มิตรผล กับ Bonsucro

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย สะ-เล-เต 18 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/692676

ไทยส่งออกน้ำตาลเป็นอันดับ 2 ของโลก ผู้ส่งออกมากที่สุดของไทย…กลุ่มบริษัทมิตรผล

กว่า 60 ปี บนเส้นทางสายอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล มิตรผลมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องทั้งกับกระบวนการผลิตของเกษตรกร สิ่งแวดล้อม รวมถึงการผลิตน้ำตาล ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ

การผลิตอ้อย เน้นสินค้าคุณภาพ ภายใต้รูปแบบการทำเกษตรสมัยใหม่ โดยนำต้นแบบมาจากออสเตรเลีย ใช้เทคโนโลยีทันสมัยเข้าช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต

สิ่งแวดล้อม และ กระบวนการผลิตน้ำตาล เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนปลูกอ้อย ห้ามเผาตอ แต่ใช้รถตัดฝังกลบทำปุ๋ย ป้องกันโรคแมลงด้วยวิธีการธรรมชาติ ลดการใช้ปุ๋ยเคมี…ใช้วัตถุดิบอ้อยทุกส่วนให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ชานอ้อย…แปรเป็นพลังงานชีวมวล ผลิตไฟฟ้าใช้ในกระบวนการผลิตน้ำตาลได้วันละ 106 เมกะวัตต์ เทียบเท่ากับปริมาณการใช้ไฟของชัยภูมิทั้งจังหวัด ไฟฟ้าผลิตได้ใช้ไม่หมด มีเหลือส่งขายให้การไฟฟ้าฯ อีกต่างหาก

โมลาสจากกระบวนการผลิตอ้อย นำมาผลิตเอทานอลได้ปีละ 380 ล้านลิตร มากที่สุดในอาเซียน และเป็นอันดับต้นๆของเอเชีย…น้ำเหลือจากกระบวนการผลิตน้ำตาล เก็บกักไว้บำบัด ส่งต่อไปให้เกษตรกรใช้ในแปลงปลูก…นี่ยังไม่รวมผลพลอยได้อื่นๆ เช่น ยีสต์จากกระบวนการหมัก นำมาทำหัวอาหารสัตว์ ส่วนที่แยกได้จากกากส่า นำมาทำปุ๋ยอินทรีย์

กระบวนผลิตทั้งหมดเป็นแบบ Zero Waste…ไม่เหลือขยะใดๆ สอดคล้องกับ Bonsucro มาตรฐานหนึ่งเดียวของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล มุ่งเน้นการปรับปรุงแรงงาน ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากกระบวนการผลิต รักษาคุณภาพดินและน้ำ เพื่อทำเกษตรอย่างยั่งยืน

จากการคำนึงถึงความยั่งยืนตลอดห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่ไร่อ้อย โรงงานผลิต ผลิตภัณฑ์ส่งมอบลูกค้า ไปจนถึงสิทธิมนุษยชนและแรงงาน…ส่งผลให้ปลายปีที่แล้ว มิตรผลได้รับรางวัล Sustainability Award จาก Bonsucro เป็นประเทศที่ 5 ของโลก และประเทศที่ 2 ในเอเชีย

นั่นหมายความว่า มาตรฐานระดับโลก จะเพิ่มช่องทางการส่งออกผลิตภัณฑ์อ้อยและน้ำตาลของไทยไปได้กว้างไกลมากยิ่งขึ้น โดยมีรางวัล Bonsucro ช่วยการันตี.

สะ–เล–เต

 

“แองเจิ้ลวิง” ไม้ดอกหอมที่หายไป

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 18 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/692688

ไม้ต้นนี้ มีถิ่นกำเนิดจากประเทศออสเตรเลีย ถูกนำเข้ามาปลูกและขยายพันธุ์ขายในประเทศไทยนานกว่า 20 ปีแล้ว โดยในช่วงแรก “แองเจิ้ลวิง” ได้รับความนิยมจากผู้ซื้อไปปลูกอย่างกว้างขวาง เนื่องจากมีดอกดกและดอกมีกลิ่นหอมแรงเป็นที่ประทับใจมาก ปัจจุบัน “แองเจิ้ลวิง” หาซื้อไปปลูกได้ยากมาก เนื่องจากผู้ขายดั้งเดิมได้เลิกขายไม้ดอกหอมไปหลายปีแล้ว แต่ยังมีผู้อ่าน ไทยรัฐที่ชื่นชอบปลูกไม้ดอกหอมตามหา “แองเจิ้ลวิง” ไปปลูกประดับอยู่ จึงแจ้งให้ทราบอีกตามหน้าที่

