เพาะปลากัด…ส่งนอก ขายราคาดีที่…อิหร่าน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 27 พ.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/625923

 

“16 ปีที่แล้ว เดินถือใบปริญญาตรีหางานจนเหนื่อย ไม่ได้งานทำ เลยกลับบ้านโพรงมะเดื่อ นครปฐม เห็นคนแถวบ้านเพาะปลากัดขาย มีพ่อค้ามารับซื้อถึงที่บ้าน เลยลองเลี้ยงดูบ้าง เริ่มจากปลากัดจีน เป็นพันธุ์แรก เพราะหาพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ได้ง่าย ราคาถูก แถมพื้นที่แถบนี้เลี้ยงหมูจำนวนมาก ในแหล่งน้ำจึงมีลูกไรและลูกน้ำ ซึ่งเป็นอาหารชั้นดีสำหรับปลากัด”


สิรินุช ฉิมพลี หนึ่งในผู้เลี้ยงปลากัดเมืองยอดแหลม (นครปฐม) เล่าให้ฟัง ช่วงแรกๆเลี้ยงแบบพอเพียง แต่เมื่อเห็นว่าตลาดปลากัดสวยงามยังโตได้ เพราะมูลค่าปลากัดในต่างประเทศสูงกว่าบ้านเรา จึงมุ่งทำตลาดเมืองนอก ตั้งเป็น สิรินุช เบตต้าฟาร์ม เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ เน้นส่งออก เปิดขายทางเว็บไซต์ ถ่ายรูปให้ผู้สนใจดูชมได้ ทำให้มีออเดอร์สั่งเข้ามาเยอะ จนต้องขยายกำลังผลิต

สำหรับขั้นตอนการเพาะเลี้ยงปลากัด สิรินุช ให้ความรู้ ปลากัดจะผสมพันธุ์วางไข่ได้ตั้งแต่อายุ 5-6 เดือน เพศผู้ที่สมบูรณ์ ควรมีลักษณะแข็งแรง ปราดเปรียว จะต้องก่อหวอดที่เป็นฟองอากาศเก่ง ส่วนแม่พันธุ์ต้องสมบูรณ์แข็งแรง สังเกตตรงที่ท้องอูมเป่งเต่งตึง ใต้ท้องมีตุ่มสีขาวใกล้ๆรูก้น เห็นได้อย่างชัดเจน เรียกว่าไข่นำ


การเพาะขยายลูกพันธุ์ในขัน

จากนั้นนำพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ใส่ลงไปในขันพลาสติกที่มีน้ำอยู่ 3 ส่วน 4 ของขัน เติมใบมะยมลงไปเพราะจะช่วยให้หวอดของตัวผู้เกาะได้ง่าย ปิดฝาขันด้วยแผ่นกระเบื้องแง้มไว้เล็กน้อยให้มีอากาศถ่ายเท ปล่อยทิ้งไว้ 2 วัน มาเปิดดูหากปลาออกไข่แล้ว ให้ตักเอาตัวเมียออกไป ปล่อยตัวผู้เลี้ยงไข่อีก 5 วัน

จนกลายเป็นลูกปลาตัวเล็กๆ นำลูกปลาไปอนุบาลในบ่อซีเมนต์ 2 เดือน ช่วงนี้ให้ขยำใบหูกวางใส่ในบ่อเพาะพันธุ์ ให้น้ำมีสีชาอ่อนๆ เพราะใบหูกวางมีสารแทนนินช่วยปรับความเป็นกรดด่างของน้ำ ยังป้องกันเชื้อโรค และทำให้ได้ปลาตัวผู้ที่มีสีสันสวยงาม


วิธีการเปลี่ยนถ่ายน้ำ

ตัวไหนสีแปลกตาเก็บไว้เป็นพ่อ-แม่พันธุ์ ส่วนปลากัดอื่นๆนำไปเลี้ยงเดี่ยวต่อในขวดแบน ที่ตัดเจาะรูข้างขวด ในระดับครึ่งขวด เพื่อให้น้ำไหลออกขณะที่เติมน้ำใหม่เข้าไป ทำให้น้ำไม่ล้น ปลาไม่ไหลออกมา รวมทั้งไม่เปลืองพื้นที่ ไม่เหมือนใช้ขวดกลม หรือขวดเหลี่ยม ปลาว่ายกลับตัวได้ง่าย ปลาดุ ไม่ค่อยกินอาหาร…ให้อาหารจำพวกไรแดงวันละครั้ง เพื่อให้ได้ไซส์ตามที่ลูกค้าต้องการ ขนาด 5 ซม.ขึ้นไป ซึ่งใช้เวลาเลี้ยงประมาณ 2 เดือน

ที่สำคัญการจะทำให้ปลากัดมีราคาดี ต้องศึกษาวิธี การพัฒนาและปรับปรุงสายพันธุ์ คอยจับคู่ให้พ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ปลา เพื่อให้เกิดสีสัน ใหม่ๆแปลกๆตลอดเวลา


ทุกวันนี้ สิรินุช เบตต้าฟาร์ม เพาะทั้งปลากัดจีน, ปลากัดทุ่ง หรือปลาป่า, ปลากัดลูกหม้อ, ปลากัดคราวน์เทล, ปลากัดซุปเปอร์ เดลต้า, ปลากัดหางพระจันทร์ครึ่งซีกและปลากัดหางคู่ ขายราคาตัวละ 1 บาทถึง 1,000 บาท ขึ้นอยู่กับความสวยงาม มีออเดอร์ส่งออกไปอเมริกา อังกฤษ อิตาลี ฝรั่งเศส เดือนละ 50,000 ตัว

ล่าสุดเมื่อต้นปี เพียงแค่เดือนเดียว พ่อค้ามีออเดอร์ส่งไปอิหร่าน 200,000 ตัว เพราะมีความนิยมนำไปให้กันเป็นของขวัญตามความเชื่อ “ให้สิ่งมีชีวิต ทำให้ชีวิตรุ่งเรือง” สนใจเรียนรู้ สร้างทางเลือกอาชีพใหม่ ติดต่อได้ที่ 08-6176-1228.

