เกษตรกรพัทลุง ปลูกดอกดาวเรืองหลังทำนา 1 ไร่ ทำรายได้ร่วมแสน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 20 พ.ค. 2559 03:38

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/622942

 

เกษตรกรพัทลุง หันมาปลูกดอกดาวเรืองเป็นอาชีพเสริมในช่วงหน้าแล้ง หลังฤดูกาลเก็บเกี่ยว เผยพื้นที่ 1 ไร่ ปลูกดาวเรืองได้ประมาณ 4,000 ต้น หากเก็บไปขายมีรายได้กว่า 1 แสนบาท

เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2559 นายสุนทร ขุนแดง อยู่บ้านเลขที่ 43 ปี อยู่บ้านเลขที่ 16 ม.16 ต.ควนมะพร้าว อ.เมืองพัทลุง จ.พัทลุง กล่าวว่า ตนมีอาชีพทำนา หลังจากเก็บเกี่ยวแล้วตนได้ใช้พื้นที่ทำนาประมาณ 1 ไร่มาปลูกดอกดาวเรือง เนื่องจากว่าดอกดาวเรืองเป็นที่ต้องการของตลาด ราคาค่อนข้างสูง อีกทั้งการดูแลรักษาไม่ยากนัก สำหรับตนนั้นได้ปลูกดอกดาวเรืองเป็นปีที่ 3 แล้ว


ปลูกดอกดาวเรืองหลังทำนา 1 ไร่ ทำรายได้เกือบแสน

เกษตรกรชาวพัทลุง กล่าวอีกว่า การปลูกต้นดอกดาวเรืองนั้นไม่ยุ่งยากอะไร โดยปลูกร่องละ 2 แถว ระยะห่างระหว่างต้น 30-40 เซนติเมตร รดน้ำวันละ 1 ครั้ง หลังจากปลูกได้ประมาณ 7 วัน ใส่ปุ๋ยสูตร 16-16-16 ในอัตรา 15 วันต่อ 1 ครั้ง พร้อมฉีดฮอร์โมนบำรุงต้น เมื่อดาวเรืองอายุได้ประมาณ 60 วัน ก็สามารถเก็บขายได้เกือบทุกวันซึ่งการปลูกดาวเรืองครั้งหนึ่งสามารถเก็บดอกขายได้ ประมาณ 45 วัน

นายสุนทร กล่าวด้วยว่า ในพื้นที่ 1 ไร่ ปลูกดาวเรืองได้ประมาณ 4,000 ต้น หากต้นดาวเรืองให้ผลผลิตเต็มที่จะสามารถขายดอกดาวเรืองได้กว่า 1 แสนบาท โดยเฉพาะในช่วงหน้าแล้งราคาดอกดาวเรืองค่อนข้างสูง ขณะนี้ ราคาส่ง ดอกละ 2 บาท โดยมีแม่ค้าพ่อค้ามารับซื้อถึงที่ เพื่อส่งขายต่อที่จังหวัดตรัง และจังหวัดภูเก็ต การปลูกดาวเรืองถือว่าเป็นอาชีพเสริมอีกอย่างหนึ่งที่สร้างรายได้ให้กับครอบครัวในช่วงหน้าแล้งเป็นอย่างดี.

 

กรมชลฯ เร่งแผนแม่บทจัดรูปที่ดิน 20 ปี มุ่งกระจายน้ำในไร่-นา ทั่วถึง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 19 พ.ค. 2559 16:39

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/622823

 

กรมชลฯ ดึงเกษตรกร เจ้าของที่ดิน ชุมชนทุกภูมิภาค บูรณาการจัดทำแผนแม่บทจัดรูปที่ดิน ระยะ 20 ปี เร่งเปิดรับฟังความคิดเห็น พร้อมปรับปรุงให้สมบูรณ์ ก่อนชง ครม.พิจารณา มุ่งกระจายน้ำไร่-นา ทั่วถึง ช่วยลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต…

วันที่ 19 พ.ค.59 นายสิริวิชญ กลิ่นภักดี ผู้อำนวยการสำนักงานจัดรูปที่ดินกลาง กรมชลประทาน เปิดเผยว่า ขณะนี้สำนักงานจัดรูปที่ดินกลาง ได้เร่งจัดประชุมปฐมนิเทศ โครงการจัดทำแผนแม่บทการจัดรูปที่ดิน ตามพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2558 โดยมีแผนดำเนินการครอบคลุม 5 ภูมิภาคทั่วประเทศ ซึ่งภาคเหนือ ดำเนินการที่จังหวัดพิษณุโลก ภาคกลาง ที่จังหวัดชัยนาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่จังหวัดขอนแก่น ภาคตะวันออก ที่จังหวัดชลบุรี และภาคใต้ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช

ทั้งนี้ ยังมีการเชิญเกษตรกร เจ้าของที่ดิน ชุมชน และภาคราชการเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจและเปิดโอกาสให้ผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคประชาชน ได้แก่ กลุ่มผู้ใช้น้ำ และเกษตรกรในพื้นที่ที่มีศักยภาพได้แสดงความคิดเห็นต่อแผนแม่บทการจัดรูปที่ดินของประเทศ เพื่อนำความคิดเห็นที่ได้มาประกอบการจัดทำแผนแม่บทให้สมบูรณ์ และเสนอต่อคณะกรรมการจัดรูปที่ดินกลางพิจารณาก่อนที่จะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาเห็นชอบต่อไป