แองเจิ้ลวิง เป็นไม้ในกลุ่มเดียวกันกับจัสมินทั่วไป มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เป็นไม้พุ่มเตี้ย ต้นสูงเต็มที่ไม่เกิน 1-2 เมตร เนื้อลำต้นไม่แข็งนัก แตกกิ่งก้านสาขาหนาแน่น กิ่งเปราะ ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรงกันข้ามเป็นคู่ๆ รูปใบหอก ปลายแหลม โคนมน ยอดอ่อนเป็นสีม่วงแกมน้ำตาล เมื่อใบแก่จะเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้ม ทำให้ดูสวยงามแปลกตาสองรูปแบบ

ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบและปลายยอด แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อย เป็นพวง 10-15 ดอก ลักษณะดอกโคนเชื่อมกันเป็นหลอดสีม่วงอมแดง ปลายแยกเป็นกลีบดอก 9-12 กลีบ ดูคล้ายกลีบของดอกมะลิงาช้าง ปลายกลีบแหลมและบิดงอเล็กน้อย กลีบดอกเป็นสีขาว เมื่อดอกบานเต็มที่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1-1.5 ซม. หลังกลีบดอกจะมีเส้นสีม่วงลากยาวจากโคนกลีบถึงปลายกลีบ ดอกมีกลิ่นหอมแรงคล้ายกลิ่นหอมของดอกมะลิทั่วไปทุกอย่าง เวลามีดอกดกและดอกบานพร้อมกันทั้งต้นจะดูสวยงามและส่งกลิ่นหอมเป็นที่ชื่นใจมาก ดอกออกตลอดทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยวิธีตอนกิ่ง

ไม่พบว่ามีกิ่งตอนหรือต้นขาย ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ ตามที่ระบุข้างต้น ใครต้องการ จะต้องเดินเสาะหาหรือบอกกล่าวให้ผู้ขายไม้ดอกหอมจัดหาให้ ราคาต่อรองกันเอาเอง เหมาะจะปลูกเป็นไม้ประดับในบริเวณบ้านหลายๆต้น เวลามีดอก นอกจากจะดูสวยงามและส่งกลิ่นหอมชื่นใจแล้ว ยังสามารถเก็บเอาดอกบูชาพระได้อีกด้วย.

“นายเกษตร”

 

เพลี้ยไฟระบาด..สวนมังคุด กรมส่งเสริมฯเตือนภัยภาคใต้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 18 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/692883

กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เตือนชาวสวนมังคุดในพื้นที่ภาคใต้ ระยะนี้ให้ระวังการระบาดของเพลี้ยไฟเข้าทำลาย โดยตัวอ่อนและตัวเต็มวัยของเพลี้ยไฟจะดูดกินน้ำเลี้ยงที่ใบ ดอกและผลอ่อน

นายโอฬาร พิทักษ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรแนะนำ เกษตรกรในพื้นที่ ภาคใต้ โดยเฉพาะ ผู้ผลิตมังคุดเพื่อการส่งออก ควรดูแลเรื่องเพลี้ยไฟให้มาก เพราะถ้ามังคุดถูกเพลี้ยไฟทำลายแล้ว จะทำให้มังคุดไม่ได้คุณภาพจำหน่ายไม่ได้ราคา

เนื่องจากช่วงนี้มังคุดในภาคใต้อยู่ในระยะดอกบาน ติดผลอ่อน ถ้าเพลี้ยไฟเข้าทำลายจะทำให้เกิดอาการยางไหลที่ผล ให้สังเกตเพลี้ยไฟแมลงขนาดเล็ก มีความยาวประมาณ 0.7-1.0 มิลลิเมตร ลำตัวมีสีเหลือง หรือสีน้ำตาลอ่อน เคลื่อน ไหวรวดเร็วลักษณะและการทำลายของเพลี้ยไฟ ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยจะดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบอ่อน ดอก และผลทำให้ใบแคระแกร็น แห้ง และไหม้ ทำให้ลูกผลเจริญเติบโตช้า ผิวผลมีรอยขรุขระเป็นขี้กลาก มักระบาดในระยะแตกใบอ่อน ดอก และผลอ่อนในช่วงอากาศแห้งแล้ง

ตัวอ่อนเพลี้ยส่วนวิธีการป้องกันกำจัด ในช่วงอากาศแห้ง แล้งให้น้ำฉีดพ่นเพื่อปรับสภาพแวดล้อมไม่ให้เหมาะสมกับการเจริญของเพลี้ยไฟ ช่วยลดปริมาณเพลี้ยไฟลง ถ้ามังคุดอยู่ในระยะแทงช่อดอกให้สำรวจปริมาณเพลี้ยไฟอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่อากาศร้อนอบอ้าวและฝนไม่ตก

โดยการสุ่มเคาะช่อดอกบนกระดาษขาวก่อนดอกบาน 1 สัปดาห์ ถ้าพบเพลี้ยไฟ 3 ตัวต่อช่อ หรือพบมากกว่า 1 ตัวต่อดอก และหลังจากนั้นอีก 1 สัปดาห์ พบปริมาณเพลี้ยไฟมากกว่า 1 ตัวต่อ 4 ช่อดอก ให้ทำการกำจัดโดยใช้สารเคมีตามคำแนะนำดังนี้

