วิกฤติแล้งพ้นผ่าน จัดทัพรับฤดูฝน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 6 มิ.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/632352

 

“ประเทศไทย”…เจอวิกฤติภัยแล้งอย่างหนักมาตั้งแต่ปี 2557 ลากยาวต่อเนื่องมาจนถึงปี 2559 ส่งผลกระทบต่อภาค “การเกษตร” แบบหนีไม่ออก

ผลผลิตได้รับความเสียหาย เกษตรกรไม่สามารถปลูกพืชตามฤดูกาลผลิต กระทบรายได้โดยตรง แม้ว่าวันนี้จะเข้าสู่ฤดูฝนแล้วแต่ฝนก็ยังตกกระจายไม่มาก…ปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนยังอยู่ในเกณฑ์น้อย

ลุ่มน้ำเจ้าพระยา…ยังคงระบายน้ำรวมกันวันละ 18 ล้านลูกบาศก์เมตร เน้นเก็บน้ำตลอดฤดูฝนให้ได้มากที่สุด แน่นอนว่าภาคการเกษตรควรรอให้ฝนตกลงมาอย่างสม่ำเสมอมากกว่านี้ จึงค่อยลงมือเพาะปลูก

พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ บอกว่า แม้กรมอุตุนิยมวิทยาจะประกาศให้วันที่ 18 พฤษภาคม ที่ผ่านมา…เป็นวันเริ่มต้นฤดูฝน ปี 2559 อย่างเป็นทางการ แต่จนถึงขณะนี้ ปริมาณฝนสะสมรายภาคทั่วทุกภาคมีปริมาณฝนตกต่ำกว่าค่าเฉลี่ย…ยกเว้นภาคใต้ฝั่งตะวันตก

เหลียวมองไปที่สถานการณ์น้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ทั่วประเทศ ปริมาณน้ำรวมกันอยู่ที่ 31,255 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 44 ของความจุอ่างฯรวมกัน มีปริมาณน้ำใช้การได้ประมาณ 7,814 ล้านลูกบาศก์เมตร

เทียบกับปี 2558 ในช่วงเวลาเดียวกันจะเห็นว่าในปีนี้มีปริมาณน้ำน้อยกว่าราวๆ 2,641 ล้านลูกบาศก์เมตร…เขื่อนยังสามารถรองรับน้ำได้อีกกว่า 39,000 ล้านลูกบาศก์เมตร

ความท้าทายสำคัญในฤดูฝนนี้ก็คือ ทุกโครงการชลประทานทั่วประเทศจะต้องเก็บกักน้ำไว้ให้ได้มากที่สุด ให้สอดคล้องกับปริมาณฝนที่ตกลงมา และไม่กระทบต่อพื้นที่ท้ายเขื่อน

“กรมชลประทานต้องระมัดระวังการปล่อยน้ำจากเขื่อน ควบคุมให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด…จะต้องคำนึงถึงหน้าแล้งครั้งต่อไปด้วย เกษตรกรเองก็ควรใช้น้ำ…น้ำท่าในการทำเกษตรเป็นหลัก หากพื้นที่ใดมีฝนลงแล้ว ก็ขอให้มีการกักเก็บน้ำฝนเพื่อใช้ในการเกษตร ที่สำคัญให้ติดตามการพยากรณ์อากาศจากกรมอุตุฯด้วย”

หัวใจสำคัญคงต้องขอความร่วมมือเกษตรกรให้รอฝนตกลงมาอย่างสม่ำเสมอมากกว่านี้จึงค่อยลงมือทำการเพาะปลูกพืชฤดูฝน พร้อมๆกับการบริหารจัดการน้ำผ่านกรมชลประทาน ใช้อาคารชลประทานต่างๆควบคุม “น้ำท่า”…น้ำฝนที่ไหลลงมาอยู่ในแม่น้ำให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด

“เพื่อส่งน้ำเข้าระบบชลประทานไปยังพื้นที่การเกษตรได้อย่างทั่วถึง ช่วยลดการใช้น้ำจากอ่างเก็บน้ำต่างๆในช่วงฤดูฝน…เก็บกักน้ำในเขื่อนไว้ใช้ในฤดูแล้งหน้าให้มากที่สุดด้วย”

วันนี้…ทั้งประเทศทำนารอบแรกกว่า 5 แสนไร่ ปลูกได้ทันที ที่ไม่อยากให้ปลูกคือแถบอีสาน แถวลุ่มน้ำเจ้าพระยาเริ่มปลูกแล้ว อีกเงื่อนสำคัญในการคลี่คลายปัญหาก็คือความพยายามที่จะเปลี่ยนทัศนคติชาวนา

“เราบังคับเขาไม่ได้ แต่จะมอบหมายให้ข้าราชการเน้นย้ำ สร้างแรงจูงใจการปรับเปลี่ยนอาชีพผ่านศูนย์เรียนรู้…ทำให้เห็น มีการตลาดรองรับที่ชัดเจน พอเห็นแล้วคำถามต่อไปมักจะเป็นว่า…ผลผลิตจะเอาไปขายที่ไหนก็เป็นหน้าที่ของกระทรวงเกษตรฯที่จะหารือร่วมกับกระทรวงพาณิชย์”

ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา ตัวอย่างต้นแบบการกระตุ้นเกษตรกรในปีการเพาะปลูกใหม่ ด้วยการใช้เทคโนโลยี ภูมิปัญญาที่มีความเหมาะสมกับพื้นที่

ลดต้นทุนการผลิต “ข้าว”…จากที่เคยลงทุนไร่ละ 5,497 บาท…ลดลงครึ่งๆเหลือไร่ละ 2,700 บาทเท่านั้น…ขณะที่วางเป้าหมายภาพรวมทั้งประเทศ ต้องการให้ต้นทุนลดลงเหลือไร่ละ 3,000-3,500 บาท

มุ่งหมายเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร ให้คำนึงถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ เตรียมขยายผลให้ครบทุกอำเภอ รวม 882 แห่งทั่วประเทศ

อีกยุทธศาสตร์ในภาพใหญ่ “การทำเกษตรแปลงใหญ่” ที่เสนอแนวทางต่อคณะรัฐมนตรี หลักการคร่าวๆจะให้เกษตรกรสามารถเข้ามากู้เงินในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.1 ผ่าน ธ.ก.ส. ทำให้เกษตรกรมีทุนในการทำเกษตร โดยต้องรวมตัวกันเป็นเกษตรแปลงใหญ่ตามเงื่อนไขที่กำหนด…ปัจจุบันทั้งประเทศมี 500 แปลง