สำหรับแผนแม่บทการจัดรูปที่ดิน ประกอบด้วย แผนแม่บทการจัดระบบน้ำเพื่อเกษตรกรรม และแผนแม่บทการจัดรูปที่ดิน ซึ่งสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แผนพัฒนาการเกษตร และแผนพัฒนาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยแผนแม่บทที่สำนักงานจัดรูปที่ดินกลาง จัดทำขึ้นนี้เป็นแผนระยะ 20 ปี แบ่งเป็น แผนระยะเร่งด่วน (ปี 2560) แผนระยะสั้น (ปี 2561-2564) แผนระยะกลาง (ปี 2565-2569) และแผนระยะยาว (ปี 2570-2579) มุ่งดำเนินการจัดรูปที่ดินครอบคลุมพื้นที่ชลประทาน พื้นที่รับประโยชน์ และแหล่งน้ำอื่นๆ ของประเทศ เพื่อให้มีระบบแพร่กระจายน้ำในไร่นา มีพื้นที่ศักยภาพที่ศึกษาทำแผนแม่บทงานปรับปรุง ประมาณ 12.94 ล้านไร่ และพื้นที่ก่อสร้างใหม่ ประมาณ 39.53 ล้านไร่ เพื่อให้เกษตรกรมีน้ำใช้อย่างพอเพียง ทั่วถึง และเหมาะสมแก่การเกษตร ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสูงขึ้น

“การจัดทำแผนแม่บทดังกล่าวให้ได้ผลนั้น เกษตรกร เจ้าของที่ดิน และชุมชนต้องเข้ามามีส่วนร่วมพิจารณาตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ โดยงานจัดระบบน้ำเพื่อเกษตรกรรม กำหนดให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการคัดเลือกคณะกรรมการจัดระบบน้ำชุมชน พร้อมแต่งตั้งผู้บริหารท้องถิ่นในพื้นที่เข้ามาร่วมกับกรมชลประทานพิจารณาการจัดทำระบบชลประทานในไร่นา ซึ่งจะต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของที่ดินในการจัดทำระบบชลประทานผ่านที่ดินของตนเอง”

นอกจากนี้ เจ้าของที่ดินในแนวเขตแผนผังโครงการจัดรูปที่ดิน ต้องแสดงความยินยอมเข้าร่วมโครงการไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 และมีจำนวนพื้นที่ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของพื้นที่ทั้งหมด โดยต้องมีการคัดเลือกคณะกรรมการจัดรูปที่ดินชุมชน และแต่งตั้งผู้บริหารท้องถิ่นในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมกับเจ้าหน้าที่ในการพิจารณาแผนผังโครงการจัดรูปที่ดินก่อนจึงจะดำเนินการจัดรูปที่ดินได้

นายสิริวิชญ กล่าวต่อว่า การจัดแผนแม่บทดังกล่าวจะช่วยให้เกษตรกรจะได้รับประโยชน์จากการจัดรูปที่ดินหลายด้าน อาทิ สามารถรับน้ำและระบายน้ำในแปลงเพาะปลูกได้ตามต้องการ ทั้งยังได้รับความสะดวกในการลำเลียงปัจจัยการผลิตทางการเกษตรและขนส่งผลผลิตไปยังตลาด นอกจากนั้น ยังสามารถใช้เครื่องทุ่นแรงและเครื่องจักรกลในการเตรียมแปลง และเก็บเกี่ยวผลผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังทำให้ดินมีคุณค่าและมีประโยชน์มากขึ้น เพราะมีระบบชลประทานที่สมบูรณ์และการคมนาคมในไร่นาที่สะดวกขึ้นด้วย.

 

ปศ.ใช้มาตรฐานสากล คุมเนื้อสัตว์โครงการ OK

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 19 พ.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/622213

 

กรมปศุสัตว์ร่วมกับผู้ผลิตจำหน่ายเนื้อสัตว์ทั่วประเทศ ยกระดับความปลอดภัยสินค้าปศุสัตว์ ใช้เกณฑ์มาตรฐานสากล เหมือนสินค้าส่งออกมาใช้ตรวจเข้มตั้งแต่ฟาร์มขุน โรงงานแปรรูปถึงแหล่งจำหน่าย

น.สพ.อยุทธ์ หรินทรานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ เผยว่า ที่ผ่านมาได้ยินกันบ่อยว่าสินค้าส่งออกไปขายต่างประเทศล้วนเป็นของดี เกรดพรีเมียม ส่วนเนื้อสัตว์เกรดสอง หรือที่มีปัญหาทั้งสารตกค้าง เนื้อไม่สะอาด ไม่สดใหม่นำมาวางจำหน่ายให้คนในประเทศบริโภค จากนี้ไปผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์จะไม่มีปัญหานี้อย่างแน่นอน เพราะกรมปศุสัตว์ได้ร่วมกับผู้ผลิตจำหน่ายเนื้อสัตว์ทั่วประเทศ ยกระดับสินค้าปศุสัตว์ ทั้งเนื้อหมู, เนื้อไก่, เนื้อวัว ทั้งที่จำหน่ายในประเทศและส่งออก ให้เป็นไปตามมาตรฐานเดียวกัน


“คนซื้อสามารถตรวจสอบที่มาสินค้าปศุสัตว์ตั้งแต่ฟาร์มขุน โรงงานแปรรูป กระทั่งแหล่งจำหน่าย เขียงร้านค้าชำแหละ แหล่งวางสินค้า มีความสะอาดถูกสุขอนามัย ซึ่งระบบการตรวจสอบใช้มาตรฐานแนวทางเดียวกับที่องค์การระหว่างประเทศอย่าง WHO, OIE, FAO, CODEX เพื่อให้สินค้าปศุสัตว์มีความปลอดภัย คนซื้อคนกินไทยและต่างประเทศให้การยอมรับ”