ฉีดพ่นอิมิดาโคลพริด 10% เอสแอล อัตรา 10 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือฟิโปรนิล 5% เอสซี อัตรา 10 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ไซเพอร์เมทริน/โฟซา-โลน 6.25%/22.5% อีซี อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือคาร์โบซัล-แฟน 20% อีซี อัตรา 50 มิลลิลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร

หลังฉีดพ่นครั้งแรกไปแล้ว 1 สัปดาห์ ให้สำรวจเพลี้ยไฟ หากยังพบปริมาณเพลี้ยไฟเกิน 1 ตัวต่อยอด ต้องพ่นสารเคมีซ้ำอีกครั้ง และควรสลับการใช้สารเคมีชนิดอื่น ทั้งนี้เพื่อป้องกันเพลี้ยไฟดื้อยา.

 

“ชมพู่มะเหมี่ยวขาว” เก็บผลให้เนื้อหวานขายราคาดี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 17 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/691763

ชมพู่มะเหมี่ยวขาว

ผู้เฒ่าผู้แก่ ในยุคสมัยก่อนบอกเล่ากันเรื่อยมาจนถึงกระทั่งปัจจุบันว่า ถ้าปลูก “ชมพู่มะเหมี่ยวขาว” แล้วอยากให้เนื้อผลมีรสชาติหวานหอมกรอบอร่อย มีวิธีง่ายๆคือ หลังปลูกต้น “ชมพู่มะเหมี่ยวขาว” จนต้นโตมีดอกและติดผลต้องปล่อยให้ผลติดอยู่กับต้นจนกระทั่งผลแก่จัด มีกลิ่นหอมมากๆตามธรรมชาติ และกลิ่นโชยเข้าจมูกเมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆต้นเสียก่อน จากนั้นจึงเก็บผลลงจากต้น เพราะในช่วงดังกล่าวผลของ “ชมพู่มะเหมี่ยวขาว” จะมีความหวานจัดเป็นธรรมชาติ มีกลิ่นหอมแรงและเนื้อผลจะกรอบ ไม่มีรสเปรี้ยวหรือรสฝาดเจือปนเลย รับประทานอร่อยชื่นใจดีมาก ซึ่งผู้เฒ่าผู้แก่ยังบอกต่ออีกว่า หากเก็บผลของ “ชมพู่มะเหมี่ยวขาว” ตามวิธีที่กล่าวข้างต้นแล้วนำผลรับประทานหรือวางขายจะได้รสชาติอร่อย ราคาดี ทำให้ผู้ซื้อไปรับประทานชื่นชอบและจะติดใจหวนกลับมาซื้อใหม่อีกด้วย

ชมพู่มะเหมี่ยวขาว เป็นไม้ยืนต้น สูง 5-8 เมตร ยอดอ่อนเป็นสีเขียวอ่อน แตกต่างจากยอดอ่อนของชมพู่มะเหมี่ยวทั่วไปอย่างชัดเจน ที่ยอดอ่อนจะเป็นสีน้ำตาลแดง ดอกเป็นสีชมพู “ผล” รูปกลมรี ปลายผลอ้วนใหญ่ หัวผลเรียวคล้ายรูปหยดน้ำ ผิวผลเป็นสีขาว เนื้อผลหนา เมล็ดขนาดเล็ก 1-3 เมล็ด รสชาติของเนื้อหวานกรอบหอมตามที่กล่าวข้างต้น มีดอกและติดผลเกือบทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง ถิ่นกำเนิดดั้งเดิม นิยมปลูกเฉพาะถิ่นในพื้นที่ จ.นนทบุรี และย่านตลิ่งชัน เขตบางกอกน้อย กทม. ปัจจุบันได้กระจายพันธุ์ปลูกทั่วทุกภาคของประเทศไทย น้ำหนักผลโตเต็มที่เฉลี่ยระหว่าง 5-8 ขีดต่อผล เวลาติดผลจะดกมาก

ใคร ต้องการกิ่งตอนแท้ติดต่อตรง “คุณประภาส สุภาผล” 33/4 หมู่ 7 ต.ห้วยใหญ่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โทร.08-8533-2299 หรือไปซื้อที่งานเกษตรศรีราชาแฟร์ จัดขึ้นที่ ม.เกษตรศาสตร์ ศรีราชา จ.ชลบุรี ตั้งอยู่ บริเวณอ่าวอุดม ระหว่างวันที่ 26 ส.ค.-4 ก.ย.59 ราคาสอบถามกันเอง ต่างจังหวัดจัดส่งทางไปรษณีย์ได้ เหมาะจะปลูกเพื่อเก็บผลกินในครัวเรือน หรือปลูกหลายๆต้นเก็บผลขายได้ราคาดีและคุ้มค่ามากครับ.

