พด.หนุนอีสานเจาะบ่อน้ำตื้น ใจป้ำแจกชุดเจาะโซล่าเซลล์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 12 พ.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/618700

 

นางปราณี สีหบัณฑ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านวางระบบการพัฒนาที่ดินเขต 5 จ.ขอนแก่น เผยถึงการแก้ปัญหาภัยแล้งด้วยบ่อน้ำตื้น หรือบ่อน้ำสร้าง ตามภาษาพื้นเมืองอีสาน ที่มีกระจายอยู่เกือบทุกพื้นที่แต่คนทั่วไปมักเข้าใจผิดคิดว่าเป็นบ่อน้ำบาดาลที่ต้องขุดลึกหลายสิบเมตรจึงไม่ค่อยกล้าลงทุนขุด แต่ความจริงแล้วบ่อน้ำตื้นนั้นอยู่ในระดับแค่ 10 เมตรเท่านั้นเอง

การหาแหล่งขุดเจาะบ่อน้ำตื้นในอดีต ด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่น ชาวบ้านจะใช้วิธีสังเกตใน 2 ลักษณะ ถ้าในฤดูร้อน จะสังเกตพื้นดินบริเวณไหนมีอากาศค่อนข้างเย็นกว่าบริเวณอื่น พื้นที่นั้นมีแหล่งน้ำบ่อน้ำตื้น แต่ถ้าเป็นฤดูหนาวบริเวณไหนมีไอน้ำออกมาจากพื้น แสดงว่าบริเวณนั้นมีน้ำบ่อตื้น


“เมื่อพบจุดที่น่าจะขุดเจาะบ่อน้ำตื้นได้ชาวบ้านจะปลูกต้นกล้วยเป็นสัญลักษณ์ จากนั้นค่อยปลูกพืชชนิดอื่น ถ้าต้นไม้ที่ปลูกไว้เจริญเติบโตได้ดี แสดงว่ามีบ่อน้ำตื้นเพียงพอใช้แน่ ถึงจะลงมือขุดบ่อเพื่อนำน้ำขึ้นมาใช้ บ่อน้ำตื้นไม่ต่างจากโอเอซิสกลางทะเลทราย มักอยู่บริเวณเชิงเนินรอยต่อระหว่างพื้นที่นากับพื้นที่ไร่ เป็นน้ำฝนที่ผ่านการ กรองจากชั้นหิน ไปขังอยู่ในชั้นดินเหนียว อยู่ลึกไม่เกิน 10 เมตร เป็นน้ำจืดที่นำมาอุปโภคบริโภคได้”

นางปราณี กล่าวว่า เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำในพื้นที่ภาคอีสานสำนักงาน พัฒนาที่ดินเขต 5 จึงส่งเสริมให้เกษตรกรในพื้นที่ ขุดเจาะบ่อน้ำตื้นไว้อุปโภคบริโภค โดยสนับสนุนเครื่องขุดเจาะบ่อน้ำพร้อมเครื่องสูบพลังแสงอาทิตย์แบบเคลื่อนย้าย ได้ มูลค่าประมาณ 100,000 บาท ให้ กับเกษตรกรครอบครัวละ 1 ชุด


ทั้งนี้ สำนักงานฯกำหนดให้เกษตรกรต้องรวมกลุ่มไม่น้อยกว่า 10 คน ยื่นหนังสือขอมายังสำนักงานพัฒนาที่ดินเขต 5 เมื่อผ่านการพิจารณาแล้ว จะได้รับเครื่องมือดังกล่าวคนละ 1 ชุด พร้อมกับมีเจ้าหน้าที่คอยเป็นพี่เลี้ยงแนะนำการใช้งานอย่างใกล้ชิด

“เครื่องขุดเจาะบ่อน้ำนี้ มีลักษณะเป็นรถเข็นเดินตาม มีตัวขุดเจาะ ปั๊มน้ำ และแบตเตอรี่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ส่วนวิธีใช้งานก็ไม่ยากอะไร เราจะมีเจ้าหน้าที่คอยให้คำแนะนำปรึกษาอยู่ตลอด เมื่อขุดเจาะได้แล้วก็ปักท่อพีวีซีเป็นสัญลักษณ์ เลิกใช้ก็ปิดฝาท่อ เข็นรถอุปกรณ์กลับบ้าน เมื่อจะสูบ น้ำขึ้นมาใช้ ให้เข็นรถมาต่ออุปกรณ์เข้ากับท่อ ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการถูกโจรกรรม”.

 

โลกร้อน..แล้งขย่มไทย จะเก็บน้ำยังไงให้มีพอใช้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 11 พ.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/618149

 

อุณหภูมิสูงเกินกว่า 40 องศาเซลเซียส มีให้พบเจอกันเป็นรายวัน…พายุฤดูร้อนถล่มหนักและถี่กว่าทุกปี เป็นสัญญาณบอกให้คนไทยได้รู้สึกสำนึกจริงๆ กันเสียที ภัยโลกร้อนนั้นเป็นเช่นไร

แต่นี่แค่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง ร้อนแค่นี้ยังลำบากเรื่องน้ำกินน้ำใช้น้ำเพื่อการเกษตรสำหรับดำรงชีพเกษตรกรต้องถูกทอดทิ้ง…เพื่อเตรียมรับอนาคตร้อนแล้งยิ่งกว่าที่จะมาแน่ เราจะบริหารจัดการน้ำ เก็บกักน้ำยังไงให้คนไทยอยู่กันได้อย่างมีความสุข

“สังเกตได้ลุ่มน้ำไหนมีการเก็บกักน้ำได้น้อยกว่า 30% ของปริมาณน้ำท่าในลุ่มน้ำนั้น นอกจากจะมีปัญหาขัดสนเรื่องน้ำกินน้ำใช้ในหน้าแล้งแล้ว ฤดูฝนก็ยังมีปัญหาน้ำท่วมเป็นประจำทุกปี”


ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ รองอธิบดีฝ่ายวิชาการกรม ชลประทาน ยกตัวอย่าง ลุ่มน้ำยม จะมีปริมาณน้ำท่า หรือปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาแล้วไหลลงห้วย ลำคลองสาขา และแม่น้ำยม เฉลี่ยปีละ 5,260.91 ล้าน ลบ.ม. แต่มีเหมืองฝาย กักเก็บน้ำได้ 472.15 ล้าน ลบ.ม. หรือกักเก็บได้ 8.97%