ต่อเนื่องด้วยมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ปีการผลิต 2559/60 ด้านการผลิตให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ครม.เห็นชอบจำนวน 3 โครงการ วงเงินรวม 928.79 ล้านบาท ก็จะมี…โครงการส่งเสริมสนับสนุนการใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิคุณภาพดี ปี 2559/60 กรมการข้าวสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ฯ ใช้งบ 206 ล้านฯ

เป้าหมายแหล่งปลูกข้าว…“ข้าวหอมมะลิ” 23 จังหวัด จำนวน 1,280 หมู่บ้าน 64,000 ครัวเรือน พื้นที่ 640,000 ไร่…ครัวเรือนละไม่เกิน 125 กิโลกรัม นำไปปลูกในพื้นที่ไม่น้อยกว่า 10 ไร่

ถัดมา…โครงการปรับเปลี่ยนการปลูกข้าวไปปลูกพืชที่หลากหลาย ฤดูนาปรังปี 2560 กรมส่งเสริมการเกษตรจะให้การส่งเสริม สนับสนุนเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ ในกลุ่มเป้าหมายเกษตรกรผู้ปลูกข้าวในพื้นที่ 22 จังหวัดลุ่มน้ำเจ้าพระยา จำนวน 60,000 ครัวเรือน พื้นที่ 300,000 ไร่

และ…โครงการสนับสนุนสินเชื่อให้กลุ่มชาวนาผู้ผลิตข้าวแบบแปลงใหญ่ ปี 2559/60 โดย ธ.ก.ส. จะสนับสนุนสินเชื่อวงเงิน 2,130 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการทำนาปีการผลิต 2559/60 แก่สหกรณ์กลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน…กำหนดวงเงินกู้กลุ่มละไม่เกิน 5,000,000 บาท

อังคนา เกตุบรรเทิง เกษตรกร ต.ช่างเหล็ก อ.บางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เล่าว่า ทำนามากว่า 10 ปีแล้วบนเนื้อที่ 37 ไร่ โดยจะทำปีละ 2 รอบ…แต่ฤดูกาลผลิตที่ผ่านมาทำนาได้รอบเดียว เพราะน้ำไม่เพียงพอ แต่ทางรัฐบาลก็เข้ามาช่วยเหลือแนะนำ

เริ่มจาก…ได้รับแจกเชื้อเห็ดนางฟ้า เห็ดฟาง 150 ก้อน และได้ต่อยอดกู้เงิน ธ.ก.ส.มาลงทุนเพิ่มจนทำเห็ดกว่า 1,000 ก้อนแล้ว สามารถเก็บขายได้ 3 กิโลกรัมต่อวัน ได้เงิน 200-240 บาท

“พร้อมๆกับการปลูกชะอม รับพันธุ์มาจากการอบรมเพิ่มความรู้ของเกษตรกรอำเภอ สร้างประโยชน์หลายอย่าง…มีผักกินโดยไม่ต้องเสียเงินไปซื้อ เหลือกินก็นำไปขาย” ปกติทำนาใช้ต้นทุนการผลิตไร่ละ 4,500 บาท แต่ละปีหักลบต้นทุนได้กำไรแค่ 10,000-20,000 บาท หรือ…บางปีก็เสมอทุน ไม่ได้กำไร หากเคราะห์ร้ายเจอแมลงมากัดกินข้าว ต้องพยายามหารายได้เสริมที่เป็นรายวัน

อังคนา วางแผนการทำนาในปีนี้เอาไว้ว่า…ถ้ามีน้ำเพียงพอก็จะทำนา แต่หากไม่ทำนาก็ต้องหาอย่างอื่นทำแทน เช่น ลงทุนซื้อลูกปลาดุกมาเลี้ยง ส่วนพื้นที่นาที่ว่างเปล่าก็มีพ่อค้ามาติดต่อให้ใช้พื้นที่ปลูกตะไคร้ระบบน้ำหยด ส่งขายกิโลกรัมละ 10 บาท ตัดขายเป็นอาทิตย์ และคิดว่าจะปลูกข่าตาแดงไปด้วย เพราะใช้น้ำน้อย

ยังไม่หมดกับมาตรการพลิกชีวิต ได้มีการรวมกลุ่ม…มีสมาชิก 7 คน เพื่อขอรับการช่วยเหลือจากภาครัฐตามมาตรการช่วยเหลือ ผลคืบหน้าได้รับการจัดสรรเงินทุนซื้อพันธุ์ไก่ไข่ แบ่งสมาชิกคนละ 200 ตัว

ทุกวันนี้…เก็บไข่ไก่ขายได้วันละ 160 ฟอง มูลค่า 300 บาท และนำเงินที่ขายไข่ไก่ได้มาจัดสรรแบ่งกัน แถมใต้กรงไก่ยังมีบ่อเลี้ยงปลา สามารถช่วยลดรายจ่ายจากเดิมไปได้ครึ่งหนึ่ง เมื่อบวกกับรายได้เพิ่มจากเห็ด…ไข่ไก่…ผักริมรั้ว เหลือกินก็เอาไปขาย ก็ทำให้ยิ้มออกได้ทุกวัน

“เศรษฐกิจพอเพียง” ความสำเร็จสุดท้ายต้องจบที่ “ความสมดุล” ที่สำคัญต้องรู้จักเน้นคุณภาพ เพิ่มมูลค่า “เกษตรกรยุคใหม่”…หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินจึงจะยืนหยัดอยู่รอดได้ในสภาวการณ์เช่นวันนี้.