“นายเกษตร”

 

ญี่ปุ่นมองชาวนาไทย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย สะ-เล-เต 17 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/691772

เขียนเรื่องชาวญี่ปุ่นจากคำบอกเล่าของ อ.ทซึโทมุ มิยาโกชิ อดีตข้าราชการกระทรวงการเกษตรป่าไม้และประมง จ.นีกะตะ ที่ปรึกษาเชี่ยวชาญพิเศษ (ข้าว) บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด กันมาหลายตอน…วันนี้มาฟังผู้รู้เรื่องข้าวจากญี่ปุ่น มองชาวนาไทยกันบ้าง ต้องทำยังไง กระดูกสันหลังของชาติจะได้เลิกผุเสียที

สิ่งแรกที่ อ.ทซึโทมุให้ข้อคิด ต้องเปลี่ยนความคิด จากคิดแค่จะปลูกข้าวให้ได้ผลผลิตมาก…มาเป็นปลูกข้าวคุณภาพ ให้ได้ราคาดีสำคัญกว่า

มิเช่นนั้น ข้าวไทยจะกลายเป็นแค่สินค้าวัตถุดิบราคาถูก

และสิ่งที่จะต้องทำขั้นต่อมา…ต้องสร้างเสถียรภาพด้านการผลิต ให้ผลผลิตแต่ละปีได้ปริมาณข้าวคงที่ ไม่ลดหรือเพิ่มมากไป ทั้งนี้ เพื่อให้ปริมาณการผลิตพอดีกับความต้องการของผู้บริโภค แล้วนำมาแปรรูปเพิ่มมูลค่า และทำการตลาดให้เป็น อันเป็นจุดอ่อนของชาวนาบ้านเรา

จะทำอย่างนั้นได้ ระบบชลประทานต้องทั่วถึง ระบบน้ำในนาต้องดี นำน้ำเข้าออกได้ทุกเวลาที่ต้องการ กระบวนการผลิตต้องมีเครื่องจักรกลการเกษตรเข้ามาช่วยจะทำให้ต้นทุนต่ำลง ประหยัดเวลา ประหยัดแรงงาน รวมถึง การนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาผนวกกับภูมิปัญญาท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์สูงสุด

อีกสิ่งที่ไม่ค่อยพบในสังคมไทย แต่ต้องเปลี่ยนแปลงทำให้ได้ คือ การรู้จักร่วมกันผลิต ร่วมกันแปรรูปและร่วมกันขาย จนกลายเป็นนาแปลงใหญ่ ก้าวสู่สหกรณ์ และบริษัท เพื่อให้เกิด อำนาจต่อรอง และเกิดการร่วมทุน จากเอกชนตามมา สิ่งเหล่านี้จะเกิดได้ ล้วนมาจากรากฐานของการทำระบบสหกรณ์ให้เข้มแข็ง จะมีผลทำให้เกษตรกรสามารถกำหนดราคาได้เอง

และชาวนาไทยต้องเลิกทำตัวอีโก้สูง …เลิกซะทีกับคำว่า เคยทำอย่างนี้มาตั้งแต่บรรพบุรุษไม่เห็นเป็นไร ให้ยอมรับความจริง สภาพแวดล้อมในอดีตกับปัจจุบันต่างกัน ฉะนั้นต้องรู้จักปรับเปลี่ยนตัวเอง

ความจริงแล้วไทยมีข้อได้เปรียบญี่ปุ่นหลายด้าน โดยเฉพาะทำนาได้ปีละ 2 ครั้ง และวันนี้ยังพอมีเกษตรกรรุ่นใหม่หันมาทำนา…ถ้ารู้จักเริ่มต้นปรับเปลี่ยนวิธีคิดกันตั้งแต่วันนี้ ชาวนารุ่นต่อไปจะกลายเป็นชนชั้นที่มีคนอยากนับถือได้ไม่ยาก จัดเป็นพวกผู้มีอันจะกิน เช่นเดียวกับชาวนาในอีกหลายประเทศที่พัฒนาแล้ว.

สะ–เล–เต

 

สิรินธารา น้ำหอมดอกโมกราชินี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 17 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/691997

ปี 2544 ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการสำรวจและจำแนกพรรณไม้ กรมป่าไม้ สำรวจพันธุ์ไม้ของไทย กระทั่งพบดอกโมก พรรณไม้สกุลโมกมันชนิดใหม่หายาก…ขึ้นตามซอกหิน ภูเขาหินปูนที่แล้งในป่า จ.สระบุรี ลพบุรี นครสวรรค์ ออกดอกสีขาวสวยงาม ส่งกลิ่นหอมยามค่ำคืนในช่วงเดือน กุมภาพันธ์-เมษายน

เป็นพรรณไม้ถิ่นเดียวที่พบเฉพาะในประเทศไทย สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระราชทานพระราชานุญาต ให้กรมป่าไม้ใช้พระ-นาม “โมกราชินี”

เพราะเป็นพืชใหม่ของโลก จึงไม่เคยมีใครศึกษาสารหอมในตระกูลดอกโมกมาก่อน มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี จึงมีแนวคิดทำวิจัย สกัดสารหอมจากดอกโมกราชินีมาใช้ประโยชน์ในวงการเครื่องหอมและธุรกิจสปา

