม้และชอบอนุรักษ์ต้นไม้ อีกทั้งต้องการช่วยเหลือราษฎรในพื้นที่ เนื่องจากมีชาวบ้านในพื้นที่ชอบมาปรึกษาการทำอาชีพภายหลังทำการเกษตรไม่ประสบผลสำเร็จ ทำให้เป็นหนี้เป็นสินและยากจนลง จึงพยายามคิดวิธีช่วยเหลือชาวบ้าน


ชาวบ้านเรียนรู้วิธีการตอนกิ่งมะนาว โดยใช้กะปิ

กระทั่งได้เข้าไปศึกษาและดูการทำการเกษตรต่างๆในอินเทอร์เน็ต และพบว่ามะนาวเป็นพืชที่โตเร็วเป็นพืชผักสวนครัวและมีราคาดีเป็นช่วงๆ จึงได้ไปขอพันธุ์มะนาวแป้นพิจิตร มาจากวิทยาลัยเกษตรสระแก้ว มาเริ่มทดลองปลูกในท่อซีเมนต์ตามทฤษฎีปกติแต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ จึงได้พยายามคิดค้นวิธีทำให้ปลูกมะนาวได้ดีกว่าปกติ อีกทั้งได้เห็นวิธีปลูกผักออร์แกนิคในอินเทอร์เน็ต ซึ่งไม่ต้องใช้ดินแต่ได้ผลดีไม่มีสารพิษ

นอกจากนี้เวลาปัดกวาดลานวัดพบว่าใบไม้ที่ร่วงหล่นจากต้นไม้ภายในวัดจำนวนมากเมื่อกวาดมากองรวมกันทำให้มีจำนวนมากจึงคิดว่าจะทำอย่างไรนำใบไม้หรือวัชพืชนี้มาทำประโยชน์ โดยไม่ต้องเผาทิ้ง และลดปัญหาโลกร้อน จึงได้คิดริเริ่มในการนำวัชพืชเหลือทิ้งเหล่านี้มาปลูกมะนาวแทนดิน


พระอธิการพิเศษ กำลังบรรยายการปลูกมะนาวให้ญาติโยมฟัง

พระอธิการพิเศษ กล่าวต่อว่า ได้ทดลองนำวัชพืชมาผสมกับปุ๋ยหมักชีวภาพ แล้วตากไว้ประมาณ 1 เดือน จากนั้นนำมาวางที่ก้นท่อซีเมนต์ที่เตรียมไว้ประมาณ 1 ส่วนแล้วนำปุ๋ยคอกมาโลยทับวัชพืชแล้วใส่วัชพืชทับอีก 1 ส่วน จากนั้นนำกิ่งพันธุ์มะนาวมาวางปลูกโดยขุดหลุมที่วัชพืชลงไปสัก 1 คืบแล้วนำกิ่งพันธุ์มะนาววางลงไปห้ามไม่ให้กิ่งพันธุ์ติดก้นท่อซีเมนต์

จากนั้นนำกิ่งไม้หรือเศษไม้มาวางพาดปากท่อซีเมนต์แล้วใช้เชือกมัดดามกิ่งมะนาวกับกิ่งไม้ไว้ตรงกลางเพื่อเป็นการป้องกันการล้มของกิ่งพันธุ์มะนาวและเป็นการยึดไม่ให้กิ่งพันธุ์มะนาวเลื่อนลงไปติดก้นท่อซีเมนต์จากนั้นก็กลบโคนกิ่งพันธุ์ด้วยวัชพืชจนเต็ม แล้วราดด้วยน้ำปุ๋ยหมักชีวภาพหรือน้ำอีเอ็ม

ทั้งนี้จะหมั่นลดเพียงน้ำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เท่านั้นเพราะวัชพืชที่นำมาใช้แทนดินจะชุ่มน้ำและอมน้ำไว้ได้นานทำให้ประหยัดการลดน้ำ และพื้นร่วนซุยทำให้รากมะนาวสามารถขยายได้รวดเร็วอีกด้วย จากนั้นจะนำลูกเหม็น สำหรับดับกลิ่นมาใส่ในขวดพลาสติกใส แล้วเจาะรูโดยรอบนำมาผูกห้อยไว้ที่ต้นมะนาวที่ปลูกเพื่อเป็นการไล่ศัตรูพืชที่ได้ผลดีมากทำให้ต้นมะนาวไม่มีศัตรูพืชมารบกวนเลย