 

รายได้ดีกว่าทำนา เกษตรกรที่พัทลุง หันปลูกหญ้าแฝก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 6 มิ.ย. 2559 03:06

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/632627

 

เกษตรกรบ้านค่ายไทย ต.ควนมะพร้าว อ.เมือง จ.พัทลุง เปลี่ยนพื้นที่นาข้าว มาปลูกหญ้าแฝก ปลูกเพียงครั้งเดียว สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ 3-4 ปี สร้างรายได้ไร่ละร่วมแสนบาทต่อปี ซึ่งดีกว่าการทำนาหลายเท่า

วันที่ 5 มิถุนายน นายจำนรรจ์ เพ็งประไพ อายุ 42 ปี อยู่บ้านเลขที่ 66 หมู่ที่ 6 ต.ควนมะพร้าว อ.เมือง จ.พัทลุง เปิดเผยว่า ตนเองประกอบอาชีพทำนา และทำสวนยางพารา แต่มาระยะหลังการทำนาไม่คุ้มกับการลงทุน เนื่องจากต้องใช้ต้นทุนค่อนข้างสูง ทั้งค่าปุ๋ย ค่ายาปราบศัตรูพืช และค่าจ้างที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น ตนจึงได้ใช้พื้นที่ทำนาส่วนหนึ่งมาปลูกหญ้าแฝก เพื่อการจำหน่ายแทนการปลูกข้าวตั้งแต่ปี 2538 โดยได้รับการส่งเสริม และสนับสนุนจากกรมพัฒนาที่ดิน และสำนักงานเกษตรจังหวัดพัทลุงมาอย่างต่อเนื่อง


สำหรับการปลูกหญ้าแฝก เหมือนกับการทำนาดำทั่วไป ซึ่งจะเริ่มปลูกประมาณปลายเดือนตุลาคม โดยเริ่มจากการไถ การปรับพื้นที่ จากนั้นหาต้นกล้ามาปักดำ ระยะห่างระหว่างต้น และระหว่างแถว 50X50 เซนติเมตร หลังจากปักดำได้ประมาณ 1 เดือน ให้ใส่ปุ๋ยยูเรีย และเมื่ออายุได้ 6 เดือนต้นแฝกจะออกดอกพร้อมที่จะขุดจำหน่ายได้แล้ว ขณะนี้ตนได้นำพื้นที่ทำนาทั้งหมด 8 ไร่ มาปลูกหญ้าแฝก คาดว่าจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่าไร่ละ 1 แสนบาทต่อปี ซึ่งดีกว่าการทำนาหลายสิบเท่า


ด้าน นางจงจิตร ฤทธิ์ทอง อายุ 46 ปี อยู่บ้านเลขที่ 160 ม.16 ต.ควนมะพร้าว อ.เมืองพัทลุง ซึ่งเป็นหนึ่งในเกษตรกรที่ปลูกหญ้าแฝก กล่าวว่า ตนได้หันมาปลูกหญ้าแฝกแทนการทำนาข้าว มาตั้งแต่ปี 2538 เช่นเดียวกัน พร้อมกันนี้ ยังเป็นตัวแทนรวบรวมผลผลิตของเพื่อนเกษตรกรส่งจำหน่ายตามจังหวัดต่างๆ โดยจะมีการสั่งซื้อเข้ามาทั้งหน่วยงานราชการและภาคเอกชน ซึ่งแต่ละงวดจะส่งขายประมาณ 8 แสนต้น – 1 ล้านต้น จำหน่ายในราคาต้นละ 10 สตางค์ ขณะนี้ในหมู่ที่ 16 บ้านค่ายไทย ต.ควนมะพร้าว อ.เมืองพัทลุง มีเกษตรกรปลูกหญ้าแฝก จำนวน 40 ราย เนื้อที่ประมาณ 230 ไร่ สำหรับการปลูกแฝกนั้นใช้น้ำน้อย ใช้เงินลงทุนน้อย ปลูกเพียงครั้งเดียว แต่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ 3-4 ปี


ต้องกล้าเปลี่ยน! ร้อยเอ็ดจัดเวทีประชาคมฯส่งเสริมชาวนา ทำเกษตรครบวงจร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 4 มิ.ย. 2559 15:40

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/631924

 

(ภาพจาก เจ้าหน้าที่เกษตรจ.ร้อยเอ็ด)

สำนักงานเกษตร จ.ร้อยเอ็ด ร่วมกับส่วนราชการ จัดเวทีประชาคมพัฒนาอาชีพเกษตรครบวงจรฯ มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 700 คน ตัดสินใจหยุดทำการเกษตรเชิงเดี่ยว หันมาปรับเปลี่ยนวิถีทำการเกษตรครบวงจร ตามแนวเกษตรทฤษฎีใหม่

เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.59 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานเกษตรจังหวัดร้อยเอ็ด ร่วมกับส่วนราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในจังหวัดร้อยเอ็ด จัดเวทีประชาคมเกษตรกรภายใต้โครงการส่งเสริมการพัฒนาอาชีพเกษตรครบวงจร และโครงการพัฒนาการเกษตรครบวงจรในพื้นที่ที่มีศักยภาพ อ.เชียงขวัญ จ.ร้อยเอ็ด เมื่อ 3 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยมีส่วนราชการด้านพืชทุกส่วน การปศุสัตว์ ประมง และส่วนราชการที่เสริมด้านองค์ความรู้ร่วมบูรณาการครบทุกส่วน


เกษตรกรร่วมรับฟังด้วยความสนใจ หันมาทำการเกษตรทฤษฎีใหม่

ผลการทำเวทีประชาคมฯ คือ ให้เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ 700 คน ซึ่งแต่เดิมมีอาชีพทำนาอย่างเดียว จึงให้เกษตรปรับเปลี่ยนวิถีการทำเกษตรแบบใหม่ตามแนวทางเกษตรทฤษฎีใหม่ ไม่ให้ทำเกษตรเเบบเชิงเดี่ยว เพื่อให้สามารถครองชีวิตตนเองได้ ต่อไปนี้จะไม่แจกปัจจัยการผลิตให้เกษตรกรอย่างเดียว ซึ่งไม่เกิดประโยชน์ เพราะที่ผ่านมา เกษตรกรส่วนใหญ่มีแต่ขอจากทางการ


มีเกษตรกรจ.ร้อยเอ็ดที่ตัดสินใจเปลี่ยนแนวทางทำเกษตรแบบเดิมๆ มาร่วมโครงการ ถึง700 คน
 

ข้าวภูเขาไฟประโคนชัย สร้างแบรนด์..ไม่ง้อโรงสี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 3 มิ.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/630554

 

ข้าวหอมมะลิจากทุ่งกุลาร้องไห้ได้รับความนิยมสูง เพราะปลูกจากแหล่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทำให้ข้าวมีความนุ่ม หอม อร่อย…ยิ่งเป็นข้าวหอมมะลิ ที่ปลูกในพื้นที่เคยเป็นแหล่งดินปะทุภูเขาไฟ แทบไม่ต้องหาข้าวจากที่ไหนมาเปรียบเทียบ

ราคาน่าจะทำให้คนเอาหลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน ลืมตาอ้าปากได้ไม่ยาก