ไชยรัตน์ ส้มฉุน

 

2 พ่อลูกชาวนาสระบุรี พลิกผืนนาเลี้ยงกุ้งก้ามแดง สร้างรายได้งาม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 26 พ.ค. 2559 16:25

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/626068

 

แล้งหนัก ไม่มีน้ำทำนา! 2 พ่อลูกเกษตรกรชาว อ.หนองแซง จ.สระบุรี ผันชีวิต พลิกที่ดินร่วม 3 ไร่ ลงทุนเลี้ยงกุ้งก้ามแดง สร้างรายได้ ไม่ต่ำเดือนละ 4 หมื่นเลี้ยงครอบครัว …

วันที่ 26 พ.ค.59 ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่ บ้านเลขที่ 20/1 ม.7 ต.หนองหัวไทร อ.หนองแซง จ.สระบุรี หลังทราบว่ามีสองพ่อลูกที่เคยทำนาข้าว แต่ระยะหลังประสบภัยแล้ง น้ำไม่มีทำนาข้าว จึงได้ผันชีวิตมาเลี้ยงกุ้งก้ามแดง จนสร้างรายได้ให้ครอบครัว

ที่บ้านหลังดังกล่าว พบ นายบุญส่ง ใจเมือง อายุ 63 ปี กับลูกชาย กำลังให้อาหารกุ้งในบ่อหลังบ้าน จำนวน 5 บ่อ ซึ่งเป็นที่นาข้าวในพื้นที่ร่วม 3 ไร่ นายบุญส่ง กล่าวว่า ที่ผ่านมา ตนมีอาชีพทำนาข้าว โดยมีนาข้าวที่เคยทำอยู่ 70 ไร่ แต่ระยะหลังประสบภัยแล้ง ฝนไม่ตกตามฤดูกาล ไม่มีน้ำทำนา ตนเองและลูกชายไม่รู้จะทำอาชีพอะไรต่อไป จากนั้นลูกชายซึ่งมีเพื่อนเคยเลี้ยงกุ้งอยู่ที่ จ.สระแก้ว เห็นว่าเป็นอาชีพที่น่าสนใจ ตนเองกับลูกชายจึงได้ไปอบรมการเลี้ยงกุ้งก้ามแดงที่สระแก้ว เพื่อที่จะมาประกอบอาชีพเสริม หารายได้ให้ครอบครัว


นายบุญส่ง ใจเมือง อายุ 63 ปี อดีตชาวนาที่ผันตัวเองมาเลี้ยงกุ้งก้ามกรามแดง

นายบุญส่ง กล่าวต่อว่า หลังจากที่ตนเองกับลูกชายได้อบรมการเลี้ยงกุ้งมา จากนั้นก็ได้ซื้อพันธุ์กุ้งก้ามแดง ซื่งเป็นพันธุ์จากประเทศออสเตรเลียกลับมา จำนวน 500 ตัว โดยซื้อมาตัวละ 5 บาท หลังจากนั้นก็มาใช้พื้นที่นาข้าวหลังบ้าน จำนวนร่วม 3 ไร่ ขุดบ่อจำนวน 5 บ่อ โดยรอบๆ บ่อใช้ตะแกรงกันไม่ให้สัตว์อื่นเข้ามาในบ่อน้ำได้ พร้อมกับสูบน้ำบาดาลเข้าในบ่อ แล้วนำกุ้งปล่อยเลี้ยงไว้ โดยมีถังออกซิเจนปล่อยออกไปด้วย

ทั้งนี้ เมื่อกุ้งโตจนอายุประมาณ 3-4 เดือน จะแยกกุ้งตัวเมียมาเพาะพันธุ์เพื่อขยายเลี้ยงได้ต่อทั้งปี หากขายจะได้ตัวละ 200-300 บาท ส่วนกุ้งตัวผู้ก็เลี้ยงต่ออีก 3 เดือน จนโตก็จะตักขึ้นมาส่งขายกิโลกรัมละ 800-1,000 บาท โดยตัวใหญ่จะได้ 5-6 ตัวต่อ 1 กิโลกรัม ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้ครอบครัวเฉลี่ยเดือนละ 30,000-40,000 บาท


การเลี้ยงกุ้งก้ามแดงนั้น มีรายได้ดีกว่าการทำนาแต่ละปี เลยกำลังจะขยายพื้นที่นาข้างเคียงออกไป เพื่อเลี้ยงเพิ่ม

นายบุญส่ง กล่าวเพิ่มเติมว่า การเลี้ยงกุ้งก้ามแดงนั้น มีรายได้ดีกว่าการทำนาแต่ละปี ตอนนี้กำลังจะขยายพื้นที่นาข้างเคียงออกไป เพื่อเลี้ยงกุ้งก้ามแดงเพิ่มเติมอีกด้วย.

 

ใบหม่อนเลี้ยงหมู ลดหอบร้อนช็อกตาย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 26 พ.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/625416

 

วันนี้ใบหม่อนไม่ได้มีประโยชน์แค่มีไว้เป็นอาหารเลี้ยงหนอนไหม สามารถนำมาเลี้ยงสุกรได้ด้วย โดยเฉพาะในช่วงวิกฤติแล้ง ใช้น้ำน้อยกว่าหญ้าเนเปียร์ แถมยังมีสรรพคุณช่วยคลายร้อนให้หมูได้ดีอีกด้วย

นายอภัย สุทธิสังข์ อธิบดีกรมหม่อนไหม เผยว่า ทั้งนี้เป็นผลงานเนื่องมาจากกรมหม่อนไหมได้ร่วมกับกรมปศุสัตว์ ศึกษาวิจัยเพื่อหาอาชีพทางเลือกให้กับเกษตรกรในช่วงฤดูแล้ง และเป็นช่องทางสร้างรายได้ให้กลุ่มผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม เนื่องจากกรมปศุสัตว์มีการนำหญ้าเนเปียร์ผสมกับอาหารข้นอยู่แล้ว แต่การปลูกหญ้าเนเปียร์ต้องใช้น้ำมาก และในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา บ้านเราเจอวิกฤติแล้งมาตลอด และอนาคตมีแนวโน้มปัญหาจะรุนแรงมากขึ้น จึงคิดทำโครงการร่วมกันศึกษาวิจัยนำใบหม่อน มาทดลองใช้เป็นอาหารเลี้ยงสุกร


นายวัชรพงษ์ แก้วหอม ผอ.ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ สระบุรี บอกถึงวิธีศึกษาวิจัยนำใบหม่อนมาเป็นอาหารสุกร ใช้วิธีแบ่งสุกรขุนออกเป็น 3 กลุ่มตัวอย่าง สุกรคอกที่ 1 ใช้อาหารข้นล้วน, สุกรคอกที่ 2 ใช้อาหารข้นผสมกับหญ้าเนเปียร์ 10 เปอร์เซ็นต์ และสุกรคอกที่ 3 เลี้ยงด้วยอาหารข้นผสมใบหม่อนสับละเอียด 10 เปอร์เซ็นต์

ผอ.ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ สระบุรี เผยถึงผลการทดลองในเบื้องต้นว่า แม้สภาพอากาศในช่วงที่มีการทดลองเลี้ยง อุณหภูมิความร้อนจะแตะ 40 องศา แต่สุกรที่เลี้ยงด้วยใบหม่อนผสมอาหารข้น มีอาการเหนื่อยหอบน้อยกว่าการเลี้ยงอีก 2 แบบ ในเบื้องต้นสามารถสรุปได้ว่า การใช้ใบหม่อนผสมอาหารข้นเลี้ยง จะช่วยลดอัตราเสี่ยงจากสุกรช็อกจากสภาพอากาศร้อนได้ดี เพราะปกติอุณหภูมิที่สูงขึ้นจะทำให้สุกรมีอาการเหนื่อยหอบง่าย