สำหรับการตรวจสอบ มีการจัดเจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์ออกติดตามตรวจสอบตั้งแต่ฟาร์มเลี้ยง โรงฆ่าและชำแหละแปรรูป และสถานที่จำหน่าย โดยเจ้าหน้าที่จะเก็บเนื้อสัตว์ไปสุ่มตรวจทางห้องปฏิบัติการให้มั่นใจว่าเนื้อสัตว์ปีก เนื้อหมู เนื้อวัวปลอดจาก สารเร่งเนื้อแดง ยาปฏิชีวนะ ส่วนเขียงร้านค้าชำแหละ แหล่งวางสินค้า Modern trade, Shop ต้องมีความสะอาดถูกสุขอนามัย จัดการควบคุมสุขลักษณะของสถานที่ ล้างทำความสะอาดบริเวณสถานที่จำหน่าย บริเวณโดยรอบเป็นประจำทุกวันอย่างสม่ำเสมอ

น.สพ.อยุทธ์ บอกว่า เนื้อสัตว์ที่วางจำหน่ายจะต้องมีการจัดวางเป็นระเบียบ แยกส่วนเนื้อสัตว์ออกจากเครื่องในสัตว์ มีแสงสว่างเพียงพอให้มองเห็นสีเนื้อสัตว์ชัดเจน ผู้จำหน่ายต้องสวมเครื่องแต่งกายที่สะอาด มีอุปกรณ์ป้องกันการปนเปื้อน โดยสถานที่ใดผ่านเกณฑ์ดังกล่าว กรมจะให้ตราสัญลักษณ์ปศุสัตว์ OK รับรองความปลอดภัยได้มาตรฐาน คาดว่าภายในเดือนพฤษภาคม ทั้ง 77 จังหวัด มีสถานที่จำหน่ายผ่านเกณฑ์ 2,755 แห่ง.

 

ชาวอุบลฯ พลิกวิกฤติพายุถล่ม จับอึ่งอ่างวางขายสร้างรายได้งาม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 18 พ.ค. 2559 15:45

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/622238

 

ชาวบ้าน อ.ม่วงสามสิบ อุบลฯ พลิกวิกฤติพายุฤดูร้อนถล่ม จับอึ่งอ่างมาวางขายที่ตลาด สร้างรายได้ให้กับผู้ขายและชาวบ้านเป็นอย่างมาก โดยจะนำมาขายวันละ 20-30 กก. ทั้งนี้ยังมีของป่าอีกมากมาย ซึ่งหมุนเวียนตามฤดูกาล…

เมื่อวันที่ 18 พ.ค.59 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกิดพายุฤดูร้อน ในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ส่งผลให้ชาวบ้านในอำเภอม่วงสามสิบ ได้พลิกวิกฤติเป็นโอกาส พากันออกจับอึ่งอ่างมาวางขายสร้างรายได้งาม โดยบริเวณตลาดสดบ้านเทพา ริมถนนชยางกูร อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี หรือ ตลาดกกยาง ผู้ที่สัญจรผ่านไปมาต่างพากันมาแห่ล้อมวง เพื่อเลือกซื้ออึ่งอ่างกันอย่างคึกคัก โดยอึ่งอ่างที่นำมาวางขายในครั้งนี้ถือว่า เป็นครั้งแรกของปีที่ได้ออกมาจากพื้นดิน เนื่องจากฝนที่ตกหนัก


อึ่งอ่างพร้อมขาย

ด้าน นายพรศักดิ์ หล้าอำพันธ์ อายุ 31 ปี พ่อค้าขายอึ่งอ่าง เปิดเผยว่า เนื่องจากช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา มีพายุฤดูร้อนฝนตกลงอย่างหนักในพื้นที่ ทำให้ตามท้องทุ่งนาและป่าชุมชน มีอึ่งอ่างออกมาหากินเป็นจำนวนมาก ชาวบ้านจึงถือโอกาสจับอึ่งอ่างมาขาย สร้างรายได้เสริมให้กับครอบครัว ตนเองรับซื้ออึ่งอ่างมาจากชาวบ้านในราคากิโลกรัมละ 130 บาท และมาวางขายต่อในราคากิโลกรัมละ 150 บาท แต่ละวันมีอึ่งอ่างมาวางขายวันละประมาณ 20-30 กิโลกรัม ส่งผลให้ทั้งชาวบ้าน และตนเองมีรายได้เพิ่มขึ้นในช่วงที่เกิดพายุฤดูร้อนนี้ สำหรับอึ่งอ่างที่มาวางขายนั้นมีหลายชนิด เช่น อึ่งเพ้า อึ่งหวาย และอึ่งยาง


ชาวบ้านเดินทางมาเลือกซื้ออึ่งอ่าง

สนนราคารับซื้อ กิโลกรัมละ 130 บาท และราคาขายปลีกอยู่ที่ 150 บาทต่อกิโลกรัม

ขณะที่ ลูกค้าที่จอดรถซื้ออึ่ง บอกว่า ชอบรับประทานอึ่งอ่าง จะเลือกอึ่งอ่างที่มีไข่อยู่เต็มท้อง เพื่อนำไปปรุงอาหาร ส่วนรสชาติต้องบอกเลยว่า อร่อยกว่าเนื้อไก่หรือเนื้อสัตว์เลี้ยงทั่วไปแน่นอน

ทั้งนี้ นอกจากอึ่งอ่างแล้วยังมีอาหารป่าหลากหลายชนิด หมุนเวียนตามฤดูกาลตลอดทั้งปี โดยในช่วงนี้ จะมีลูกยางป่า ผักหวานป่า ดอกกระเจียวป่า และหน่อไม้ป่า วางขายให้กับลูกค้าที่ชื่นชอบอาหารป่าด้วย

 

ปลาการ์ตูน…เพาะไม่ยาก ตู้เลี้ยงปลาก็ทำได้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 18 พ.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/621625

 