อย่างไรก็ตามวิธีปลูกมะนาวด้วยวัชพืชโดยไม่ใช้ดินนี้ทำให้รากแก้วของมะนาวสามารถงอกงามได้เร็วและกระจายไปทั่วท่อซีเมนต์ทำให้ต้นมะนาวโตเร็วใบสวยงาม เพียงแค่ 10 เดือนเท่านั้นต้นมะนาวก็ออกดอก และออกผลในเวลาเพียง 11 เดือน สามารถเก็บผลได้แล้ว ซึ่งถือว่ารวดเร็วกว่าการปลูกมะนาวตามปกติที่ปลูกครั้งแรกต้องใช้เวลาถึง 14 เดือนจึงจะออกดอกและมีผล

นอกจากโตเร็วได้ผลเร็วแล้วผลมะนาวจะใหญ่และสวยงามกว่าปลูกตามปกติ ซึ่งถือว่าเป็นผลสำเร็จ จึงได้ทำการตอนกิ่งมะนาวเพื่อแจกจ่ายให้ชาวบ้านและแนะนำชาวบ้านให้มาเรียนรู้วิธีการปลูกมะนาวแบบไร้ดิน เพราะนอกจากลดปัญหาโลกร้อนแล้วยังเป็นการนำวัชพืชมาทำประโยชน์โดยไม่ต้องเผาทิ้งอีกด้วย

“การตอนกิ่งมะนาวที่ได้ผลดีและรวดเร็วว่าช่วงที่บากกิ่งมะนาวเพื่อตอนกิ่งเมื่อปอกเปลือกกิ่งมะนาวแล้วให้นำกะปิที่ใช้ตำน้ำพริกนี่แหละมาทาที่บริเวณกิ่งที่บากไว้ก่อนจะใช้กาบมะพร้าวมาห่อหุ้ม จะทำให้เกิดรากแก้วเร็วกว่าการตอนกิ่งธรรมดาถึง 2 เท่า ทำให้สามารถตัดออกไปปักชำได้เร็วกว่าปกติ” พระอธิการพิเศษ กล่าว


มะนาวไร้ดินฝีมือของพระอธิการพิเศษ

พระอธิการพิเศษ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ทางวัดบี.กรีม ได้นำพันธุ์มะนาวมาปลูกแบบไร้ดิน โดยปลูกในท่อซีเมนต์และถังพลาสติก จำนวนกว่า 60 ต้น มีหลายพันธุ์ประกอบด้วย พันธุ์แป้นพิจิตร, แป้นเกษตร, แป้นด่านเกวียน, แป้นกาญจนบุรี, ทูลเกล้า, ไร้หนาม, เพชรน้ำหนึ่งไร้เมล็ด โดยมะนาวทุกพันธุ์ปลูกแบบไร้ดินและปลูกเพียง 11 เดือนก็ออกผลแล้ว

ขณะเดียวกันทุกวันนี้จะมีชาวบ้านเดินทางเข้ามาศึกษาเรียนรู้วิธีการปลูกมะนาวไร้ดินกันเป็นจำนวนมากซึ่งทางวัดได้ตอนกิ่งมะนาวแจกจ่ายให้กับชาวบ้านเพื่อให้ชาวบ้านได้นำไปปลูก และทำการตอนกิ่งเองเพื่อนำไปต่อยอดเป็นอาชีพเสริมได้ โดยทางวัดไม่ได้เก็บเงินหรือขายกิ่งพันธุ์ใดๆ ทั้งสิ้น เป็นการสอนและให้เปล่าๆ ถือเป็นการช่วยเหลือชาวบ้านตามนโยบายเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ของเรา