ส่วนอัตราการเจริญเติบโต, การสร้างเนื้อและไขมัน สุกรทั้ง 3 กลุ่มตัวอย่างให้ผลไม่แตกต่างกัน สำหรับคุณภาพซากสุกรชำแหละและอัตราการแลกเนื้อเป็นอย่างไร ยังไม่สามารถให้คำตอบที่ชัดเจนได้ เพราะยังอยู่ในการศึกษาวิจัยขั้นต่อไป

และเพื่อเตรียมรับภัยแล้งปี 2560 กรมหม่อนไหมมีแผนจะส่งเสริมให้เกษตรกรในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา จังหวัดนครสวรรค์, ชัยนาท,และลพบุรี ที่ไม่สามารถปลูกข้าวนาปรังให้ปรับพื้นที่เปลี่ยนมาปลูกหม่อนขายใบเป็นอาหารเลี้ยงสุกรต่อไป.

‘ครูแก้ว’ อดีต รมช.เกษตรฯ นำร่องปลูกเมล่อนญี่ปุ่น หนุนเกษตรทางเลือก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 25 พ.ค. 2559 10:30

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/625357

 

สุดเจ๋ง! ‘ครูแก้ว อดีต รมช.เกษตรฯ’ นำร่องปลูกเมล่อนญี่ปุ่น ชดเชยสวนยางตั้งฟาร์มตัวอย่าง หนุนเกษตรทางเลือก ควบแหล่งเที่ยวเชิงเกษตร พร้อมให้คำปรึกษา แนะนำพันธุ์ไปเพาะปลูกครบวงจร ผู้สนใจสามารถมาเยี่ยมชมเกษตรครบวงจรได้

เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2559 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นับเป็นข่าวที่สร้างความสนใจให้กับเกษตรกร พี่น้องประชาชน ภายหลัง นายศุภชัย โพธิ์สุ หรือครูแก้ว อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งถือเป็นอดีต ส.ส.ผู้แทนชาวนครพนม ขวัญใจชาวนครพนมหลายสมัย สายเลือดเกษตรกร ลูกชาวไร่ชาวนา 100 เปอร์เซ็นต์ ที่เคยต่อสู้ขับเคลื่อนผลักดันโครงการรัฐบาลมาหลายสมัย ในการส่งเสริมอาชีพการเกษตร เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนให้กับเกษตรกร


นายศุภชัย โพธิ์สุ หรือครูแก้ว อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กับบทบาทใหม่ เกษตรกรผู้ปลูกเมลอน ที่พูนสุขฟาร์ม

ล่าสุดได้ใช้เวลาว่าง หลังพักงานการเมือง หันมาทำอาชีพเกษตรกรในการเปิดฟาร์มตัวอย่าง ในชื่อ พูนสุขฟาร์ม ในพื้นที่หลังตลาดพูนสุข ในเขตเทศบาลตำบลศรีสงคราม อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม ทดลองทำการเกษตรทางเลือก ในการปลูกนำร่องเมล่อนญี่ปุ่น เป็นแห่งแรกของ จ.นครพนม จนประสบความสำเร็จ ส่งออกขายท้องตลาด สร้างความสนใจให้กับเกษตรกร เป็นอย่างมาก พร้อมเปิดเป็นศูนย์เรียนรู้เกษตรทางเลือก ในการสนับสนุนส่งเสริมให้เกษตรกร มาศึกษาเยี่ยมชม และนำไปเพาะปลูก สร้างรายได้

โดยเฉพาะเกษตรกรที่กำลังประสบปัญหาเรื่องปัญหาราคายางตกต่ำ ส่งผลต่อการขาดทุนอย่างหนัก ต้องแบกภาระหนี้สิน จึงต้องการที่จะส่งเสริมเกษตรกรหันมาปลูกเมล่อนญี่ปุ่นทดแทน สร้างรายได้ เพราะถือเป็นพืชที่ตลาดต้องการผลผลิตจำนวนมาก และมีราคาแพง ตกกิโลกรัมละ 150-200 บาท ที่สำคัญเป็นพืชที่ใช้น้ำน้อย ใช้ระยะเวลาปลูกสั้น แต่สามารถสร้างรายได้เป็นอย่างดี ซึ่งไม่เพียงจะเป็นฟาร์มตัวอย่าง ยังจะมีการพัฒนาส่งเสริมให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร ศึกษาการเกษตรทางเลือกสร้างอาชีพอีกด้วย

นายศุภชัย กล่าวว่า สำหรับที่มาของการปลูกพืชการเกษตรทางเลือก เมล่อนญี่ปุ่น เนื่องจากตนจะเป็นคนที่ชอบทำการเกษตรอยู่แล้ว เพราะครอบครัวมาจากชาวไร่ชาวนา จึงมีใจรัก และเข้าใจถึงหัวอกของเกษตรกร จนได้เดินหน้าทำงานการเมืองเพื่อต้องการสนับสนุนให้เกิดนโยบายรัฐบาลที่ประชาชน พี่น้องเกษตรกรได้ประโยชน์ จนได้มีโอกาสรับตำแหน่งอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทำงานช่วยเหลือชาวไร่ ชาวนา ชาวสวนยางมาตลอดในการแก้ไขปัญหาผลผลิตการเกษตรตกต่ำ


ทำฟาร์มปลูก จำนวน 6 ไร่ รวม 36 โรงเรือน ได้ผลผลิตชุดแรก ประมาณ 7,000 ลูก

“ภายหลังไม่ได้ทำงานการเมือง แต่ยังมีใจรักในการพัฒนาอาชีพการเกษตร โดยเฉพาะในช่วงที่ยางพาราเกิดวิกฤติราคาตกต่ำ จึงได้คิดค้นหาวิธีช่วยเหลือเกษตรกร ในการทำเกษตรทางเลือก เป็นที่มาของการปลุกเมล่อนญี่ปุ่น จึงได้ทำลองทำฟาร์มตัวอย่าง ปลูกเมล่อนญี่ปุ่น จนประสบความสำเร็จได้ผลผลิตออกสู่ตลาดเป็นรุ่นแรก ที่จะเป็นทางเลือกใหม่ให้เกษตรกรมาศึกษานำไปเพาะปลูกทดแทนการทำสวนยาง เพราะเป็นผลผลิตการเกษตรที่ถือว่า ตลาดกำลังต้องการ และมีราคาแพง เป็นผลดีต่อเกษตรกรมีรายได้เพิ่ม” เขากล่าว