“คนมักคิดว่าเพาะเลี้ยงปลาการ์ตูนเป็นเรื่องยาก แต่จริงๆแล้วทำได้ง่าย ผู้สูงวัยที่มีเวลาว่าง สามารถทำได้ไม่ยุ่งยาก แถมยังได้อาชีพเสริมช่วยแก้เหงา”

นฤดม หรือ สิงห์ พิสิษฐเกษม อายุ 49 ปี เป็นเจ้าของเพอคูล่าฟาร์มเพาะเลี้ยงปลาการ์ตูน ต.แสมสาร อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ให้ความรู้แก่ผู้ที่สนใจ…ก่อนอื่นต้องรู้ ปลาการ์ตูนทั่วโลกนี้มีอยู่ 28 ชนิด ที่พบในบ้านเรามี 7 ชนิด เป็นการ์ตูนส้มขาว หรือเพอคูล่า ที่เด็กๆรู้จักกันในชื่อนีโม่, การ์ตูนลายปล้อง, ลายปล้องหางเหลือง, การ์ตูนแดง, การ์ตูนดำ, อานม้า และอินเดียนแดง


แต่พันธุ์ที่เพาะเลี้ยงง่ายสุด คือนีโม่…เริ่มต้นเพาะเลี้ยง สิงห์ แนะให้นำปลาการ์ตูนอายุ 1 ปีครึ่งจำนวน 2 ตัว มาใส่ตู้เลี้ยงขนาดยาว 2 ฟุตครึ่ง กว้าง 1 ฟุต ปรับสภาพน้ำให้มีความเค็มระหว่าง 28-35 PPT อย่านำปะการัง หรือพืชน้ำอื่นๆใส่ลงไปเด็ดขาด เพราะเป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกัน เป็นภาระให้ต้องดูแลมากขึ้น แถมยังก่อให้เกิดของเสียได้ง่ายด้วย

ในตู้ให้เอาแผ่นกระเบื้องเซรามิก (กระเบื้องปูพื้นหรือปูผนังได้ทั้งนั้น) นำไปวางเอียงพิงกับตู้ปลา ทำมุมประมาณ 45-50 องศา เอาด้านบน (ด้านเรียบ) ขึ้น เพื่อให้ปลาไว้วางไข่ด้านล่างกระเบื้อง จากนั้นสร้างบรรยากาศที่ปลาชอบ เปิดไฟแสงสลัวๆในเวลากลางคืน กลางวันอย่าให้แดดส่องถึง เลี้ยงในที่ร่มเป็นดีที่สุด


ไข่ปลาการ์ตูนบนแผ่นกระเบื้อง

ปลาการ์ตูน 2 ตัวที่นำมาเลี้ยงเป็นพ่อแม่พันธุ์ ไม่ต้องสนใจว่าเป็นตัวเมียหรือตัวผู้…เพราะปล่อยให้อยู่กันลำพังตัวต่อตัว ปลาอีกตัวจะกลายเป็นเพศตรงข้ามโดยอัตโนมัติ ตัวเมียจะมีรูปร่างใหญ่กว่าตัวผู้

ก่อนปลาจะผสมพันธุ์ 2-5 วัน ปลาตัวผู้จะใช้ปากตอด ครีบโบกพัดสิ่งแปลกปลอมที่ติดบนผิวกระเบื้องให้หลุดไป ตัวเมียจะมีท้องอูมเป่งใหญ่กว่าปกติ และมีท่อนำไข่โผล่ยาวออกมา 4-5 มม. หลังจากนั้นปลาจะเริ่มวางไข่ภายใน 1 ชั่วโมง โดยวางเป็นชุดๆ ครั้งละ 500-1,000 ฟอง ปลาตัวผู้จะปล่อยน้ำเชื้อเข้าผสม เมื่อวางไข่เสร็จ พ่อปลาจะเฝ้าดูแลไข่โบกพัดด้วยครีบ ใช้ปากตอดเก็บไข่
เสียออก…ในช่วงการวางไข่ชุดแรก ตัวเมียมักจะกินไข่ของตัวเองหมดเพราะตกใจ แต่เมื่อวางไข่ชุดถัดมาจะเริ่มเคยชินไม่กินไข่ของตัวเอง


“ระยะไข่ใกล้ฟักเป็นตัว ประมาณ 7 วันหลังผสมพันธุ์ ยกกระเบื้องออกมาใส่อีกตู้ เริ่มต้นอนุบาลลูกปลาด้วยการให้แพลงก์ตอนพืชกับโรติเฟอร์ หาซื้อได้จากหน่วยงานกรมประมง ใช้เลี้ยงในระยะ 4-5 วันแรก จากนั้นเปลี่ยนมาเลี้ยงด้วยอาร์ทีเมียอีก 2-3 สัปดาห์ แต่อย่าให้อาร์ทีเมียเหลือค้างไว้ในตู้ เพราะจะทำให้ปลาคุ้นเคยกับเหยื่อแล้วไม่กิน”

จากนั้นเปลี่ยนมาเลี้ยงด้วยอาหารผง วันละ 2 ครั้ง เช้ากับเย็น ปลากินไม่หมดให้ตักออก อย่าปล่อยทิ้งไว้ น้ำจะเน่าเสีย…เลี้ยงไปจนอายุ 3-4 เดือน ควรแยกปลาที่มีขนาดใหญ่ออกไปใส่ตู้ขนาดเดิม และแต่ละตู้พยายามให้มีปลาเพียง 40-50 ตัว

ระยะนี้สามารถนำปลาที่เพาะไปขายได้แล้ว ราคาจะอยู่ที่ตัวละ 30 บาท…สนใจอยากเพาะเลี้ยงปลาการ์ตูน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 08-1313-6324.