“ปี 2550 ทีมวิจัยของมหาวิทยาลัยจึงเดินทางไปเก็บดอกโมกราชินี ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติถ้ำเพชรถ้ำทอง อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ เนื่องจากเป็นแหล่งที่มีดอกโมกราชินีมากที่สุด รวบรวมนำดอกสดมาสกัดสารหอม แม้ดอกโมก
ราชินีจะส่งกลิ่นหอมยามค่ำคืน แต่จากการศึกษาเราพบว่า ในช่วงเช้าจะมีสารหอมมากที่สุด จึงต้องเลือกเก็บเฉพาะเวลานี้เท่านั้น เก็บมาแล้วต้องรักษาอย่างดี เพื่อไม่ให้เกิดการเน่าเสีย และต้องนำมาสกัดภายใน 24 ชั่วโมง เราถึงจะได้สารหอมคุณภาพเต็มร้อย”

สำหรับกระบวนการสกัด ดร.เฉลียว เพชรทอง อาจารย์สาขาวิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี บอกว่า เริ่มด้วยนำดอกโมกราชินีที่เด็ดขั้ว 1 กก. แช่ด้วยเฮกเซนให้ท่วมดอกนาน 3 วัน กรองเอาสารละลายเก็บไว้ ทำซ้ำอีก 2 ครั้ง เพื่อให้ได้สารหอมออกมามากที่สุด นำส่วนที่เป็น สารละลายเฮกเซนทั้งหมดมาใส่ขวดแก้ววิทยาศาสตร์ เติมโซเดียมซัลเฟตปราศจากน้ำ เพื่อแยกน้ำกับสารหอมให้แบ่งเป็นชั้นๆ…จะได้สารสกัดหยาบ ลักษณะเป็นไข

จากนั้นนำแอลทิลแอลกอฮอล์บริสุทธิ์มาทำละลายและกรองอีกครั้ง จะได้น้ำสีดำมีความข้นหนืด… นี่แหละสารหอมจากดอกโมกราชินี

“แต่การสกัดครั้งแรก เราได้สารหอมปริมาณน้อยมาก ทีมงานจึงมุ่งทำวิจัยต่อ แต่ปี 2551 สภาพอากาศแล้งจัด ต้นโมกไม่ออกดอก การวิจัยต้องหยุดชะงักลง ปีต่อมาแม้จะหมดงบวิจัย แต่การสกัดหาสารหอมในดอกโมกราชินี ยังเป็นเรื่องท้าทาย เราจึงใช้ทุนส่วนตัวเดินหน้าทำงานต่อ เพื่อให้ได้สารหอมที่ดีที่สุด กระทั่งปี 2558/2559 มหาวิทยาลัย ได้สนับสนุนทุนต่อยอดพัฒนาสารหอมจากดอกโมกราชินี นำมาปรุงกลิ่นน้ำหอม 4 สูตร ได้ความหอมเทียบเท่าน้ำหอมจากต่างประ-เทศของบริตนีย์ สเปียส์ ศิลปินเพลงป๊อปหญิงชาว อเมริกัน ที่ปรุงกลิ่น Mid-night Fantasy ออกมาเป็นเฉพาะของตัวเอง”

และทางมหาวิทยาลัย ราชภัฏกาญจนบุรี ได้ทูลเกล้าฯถวาย สมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ การนี้ทรงพระกรุณาพระราชทานนามน้ำหอมจากดอกโมกราชินีว่า “สิรินธารา” ดั่งความหมาย สายธารแห่งเจ้าฟ้าสิรินธร.

เพ็ญพิชญา เตียว

 

“มะนาวแป้นแม่ลูกดก” ปลูกคุ้มราคาดี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 16 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/690631

มะนาวชนิดนี้ เกิดจากการเขี่ยเกสรผสมระหว่าง มะนาวแม่ไก่ไข่ดก กับ มะนาวแป้นเอี่ยมเซ้ง ซึ่งโดยธรรมชาติของมะนาวแม่ไก่ไข่ดกจะมีดอกและติดผลดกมาก แต่ขนาดของผลจะไม่ใหญ่นัก มีเมล็ดน้อย ให้น้ำเยอะ รสเปรี้ยวจัดและมีกลิ่นหอม ส่วนมะนาวแป้นเอี่ยมเซ้ง ผลจะมีขนาดใหญ่ติดผลไม่ดกเป็นธรรมชาติ แต่จะมีข้อดีคือเป็นสายพันธุ์ที่มีความทนทานต่อโรคแมลงหรือโรคแคงเกอร์ที่ชอบลงเกาะกินต้นมะนาวได้สูงมาก