แต่ในความเป็นจริง นายประสิทธิ์ ลอยประโคน ผู้ใหญ่บ้านบ้านโคกเมือง ต.จรเข้มาก อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ บอกว่า แม้ข้าวหอมมะลิจากหมู่บ้านไม่เป็นสองรองใคร แต่ถึงเวลาเกี่ยวรวงข้าวจากท้องทุ่งนานำไปขาย ชาวบ้านไม่เคยตั้งราคาขายได้เอง อำนาจทุกอย่างขึ้นอยู่กับโรงสี พ่อค้าคนกลาง


หากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป มีแต่เสี่ยงขาดทุน อนาคตข้างหน้าชาวบ้านต้องเลิกทำนาเพื่อไม่ให้อำนาจตกอยู่ในมือโรงสี ชาวบ้านจึงช่วยกันคิดแก้ปัญหา ได้ข้อสรุปต้องทำข้าวบรรจุถุงขายเอง และให้ข้าวเล่าเรื่อง ให้ผู้บริโภค ได้รู้ ข้าว พืช ผักที่ผลิตจากหมู่-บ้าน ปลูกในดินปะทุภูเขาไฟ มีความพิ-เศษ แตกต่างจากที่อื่นๆ

“เราเก็บตัวอย่างดินส่งไปให้กรมพัฒนา ที่ดินตรวจ จึงรู้ว่าดินในพื้นที่ 10,000ไร่ ของอำเภอประโคนชัย เต็มไปด้วยสารฟอสฟอรัส, แคลเซียม, โพแทสเซียม, เหล็ก, ทองแดง, แมงกานีส, สังกะสี, โบรอน, โมลิดินั่ม, นิกเกิล, ไทเทเนียม, อะลูมิเนียมและซิลิกา ล้วนเป็นแร่ธาตุที่เกิดจากการปะทุของภูเขาไฟ มีประโยชน์ทั้งกับพืชและผู้บริโภคทั้งสิ้น”

หลังจากรู้ว่าสภาพดินมีธาตุต่างๆ ชาวบ้านจึงปรับเปลี่ยนวิถีการทำนา จากเดิมใช้ปุ๋ยสารยาเคมีมาก ปรับระบบการปลูกกันใหม่ ทำให้ข้าวปลอดสารพิษ เริ่มตั้งแต่ไม่เผาตอซัง ปลูกพืชตระกูลถั่วบำรุงดิน และเรียนรู้ฝึกทำปุ๋ยชีวภาพ ปุ๋ยอินทรีย์ใช้เอง กับศูนย์เรียนรู้ที่ ธ.ก.ส.ให้การสนับสนุน


ช่วงสองสามปีแรก ผลผลิตข้าวจะลดลงมาก จากเมื่อก่อนเคยได้ข้าว 800 กก.ต่อไร่ เหลือ 400-500 กก. กระทั่งปีสามให้หลัง ปริมาณข้าวจะเพิ่มขึ้น 700-800 กก.ต่อไร่ และใส่ปุ๋ยลดลง จากเดิมใส่ไร่ละ 50 กก. ลดลงเหลือ 25 กก.

ส่วนผลผลิตข้าวที่ขายส่งให้พ่อค้า โรงสีเอกชน เปลี่ยนมาส่งเข้าโรงสีหมู่บ้าน…นำมาบรรจุใส่ถุงขายเอง และเพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจ ผู้ใหญ่ประสิทธิ์ นำตัวอย่างข้าวส่งให้กรมการข้าวตรวจวิเคราะห์…ไม่เพียงแค่ไร้สารตกค้าง ข้าวภูเขาไฟ ประโคนชัย ยังมีธาตุเหล็ก, ฟอสฟอรัส และแคลเซียม มากกว่าข้าวหอมมะลิที่ปลูกพื้นที่อื่น


ในปีที่ผ่านมาข้าวหอมมะลิภูเขาไฟจากบุรีรัมย์ ได้รับความสนใจจากตลาดทั้งในและต่างประเทศ ปีที่ผ่านมา มีการส่งออกไปขายประเทศจีนผ่านกรมการข้าว 25 ตัน

ส่วนปีนี้คาดว่าปริมาณน่าจะเพิ่มมากขึ้น เพราะกระทรวงพาณิชย์เข้าไปช่วยดูแล แนะนำ กระบวนการผลิต ให้ได้คุณภาพตรงความต้องการของตลาดผู้ซื้อ.


กรมข้าวดึงโรงสี GMP เชื่อมตลาดนาแปลงใหญ่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 2 มิ.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/629927

 

จากนโยบายส่งเสริมการทำเกษตรแปลงใหญ่ เห็นผลช่วยให้ ชาวไร่ ชาวนา ลดต้นทุนการผลิตได้จริง และในห้วงปีที่ผ่านมา กรมการข้าวได้นำร่องทำนาแปลงใหญ่ 23 แปลง กระทั่งสามารถแก้ปัญหาการขาดแคลนเมล็ดพันธุ์ การจ้างแรงงาน เครื่องหยอดกล้า และรถเกี่ยวข้าวได้

นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ อธิบดีกรมการข้าว เผยว่า ฤดูกาลเพาะปลูก 2559/2560 กรมการข้าวได้เดินหน้าขยายพื้นที่นาแปลงใหญ่เพิ่มขึ้นอีก 300 แปลง รวมเป็นพื้นที่ 800,000 ไร่ ในจำนวนนี้ยังไม่รวมนาแปลงใหญ่ที่สมาคมชาวนาได้ทำรวบรวมไว้ พร้อมกับสร้างระบบการเชื่อมโยงตลาด โดยดึงโรงสีที่ผ่านการรับรองระบบ GMP เข้ามาร่วมโครงการด้วย เพื่อให้ชาวนามั่นใจว่ามีแหล่งรับซื้อข้าวอย่างแน่นอน


“การทำนาแปลงใหญ่เดิมเราเน้นเรื่องลดต้นทุนการผลิต เพิ่มปริมาณผลผลิตต่อไร่ให้สูงขึ้น มีเพียงภาคราชการและเกษตรกรเท่านั้นที่ร่วมกันทำ สำหรับฤดูการเพาะปลูกปีนี้ เพื่อยกระดับคุณภาพมาตรฐานข้าวไทยขึ้นไปอีกระดับ กรมการข้าวจึงได้นำโรงสีเอกชนเข้ามาร่วมมือทำงานกันแบบประชารัฐ เกษตรกร-เอกชน-รัฐ เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการปลูกข้าวที่ได้มาตรฐาน GAP ทั้งในเรื่องคุณภาพและความปลอดภัย ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ หรือตั้งแต่ปลูก แปรรูป และจำหน่าย”