นายศุภชัย กล่าวต่อว่า สำหรับเมล่อนญี่ปุ่น ถือเป็นเกษตรทางเลือกใหม่ เป็นพืชตระกูลแตง ที่ปลูกด้วยการเพาะเมล็ดพันธุ์ ก่อนนำมาเพาะปลูกในแปลง ที่เป็นโรงเรียนคลุมด้วยพลาสติกใส เนื่องจากเป็นพืชที่ค่อนข้างจะมีปัญหาเรื่องศัตรูพืช ต้องปลูกในโรงเรือน และต้องศึกษาเรียนรู้วิธีการปลูกมาอย่างดี แต่ถือว่าในสภาพอากาศบ้านเรามีความเหมาะสม เพราะเป็นพืชใช้น้ำน้อย ทนความร้อน เหมาะแก่ปลูกหน้าแล้ง แต่ไม่ชอบหน้าหนาว ใช้เวลาเพาะปลูกประมาณ 30 วัน จะสามารถผสมเกสร

“จากนั้นประมาณ 15 -20 วัน จะออกผลโต และสามารถเก็บผลผลิตขายได้ ในระยะเวลารวมประมาณ 80-90 วัน ซึ่งได้ทดลองทำฟาร์มปลูก จำนวน 6 ไร่ รวม 36 โรงเรือน ได้ผลผลิตชุดแรก ประมาณ 7,000 ลูก หรือประมาณ 15,000 กิโลกรัม มีราคาขายตามตลาดทั่วไป ประมาณกิโลกรัมละ 150-200 บาท ถือว่ามีราคาสูง แต่จะขายประมาณกิโลกรัมละ 80-100 บาท ให้เกษตรกรได้ซื้อไปรับประทานในราคาถูก หากขยันปลูกพื้นที่มาก คาดว่าจะสามารถทำเงินได้เดือนละหลายแสนบาท” นายศุภชัย  กล่าว


ตั้งเป้าจะเป็นศูนย์เรียนรู้เกษตรกรทางเลือกปลูกเมล่อน แห่งแรกของภาคอีสาน

นายศุภชัย กล่าวต่อว่า ถือได้ว่า เหมาะแก่เกษตรกรที่สนใจปลูกขายสร้างรายได้ ซึ่งในการปลูกถ้าเข้าใจศึกษาเรียนรู้ ถือว่าดูแลไม่ยาก และได้ผลผลิตดีเกินคาด และต้องเน้นปลอดสารพิษ ครูแก้ว กล่าวอีกว่า ภายหลังเห็นผลผลิตยอมรับว่าดีใจมาก ที่ได้เปิดฟาร์มทดลองปลูก หลังจากนี้จะทำเป็นศูนย์เรียนรู้เกษตรกรทางเลือกปลูกเมล่อน แห่งแรกของภาคอีสาน เปิดให้เกษตรกร หรือผู้สนใจ มาศึกษาเยี่ยมชมฟรี หรือใครสนใจที่จะศึกษานำพันธุ์ไปเพาะปลูกก็ยินดี เชื่อว่าจะเป็นเกษตรทางเลือกใหม่ ที่จะสามารถทำเงินทดแทนยางพาราได้อย่างแน่นอน

“จึงขอเชิญชวน พี่น้องเกษตรกร ประชาชน นักท่องเที่ยว ที่สนใจมาเที่ยวชมศึกษา โดยในอนาคตพื้นที่ตลาดพูนสุข ในเขตเทศบาลตำบลศรีสงคราม จะพัฒนาเป็นศูนย์เรียนรู้ แหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรกร ครบวงจร และยังเป็นตลาดกลางสินค้าเกษตร ที่สำคัญของ จ.นครพนม สามารถเลือกซื้อ เลือกชม สินค้าเกษตร ปลอดภัยได้อีกด้วย” นายศุภชัย กล่าว.

 

มะนาวในกระถาง ปลูกยังไงให้ลูกดก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 25 พ.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/624874

 

มะนาวแพง ซื้อพันธุ์มาปลูกที่บ้าน พื้นที่มีจำกัดต้องปลูกในกระถาง จนแล้วจนรอดไม่เคยได้ลูก…เป็นปัญหาที่หลายคนพบเจอ วันนี้อดีตข้าราชการเกษียณ มีเคล็ดลับปลูกในกระถางให้ลูกดก

“หลังจากเกษียณใช้เวลาว่างทดลองปลูกมะนาวในกระถาง กว่าจะได้สูตรที่ลงตัว ต้องใช้เวลาถึง 7 ปี ถึงจะรู้เรื่องวิธีการ สูตรปุ๋ย การป้องกันแมลง การทำนอกฤดู รวมถึงเรื่องพันธุ์มะนาว ต้องใช้แป้นพิจิตร เพราะทำนอกฤดูติดลูกง่าย ผลดกใหญ่ ระบบรากแข็งแรง ทนต่อโรคแคงเกอร์และแมลงมากกว่าพันธุ์อื่น”


วิธีการปลูก อ.ประเวศ แสงเพชร อดีตข้าราชการกรมวิชาการเกษตร แนะหากต้องการบังคับนอกฤดู ควรใช้กระถาง 15-18 นิ้ว เพื่อให้รากเดินสะดวก วัสดุใช้ปลูก ดินร่วน 3 ส่วน กากมะพร้าว 1 ส่วน ผสมปุ๋ยคอกเล็กน้อย …ที่สำคัญตอนลงกิ่งพันธุ์มะนาวในกระถาง ต้องมีไม้หรือเสาค้ำ ป้องกันต้นล้ม


เมื่อลงกิ่งตอนแล้ว โรยปุ๋ยสูตรเสมอ 15-15-15 อัตรา 1 ช้อนโต๊ะ ให้ทั่ว รดน้ำวันละครั้ง ไม่กี่วันเมื่อต้นมะนาวตั้งตัวได้ จะเริ่มผลิใบอ่อน ให้ปุ๋ยเดือนละครั้ง จนต้นอายุครบ 3 เดือน จากนั้นเปลี่ยนมาให้ 15 วันครั้ง จนกว่าจะถึงเวลาทำผลนอกฤดู

หากมะนาวออกดอกช่วงที่ต้นอายุยังไม่ครบ 1 ปี ให้เด็ดดอกทิ้งเพื่อให้ได้ต้นสมบูรณ์ที่สุด


อ.ประเวศ ย้ำ ใบอ่อนสำคัญมาก เพราะถือเป็นตัวชี้วัดว่าต้นสมบูรณ์หรือไม่ แถมใบอ่อนยังเป็นอาหารโปรดของแมลง ฉะนั้น ตั้งแต่เริ่มปลูก ต้องป้องกันแมลง…ใช้ยาเส้นครึ่งถุงแช่น้ำสะอาด 1 ลิตร ทิ้งไว้ 3 ชม.กรองเอาแต่น้ำ เติมเหล้าขาว 2 ฝา เขย่าให้เข้ากัน ใส่ฟ็อกกี้ฉีดให้ทั่วต้น 2-3 ครั้ง ที่เหลือเก็บไว้ฉีดเมื่อพบแมลงรบกวน