ไชยรัตน์ ส้มฉุน

 

ขาดน้ำ–อากาศร้อนจัด อุตสาหกรรมหมูป่วนหนัก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 17 พ.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/621091

 

น.สพ.วิวัฒน์ พงษ์วิวัฒนชัย ประธานสหกรณ์การเกษตรปศุสัตว์ ราชบุรี จำกัด เผยว่า จากปัญหาภัยแล้งที่คุกคามทุกพื้นที่ของประเทศในปีนี้ ถือเป็นปัญหาใหญ่ที่เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรเพิ่งเคยเจอในรอบ 10 ปี เกษตรกรที่มีน้ำไม่พอให้หมูกินก็จำเป็นต้องซื้อน้ำมาใช้ในฟาร์ม เพราะปกติหมูจะกินน้ำเป็น 3 เท่าของปริมาณอาหารที่กินในแต่ละวัน เนื่องจากเป็นสัตว์ไม่มีต่อมเหงื่อเพื่อระบายความร้อนเหมือนคน หรือสัตว์บางชนิด เมื่อต้องอยู่ภายใต้อากาศที่ร้อนจัด จึงอ้าปากหายใจหอบ เพื่อลดความร้อนในร่างกาย หากเกิดกับแม่หมูอุ้มท้องความร้อนภายในตัวแม่อาจทำให้ลูกแท้งได้หรือจำนวนลูกมีชีวิตแรกคลอดลดลง ส่วนในหมูขุนเมื่อหอบและเครียดจากอากาศร้อน หมูจะไม่ค่อยกินอาหาร ทำให้อ่อนแอ การสร้างภูมิคุ้มกันลดลง เกิดโรคง่ายขึ้น อย่างเช่นโรค PRRS และโรค PED ที่เกิดเฉพาะในหมูแต่ไม่มีการติดต่อมาถึงคน พบว่าปัจจุบันทั้งสองโรคทำให้หมูเสียหายสูงถึง 20%


ประธานสหกรณ์การเกษตรปศุสัตว์ ราชบุรี อธิบายว่า รอบการผลิตหมูขุนใช้เวลาเลี้ยงประมาณ 5 เดือน ปกติอัตราเสียหายที่รับได้อยู่ที่ 1-5% ต่อเดือน แต่เมื่อหมูมีอัตราเสียหายมากถึง 20% ย่อมกระทบกับการผลิตหมูขุน ปกติทั้งประเทศจะมีผลผลิตอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านตัวรอบการผลิต เท่ากับว่าปัจจุบันหมูขุนหายไปเกือบ 2 ล้านตัวต่อรอบการผลิต ทำให้กลไกตลาดเริ่มทำงานปริมาณ หมูน้อยสวนทางกับการบริโภคที่มากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ราคาหมูขยับขึ้น



“จากภาวะอากาศร้อนกระทบต่อผลผลิตหมูและต้องซื้อน้ำมาใช้กัน ได้ทำให้ต้นทุนการเลี้ยง เพิ่มขึ้นไปกว่า 70 บาทต่อกิโลกรัมแล้ว และเกษตรกรต้องแบกรับปัญหานี้ มาตั้งแต่กลางปีที่แล้ว เรียกว่าราคาขายที่ปรับเพิ่มขึ้นตามกลไกตลาดนั้น ทำให้เกษตรกรขายหมูได้เกินกว่าต้นทุนได้ไม่ถึงเดือน จึงอยากให้ทุกฝ่ายเห็นใจเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูเพราะไม่มีอาชีพอื่นและไม่มีทางเลือกเลย ขณะที่ผู้บริโภคมีโอกาสเลือกอาหารโปรตีนมากมาย ที่สำคัญเกษตรกรเลี้ยงหมูยังใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ได้จากชาวไร่ชาวนา ทั้งปลายข้าว รำ ถั่วเหลือง ดังนั้น การซื้อหมูที่ปลอดภัยมารับประทานจะเป็นการช่วยชาวไร่ชาวนา ไปด้วย ราคาที่ขยับขึ้นขณะนี้ก็ตามอุปสงค์-อุปทาน เชื่อว่าเป็นเพียงชั่วคราว อีกประมาณ 2-3 เดือน จะเข้าสู่ภาวะปกติ เพราะวัฏจักรหมูเป็นแบบนี้ทุกปี” น.สพ.วิวัฒน์ กล่าว.

 

โชควิเชียร..กล้วยเครือยักษ์ หลุมละ 3 ต้น กำไร 3 เท่า

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 16 พ.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/620622

 

เกษตรกรไทยปลูกกล้วยเป็นพืชเศรษฐกิจ จนมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ ไม่ใช่เรื่องแปลก…แต่หากปลูกแบบพิสดารหลุมละ 3 ต้น ทำกำไร 3 เด้ง แถมเป็นกล้วยเครือยักษ์ มีลูกไม่ต่ำกว่าเครือละ 300–400 ลูก น่าสนใจไม่น้อย

“เดิมทำนาข้าว และปลูกกล้วยไม้ตัดดอกเป็นหลัก จู่ๆในปี 2552 เริ่มเห็นต้นกล้วยงอกมาเองในที่ดิน เลยปล่อยทิ้งไว้จนโต ตอนแรกก็แปลกใจมาก เพราะกล้วยต้นน้ำว้าสูง 4 เมตร ให้เครือใหญ่มาก มีลูกไม่ต่ำกว่า 400 ลูก เลยนำหน่อมาขยายพันธุ์ต่อปลูกรอบคันนา สร้างรายได้เสริมจากการขายลูกและหน่อ เดือนละ 10,000-20,000 บาท เลยเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าว มาปลูกกล้วยเกือบทั้งหมด”


วิเชียร เนียมจ้อย เกษตรกร อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี เล่าถึงที่มาของกล้วยโชควิเชียร ที่เกิดขึ้นมาแบบโชคช่วย เลยเอาชื่อตัวเองมาตั้งเป็นชื่อพันธุ์… นอกจากเครือจะใหญ่ยาวมากแล้ว รสชาติยังหวาน หอม เนื้อนุ่ม สีเหลืองนวล ทำขนมไทยอร่อย จนเป็นที่ต้องการของคนขายขนม