สำหรับโรงสีรับซื้อที่เข้าร่วมโครงการ นายอนันต์ บอกว่า ต้องเป็นโรงสีผ่านการรับรองมาตรฐาน GMP ซึ่งปัจจุบันกรมการข้าวได้ตรวจสอบรับรองมาตรฐานไปแล้ว 8 แห่ง คือ กลุ่มโรงสีพระราชทาน จ.น่าน, วิสาหกิจชุมชนบ้านเขากลาง จ.พัทลุง, สหกรณ์การเกษตรเชียงแสน จำกัด จ.เชียงราย, สหกรณ์การเกษตรพร้าว จำกัด จ.เชียงใหม่, บริษัท มาบุญครองฟู๊ด จำกัด จ.สุรินทร์, สหกรณ์การเกษตรบรบือ จำกัดจ.มหาสารคาม, สหกรณ์การเกษตรเมืองร้อยเอ็ด จำกัด จ.ร้อยเอ็ด และสหกรณ์การเกษตรพลังสามัคคีสตรีลุ่มน้ำโขง จำกัด จ.อุบลราชธานี นอกจากนั้นยังมีโรงสีอีก 45 แห่ง ที่ผ่านการรับรองจากกระทรวงพาณิชย์มาเข้าร่วมโครงการรองรับผลผลิตจากนาแปลงใหญ่ในปีนี้ ซึ่งจะช่วยให้ชาวนาสามารถขายข้าวได้ราคาสูงกว่าข้าวทั่วไป เพราะการทำนาแบบ GAP เป็นที่ต้องการของตลาดอยู่แล้ว ยิ่งมีโรงสีที่ได้มาตรฐาน GMP มาช่วยสีแปรรูปให้ด้วย ราคาจะยิ่งสูงกว่าข้าวทั่วไป.

 

วช. ร่วมกับ ม.ขอนแก่น เดินหน้าโครงการประเทศไทยไร้พยาธิใบไม้ตับ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 2 มิ.ย. 2559 02:00

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/630115

สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ร่วมกับ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เดินหน้าโครงการประเทศไทยไร้พยาธิใบไม้ตับ เปลี่ยนวิธีรณรงค์ใหม่ ด้วยการให้ความรู้เด็กในโรงเรียน …

สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) เดินหน้าโครงการประเทศไทยไร้พยาธิใบไม้ตับ (Fluke Free Thailand) เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2559 ณ ห้องออร์คิด บอลรูม โรงแรมพูลแมน ขอนแก่น นางสาวสุกัญญา ธีระกูรณ์เลิศ เลขาธิการคณะกรรมการวิจัย กล่าวว่า โรคมะเร็งท่อน้ำดี
ที่สัมพันธ์กับการติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับนั้น ยังคงเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้เกิดความสูญเสียทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตเป็นอย่างมาก แม้หน่วยงานทางสาธารณสุขจะประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ ในการระวังป้องกันควบคุมโรคพยาธิใบไม้ตับอย่างต่อเนื่อง ทำให้การระบาดของ
โรคพยาธิใบไม้ตับลดลงเป็นลำดับ แต่สถานการณ์อุบัติการณ์ของโรคมะเร็งท่อน้ำดีกลับไม่ได้มีแนวโน้มลดลงตาม ดังนั้นจึงควรมีการให้ความรู้ ความเข้าใจในการควบคุมโรคนี้ในทุกระดับ พร้อมทั้งเฝ้าระวัง การวินิจฉัยโรคมะเร็งท่อน้ำดี ซึ่งมีสาเหตุมาจากพยาธิดังกล่าว


ด้วยเหตุนี้ วช. และ เครือข่ายองค์กรบริหารงานวิจัยแห่งชาติ (คอบช.) จึงได้ให้การสนับสนุนทุนวิจัย
แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนและประชาชนในพื้นที่ และสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน ภายใต้ทุนวิจัยโครงการท้าทายไทย ในหัวข้อ “ประเทศไทย
ไร้พยาธิใบไม้ตับ” (Fluke Free Thailand) โดยมอบหมายให้มหาวิทยาลัยขอนแก่นเป็นแกนหลัก เนื่องจากอยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยคาดว่า โครงการนี้จะสามารถลดปัญหาพยาธิใบไม้ตับในประเทศไทยได้อย่างยั่นยืนในอนาคต



ศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ ประธานกรรมการบริหารสภาวิจัยแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกเหนือจากการวิจัยที่มุ่งเป้า ๒๕ กลุ่มเรื่อง ในชื่อโครงการวิจัยท้าทาย 
ซึ่งประกอบด้วยโครงการวิจัยท้าทายไทย โครงการวิจัยตอบสนองนโยบาย เป้าหมายรัฐบาลและตามระเบียบวาระแห่งชาติ และโครงการความร่วมมือเครือข่ายมหาวิทยาลัย ซึ่งนอกจากจะท้าทายในประเด็นการวิจัยแล้ว โครงการ “ประเทศไทยไร้พยาธิใบไม้ตับ” นี้ยังอยู่ภายใต้โครงการท้าทายไทย โดยการบริหารทุนในรูปแบบ director โดย รศ.นพ.ณรงค์ ขันตีแก้ว คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งจะต้องทำหน้าที่แทน วช. และ คอบช. ในการบริหารทุนในประเด็นที่ท้าทายให้พยาธิใบไม้ตับหมดไปจากประเทศไทยภายใน 5 ปี 
โดยการบูรณาการความร่วมมือของนักวิจัยจากหน่วยงานต่างๆ

ด้าน รศ.นพ.ณรงค์ ขันตีแก้ว หัวหน้าโครงการวิจัยท้าทายไทย : ประเทศไทยไร้พยาธิใบไม้ตับ (cascap ) ม.ขอนแก่น เผยว่า ปี 2535 ไทยมีการรณรงค์ใหญ่ประชาชนปลอดภัยพยาธิใบไม้ตับและได้ผลก็จริง ด้วยการใช้ยาเข้ามาช่วย แต่พฤติกรรมคนกินยังเหมือนเดิม คนเรากินปลาดิบและกินถี่เพิ่มขึ้น แล้วหันไปพึ่งยาถ่ายพยาธิ เมื่อกินยามากขึ้นทำให้เกิดการอักเสบ และกลายเป็นมะเร็งท่อน้ำดีแทน ทำให้จำนวนผู้ป่วยมะเร็งไม่ลดลง ดังนั้นจึงต้องเปลี่ยนวิธีรณรงค์ใหม่ ด้วยการให้ความรู้ในโรงเรียน เริ่มตั้งแต่เด็กซึ่งเป็นครั้งแรกในไทย เพื่อให้คนรู้ว่ากินปลาตะเพียนดิบๆ สุ่มเสี่ยงทำให้เป็นพยาธิใบไม้ตับ และเสียชีวิตได้


นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย รองปลัดกระทรวงสาธารณะสุข กล่าวว่า ที่ผ่านมาแม้จะป้องกันยังไงแต่ปัญหาดังกล่าวยังไม่หมดไป
ส่วนหนึ่งเพราะพฤติกรรมมักง่ายคนบางกลุ่ม โดยเฉพาะรถดูดส้วมปล่อยของเสียลงคูคลอง ส่งผลให้เกิดพยาธิอยู่ในปลา อย่างปลาตะเพียนเมื่อผู้บริโภคกินปลาดิบๆ ทำให้ไข่พยาธิเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งจากการสำรวจพบว่า ปัจจุบันพื้นที่เสี่ยงการเกิดโรคดังกล่าวอยู่ใน ภาคอีสาน 20 จังหวัด ภาคเหนือ 6 จังหวัด และภาคตะวันออก 1 จังหวัด โดยเกิดขึ้นคนกลุ่มเสี่ยงที่มีประวัติรักษาซ้ำๆ เพราะพฤติกรรมการกินไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นปี 2559 โครงการ
วิจัยท้าทายไทยฯ จึงมุ่งเป้าคัดกรองกลุ่มเสี่ยงจำนวน 135,000 คน อัลตร้าซาวด์ตรวจซ้ำ หากวินิจฉัยแล้วพบ จะส่งต่อไปยัง รพ.ขนาดใหญ่ เพื่อให้การรักษาที่ดีขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งท่อน้ำดี ซึ่งมีสาเหตุจากการเกิดพยาธิใบไม้ตับ ซึ่งโรคดังกล่าวใยอดีตหากตรวจพบส่วนใหญ่จะเสียชีวิต แต่ปัจจุบันไทยมีระบบการแพทย์ทันสมัยทำให้การรักษาทำได้ง่ายขึ้น

น้ำดอกไม้..บ้านโปง มะม่วง 3 ยุค 600 ปี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 1 มิ.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/628903

 

เอ่ยชื่อพันธุ์ “มะม่วง 3 ยุคพระมหากษัตริย์ไทย” คงไม่มีใครนึกถึงรูปร่างหน้าตาของมะม่วงพันธุ์นี้ออกเป็นแน่แท้ แต่ถ้าบอกว่า “มะม่วงน้ำดอกไม้” เป็นร้องอ๋อไปทั้งเมือง นี่แหละ “มะม่วง 3 ยุคฯ” ที่มีบันทึกประวัติศาสตร์มานานกว่า 600 ปี มะม่วงพันธุ์นี้เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ไทยถึง 3 ยุค 3 พระองค์”

รศ.ดร.ศิริพร กิรติการกุล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้ เผยว่า มะม่วง 3 ยุคที่กล่าวถึงนี้ เป็นมะม่วงที่ให้ผลผลิตในแหล่งปลูกดั้งเดิม ในปัจจุบันนี้คือที่ตั้ง โครงการพัฒนาบ้านโปง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ต.ป่าไผ่ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ซึ่งปลูกมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง 97 ไร่


พื้นที่นี้และพันธุ์มะม่วงเกี่ยวพันกับพระมหากษัตริย์ไทยอย่างไร รศ.ดร.ศิริพร อธิบายขยายความ…มีการค้นพบจารึกภาษาล้านนา บนแผ่นไม้สักในอุโบสถ วัดดอยแท่นพระผาหลวง ในพื้นที่โครงการพัฒนาบ้านโปง บันทึกไว้ว่า เมื่อปี พ.ศ.1898 พระเจ้ากือนาธรรมิกราช หรือนามสั้นๆว่า พระเจ้ากือนา กษัตริย์องค์ที่ 6 แห่งราชวงศ์มังราย หลังขึ้นครองราชย์ในอาณาจักรล้านนา พระองค์ได้เสด็จมาวัดดอยแท่นฯ แห่งนี้ เพราะมีความแปลกพิเศษไม่เหมือนวัดอื่นๆ…พระพุทธรูปหันหลังให้กับประตูโบสถ์ หันหน้าไปทางหน้าผา มองเห็นตัวเมืองเชียงใหม่


และการเสด็จครั้งนั้น พระเจ้ากือนาได้เสวยมะม่วงน้ำดอกไม้ ที่ปลูกไว้ในพื้นที่แห่งนี้ และชื่นชมว่ามีรสชาติดี

นอกจากนั้น ยังมีเรื่องเล่าเป็นตำนาน สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยกทัพจะไปตีเมืองอังวะ ก่อนจะเสด็จสวรรคตที่เมืองหาง อ.เวียงแหงจ.เชียงใหม่…ในช่วงเดือนเมษายน 2148 ได้เสด็จมาหยุดพักทัพ ณ วัดดอยแท่นฯ ได้มีราษฎรนำมะม่วงในพื้นที่มาถวาย โดยมีหลักฐานการตั้งศาลเพียงตาให้กับเหล่าทหารของพระนเรศวร ที่มาเสียชีวิตที่นี่ พร้อมกับคำ บอกเล่าจากผู้เฒ่าผู้แก่สืบต่อกันมา

รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้เล่าต่ออีกว่า จากเสียงเล่าขานและตำนานที่เล่าต่อกันมา ทำให้มีการนำพันธุ์มะม่วงจากที่นี่ไปปลูกในหลายพื้นที่ แต่เป็นการปลูกด้วยการขยายพันธุ์แบบโบราณ เพาะด้วยเมล็ด…เลยทำให้เกิดการกลายพันธุ์ กลายเป็นมะม่วงหลายพันธุ์ เช่น มะม่วงน้ำดอกไม้มัน มะม่วงน้ำดอกไม้พระประแดง มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง


สำหรับยุคที่ 3 ยุค ปัจจุบัน…พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช พร้อมด้วย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยาม บรมราชกุมารี ได้เสด็จฯมาที่ชุมชนบ้านโปงแห่งนี้ถึง 3 ครั้ง ในปี 2530, 2535 และ 2538 มีพระราชดำริถึงการสร้างป่า โดยนำพันธุ์พืชดั้งเดิมมาปลูก มะม่วงน้ำดอกไม้เป็นหนึ่งในนั้น ทางมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ได้รับสนองดำเนินงานโครงการพระราชดำริฯ

ตั้ง สำนักฟาร์มมหาวิทยาลัย ขึ้นในพื้นที่ของโครงการฯ พร้อมกับนำมะม่วงน้ำดอกไม้สายพันธุ์เดิม และมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง มาปลูกในพื้นที่ชุมชนบ้านโปงแห่งนี้อีกครั้ง ทำให้ปัจจุบันมีเครือข่ายเกษตรกรที่มะม่วงน้ำดอกไม้ร่วมกับมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ส่งออกไปต่างประเทศ ทำรายได้ถึงปีละ 120 ล้านบาท.