ทางด้าน ร.ต.ประสิทธิ์ มีอาษา อายุ 60 ปี อยู่บ้านเลขที่ 71 ม.8 ต.คลองทับจันทร์ นายทหารนอกราชการที่ผันชีวิตมาเป็นเกษตรกร เผยว่าเกิดมาไม่เคยเห็นปลูกมะนาวไม่ใช้ดิน หลังตนผันชีวิตมาเป็นเกษตรกรได้มีการปลูกต้นไม้และพืชผักผลไม้มาก็หลายชนิดยังไม่เคยเห็นวิธีการปลูกมะนาวโดยไม่ใช้ดินเลย ตอนแรกที่ได้ยินกระแสข่าวนี้ตนก็ไม่เชื่อแต่เมื่อได้มาดูวิธีการปลูกของท่านเจ้าอาวาสวัดบี.กรีม และประสบผลสำเร็จ เห็นผลผลิตคาตาและสามารถได้ผลผลิตเร็วกว่าปกติธรรมดาด้วย จึงได้ตั้งใจเข้ามาเรียนรู้วิธีการปลูกมะนาวไร้ดินที่วัดเพื่อจะนำไปทำสวนมะนาวเพื่อสร้างเป็นอาชีพต่อไป


วัดบี.กรีม ม. 8 ต.คลองทับจันทร์ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว

ทั้งนี้ เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 6 มิ.ย. 59 พ.อ.ปรมาธร บุนนาค ผบ.ฉก.กรม.ทพ.12 กกล.บูรพา(ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 12 กองกำลังบูรพา) ได้สั่งการให้ พ.ท.สมเจตน์ ผลประเสริฐ รอง ผบ.ฉก.กรม.ทพ.12 กกล.บูรพา นำกำลัง จนท.ทหารพราน ฉก.กรม.ทพ.12ฯเดินทางเข้าไปเรียนรู้และสนับสนุนการปลูกมะนาวไม่ใช้ดิน เพื่อเตรียมสนับสนุนเปิดเป็นศูนย์เรียนรู้ประจำหมู่บ้านต่อไป.

 

ปลูกข้าวขำๆ..เลี้ยงกุ้งก้ามแดง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 6 มิ.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/632320

 

“เคยทำงานประจำในกรุงเทพฯ แต่ด้วยเป็นลูกเกษตรกร จึงทำสวนไผ่ มะเดื่อฝรั่ง ขายเป็นรายได้เสริม ปลายปี 57 เริ่มรู้จักกุ้งก้ามแดง เริ่มหาข้อมูล ทดลองเลี้ยง จนเพาะพันธุ์สำเร็จ แน่ใจว่าเลี้ยงกุ้งพันธุ์นี้แล้ว ไม่ต้องซื้อลูกพันธุ์มาเลี้ยงเหมือนกุ้งพันธุ์อื่น เลยกลับไปทำที่บ้าน ทดลองเลี้ยงหลายรูปแบบ เดี๋ยวนี้ลาออกจากงานมาเป็น เกษตรกรเต็มตัว”

ธิติวัฒน์ อ้นสาย เกษตรกรรุ่นใหม่เมืองพิชัย จ.อุตรดิตถ์ เล่าว่า การทดลองเลี้ยงหลายวิธี ทั้งเลี้ยงร่วมกับกุ้งฝอย ปลาสลิด พบว่ากุ้งก้ามแดงสามารถเลี้ยงรวมกับอะไรก็ได้


ตะกร้าพักแม่พันธุ์อุ้มไข่

และได้สูตรเลี้ยง 2 แบบ…เลี้ยงในบ่อดิน ปลูกข้าวอยู่ตรงกลาง มีข้าวและพืชน้ำจอกแหนเป็นอาหารธรรมชาติ ที่หลบซ่อน…วิธีนี้ กุ้งมีอัตรารอดกว่า 90% แต่ข้อเสีย กุ้งแตกไซส์ เหมาะกับการเพาะเลี้ยงเอาปริมาณ

อีกวิธี เลี้ยงแบบบ่อเปิด ไม่มีนาข้าวตรงกลาง แต่ปลูกพืชน้ำริมบ่อ ปล่อยจอกแหนเหมือนบ่อนาข้าวเป็นอาหารธรรมชาติ การเลี้ยงแบบนี้ อัตรารอดต่ำ ประมาณ 80% แต่ได้ไซส์เสมอกัน เหมาะทำกุ้งเนื้อ