จากนั้น ก็นำเอาเมล็ดที่ได้จากผลที่เกิดจากการเขี่ยเกสรผสมแล้ว จำนวนกว่าร้อยเมล็ดไปเพาะเป็นต้นกล้า แล้วแยกต้นปลูกเลี้ยงจนต้นโตมีดอกและติดผล แต่ละต้นจะมีความแตกต่างจากพันธุ์พ่อและพันธุ์แม่อย่างชัดเจนคือ เป็นมะนาวพันธุ์เบามีดอกและติดผลได้ง่ายหลังปลูกเพียง 3-4 เดือนเท่านั้นจะให้ผลผลิตชุดแรกได้แล้ว และที่สำคัญเมื่อต้น มีอายุได้ 2 ปีขึ้นไปจะมีดอก ติดผลดกขึ้นเรื่อยๆตามอายุของต้น เป็นเรื่องแปลกมาก เชื่อว่าเป็นมะนาวพันธุ์ใหม่ที่กลายพันธุ์ถาวรแล้ว จึงตั้งชื่อว่า “มะนาวแป้นแม่ลูกดก” ดังกล่าว

มะนาวแป้นแม่ลูกดก เป็นไม้ยืนต้น สูง 3-4 เมตร กิ่งอ่อนมีหนามแหลม ใบเป็นใบประกอบชนิดมีใบย่อยเพียงใบเดียว ออกเรียงสลับ ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบและปลายยอด กลีบดอกเป็นสีขาว ร่วงง่าย ดอกมีกลิ่นหอม “ผล” รูปกลมแป้นหรือแบนอย่างชัดเจน ผลโตเต็มที่มีน้ำหนักเฉลี่ยระหว่าง 11-12 ผลต่อ 1 กิโลกรัม เปลือกผลบาง ผ่าหรือบีบคั้นเอาน้ำให้น้ำเยอะ น้ำเป็นสีขาวใสแตกต่างกว่าน้ำมะนาวทั่วไป รสเปรี้ยวจัด มีกลิ่นหอม มีเมล็ดไม่มากนัก ติดผลดกเต็มต้นตามฤดูกาล ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง และเสียบยอด

ปัจจุบัน “มะนาวแป้นแม่ลูกดก” มีกิ่งตอนโดยตรงกับกิ่งตอนด้วยระบบเสียบยอดกับตอส้มโอ ของแท้ขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ 17 แผง “นายดาบสมพร” โทร.08-6605-4945 ราคาสอบถามกันเอง เหมาะจะปลูกเพื่อใช้ประโยชน์ในครัวเรือนหรือปลูกหลายๆต้น เก็บผลขายได้ราคาดีและคุ้มค่ามากครับ.

“นายเกษตร”

 

ท่วมแล้งเค็ม…ลุ่มน้ำปราจีนฯ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย สะ-เล-เต 16 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/690633

ลุ่มน้ำปราจีนบุรี…ไม่เพียงจะมีปัญหาท่วมแล้งซ้ำซากเหมือนที่อื่น ยังมีปัญหาน้ำเค็มจากอ่าวไทยรุกเข้ามาใกล้ถึง 145 กม. ไม่เพียงการผลิตน้ำประปาจะมีปัญหา โรงพยาบาลยังขาดน้ำรักษาผู้ป่วย

แล้งที่แล้ว 2558 ทั่วไทยฝนตกน้อย ที่อื่นแล้งน้ำ…แต่ลุ่มน้ำปราจีนบุรียังอุตส่าห์มีน้ำท่วมให้เห็น

“พื้นที่นี้ปัญหาค่อนข้างซับซ้อน สภาพพื้นที่ตอนบนเป็นป่ามรดกโลก จะแก้ปัญหาท่วมแล้งและผลักดันน้ำเค็ม ด้วยการสร้างอ่างเก็บน้ำทำได้ยาก ส่วนตอนกลางและล่างเป็นที่ราบลุ่ม ฝนตกลงมาไหลลงมาท่วมขัง พอน้ำไหลลงทะเลไปจนหมด ฤดูแล้งมาเยือน น้ำเค็มรุกเข้าแม่น้ำบางปะกงมาถึงปราจีนบุรี เลยไม่มีน้ำให้เกษตรกรและช่วยดันน้ำเค็ม”

ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ รองอธิบดีกรมชลประทาน อธิบายให้เห็นภาพปัญหา 3 น้ำที่เกิดขึ้นทุกปี หนทางที่จะแก้ปัญหาให้ได้ ตามแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ จำเป็นต้องใช้แนวทางแก้ปัญหาแบบแพ็กเกจ ต้องใช้วิธีการหลายอย่างร่วมกัน จะหวังเพียงสร้างอ่างเก็บน้ำอย่างเดียวไม่ได้

ด้วยพื้นที่ลุ่มน้ำปราจีนบุรีมีปริมาณน้ำท่า 4,700 ล้าน ลบ.ม. มีพื้นที่สร้างอ่างเก็บน้ำได้เพียง 2 แห่ง อ่างเก็บน้ำนฤบดินทรจินดา (ห้วยโสมง) อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี กับอ่างเก็บน้ำพระปรง อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว มีศักยภาพเก็บน้ำได้รวมกัน 300 ล้าน ลบ.ม.หรือแค่ 6% ของปริมาณน้ำท่าเท่านั้น นับว่าน้อยมาก