ในขณะที่ ลุ่มน้ำน่าน ลุ่มน้ำฝาแฝดที่อยู่เคียงคู่ขนานกัน มีปริมาณน้ำท่าเฉลี่ยปีละ 17,454.12 ล้าน ลบ.ม. มีแหล่งกักเก็บน้ำได้ 10,502.61 ล้าน ลบ.ม. หรือเก็บกักได้ 60.17%


วันนี้ไปดูกันได้ แม่น้ำยมแห้งแกร็ก…แม่น้ำน่านยังมีน้ำรินไหล

แต่แจกจ่ายไปให้เกษตรกรในลุ่มน้ำใช้ไม่ได้ เพราะต้องแบ่งปันมาใช้ลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เพราะมีน้ำท่าเฉลี่ยปีละ 4,224.63 ล้าน ลบ.ม. แต่มีแหล่งเก็บกักน้ำได้แค่ 3.98%…ไม่ต้องสงสัยทำไมเจ้าพระยายังมีน้ำไหลลงอ่าวไทยได้ นั่นเพราะแหล่งเก็บน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำอื่นๆส่งมาช่วย ไม่อย่างนั้นเจ้าพระยาเค็มปี๋เต็มไปด้วยน้ำทะเลแล้ว

และในภาพรวมทั้งประเทศ เรามีลุ่มน้ำด้วยกันทั้งสิ้น 25 ลุ่มน้ำ มีน้ำท่ารวมกันเฉลี่ยปีละ 285,227.18 ล้าน ลบ.ม. กักเก็บไว้ได้แค่ 27.61%


แต่การเก็บกักน้ำท่าให้ได้ไม่น้อยกว่า 30% ดร.สมเกียรติ บอกว่า นั่นแค่ช่วยทุเลาปัญหาไม่ให้รุนแรงเท่านั้น…ถ้าจะให้มีน้ำได้ใช้อย่างไม่มีปัญหา แต่ละลุ่มน้ำต้องมีแหล่งเก็บกักน้ำท่าไว้ได้ 60–70%

“เพราะวันนี้พฤติกรรมของฝนเปลี่ยนไป บ้านเรามีฤดูฝนนาน 4-5 เดือน เมื่อก่อนฝนจะค่อยเฉลี่ยกันตกทุกเดือน แต่ในช่วง 10 ปีหลัง ปริมาณน้ำฝน 70-80% จะมาตกหนักเฉพาะในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของฤดูฝน”

ปัญหาที่ตามมา ฝนมีโอกาสซึมลงดินได้น้อยลง และกลายเป็นน้ำท่ามากขึ้นกว่าเดิม ถ้าเราไม่เก็บน้ำไว้ให้มาก น้ำท่าจะไหลลงทะเลไปหมด ซึ่งต่างจากในอดีตฝนทยอยตก น้ำมีโอกาสซึมลงดินได้นานและมากและป่าจะช่วยอุ้มน้ำไว้ส่วนหนึ่ง

แต่เดี๋ยวนี้เวลาให้น้ำฝนซึมลงดินมีน้อย แถมป่ายังน้อยอีก ฝนตก ลงมาที ไหลพรวดลงทะเลได้เร็วและมากกว่าเดิม ถ้าไม่รีบหาที่ทางมากักเก็บไว้…แล้วจะเอาน้ำที่ไหนมาใช้กัน.

ชาติชาย ศิริพัฒน์

 

วิกฤตแล้งกระทบข้าว ส่งต่อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 10 พ.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/617634

 

วิกฤติภัยแล้ง ปริมาณน้ำมีน้อย ไม่ได้สร้างปัญหาเพียงปลูกข้าวเท่านั้น ยังส่งผลต่อการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ นายนิพนธ์ มุ่ยเรืองศรี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บ.เจริญโภคภัณฑ์โปรดิวส์ จำกัด เผยว่า ปกติช่วงนี้จะเริ่มเห็นฝักข้าวโพดออกเต็มพื้นที่ปลูก แต่ปีนี้ฝนตกล่าช้า ทำให้เกษตรกรนอกเขตพื้นที่ชลประทานไม่สามารถปลูกข้าวโพดได้เลย

แต่ประเทศไทยมีการทำฟาร์มปศุสัตว์เลี้ยงหมู, โค, ไก่ จำนวนมาก แต่ละปีต้องใช้ข้าวโพดสำหรับใช้เป็นวัตถุดิบหลักผลิตอาหารสัตว์ สถานการณ์ข้าวโพดไทยวันนี้ ผลผลิตทั้งประเทศมีแค่พอใช้ปีต่อปี เพราะเกษตรกรเปลี่ยนพื้นที่หันไปปลูกยางพารา มันสำปะหลัง กันมากขึ้น ทำให้ไม่มีข้าวโพดเก็บสต๊อก และผลพวงจากวิกฤติภัยแล้ง ปริมาณน้ำน้อย ฤดูฝนคลาดเคลื่อน ปีนี้เกษตรกรโดยเฉพาะพื้นที่นอกเขตชลประทาน ไม่สามารถปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้เหมือนทุกปี ทั้งที่ปกติในช่วงมีนาคมจะมีการเริ่มปรับพื้นที่หว่านเมล็ด เดือนมิถุนายนจะมีการเก็บฝักขาย และปลูกรอบ 2 ต่อทันที


“ปีนี้การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อาจจะเหลือแค่รอบเดียว เมื่อวัตถุดิบลดลงย่อมส่งผลกระทบกับความต้องการใช้ภายในประเทศอย่างแน่นอน และจากการวิเคราะห์สถานการณ์ เราคาดว่าปี 2559/2560 ผลผลิตข้าวโพดทั้งประเทศ มีปริมาณไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ ต้องสั่งนำเข้า ทำให้ต้นทุนอาหารสัตว์สูงขึ้น กลายเป็นปัญหาต่อเนื่อง กระทบต่อต้นทุนการเลี้ยงสัตว์สูงขึ้น และสุดท้ายภาระทั้งหมดตกอยู่ที่ผู้บริโภคต้องซื้อเนื้อสัตว์แพงขึ้น”


เพื่อให้การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีผลผลิตคุณภาพ นายนิพนธ์ บอกว่า เกษตรกรจะปลูกแบบท่องสูตรตามแบบรุ่นพ่อแม่ทำมานั้นไม่ได้แล้ว เพราะที่ผ่านมาเกษตรกรปลูกพืชกันแบบผิดๆ ทำให้ดินเสื่อมโทรม เพื่อแก้ปัญหานี้ ทางซีพีได้จัดโครงการสมาร์ทโกรเวอร์ โดยก่อนปลูกข้าวโพดจะมีการเก็บตัวอย่างดินไปวิเคราะห์เพื่อใส่ปุ๋ยบำรุงต้น, บำรุงใบ, บำรุงดอกและบำรุงฝักได้อย่างเหมาะสม ตรงความต้องการ พร้อมทั้งวิจัยพันธุ์ให้เหมาะกับพื้นที่ปลูกทั้งในสภาพพื้นที่ลุ่มและที่ดอน รวมทั้งพฤติกรรมการปลูก เกษตรกรซึ่งบางรายนิยมเก็บฝักสด หรือปล่อยให้แห้งเพื่อรอราคา และโดยตลอดฤดูการปลูก จะมีเจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำกระทั่งข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เก็บฝักขายได้.