ทั้ง 2 วิธีสามารถเลี้ยงรวมกับกุ้งฝอยหรือปลาสลิดได้ แต่ถ้าเลี้ยงกับปลาสลิดกุ้งก้ามแดงต้องมีขนาด 2 นิ้วขึ้นไป ไม่เช่นนั้นปลาสลิดจะกินกุ้งได้

ส่วนวิธีการเลี้ยงและเพาะพันธุ์ ธิติวัฒน์ อธิบาย ที่นี่จะทำบ่อขุดขนาด 1 งาน ลึก 1.2 ม. จำนวน 6 บ่อ (มีทั้งบ่อเปิดและบ่อนาข้าว) ในบ่อจะมีกระชังขนาด 4X6 ม. ทุกบ่อ เป็นกระชังสำหรับผสมพันธุ์…นำพ่อพันธุ์ที่สมบูรณ์ ขนาด 5 นิ้ว ลงกระชัง ในอัตรา 1 ตัวผู้ : 2 ตัวเมีย (1 กระชัง ลงตัวผู้ 20 ตัว ตัวเมีย 40 ตัว)


สาหร่ายในท่อพีวีซีอาหารกุ้งวัยอ่อนและพ่อแม่พันธุ์

ขั้นตอนนี้ไม่ต้องให้อาหารเม็ด แต่ให้สาหร่ายยัดใส่ท่อพีวีซีกระชังละ 3-4 กระบอก ทุก 3-4 วัน…รอ 30 วัน เช็กกุ้งมีไข่หรือไม่ ถ้ามีให้เอาแม่พันธุ์มาพักไว้ในตะกร้าขนาด 5X10 นิ้ว นำมาวางลอยไว้ในบ่อซีเมนต์ ขนาด 1X2 ม. หรือกะละมังขนาดใกล้เคียงกัน ไม่ต้องให้อาหาร เพราะตามธรรมชาติแม่ที่สมบูรณ์จะสะสมอาหารไว้ จนพอเพียงในช่วงอุ้มไข่ จึงไม่กินอาหาร ทิ้งไว้ราว 45 วัน ไข่จะฟักเป็นตัว

นำลูกกุ้งจากแม่พันธุ์ 2 ตัว (ประมาณ 500-600 ตัว) ใส่กะละมังขนาด 80 ซม. เปิดเครื่องให้อากาศ อนุบาลไว้ 3 วัน จับลงกระชังขนาด 3X4 ม. กระชังละไม่เกิน 1,000 ตัว ให้อาหารสาหร่ายยัดใส่ท่อพีวีซีแบบเดียวกับตอนเพาะเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์… เลี้ยงต่อไป 1 เดือน จะได้กุ้งไซส์ 1 นิ้ว พร้อมปล่อยสู่บ่อดิน


บ่อ 1 งานปล่อยลูกกุ้ง 2,000 ตัว ให้กินต้นข้าวและพืชน้ำที่ปลูกไว้กับให้อาหารเสริม 7 เม็ดต่อตัวในตอนเย็น เลี้ยงไป 4 เดือน จะได้กุ้งตัวเมียขนาด 4.5-5.5 นิ้วตัวผู้ขนาด 5.5-6.5 นิ้ว พร้อมขาย และคัดตัวสมบูรณ์ทำพ่อแม่พันธุ์มาหมุนเวียนผสมพันธุ์ ไม่ต้องซื้อหาลูกพันธุ์ใหม่มาเลี้ยงแต่อย่างใด

ธิติวัฒน์บอก ว่า เลี้ยงกุ้งก้ามแดง 6 บ่อ ใช้พื้นที่ไม่ถึง 2 ไร่ แค่ปีเดียวทำเงินมาแล้ว 4 แสน…ปลูกข้าว 2 ไร่ ต่อให้ปลูกทั้งปี จะได้ถึงแสนมั้ย.


กรวัฒน์ วีนิล