ปลูกในเนื้อที่ 6 ไร่ ปลูกห่างกันต้นละ 4 เมตร สลับคั่นกลางด้วยมะนาว ครบ 3 ปี ตัดกล้วยทิ้ง ระหว่างรอหน่อกล้วยโต ก็ยังมีรายได้จากมะนาวให้เก็บขาย

สำหรับเคล็ดลับการปลูกกล้วยหลุมละ 3 ต้น วิเชียรบอกว่า ไม่มีอะไรพิเศษ ความคิดนี้ได้มาจากความเสียดายหน่อกล้วยที่จะปลูกมีเหลือมากไม่รู้เอาไปทำอะไร เลยลองเอามาปลูกหลุมละ 3 ต้นดู ปรากฏว่ากล้วยโตได้เหมือนปกติ ขณะ ที่ผลผลิตก็เพิ่มอีก 3 เท่า จึงปลูกแบบนี้เรื่อยมา


เทคนิคการปลูกกล้วยให้ได้ผลผลิตดี วิเชียร แนะ เมื่อเริ่มปลูกได้ 1 เดือน ใส่ปุ๋ย 25-7-7 เร่งต้นโต เดือนละครั้ง ครบ 3 เดือน เปลี่ยนเป็นปุ๋ยสูตรเสมอ 16-16-16 เดือนละครั้ง ให้ต่อไปอีก 6 เดือน… ช่วงระยะ 6 เดือนตั้งแต่เริ่มปลูกจะเริ่มมีหน่อแทงออกมา ให้เลือกหน่อที่สมบูรณ์ไว้แค่ 2 หน่อ นอกนั้นตัดทิ้งให้หมด เพื่อให้ได้ต้นใหม่ที่สมบูรณ์ที่สุด

เมื่อปลูกครบ 9-10 เดือน กล้วยเริ่มมีปลี ให้เปลี่ยนมาใช้สูตรปุ๋ย 18-46-0 เพื่อให้ปลีสะสมอาหารให้มากที่สุด จะได้ลูกที่สมบูรณ์ ให้เดือนละครั้งจนตัดเครือ… ช่วงนี้มักมีหน่อเล็กเกิดอีกเป็นระยะ ให้ตัดทิ้งให้หมดเช่นกัน เพื่อไม่ให้แย่งธาตุอาหารจากต้นที่จะไปบำรุงปลี จากนั้นให้เปลี่ยนใช้ปุ๋ยสูตร 16-16-16 เดือนละครั้งต่อไป จนกล้วยออกปลีอีกครั้ง จึงเปลี่ยนมาใช้สูตรบำรุงปลี 18-46-0 เช่นเดิม

สุดท้าย วิเชียรให้ข้อคิด….ปลูกกล้วยไม่จำเป็นต้องให้น้ำมาก ให้แค่ 3-4 วันครั้งก็พอ แต่ ต้องไม่ให้ดินแห้งเกินไป ที่สำคัญไปกว่า กล้วยมีประโยชน์หลายอย่างปลูกกับมะนาว จะช่วยกันแดดกันลมให้มะนาว ทำให้ผิวลูกมะนาวไม่ด้าน ขายได้ราคา ตัดหน่อก็มีจุลินทรีย์จากธรรมชาติมาย่อยสลายตอเอง ทำให้ดินสมบูรณ์ ส่วนใบเมื่อตัดแล้วก็เอามาคลุมดิน รักษาความชื้นได้เป็นอย่างดี.

กรวัฒน์ วีนิล

 

พลิกวิกฤติแล้ง ชาวนาเฉาะลูกตาลสดๆ ขาย รายได้ไม่ธรรมดา เดือนละ 6 หมื่น

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 15 พ.ค. 2559 20:47

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/620762

 

อีกหนึ่งตัวอย่าง พลิกวิกฤติหน้าแล้ง ชาวนา สร้างเพิงหมาแหงนริมถนน เฉาะลูกตาลสดๆ ขายตั้งแต่แปดโมง ไม่ทันบ่ายขายหมดเกลี้ยง คนเข้าคิวซื้อตรึม โกยเงินวันละ 2 พัน ตกเดือน 6 หมื่น กำไรงามๆ…

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 15 พ.ค. 59 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บนเส้นทาง ทางหลวงชนบทสายตระการพืชผล – กุดข้าวปุ้น ช่วงหลักกิโลเมตรที่ 8 บริเวณบ้านกอก หมู่ที่ 5 ต.เกษม อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี ห่างจากหมู่บ้านไปทางด้านทิศเหนือประมาณ 200 เมตร มีเพิงหมาแหงนมุงด้วยตาข่ายสีดำขนาดเล็กอยู่ทางขวามือ มีชายวัยเกือบ 60 ปี นั่งเฉาะลูกตาลขาย โดยมีลูกสาวและหลานมาช่วยแกะตาลบรรจุใส่ถุงวางขายบนชั้นแคร่ไม้ไผ่ขนาดเล็ก สร้างรายได้ช่วงฤดูแล้งวันละ 2,000 บาท หรือเดือนละ 60,000 บาท เป็นอย่างต่ำ


ด้าน นายสาน สำเภา อายุ 58 ปี อยู่บ้านเลขที่ 8 หมู่ที่ 5 บ้านกอก ต.เกษม อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี เปิดเผยว่า ตนมีอาชีพทำนา เมื่อถึงช่วงฤดูแล้ง จะว่างงาน ขณะเดียวกันได้เห็นพ่อค้าคนกลางมาจากตำบลอื่น มาขอซื้อลูกตาลจากต้นตาลของเพื่อนบ้านนำไปขายในตัวเมืองอุบลราชธานี ซึ่งมีกำไรงดงาม จึงคิดว่าน่าจะเฉาะตาลขาย เพราะในที่นาของตนมีต้นตาลหลายต้น จึงสร้างเพิงนั่งเฉาะตาลขายตั้งแต่ปี 2556