 

มกอช.ชี้อย่าตื่นตระหนก! กรณีข่าวสารปนเปื้อนพืชผัก-ผลไม้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 9 พ.ค. 2559 14:13

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/617581

 

มกอช. เตือนผู้บริโภคอย่าตื่นตระหนก กรณีไทยแพนพบสารตกค้างปนเปื้อนพืชผลไม้ “Q” และสินค้าออร์แกนิก ชี้สุ่มตัวอย่างพืชน้อย ยันกระบวนการรับรอง GAP-เกษตรอินทรีย์ของ กษ. เป็นไปตามสากล การันตีคุณภาพปลอดภัยกว่าสินค้าทั่วไป…

เมื่อวันที่ 9 พ.ค. 59 นางสาวดุจเดือน ศศะนาวิน เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) เปิดเผยว่า จากที่เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืชหรือไทยแพน (Thai-PAN) ได้สุ่มเก็บตัวอย่างพืชผักและผลไม้ที่วางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าและตลาดทั่วไปมาตรวจวิเคราะห์หาสารตกค้างและเผยแพร่ผลตรวจวิเคราะห์สู่สาธารณะ เป็นข้อมูลการศึกษาที่นำมาใช้ประโยชน์กับผู้เกี่ยวข้องได้ อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคทั่วประเทศไม่ควรตื่นตระหนกกับการนำเสนอข่าวดังกล่าวของไทยแพน เนื่องจากการสุ่มเก็บตัวอย่างของไทยแพนมีจำนวนน้อยมาก ซึ่งใช้เป็นตัวแทนของตัวอย่างทั้งประเทศไม่ได้

ทั้งนี้ ตามหลักสถิติและหลักวิชาการ ถ้าจะให้เป็นตัวแทนทั้งประเทศได้ จำนวนตัวอย่างแต่ละชนิดพืชจากแต่ละห้าง หรือตัวอย่างสินค้าคิว (Q) และสินค้าทั่วไป (Non Q) ที่สุ่มเก็บมาตรวจสอบควรจะเก็บอย่างน้อย 60 ตัวอย่างต่อชนิดพืช ไม่ใช่เก็บแค่ชนิดพืชละ 1 ตัวอย่างต่อห้างอย่างที่ทำ รวมทุกห้างมีเพียง 3-4 ตัวอย่าง แล้วนำมาสรุปเป็นภาพรวมของประเทศ การเก็บตัวอย่างสินค้าจำนวนน้อยมาก แล้วตรวจพบปัญหาในสินค้า Q จำนวน 7 ตัวอย่าง และสินค้าออร์แกนิก 8 ตัวอย่าง แล้วสรุปว่าสินค้าพืชที่ภาครัฐรับรองไม่ผ่านมาตรฐาน 57.1% และ 25% เป็นการจงใจให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องนัก ซึ่งจริงๆ ไม่ควรคิดเป็นเป็นเปอร์เซ็นต์ หรือแสดงเป็นรูปกราฟ แต่กลับไม่มีการใส่จำนวนที่ชัดเจนในรูปกราฟ เช่น สุ่มตรวจแค่ 2 ตัวอย่าง และในจำนวนดังกล่าวตรวจเจอปัญหาแค่ 1 ตัวอย่าง กลับสรุปว่าตรวจพบ 50% ถือเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้องและไม่ได้มาตรฐาน ทำให้ผู้บริโภคและประชาชนเกิดความตื่นตระหนกและเข้าใจผิดเป็นวงกว้าง กระทบต่อเกษตรกรที่ผลิตสินค้าได้มาตรฐานจีเอพี (GAP) กว่า 200,000 ราย โดยเป็นผู้ผลิตผักและผลไม้กว่า 70,000 ราย

“กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยืนยันว่า กระบวนการรับรองมาตรฐาน GAP และเกษตรอินทรีย์หรือออร์แกนิกที่ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องนั้นเป็นไปตามหลักสากล โดยกระทรวงเกษตรฯ มีการตรวจสอบและประเมินอย่างละเอียดตามข้อกำหนดในแปลงเกษตรกรอย่างน้อย 2-3 ครั้ง ตั้งแต่ปลูกจนถึงการเก็บเกี่ยวผลผลิต โดยเฉพาะการตรวจสอบการใช้สารเคมีของเกษตรกรและการบันทึกข้อมูลต่างๆ ก่อนที่จะออกใบรับรองมาตรฐาน GAP ให้ และอนุญาตให้ใช้เครื่องหมาย Q ติดบนตัวสินค้าหรือบรรจุภัณฑ์สินค้าวางจำหน่ายได้ สำหรับพืชผักและพืชล้มลุกจะมีอายุใบรับรอง 2 ปี ส่วนไม้ผลและไม้ยืนต้น มีอายุใบรับรอง 3 ปี ซึ่งเจ้าหน้าที่จะติดตามตรวจประเมินแปลง GAP ทุกปี และเกษตรกรต้องยื่นขอรับการตรวจต่ออายุใบรับรองใหม่เมื่อใบรับรองเดิมใกล้หมดอายุ” เลขาธิการ มกอช.กล่าว