อีก 94% ที่ไหลทิ้งลงทะเล…ต้องนำมาใช้ประโยชน์ให้เต็มที่

การแก้ปัญหาน้ำท่วมเมืองพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ ดร.สมเกียรติ ชี้ว่า จะใช้รูปแบบเดียวกับ กทม. สร้างแนวปราการคันดินล้อมเมืองป้องกันน้ำท่วม สร้างประตูควบคุมการจราจรของน้ำให้ไหลเลี่ยงเมือง พร้อมขุดลอกแม่น้ำ คูคลองต่างๆเพื่อเพิ่มพื้นที่รับน้ำ และบังคับให้น้ำไหลบ่ามาในฤดูฝนให้ไปอยู่รวมกันในแก้มลิง 3 แสนไร่ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าอ่างนา จะกักเก็บน้ำไว้ได้ประมาณ 270 ล้าน ลบ.ม. ไม่ให้ไหลลงทะเลโดยเปล่าประโยชน์

“ปกติบริเวณนาน้ำท่วมทุกปี และชาวบ้านต้องทำนาหนีน้ำทุกปี จึงไม่มีปัญหา เราจะสร้างระบบแก้มลิงเก็บน้ำไว้ประมาณ 2 เดือน (พ.ย.-ธ.ค.) เพื่อตุนไว้ช่วยไล่น้ำเค็มในต้นฤดูแล้ง และเมื่อน้ำหมดถึงจะปล่อยน้ำจากเขื่อนมาช่วยดันน้ำเค็มและให้เกษตรกรทำนาได้”

แต่นั่นเป็นแนวทางที่กรมชลประทานได้ศึกษาเอาไว้ในเบื้องต้น แต่ทั้งหมดนี้จะเป็นจริงได้แค่ไหน คงต้องรอกันอีกต่อไป…หวังว่าคงไม่ถูกเก็บไว้ในลิ้นชักเหมือนที่แล้วๆมา.

สะ-เล-เต

 

เครื่องเทศด้อยคุณภาพ ครัวไทยไปไม่ถึงครัวโลก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 16 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/690877

ผศ.ดร.ปุณฑริกา รัตนตรัยวงศ์ ภาควิชาอุตสาหกรรมเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยนเรศวร เผยว่า จากปัญหาผู้ประกอบการร้านอาหารไทยในต่างแดน เจอปัญหารสชาติอาหารแย่ กลิ่นไม่หอมชวนรับประทาน สีผิดเพี้ยน สาเหตุเพราะเครื่องแกง สมุนไพรไทยทั้งใบกะเพรา, โหระพา, ใบมะกรูด, ข่า, ตะไคร้ ด้อยคุณภาพ นำมาประกอบอาหารแล้วกลิ่นไม่หอมชวนรับประทาน เลยทำให้ทุกวันนี้โครงการครัวไทยสู่ครัวโลก ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร และทำให้กลุ่มร้านอาหารครัวไทยในยุโรปได้ขอให้ทางมหาวิทยาลัยนเรศวรช่วยศึกษาวิจัยหาทางแก้ปัญหา

“เราประสบความสำเร็จในการทำให้พืชผักสมุนไพรปรุงอาหารของไทย ให้สามารถคงกลิ่นและรสชาติ เก็บได้นานถึง 6 เดือนในอุณหภูมิห้อง ไม่ต้องแช่ตู้เย็น โดยใช้วิธีนำพืชสมุนไพรไทยมาผ่านกระบวนการคงคุณภาพและการแปรรูปให้อยู่ในรูปแบบวัตถุดิบพร้อมปรุง แล้วนำมาบรรจุอยู่ใน ฟิล์ม (edible film) แล้วห่อด้วยฟอยล์เพื่อไม่ให้สีผิดเพี้ยนจากธรรมชาติมากนัก”

ผศ.ปุณฑริกาเผยอีกว่า วิธีนี้ช่วยรักษาสี กลิ่นและสารหอมระเหย ให้คงอยู่ใกล้เคียงของสด ได้นานถึง 6 เดือน และยังนำมาประกอบอาหารได้ง่าย แค่รอให้น้ำเดือด แกะกระดาษฟอยล์ทิ้ง นำสมุนไพรใส่ลงหม้อต้มได้ทั้ง ถุงฟิล์มใส ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เพราะ เป็นฟิล์มทำมาจากแป้งข้าวโพด และเมื่อนำไปให้อาสาสมัคร 30 ราย ทดลองบริโภคเปรียบเทียบ ปรากฏว่า กลุ่มทดลองไม่สามารถแยก ได้ว่า ต้มยำถ้วยไหนทำจากพืชสมุนไพรสด หรือ สมุนไพรที่ผ่านกระบวนการคงคุณภาพ