ไชยรัตน์ ส้มฉุน

 

ยกสินค้าสหกรณ์จ่อชายแดน ขยายตลาดให้สินค้าเกษตรกร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 31 พ.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/628196

 

ดร.วิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เผยว่า การค้าชายแดนของไทย แม้จะมีการเฝ้าระวังคุมเข้ม แต่ยังมีปัญหาลักลอบนำเข้า-ส่งออกสินค้าอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเกษตร ดังนั้น เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว และสร้างโอกาสให้สินค้าที่ผลิตโดยเกษตรกรมีช่องทางการจำหน่ายเพื่อส่งออกมากขึ้น กรมส่งเสริมสหกรณ์ จึงร่วมกับด่านศุลกากร กรมวิชาการเกษตร กรมปศุสัตว์ กรมประมง มกอช. และกระทรวงพาณิชย์ กรมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ สร้างศูนย์กระจายสินค้าสหกรณ์ชายแดน เขตเศรษฐกิจพิเศษ


“สินค้าที่นำไปจำหน่ายในแต่ละศูนย์ โดยรวมขึ้นอยู่กับสภาพแต่ละพื้นที่มีความต้องการสินค้าประเภทไหน แต่สินค้าหลักๆที่วางจำหน่าย จะมีผลิตภัณฑ์ภาคปศุสัตว์ พริก หอม กระเทียม ข้าวสาร น้ำตาลทราย น้ำมันพืช น้ำปลา รวมทั้งสินค้าเกษตรแปรรูป โดยพื้นที่จะกำหนดให้จัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าจะอยู่ในจังหวัดเชียงราย, ตาก, สระแก้ว, มุกดาหาร, หนองคาย, นครพนม, ตราด, กาญจนบุรี, สงขลาและนราธิวาส”


อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์บอกว่า การสร้างศูนย์กระจายสินค้าสหกรณ์ชายแดนจะเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการสร้างเครือข่าย กระจายสินค้าที่สหกรณ์รวบรวมจากสมาชิก ส่งขายให้กับกลุ่มผู้บริโภคเพื่อนบ้านตามเขตการค้าระหว่างประเทศชายแดน ทำให้เกิดการเชื่อมโยงด้านระบบการขนส่งและโลจิสติกส์ ทั้งระหว่างผู้ซื้อและสหกรณ์กับเอกชนในต่างประเทศ ทำให้กลุ่มเกษตรกรเจ้าของผลผลิตมีโอกาสส่งออกสินค้าไปยังประเทศเพื่อนบ้านได้มากขึ้น ทั้งผู้ซื้อ คนขายมั่นใจในคุณภาพสินค้า เพราะทุกอย่างจะอยู่ภายใต้การดูแลของระบบสหกรณ์


ดร.วิณะโรจน์ กล่าวอีกว่า วิธีการนี้ไม่เพียงจะทำให้ผู้บริโภคได้ซื้อสินค้าสหกรณ์ที่มีคุณภาพในราคายุติธรรม ขณะเดียวกันยังเป็นช่องทางจำหน่ายและรองรับสินค้า ทำให้สหกรณ์สามารถเพิ่มมูลค่าในธุรกิจได้สูง กลไกการซื้อมาแล้วขายไปจะเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดผลกำไรมากขึ้น และสุดท้ายกำไร ทั้งหมดยังจะคืนกลับไปสู่สมาชิกสหกรณ์ในรูปเงินปันผลอีกด้วย.

 

เปิดแลกเปลี่ยนพันธุ์ข้าวฟรี แก้ปัญหาผลผลิตต่อไร่ต่ำ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 30 พ.ค. 2559 11:24

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/628256

 

กรมการข้าวเปิดแลกเปลี่ยนพันธุ์ข้าวฟรีแก้ปัญหาผลผลิตต่อไร่ต่ำ พร้อมเดินหน้าสอบคุณภาพเก็บพันธุ์ข้าวจากชาวนา…

นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ อธิบดีกรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ตามที่กระทรวงเกษตรฯ ประกาศแผนการปลูกข้าวในพื้นที่เหมาะสม 54.8 ล้านไร่ ในฤดูเพาะปลูก 2559/2560 ซึ่งต้องใช้เมล็ดพันธุ์ข้าว 800,000 ตัน โดยศูนย์ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวกรมการข้าว 62,124 ตัน สหกรณ์ 31,190 ตัน ศูนย์ข้าวชุมชน 49,448 ตัน สมาคมผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ 125,700 ตัน และเกษตรกรเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ใช้ ซึ่งปีนี้ปริมาณมากกว่าทุกๆ ปี

“การที่ชาวนาเก็บพันธุ์ข้าวไว้ปลูกเป็นเพราะปีที่ผ่านมา ราคาข้าวไม่สู้จะดีนัก เพื่อลดต้นทุนชาวนาจึงเก็บพันธุ์ข้าวไว้เพาะปลูกเอง ซึ่งกรมหวั่นว่า อายุพันธุ์ข้าวที่เก็บไว้อาจเกิน 3 รอบเพาะปลูก หรือมีกรรมวิธีการเก็บไม่ดี ทำให้เมล็ดพันธุ์คุณภาพแย่ลง ไม่เหมือนกับเมล็ดพันธุ์ที่ซื้อผ่านศูนย์หรือชุมนุมผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ ซึ่งมีการควบคุมคุณภาพเพื่อให้เปอร์เซ็นต์การงอกสูง” อธิบดีกรมการข้าว กล่าว