จากการที่กรมวิชาการเกษตรได้สุ่มเก็บตัวอย่างสินค้าพืชมาตรวจวิเคราะห์สารตกค้าง ทั้งสินค้า Q และ Non Q โดยปี 2559 ได้ตรวจวิเคราะห์ไปแล้วกว่า 3,500 ตัวอย่าง เป็นสินค้า Q ประมาณ 1,500 ตัวอย่าง ในจำนวนนี้พบว่ามีเพียง 7 ตัวอย่าง คิดเป็นน้อยกว่า 1% ที่มีสารตกค้างเกินค่ามาตรฐาน จึงเชื่อมั่นในกระบวนการรับรองของกระทรวงเกษตรฯ ได้ และยังมั่นใจได้ว่า สินค้า Q มีคุณภาพและมีความปลอดภัยสูงกว่าสินค้าปกติทั่วไปแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กรมวิชาการเกษตรอยู่ระหว่างเร่งตรวจสอบผลการศึกษาของไทยแพน โดยเฉพาะรายงานที่ว่า มีสินค้า Q จำนวน 8 ตัวอย่าง และสินค้าออร์แกนิก 3 ตัวอย่าง พบสารตกค้างเกินค่ามาตรฐาน โดยกรมวิชาการเกษตรได้เร่งติดตามผู้ผลิตและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเบื้องต้นจะมีการตรวจสอบสินค้าที่มีปัญหาว่า ได้รับอนุญาตให้ใช้เครื่องหมาย Q อย่างถูกต้อง หรือใช้เครื่องหมาย Q ปลอมหรือไม่ หากพบว่าผู้ประกอบการลักลอบใช้เครื่องหมาย Q ปลอม มกอช.จะร่วมกับกรมวิชาการเกษตรดำเนินการตามกฎหมายทันที ถ้าตรวจยืนยันแล้วพบว่าเกษตรกรได้รับการรับรองถูกต้องและใช้เครื่องหมาย Q ถูกต้อง แต่พบสารเคมีตกค้างเกินค่ามาตรฐาน โดยที่เกษตรกรใช้สารผิดอย่างตั้งใจ จะพิจารณาดำเนินการลงโทษ

นอกจากนี้ หากตรวจสอบพบการปนเปื้อนโดยที่เกษตรกรไม่ได้ตั้งใจ เช่น การปนเปื้อนสารเคมีจากแปลงข้างเคียง รวมทั้งน้ำและดิน จะแนะนำให้เกษตรกรเร่งปรับปรุงแก้ไข  อาทิ ปลูกพืชบังลมเพื่อป้องกันไม่ให้สารเคมีจากแปลงข้างเคียงปลิวข้ามมาปนเปื้อนพืชในแปลง GAP หรือปรับปรุงระบบการให้น้ำ เป็นต้น คาดว่าจะได้ผลตรวจสอบยืนยันข้อเท็จจริงภายในสัปดาห์นี้ ซึ่งกรมวิชาการเกษตรและ มกอช.จะร่วมดำเนินการจัดการแก้ไขปัญหาและจะแจ้งให้ทราบโดยเร็วต่อไป.

 

หนุ่มออฟฟิศทำเกษตรขำๆ กำไรเดือนละแสน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 9 พ.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/617117

 

“จบมัณฑนศิลป์ เปิดบริษัทรับจ้างออกแบบเป็นของตัวเอง แต่เจ๊ง เลยไปเป็นกุ๊กอยู่อเมริกาหลายปี กลับมาทำกิมจิขาย แต่ผักที่นำมาทำกิมจิ ใช้ได้แค่ครึ่งเดียวที่เหลือต้องทิ้ง รู้สึกเสียดาย คิดหาวิธีการทำอย่างไรให้เกิดประโยชน์ ไปหาความรู้ที่มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ ปิ๊งไอเดียเลี้ยงไส้เดือนย่อยสลายผัก เริ่มเลี้ยงจากแค่ 5-10 กะละมัง ในโรงรถ ทำไป ทำมาปุ๋ยมูลไส้เดือนมีมาก ไม่รู้เอาไปทำอะไร เลยชักชวนเพื่อนที่เป็นมนุษย์ออฟฟิศกินเงินเดือนอีก 4 คน มานั่งคุยกันว่า เราน่าจะเอาเวลาว่างมาปลูกผัก เพื่อเอาปุ๋ยไปใช้กันดีกว่า”


ชารีย์ บุญญวินิจ อดีตหนุ่มออฟฟิศ วัย 28 ปี ที่หันมาเอาดี เลี้ยงไส้เดือน เผยว่า การรวมตัว 5 คน ที่ไม่เคยมีความรู้ในเรื่องการเกษตรมาก่อนเลย ลองคิดทำกันเล่นๆ แบบขำๆ ตั้งฟาร์มขึ้น 5 ฟาร์มขนาดเล็กๆ มีทั้งฟาร์มผักสลัด หน่อไม้ฝรั่ง เห็ด ฟาร์มกุ้ง และฟาร์มไส้เดือน มีพื้นที่อยู่ทั้งในเมืองและต่างจังหวัด คิดทำอะไรที่ง่ายๆ ไม่ต้องใหญ่โตเท่าไหร่ ไม่ต้องลงทุนสูง แต่ทำให้ดี ให้น่าสนใจ และที่ สำคัญให้เพียงพอกับพื้นที่อยู่อาศัย


“ผลผลิตที่ได้นำมารวมกันขายที่หน้าฟาร์มสมาคมชมเดือน หน้าบ้านผมนี่แหละ อีกทางหนึ่งฝากขายตามร้านอาหาร เปิดขายทางเว็บไซต์ สมาคมชมเดือน และ LINE:uncleree แม้จะมีรายได้มากขึ้น พวกเราก็ยังไม่หยุดนิ่ง ยังคงช่วยกันขยายพื้นที่ทำกันไปเรื่อยๆ ไม่เคยเหนื่อยกับการทำเกษตร เพราะมันเห็นผลดีด้วยรายได้เดือนละแสน แถมตัวเราเองยังได้บริโภคพืชผักปลอดภัยที่ปลูกด้วยตนเอง”


สำหรับ ชารีย์ ใช้โรงรถบ้านในซอยเพชรเกษม 46 บางหว้า กรุงเทพฯ เป็นจุดเริ่มเพาะขยายพันธุ์ไส้เดือน กะละมังซักผ้า 1 ใบ ใส่ขี้วัวลงไป 5 กก.ใส่ผัก 5-6 กก. และนำไส้เดือน 500 ตัว หรือประมาณครึ่ง กก.ใส่ลงไปแล้วพรมน้ำให้เกิดความชุ่มชื้นทิ้งไว้ 1 เดือน ได้ปุ๋ยร่วม 10 กก…จนโรงรถมีที่ไม่พอ ต้องขยาย