เมื่อต้นอายุครบ 1 ปี ให้ตอนกิ่งสมบูรณ์เก็บไว้เป็นพันธุ์ พร้อมตัดแต่งทรงพุ่ม ทารอยแผลที่ตัดแต่งด้วยปูนแดงหรือสีน้ำมัน เพื่อป้องกันเชื้อรา บำรุงต้นให้สมบูรณ์

การบังคับให้ออกผลนอกฤดู…ให้เริ่มที่งดน้ำในเดือนตุลาคม เพื่อบังคับให้มะนาวออกผลทันเก็บในเดือนเมษายน ช่วงที่มะนาวแพง


งดการให้น้ำราว 1-2 สัปดาห์ คลุมต้นด้วยวัสดุใสป้องกันฝนหลงฤดู เมื่อเห็นใบเริ่มม้วนกรอบ จึงเปิดพลาสติกออก โรยปุ๋ยสูตร 12-24-12 อัตรา 1 ช้อนโต๊ะ ห่างโคนต้นเล็กน้อย แล้วรดน้ำ และปรับเปลี่ยนกลับมารดน้ำวันละครั้งเหมือนเดิม แต่หากร้อนจัดให้รดวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น และควรหาอะไรมาพรางแสงแดดให้ต้นมะนาวด้วยจะยิ่งดี….ภายใน 7 วัน ต้นมะนาวจะเริ่มออกดอกให้เห็น

ช่วงนี้รดน้ำให้สม่ำเสมอ เปลี่ยนให้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ตามสูตรเดิมอีกครั้ง หรือสูตร 13-13-21 ก็ได้ ที่สำคัญต้องควบคุมแมลงตามขั้นตอนที่กล่าวมาข้างต้น ทำเพียงเท่านี้ก็จะได้มะนาวลูกดกในเดือนเมษายน…อยากรู้ลึก รู้จริงมากกว่านี้ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 08-1624-0684.

กรวัฒน์ วีนิล

 

18 ปีเลี้ยงปลาทับทิม ร้อน-ฝน-หนาว..รอด 90%

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 24 พ.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/624343

 

จากประสบการณ์เลี้ยงปลาทับทิมเป็นเจ้าแรกของประเทศไทยมานาน 18 ปี นายวรชัย แสงวณิช หรือ เฮียกู้ วัย 70 ปี เจ้าของฟาร์มปลาทับทิมกอกวงฮวด ต.บางนกแขวก อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม แนะเคล็ดลับในการเลี้ยงปลาสู้อากาศร้อน-ฤดูฝน-หน้าหนาว

“เริ่มเลี้ยงมาตั้งแต่ปี 2541 ครั้งแรกเลี้ยงเพียง 6 กระชัง แล้วค่อยๆขยายไปเรื่อย ปัจจุบันมีอยู่ 300 กระชัง ช่วงแรกมีปัญหาให้แก้ไขอยู่เรื่อย ทั้งปัญหาช่วงอากาศหนาวปลาไม่ค่อยกิน อาหาร เจริญเติบโตช้า ขายไม่ได้ขนาดไซส์ที่ตลาดต้องการ ถึงหน้าร้อนอากาศร้อนปลาช็อกตายไปทั้งกระชังก็มี ยิ่งช่วงนี้เข้าสู่ฤดูฝน ปริมาณน้ำในแม่น้ำเพิ่มมากขึ้น เลยต้องมาศึกษาทบทวนวิธีเลี้ยงใหม่ นำลูกพันธุ์ปลามาเลี้ยงในบ่ออนุบาลก่อนเป็นเวลา 2 เดือน ทำเป็นบ่อปูนอยู่บนบก มีซาแลนปิดด้านบน ป้องกันนกมากินลูกปลา ติดตั้งเครื่องตีอากาศเพิ่มออกซิเจนในน้ำ ให้อาหารวันละ 1 ครั้ง”


เฮียกู้ บอกว่า เมื่อการเลี้ยงอนุบาลครบ 2 เดือน ย้ายลงไปเลี้ยงในกระชังอีก 4 เดือน อัตราการปล่อยลูกปลา 40 ตัวต่อ ลบ.ม. ช่วงฤดูหนาวมักไม่มีปัญหา แต่ถ้าช่วงหน้าร้อนและฤดูฝน ควรจะลดจำนวนการเลี้ยงลงให้เหลือ 25 ตัวต่อ ลบ.ม. และลดจำนวนกระชังลง 20% จากเลี้ยง 100 กระชัง จะลดลงเหลือแค่ 80 กระชัง

ที่สำคัญ กระชังไม่ได้ใช้เลี้ยงปลาอย่าปล่อยทิ้งไว้ในน้ำ ควรยกขึ้นเหนือน้ำ หรือนำออกไปแขวนตากแดดด้านบนฝั่งไว้ เพื่อให้ปริมาณการไหลเวียนของน้ำดีขึ้น รวมทั้งยังไม่เป็นที่กั้นขยะลอยมาตามน้ำ ในช่วงนี้ให้อาหารวันละ 2 มื้อ เสริมด้วยวิตามิน และอาหารโปรไบโอติกอีก 2 กก.ต่ออาหาร 100 กก.โดยใช้วิธีการผสมลงไปในอาหารระหว่างการเลี้ยงอีกด้วย


ด้วยการเลี้ยงวิธีนี้ เจ้าของฟาร์มปลาทับทิมกอกวงฮวด บอกว่า ช่วยให้ปลาทับทิมมีอัตรารอดถึง 90% ได้ปลามีขนาดใหญ่ไซส์ ตัวละ 7-8 ขีด ตามที่ตลาดต้องการ ขายได้ราคาไม่ต่ำกว่า กก.ละ 100 บาท.

 

น้ำหยดกับโรคมันฯ ความจริง..ที่ต้องปฏิเสธ?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 23 พ.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/623957

 

เกษตรกรเดือดร้อน…ไม่สำคัญเท่าผู้บังคับบัญชาเคือง

ด้วยเหตุผลและความเชื่อแบบนี้กระมัง ถึงทำให้การแก้ปัญหาความยากจนภาคเกษตรไทยไปไม่ถึงฝั่งฝัน เพราะข้าราชการมัวแต่ยึดคติ เอาตัวรอด มองนโยบายผู้บังคับบัญชาสำคัญกว่าข้อเท็จจริง

นโยบายบกพร่องได้ ไม่แก้ไข กลับซุกไว้ใต้พรม เกษตรกรได้รับความเสียหาย ไม่เป็นไร เพราะไร้อำนาจ เสกสรรปั้นตำแหน่งให้ได้