จากความสำเร็จดังกล่าว ทีมวิจัย ม.นเรศวร จึงได้ผลิตสมุนไพรแปรรูป 11 ชนิด ได้แก่ ใบมะกรูด, สะระแหน่, ยี่หร่า, กะเพรา, โหระพา, ผักชี, ต้นหอม, หอมแดง, ตะไคร้, ขิง, ข่า รวมทั้งชุดสมุนไพรชนิด สำเร็จรูปพร้อมปรุง ชุดต้มยำ, ชุดต้มข่าไก่, ชุดลาบ เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตคนเมืองและขยายโอกาสการส่งออกสมุนไพรเครื่องแกงไทยในตลาดต่างประเทศ ผู้สนใจสนใจสามารถพิสูจน์ได้ใน “งานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2559 (Thailand Research Expo 2016)” 17- 21 ส.ค.นี้ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กทม.

 

“เมล็ดลำไย” แก้หัวเข่าอักเสบเรื้อรัง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 15 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/690058

หลายคนหัวเข่าอักเสบเรื้อรัง เนื่องมาจากการเดินมากเกินไปหรือหัวเข่าไปกระแทกกับของแข็ง ทำให้ปวดแบบ เป็นๆหายๆ ไม่ใช่เป็นเพราะกระดูก เข่าเสื่อม ในทางสมุนไพร ให้เอา “เมล็ดลำไย” สดจำนวน 20 เมล็ด ทุบพอแตกแช่กับเหล้าขาว 40 ดีกรี 1 ขวด ทิ้งไว้ 7 วัน เมื่อครบกำหนดแล้วให้ เอาเฉพาะน้ำทาบริเวณหัวเข่าที่ปวดอักเสบเรื้อรังทุกวัน วันละ 1–2 ครั้ง ตอนไหนก็ได้จะทำให้อาการที่เป็นดีขึ้นเรื่อยๆ และหายได้ในที่สุด น้ำยาที่เหลือเก็บไว้ใช้ได้ไม่อันตรายอะไร

ลำไย หรือ NEPHELIUM LONGANA อยู่ในวงศ์ SAPINDACEAE เป็นไม้ยืนต้น นิยม ปลูกและนิยมรับประทานอย่างแพร่หลายมาแต่โบราณแล้ว รากสดหรือแห้ง ต้มน้ำดื่มแก้เสมหะและลมดีมาก รากสดยังต้มน้ำใส่น้ำตาลกรวด ดื่มเป็นยากระจายเลือด ลิ่มเลือดเป็นก้อนที่คั่งค้างในร่างกาย เนื่องจากหกล้มหรือพลัดตกจากที่สูงทำให้โลหิตตกจากทางทวารหนักได้ ในยุคสมัยก่อนนิยมใช้อย่างกว้างขวางได้ผลดีระดับหนึ่ง

ครับ หนังสือ “สมุนไพรไม้ดอกไม้ประดับหายาก” เล่มที่ 5 ของ “นายเกษตร” ไม่วางขายที่ไหน หมดแล้วหมดเลย ราคาเล่มละ 600 บาท บวกค่าส่งกลับเล่มละ 30 บาท ส่งธนาณัติซื้อสั่งจ่าย “คุณนงลักษณ์ ศรีอัชรานนท์” ตู้ ปณ.48 ปณ.สามแยกลาดพร้าว กทม. 10901 หรือสอบถามผลิตภัณฑ์สมุนไพร ขมิ้นชันแคปซูล แก้โรคกระเพาะอาหาร, มะแว้งแคปซูล ปรับระดับน้ำตาลในเลือด, แห้วหมูแคปซูล ช่วยลดความดันโลหิต, กระเทียมโทนแคปซูล ผสมสมุนไพรหลายอย่างแก้หอบหืด แก้ถุงลมโป่งพอง, น้ำมัน 12 ประดง ใช้ภายนอกฆ่าเชื้อสมานแผลแก้เริมงูสวัด สะเก็ดเงิน แพ้เหงื่อ, ยาแก้ริดสีดวงจมูกแคปซูล แก้น้ำมูกไหลมีกลิ่นเหม็น, ตรีผลาแคปซูล ลดไขมันในเส้นเลือด ลดไตรกลีเซอไรด์, ดีบัวแคปซูล ขยายหลอดเลือดไปเลี้ยงสมองหัวใจ, ยาต้มคลายเส้นไม้เท้าเฒ่าอาลี แก้ปวดเมื่อย แก้เกาต์ ลดเบาหวาน, คอลลาเจนบริสุทธิ์ เป็นผงทาหน้า ช่วยให้ผิวหน้ากระชับ, ครีมโลดทนง รักษาสิวฝ้ารูขุมขนตีบลง, ข่อยขัดรักแร้ ดับกลิ่นเต่ารักแร้หายดำคล้ำ, ยาลดเบาหวานแคปซูล และอื่นๆ โทร. 0–2275–2692 ครับ.

“นายเกษตร”