เพราะแค่การเลี้ยงไส้เดือนขายเป็นปุ๋ย ราคา ณ ตอนนี้อยู่ที่ตันละ 15,000 บาท ทุกวันนี้มีออเดอร์นำไปใส่บ่อเลี้ยงกุ้งเพื่อ บำบัดน้ำเสียเดือนละ 80 ตัน ขายไส้เดือนเป็นๆ กก.ละ 1,000 บาท เดือนละ 150 กก. ขายชุดเลี้ยงไส้เดือน 600 บาทต่อชุด พร้อมจัดส่งถึงบ้านอีกเดือนละ 40 ชุด เปิดอบรมการเลี้ยงไส้เดือนให้ผู้สนใจเดือนละ 60 คน รวมรายได้แล้วล้านกว่าๆ หักลบกลบหนี้และต้นทุน จะเหลือกำไรราวๆห้าแสน นำมาหารแบ่งเฉลี่ยกัน 5 คน รับไปคนละ 100,000 บาทต่อเดือนมากกว่าเงินเดือนที่ได้รับอีกต่างหาก …นี่เฉพาะเลี้ยงไส้เดือนเท่านั้นนะ

อยากเรียนรู้ชีวิตมนุษย์ออฟฟิศ หันมาทำเกษตรเล่นๆ แต่สร้างรายได้หลักเดือนละแสน ทำกันยังไง ไปสัมผัสพบตัวตนคนเป็นๆ
ได้ในงาน Fresh Food From Farms ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึง 15 พ.ค. ณ บริเวณน้ำพุชั้น 1 ศูนย์การค้าซีคอนสแควร์ ถนนศรีนครินทร์.

ไชยรัตน์ ส้มฉุน

 

เลี้ยงกุ้งในดงนา 5 ปี…ไม่เปลี่ยนน้ำ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 6 พ.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/615870

 

การเลี้ยงกุ้งในพื้นที่น้ำจืด ปล่อยน้ำเสียลงแหล่งน้ำสาธารณะมักตกเป็นจำเลยสังคมมาตลอด…แต่วันนี้ปัญหาดังกล่าว จะไม่มีให้เห็นอีกแล้ว เมื่อเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง จ.ราชบุรี ค้นพบวิธีเลี้ยงกุ้งแบบไม่เปลี่ยนน้ำมากว่า 5 ปี จนกลายเป็นต้นแบบการเลี้ยงกุ้งยุคน้ำน้อย

“เคยเลี้ยงกุ้งดำมาก่อน ปี 2548 หันมาเลี้ยงกุ้งขาว แต่เมื่อเลี้ยงกุ้งในพื้นที่น้ำจืด มีปัญหากับนาข้าว จึงคิดหาวิธีแก้ปัญหาเรื่องการปล่อยน้ำ จนเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ได้พบวิธีแก้ปัญหาที่ใช้ได้ผลดี ด้วยการขุดคลองเก็บน้ำรอบบ่อเลี้ยง เว้นบ่อว่างเอาไว้เพื่อถ่ายน้ำแล้วนำกลับมาใช้ใหม่ พร้อมไปเลี้ยงกุ้งก้ามกราม และปลานิล เพื่อช่วยบำบัดน้ำทำให้ไม่ต้องเปลี่ยนน้ำตลอดการเลี้ยงเลย”


สมบูรณ์ ลาภเกิด เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง อ.บางแพ จ.ราชบุรี เล่าถึงที่มาของการเลี้ยงกุ้ง 5 ปี ไม่เปลี่ยนน้ำ มาจากแนวคิดนำน้ำใช้แล้วมาใช้ใหม่ น่าจะดีกว่านำน้ำใหม่มาบำบัด

เพราะน้ำใหม่เราจะไม่มีทางรู้เลยว่า ผ่านการชะล้างมาอย่างไร มีสารเคมีอะไรปนเปื้อนมาบ้าง…แต่น้ำที่ใช้แล้ว เราจะรู้หมดเลยว่า เราทำอะไรไปบ้าง จึงน่าจะดีกว่าน้ำใหม่


สำหรับวิธีการจัดการ ฟาร์มแห่งนี้มีบ่อเลี้ยงขนาด 4 ไร่ 4 บ่อ รอบบ่อเลี้ยงขุดเป็นคลองขนาดกว้าง 6-8 เมตร ยาวขนานไปกับบ่อเลี้ยงทั้งหมด อีกราว 4 ไร่ ใช้เป็นคลองรับน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติ เสมือนคลองบำบัดน้ำที่สามารถนำมาใช้ได้เมื่อต้องการเติมน้ำในบ่อเลี้ยง หรือดึงน้ำมาใช้ในยามน้ำน้อย

วิธีการเลี้ยงจะปล่อยบ่อว่างไว้ 1 บ่อ ส่วนบ่ออื่นๆ อีก 3 บ่อจะลงกุ้งขาว กุ้งก้ามกราม ปลานิลเลี้ยงผสมผสานให้ห่างกันเดือนละบ่อ จนครบทั้ง 3 บ่อ เมื่อถึงเวลาจับจะถ่ายน้ำจากบ่อเลี้ยงลงบ่อที่เว้นว่างไว้ เพื่อกักน้ำแล้วนำมาเลี้ยงในครอปต่อไป ทำให้ไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำ…ไม่ต้องเสียเงิน เสียเวลาบำบัดน้ำใหม่ แถมยังมั่นใจว่าน้ำปลอดภัย 100% เลยทำให้ที่นี่เลี้ยงสัตว์น้ำได้ปีละ 3 ครอป มีรายได้เข้าฟาร์มตลอดทั้งปี


ส่วนการเลี้ยง สมบูรณ์ จะใช้วิธีปล่อยลูกกุ้งขาว ที่ผ่านการอนุบาลในคอกมาแล้ว 10-15 วัน เพื่อให้ลูกกุ้งแข็งแรงเพื่อเพิ่มอัตราการรอด บ่อละ 100,000 ตัว จากนั้นอีก 1 สัปดาห์ ปล่อยกุ้งก้ามกรามบ่อละ 20,000 ตัว ตามปล่อยปลานิลขนาด 3-4 มม. บ่อละ 10,000 ตัว ในกระชังขนาด กว้าง 7 เมตร ยาว 15 เมตร (1 บ่อมี 8 กระชัง) กระชังละ 1,000-1,500 ตัว