วันก่อนพื้นที่ตรงนี้ได้รายงาน ปัญหาที่เกิดขึ้นกับมันสำปะหลังที่ใช้ระบบน้ำหยด ตามนโยบายให้เกษตรกรกู้เงินติดตั้งระบบน้ำหยดเพื่อเพิ่มผลผลิต กระตุ้นให้เกิดโรครากเน่าหัวเน่า และโรครากปม


ปัญหาที่เกิดขึ้น…ไม่ใช่เพราะระบบน้ำหยดไม่ดี

แต่เพราะความไม่รู้เท่าทัน เกษตรกรไม่รู้ว่าแปลงปลูกมันฯ ของตัวเอง มีเชื้อราไฟท็อปทอร่า ตัวการก่อโรครากเน่าหัวเน่า มีไข่ไส้เดือนฝอยชนิดไม่ดี ต้นตอก่อให้เกิดโรครากปม แฝงตัวซุกซ่อนอยู่ในดิน

เชื้อเหล่านี้สามารถฝังตัวอยู่ในดินได้นาน 1-2 ปี รอความชื้นที่เหมาะสม จะฟักตัวขยายเผ่าพันธุ์ทำลายมันสำปะหลัง…ฤดูแล้ง ปลูกมันฯ แบบปล่อยให้เทวดาเลี้ยง น้ำความชื้นมีน้อย เชื้อร้ายจะไม่ขยายเผ่าพันธุ์ ถึงฤดูถัดมาจะมีฝน แต่ต้นมันฯโตให้หัวไปแล้ว ความเสียหายจะไม่มาก

แต่ถ้าปลูกแบบให้น้ำหยดในหน้าแล้ง…มีน้ำความชื้นตั้งแต่ยังเป็นต้นกล้า จะปลุกเร้าเชื้อชั่ว 2 สายพันธุ์นี้ แพร่กระจายทำลายต้นมันฯได้แบบเต็มๆ โดยเฉพาะโรครากปม…รากเป็นปุ่มปม มันฯไม่ให้หัว แต่ลำต้น ยอดใบด้านบนเหนือพื้นดิน ใบจะเขียวชอุ่มสวยงาม ราวกับได้ปุ๋ยดีดินดี

แต่โทษทีเถอะ ถอนขุดขึ้นมา…มีแต่ราก ไม่มีหัว ไม่มีเงิน


มันสำปะหลัง อายุ 5 เดือน ต้นใบเขียวขจี ถอนขึ้นมามีแต่ราก.

ลองคิดดู มันสำปะหลังกว่าจะขุดขึ้นมาขายได้ต้องใช้เวลาเกือบปี…ไม่เตือนให้เกษตรกรรู้ ระวังปัญหา เมื่อถึงวันที่เกษตรกรกู้เงินทำระบบน้ำหยด ขุดมันฯขึ้นมาขาย ที่บอกว่าจะได้เป็น 10 ตัน มีแต่ราก อะไรจะเกิดขึ้น…จะซ้ำรอย โคพลาสติก กล้ายาง ฯลฯ มั้ย
ทั้งที่นี่คือความจริง มีภาพเป็นหลักฐานที่ยืนยันเกิดขึ้นปีนี้ เดือนนี้…แทนที่หน่วยราชการเกี่ยวข้อง จะรีบเข้าไป เยียวยาแก้ปัญหาให้เกษตรกร ก่อนปลายปีจะเกิดปัญหาใหญ่ตามมา กลับใช้คติซุกขยะไว้ใต้พรม เอาใจนโยบายผู้มีอำนาจ มิให้ขุ่นเคืองใจ อ้างเหตุผล…ไม่มีข้อมูลงานวิจัยและเอกสารวิชาการที่เกี่ยวกับการใช้ระบบน้ำหยดเป็นสาเหตุให้เกิดทั้ง 2 โรคแต่อย่างใด

เมื่อไม่ยอมรับความจริง ย่อมไม่ต้องทำวิจัย…แล้วชาติไหนจะมีเอกสารวิชาการมาแก้ปัญหาให้เกษตรกร.


มันสำปะหลัง อายุ 5 เดือน พันธุ์เดียวกัน แต่ปลูกคนละแปลง ปลูกแบบใช้น้ำหยดพบปัญหาโรครากปมไม่มีหัว ในขณะที่ปลูกแบบเทวดาเลี้ยงกลับให้หัวเกือบปกติ ยังมีอาการรากปมให้เห็น เพราะดินแปลงปลูกมีเชื้อไส้เดือนฝอย.
 

พลิกวิกฤติแล้ง! ชาวนาหันทำนากบ-ขายลูกอ๊อด โกยเงินเดือนละแสน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 22 พ.ค. 2559 17:10

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/623964

 

ชาวนาพลิกวิกฤติแล้ง! หันทำนากบ-ขายลูกอ๊อด ซึ่งมองว่าเป็นที่ต้องการของตลาด หายาก ราคาสูง ส่งขายตลาดทั่วอีสาน โกยเดือนละแสน ระบุ อาชีพต้นทุนต่ำ กำไรงาม เงินสะพัดปีละหลาย 10 ล้าน…

เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 59 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่จังหวัดนครพนม ในช่วงระหว่างเดือน ก.พ.- พ.ค.ของทุกปี แม้หลายพื้นที่จะประสบปัญหาจากภาวะภัยแล้ง ไม่สามารถทำการเกษตรนาปรัง หรือปลูกพืชการเกษตรหน้าแล้งได้ แต่ชาวบ้านหนองแต้ และชาวบ้านนาขาม ต.นาขาม อ.เรณูนคร จ.นครพนม พลิกวิกฤติเป็นโอกาสนำอาชีพภูมิปัญญาชาวบ้าน ทำนากบ มาสร้างรายได้หน้าแล้ง ด้วยการปรับพื้นที่นา นำตาข่ายเขียวมาขึงเป็นคอกเลี้ยงกบ ขายลูกอ๊อด เนื่องจากมองว่า ลูกอ๊อด เป็นที่ต้องการของตลาดสูงและหายาก โดยได้เริ่มจากการเลี้ยงตามภูมิปัญญาชาวบ้านลองผิดลองถูกมานานหลายปี จนกระทั่งเกิดความชำนาญ กลายเป็นอาชีพที่มีผลผลิตสร้างรายได้ให้กับชาวบ้านได้เป็นอย่างดี จนทำให้หมู่บ้านเหล่านี้เป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่า หมู่บ้านเลี้ยงกบ ซึ่งถือได้ว่า เป็นแห่งเดียวของนครพนม ซึ่งในแต่ละปีจะมีบรรดาพ่อค้าแม่ค้าเดินทางมารับซื้อลูกอ๊อด ช่วงหน้าแล้ง ไปส่งขายออกสู่ตลาดทั่วภาคอีสาน ปีละหลาย 10 ตัน สร้างเงินหมุนเวียนสะพัดปีละกว่า 10 ล้านบาท