พร้อมบอกในแต่ละปี จะเริ่มนำเอาลูกตาลมาเฉาะขายตั้งแต่เดือน ก.พ. มาจนถึงเดือน พ.ค.ซึ่งเป็นช่วงที่ต้นตาลให้ผลผลิต และเนื่องจากในที่นาของตนมีต้นตาลอยู่เพียง 5 ต้น ทำให้ไม่พอขาย จึงได้ไปขอซื้อลูกตาลจากเพื่อนบ้านในหมู่บ้านเดียวกันและหมู่บ้านใกล้เคียง โดยซื้อเหมาเป็นต้นๆ ละ 100 – 200 บาท และขึ้นเก็บลูกตาลเอง ซึ่งแต่ละต้นจะมีหลายทะลาย มีลูกตาลหลายลูก เมื่อซื้อมาแล้วต้องมาคัดลูกที่แก่ทิ้งไป แล้วนำลูกตาลที่อ่อนมาเฉาะปอกเปลือกขาย บรรจุในถุงพลาสติกถุงละ 7 ชิ้น ขายราคาถุงละ 20 บาท ซึ่งขายดีมาก ตั้งแต่ช่วงแปดโมงเช้า และไม่เกินบ่ายโมง จะขายหมดทุกวัน เพราะมีรถวิ่งผ่านทั้งวัน

รถส่วนใหญ่จะจอดซื้อแทบทุกคัน อีกทั้งบนถนนสายนี้และที่หมู่บ้านไม่มีคนมานั่งเฉาะตาลขาย จะมีหมู่บ้านใกล้เคียงอยู่ 2-3 ราย เท่านั้น พวกเขาก็ไม่ได้เฉาะขายกันแบบสดๆ แต่ซื้อจากคนอื่นมาวางขายอีกที ที่ขายดีคงเป็นเพราะว่า เฉาะขายกันสดๆ ถ้าซื้อเยอะก็จะมีลดมีแถม และลูกค้าสามารถเลือกได้เพราะเรามีลูกตาลเยอะ ทำให้ในแต่ละวันเฉาะจนไม่ทัน จนลูกค้าต้องยืนเข้าคิวรอก็มี และบางวันมีพ่อค้าคนกลางมาซื้อไปขายต่อที่อื่นคราวละมากๆ บางทีจะมีคนมาขอเหมา แต่ไม่ค่อยขายแบบนั้น เพราะได้กำไรน้อย สู้ค่อยๆ เฉาะขายเองจะดีกว่า เพราะกำไรดี”


ส่วนรายได้ในแต่ละวัน หากเทียบกับตาล 1 ต้น ทำเงินได้ประมาณ 700 บาท เป็นอย่างต่ำ ในแต่ละวันหาซื้อลูกตาลมาเฉาะขายวันละ 3 ต้น รวมมีรายได้ประมาณวันละ 2,000 บาท เป็นอย่างต่ำ หรือตกเดือนละ 60,000 บาท โดยตนปีนขึ้นเก็บลูกตาลบนต้นตาลเองและนั่งเฉาะขายเอง มีลูกสาวมาช่วยเฉาะ และมีหลานสาว หลานชาย ในวัยประถมศึกษาซึ่งอยู่ในระหว่างปิดภาคเรียนมาช่วย ทำให้มีรายได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย และช่วงที่ขายดีที่สุด จะเป็นช่วงเดือน เม.ย. เพราะลูกตาลจะหวานมาก และอากาศร้อนคนชอบรับประทาน ทำให้ขายหมดก่อนเที่ยงทุกวัน.

 

เกษตรกรนครสวรรค์ปลูกแตงกวาประสบปัญหาไม่ออกผลผลิต

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 13 พ.ค. 2559 10:40

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/619660

 

เกษตรกรตำบลวัดไทร อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ ประสบปัญหาแล้งหนัก และอากาศที่ร้อนจัด แถมยังไม่มีน้ำใช้ ทำให้ต้นแตงกวาที่ปลูกไว้ไม่ออกผลผลิตให้เก็บขาย ด้านเจ้าของสวนแตงกวารออีก 1 เดือนถ้าไม่ดีขึ้นคงจำใจไถดินปลูกอย่างอื่นแทน…

เมื่อช่วงเช้าวันที่ 13 พ.ค.59 ผู้สื่อข่าวรายงานว่ามีเกษตรกร ต.วัดไทร อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ ต้องประสบปัญหาแล้งหนักจนทำให้ต้นแตงกวาที่ปลูกไว้ไม่ออกผลผลิตให้เก็บขาย นางมยุรี แฟงเมือง อายุ 40 ปี เกษตรกรตำบลวัดไทร อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ เปิดเผยว่า ตนเองลงทุนปลูกแตงกวาจำนวน 1 ไร่ ประสบปัญหาภัยแล้งอย่างหนักจนทำให้แตงกวาที่ปลูกไว้ไม่ออกผลผลิตให้เก็บขาย ตามระยะเวลาที่กำหนดออกผล


นางมยุรี แฟงเมือง อายุ 40 ปี เกษตรกรตำบลวัดไทร กำลังกลุ้มใจแตงกวาไม่ออกผล เหตุอากาศร้อนน้ำแล้ง

แตงกวาที่ปลูกไว้ไม่ออกผลผลิตให้เก็บขาย

โดยแตงกวาที่ปลูกจะใช้ระยะเวลา 2 เดือน จึงสามารถเก็บผลขายได้ แต่ปัจจุบันสภาพอากาศที่ร้อนจัดแถมยังไม่มีน้ำใช้ จึงทำให้เกิดปัญหาแตงกวาไม่ออกผล ทั้งนี้ได้แต่รอดูสถานการณ์ต่อไปอีก 1 เดือน ถ้าแตงกวาที่ปลูกไว้ไม่ออกผลผลิตให้เก็บขาย ก็ต้องจำใจไถดินแล้วเริ่มต้นปลูกพืชชนิดอื่นแทน.