ส่วนใครจะปล่อยกุ้งขาว กุ้งก้ามกราม ปลานิล พร้อมกันหรือปล่อยตัวไหนก่อนหลังยังไงก็ได้ ที่สำคัญ สัตว์น้ำทั้ง 3 ชนิดต้องปล่อยห่างกันไม่เกิน 7 วัน เพื่อให้ได้ขนาดไม่ต่างกันมาก จะได้จับขาย ได้พร้อมกัน…เคล็ดลับที่ขาดไม่ได้คือ ต้องให้จุลินทรีย์บำบัดพื้นบ่อและรักษาสมดุลในบ่อ บ่อละ 0.5 กก. ทุกสัปดาห์

การเลี้ยงวิธีนี้ ไม่เพียงช่วยลดปัญหาสังคม ลดความขัดแย้งกับนาข้าว ยังช่วยกระจายความเสี่ยงเรื่องราคาตกต่ำได้ดีกว่าเลี้ยงกุ้งขาวอย่างเดียว เพราะเกิดกุ้งขาวราคาตก ยังมีปลานิล และกุ้งก้ามกรามมาชดเชยความเสียหายได้.

กรวัฒน์ วีนิล

 

กุ้ง–ปลา–หอยแปลงใหญ่ ประมงกระตุ้น 11 จังหวัด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 5 พ.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/615336

 

นางสาวจูอะดี พงศ์มณีรัตน์ รองอธิบดีกรมประมง ในฐานะผู้กำกับดูแลโครงการประมงเข้าสู่ระบบแปลงใหญ่ เผยว่า สินค้าประมงที่นำร่องเข้าสู่ระบบแปลงใหญ่มี 3 ชนิด ได้แก่ กุ้งทะเล หอยแครงและปลานิล เนื่องจากเป็นสินค้ามีมูลค่าสูงในการทำรายได้ให้ประเทศ โดยเฉพาะกุ้งทะเล ส่วนหอยแครงสามารถทำ รายได้สูงถึงปีละพันล้านบาท แต่ปัจจุบันพื้นที่เลี้ยงเริ่มเสื่อมโทรมขาดการฟื้นฟู วิธีการเลี้ยงไม่เหมาะสม ก่อให้เกิดความเสียหายหอยเน่าหอยตายอยู่บ่อยครั้ง หากมีการส่งเสริมการผลิตและพัฒนาการเลี้ยงให้หอยแครงมีคุณภาพมากขึ้น จะเป็นสัตว์น้ำที่น่าจับตามองอีกชนิดหนึ่ง และปลานิลมีการขยายตลาดไปสู่สหภาพยุโรป ตะวันออกกลางและสหรัฐอเมริกา มูลค่าการส่งออกมากกว่า 1,000 ล้านบาท แต่ผลผลิตยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ อีกทั้งยังต้องยกระดับมาตรฐานการผลิตให้เป็นที่ยอมรับแก่ตลาดโลก


“กรมประมงจึงได้วางนโยบายไปยังระดับจังหวัดเร่งเดินหน้าโครงการฯในแต่ละรายสินค้า เริ่มจากโครงการเพิ่มประสิทธิภาพ การผลิตกุ้งทะเลอย่างครบวงจร ในพื้นที่ 6 จังหวัด จ.จันทบุรี ตรัง นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี ประจวบคีรีขันธ์ และตราด วางเป้าหมายให้ผลผลิตของกุ้งทะเล ในพื้นที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 50 และเกษตรกรสามารถลดต้นทุนให้ได้ร้อยละ 10 และสร้างตราสัญลักษณ์ของตนเองได้”



สำหรับโครงการพัฒนาและปรับปรุงแหล่งผลิตหอยแครง รองอธิบดีกรมประมง กล่าวว่า ได้ดำเนินการในพื้นที่ จ.เพชรบุรี เพราะมีการเลี้ยงหอยแครงมานาน มีความเสื่อมโทรมทั้งพื้นที่และผลผลิต โดยจัดทำโครงการเป็นต้นแบบให้กับพื้นที่อื่นๆให้มีการฟื้นฟูพื้นที่เลี้ยงหอยแครงจำนวน 9,920 ไร่ สร้างแหล่งพ่อแม่พันธุ์ (Seed Bed) ได้เพิ่มขึ้น 1 แหล่ง และลดต้นทุนลง 10% ส่วนการเลี้ยงปลานิลแบบครบวงจรดำเนินการในพื้นที่ จ.เชียงราย กาฬสินธุ์ ชลบุรี และนครศรีธรรมราช กำหนดเป้าหมายเพิ่มผลผลิตปลานิลให้ได้ร้อยละ 10 ลดต้นทุนการเลี้ยงร้อยละ 10 รวมทั้งจัดให้มีการรวมกลุ่มแปรรูปได้อย่างน้อย 5 กลุ่มและมีฟาร์มที่ได้การรับรอง GAP ไม่ต่ำกว่า 400 ฟาร์ม จัดตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชนอย่างน้อย 4 กลุ่ม และจัดตั้งกลุ่มสหกรณ์ให้ได้ 4 กลุ่ม ให้สามารถส่งผลผลิตปลานิลไปจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าได้จังหวัดละ 1 แห่ง.

 

เปลี่ยนนาปลูกแพงโกล่า เลี้ยงแพะดีกว่าปลูกข้าว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 4 พ.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/614851

 

“เห็นพ่อแม่ทำนาปลูกข้าวมาตั้งแต่เด็ก บางปีขายข้าวได้เงินมาก แต่บางปีขาดทุน เพราะเจอปัญหาเพลี้ยกระโดด หรือไม่ก็น้ำท่วม จนกระทั่งมาถึงรุ่นลูก ถึงฤดูปลูกข้าว นา 90 ไร่ ต้องใช้เงินลงทุน 300,000-400,000 บาท ปรับพื้นที่ ซื้อเมล็ดพันธุ์ และอีกจิปาถะ เมื่อก่อนยังพอไปกันได้ แต่ช่วง 3-4 ปีมานี่ ข้าวราคาไม่ดี ขายแล้วแทบไม่เหลือกำไร”

นายยงยุทธ จันทิม ชาวบ้านหมู่ 4 ต.ตลุก อ.สรรพยา จ.ชัยนาท จึงเริ่มมองหาอาชีพเสริม เลี้ยงแพะ เพราะเห็นเพื่อนบ้านเลี้ยงกันอยู่หลายครอบครัว ลงทุนซื้อพ่อ-แม่พันธุ์ครั้งเดียว มีลูกแพะออกมาให้เลี้ยงตลอด ถึงเวลาจับขายได้ตัวละไม่ต่ำกว่า 2,000 บาท ปีหนึ่งขายได้ตั้ง 2 ครั้ง ไม่เหมือนเลี้ยงวัวกว่าจะขายได้ ต้องรอนาน 2-3 ปี