นายสมชัย วงษ์สุข อายุ 56 ปี เกษตรกรชาวบ้านหนองแต้ ต.นาขาม อ.เรณูนคร จ.นครพนม ซึ่งถือเป็นเกษตรกรตัวอย่างที่นำร่องบุกเบิกทำอาชีพนากบมานานกว่า 10 ปี เล่าว่า เดิมชาวบ้านหนองแต่ ทำไร่ทำนา พอหมดฤดูนาปี ถึงหน้าแล้งส่วนใหญ่จะไปทำงานรับจ้างต่างจังหวัด หารายได้เสริม ตนเกิดความคิดหาวิธีเลี้ยงกบขาย เพราะมองว่ากบน่าจะหายากในช่วงหน้าแล้ง บวกกับลูกอ๊อด เป็นที่ต้องการของตลาดสูง หาตามธรรมชาติยาก จึงนำมาทดลองเลี้ยงแบบลองผิดลองถูก ใช้เวลา 2 -3 ปี จึงประสบความสำเร็จ สามารถขายได้ทั้งลูกอ๊อด รวมถึงกบที่โตแล้ว และมีตลาดรองรับตลอด จึงแนะนำส่งเสริมชาวบ้านเลี้ยงมาต่อเนื่อง ทำให้ปัจจุบันในหมู่บ้านมีคนยึดอาชีพนากบเกือบทั้งหมู่บ้านกว่า 100 ครอบครัว

ทั้งนี้ ลูกอ๊อดจะขายต้นฤดูราคาอยู่ที่กิโลกรัมละ 200 -250 บาท กลางฤดูจะลดลง ประมาณกิโลกรัมละ 150 -200 บาท นอกจากนี้ยังได้แยกลูกอ๊อดบางส่วนไปเลี้ยงในบ่อพัก เพื่อขายเป็นกบตัวโตตามขนาดมีตั้งแต่กิโลกรัมละ 150 – 200 บาท ยิ่งช่วงหน้าหนาว กบธรรมชาติขาดตลาด ยิ่งได้ราคาดี ประมาณกิโลกรัมละ 250 บาท โดยจะเลี้ยงขายแบบครบวงจรตลอดปี ตั้งแต่ลูกอ๊อดไปถึงพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ รวมถึงกบรุ่นกลาง เพื่อส่งขายตามท้องตลาดทั่วไป การดูแลถือว่าดูแลง่ายต้นทุนต่ำ เพียงหมั่นตรวจสอบดูแล ให้อาคารตามเวลา ก็สามารถทำเงินได้แล้ว ถือว่าเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ดี ใช้น้ำน้อย มีกำไรสูงมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ สามารถทำเงินได้เดือนละเป็นแสน จนถึงหลักล้าน ขึ้นอยู่กับปริมาณเลี้ยง


“ทุกวันในหมู่บ้านจะมีลูกอ๊อด ส่งขายไปตามตลาดทั่วภาคอีสานวันละไม่ต่ำกว่า 4-5 ตัน เป็นเงินไม่ต่ำกว่าวันละแสนบาท ทุกปีทำให้หมู่บ้านแห่งนี้มีเงินหมุนเวียนสะพัดปีละหลาย 10 ล้านบาท ถือเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ในช่วงหน้าแล้งเป็นอย่างดี มีตลาดรับไม่อั้น เนื่องจากเป็นที่นิยมของชาวอีสาน สามารถส่งขายไปปรุงเป็นเมนูเด็ดของแซบอีสาน ตามความชอบ แกงอ่อม นึ่ง หมก และผัดเผ็ด แต่หากินยาก ส่วนใหญ่มีขายเฉพาะหน้าแล้ง พอถึงหน้าฝนเกษตรกรจะหันไปทำนาปีปกติ แต่มีบางรายเลี้ยงขายครบวงจรตลอดปี”

 

กรมชลฯจัดแผนพัฒนาระบบน้ำไร่นา
ปี 59 จ่ายน้ำคลุมพื้นที่ 9.5 หมื่นไร่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 21 พ.ค. 2559 20:55

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/623734

 

กรมชลประทาน เผยแผนพัฒนาพื้นที่ระบบชลประทานในไร่นา 95,293 ไร่ เพื่อกระจายน้ำไปสู่แหล่งเพาะปลูกได้อย่างทั่วถึง รวมทั้งแผนพัฒนาพื้นที่ทางการเกษตร ด้วยการรวบรวมที่ดินหลายแปลงมาวางผังใหม่พร้อมทำถนนและระบบชลประทาน…

เมื่อวันที่ 21 พ.ค.2559 นายสิริวิชญ กลิ่นภักดี ผู้อำนวยการสำนักงานจัดรูปที่ดินกลาง กรมชลประทาน เปิดเผยว่า ปี 2559 นี้ กรมชลประทานได้มอบหมายให้สำนักงานจัดรูปที่ดินกลางเร่งขับเคลื่อน พัฒนางานจัดรูปที่ดินตามพ.ร.บ.จัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2558 ซึ่งมีเป้าหมายพัฒนาพื้นที่ระบบชลประทานในไร่นา  95,293 ไร่ แยกเป็น การพัฒนาจัดรูปที่ดิน 8,060 ไร่ และพัฒนาเป็นงานจัดระบบน้ำเพื่อเกษตรกรรม 87,233 ไร่ ซึ่งจะสามารถกระจายน้ำไปสู่แหล่งเพาะปลูกได้อย่างทั่วถึง

นอกจากนั้น ยังเตรียมแผนดำเนินการศึกษาแผนงานก่อสร้างใหม่ขอบเขตพื้นที่ที่มีประสิทธิภาพ 40 ล้านไร่ ที่มีความเหมาะสมที่จะพัฒนาระบบชลประทานในไร่นาได้ 
ปัจจุบันสำนักงานจัดรูปที่ดินกลางอยู่ระหว่างเร่งจัดทำแผนแม่บทการจัดรูป ที่ดิน ตาม พ.ร.บ.จัดรูปที่ดินฯ ซึ่งเป็นกฎหมายใหม่ โดยดึงเกษตรกร เจ้าของที่ดิน และชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม มีเป้าหมายพัฒนาพื้นที่การเกษตรทั้งในเขตชลประทานและนอกเขตชลประทานให้มีระบบแพร่กระจายน้ำในไร่นาอย่างทั่วถึง ทั้งในรูปแบบการจัดระบบน้ำและการจัดรูปที่ดิน

“งานจัดรูปที่ดิน กรมชลประทานมุ่งพัฒนาที่ดินที่ใช้เพื่อเกษตรกรรมให้สมบูรณ์ทั่วถึงทุกแปลง โดยรวบรวมที่ดินหลายแปลงในบริเวณเดียวกัน เพื่อวางผังจัดรูปที่ดินใหม่ พร้อมจัดระบบชลประทาน จัดสร้างถนนหรือทางลำเลียงในไร่นา มีการปรับระดับพื้นที่ดิน ปรับปรุงบำรุงดิน ขณะเดียวกันส่งเสริมการวางแผนการผลิตและการจำหน่ายผลผลิตการเกษตร รวมถึงการแลกเปลี่ยน การโอน การรับโอนสิทธิในที่ดิน การให้เช่าซื้อที่ดิน และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมด้วย” ผู้อำนวยการสำนักงานจัดรูปที่ดินกลาง กรมชลประทาน กล่าว