 

ปริญญาโทเมินมนุษย์เงินเดือน วิจัยพันธุ์แตงโมปลูกขายเอง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 13 พ.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/619205

 

เดินตลาด อ.ต.ก.ในช่วงจัดงาน “อ.ต.ก.ร่วมใจช่วยภัยแล้ง” สะดุดตาแตงโมใหญ่ยักษ์ขนาด 4–5 กก. ที่บ้านเราไม่ค่อยมีให้เห็นบ่อยนัก เข้าไปสอบถาม ยิ่งทึ่งเข้าไปอีก เป็นแตงโมที่วิจัยและพัฒนาสายพันธุ์โดยคนขายดีกรีถึงปริญญาโท สาขาพฤกษศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์…เลิกอาชีพมนุษย์เงินเดือน หันมาจับจอบเสียมปลูกแตงโมขาย

“สอนที่สวนดุสิตมา 8 ปี เคยทำงานทั้งภาครัฐ เอกชนมาอีกหลายแห่ง เบื่อเป็นลูกจ้าง อยากทำงานที่เป็นเจ้านายตัวเอง เลยลาออกมาทำเกษตรตามอาชีพดั้งเดิมของบรรพ– บุรุษ ประกอบกับแถวบ้านปลูกแตงโมกันมาก เลยมุ่งมั่นอยู่กับแตงโม เพราะเคยเป็นนักวิจัยพันธุ์พืชมาก่อน นำความรู้มาวิจัยพันธุ์แตงโมจนได้พันธุ์ใหม่ แฮปปี้เฟรช เมื่อปลายปี 58 มาให้เกษตรกรแถวบ้านปลูกขาย ตอนนี้สามารถต่อยอดเป็นแบรนด์เฟรชแอนด์เทสตี้แล้วค่ะ”



หฤทัย เหมะธุลิน กรรมการวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกแตงโม อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม เล่าถึงการมาเป็นเกษตรกรรุ่นใหม่ วิจัยได้แตงโมไร้เมล็ด เนื้อแน่น แดงละเอียด ไม่ต้องพึ่งสารเร่งเนื้อแดง กรอบ หอม ลูกใหญ่ 4-9 กก.

ทำครบวงจรเรื่องแตงโม ปรับปรุงพันธุ์เอง ปลูกเอง รับซื้อจากเกษตรกรในกลุ่ม ขายเอง แปรรูปเอง ทำให้ได้ทำงานหลายด้าน ได้เสริมสร้างจิตสำนึกให้เกษตรกรมีความภาคภูมิใจในอาชีพของตน จนเกิดการตลาดในรูปแบบที่สามารถควบคุมราคาผลผลิตตนเองได้

“เกษตรกรได้ราคาเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะไม่ต้องซื้อขายผ่านพ่อค้าคนกลาง ลูกค้าได้สินค้าราคาย่อมเยา ปลอดภัยเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค ไร้สารเคมี คุณภาพสดใหม่ ตรงจากสวน เมื่อเราตั้งบริษัทเฟรชแอนด์เทสตี้และชื่อแบรนด์ รับซื้อจากเกษตรกรสมาชิกในราคาประกันที่สูงกว่าแตงโมพันธุ์ทั่วไปเท่าตัว”


พื้นที่ปลูก 3,000 ไร่ ระยะเวลา 80–90 วัน เก็บเกี่ยวผลผลิต สามารถหล่อเลี้ยงชาวบ้านกว่า 500 ครัวเรือน ให้มีกำไรไม่ต่ำกว่าไร่ละ 20,000 บาท

ส่วนปลูกอย่างไรให้แตงโมเป็นที่ต้องการของตลาด หฤทัย อธิบาย ก่อนอื่นทุกแปลงต้องปลูกภายใต้มาตรฐานจีเอพี ไม่ใช้สารเร่งความหวานหรือเร่งเนื้อแดง ใช้ระบบน้ำหยดเพื่อให้สามารถควบคุมรสชาติได้สม่ำเสมอ รวมถึงเป็นการประหยัดน้ำไปในตัว


นอกจากนั้น เกษตรกร 1 ครอบครัว มีแรงงานแค่ 2 คน จะให้ปลูกได้แค่ 5 ไร่ เพื่อให้มีเวลาดูแลได้ใกล้ชิดและทั่วถึง แต่หากมีมากกว่า 2 คน ปลูกได้ครอบครัวละไม่เกิน 10 ไร่ ที่สำคัญที่สุดคือ การเด็ดผลทิ้ง คัดเอาแต่ลูกที่สมบูรณ์ที่สุด ไม่เกินต้นละ 3 ลูก เพื่อให้ได้แตงโมคุณภาพดี

ที่สำคัญการปลูกจะใช้หลักการตลาดนำการผลิต…ผลิตตามออเดอร์ที่มีลูกค้าสั่งมาเท่านั้น เพื่อไม่ให้สินค้าล้นตลาด และมีการตั้งศูนย์จัดจำหน่ายรับออเดอร์ในพื้นที่ต่างๆ

และจากการมาขายที่ตลาด อ.ต.ก.ครั้งนี้เอง ทำให้มีคนติดต่อขอเป็นเอเย่นต์ส่งเข้าอเมริกา.

กรวัฒน์ วีนิล