หลังตัดสินใจแน่นอน ไปขอคำแนะนำจาก นายโสภณ ชินเวโรจน์ ผอ.ศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารสัตว์ชัยนาท เข้ารับการ
อบรมการทำฟาร์มมาตรฐานกับทางศูนย์วิจัยฯ กระทั่งมั่นใจว่าทำฟาร์มแพะได้แน่นอน จึงเริ่มปรับพื้นที่ แบ่งนา 8 ไร่มาปลูกหญ้าแพงโกล่า เตรียมไว้เป็นแหล่งอาหารแพะ

เมื่อหญ้าแพงโกล่าโตกอสูงประมาณ 15 ซม. จึงนำแพะที่ซื้อยกฝูงจากเพื่อนบ้าน เป็นแม่พันธุ์ 24 ตัว พ่อพันธุ์ 3 ตัว นำมาเลี้ยงเป็นแพะเนื้อ โดยใช้วิธีแบ่งกั้นพื้นที่เป็นสัดส่วน 3 แปลง…1 แปลงใหญ่ 4 ไร่ ปลูกหญ้าไว้เป็นเสบียงและขาย ส่วนอีก 2 แปลง แปลงละ 2 ไร่ ปลูกหญ้าปล่อยให้แพะเล็ม


แบ่งพื้นที่กั้นรั้ว เลี้ยงเป็นที่เป็นทาง เป็นระเบียบ ยงยุทธ บอกว่าเลี้ยงแบบนี้นอกจากไม่เปลืองแรงงาน คอยไล่ต้อนแพะ ยังไม่ต้องกลัวแพะเสี่ยงบาดเจ็บจากถูกสุนัขไล่กัด และแพะตื่นตกใจวิ่งชนกันเองเหมือนการเลี้ยงต้อนแพะออกไปหากินหญ้า และตลอดเวลาจะมีเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์มาเป็นพี่เลี้ยงคอยให้คำแนะนำการจัดการดูแลสุขภาพ ทำวัคซีน การให้อาหาร

ส่วนวิธีปล่อยให้แพะเดินแทะเล็มหญ้าได้อย่างสบายใจและปลอดโรค ต้องปล่อยออกจากคอก ตอนแดดเริ่มร้อน รอเวลาให้พยาธิร้อนมุดลงดิน เพราะถ้าเป็นโรคพยาธิ แพะจะล้มตายง่าย และทุก 10 วัน จะต้อนแพะเปลี่ยนไปกินหญ้าแปลงใหม่ ส่วนแปลงเก่าปล่อยน้ำให้ท่วม ใส่ปุ๋ยยูเรีย 2 กก.ต่อไร่ เพื่อให้หญ้างอกใหม่


สำหรับช่วงหน้าฝน สภาพอากาศพื้นดินชื้นแฉะ แพะไม่ชอบ ยงยุทธ แก้ปัญหาด้วยการขังแพะให้อยู่แต่ในโรงเรือน แล้วตัดหญ้าจากแปลงขึ้นมาเลี้ยง เสริมด้วยกระถินสดๆ ซึ่งมีโปรตีน 28% สูงกว่าหญ้าแพงโกล่า ซึ่งมีโปรตีนแค่ 7-8%

พื้นที่ 8 ไร่ นอกจากมีหญ้าพอเลี้ยงแพะ 27 ตัว ยังมีเหลืออัดฟ่อนละ 40 กก.แบ่งขายให้กับเพื่อนบ้านในราคา 80 บาท…ทุกเดือนขณะรอขายลูกแพะได้เวลาขาย ยงยุทธ จะมีรายได้จากการตัดหญ้าแพงโกล่า 4 ไร่ ส่งขายให้กับเพื่อนบ้าน 250 ฟ่อน หรือ 20,000 บาทต่อเดือน นี่ยังไม่นับรายได้จากขายลูกแพะ 45 ตัว อีกปีละ 90,000 บาท

คำนวณแล้วมีรายได้จากเลี้ยงแพะ ปีละ 330,000 บาท…ในขณะที่ทำนา 8 ไร่ ปีละ 2 ครั้ง ได้เงินแค่ 112,000 บาท เท่านั้นเอง.

เพ็ญพิชญา เตียว

 

ปศุสัตว์ชงเลี้ยงแพะ–แกะ แล้งซ้ำซากนอกเขตส่งน้ำ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 3 พ.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/614319

 

น.สพ.อยุทธ์ หรินทรานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ เผยว่า จากสภาพอากาศร้อนอบอ้าว ภัยแล้ง ปริมาณน้ำเหลือน้อย ส่งผลให้ผลผลิตภาคการเกษตรกลุ่มเพาะปลูกพืช มีต้นทุนการผลิตสูง เพราะต้องปรับเปลี่ยนวิธีการให้น้ำ ปรับพื้นที่ลงทุนซื้อสแลนกันแดดมาคลุมแปลงผัก เพื่อบรรเทาความร้อน ลมแดด โดยเฉพาะพื้นที่นอกเขตชลประทาน จะประสบปัญหาขาดแคลนน้ำมากขึ้นทุกปี เพื่อให้เป็นอาชีพทางเลือก กรมปศุสัตว์จึงได้จัดทำโครงการส่งเสริมการเลี้ยงแพะ-แกะ ในพื้นที่แล้งซ้ำซาก นอกเขตชลประทานขึ้น

“เราเลือกส่งเสริมให้เลี้ยงแพะ-แกะ เพราะปัจจุบันตลาดทั้งภายในและประเทศเพื่อนบ้านมีความต้องการบริโภคเนื้อ แพะ-แกะ จำนวนมาก แต่ประเทศไทยยังไม่สามารถผลิตได้เพียงพอกับความต้องการ ที่สำคัญการเลี้ยงแพะ-แกะ ระยะเวลาการเลี้ยงไม่นาน แค่ 1 ปี เกษตรกรสามารถขายแพะ-แกะ ได้ถึง 2 คอก ช่วยให้เกษตรกรมีเงินหมุนเวียนใช้จ่ายได้ง่ายขึ้น”