นายอนันต์ กล่าวต่อว่า เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาผลผลิตข้าวต่อไร่ลดลงกรมการข้าวจึงจัดรถโมบายเคลื่อนที่จากศูนย์ข้าว 58 แห่ง ออกตรวจสอบคุณภาพเมล็ดพันธุ์ข้าว พร้อมทั้งจัดโครงการแลกเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์ โดยเกษตรกรรายไหนที่เก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ใช้เกิน 3 รอบ และไม่มั่นใจว่าพันธุ์ข้าวที่เก็บไว้มีคุณภาพเปอร์เซ็นต์การงอกมากน้อยแค่ไหน สามารถนำมาแลกพันธุ์ข้าว ซึ่งเป็นเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิชั้นพันธุ์ขยาย ซึ่งกรมเตรียมไว้ 8,000 ตัน สำหรับแลกเปลี่ยนในพื้นที่ 23 จังหวัดได้ฟรี นอกจากนี้ ยังได้ตั้งศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวเพิ่มขึ้น 15 ศูนย์ในพื้นที่ จ.บึงกาฬ อำนาจเจริญ ศรีสะเกษ นครนายก และบุรีรัมย์ ส่วนปี 2560/2561 กำหนดสร้างศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวในชัยภูมิ ยโสธร มหาสารคาม นครพนม เชียงราย เพชรบูรณ์ สุพรรณบุรี พิจิตรนครปฐม และสระแก้ว.

 

เลี้ยงหอยลายในบ่อดิน ความฝันใกล้เป็นจริง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 30 พ.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/627740

 

ทดลองเลี้ยงในกระชังเพื่อศึกษาการเติบโต

นับเป็นข่าวดีสำหรับเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำบริเวณชายฝั่ง เมื่อกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประสบความสำเร็จในการหาวิธี ให้เกษตรกรสามารถเพาะเลี้ยงหอยลายได้แล้วในระดับหนึ่ง…หอยลายเติบโตได้ดีและเร็วกว่าเพาะเลี้ยงในโรงเรือน

“เดิมทีเราไม่สามารถเพาะเลี้ยงหอยลายได้ ต้องใช้วิธีลากคราดจับในทะเลเท่านั้น และเมื่อความนิยมบริโภคมีมากขึ้น ถึงขั้นนำมาใช้ในอุตสาหกรรมส่งออก จนกลายเป็นสินค้าเศรษฐกิจสำคัญ การจับจากธรรมชาติเลยมีมากขึ้น จนธรรมชาติผลิตได้ไม่ทันความต้องการ ปี 2545 กรมประมงจึงได้ทำการเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์หอยลาย เพื่อนำลูกพันธุ์หอยลายไปปล่อยในแหล่งธรรมชาติ เพิ่มปริมาณทรัพยากรสัตว์น้ำในท้องทะเล


ทดลองเลี้ยง 3 เดือน หอย 1 ซม. เติบโตเป็น 3 ซม.

แต่ในช่วง 2-3 ปีให้หลังมานี่ ความต้องการหอยลายเพิ่มขึ้นไม่หยุด ประกอบกับแหล่งที่อยู่อาศัยของหอยลาย จะอยู่ในเขตรอยต่อระหว่างประมงชายฝั่งและประมงพาณิชย์ ทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกันมากขึ้น ปี 2558 สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.) จึงได้ให้เราศึกษาวิจัยหาวิธีให้เกษตรกรสามารถเลี้ยงหอยลายได้โดยไม่ต้องไปจับจากธรรมชาติ”

นายธเนศ พุ่มทอง ผอ.ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่ง ประจวบคีรีขันธ์ เล่าถึงที่มาของการทดลองให้เกษตรกรเพาะเลี้ยงหอยลายในบ่อดิน เริ่มมาจากเอาน้ำในบ่อดินภายในศูนย์ วิจัยฯมาทดลองเลี้ยงลูกพันธุ์หอยลาย ปรากฏว่า ได้ผลดี ลูกหอยลายเติบโตได้…กุมภาพันธ์ 59 นำลูกพันธุ์หอยลาย อายุ 3 เดือน ขนาด 1 ซม.มาทดลองเลี้ยงแบบปฏิบัติจริงในบ่อดินของเกษตรกร ในพื้นที่ชายฝั่งทะเล เขตบางขุนเทียน กทม.

การทดลองเลี้ยงในกระชัง ผ่านไป 3 เดือน ปรากฏว่า หอยขนาด 1 ซม.ที่อาศัยเพียงการไขน้ำทะเลเข้ายามน้ำขึ้น เพื่อชักพาแพลงก์ตอนมาเป็นอาหารลูกหอยลาย สามารถเติบโตเพิ่มขนาดขึ้นมาเป็น 3 ซม. และถ้าเลี้ยงต่อไปอีกประมาณ 2 เดือน จะได้ขนาดที่ตลาดต้องการ

“หอยลายโตเร็วกว่าที่คิดไว้ น่าจะเป็นทางเลือกอาชีพใหม่ในการเลี้ยงหอย เพราะก่อนหน้านี้เคยเลี้ยงหอยแครงมาก่อน แต่มีปัญหาหอยตายมากเสียหายไปครึ่งบ่อ ถ้าเลี้ยงหอยลายได้ก็จะดี ใช้เวลาเลี้ยงน้อยกว่าหอยแครง ที่ใช้เวลาเป็นปี” นายสุรินทร์ หมอกยา 1 ใน 10 เกษตรกรเครือข่ายสำนักงานประมงพื้นที่กรุงเทพมหานครที่ร่วมทดลองเลี้ยงหอยลายในบ่อดิน เผยถึงความรู้สึก


หว่านลูกหอยลายในบ่อดินศึกษาอัตราการรอด

แต่กระนั้น นี่ยังเป็นเพียงแค่การทดลองเบื้องต้นเพื่อดูอัตราการเจริญเติบเท่านั้น… การทดลองขั้นต่อไป กรมประมงจะต้องศึกษาอัตราการรอด และนำลูกพันธุ์หอยแรกเกิด อายุ 15 วัน ขนาด 190 ไมครอน (0.002 ซม.) มาทดลองเลี้ยง เพราะเป็นขนาดที่ขนส่งได้สะดวก ปริมาณลูกหอยมาก…บรรจุในภาชนะขนาดเท่าลูกปิงปอง มีลูกพันธุ์หอยมากถึง 1 ล้านตัว เป็นขนาดที่การเลี้ยงในระยะแรก ต้องระวังไม่ให้พื้นที่เลี้ยงมีสัตว์น้ำอย่างอื่นมาจับกินลูกหอยเป็นอาหาร

และหากการทดลองสำเร็จ การส่งเสริมให้เกษตรกรไทยได้เลี้ยงหอยลาย จะเกิดขึ้นทันที.


หอยลายอายุ 3 เดือน ขนาด 1 ซม.

ชาติชาย ศิริพัฒน์