ส่วนการจัดระบบน้ำเพื่อเกษตรกรรม นายสิริวิชญ บอกว่า ได้มีเป้าหมายจัดระบบชลประทานจากทางน้ำชลประทานหรือแหล่งน้ำอื่นๆ นำไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่การเกษตรอย่างทั่วถึง มีทั้งการสร้างระบบส่งน้ำแบบคูส่งน้ำรูปสี่เหลี่ยมคางหมู ระบบส่งน้ำแบบ U-Shape และระบบส่งน้ำแบบท่อ เพื่อกระจายน้ำไปหล่อเลี้ยงพื้นที่เพาะปลูก ทำให้เกษตรกรมีน้ำใช้อย่างพอเพียงและเหมาะสมกับการเกษตร ไม่ว่าจะเป็นนาข้าว อ้อย ปาล์มน้ำมัน สับปะรด มะม่วง และยางพารา ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนเพิ่มผลผลิตให้กับเกษตรกรตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขณะเดียวกันยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ ทำให้เกษตรกรมีโอกาสผลิตสินค้าเกษตรป้อนเข้าสู่ตลาดเพิ่มมากขึ้น และมีรายได้สูงขึ้น อันจะนำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น ผอ.สำนักงานจัดรูปที่ดินกลางกล่าว

 

ขอนแก่น 3…หวานทนแล้ง หลีกลี้หนีโรคเอดส์อ้อย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 20 พ.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/622775

 

อาการของอ้อยตอเป็นโรคใบขาว

อ้อยหนึ่งในพืชเศรษฐกิจที่เกษตรกรนิยมปลูก เพราะปีแรกหลังจากปลูกแล้วตัดอ้อยส่งขายโรงงาน สามารถไว้ตอปลูกต่อได้อีก 2–3 ปี โดยไม่ต้องปรับสภาพหน้าดินปลูกใหม่เหมือนพืชหลายๆชนิด

แต่ถ้าเลือกพันธุ์อ้อยไม่ดี นอกจากทำให้ต้นทุนสูง ยังเสี่ยงเกิดโรคโดยเฉพาะโรคใบขาวอ้อย ที่ชาวไร่อ้อยกลัวกันมาก เพราะเป็นโรคที่ยากจะดูได้จากภายนอก และไม่มีวิธีกำจัดรักษา ไม่ต่างอะไรจากคนป่วยเป็นโรคเอดส์


นายสรรเสริญ เสียงใส นักวิชาการชำนาญการ กรมวิชาการเกษตร สวพ.3 ขอนแก่น บอกว่า โรคนี้มีสาเหตุมาจากเชื้อไฟโตพลาสติดมากับท่อนพันธุ์อ้อย ถ้าอ้อยสมบูรณ์ ได้รับน้ำ ปุ๋ย แดดดีอย่างต่อเนื่อง อ้อยจะเติบโตเป็นปกติ ดูไม่ออกว่าติดเชื้อนี้มา

“แต่เมื่อใดอ้อยกระทบแล้ง น้ำท่วม ขาดปุ๋ย หรือเป็นอ้อยตอปีที่ 2 อาการของโรคจะแสดงออกมาให้เห็น ใบอ้อยขาว แตกกอมากคล้ายกอตะไคร้ การกำจัดสามารถทำได้วิธีเดียว ขุดไปเผาทำลาย หากปล่อยทิ้งไว้จะกินปุ๋ย เปลืองน้ำ ต้นโตช้า หรือถ้าโตจะออกดอก ทำให้สูญเสียน้ำหนัก ความหวานลดลง”


หนทางที่จะแก้ปัญหานี้ได้ คือใช้วิธีป้องกัน เลือกใช้ท่อนพันธุ์ที่ปลอดเชื้อ

เพื่อแก้ปัญหานี้ ปี 2537 นักวิจัยของศูนย์วิจัยพืชไร่ขอนแก่นจึงนำพันธุ์อ้อยเค 84-200 (ต้นพ่อ) ซึ่งแตกกอ 4-5 ลำ ออกดอกน้อย ไม่เสียน้ำหนัก ความหวานอยู่ที่ 11-13 ซีซีเอสต่อตัน ให้ผลผลิตสูง 14-17 ตันต่อไร่ มาผสมกับอ้อยโคลน 85-2-352 ที่ให้ผลผลิต 17.79 ตันต่อไร่ ความหวาน 2.66 ซีซีเอสต่อตัน ลักษณะต้านทานโรคเหี่ยวเน่าแดงและแส้ดำ ทนแล้ง เหมาะกับสภาพ
ดินร่วนปนทราย เริ่มปรับปรุงพันธุ์


การวิจัยปรับปรุงพันธุ์ใช้เวลา 15 ปี ได้พันธุ์ใหม่ “อ้อยขอนแก่น 3” ปลูกได้ดีในสภาพดินร่วนปนทราย ทนแล้ง ลำใหญ่ แตกกอดี มีค่าความหวาน 12 ซีซีเอสต่อตัน ถ้าดูแลดีให้น้ำเพียงพอจะได้ผลผลิต 18-22 ตันต่อไร่ ส่วนอ้อยตอปี 2 ผลผลิต 16 ตันต่อไร่

ที่สำคัญ อ้อยตอพันธุ์ขอนแก่น 3 พบการระบาดโรคใบขาวน้อยมาก


เพื่อให้มีอ้อยพันธุ์ดีปลอดโรค เพียงพอกับความต้องการของเกษตรกร ศูนย์วิจัยพืชไร่จึงนำอ้อยพันธุ์ขอนแก่น 3 มาทำการขยายพันธุ์ด้วยวิธีเพาะเนื้อเยื่อ เพื่อเพิ่มปริมาณกล้าพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว ส่งต่อให้เกษตรกรนำไปปลูกขายท่อนพันธุ์เพื่อจำหน่ายกระจายพันธุ์สู่ชาวไร่อ้อยด้วยกันในราคาไร่ละ 15,000-20,000 บาท

และเมื่อเกษตรกรนำไปปลูกปรากฏว่า เป็นที่ชื่นชอบของโรงงานน้ำตาล เพราะพันธุ์ขอนแก่น 3 มีค่าความหวาน 11–13 ซีซีเอสต่อตัน สูงกว่ามาตรฐานที่โรงงานตั้งไว้ 10–11 ซีซีเอสต่อตัน.

เพ็ญพิชญา เตียว