เกษตรกรที่สนใจร่วมโครงการ น.สพ.อยุทธ์ บอกว่า ต้องจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจชุมชน กลุ่มนิติบุคคล สหกรณ์ในพื้นที่นอกเขตชลประทาน ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันตก เมื่อเกษตรกรรวมตัวจัดตั้งกลุ่มและผ่านการคัดเลือกแล้ว ทางกรมปศุสัตว์จะหาแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ และหาแหล่งพ่อแม่พันธุ์แพะ-แกะ โดยจะให้เกษตรกรกับผู้จำหน่ายตกลงซื้อขายกันเอง ส่วนเจ้าหน้าที่เป็นแค่พี่เลี้ยงคอยให้คำแนะนำเพื่อป้องกันปัญหาการตั้งราคาสูงเกินจริง


หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์จะดูแลด้านการผสมเทียม ด้วยวิธีฉีดฮอร์โมนเหนี่ยวนำ รวมทั้งดูแลสุขภาพสัตว์ตั้งแต่เริ่มเลี้ยงไปจนกระทั่งจำหน่าย ตั้งแต่ต้นกระทั่งสิ้นสุดโครงการ โดยเบื้องต้นตั้งเป้าเกษตรกรในโครงการนำร่อง 500 ราย เพื่อรวมตัวจัดตั้ง 50 กลุ่ม เลี้ยงแพะ-แกะ และเกษตรกร แต่ละกลุ่มจะต้องมีพื้นที่สำหรับปลูกพืชอาหารสัตว์ไม่น้อยกว่า 5 ไร่ มีความพร้อมจัดเตรียมคอกโรงเรือนเลี้ยงอย่างเหมาะสม ซึ่งโครงการดังกล่าวขณะนี้อยู่ระหว่างรอให้ ครม.อนุมัติ คาดว่าภายในเดือนพฤษภาคมนี้ จะสามารถเดินหน้าคัดเลือกเกษตรกรได้อย่างแน่นอน.

 

จัดแถวเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ในที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 2 พ.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/613908

 

ทำเอาเกษตรกรเลี้ยงกุ้ง หอย ปู ปลาตื่นไปทั้งประเทศ จู่ๆกรมประมงออกประกาศให้ผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทุกชนิด ทั้งริมชายฝั่ง ในทะเลและในแหล่งน้ำจืด อันเป็นพื้นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน…จะต้องมายื่นขอใบอนุญาตให้ทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึง 11 พ.ค.59

หลายคนอาจมองไปว่า คงเป็นระเบียบ กฎเกณฑ์ใหม่ในลำดับถัดมาจากมาตรการไอยูยู ฟิชชิ่ง หรือกฎระเบียบว่าด้วยการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ไม่รายงาน และไร้การควบคุมอย่างมิพักสงสัย


แต่ความจริงแล้ว ล้วนเป็นเรื่องเก่าๆเดิมๆของประเทศไทย ที่ถูกละเลยมาช้านาน และไม่เกี่ยวกับไอยูยู ที่ต่างประเทศกำลังเล่นงานประเทศไทย แต่อย่างใด…หากเป็นปัญหาที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชีวิตคนไทยทั่วไปโดยตรง

“มาตรการที่ออกมานี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ การกำหนดให้ผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่สาธารณะ ต้องขออนุญาตเป็นมาตรการเดิมที่มีอยู่แล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมาไม่ค่อยมีการเข้มงวดกันมากนัก บางรายขออนุญาต บางคนก็ทำไปแบบไม่ขออนุญาต แต่ด้วยปัจจุบันได้มีกฎหมายใหม่ พระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 ได้กำหนดให้ผู้ทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่จับสัตว์น้ำซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ก่อนกฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้ ให้มายื่นคำขอรับใบอนุญาตภายใน 180 วัน นับตั้งแต่ 14 พ.ย.58 เป็นต้นมา นั่นก็คือ ต้องมายื่นคำร้องภายในไม่เกิน 11 พฤษภาคมนี้เท่านั้นเอง และในอดีตที่ผ่านมาได้มีผู้มายื่นขออนุญาตไปแล้ว 16,000 ราย การขออนุญาตครั้งนี้ เราคาดว่าน่าจะมีเพิ่มขึ้นเป็น 30,000 ราย”


นายอดิศร พร้อมเทพ อธิบดีกรมประมง ให้เหตุผลถึงกฎหมายกำหนดให้ผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่สาธารณะ เนื่องจากที่ผ่านมา มีการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทั้งในแม่น้ำ ชายฝั่งทะเลและทะเลสาบกันเป็นจำนวนมาก จนเกินความสามารถของแหล่งน้ำที่จะรับได้ ก่อให้เกิดภาวะน้ำเน่าเสีย ไม่เพียงจะสร้างปัญหาต่อสิ่งแวดล้อม ยังทำให้ประชาชนทั่วไปที่ใช้น้ำจากแหล่งเหล่านั้นไปอุปโภคบริโภค ได้รับความเดือดร้อนไปด้วย

ด้วยเหตุนี้กรมประมงจึงได้ออกมาตรการให้ผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่กรุงเทพมหานคร สามารถยื่นคำขอ ณ สำนักงานประมง พื้นที่กรุงเทพมหานคร…ส่วนพื้นที่ต่างจังหวัดให้ยื่น ณ สำนักงานประมงจังหวัด สำนักงานประมงอำเภอ ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่ง ศูนย์หน่วย บริหารจัดการด้านการประมง ในเขตพื้นที่ทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ


สามารถยื่นคำขอรับใบอนุญาตได้ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ

อธิบดีกรมประมงกล่าวอีกว่า การยื่นคำขอรับใบอนุญาตในครั้งนี้ เป็นการรับคำขอให้ทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (เบื้องต้น) ไว้เป็นหลักฐาน เพื่อแสดงต่อหน้าพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ เพราะผู้ที่ฝ่าฝืนจะถูกปรับ สูงสุด 1 แสนบาท และปรับวันละ 10,000 บาท ตลอดระยะเวลาของการฝ่าฝืน


และหลังจากมีการยื่นคำขอฯเสร็จแล้ว กรมประมงจะร่วมกับคณะกรรมการประมงประจำจังหวัด นำคำขอฯมาพิจารณากำหนดพื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและหลักเกณฑ์ในการจัดสรรพื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำให้เหมาะสมกับแหล่งน้ำ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรักษาและฟื้นฟูสภาพแวดล้อมของแหล่งน้ำและส่งเสริมให้อาชีพประมงมีการพัฒนาที่มั่นคงและยั่งยืน.

ชาติชาย ศิริพัฒน์